บทที่ 5 คนพันธุ์หวง
วันที่สวี่ซือเถียนมาที่บริษัทครั้งแรกนั้นสั่นสะเทือนทั้งสายตาและจิตวิญญาณของหนิงเหมิงอย่างมาก
ผู้หญิงคนนี้สูงถึงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เฉพาะแค่ขาคู่นั้นก็ร้อยหกสิบเซนติเมตรแล้วมั้ง
เธอดัดผมเป็นลอนใหญ่ อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าเอวกับกระโปรงสั้น ทุกย่างก้าวที่เดินออกไปก็มีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว
หนิงเหมิงรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็ตามจะมีกลิ่นหอมลอยออกมา เป็นความรู้สึกน่ากิน น่ากินจนทำให้ใจของเธอเกิดความอิจฉา ต่างก็เป็นสาววัยรุ่นด้วยกันแท้ๆ ทำไมคนเขาถึงดูน่ากิน แต่เธอกลับดูแห้งกระด้างเหมือนกับเปลือกไม้แก่ๆ
คืนวันนั้นหลังจากกลับถึงบ้าน หนิงเหมิงก็ปลดผมหางม้าของตัวเองออก ถอดแว่นตาแล้วใช้โรลม้วนผมไฟฟ้าดัดผมให้เป็นลอน
เมื่อดัดเสร็จก็มองตัวเองในกระจก หนิงเหมิงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสวยเลยสักนิด มองกระจกแล้วมีแค่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวคืออยู่ๆ ก็อยากจะกินบะหมี่ถ้วยขึ้นมาซะงั้น
ผู้หญิงเป็นเพศที่ไวต่อความรู้สึก สัมผัสที่หกมันรุนแรงกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ดังนั้นหนิงเหมิงจึงรู้สึกได้ว่าสาวปักกิ่งอย่างสวี่ซือเถียนชอบลู่จี้หมิง
แล้วก็ชอบแบบชอบมากๆ ด้วย
แต่ลู่จี้หมิงล่ะ เมื่อทำงานแล้วพอจะพูดได้ว่ามีท่าทางของคนมีความสามารถ แต่พอเลิกงานก็กลายร่างเป็นหนุ่มเสเพลทันที
เขาก็ไม่ต่างจากเพื่อนๆ ลูกคนรวยทั้งหลายของเขา ชอบดื่ม รักสนุก หยอกล้อผู้หญิงไปทั่ว พอดื่มเสร็จคำพูดหยอกเย้าพวกนั้นก็ผ่านเลยไป
พูดกันตรงๆ ก็คือยังไม่เห็นคุณค่าของสาวๆ พวกนั้น
สวี่ซือเถียนเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ไม่ได้ลดค่าตัวเองโดยการไปดื่มเหล้าที่ผับเพื่อจะใกล้ชิดกับลู่จี้หมิง หลังเลิกงานหนิงเหมิงก็เคยถูกลู่จี้หมิงลากตัวไปเป็นคนขับรถงานแฮงก์เอาต์ต่างๆ แต่เธอไม่เคยเจอสวี่ซือเถียนสักครั้ง
สวี่ซือเถียนทำงานด้านการเงิน ทำงานได้ครึ่งปีก็ใช้เส้นสายของครอบครัวเพื่อเข้าเรียนอีเอ็มบีเอ* แม้ว่าอายุจะยังไม่ถึงสามสิบตามเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนได้ แต่เงื่อนไขพวกนี้มีไว้สำหรับคนธรรมดาเท่านั้น สำหรับคนมีเงินดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรสักเท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้สวี่ซือเถียนจึงก้าวข้ามเรื่องอายุเข้าไปเป็นเพื่อนนักเรียนกับคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เธอมักจะหาผู้ที่ประสบความสำเร็จมาคุยโปรเจ็กต์ความร่วมมือต่างๆ กับลู่จี้หมิงเสมอ แม้ว่าสุดท้ายอัตราความสำเร็จจะไม่สูงเท่าไหร่ แต่ยุทธวิธีการจีบหนุ่มแบบอ้อมๆ นี้ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่ฉลาดและไม่มีความพยายาม
คราวนี้สวี่ซือเถียนก็พาสืออิงซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนอีเอ็มบีเอมา
ในห้องประชุมสืออิงแนะนำข้อมูลทั่วไปของโปรเจ็กต์ให้กับลู่จี้หมิง
ร่างเป้าหมายของการลงทุนก็คือบริษัทอุตสาหกรรมครัวเรือนซึ่งทำปฏิรูปหุ้น* เสร็จเรียบร้อยแล้ว บริษัทหลักทรัพย์ที่สืออิงสังกัดอยู่นั้นกำลังเป็นที่ปรึกษาให้กับกิจการและเตรียมความพร้อมเข้าคิวเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
พวกเขาต้องการหานักลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีทุนสูงเพื่อทำการเปลี่ยนโอนหุ้น ก่อนที่จะมาหาบริษัทจี้หมิงแคปปิตอล พวกเขายังได้พิจารณาหน่วยงานที่มีชื่อเสียงหลายแห่งด้วย แต่หน่วยงานเหล่านั้นทำการประเมินไว้ต่ำมาก บ้างก็เพิ่มเงื่อนไขเพิ่มเติมมากมาย จึงทำให้ไม่อาจเจรจาความร่วมมือกันได้สำเร็จ
“พอดีวันนั้นเป็นวันรวมตัวเพื่อนที่เรียนอีเอ็มบีเอเลยได้คุยกับเสี่ยวสวี่เรื่องนี้ เธอบอกว่านอกจากประธานลู่จะเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถแล้ว ที่สำคัญพวกคุณยังโตมาด้วยกันอีกด้วย รู้จักกันเป็นอย่างดี เธอก็เลยดึงฉันมาพูดคุยกัน พอได้เจอกันก็เป็นอย่างที่เสี่ยวสวี่พูดไว้ไม่ผิด ประธานลู่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถจริงๆ”
ลู่จี้หมิงพูดคำว่าคุณชมเกินไปแล้วซ้ำๆ แต่หนิงเหมิงแอบปรายตามองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่แสดงออกมาว่าใช่เลยๆ ข้านี่แหละที่หล่อแล้วยังหาเงินได้เยอะอีกด้วย
เธอกลัวว่าเขาจะแสดงสีหน้านั้นออกมาจนสืออิงรู้สึกได้แล้วมันจะไม่ดี จึงรีบลุกขึ้นเติมน้ำร้อนในแก้วน้ำชาของสืออิง เมื่อเติมน้ำแล้วก็ไม่ลืมที่จะวางแก้วน้ำชาไว้ทางซ้ายมือและหันหูแก้วไปทางมือซ้ายของสืออิงเพื่อให้สะดวกในการยกแก้วขึ้น
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้สืออิงต้องเงยหน้าขึ้นมามองหนิงเหมิง เธอมองด้วยสายตาชื่นชม ยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ
สวี่ซือเถียนก็มองตามไป สายตาเรียบเฉยมากทีเดียว
หนิงเหมิงกลับมานั่งข้างๆ ลู่จี้หมิง จัดทำรายงานการประชุมต่อไป
ลู่จี้หมิงถามสืออิง “ผมขอสอบถามประธานสือเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมครับว่าผู้ตรวจสอบเซ็นรับรองโปรเจ็กต์ไอพีโอนี้สองคนเป็นใครครับ”
หนิงเหมิงตามลู่จี้หมิงเข้าประชุมทั้งเล็กและใหญ่มากมายหลายครั้ง ประเด็นสำคัญต่างๆ ของธุรกิจเธอย่อมจะเข้าใจดีอยู่แล้ว
โปรเจ็กต์ไอพีโอนั้นถ้าผู้ตรวจสอบเซ็นรับรองเป็นผู้มีประสบการณ์และมากความสามารถ ซ้ำยังเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เขาก็จะสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นไว้ได้เป็นอย่างดี
ถ้าคิดลงทุนในโปรเจ็กต์ลักษณะนี้ก็สามารถวางใจได้
สืออิงยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “บังเอิญมาก ผู้ตรวจสอบเซ็นรับรองอีกคนก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เธอคือเฉียนเฟย”
เมื่อได้ยินชื่อนี้เข้าหนิงเหมิงก็เงยหน้าขึ้นมาทันที
ลู่จี้หมิงเห็นอาการผิดปกติของหนิงเหมิงจึงหันหน้าไปมองเธอ “ทำไม คุณรู้จักคุณเฉียนที่ประธานสือพูดถึงเหรอ”
หนิงเหมิงปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่รู้จักค่ะ ฉันแค่ได้ยินชื่อของเธอเท่านั้นเอง” เธอหันไปมองสืออิงพร้อมกับยิ้มอย่างมีมารยาทแล้วพูดต่อ “ตอนที่ฉันยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เธอเคยไปบรรยายให้พวกเราฟังที่มหาวิทยาลัย ประสบการณ์การต่อสู้ของเธอทำให้ฉันกล้าที่จะเป็นเป่ยเพียว*”
สืออิงยิ้มอีกครั้งแล้วพูดกับลู่จี้หมิง “ประธานลู่ ไม่แน่ว่าอีกสองปีคุณอาจจะปั้น ผอ. หนิงออกมาก็ได้นะ”
ลู่จี้หมิงหัวเราะเบาๆ “หึๆ เธอไม่ใช่คนแบบเดียวกับคุณเฉียน เธอไม่เคยทำโปรเจ็กต์ลงทุนมาก่อน ทำงานแค่เอกสารเลขานุการเท่านั้น”
หนิงเหมิงหลุบตาลงจ้องมองโน้ตบุ๊กอย่างหงุดหงิดใจ
เธอได้ยินสืออิงพูดกับลู่จี้หมิงว่าอยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ลงทุนรวมทั้งผลประกอบการของบริษัท
ลู่จี้หมิงพูดชื่อโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ ที่เขาเข้าไปดำเนินการและประโยชน์ที่ได้รับแล้วก็อึกอักไปบ้าง
“มีบางโปรเจ็กต์ลูกน้องเป็นคนรับผิดชอบ รอให้ผมเรียกผู้รับผิดชอบมา ให้พวกเขาเสริมเติมให้อีกนะครับ”
หนิงเหมิงสูดลมหายใจแบบไม่มีเสียง
เธอเงยหน้าขึ้น “ประธานลู่ ประธานสือ ให้ฉันลองช่วยเสริมดูก่อนไหมคะ”
เธอจะต้องดูเอกสารโปรเจ็กต์ทุกฉบับก่อนที่จะส่งไปให้ลู่จี้หมิงลงนาม โปรเจ็กต์ระดับกลางมากมายที่ลู่จี้หมิงไม่ได้ดูอย่างละเอียด ก่อนลงนามเธอจะดึงประเด็นสำคัญออกมารายงาน ถ้าคิดว่าไม่มีปัญหาก็ลงนาม หากถ้ามีปัญหาก็ส่งคืนกลับไปให้แผนกโปรเจ็กต์จัดการแก้ปัญหา ส่วนโปรเจ็กต์ลงทุนเล็กๆ ก็มอบอำนาจให้รองประธานเป็นคนจัดการ ตอนปลายปีรองประธานก็จะทำรายงานสรุปออกมา เนื้อหาในรายงานฉบับนั้นหนิงเหมิงก็ต้องอ่านอย่างละเอียด
ทั้งบริษัทไม่น่าจะมีใครเข้าใจและรู้จักโปรเจ็กต์ต่างๆ ทั้งหมดดีเท่าเธอแล้ว
หนิงเหมิงรวบรวมสมาธิแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง โปรเจ็กต์พวกนั้นก็แบ่งประเภทอย่างชัดเจนอยู่ในสมองของเธอ
โปรเจ็กต์ไหนที่ลงทุนเมื่อปีที่แล้ว ระยะเวลากี่ปี ประเมินค่าตอบแทนการลงทุนอยู่เท่าไหร่ โปรเจ็กต์ไหนทำในปีนี้ ทำถึงขั้นตอนไหน โปรเจ็กต์ไหนกำลังเตรียมลงทุน ตอนนี้ไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว มีเงื่อนไขในการรักษาความลับ เธอก็ระวังโดยการใช้คำว่าบริษัทหนึ่ง
น้ำเสียงของเธออ่อนโยนลื่นไหล แนะนำจบช่วงหนึ่งก็ได้รับคำชื่นชมจากสืออิง
“ประธานลู่สายตาเฉียบคมมาก มีคนเก่งอยู่ข้างตัว ทั้งเสี่ยวสวี่ เลขาฯ หนิงเป็นสาวเก่งกันทั้งนั้น ส่งเสริมเลขาฯ หนิงสักหน่อย ต่อไปต้องเป็นคนที่จัดการการลงทุนได้ดีแน่ๆ”
ลู่จี้หมิงหัวเราะฮ่าๆ “ประธานสือ คุณก็ล้อเล่นเก่งจริงๆ ยกยอเลขาฯ ผมเกินไปแล้ว”
สวี่ซือเถียนปรายตามองหนิงเหมิงแล้วก็หัวเราะตาม
ก่อนการประชุมจะจบลง ลู่จี้หมิงกับสืออิงกำหนดทิศทางการร่วมมือ อีกทั้งก้าวแรกของกำหนดการแผนการร่วมมือขั้นต่อไปก็ลงตัวแล้วเช่นกัน
ลู่จี้หมิงสั่งหนิงเหมิง “สร้างกลุ่มขึ้นมา แล้วดึงคนที่รับผิดชอบโปรเจ็กต์มาอยู่ในกลุ่ม สรุปประเด็นสำคัญกับความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ทำเป็นบันทึกช่วยจำใส่ลงไปในกลุ่ม”
หนิงเหมิงพยักหน้ารับคำ
สืออิงอยู่หน้าโต๊ะประชุมยิ้มออกมา “เลขาฯ หนิงเป็นแค่เลขาฯ ที่ไหน งานที่เธอทำก็เป็นงานของคนทำโปรเจ็กต์ทั้งนั้น!” เธอตัดพ้ออย่างเสียดาย “ถ้าฉันมีผู้ช่วยอย่างเลขาฯ หนิงสักคนคงจะดี”
ลู่จี้หมิงรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ประธานสืออย่ามาดึงคนของผมไปนะ ผมใช้เลขาฯ มาเป็นร้อยคน เพิ่งจะหาคนที่ทำงานได้ถูกใจ คุณโปรดยั้งมือด้วย”
สืออิงทอดถอนใจอยู่บ้าง “เลขาฯ คุณคนนี้หาได้ยากจริงๆ ทั้งมีความสามารถและยังเป็นคนละเอียดด้วย!” แล้วเธอก็ปรับอารมณ์ มองไปที่หนิงเหมิงพลางเอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เมื่อครู่ตอนที่คุณรินน้ำให้ฉัน ตั้งใจวางไว้ทางซ้ายมือฉัน ถามหน่อยได้ไหม ทำไมคุณถึงดูออกว่าฉันเป็นคนถนัดซ้ายล่ะ”
คำถามนี้ของเธอเรียกสายตาของอีกสองคนที่อยู่ในห้องประชุมให้หันเหมือนกับสปอตไลต์ที่ยิงมายังใบหน้าของหนิงเหมิง
หนิงเหมิงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเอาไมโครโฟนมายัดใส่มือเธอ
เธอทัดผมไปไว้หลังใบหู พยายามทำตัวให้นิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงแต่อ่อนโยนว่า “เมื่อครู่ตอนที่คุณกำลังแนะนำโปรเจ็กต์ก็ใช้มือซ้ายในการอธิบาย ตอนที่คุณจะดื่มน้ำ แก้วน้ำวางอยู่ทางขวามือของคุณ ตอนแรกคุณคิดจะใช้มือซ้ายเอื้อมไปยกแล้ว แต่ระยะทางมันไม่เหมาะ จึงได้เปลี่ยนเป็นมือขวา แล้วตอนที่ยกขึ้นก็สั่นนิดหน่อย”
ทันทีที่หนิงเหมิงพูดจบ สืออิงก็ยิ่งรู้สึกเสียดายจึงพูดกับลู่จี้หมิงตรงๆ “ประธานลู่ คุณคิดว่าทำไมฉันถึงไม่เจอคนเก่งๆ แบบนี้บ้างนะ”
ลู่จี้หมิงโดนกระตุ้นจนจะกลายเป็นพวกหวงของแล้ว
เขารีบเน้นย้ำกับสืออิงอีกครั้ง “ประธานสือ เราตกลงกันแล้วนะ คุณชื่นชมได้ แต่ห้ามมาแย่งคนของผมไปนะ คนของผมคนนี้ก็ให้ใครมาแทนไม่ได้ด้วย!”
สืออิงหัวเราะฮ่าๆ สวี่ซือเถียนที่อยู่ข้างๆ ก็อดที่จะส่งเสียงออกมาไม่ได้
“นี่มันอะไรกัน ถ้าแค่ขาดคนทำงาน ฉันลดตัวลงมาทำงานให้ก็ได้”
ตอนที่เอ่ยประโยคนี้สวี่ซือเถียนไม่มองหนิงเหมิงตรงๆ เพียงแต่ยิ้มอย่างสดใสให้กับลู่จี้หมิง
ลู่จี้หมิงหัวเราะหึๆ ออกมา “ผมจ้างคุณหนูอย่างคุณมาทำงานเบ็ดเตล็ดไม่ไหวหรอก”
คำพูดที่พวกเขาตอบโต้กันทำให้ความรู้สึกยินดีที่มีคนมาชื่นชมเห็นความสามารถของหนิงเหมิงหายวับไปกับตา
พวกเขาสองคน คนหนึ่งพูดว่าลดตัว อีกคนก็พูดว่าทำงานเบ็ดเตล็ด
ในสายตาของพวกเขา เธอไม่ใช่คนระดับเดียวกัน
ความชื่นชมของสืออิงและอาการหวงของลู่จี้หมิงเกือบจะทำให้เธอให้ค่าตัวเองมากขึ้นแล้ว ความจริงเมื่อเทียบกับคนร่ำรวยมีความสามารถ เธอก็เป็นแค่คนทำงานเบ็ดเตล็ดพื้นๆ…
มองดูลู่จี้หมิง สวี่ซือเถียน และสืออิงเดินออกไปด้วยกัน ลู่จี้หมิงกับสวี่ซือเถียนช่างสวยหล่อเจริญหูเจริญตา หนุ่มหล่อกับสาวสวยเหมาะสมกันมากจริงๆ เป็นอาหารตาที่ทำให้ปากของคนกระจอกอย่างเธอเต็มไปด้วยรสชาติของชื่อตัวเอง*
สืออิงที่อยู่ข้างๆ ก็ยืนหลังตรงอย่างสง่างาม ที่แขนพาดกระเป๋าแอร์เมสเอาไว้ นิ้วมือมีประกายด้วยแหวนเพชรทิฟฟานี่ ชุดชาแนลที่อยู่บนตัวก็ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ…แบรนด์หรูหราเหล่านี้กำลังเน้นย้ำความงาม ความเก่ง และความสำเร็จของหญิงสาว
เมื่อก้มหน้ามองดูตัวเอง หนิงเหมิงรู้สึกว่าเธอมอมแมมดูไม่ได้ เหมือนกับเป็นพื้นหลังที่ไม่น่าใส่ใจอะไรในสายตาของคนอื่น
เมื่อส่งสืออิงกับสวี่ซือเถียนไปแล้ว หนิงเหมิงก็นั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะทำงาน
ลู่จี้หมิงเลิกงานไปก่อนแล้ว ก่อนจะไปยังพูดงึมงำกับเธอว่าวันนี้ทำไม่เลว
ตอนนี้ในบริษัทนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใคร เป็นจังหวะให้เธอได้อยู่เงียบๆ คนเดียว สรุปการตัดสินใจด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมาตลอดทั้งบ่าย การตัดสินใจนี้เกิดจากการกระตุ้นของสืออิงและสวี่ซือเถียน ตอนนี้ระงับเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เธอไม่อยากจะเป็นเลขาฯ อีกต่อไปแล้ว เธออยากจะเป็นอย่างสืออิงที่เดินไปไหนก็ส่องประกายความสำเร็จของผู้หญิงเก่งออกมา
หนิงเหมิงกำหมัด ยืนหยัดความเชื่อมั่นในความตั้งใจของตัวเองอย่างเงียบๆ
พรุ่งนี้…พรุ่งนี้จะต้องไปพูดกับลู่จี้หมิงให้ชัดเจน เธอไม่อยากทำงานเลขาฯ แล้ว เธออยากจะออกไปทำโปรเจ็กต์! อย่างมากก็ถูกไล่ออก มันจะเป็นไรไป อย่ากลัวว่าตกงานแล้วจะไม่มีงานถัดไป ยังไงซะสืออิงก็เห็นว่าเธอมีความสามารถนี่ ถ้าเกิดตกงานก็ไปหาสืออิง อีกฝ่ายน่าจะรับเธอเข้าทำงานล่ะมั้ง
เพราะฉะนั้นจะต้องตั้งเป้าหมายเล็กๆ ซะก่อน
หนิงเหมิงพูดกับตัวเองในใจ
สำหรับอนาคต เธอหวังไว้ว่าภายในห้าปีเธอจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในธุรกิจ เป็นผู้อำนวยการการลงทุนระดับเหรียญทอง!
บทที่ 6 ผัดวันประกันพรุ่ง
ตกดึก เมื่อหนิงเหมิงถึงบ้านได้ไม่นานก็ได้รับลิงก์วิดีโอคอลล์ที่โหยวฉีส่งมาให้
โหยวฉียื่นหน้ามาที่กล้อง กะพริบตาปริบๆ อย่างสวยๆ แล้วถามขึ้น “ตอนนี้ห้องที่แกเช่านอกจากแกแล้วยังมีที่เหลือให้วางของอย่างอื่นไหม”
หนิงเหมิงมองใบหน้าอันงดงามของโหยวฉีที่เปล่งออร่าออกมา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกเจริญตาเจริญใจ เธอยื่นหน้าไปที่กล้องแล้วเลียริมฝีปากอย่างชั่วร้าย
“แกสวยขนาดนี้ ต่อให้ฉันต้องห้อยเชือกนอนอยู่บนหลังคาฉันก็ต้องหาที่ว่างให้แกจนได้!”
โหยวฉีอยู่หน้ากล้องหัวเราะอย่างมีจริตจะก้าน
หนิงเหมิงถามเธอว่า “ที่พอจะมีให้แกได้ แต่พี่นางฟ้าต้องการจะทำอะไรเหรอคะ”
โหยวฉีบอกว่า “ฉันก็กำลังจะกลับไปแล้วไงล่ะ มีของตั้งหลายอย่างที่ฉันตัดใจทิ้งไม่ได้ ก็เลยจะส่งกลับไป ให้แกช่วยรับไว้ก่อนนะ”
หนิงเหมิงถอดแว่นตาออกแล้วปลดผมหางม้าลง นิ้วมือก็แทรกไปในเส้นผมและเกาไปมา เกาจนหัวเหมือนกับเหมยเฉาเฟิง*
“แม่คนดี แกก็ไม่กลัวยุ่งยากเลยนะ กลับมาแล้วค่อยซื้อของใหม่ก็ได้ไหม ซื้อของใหม่ถูกกว่าค่าส่งที่แกจะส่งกลับมาซะอีก”
โหยวฉีขยิบตาใส่เธอ ท่าทางแบบนั้นในสายตาของหนิงเหมิงคือภาพอันงดงามที่หาได้ยากอย่างหนึ่ง
“มันไม่เหมือนกัน” โหยวฉีลากเสียงยาว “มันเป็นของที่ฉันใช้จนคุ้นมือ มีความผูกพันกันแล้ว จะให้ทิ้งเลยก็ตัดใจไม่ได้ จะตัดใจทิ้งได้ยังไง ของดีไม่ใช่ว่าต้องใหม่ ยังไงซะเหล่าเหอก็บอกไว้ ค่าขนส่งแพงหน่อยไม่เป็นไร ขอแค่ฉันมีความสุขก็พอ แล้วแต่ฉันเลย สรุปก็คือเลี้ยงฉันไหว!” เมื่อพูดประโยคนี้จบโหยวฉีก็เบี่ยงหน้าออกจากกล้องแล้วตะโกนถาม “ใช่ไหม เหล่าเหอ!”
น้ำเสียงของเธอเดิมทีมีออร่าของเซียน แต่ในชั่วขณะนั้นก็กลายเป็นออดอ้อน
หนิงเหมิงถึงกับขนลุก “หยุดเลยนะ แกหยุดพลอดรักต่อหน้าฉันได้แล้ว”
ตามเสียงเรียกของโหยวฉีใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาใกล้หน้ากล้อง
หนิงเหมิงจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอคนเก่งที่แสนจะยุ่งของวอลล์สตรีต* คนนี้ทางวิดีโอคอลล์ก็ครึ่งปีเข้าไปแล้ว เมื่อเทียบกับตอนที่เจอกันครั้งแรก เหอเยวี่ยหลวนที่อยู่หน้ากล้องเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เขาไม่ใช่ชายหนุ่มจนๆ ที่ไล่ตามจีบโหยวฉีอีกต่อไป
ในตอนที่โหยวฉีเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยความงามที่ยากจะหาใครมาเทียบก็ดึงดูดพวกแมลงตัวผู้มากมาย ผู้ชายที่ชอบเธอมีมากมาย แต่ชอบถึงขั้นหลงใหลและดึงดันก็คงไม่มีใครสู้นักศึกษาปริญญาเอกอย่างเหอเยวี่ยหลวนได้ ด้วยท่าทางที่บอกว่าเธอไม่ยอมรับฉัน ฉันก็จะตายให้เธอดู คนที่ไม่มีชาติตระกูลและไม่ได้ร่ำรวยหรือมีอำนาจอย่างเหอเยวี่ยหลวน มีเพียงหัวใจที่มุ่งมั่นกับกระเป๋าตังค์แบนๆ ก็สามารถเอาชนะพวกลูกคนรวยทั้งหลายพิชิตหัวใจของโหยวฉีได้สำเร็จ
ตอนที่โหยวฉีกับเหอเยวี่ยหลวนคบกันนั้น แว่นกันแดดแบรนด์หรูของบรรดาลูกคนรวยแตกสลายกันนับไม่ถ้วน พวกเขาเขวี้ยงแว่นกันแดดลงราวกับกำลังเขวี้ยงหัวใจที่เจ็บปวดและแตกสลาย แล้วยังสาปแช่งโหยวฉีอย่างร้ายกาจ ‘คุณเลือกคนยากจนคนนั้น สักวันหนึ่งคุณจะต้องอดตาย!’
ผลก็คือที่พวกเขาตั้งตารอเห็นสภาพ ‘ดาวมหาวิทยาลัยอย่างโหยวฉีเลือกคนผิด ทั้งสองคนจะต้องอดอยากไม่มีอะไรจะกิน’ ไม่เกิดขึ้นให้เห็นแล้ว ที่ทำให้พวกเขาอิจฉาและขุ่นเคืองอย่างมากก็คือด็อกเตอร์เหอเยวี่ยหลวนเดินทางไปนิวยอร์กหลังจากสำเร็จการศึกษา ด้วยความรู้สึกถ้าไม่ถึงเป้าหมายก็จะยอมตายของเขา ไม่นานนักเขาก็ยืนอยู่ในวอลล์สตรีตได้อย่างมั่นคง
ทันทีที่โหยวฉีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาก็พาเธอไปเมืองนอกทันที
เขาทำตามคำที่สาบานไว้ในตอนนั้นได้แล้ว ใช้ท่าทางที่เว่อร์วังมาก ให้พวกเสเพลบอยทั้งหลายที่รอดูเขากับโหยวฉีอดตาย ดูให้ชัดๆ ว่าเขาหาเงินเป็นเงินดอลลาร์เลี้ยงดูครอบครัวอย่างไร ดูว่าโหยวฉีรับผิดชอบแค่มีชีวิตอย่างสวยงามโดยไม่ต้องทำอะไรได้อย่างไร
หนิงเหมิงรู้สึกสับสนกับความคิดที่ดันทุรังของรุ่นพี่ด็อกเตอร์คนนี้มาก ด้านหนึ่งก็โกรธ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนขโมยของรักไป อีกด้านเขาก็ดีกับโหยวฉี เธอก็หายโกรธ
เหอเยวี่ยหลวนยื่นหน้าเข้ากล้องมา เห็นหนิงเหมิงก็เริ่มหัวเราะ “หนิงเหมิง ผมทรงระเบิดของคุณเจ๋งมาก!” แล้วก็ก้มลงจูบโหยวฉีที่ยื่นหน้าผากไปรับ
หนิงเหมิงอยากทิ่มตาตัวเองให้บอดแล้ว
“พอแล้วนะ! พวกแกสองคนเอาจริงใช่ไหม พลอดรักให้ฉันดูจนเอือม”
เหอเยวี่ยหลวนยิ้มแล้วบอกลาหนิงเหมิง เขาถือกระเป๋าหนังเดินออกไปทำงานในชุดสูทเต็มยศ
หนิงเหมิงออกอาการงุนงงทันทีที่เขาเดินหายออกไปจากกล้อง “นี่จะกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขายังต้องไปทำงานจริงจังขนาดนั้นด้วย”
โหยวฉีแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ “เหล่าเหอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาก เขาต้องทำงานให้ดีจนวันสุดท้ายน่ะสิ!”
หนิงเหมิงได้แต่กลอกตา เธอรู้สึกว่าตั้งแต่โหยวฉีมีความรักก็กลายเป็นสาวไร้เดียงสาในคราบนางฟ้า
โหยวฉีถามหนิงเหมิงต่อ “แกล่ะ แกย้ายตำแหน่งแล้วหรือยัง”
หนิงเหมิงกำหมัดพร้อมใบหน้ามุ่งมั่น “พรุ่งนี้ฉันจะไปคุยกับเจ้านายพันธุ์ลานั่น!”
โหยวฉีค้อนใส่แรงๆ อย่างไม่ปิดบัง “ตอนนี้ฉันกำลังสงสัยว่าแกกำลังโดนเจ้านายนิสัยเสียของแกทรมานจนเป็นโรคสตอกโฮล์มซินโดรม* บ่นกับฉันทุกวันว่าเขาดื้อด้านขนาดไหน นิสัยก็ไม่ดี แล้วทำกับแกเหมือนเป็นแม่บ้านอีก แกกัดฟันกรอดบอกฉันว่าจะย้ายตำแหน่งอยู่ทุกวัน ผลเป็นยังไง ผลก็คือ ‘พรุ่งนี้’ ตลอด สองคำนี้แบกรับความผิดแทนแกไว้นะ” โหยวฉีพูดแล้วก็ของขึ้น ตบโต๊ะอย่างอดไม่อยู่ “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เขาเป็นคนที่แย่ขนาดนั้นทำไมแกยังลังเลตัดสินใจไม่ได้อีก!”
หนิงเหมิงขยุ้มศีรษะ ใช้เล็บเกาไปที่เซลล์สมองใต้หนังศีรษะ ให้พวกมันช่วยหาคำตอบของโหยวฉีที่ตะโกนถามอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ จริงๆ แล้วเจ้านายพันธุ์ลาของฉันก็ไม่ใช่ว่าจะหาดีอะไรไม่ได้ขนาดนั้น อย่างเช่นแม้เขาจะขี้โมโห ดื้อเหมือนลา ชอบตะคอก ชอบให้วิญญาณหม่าจิ่งเทาเข้าสิง แต่ตอนที่เขาตะคอกก็ไม่เคยพูดคำหยาบ โดยเฉพาะพวกอวัยวะอะไรพวกนั้น แม้ว่าปกติจะมีอาการเจ้านายกำเริบอยู่บ่อยๆ ถ้าจมูกไม่เชิดขึ้นไปสูงถึงสองเมตรแปดสิบก็จะตายซะให้ได้ แต่ที่เขาเยอะน่ะ เขาก็มีดีให้เยอะ แล้วก็มีความสามารถจริงๆ ฉันทำงานอยู่กับเขานอกจากต้องเป็นแม่บ้านให้เขา ก็ยังได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจจากเขาไม่น้อยเลย”
หนิงเหมิงกระตุ้นหนังศีรษะจนคึกคักเกินเหตุ เธอพูดไปแล้วก็ติดลมพูดไม่หยุด
“เมื่อกี้แกพูดถึงสตอกโฮล์มซินโดรม จริงๆ แล้วฉันก็รู้สึกว่าผู้บริหารระดับสูงในบริษัทก็มีอาการนี้เหมือนกันหมด ที่เห็นชัดเจนก็คือบางครั้งทุกคนก็จะรีบวิ่งไปให้ลู่จี้หมิงสั่งสอน ส่วนลู่จี้หมิงเวลาตวาดคนก็โอเวอร์มาก แต่ก็ปากอย่างใจอย่าง ยิ่งพูดโหดแค่ไหนใจก็ยิ่งอ่อนยิ่งเมตตา”
เธอพูดติดลมไม่ยอมหยุด และไม่รู้เลยว่าที่ตัวเองพูดออกมามากมายขนาดนี้ก็เป็นเพราะได้คิดทบทวนก่อนที่จะจากกัน เวลาต้องแยกจากกันจึงคิดถึงแต่เรื่องดีๆ
โหยวฉีโดนบทความยาวๆ ของหนิงเหมิงย้อนจนอึ้งไปนิดหน่อย ได้แต่กะพริบตาปริบๆ หลายครั้งเหมือนกับเป็นไอ้โง่ จากนั้นเธอก็กล่าวขึ้น
“ฟังแล้วกลับดูเหมือนเป็นคนที่บุคลิกซับซ้อนแต่ก็ดึงดูดคนมาก! มิน่าล่ะแกถึงได้ผัดวันประกันพรุ่ง เฮ้อ อาเหมิง เจ้านายแกหน้าตาเป็นยังไง มีรูปไหม ส่งมาให้ฉันดูหน่อยสิ”
หนิงเหมิงย้อนคิดถึงคำพูดที่โหยวฉีบอกว่า ‘ดึงดูดคน’ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เธอเปิดหน้าเว็บอย่างใจลอย ค้นหาภาพของหรูฮวา* ส่งออกไป
โหยวฉีที่อยู่หน้ากล้องสับสนจนทำใบหน้าสวยๆ ขมวดเข้าหากันด้วยหลากหลายความรู้สึก “ดูแล้วหน้าคุ้นๆ นะ!”
ใบหน้าอันงดงามของโหยวฉีที่อยู่หน้ากล้องแสดงอารมณ์ที่สับสนผสมกันออกมา
หนิงเหมิงพูดอย่างกลบเกลื่อนไปว่า “คนที่หน้าตาขี้เหร่ก็คงจะดูคล้ายๆ กันล่ะมั้ง”
โหยวฉีแยกเขี้ยวร้องเชอะๆ “หนิงเหมิง ฉันขอร้องนะ ต่อให้เจ้านายแกจะมีบุคลิกที่มีเสน่ห์มากขนาดไหน ฉันขอร้องล่ะ แกอย่าไปหลงเขานะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เสียดายหน้าตาสวยๆ หุ่นดีๆ ของแกแย่เลย”
นี่ก็ย้อนกลับมาให้เธอต้องกลอกตา “คนสวย แกอย่าจับคู่ผิดประเภท ฉันเป็นคน เขาเป็นลา ไม่เหมาะสมกันหรอกนะ”
โหยวฉีถลึงตามอง “ยังดีที่เขาหน้าตาแบบนี้ ไม่อย่างนั้นที่แกผัดวันประกันพรุ่งอยู่แบบนี้ฉันก็เข้าใจว่าแกแอบหลงรักเจ้านาย! เพราะเรื่องแอบหลงรักเนี่ย งานถนัดของแกเลย อาเหมิง รับปากฉันนะ พรุ่งนี้จะต้องไปพูดกับเขาว่าแกต้องการย้ายตำแหน่ง!”
หนิงเหมิงคิดถึงการแต่งกายของสองสาวเก่งที่เธอเจอเมื่อตอนกลางวัน เธอกำสองมือแน่นพร้อมพยักหน้าแรงๆ
“พรุ่งนี้ฉันต้องไปพูดกับเขา ถ้าไม่พูดฉันก็เป็นลาตัวเมีย!”
เช้าวันรุ่งขึ้น หนิงเหมิงรีบเข้าไปในห้องทำงานของลู่จี้หมิงทันทีที่มาถึง
ลู่จี้หมิงทำท่างงๆ ที่อยู่ๆ ก็เห็นเธอเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้า
“ผมเรียกคุณแล้วเหรอ”
ในเวลาสั้นๆ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วคลายออก ขมวดแล้วก็คลาย ความรู้สึกประมาณว่าในเมื่อคุณมาแล้วผมก็เรียกใช้คุณเลยแล้วกัน
เขาสั่งขึ้น “กาแฟร้อน ใส่น้ำตาล” หยุดไปครู่หนึ่งก็อดที่จะกำชับไม่ได้ว่า “ของจริงนะ! อย่าชงชามาให้ผม”
หนิงเหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ลู่จี้หมิงก้มหน้าลงพลิกเอกสารไปสองหน้าแล้วก็เงยหน้าขึ้น เห็นหนิงเหมิงยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าแสดงออกว่าตัดสินใจแน่วแน่และไม่คิดจะขยับไปไหนด้วย
เขาปาปากกาลงบนโต๊ะ
“ว่ามา เรื่องอะไร”
หนิงเหมิงยกมือขึ้นดันแว่นตา หลังมือของเธอแดงเป็นปื้นเพราะเมื่อครู่ใช้เล็บมืออีกข้างขูดโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางของเธอดูสงบนิ่ง แต่เธอไม่รู้ตัวว่าหลังมือที่โดนเล็บขูดจนเป็นรอยแดงชัดเจนมากบ่งบอกถึงความตึงเครียดภายในใจของเธอ
“ประธานลู่” หนิงเหมิงพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองแหบเพราะหัวใจที่เต้นเร็ว “สามปีก่อนตอนที่ฉันมาสัมภาษณ์งาน ที่จริงฉันต้องการจะทำงานในแผนกโปรเจ็กต์ลงทุน ฉันวางแผนในอาชีพการทำงานไว้ว่าตัวเองจะมีโอกาสเป็นผู้อำนวยการการลงทุนระดับเหรียญทอง แต่จับพลัดจับผลูต้องกลายมาเป็นเลขาฯ ของคุณ ตอนนี้ฉันทำงานเลขาฯ มาสามปี ด้วยตำแหน่งนี้ไม่มีอะไรใหม่ให้ฉันเรียนรู้ได้อีกแล้ว ดังนั้นฉันอยาก…จะลาออกจากตำแหน่งเลขาฯ ย้ายไปทำงานที่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุน…”
ขณะที่หนิงเหมิงพูดอยู่นั้นใบหน้าของลู่จี้หมิงก็หดเหมือนหนังวัวถูกน้ำ หดหนักขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ใบหน้าที่ตึงเครียดนั้นเขาได้เก็บอารมณ์เอาไว้เพื่อรอจังหวะที่จะระเบิดออกมา
“จับ-พลัด-จับ-ผลู?!” ลู่จี้หมิงเค้นเสียงออกมาทีละคำ
หนิงเหมิงรู้สึกตัวทันทีว่าตัวเองใช้คำที่ตรงเกินไป
“ประธานลู่ฉันพูดผิดค่ะ เป็นสวรรค์ให้โอกาส…”
ลู่จี้หมิงหัวเราะเสียงเย็น เขาทิ้งตัวเอนไปข้างหลัง เงยหน้าไปพิงพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่ ใช้จมูกมองหน้าคนอย่างดูถูก ในน้ำเสียงคุกรุ่นไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการตอบโต้คำว่าจับพลัดจับผลูโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นและออกคำสั่ง
“คุณทำเรื่องลงทุนไม่ได้หรอก อย่าฝันเฟื่อง ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ให้ผมก็พอแล้ว”
หนิงเหมิงถูกกระตุ้นเข้าให้แล้ว เธอถูหลังมือพลางกล่าวยืนยันว่า “แต่ฉันต้องการเป็นผู้อำนวยการการลงทุนค่ะ!”
ลู่จี้หมิงหมดความอดทน ใช้นิ้วเคาะไปที่โต๊ะเสียงดังตึกๆ สองครั้ง เหมือนกับจะใช้ปลายนิ้วส่งเสียงออกมาว่าหุบปาก
“อย่าวุ่นวายจะได้ไหม ให้มันเบาๆ หน่อย” หยุดไปพักหนึ่งแล้วเขาก็จำใจเสนอเงื่อนไขปลอบใจ “เดี๋ยวขึ้นเงินเดือนให้สองเท่า”
ดวงตาหนิงเหมิงที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาเป็นประกายขึ้น เงินทำให้เธอหวั่นไหวไปชั่วขณะ แต่เมื่อคิดถึงสืออิงกับสวี่ซือเถียนที่เดินอยู่หน้าเธอวันนั้น อ่อนช้อยแต่แข็งแกร่ง พูดคุยกับพวกผู้ชายได้ในระดับเดียวกัน ท่ามกลางกระแสของการเงินที่ไหลบ่าก็ปลดปล่อยความคิดอันแข็งแกร่ง รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร…
นั่นคือสิ่งที่เธออยากจะเป็นต่างหาก
หนิงเหมิงกลืนน้ำลาย ยืนยันว่า “คุณอย่าเอาเงินมาฟาดหัวฉัน!”
ลู่จี้หมิงทำท่าเหมือนคิดไม่ถึงที่เลขาฯ ผู้อ่อนน้อมและเชื่อฟังคำสั่งมาตลอดกลับดื้อรั้นไม่สนใจแม้แต่เงิน นี่มันไม่รู้จักแยกแยะดีร้ายจริงๆ
สายตาเขาคมดังมีด ถลึงตามองหนิงเหมิง
สายตาที่เขามองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับมีบาดแผลเลือดออกไปทั่วตัว พาให้รู้สึกด้านชาไปหมดทุกส่วน
ผ่านไปครู่ใหญ่ลู่จี้หมิงก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา จ้องมองหนิงเหมิงพลางพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “คุณต้องขัดผมให้ได้ใช่ไหม รู้ไหมว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง สักวันคุณจะไม่มีทางไป ต้องนั่งร้องไห้ขอกลับมาเป็นเลขาฯ ให้ผมอีก!”
หนิงเหมิงก้มหน้าลงสูดหายใจลึกแล้วก็เงยหน้า เชิดหน้าขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้วพูดอย่างยืนหยัด
“สักวันฉันต้องทำให้คุณเรียกฉันว่า ผอ. หนิงให้ได้!”
เชิงอรรถ
* EMBA ย่อมาจาก Executive Master of Business Administration เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สูงกว่าปริญญาตรีทางด้านธุรกิจ ที่ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่มีประสบการณ์การทำงานเป็นหลัก
* การปฏิรูปหุ้น คือการเปลี่ยนหุ้นที่ไม่หมุนเวียนให้เป็นหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นที่เท่าเทียมกัน มีเฉพาะที่ประเทศจีนเท่านั้น เนื่องจากหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกของจีนเป็นบริษัทที่รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐบาลถือหุ้นใหญ่
* เป่ยเพียว หมายถึงคนที่มาจากเมืองอื่นแล้วพยายามที่จะดำรงชีวิตอยู่ในปักกิ่งเพื่อหวังหาโอกาสที่ดีในอนาคต
* เหมยเฉาเฟิง ตัวละครในมังกรหยกภาค 1 ซึ่งเป็นหญิงผมยาวรุงรังและตาบอด เป็นลูกศิษย์ของหวงเย่าซือ ตัวละครฝ่ายอธรรม
* วอลล์สตรีต หมายถึงตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
* Stockholm Syndrome เป็นอาการของคนที่ตกเป็นเชลยหรือตัวประกันเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่เป็นคนร้ายหลังจากต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง และอาจจะลงเอยด้วยการปกป้องคนร้ายหรือยอมเป็นพวกเดียวกันด้วยซ้ำ
* หรูฮวา นักแสดงชาวฮ่องกงที่แสดงเป็นตัวตลกและทำหน้าตาขี้เหร่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.