บทที่ 71 ฉันไม่สนิทกับเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับเงื่อนไขที่หนิงเหมิงเสนอ ท้องของลู่จี้หมิงก็พองเต็มไปด้วยอากาศ พูดเหน็บแนมอย่างเจ็บใจ
“ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าตัวเองเริ่มต้นมาจากที่ไหน มีคอนเน็กชั่นมากไม่ขาดเงินแล้วใช่ไหม ไม่เห็นหัวกันแล้วใช่ไหม!”
ลู่จี้หมิงเอาความคับข้องใจที่มีอยู่เต็มท้องพ่นคำถามเรียงออกมาเป็นชุด ต้องการเพิ่มความรู้สึกผิดให้กับหนิงเหมิง
หนิงเหมิงตอบกลับด้วยเสียงเยาะเย้ยเบาๆ “เหอะๆ ใช่แล้ว ถูกต้อง ใช่เลย”
สำหรับคำถามที่เรียงกันออกมานั้น ถามมาเธอก็ตอบกลับไปว่าใช่ๆๆ
“ฉันยังไม่ขาดเงินจริงๆ มีคนเยอะแยะเอาเงินมาขอเป็นแอลพีจนเลือกไม่ถูกเลยว่าจะให้ใครก่อนดี กลุ้มใจจัง”
หนิงเหมิงพบว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำให้คนอกแตกตายเป็นอย่างดี
ใบหน้าของลู่จี้หมิงเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาโกรธจนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ตะคอกออกมาด้วยคำพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น
“คุณมันเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง”
หนิงเหมิงหัวเราะ “ท่านประธานลู่คะ หากพูดคุยกันอย่างงี้มันก็ไม่น่าฟัง คิดถึงตอนแรกที่คุณให้ฉันขอร้องคุณดูสิ ฉันไม่ได้พูดจาทำร้ายใครว่าคุณเป็นพวกไข่อายุยืนที่อาศัยไฟไหม้บุกปล้น**!”
สีหน้าโกรธอย่างต่อเนื่องของลู่จี้หมิงชะงักค้างไปหนึ่งวินาที ช่วงที่ชะงักค้างมีความว่างเปล่านี้ถูกเติมเต็มด้วยความสงสัย
“ไข่อายุยืนคืออะไร”
หนิงเหมิงตอบ “ไข่อะไรที่อายุพันปีนั่นไง”
ลู่จี้หมิงคิดตามคำว่าไข่พันปีอะไรนั่นต่อไป จนได้คำว่าไอ้ไข่ตะพาบ* ออกมา
เขาระเบิดลงแล้ว “เธอเข้าใจตั้งปริศนานะ บอกตรงๆ มาเลยคำเดียว จะแบ่งยอดให้ไหม!”
หนิงเหมิงไม่ตกหลุมเขา ทำอย่างกับนายโมโหแล้วฉันต้องง้อด้วย คนอื่นต้องยอมให้นายเหรอ เรื่องอะไร คนขี้โมโหมีเยอะแยะ นายคิดว่านายเป็นใคร
หนิงเหมิงแสดงทีท่าอย่างชัดเจน “เอาอย่างนี้แล้วกัน เรารู้จักกัน ยังไงฉันก็เคยเป็นเลขาฯ ของคุณมาสามปี ไม่ว่ายังไงโชคชะตาที่เลวร้ายก็ยังเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่ง ฉันให้โอกาสคุณ คุณเรียกฉันว่า ผอ. แล้วฉันจะเจียดโควตาการลงทุนให้คุณสักนิด”
ไร้เสียงตอบรับจากลู่จี้หมิง เขาหันหลังแล้วเดินจากไป แต่ละก้าวนั้นเหยียบลงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หนิงเหมิงมองแล้วรู้สึกสุขกายสบายใจเป็นพิเศษ
ดีจริงๆ ที่คุณก็มีวันนี้ด้วย
หลังจากเซ็นสัญญาความร่วมมือกับถังเจิ้งวั่งแล้ว หนิงเหมิงก็เริ่มต้นกำหนดโครงสร้างการลงทุน
ผู้ทำธุรกิจเครื่องแต่งกายอย่างถังเจิ้งวั่ง ผู้มีธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างประธานหวัง เกษียณแล้วเอาหุ้นไปค้ำประกันเอาเงินมาลงทุนอย่างประธานอู๋ สัดส่วนการลงทุนในฐานะแอลพีของทั้งสามเท่ากันคือหนึ่งต่อหนึ่งต่อหนึ่ง อิงสืออินเวสเมนต์ในฐานะจีพีร่วมก่อตั้งกิจการหุ้นส่วนจำกัดนำเงินไปลงทุนในบริษัทฮุ่ยมีเดีย ร่วมทุนในสัดส่วนร้อยละยี่สิบ
โครงสร้างการลงทุนออกมาแล้ว หนิงเหมิงก็แจ้งให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมตัวร่างสัญญาความร่วมมือร่วมลงทุน รอให้สัญญาฉบับร่างเสร็จสิ้นแล้วเธอก็ส่งให้กับนายทุนทั้งสามอ่าน ถ้าทุกคนล้วนเห็นว่าไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว ทุกฝ่ายก็ลงนามในสัญญาได้อย่างมีความสุข
ทุกอย่างราบรื่นไปหมด จนเหมือนราบรื่นเกินไป
ยิ่งไม่มีอุปสรรคใดๆ เลย ยิ่งทำให้หนิงเหมิงรู้สึกถึงสิ่งที่ผิดปกติบางอย่างขึ้นมา
เธอรู้สึกมาตลอดว่าหากมันเรียบง่ายเช่นนี้ต้องมีสิ่งที่ไม่น่าวางใจ ในสถานการณ์ที่ราบรื่นมักจะซุกซ่อนด้วยอุปสรรคอันใหญ่หลวงเอาไว้ หากตายใจเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ระวังก็อาจจะตกหลุมพรางปีนกลับขึ้นมาไม่ได้
หนิงเหมิงยิ่งเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเท่าตัว เกรงว่าหากไม่ระวังก็ราวกับแมลงเม่าบินเข้าไปตกหลุมพราง เรื่องที่ทำมาก่อนหน้าก็เป็นอันเสียเปล่า เธอจะให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะตนเองไม่ได้
บางครั้งหนิงเหมิงก็สงสัยสัมผัสที่หกของตนเองที่แม่นยำจนน่าขนลุก โดยเฉพาะสัมผัสที่หกกับเรื่องร้ายๆ ที่จะเกิดขึ้น
ผ่านไปสองวัน ขณะที่สัญญาความร่วมมือฉบับร่างวางอยู่บนโต๊ะของหนิงเหมิงนั้น เมื่อเธอรู้สึกว่าเรื่องความร่วมมือในที่สุดมันจะถึงจุดลงตัวแล้ว โทรศัพท์จากประธานอู๋ก็ดังขึ้นอย่างไม่คาดฝัน แล้วโทรศัพท์สายนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงลางสังหรณ์ล่วงหน้าและสัมผัสที่หกซึ่งถูกต้องแม่นยำ
ประธานอู๋นัดหนิงเหมิงให้มาเจอกันที่ร้านกาแฟใต้ตึกเพื่อหารือกัน
“โปรเจ็กต์ลงทุนครั้งนี้ยังมีรายละเอียดอีกนิดหน่อย ผมอยากจะยืนยันกับคุณอีกสักนิด”
หนิงเหมิงรีบลงไปข้างล่าง ก่อนจะลุกเธอยังหยิบสัญญาฉบับร่างติดตัวไปด้วย
ต่อมาความจริงก็พิสูจน์ว่าการกระทำของเธอมันมากเกินความจำเป็น
หลังจากทักทายกันง่ายๆ แล้ว ประธานอู๋ก็พูดเปิดอกกับหนิงเหมิงว่า “หนิงเหมิง ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงปัญหาหนึ่ง บริษัทมีเดียนี่แทนที่ผมจะเป็นผู้ลงทุนคนเดียวไปเลย ทำไมผมต้องร่วมลงทุนผ่านคุณด้วยล่ะ”
หนิงเหมิงตกตะลึงเป็นเวลาศูนย์จุดศูนย์หนึ่งวินาที ในชั่วพริบตาศูนย์จุดศูนย์หนึ่งวินาทีนี้ เธอเห็นขวากหนามงอกขึ้นบนเส้นทางที่ราบเรียบ
เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแจกแจงข้อเท็จจริงด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและรอบคอบ
“ประธานอู๋ นี่เป็นเพราะเป้าหมายการลงทุนนี้เป็นโปรเจ็กต์ของฉัน คุณไม่สามารถลงทุนได้ด้วยตัวเอง”
ประธานอู๋ออกเสียงว่า “โอ้?” ออกมา แสดงถึงความสงสัยต่อคำพูดของหนิงเหมิง “นั่นก็ไม่แน่หรอก เพราะคนออกเงินจริงๆ ก็คือผม พวกคุณออกเงินไหม”
ขณะที่พูดการแสดงออกบนใบหน้าของเขามันแสลงตาเธอเหลือเกิน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามีความรู้สึกเหนือกว่าที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณและมีความสุขที่ได้ดูถูกอีกฝ่ายจากก้นบึ้งของหัวใจ
หนิงเหมิงอดกลั้นอารมณ์ฉุนเฉียว เผยยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ประธานอู๋ ถูกต้องค่ะ คุณลองดูก็ได้ ติดต่อกับผู้รับผิดชอบโปรเจ็กต์นี้โดยตรง สอบถามดูว่าเขาสามารถแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้คุณได้ไหม”
หนิงเหมิงมีความเชื่อมั่นต่อคำมั่นสัญญาที่หลิ่วหมิ่นฮุ่ยได้ให้ไว้กับเธอ เธอเชื่อมั่นว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ติดต่อสอบถามกับหลิ่วหมิ่นฮุ่ย เขาจะบอกกับคนคนนั้นให้มาติดต่อสอบถามกับเธอโดยตรง
ประธานอู๋อารมณ์สงบลง เขาใช้ฝ่ามือตบหน้าขาที่นั่งไขว่ห้างแล้วพูดว่า “ผมมอบเงินลงทุนให้คุณ แล้วคุณก็จะลงทุนในโปรเจ็กต์นี้ มันไม่เหมือนกับการตัดชุดแต่งงานให้คุณ* เหรอ”
หนิงเหมิงหมดแรงเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าถึงแม้ประธานอู๋จะร่ำรวย แต่ความเป็นมืออาชีพของเขาในฐานะนักลงทุนยังคงต้องได้รับการเสริมสร้าง จริงๆ แล้วคำถามที่เขากำลังถามอยู่นี้ ที่จริงหนิงเหมิงได้บอกกับเขาอย่างชัดเจนในระหว่างการติดต่อครั้งแรก และในเวลานั้นเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ายอมรับโครงสร้างการลงทุนนี้ คิดไม่ถึงว่าใกล้จะถึงเวลาเซ็นสัญญา การยอมรับของเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบลอยผุดขึ้นมามากมาย
“ประธานอู๋ คุณจะเป็นคนตัดชุดแต่งงานให้ฉันได้อย่างไรกันคะ อันที่จริงแล้วในท้ายที่สุดคุณก็คือผู้ที่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนก้อนใหญ่!” หนิงเหมิงอธิบายอีกรอบอย่างอดกลั้น ตอนถอนทุนออกตัวเองก็จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณร้อยละยี่สิบกับค่าบริหารอีกเพียงน้อยนิดเท่านั้น ผลตอบแทนส่วนใหญ่ประธานอู๋เป็นคนได้รับไป
ประธานอู๋ยังคงแสดงออกว่าไม่ว่าคิดอย่างไรตัวเองก็ยังขาดทุน “พวกคุณก็ยังไม่ได้ออกเงิน แถมยังได้รับผลตอบแทนร้อยละยี่สิบอีกต่างหาก”
หนิงเหมิงยิ้มขมขื่นอย่างจนปัญญา “ประธานอู๋ ไม่ใช่ว่าทางเราไม่ออกเงิน ทางเราออกเงินนะ ที่สำคัญต่อให้ทางเราไม่ออกเงิน แต่โปรเจ็กต์ก็เป็นของเรา! นอกจากนี้ตั้งแต่การพัฒนาโปรเจ็กต์ไปจนถึงการดำเนินการลงทุน การจัดการหลังลงทุน และการถอนคืนในอนาคต ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ทางเราต้องจัดการ นอกจากนี้รูปแบบการดำเนินงานของกิจการหุ้นส่วนจำกัดนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ทางเราเอาเปรียบคุณ นี่เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์และใช้กันโดยทั่วไปในวงการ เนื่องจากกิจการหุ้นส่วนจำกัดไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล หลังจากแบ่งผลประโยชน์เสร็จแล้วค่อยจ่ายภาษี ดังนั้นใครๆ ก็ใช้วิธีการนี้”
ประธานอู๋ยังคงรู้สึกว่าตนขาดทุนกับการลงทุนครั้งนี้ “แต่ถ้าหากผมลงทุนเองตรงๆ และไม่เป็นแอลพีของพวกคุณ ไม่ว่าผลตอบแทนจะมากหรือน้อยก็เป็นของผมทั้งหมด”
หนิงเหมิงเริ่มรู้สึกว่าพูดไปก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ความหมายของประธานอู๋ก็ชัดเจนมาก เขาอยากจะเตะหนิงเหมิงออกไป อยากลงทุนเองโดยตรง หนิงเหมิงรู้สึกว่าพูดมากไปก็ไร้ค่า เธอฉีกยิ้มและมองไปยังประธานอู๋ด้วยสายตาเป็นมิตร
“ประธานอู๋คะ หากคุณต้องการลงทุนเองโดยตรง การดำเนินการนี้มันไม่เป็นผลแน่นอน คุณจะไม่ลองคิดดูอีกครั้งหรือคะ”
ประธานอู๋โบกมือขัดจังหวะหนิงเหมิง “ไม่ถูกละ หนิงเหมิง คุณเองต่างหากน่าจะคิดดูอีกครั้ง”
น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังสั่งสอนลูกน้องในบริษัทก่อนที่ตนจะเกษียณ
หนิงเหมิงไม่ได้ใส่ใจท่าทางการโบกมือที่ไม่ควรของอีกฝ่ายนัก เธอทำท่ายินดีรับฟัง
ประธานอู๋กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้คุณบอกผมว่าคุณตั้งใจลงทุนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของทุนในบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งนี้ ตอนนี้มันง่ายมากจริงๆ คุณรักษาไว้สิบเปอร์เซ็นต์ แล้วก็คุณใช้รูปแบบจีพีแอลพีอะไรนั่นไปลงทุน ที่เหลืออีกร้อยละสิบเอามาให้ผม ผมลงทุนเอง ผมก็ไม่ปล่อยให้คุณสละส่วนแบ่งสิบเปอร์เซ็นต์นี้โดยเปล่าประโยชน์ ผมทอนให้คุณห้าเปอร์เซ็นต์ของยอดลงทุนรวม ถือเป็นค่าแนะนำโปรเจ็กต์ ผมพูดตามตรงนะ ห้าเปอร์เซ็นต์นี้มันไม่น้อยเกินไปสำหรับคุณใช่ไหม และบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ก็มีมากมาย ผมไม่กลัวจะลงทุนไม่ได้ ดังนั้นคุณควรลองคิดดูดีๆ”
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่หนิงเหมิงทำโปรเจ็กต์มาที่ต้องเจอกับตัวเองถึงสถานการณ์รับเงินทอน
เธอไม่ทำตัวสูงส่ง แต่ก็ไม่อยากละทิ้งหลักการของตน ห้าเปอร์เซ็นต์ถือว่าเป็นเงินไม่น้อย ตัวเลขมันเย้ายวนไม่น้อยเลย เงินจำนวนนี้สามารถนำกลับไปตกแต่งบ้านให้พ่อแม่ได้เลย
แต่จำนวนเงินที่เย้ายวนนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหลักการของเธอได้ เธอยังไม่ยอมแลกความน่าเชื่อถือในอาชีพของตนที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเองกับเงินจำนวนน้อยนิดนี้
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยเชื่อมั่นในตัวเธออย่างมากถึงขนาดยอมตายเพื่อเธอ เธอไม่อาจจะนำเงินทอนห้าเปอร์เซ็นต์มาตอบแทนความเชื่อมั่นของเขาที่ยอมสละได้แม้เลือดเนื้อของตนที่มีต่อเธอ
อย่างมากก็หานายทุนใหม่ก็สิ้นเรื่อง ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้หรอก อาจจะต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการติดต่อผู้ให้ทุนอีกครั้ง โปรโมตข้อมูลโปรเจ็กต์อีกครั้ง และสร้างความมั่นใจในความร่วมมืออีกครั้ง แต่สิ่งนี้ยังดีกว่าการสูญเสียหลักการและการควบคุมของตนเองไป
นี่คือสิ่งที่หนิงเหมิงพูดกับตัวเองเมื่อเธอขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน หนิงเหมิงคาดเดาว่าแผนการร่วมมือนั้นไม่มีโอกาสที่จะแสดงและไม่จำเป็นต้องแสดงให้ประธานอู๋ดู
เช่นนั้นแล้วจะเชิญใครมาทดแทนตำแหน่งแอลพีที่สูญเสียไปดีล่ะ
หนิงเหมิงได้แต่ครุ่นคิดปัญหานี้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงเวลาเลิกงานกลับบ้าน
ในหัวของเธอกำลังกลั่นกรองคอนเน็กชั่นที่เธอมีไปทีละคนๆ เมื่อพิจารณาในแวบแรกดูเหมือนว่าจะเหมาะสมกันทุกคน แต่ในไม่ช้าเธอก็พบรายละเอียดที่ไม่เหมาะกับอีกฝ่ายและตัดคนผู้นี้ออกจากตัวเลือก
หนิงเหมิงหลับไปอย่างกระวนกระวายทั้งคืน วันรุ่งขึ้นขณะที่เธอเดินเข้าห้องน้ำแปรงฟันนั้น มือถือที่วางไว้ตรงชั้นวางของก็ดังขึ้นมา
เธอคว้ามือถือขึ้นมามอง ไม่คาดคิดว่าจะเป็นถังเจิ้งวั่ง
หนิงเหมิงหยุดแปรงฟันในทันที กดรับโทรศัพท์ทั้งที่ยังอมแปรงสีฟันอยู่ในปาก
ในสายโทรศัพท์ถังเจิ้งวั่งใช้น้ำเสียงที่ยิ้มแย้มในการเจรจาและสอบถามอย่างมีความคิดอะไรแอบแฝงอยู่
“หนิงเหมิง พูดไปเราสองคนก็รู้จักกันมานาน ผมก็อายุปูนนี้แล้ว ถ้าเปิดปากขออะไรคุณสักหน่อย คุณจะพิจารณาและตกปากรับคำได้ไหม คุณว่าแบบนี้จะเป็นไปได้รึเปล่า คือ…คุณสามารถเพิ่มวงเงินการลงทุนของผมเป็นสองเท่าได้ไหม อย่างไรซะถ้าผมจะลงทุนทั้งที ตอนนี้ผมเงินเหลือก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร คุณก็ยอมเพิ่มโควตาการลงทุนให้ผมเถอะนะ!”
หนิงเหมิงจ้องมองตัวเองในกระจกอย่างตะลึงงันพร้อมแปรงสีฟันที่อมอยู่ในปาก
โอ้ ไม่คุ้มที่ต้องใต้ตาดำไปเกือบครึ่งหน้าเลย
ดูสิ โชคดีวิ่งมาหล่นใส่หัวซะอย่างงั้น
โครงสร้างการลงทุนของฮุ่ยมีเดียสุดท้ายก็เป็นถังเจิ้งวั่งและประธานหวังเจ้าของอีคอมเมิร์ซ สัดส่วนคือสองต่อหนึ่งในฐานะแอลพีทั้งคู่ บริษัทอิงสืออินเวสเมนต์ลงทุนในฐานะจีพีโดยใช้รูปแบบกิจการหุ้นส่วนจำกัดนำเงินเข้าลงทุนในบริษัทฮุ่ยมีเดีย โดยถือหุ้นในสัดส่วนจำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ด้วยโครงสร้างการลงทุนนี้ต่อไปก็ไม่มีความวุ่นวายอะไรอีก ขั้นตอนต่อไปก็ดำเนินการไปอย่างราบรื่น ก่อนสิ้นปีหนิงเหมิงดำเนินการการลงทุนในบริษัทฮุ่ยมีเดียเสร็จเรียบร้อย
หลังจากดำเนินการการลงทุนเสร็จเรียบร้อย หลิ่วหมิ่นฮุ่ยพาอันจงมาที่บริษัทหนิงเหมิงเพื่อแสดงความขอบคุณ เวลาใกล้เที่ยงแล้วหนิงเหมิงจึงเชิญพวกเขาไปทานมื้อเที่ยงกันที่ชั้นล่างของอาคาร
หลังจากกินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จหนิงเหมิงก็ส่งพวกเขาออกจากอาคารสำนักงาน เธอถามพวกเขาว่าจะกลับอย่างไร ขับรถมารึเปล่า
อันจงกลับตอบแบบเศร้าสร้อยว่า “ใครจะกล้าขับมาที่บริษัทที่ตั้งอยู่ในทำเลทองอย่างนี้ล่ะ ถ้าขับมาแล้วจะขับออกไปเราต้องติดค้างอยู่ในวงแหวนที่สองทั้งวัน! ผมน่ะนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปเป็นเพื่อนประธานหลิ่วดีกว่า”
หนิงเหมิงยิ้มพร้อมกับเดินไปส่งพวกเขาที่สถานีรถไฟใต้ดิน
ระหว่างทางที่เดินไปยังสถานีหลิ่วหมิ่นฮุ่ยก็เข้ามาถามหนิงเหมิง “คุณยังโสดอยู่รึเปล่า”
หนิงเหมิงตอบอย่างใจกว้าง “ใช่ค่ะ ฉันยังโสดอยู่”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยขยับกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแรงของเขาผ่านเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายบางๆ ด้วยใบหน้าที่มีความสุข
“บังเอิญจัง ผมก็ยังโสด! งั้นผมขอจีบคุณตอนนี้เลยได้ไหม ตอนนี้เรื่องลงทุนก็เสร็จสิ้นแล้ว หากผมเริ่มจีบคุณตอนนี้ก็ไม่น่ามีข้อครหาว่าลงทุนเพราะหลงเสน่ห์ผู้ชายแล้วล่ะสิ?”
หนิงเหมิงหัวเราะพรืดออกมา ชายหนุ่มกล้ามโตแสนน่ารัก
อังจงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่มองบน “บอสครับ เลิกเถอะ ถ้าเห็นแก่เสน่ห์ผู้ชายอันน้อยนิดของคุณ โปรเจ็กต์นี้มันคงล่มไปแล้ว!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยหันขวับไปที่เขา “หุบปาก! ฉันไม่หล่อ ไม่เท่หรือไง ไร้ซึ่งความเป็นชายชาตรีงั้นเหรอ”
อังจงยิ้มเย็นอย่างไม่ไว้หน้า “หนุ่มหล่อรอบตัว ผอ. หนิงออกจะเยอะแยะ เข้าใจไหม นี่ คุณดูคนที่เดินมาทางเราคนนั้นสิ รูปร่างหน้าตาออร่าเขาก็ดูกินขาด ทิ้งคุณไปสิบช่วงตัวแล้ว!”
หนิงเหมิงมองไปข้างหน้าตามที่อันจงพูด เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
ลู่จี้หมิงสองมือล้วงกระเป๋าวางมาดเท่เดินตรงเข้ามาราวกับนายแบบนานาชาติที่เดินอยู่บนรันเวย์
เขาเดินมาข้างหนิงเหมิง ศีรษะไม่หัน สายตาไม่สั่นไหว ฝีเท้าไม่หยุด เหมือนเขาไม่รู้จักหนิงเหมิงแล้วเดินผ่านเธอไป
หนิงเหมิง “…?”
นี่กำลังทำเป็นเท่แบบไหนกัน
หนิงเหมิงคร้านที่จะไปมองคนบ้านั่น เธอหันไปยิ้มกับอันจงแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเขาคนนั้นจะหน้าตาเป็นยังไงฉันก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เราไม่สนิทกัน”
ดวงตาหลิ่วหมิ่นฮุ่ยมีประกายความหวังฉายขึ้นมาอีก “อันที่จริงมองดีๆ รูปร่างหน้าตาผมก็ใช้ได้นะ…”
คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ลู่จี้หมิงที่เพิ่งเดินผ่านไปจู่ๆ ก็หันหลังกลับมา
เขาเดินมาตรงหน้าหนิงเหมิง เอ่ยถามออกมาอย่างให้คนอื่นเข้าใจผิด “เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันไหม”
หนิงเหมิง “…?”
กลับด้วยกันกับลุงนายสิ!
หนิงเหมิงรู้ว่าลู่จี้หมิงตั้งใจถามแบบนั้นเพื่อแก้แค้นที่เมื่อสักครู่เธอบอกว่าไม่สนิทกับเขา
เธอไม่สนใจลู่จี้หมิงแล้วหันไปอธิบายให้หลิ่วหมิ่นฮุ่ยฟัง “ฉันอยู่ห้องตรงข้ามเขา อย่าเข้าใจผิดนะคะ!”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยพูดด้วยความน้อยใจและไม่แน่ใจ “แต่คุณเพิ่งบอกว่าคุณสองคนไม่สนิทกันนิ…”
หนิงเหมิงรีบถามขึ้นว่า “คุณสนิทกับเพื่อนบ้านไหม”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยได้ฟังประโยคนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที จริงด้วย นี่มันสมัยไหนแล้ว ใครจะสนิทกับเพื่อนบ้านกันอีก หากเป็นอย่างงั้นก็ผิดปกติ ไม่ทันสมัยแล้วอะสิ
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยหันกลับมาถามลู่จี้หมิงนิ่งๆ ว่า “ผมโสด คุณโสดหรือเปล่า”
ลู่จี้หมิงโต้ตอบทันทีว่า “โสดสิ แต่คุณอย่ามาคิดอะไรกับผมนะ”
หลิ่วหมิ่นฮุ่ยไม่สนใจเขา หันกลับไปมองหนิงเหมิง “ถึงแม้เขาจะโสดแล้วคุณก็โสด แต่ว่าทั้งสองคนไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน ส่วนผมโสดคุณก็โสด…ก็เป๊ะเลย! หนิงเหมิง ผมจะเริ่มจีบคุณแล้วนะ พรุ่งนี้จะส่งดอกไม้มาให้คุณ!” หลิ่วหมิ่นฮุ่ยมีความสุขกระชุ่มกระชวยขึ้นทันที พูดว่าจะจีบหนิงเหมิงต่อหน้าลู่จี้หมิงที่ทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ด
อันจงลากหลิ่วหมิ่นฮุ่ยออกไป “บอส ผมว่าเราอย่าทำเรื่องขายหน้าเลย เพื่อนบ้านของ ผอ. หนิงยังคงอยู่ที่นี่นะ” เขาลากหลิ่วหมิ่นฮุ่ยออกไป ขณะเดินอยู่ก็ตะโกนบอกกับหนิงเหมิงว่า “อย่าจริงจังนะนายทุน เขาต้องออกอาการเป็นบ้าเดือนละสองสามครั้ง!”
สิ้นสุดเสียงนั้นอันจงก็ลากหลิ่วหมิ่นฮุ่ยเข้าไปในสถานีรถไฟใต้ดิน
เหลือเพียงแต่หนิงเหมิงและลู่จี้หมิงจ้องกันไปจ้องกันมา
ในใจของหนิงเหมิงอยากค้นหาปมข้อสงสัยเล็กๆ ที่ลู่จี้หมิงพูดว่าเขายังโสด
เขายังไม่ได้พิชิตใจสาวในฝันของเขาอีกเหรอ
ประสิทธิภาพต่ำมากเลย ไม่ได้เรื่องจริงๆ
ลู่จิ้หมิงเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “คุณบอกว่าคุณไม่สนิทกับผม คุณหมายความว่าอะไรกันแน่”
หนิงเหมิงยังคงนิ่ง “หมายความตามที่พูด”
“พูดโกหกหน้าตายเลยนะ”
หนิงเหมิงยิ้มแล้ว “เอาล่ะ ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ คิดว่าเราทั้งสองสนิทสนมกันใช่รึเปล่า งั้นคุณลองบอกมาซิว่าความชอบส่วนตัวของฉันคืออะไร ฉันชอบสีเฉดไหน แล้วก็ฉันชอบอะไรมากที่สุด เกลียดอะไรมากที่สุด”
คำถามที่หนิงเหมิงรัวออกมาเป็นชุดทำให้ใบหน้าลู่จี้หมิงที่บูดอยู่แล้วยิ่งบูดหนักจนเหม็นเปรี้ยวไปเลย
“ไม่รู้สินะ งั้นเรียกว่าสนิทไหม” หนิงเหมิงตอบโต้ออกไปแล้วก็หันหลังเดินกลับไปที่สำนักงานก่อน
ลู่จี้หมิงยืนอยู่ที่เดิมมองแผ่นหลังของหนิงเหมิง แล้วก็พบว่าเขายังไม่สนิทสนมกับเธอจริงๆ
เชิงอรรถ
** อาศัยไฟไหม้บุกปล้น เป็นสำนวน หมายถึงอาศัยจังหวะที่ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง มีที่มาจากตำราสามสิบหกกลยุทธ์ กลยุทธ์ข้อที่ห้า เมื่อศัตรูได้รับความเสียหายหนัก จงอาศัยจังหวะนี้เพื่อเอาชนะ กองกำลังของผู้ที่เข้มแข็งกว่าย่อมเอาชนะผู้ที่อ่อนแอได้
* ไข่ตะพาบ หมายถึงสารเลว เนื่องจากตะพาบเป็นสัตว์อายุยืน หนิงเหมิงจึงเปรียบว่าเป็นไข่พันปี
* มาจากสำนวน ‘ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น’ หมายถึงออกแรงทำทุกอย่าง แต่สุดท้ายผู้อื่นได้รับประโยชน์ ตัวเองกลับไม่ได้อะไร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.