X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่านหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม 5 บทที่ 340-บทที่ 341

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 340

เฉียวเจาตวัดสายตามองปิงลวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ปิงลวี่เกาท้ายทอย “น่าแปลกนัก ก่อนหน้านี้มันยังพูดคำว่าสมดังปรารถนาอยู่ชัดๆ เลยนะเจ้าคะ”

สาวใช้น้อยพูดพร้อมกับเคาะกรงนกเบาๆ “สมดังปรารถนา สมดังปรารถนา”

นกขุนทองเอียงคอมองหน้าปิงลวี่ “สมดังปรารถนา”

ปิงลวี่หิ้วกรงนกไปตรงหน้าเฉียวเจาอย่างตื่นเต้นคึกคัก “คุณหนู ท่านได้ยินแล้วกระมัง เป็นคำว่าสมดังปรารถนา”

เจ้านกขุนนางจ้องเฉียวเจาตาเขม็ง “น้องหญิง น้องหญิง”

เฉียวเจาอึ้งงัน “…”

ปิงลวี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ นางขบคิดเล็กน้อยแล้วตบมือกล่าวขึ้น “ข้าทราบแล้ว นกตัวนี้พูดกับแต่ละคนไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ”

“เอามันแขวนไว้ใต้ชายคาก่อนเถอะ” เฉียวเจาบอกเสียงเรียบ

เซ่าหมิงยวนมอบนกขุนทองที่ส่งเสียงเรียก ‘น้องหญิง’ ให้นางตัวหนึ่ง นี่คิดจะทำอะไรกันแน่

 

ตกดึกเฉียวเจานอนไม่หลับ เหม่อมองตะขอเงินเกี่ยวม่านเหนือเตียงอย่างใจลอย ภาพความทรงจำตอนอยู่ร่วมกับหมอเทวดาหลี่หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองเป็นฉากๆ ราวกับสายน้ำ

ตอนกลางวันอยู่ที่จวนกวนจวินโหว นางเสียใจมากเกินไปจนลืมซักถามเซ่าหมิงยวนอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร นางไม่เชื่อว่าผู้เก่งกาจประหนึ่งเทพเซียนเช่นท่านปู่หลี่จะโชคร้ายปานนั้น

ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปถามเขาให้ละเอียดแจ่มแจ้ง

เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งกอดผ้าห่มผืนบางๆ อย่างเหม่อลอยกลางผืนราตรีสงัดเงียบนานครู่หนึ่งถึงลงจากเตียงไปรินน้ำ

อาจูที่นอนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็เดินเข้ามา นางรีบบอก “คุณหนู ข้ารินให้เองเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้อง เจ้าไปนอนเถอะ” เฉียวเจาห้ามอาจูไว้ นางรินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่ง กุมด้วยสองมือพลางนั่งลงบนเก้าอี้

ด้วยเด็กสาวมีเรือนกายเล็กและบอบบาง นางนั่งบนเก้าอี้แล้วดูเหมือนซุกตัวอยู่บนนั้นมากกว่า สองเท้าของนางเปลือยเปล่า ดูปล่อยตัวตามสบายอย่างที่อาจูไม่เคยเห็นมาก่อน

อาจูยืนอยู่กับที่ไม่ขยับตัว

เฉียวเจาดื่มน้ำคำหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ นางถอนใจเฮือก ชี้ที่เก้าอี้ด้านข้างพลางกล่าวว่า “นั่งสิ”

อาจูจรดฝีเท้าเบาๆ เดินมานั่งลงเป็นเพื่อนเฉียวเจาอย่างเงียบเชียบ

“อาจู หมอเทวดาหลี่ประสบเคราะห์ร้ายแล้ว” เฉียวเจาดื่มน้ำหมดถ้วยแล้วเอ่ยปากขึ้น

อาจูสะดุ้งสุดตัว มองเฉียวเจาอย่างตกตะลึง

เฉียวเจาเบือนหน้าไปมองนาง เผยรอยยิ้มที่เศร้าโศกยิ่งกว่าร่ำไห้ “เหนือคาดมากกระมัง”

“คุณหนู…”

เฉียวเจาหลุบตาลงเพ่งมองถ้วยกระเบื้องลายครามในมือ สีน้ำเงินสดบนถ้วยขับเน้นมือของนางให้ขาวยิ่งกว่าหยกขาว “จนตอนนี้ข้ายังเหมือนอยู่ในความฝันจนไม่อยากจะเชื่อ”

นางขดตัวอยู่บนเก้าอี้กล่าวประโยคนี้ด้วยหน้าตาซีดเผือด มือสั่นระริกไม่หยุด ดวงตาฉาบประกายน้ำวาวๆ ทว่าไม่มีน้ำตาไหลรินลงมา

ในค่ำคืนที่เงียบสงบผิดสามัญนี้ อาจูตระหนักขึ้นได้ในบัดดลว่าแท้จริงแล้วคุณหนูผู้เก่งกาจไปเสียทุกอย่างในความคิดของนางเสมอมายังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่เจริญวัยเต็มที่

อาจูลุกขึ้นเดินไปที่ข้างกายเฉียวเจา ยื่นมือโอบไหล่นางไว้อย่างห้ามใจไม่อยู่

นางรู้ว่าทำเช่นนี้เป็นการอาจเอื้อมล่วงเกิน ทว่าเวลานี้นางเพียงอยากโอบกอดอีกฝ่ายไว้อย่างนี้

ตัวของเฉียวเจาแข็งเกร็งไปก่อนจะผ่อนคลายลง จากนั้นนางเอาหน้าซุกอกอาจูเงียบๆ อยู่นาน

อาจูรู้สึกได้ว่าสาบเสื้อเปียกแฉะ แต่นางอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว

พักใหญ่ต่อมาเฉียวเจาลุกขึ้นยืน ถึงแม้ใบหน้ามีรอยชื้นๆ ทว่าสีหน้าสงบนิ่งมาก “อาจู ไปนอนเถอะ ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย”

อาจูไม่วางใจให้เฉียวเจาออกไปคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด นางเดินตามหลังไปเงียบๆ

เฉียวเจาย่างเท้าออกนอกห้อง

รัตติกาลในฤดูร้อน ผืนฟ้าไพศาลกว้างไกลสูงลิบประดับประดาด้วยแสงดาวดุจภาพฝัน ช่วยปลอบประโลมจิตใจของผู้ไม่อาจหลับใหลได้มากเท่าไรก็สุดรู้ กรงนกที่แขวนไว้ใต้ชายคาแกว่งไกวไปมาเบาๆ ตามแรงลมยามดึก

เฉียวเจาเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

นกขุนทองในกรงนอนหลับไปแล้ว สองเท้าของมันเกาะบนผนังกรง ปากคาบซี่ไม้ไผ่ที่ทำเป็นโครงกรงนก เพราะน้ำหนักตัวของมันเทไปด้านหนึ่งกรงก็เลยเอียงเล็กน้อย ทำให้รู้สึกว่ามันจะลื่นตกลงมาได้ทุกเมื่อ

ท่านอนชวนขันอย่างนี้ทำให้มุมปากของเฉียวเจายกขึ้นอย่างสุดระงับ นางยื่นมือไปแตะหัวมันเบาๆ

นกขุนทองตกใจตื่นทันที ตัวไถลตกลงไปบนพื้นกรง มันตะเกียกตะกายกระโดดขึ้นไปบนไม้คอน ดวงตาเล็กกลมดิกเขม้นมองคนที่รบกวนห้วงนิทราอันแสนสุขของมัน

“ขอโทษด้วย”

นกขุนทองจ้องหน้าเฉียวเจาชั่วครู่ก่อนอ้าปากออก “น้องหญิง ยิ้มให้ท่านพี่หน่อยสิ”

เฉียวเจานิ่งงัน “…”

ตกลงเซ่าหมิงยวนมอบนกขุนทองเช่นนี้ให้นางหมายความว่าอะไรกันแน่

แม่นางเฉียวกลับเข้าห้องเอนกายลงบนเตียงเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับไป

อาจูห่มผ้าห่มให้นางอย่างเบาไม้เบามือ แล้วถอยออกไปอย่างปราศจากสุ้มเสียง

ยามราตรีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวเจามิได้ลุกจากเตียงตรงเวลาดังเช่นที่ผ่านมา อาจูเดินย่องเข้ามาเห็นนางจับไข้จนสองแก้มแดงก่ำแล้วแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก

“คุณหนู…” อาจูเอามืออังหน้าผากผู้เป็นนาย สัมผัสที่ร้อนจนน่าตกใจทำให้มือของนางสั่นกระตุก

“คุณหนู ท่านตื่นสิ” อาจูเขย่าตัวเฉียวเจาเบาๆ เห็นนางไม่ตื่นก็รีบไปรายงานเหอซื่อ

เหอซื่อได้ยินแล้วร้อนใจเจียนคลั่ง รีบสั่งคนไปเชิญหมอตามคำเล่าลือในเมืองหลวงมาตรวจอาการให้เฉียวเจาทันที

“ท่านหมอ บุตรสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอลุกขึ้นยืนลูบเคราพลางกล่าว “บุตรสาวท่านกลัดกลุ้มกังวลเกินไป ธาตุไฟคั่งค้างรบกวนจิต ข้าเขียนใบสั่งยาให้นางเทียบหนึ่ง กินแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ข้อสำคัญคือต้องทำใจให้สบาย อย่ากลัดกลุ้มกังวล”

เหอซื่อพยักหน้าถี่รัว นางรอจนหมอออกไปเขียนใบสั่งยาตรงโถงห้องอีกฝั่งหนึ่ง ค่อยจับมือร้อนจัดของเฉียวเจาไว้พร้อมกับแอบเช็ดน้ำตา “เจ้าลูกผู้นี้ยังเด็กยังเล็กมีเรื่องกลุ้มใจอะไรกัน ตอนแม่อายุเท่าเจ้ายังไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘กลุ้มใจ’ เขียนเช่นไร”

เหอซื่อนั่งเฝ้าอยู่ตลอดจนใกล้เที่ยงวัน เฉียวเจาถึงลืมตาขึ้น

“เจาเจา เจ้าฟื้นได้เสียที ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

แววงุนงงในดวงตาเฉียวเจาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านแม่ เป็นยามอะไรแล้วเจ้าคะ”

“จวนเที่ยงวัน เจ้าหิวแล้วกระมัง แม่ให้คนต้มโจ๊กลูกบัวใส่ฝูหลิง*  ไว้ให้เจ้า แม่ป้อนเจ้ากินสักชามนะ”

“เที่ยงวัน?” เฉียวเจาตื่นเต็มตา “ข้านอนจนถึงเวลานี้เชียวหรือนี่”

“ใช่น่ะสิ ยาที่ท่านหมอสั่งให้เจ้าต้องป้อนให้เจ้ากินทั้งที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ แม่เป็นห่วงแทบแย่” เหอซื่อโอบเฉียวเจาพลางทอดถอนใจ “เจาเจาเอ๊ย บอกแม่มา เจ้าไม่สบายใจเพราะอะไรกันแน่”

“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เฉียวเจาพูดเสียงค่อย เรื่องพวกนั้นนางจะบอกกับท่านแม่ได้อย่างไร

เฉียวเจาพูดคำเดียวก็หันเหความสนใจของมารดาได้ดังคาด เหอซื่อกล่าวเร่ง “รีบไปยกโจ๊กมา”

อาจูตักโจ๊กลูกบัวใส่ฝูหลิงมารอท่าแต่แรก เหอซื่อยื่นมือรับไว้ “ให้ข้าป้อนเจ้าเถอะ”

“ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจายื่นมือไปรอรับชามโจ๊ก

เหอซื่อขึงตาใส่นาง “อยู่เฉยๆ”

เฉียวเจาไม่พูดอะไรอีก กินโจ๊กหมดทั้งชามอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วจะลุกขึ้น

“ไม่นอนลงดีๆ จะไปทำอะไรอีกหรือ” เหอซื่อยึดตัวนางไว้

“ท่านแม่ ข้าต้องไปจวนกวนจวินโหวเจ้าค่ะ”

เหอซื่ออ้าปากกว้าง “เจาเจา เจ้าไม่สบายอยู่ยังจะไปจวนกวนจวินโหวทำอะไร”

“ท่านปู่หลี่ให้ข้าใช้ตำรับยาที่ท่านทิ้งไว้ให้ช่วยรักษาใบหน้าของคุณชายเฉียวไม่ใช่หรือ ข้าต้องไปทุกวันเจ้าค่ะ”

ก่อนหน้านี้เฉียวเจาไปที่จวนกวนจวินโหวจะใช้ข้ออ้างนี้ เพราะคนทั้งสกุลเฉียวล้วนเคารพนับถือหมอเทวดาหลี่อย่างมาก ย่อมไม่มีเสียงทักท้วง

เมื่อได้รับถ่ายทอดความรู้จากผู้อื่น เป็นธรรมดาที่ต้องทำตามคำฝากฝังของเขาให้ลุล่วง นี่เป็นคติพื้นฐานในการประพฤติตน

ทว่าวันนี้เหอซื่อไม่ยอมแล้ว นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ปกติแม่ตามใจเจ้าเสมอ แต่วันนี้ไม่ได้ วันนี้เจ้าอย่าไปที่ใดทั้งนั้น อยู่กับเรือนพักรักษาตัวให้ดีๆ”

บทที่ 341

เฉียวเจาได้ยินเหอซื่อพูดดังนั้นก็ขานรับทันใด “เจ้าค่ะ”

เหอซื่ออึ้งไปนานครู่หนึ่ง บุตรสาวเชื่อฟังถึงเพียงนี้ นางไม่เคยชินเอาเสียเลย

รอหลังจากเหอซื่อออกไป เฉียวเจาหลับตาพักผ่อนเล็กน้อยถึงเอ่ยสั่งอาจู “ปรนนิบัติข้าผลัดชุดเถอะ”

อาจูหยิบเสื้อผ้าสำหรับสวมออกนอกเรือนมาเงียบๆ

เฉียวเจามองนางด้วยสายตาชมเชย “อาจู เจ้าเข้าใจผู้อื่นดี”

อาจูปรนนิบัตินางผลัดอาภรณ์พลางพูดเสียงเบา “ความจริงข้าเป็นห่วงสุขภาพของคุณหนูมาก แต่ข้ารู้ว่าท่านต้องไปแน่ แค่หวังว่าท่านอย่าลืมดูแลตนเองด้วยเจ้าค่ะ”

“วางใจเถอะ เรื่องในเรือนยังต้องให้เจ้าดูแลจัดการ ถ้าเกิดพวกนายหญิงมาหาข้า ก็บอกว่าข้าหลับไปแล้ว”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

จวบจนเฉียวเจาเตรียมตัวพร้อมสรรพและบอกกับปิงลวี่ว่าจะออกจากเรือน สาวใช้น้อยปิดปากด้วยความตกใจ “คุณหนู ท่านป่วยอยู่ยังจะไปจวนกวนจวินโหวอีกหรือเจ้าคะ”

“อย่ามัวชักช้าเสียเวลา ไปกันเถอะ”

นายบ่าวสองคนแอบออกไปเงียบๆ นั่งรถม้ามุ่งหน้าตรงไปยังจวนกวนจวินโหว

 

เซ่าหมิงยวนกับเฉียวโม่ดื่มน้ำชาอยู่ใต้ต้นไม้ในลานเรือนด้วยกัน สายตาของทั้งคู่ตวัดมองประตูลานเรือนเป็นระยะ

เฉียวเจามาสายทำให้ในใจพวกเขากระวนกระวายอยู่บ้าง

“พี่ใหญ่…”

“ว่าอย่างไร หว่านวาน?”

เฉียวหว่านทำปากยื่นอย่างน้อยใจ “พี่ใหญ่ ข้าเรียกท่านตั้งสองครั้งแล้วเจ้าค่ะ”

เฉียวโม่แย้มยิ้ม “ขอโทษด้วย เมื่อครู่พี่ใหญ่กำลังคิดเรื่องงานอยู่ หว่านวานมีอะไรหรือ”

“วันนี้พี่ใหญ่ไปดูขี่ม้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าขี่เองคนเดียวได้แล้วนะ”

เฉียวโม่ยกมือยีผมน้องสาว “หมู่นี้อากาศร้อนมาก รออีกสักระยะให้อากาศเย็นสบายขึ้นได้หรือไม่”

หมอเทวดาหลี่เคราะห์ร้ายจบชีวิตลง เขายังต้องหารือกับน้องสาวคนโตเรื่องสร้างสุสานหมวกกับอาภรณ์ให้ท่าน ไหนเลยจะมีแก่ใจเที่ยวเล่นกับน้องสาวคนเล็กเล่า

“ก็ได้เจ้าค่ะ” แม้ว่าเฉียวหว่านจะผิดหวังอยู่สักหน่อย แต่นางเชื่อฟังคำพูดของพี่ชายมาแต่ไหนแต่ไร จึงหันไปดึงแขนเสื้อของเซ่าหมิงยวนกล่าวว่า “เช่นนั้นพี่เขยไปเป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ หว่านวานอยากให้พี่เขยดูว่าข้าขี่ม้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เฉียวโม่ขมวดคิ้ว “หว่านวาน อย่ากวนใจพี่เขยของเจ้า เขาก็มีงานเหมือนกัน”

“พี่เขยมีงานอะไรหรือเจ้าคะ”

“พี่เขยกำลังรอคุณหนูหลีมาหารือเรื่องงาน หว่านวานไปเล่นก่อนเถอะ รอดวงอาทิตย์ตกดินแล้วพี่เขยไปขี่ม้ารอบหนึ่งกับเจ้าที่ลานฝึกยุทธ์” เซ่าหมิงยวนบอก

“ก็ได้เจ้าค่ะ” เฉียวหว่านเดินหน้าม่อยคอตกออกไป ระหว่างทางพบกับเฉียวเจาที่ตามองครักษ์เข้ามา

“หว่านวาน…” เฉียวเจาร้องเรียกคำหนึ่ง

เฉียวหว่านเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเจา เอ่ยทักทายว่า “พี่หลี” อย่างกะบึงกะบอนแล้วแม่นางน้อยก็ทำปากยื่นเดินจากไป

“ท่านแม่ทัพ คุณหนูหลีมาแล้วขอรับ” องครักษ์ยืนรายงานอยู่ตรงประตูลานเรือน

เซ่าหมิงยวนกับเฉียวโม่ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

เฉียวเจาทำมือบอกให้ปิงลวี่ไปพักผ่อนตามสบาย จากนั้นย่างเท้าไปหาพวกเขา “พี่ใหญ่ แม่ทัพเซ่า เมื่อคืนข้านอนหลับไม่สนิทเลยตื่นสายเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร คุณหนูหลีสมควรพักผ่อนให้มากๆ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปฝังเข็มให้แม่ทัพเซ่าก่อนดีกว่า” อันว่าหมอรักษาตนเองไม่ได้ อาการป่วยหนนี้ของนางเกิดจากเศร้าเสียใจเกินไป สิ่งสำคัญมิใช่กินยา แต่เป็นผ่อนคลายจิตใจและพักผ่อนให้เต็มที่ กระนั้นความรู้สึกโศกเศร้าระทมใจสามารถบรรเทาลงได้ในเวลาอันสั้นหรือ นางก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรจะทานทนไม่ไหว ดังนั้นทำเรื่องสำคัญให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันถึงเรื่องอื่น

ภายในห้องเงียบเชียบ เด็กสาวฝังเข็มเงินลงตรงตามตำแหน่งอย่างแม่นยำทีละเล่มด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ดูท่าทางไม่ผิดปกติใดๆ ทว่าไอร้อนที่แผ่ซ่านมาตามปลายนิ้วทำให้เซ่าหมิงยวนเป็นห่วง

“ดูสีหน้าคุณหนูหลีไม่สู้ดีเลย”

เฉียวเจามองเขาแวบหนึ่ง นางพูดเสียงเบา “ได้ยินข่าวอย่างนั้น เป็นธรรมดาที่จะหลับไม่สนิท”

“ข้าขอโทษ…”

เฉียวเจาอดหงุดหงิดไม่ได้ นางกล่าวเอื่อยๆ “ประสบภัยธรรมชาติเป็นความผิดของแม่ทัพเซ่าหรือไร นอกจากขอโทษ ท่านพูดอย่างอื่นไม่เป็นแล้วหรือเจ้าคะ”

พูดอย่างอื่น? บอกตามตรงเรื่องจะปลอบใจสตรีนางหนึ่งเช่นไร เขาไม่มีประสบการณ์อันใดจริงๆ

เซ่าหมิงยวนขบคิดอย่างจริงจังก่อนถามขึ้น “ของขวัญเมื่อวาน คุณหนูหลีถูกใจหรือไม่”

“ของขวัญ?”

“ก็นกขุนทองตัวนั้น เดิมทีมันชื่อว่าเสี่ยวเฮย ไม่รู้ว่าท่านตั้งชื่อเพราะๆ ให้มันหรือยัง…” สังเกตเห็นเด็กสาวเบื้องหน้าทำสีหน้าแปลกไป เซ่าหมิงยวนกลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอ

นกขุนทองตัวนั้นเปล่งเสียงเป็นคำพูดได้ อีกทั้งล้วนเป็นถ้อยคำมงคล หรือว่าคุณหนูหลีไม่ชมชอบ?

เฉียวเจามองบุรุษซึ่งทำหน้าเหลอหลาด้วยสายตาชอบกล นางเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพนึกอะไรขึ้นมาถึงมอบนกขุนทองให้ข้าเจ้าคะ”

แม่ทัพหนุ่มคิดคำนึงในใจ เพราะรู้สึกว่าท่านไม่ค่อยชื่นชอบแก้วแหวนเงินทองมากเท่าใดน่ะสิ

แน่นอนว่าคำกล่าวนี้เขาไม่มีทางพูดออกมา แม่ทัพหนุ่มกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนกล่าว “นกขุนทองตัวนั้นพูดจาได้ชวนหัวดี”

แม่นางเฉียวเลิกคิ้วขึ้นอย่างข่มใจ เรียกข้าว่าน้องหญิงตลอด นี่หรือคือที่เซ่าหมิงยวนเห็นว่าชวนหัว

“แม่ทัพเซ่าเคยได้ยินนกขุนทองตัวนั้นพูดแล้วหรือ”

เขาผงกศีรษะ “แน่นอน ข้าก็รู้สึกว่ามันพูดจาชวนหัวถึงมอบให้คุณหนูหลี หวังว่ามีมันเป็นเพื่อนท่านจะเบิกบานใจขึ้นบ้าง”

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”

“ท่านถูกใจก็พอ”

เฉียวเจาเก็บเข็มขึ้นแล้วเริ่มซักถามเรื่องของหมอเทวดาหลี่ “แม่ทัพเซ่า ขัดข้องหรือไม่ถ้าข้าจะขอดูสารด่วนของเยี่ยลั่วสักหน่อย”

ชายหนุ่มสวมเสื้อพลางกล่าว “อยู่ในห้องหนังสือ คุณหนูหลีตามข้ามาสิ”

ห้องหนังสืออยู่ไม่ไกลนัก นางตามเขาไปถึงที่นั่น มองปราดเดียวก็เห็นภาพวาดคนที่แขวนอยู่บนผนังฝั่งซ้าย

ในภาพเป็นสตรีชุดสีขาวยืนอยู่ข้างดอกจินอิ๋นช่อหนึ่ง มือจับดอกไม้ไว้ สีหน้าเฉยเมย นี่คือร่างเดิมของนางอย่างจะแจ้ง

เมื่อเห็นเฉียวเจามองภาพจนตาไม่กะพริบ เซ่าหมิงยวนจึงส่งเสียงเรียก “คุณหนูหลี?”

นางดึงสายตาคืนมา “ภาพนี้…”

“เอ่อ…ในภาพเป็นภรรยาข้าเอง” เขาบอกอย่างเปิดเผย

นางเหลียวหน้าไปมองภาพบนผนังซ้ำอีกคราอย่างอดใจไม่อยู่

เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “วาดได้ไม่ดีเท่าคุณหนูหลี”

“ข้าได้ยินว่าแม่ทัพเซ่าเดินทางไปออกรบในวันพิธีมงคล…”

เขาอาศัยแค่เห็นนางบนกำแพงเมืองเยี่ยนชั่วแวบนั้นก็วาดได้ถึงเพียงนี้ นางรู้สึกว่าหาได้ยากแล้ว

แววตาของเซ่าหมิงยวนหม่นแสงลง เขาเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูหลี นี่คือสารของเยี่ยลั่ว”

เฉียวเจารับสารไว้เงียบๆ นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่เต็มใจเอ่ยถึงเรื่องของภรรยาที่ล่วงลับไปมากกว่านี้

หลังอ่านเนื้อความในสารจบโดยไม่ตกหล่นสักคำ นางก้มหน้าไม่กล่าววาจานานครู่หนึ่ง

“คุณหนูหลี หักห้ามใจด้วย”

เฉียวเจากำแผ่นสารไว้ นางสงบอารมณ์อยู่เงียบๆ ก่อนเงยหน้ามองเขา “ในสารบอกว่าเรือของพวกเขาล่มเพราะโดนพายุซัด หลังเยี่ยลั่วฟื้นขึ้นมาก็อยู่บนเรือที่ผ่านทางมาลำหนึ่ง พูดอีกนัยหนึ่งคือเขายังไม่ได้เห็นศพของหมอเทวดาหลี่ ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”

นัยน์ตากระจ่างใสของเด็กสาวสะท้อนเงาดวงหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม ประกายในดวงตานางทำให้เงาสะท้อนของเขาแผ่รัศมีเรื่อเรืองไปด้วย

เซ่าหมิงยวนรู้ว่านี่คือประกายแห่งความหวังที่บังเกิดขึ้นยามคนผู้หนึ่งเผชิญหน้ากับข่าวร้ายที่ไม่อยากเชื่อ เช่นเดียวกับเขา ในห้วงความฝันกี่ราตรีต่อกี่ราตรี เขายืนอยู่ตรงเชิงกำแพงเมืองเยี่ยนที่แดนเหนือ ยิงธนูดอกนั้นออกไปแล้วตื่นขึ้นพร้อมเหงื่อออกท่วมตัว ล้วนทำให้เขาอุปาทานไปเองว่าตนไม่เคยยิงธนูดอกนั้น ภรรยายังอยู่ในเมืองหลวงที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูรอเขากรีธาทัพกลับไปพร้อมชัยชนะ

“ถูกต้อง เยี่ยลั่วยังไม่พบศพของหมอเทวดาหลี่” เซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้

กลางท้องทะเลเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เกิดเหตุเรืออับปางหาศพไม่พบเป็นเรื่องธรรมดา เขากระจ่างแจ้งดี คุณหนูหลีก็เช่นกัน

“เมื่อเยี่ยลั่วกลับมา แม่ทัพเซ่าโปรดแจ้งให้ข้าทราบทันทีนะเจ้าคะ”

“แน่นอน คุณหนูหลี พวกเราออกไปเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

ทั้งสองออกจากห้องหนังสือกลับไปหาเฉียวโม่

* ฝูหลิง หรือโป่งรากสน คือสมุนไพรจีน มีสรรพคุณขับน้ำและความชื้น บำรุงม้าม และทำให้จิตใจผ่อนคลาย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: