บทที่ 9 เชอะๆๆๆ
หนิงเหมิงทำเหมือนตอนที่ทำงานเป็นเลขานุการของลู่จี้หมิงก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่เธอต้องการลาออกจากงาน เธอจะเค้นมารยาทที่มีในชีวิตต่อต้านอารมณ์ร้อนที่ไร้เหตุผลของเจ้านายพ่นไฟ
ไม่งั้นจะเป็นอย่างไร ใครใช้ให้เธอความสามารถไม่พอ ต้องรอให้เขาคนนั้นจ่ายเงินเดือนด้วยล่ะ
วันหนึ่งเมื่อเธอมีความสามารถเพียงพอ เธอจะใช้ปีกกล้าๆ ขาแข็งๆ ของตัวเองแสดงตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมา! เธอต้องการให้ลู่จี้หมิงรู้ว่าที่เขาเคยตะคอกเรียกใช้เธอแบบนั้นมันน่าเสียใจแค่ไหน!
หนิงเหมิงคิดเช่นนี้แล้วก็พาพลังที่อัดแน่นเต็มท้องกับใบหน้าที่นิ่งเรียบเดินออกจากลิฟต์อย่างว่าง่าย เพราะการเชื่อฟังของเธอนั้นเกินจริงและจงใจเกินไป ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ถูกบังคับและน่าโมโห
ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง แยกคนภายในและภายนอกออกจากกัน
ลู่จี้หมิงรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
เขายกมือขึ้นดึงเนกไท ใช้โอกาสนี้ปลดมือสวี่ซือเถียนที่คล้องแขนเขาออกไป
“ทำไมคุณต้องแตะเนื้อต้องตัวผมอยู่เรื่อย” น้ำเสียงเขาหงุดหงิด และความไม่พอใจส่วนหนึ่งมาจากการระบายอารมณ์ที่เกิดจากความหงุดหงิด
สายตาสวี่ซือเถียนมองเขม็งและถามออกไปว่า “ลู่จี้หมิง เธอสวยไหม”
ลู่จี้หมิงกลอกตาขึ้นและสูดจมูก “สวยกับผีน่ะสิ! ใส่แว่นสตึๆ แบบนั้นดูแก่มาก”
สวี่ซือเถียนแตะเนื้อต้องตัวชายหนุ่มอีก เธอคล้องแขนลู่จี้หมิงอีกครั้งและยึดแขนของเขาไว้ข้างเธอ บังคับให้เขามองเธอ
“แล้วฉันสวยไหม”
สวี่ซือเถียนเชิดคาง ปลายจมูกงดงามเผยมุมที่น่าภาคภูมิใจ
ลู่จี้หมิงเหลือบมองเธอพลางเลียมุมปากเล็กน้อยอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็น “ก็สวย” น้ำเสียงแสดงออกอย่างขอไปทีแบบไม่ปิดบัง
“สวยตรงไหน” สวี่ซือเถียนจับน้ำเสียงแบบขอไปทีได้ ดังนั้นจึงซักไซ้เขาไม่เลิก
ลู่จี้หมิงเหลือบมองเธออีกครั้ง และสายตาของเขาก็ทำให้สวี่ซือเถียนอยากจะหน้าแดงอย่างอธิบายไม่ถูก
เธออยากจะยืดอกรับสายตานั้น แล้วก็ทำเป็นต่อว่าเขาอย่างปากไม่ตรงกับใจ “มองอะไร มองที่ไหน”
ยังไม่ทันที่เธอจะคิดออกว่าควรแสดงอาการอะไรออกไป ลู่จี้หมิงก็พูดขึ้น
“กระเป๋าสวยจัง ยี่ห้ออะไร”
สวี่ซือเถียนเกือบจะอายหน้าแดง และทันใดนั้นมันก็กลายเป็นสีเขียว
“ลู่จี้หมิง! คุณมัน!” สวี่ซือเถียนตะโกนเรียกชื่อลู่จี้หมิงเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้ “กระเป๋าใบนี้เป็นของขวัญวันเกิดที่คุณฝากเจิงอวี่หังมาให้ฉันเมื่อปีที่แล้ว!”
หนิงเหมิงปรับจิตใจของตัวเองให้ถึงระดับขี้เกียจจะใส่ใจผู้ป่วยโรคบอสซินโดรมขึ้นสมอง และปล่อยให้ตัวเองก้าวขึ้นลิฟต์อีกตัวอย่างใจเย็น
เธอยังมีนัด จะให้บอสประสาทส่งผลต่ออารมณ์ของเธอไม่ได้
ลิฟต์เคลื่อนลงไปที่ชั้นใต้ดิน เธอมีนัดทานอาหารเย็นกับเพื่อนที่ร้านลู่กั่งเสี่ยวเจิ้น* นั่น
เพื่อนคนนี้ชื่อว่าซีเหลียน เป็นนักเขียนนิยายลงอินเตอร์เน็ตที่มีชื่อเสียง หนิงเหมิงเคยติดตามอ่านงานของซีเหลียนเมื่อตอนที่อีกฝ่ายเรียนอยู่ ตอนนั้นซีเหลียนไม่ได้โด่งดังเหมือนตอนนี้ หนิงเหมิงมักจะเขียนบทวิจารณ์ยาวๆ ถึงอีกฝ่ายเสมอ
บางทีความคิดเห็นยาวๆ ที่เธอเขียนก็กระแทกจิตใจของซีเหลียนได้ ซีเหลียนจัดให้เธอเป็นคนรู้ใจ หลังจากรู้ว่าทั้งคู่อยู่ในปักกิ่ง พวกเธอก็ใช้ข้อความนี้สร้างเป็นมิตรภาพอันมีค่าที่พวกเธอได้มาเจอกันให้ยังคงอยู่ต่อไป พูดได้ว่าหนิงเหมิงได้เห็นขั้นตอนความสำเร็จของซีเหลียน แต่เส้นทางของเธอไม่มีเวลาที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นมืออาชีพเลย
เมื่อวานทั้งสองคนเจอกันในคิวคิว* และเริ่มพูดคุยกัน
เมื่อซีเหลียนรู้ว่าหนิงเหมิงอยู่ทีมโปรเจ็กต์ลงทุนและกำลังมองหาเป้าหมายการลงทุนอยู่นั้น เธอก็ส่งข้อความเสียงให้หนิงเหมิงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นมาก
“พรุ่งนี้เราไปเจอกันดีไหม ฉันว่าโอกาสที่เราจะได้ร่วมมือกันมาถึงแล้ว!”
หลังจากทานอาหารไปช่วงหนึ่งและพูดคุยกันจนไม่รู้สึกห่างเหินเพราะไม่เจอกันมานาน ทั้งสองก็เริ่มคุยเรื่องธุรกิจกัน
ซีเหลียนบอกหนิงเหมิงว่านวนิยายที่โด่งดังที่สุดของเธอถูกบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซื้อลิขสิทธิ์ไป และวางแผนที่จะถ่ายทำเป็นซีรี่ส์ หลังจากออกอากาศแล้วพวกเขาจะถ่ายทำภาพยนตร์ต่อด้วย
ซีเหลียนบอกว่า “ฉันไม่ได้คิดค่าลิขสิทธิ์กับบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ซื้อลิขสิทธิ์สูงมาก แต่ฉันตกลงกับพวกเขาว่าไม่ว่าจะเป็นละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ ต้องแบ่งส่วนแบ่งการลงทุนให้ฉันสิบเปอร์เซ็นต์”
หนิงเหมิงนับถือการกำหนดข้อต่อรองของซีเหลียนในทันที “คุณเจ๋งมาก! นักเขียนนิยายลงอินเตอร์เน็ตขายลิขสิทธิ์พร้อมกับตัดส่วนแบ่งการลงทุนให้ตัวเองได้ ฉันไม่รู้ว่านอกจากคุณแล้วใครจะเทพขนาดนี้?!”
ซีเหลียนปลาบปลื้มกับคำชมเชยนี้มาก เธอหัวเราะจนไหล่สั่นไปพักใหญ่
“คุณยอฉันอยู่เรื่อย จนฉันขาดคุณไม่ได้แล้วเนี่ย!” พูดเล่นจบ เธอก็พูดอย่างจริงจัง “เอาล่ะ คุยจริงจังนะ ฉันไม่ชมตัวเองนะ ฉันพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเชื่อว่าไอพี* ของฉันนี้สามารถนำมาสร้างเป็นละครทำเงินได้แน่นอน บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์มีความสามารถในการตัดต่อและแพร่ภาพสูงมาก ถ้าถ่ายทำขึ้นมาแล้วจะต้องได้ฉายช่วงไพรม์ไทม์ในช่องทีวีดาวเทียมเกรดเอแน่นอน เพราะงั้นพวกเขาจึงเหลือส่วนแบ่งไว้ให้ฉัน พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาให้โอกาสฉันได้ทำเงิน แต่พูดเถอะ ถึงฉันจะมีส่วนแบ่งการลงทุน ฉันก็ไม่มีเงิน”
หัวใจของหนิงเหมิงสว่างขึ้นในทันใด
พอดีเลย จี้หมิงแคปปิตอลมีเงินแต่ยังขาดโปรเจ็กต์!
ซีเหลียนบอกหนิงเหมิงว่าจริงๆ แล้วเธอเคยติดต่อกับนักลงทุนมาหลายคน และคนพวกนั้นก็สนใจส่วนแบ่งสิบเปอร์เซ็นต์ของเธอมาก เพียงแต่…
“คนพวกนั้นเขี้ยวมาก คิดละเอียดมาก ฉันไม่เคยทำงานมาก่อน ฉันสู้พวกเขาไม่ได้ แต่ฉันเข้าใจ ถ้าฉันทำตามเงื่อนไขที่พวกเขาเสนอ ฉันก็กลายเป็นแค่คนแนะนำโปรเจ็กต์ให้พวกเขา ก็ถือว่าได้รับค่านายหน้า แล้วฉันจะทำไปทำไม!” เธอพูดกับหนิงเหมิงอย่างจริงใจว่า “แต่คุณแตกต่าง คุณเป็นคนมีคุณธรรม คุณเขียนบทวิจารณ์ยาวๆ ให้ฉัน มันเผยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของคุณออกมา! คุณไม่สนใจเรื่องเงิน”
หนิงเหมิงกล่าวด้วยความจริงใจ “อาเหลียน คุณอาจเข้าใจฉันผิด ความหยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นหายไปพร้อมกับค่าเช่าห้องที่จ่ายไปหลังจากที่ฉันไปรับปริญญาบัตรแล้ว…คุณชื่นชมว่าฉันไม่สนใจเรื่องเงินไม่ได้ เพราะการดำรงชีวิตทำให้ฉันเห็นแต่เรื่องเงินแล้ว! คุณชมฉันแบบนี้ สู้ชมว่าฉันสวยดีกว่า”
ซีเหลียนแทบสำลัก และหลังจากดื่มน้ำสงบสติอารมณ์แล้ว เธอก็พูดต่อว่า “คุณมันพนักงานจอมปลอม! หลายปีแล้วความสามารถในการทำให้คนสะอึกของคุณเก่งกาจขนาดนี้ เจ้านายของคุณไม่คิดจะฆ่าคุณบ้างหรือ”
หนิงเหมิงยิ้มโดยไม่ตอบ เธอไม่ได้ทำให้ทุกคนสะอึก บางคนเธอก็ไม่สนใจที่จะทำให้สะอึก อย่างเช่นจอมกลั่นแกล้ง ส่วนบางคนเธอไม่กล้าทำให้สะอึก
เพียงแต่คำว่า ‘ไม่’ ในคำว่าไม่กล้าดูเหมือนจะจืดจางลงทุกวัน
ซีเหลียนพูดขึ้นอีกว่า “ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ไว้ใจที่จะร่วมมือกับคนอื่น ในเมื่อตอนนี้คุณทำโปรเจ็กต์ลงทุน ฉันก็อยากใช้ส่วนแบ่งการลงทุนสิบเปอร์เซ็นต์นี้เพื่อร่วมมือกับคุณ คุณเห็นว่ายังไง”
หลังจากคร่ำเคร่งตรากตรำวิเคราะห์มาหลายวัน หนิงเหมิงได้ทำรายงานวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มการพัฒนาในอนาคตของอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างละเอียด
เมื่อบวกรวมกับความน่าดึงดูดใจของผลงานของซีเหลียน และความสามารถทุกด้านของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมทั้งชื่อเสียงอันยอดเยี่ยมของผลงานก่อนหน้านี้ และเมื่อรวมกับเงื่อนไขความร่วมมือที่ซีเหลียนเสนอออกมา หนิงเหมิงได้คำนวณประมาณการผลตอบแทนจากการลงทุนออกมา
เมื่อดูตัวเลขที่ปรากฏบนเครื่องคิดเลข เธอก็รู้สึกคึกคักขึ้นมาทันที
ซีเหลียนดีกับเธอจริงๆ
นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่ดีของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ซึ่งสามารถทำได้ไม่ขาดทุนแน่นอน ขอแค่มีโอกาสลงทุน อนาคตอันสดใสที่จะทำเงินเข้ากระเป๋าได้เป็นจำนวนมากก็เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นแล้ว
หลังจากคำนวณอัตราผลตอบแทนการลงทุนแล้วหนิงเหมิงก็เขียนแผนธุรกิจในชั่วข้ามคืน
นี่เป็นโปรเจ็กต์แรกที่เธอต้องการนำเสนอต่อบริษัท เธอหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนอื่น และหวังว่าการยอมรับของคนอื่นจะมีมือที่มองไม่เห็นไปตบหน้าลู่จี้หมิงซึ่งเชื่อว่าเธอทำได้เพียงการเป็นเลขานุการเท่านั้น
ดังนั้นขณะที่เธอพิมพ์ตัวอักษรลงไปในแผนงาน เธอก็มีสมาธิมากและเคร่งขรึม
ในที่สุดเธอก็ทำแผนงานเสร็จในตอนเช้าตรู่
ท่ามกลางความเย็นฉ่ำของน้ำค้างยามเช้า หนิงเหมิงรู้สึกว่าแผนงานฉบับนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ในยามเช้า
เธอทำแผนได้ดีมากจนรู้สึกเสียดายไม่อยากจะเอาไปให้ชิวจวิ้นหลินดู เดี๋ยวอีกหน่อยเขาอาจจะเอาไปเลียนแบบได้
หนิงเหมิงรู้สึกผิดเพียงศูนย์จุดศูนย์ห้าวินาทีที่คิดกับชิวจวิ้นหลินเช่นนี้ แม้ว่าเขามักจะกลั่นแกล้งเธอ แต่เขาสามารถเป็นหัวหน้าแผนกโปรเจ็กต์ได้ เธอคิดว่าเขาจะต้องมีความสามารถบางอย่างอยู่ คงไม่ถึงขนาดแผนธุรกิจก็ต้องเรียนรู้จากเธอที่ยังเป็นลูกกุ้ง* ยังไม่โตเต็มที่ เธอไม่คิดถึงเขาในแง่ร้ายเพียงเพราะเกลียดชังเขา
แต่แล้วหลังจากหนิงเหมิงส่งแผนงานนี้ให้กับชิวจวิ้นหลิน เธอก็ขอเก็บความรู้สึกผิดศูนย์จุดศูนย์ห้าวินาทีกลับคืน เธอตระหนักว่าตัวเองยังคงประเมินคุณธรรมของจอมวายร้ายที่คอยหาเรื่องคนโดยไม่ดูงานคนนี้สูงเกินไป
ชิวจวิ้นหลินไม่ได้อ่านแผนงานด้วยซ้ำ เขาโยนมันไปด้านข้างแล้วพูดด้วยอำนาจล้นฟ้า
“แผนกของเราไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมวัฒนธรรม”
หนิงเหมิงชะงัก ก่อนจะถามว่าทำไม
ชิวจวิ้นหลินส่งเสียงเฮอะออกมา “ก็ไม่ทำไม ในเมื่อผมเป็นผู้รับผิดชอบแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสอง คำพูดผมจึงเป็นที่สุด ถ้าผมบอกว่าแผนกของเราไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมวัฒนธรรม เราก็จะไม่ลงทุน”
หนิงเหมิงบังคับให้ตัวเองสงบลง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะแตกหักกัน เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอย่างใจเย็น
“ฉันรู้ ในเมื่อฉันอยู่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสอง ฉันต้องฟังผู้รับผิดชอบอย่างคุณ แล้วคนที่รับผิดชอบโปรเจ็กต์ลงทุนสองอย่าง ‘คุณ’ อยู่ในบริษัทต้องฟังประธานลู่ไหมคะ” หนิงเหมิงกัดฟันพูดคำว่าคุณอย่างแรง ราวกับให้ความเคารพอีกฝ่ายจริงๆ อันที่จริงนั่นเป็นการประชดที่รุนแรงที่สุดจากใจ
ชิวจวิ้นหลินแสยะยิ้มหัวเราะเยาะเย้ย เผยความรู้สึก ‘อย่ามาทำเป็นแน่ ฉันไม่กลัวเธอหรอก’ ออกมาตามไรฟัน
“คุณคิดจะใช้ประธานลู่มากดดันผมจริงๆ ด้วย ถ้าคุณไม่พอใจ อย่างมากคุณก็ไปหาประธานลู่ได้โดยตรงเลยล่ะสิ!”
หนิงเหมิงโมโหกับท่าทางจอมวายร้ายที่ไม่กลัวอะไรของเขา ด้วยความมุทะลุเธอจึงเดินออกไปหาลู่จี้หมิงจริงๆ
เมื่อลู่จี้หมิงรู้ว่าเธอไม่ได้กลับมาเป็นเลขาฯ ให้ตัวเอง ผลก็คือเขาเปิดโหมด ‘ผมไม่ฟังๆ’ อย่างดื้อรั้น
“ออกไป! มีอะไรก็คุยกับหัวหน้าคุณ! คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ถ้าพนักงานทุกคนก้าวข้ามหัวเหมือนคุณ ผมคงเปิดบริษัทนี้ต่อไปไม่ได้”
ไม่ใช่ว่าหนิงเหมิงไม่เคยถูกทำร้ายจากคำพูดร้ายกาจของลู่จี้หมิง เมื่อก่อนเธอได้ยินก็ไม่เดือดร้อน แต่คราวนี้เมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจพวกนี้ เธอรู้สึกมึนงงเหมือนมีคนเอาท่อนไม้มาฟาดหัวยังไงยังงั้น
คุณคิดว่าคุณเป็นใคร
ใช่สิ เธอคิดว่าเธอเป็นใคร เธอไม่รู้จักตัวเองจริงๆ เธอควรรู้ว่าตามสไตล์การทำงานของลู่จี้หมิงและอารมณ์ดื้อเป็นลาของเขา มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะมาหาเขา
แต่ทำไมเธอยังมาล่ะ
ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักว่าที่ตัวเองเอาแต่พูดว่าไม่ต้องการเป็นเลขาฯ ต่อ แต่กลับกำลังใช้ความเคยชินของการเป็นเลขาฯ แสดงกับลู่จี้หมิง แล้วเธอคิดว่าเธอเป็นใคร ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ แล้ว
หนิงเหมิงหันหลังกลับเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
ไป รีบไปเร็ว ถ้ายังไม่ไปอีกความอับอายที่ไม่อาจพูดออกมาได้แทบจะกลายเป็นเลือดทะลักออกจากปากของเธอแล้ว
แต่ลู่จี้หมิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่เพิ่งหันกลับมาก็เรียกเธอเอาไว้
เขาใช้น้ำเสียงที่เป็นนายท่านสุดๆ ใช้น้ำเสียงดูถูกมากๆ ใช้น้ำเสียงที่น่ารังเกียจมากๆ ที่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดเรียกหนิงเหมิงไว้
“ฐานะของคุณในตอนนี้ ถ้าคุณมีอะไรก็กลับไปคุยกับหัวหน้าคุณ แต่ถ้าคุณกลับมาเป็นเลขาฯ ของผม คุณคิดจะพูดอะไร ผมก็รับฟังคุณได้”
หนิงเหมิงหันกลับมามองลู่จี้หมิง เมื่อเห็นไหล่ที่ติดอยู่กับพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่ดูไม่แยแสอะไร สีหน้าที่แสดงความลำพอง กับใบหน้าที่น่าตบสักฉาดนั่น ใจหนิงเหมิงก็สบถออกมาแรงๆ
บทที่ 10 ไม่ทำแล้วโว้ย
ก่อนที่หนิงเหมิงจะออกจากห้องทำงานของท่านประธาน ลู่จี้หมิงก็พูดกับเธออีก เขาพูดแบบลอยๆ แต่คำพูดลอยๆ นั้นรวมพลังงานไว้มาก ตรงเข้ากระแทกความภาคภูมิใจในตนเองของหนิงเหมิงอย่างจัง
“หนิงเหมิง จะพูดอีกครั้งนะ คุณไม่ใช่พวกที่จะทำเรื่องลงทุน”
เมื่อต้องเผชิญกับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่หนิงเหมิงทนไม่ไหว เธอหันกลับไปมองหน้าเขาตรงๆ แล้วเอ่ยถาม
“ทำไมฉันถึงไม่ใช่พวกที่จะทำเรื่องลงทุน ฉันเคยคิดว่าฉันไม่ใช่คนที่จะทำงานเลขาฯ แต่ก็ทำงานกับคุณมาสามปีแล้วโดยที่ยังอยู่ดีมีสุข!”
รอยยิ้มเยาะเย้ยของลู่จี้หมิงทำให้มุมปากของเขาบุ๋มลึกลงไป “การเป็นเลขาฯ ต้องใช้ความรู้อะไร ไม่ใช่แค่คุณบริการผมให้ดี คุณก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วไม่ใช่หรือ ท่าทางซื่อๆ อ่อนต่อโลกของคุณตอนนี้ คิดจะทำเรื่องลงทุน กลวิธีในตลาดทุนคุณทำเป็นไหม!”
จริงๆ แล้วเขายังมีคำพูดต่อจากนั้น…
ในวงการการเงินที่สกปรก มันง่ายนักหรือไงที่ผมจะสอนเลขาฯ อย่างคุณให้สะอาดไม่แปดเปื้อน ให้เงินเดือนคุณก็ไม่น้อย ทำไมคุณถึงต้องโดดลงหลุมใหญ่สกปรกนี้ด้วย
ลู่จี้หมิงไม่ยอมพูดเหตุผลที่แท้จริงออกมาง่ายๆ เขาดึงดันขึ้นมา คำพูดดีๆ มีมากมายแต่ไม่ยอมพูด
ดังนั้นหนิงเหมิงจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาคิดจริงๆ เธอรู้สึกเพียงว่าการเห็นคุณค่าในตนเองถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเป็นแผลใหญ่ เธอกำหมัดแน่น ซ่อนปลายนิ้วที่สั่นเทาเอาไว้ในฝ่ามือแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมอง
เธอไม่อยากเถียงอะไรอีกต่อไป โต้เถียงกับคนหัวดื้อมันได้อะไรขึ้นมา
ที่แท้คนคนหนึ่งจะดูถูกความคิดของอีกคนก็ทำได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลและพื้นฐานอะไร
แต่เพราะอะไรล่ะ
เขาใช้อะไรมาดูแคลนเธออย่างนี้
เขามันไร้เหตุผลจริงๆ!
ชิวจวิ้นหลินยืนยันหนักแน่นว่าแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสองไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมแน่นอน หนิงเหมิงไม่ต้องการทำลายความเชื่อมั่นและความหวังของเพื่อน และไม่อยากจับงานครั้งแรกก็ล้มเหลวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้ ที่สำคัญโปรเจ็กต์นี้เป็นโปรเจ็กต์ที่ดีอย่างแน่นอน มีการออกหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้กำไรไม่ขาดทุนแน่
ตอนนี้ทางจอมกลั่นแกล้งชิวจวิ้นหลินก็ไม่ให้ผ่านแล้ว หนิงเหมิงคิดว่าต้องหาทางอื่นให้ได้เท่านั้น
เธอตัดสินใจลองนำโปรเจ็กต์นี้ไปที่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุนหนึ่ง เพียงแต่ทำเช่นนี้โปรเจ็กต์นี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเธออีกแล้ว ต่อให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้หนิงเหมิงก็ยอม ดีกว่าพับโปรเจ็กต์ในมือของเธอ
หนิงเหมิงแก้ไขแผนธุรกิจอีกครั้งจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ จากนั้นเธอก็หาโอกาสนำแผนธุรกิจนี้ไปให้ ผอ. เหรินผู้รับผิดชอบแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนหนึ่งดู
ในอดีตตอนเธอเป็นเลขานุการของท่านประธาน เธอช่วย ผอ. เหรินในการจัดการพายุอารมณ์ของลู่จี้หมิงไปไม่น้อย ผอ. เหรินคิดถึงความดีของเธออยู่เสมอ
ดังนั้นเมื่อเธอนำแผนธุรกิจให้ ผอ. เหรินดูพร้อมกับเล่าที่มาที่ไป ผอ. เหรินก็ไม่ลังเลใจเท่าไหร่ รับแผนธุรกิจไปพร้อมกับรับปาก
“ผมจะขอให้คนที่ทำหน้าที่ต่อประเมินบีพี* โดยเร็วที่สุด ถ้าไม่มีปัญหาผมจะจัดคนที่รับผิดชอบประสานงานกับคุณโดยเร็วที่สุด”
ในที่สุดหนิงเหมิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่เธอไม่ทำให้คนอื่นผิดหวัง
เธอโทรหาซีเหลียนและอธิบายสถานการณ์สั้นๆ โดยบอกอีกฝ่ายว่าโปรเจ็กต์กำลังดำเนินการ ด้วยตำแหน่งของเธอไม่อาจจะตัดสินใจได้ เธอจึงมอบให้หัวหน้าระดับผู้อำนวยการดำเนินการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ขอให้ซีเหลียนวางใจ
ซีเหลียนแสดงความเข้าใจและขอบคุณมาตามสาย พร้อมสัญญาว่าไม่ว่าหนิงเหมิงจะรับดูแลโปรเจ็กต์นี้หรือไม่ก็ตาม ถ้าสามารถทำสำเร็จได้เธอต้องให้ผลตอบแทนสิบเปอร์เซ็นต์กับหนิงเหมิงแน่นอน
ดูจากแนวโน้มก็เหมือนจะดี แต่แล้วหนิงเหมิงสบายใจได้ไม่นานก็ต้องกลับมาอึดอัดใจอีก
หลายวันต่อมาเธอมาถึงบริษัทได้ไม่นาน ยังไม่ได้ข่าวคราวจาก ผอ. เหริน เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากซีเหลียนก่อน
น้ำเสียงตื่นเต้นของซีเหลียนลอดออกมาจากโทรศัพท์ “อาเหมิง ผอ. ชิวของคุณเป็นคนดีนะ! ฉันโทรมาบอกคุณว่าเขาได้ตกลงเงื่อนไขของความร่วมมือกับฉันแล้ว และฉันก็ให้โปรเจ็กต์ที่มีโอกาสลงทุน ส่วนด้าน ผอ. ชิวก็เดินเรื่องเงินทุนจากบริษัทของคุณ เรื่องส่วนแบ่ง สัญญาแบ่งสี่สิบหกสิบ ฉันสี่สิบบริษัทของคุณหกสิบ จากนั้นฉันจะเซ็นสัญญาส่วนตัวกับ ผอ. ชิวเพิ่มอีกฉบับ ฉันเอาสี่สิบของฉันแบ่งออกมาสิบแล้วให้เขาแจกจ่ายเป็นโบนัสให้เพื่อนในแผนก รวมทั้งคุณด้วย…”
ซีเหลียนยังคงพูดต่อไป แต่หนิงเหมิงโมโหจนเกือบจะขาดใจตาย
“ซีเหลียนเดี๋ยวก่อนนะ!” หนิงเหมิงขัดจังหวะซีเหลียนที่ตื่นเต้นเพราะคิดว่าได้เจอคนดี “เมื่อครู่คุณพูดว่า ผอ. ชิว?”
ปลายสายเสียงอึ้งๆ ไป “ใช่ ชิวจวิ้นหลิน ผอ. ชิวเจ้านายของคุณ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนที่ตำแหน่งสูงกว่าคุณไง คุณบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าคุณเป็นคนใหม่ในแผนกและความสามารถยังไม่พอ ผอ. ชิวก็พูดอย่างนั้น เขาบอกว่าคุณเป็นคนไปคุยกับเขาเอง ตอนนี้คุณไม่สามารถดำเนินการโปรเจ็กต์ได้เพราะคุณไม่มีอำนาจเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งหมด”
หนิงเหมิงกำมือถือกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เธอรู้สึกคิดผิดจริงๆ ที่ใส่อีเมลของซีเหลียนลงในแผนธุรกิจ หากไม่ใช่เพราะตรงนี้ คนแซ่ชิวไม่มีทางติดต่อซีเหลียนเพื่อป้อนคำหวานที่มีแต่ยาพิษให้อีกฝ่ายได้ เธอเสียใจที่ไม่ได้ระบุว่าผู้อำนวยการที่เธอไหว้วานแซ่เหริน ไม่ใช่แซ่ชิว เดิมเธอคิดว่าโปรเจ็กต์ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง จึงไม่อยากลาก ผอ. เหรินเข้ามาเกี่ยวข้อง รอให้ทุกอย่างแน่นอนแล้วเธอก็จะแนะนำให้เขากับซีเหลียนรู้จักกันอย่างเป็นทางการ แต่ไม่คิดว่าเพียงแค่รอยต่อเล็กๆ เช่นนี้ทำให้คนร้ายไร้ยางอายอย่างชิวจวิ้นหลินใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้โดยไม่คาดคิด
เขาถึงกับหน้าด้านเอาผลประโยชน์สิบเปอร์เซ็นต์จากซีเหลียน! แบ่งเพื่อนร่วมในแผนก บ้านพ่อมันสิ ด้วยนิสัยเลวๆ ของจอมกลั่นแกล้งแซ่ชิว สุดท้ายสิบเปอร์เซ็นต์นี้ก็จะเข้ากระเป๋าคนแซ่ชิวทั้งหมด!
หนิงเหมิงรีบบอกซีเหลียนว่า “ซีเหลียน ส่วนแบ่งรายได้นี้ไม่สมเหตุสมผล คุณอย่าทำอะไรนะ ตอนนี้ฉันต้องจัดการธุระก่อน คุณรอฉันโทรบอกข่าวนะ”
น้ำเสียงซีเหลียนทางโทรศัพท์ลังเลเล็กน้อย เหมือนกับกำลังบอกว่าสัดส่วนแบบนี้เธอก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน แต่หนิงเหมิงวางสายไปแล้ว
ขณะนี้หนิงเหมิงรู้สึกว่าเลือดขึ้นตาขึ้นหู และเธอก็ได้ยินเสียงการลับมีดจากในแก้วหูของตัวเอง
เธออยากจะไปฆ่าไอ้เลวชิวจวิ้นหลินให้ตาย!
ครั้งนี้หนิงเหมิงโกรธมาก
เธออดทนต่อการกลั่นแกล้งมากมายที่ชิวจวิ้นหลินจัดมาให้ พวกนั้นยังไม่เท่าไหร่ เธอยังรับมือได้ แต่เธอไม่สามารถทนต่อการหน้าอย่างลับหลังอย่างของวายร้ายชิวจวิ้นหลินได้ อย่างแรกเป็นเพียงเรื่องของความใจแคบ แต่อย่างหลังเป็นเรื่องทางศีลธรรมแน่นอน
เธอไม่สามารถปล่อยให้คนไร้คุณธรรมปิดบังหลอกลวงคนอื่นตามอำเภอใจแบบนี้ได้!
ยังไงซะหนิงเหมิงก็เป็นเลขาฯ ให้กับคนที่จัดการยากที่สุดในโลกมาสามปี และความสามารถในการควบคุมอารมณ์กับสีหน้าก็ได้รับการฝึกฝนให้สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันเป็นสิบเท่า
แม้ว่าในใจอยากจะฆ่าชิวจวิ้นหลินให้ตายแล้วค่อยว่ากัน แต่สติสัมปชัญญะบอกให้หนิงเหมิงตัดสินใจเจรจาก่อนออกรบ
เธอไปที่ห้องทำงานของชิวจวิ้นหลินก่อนและถามเขาว่าไหนว่าจะไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมไม่ใช่หรือ
ชิวจวิ้นหลินเอนหลังพิงเก้าอี้ แสดงท่าทางนายใหญ่ได้เยอะกว่าลู่จี้หมิงเสียอีก
“ผมเป็นผู้รับผิดชอบแผนกโปรเจ็กต์ลงทุนสอง หรือคุณเป็น?”
ชิวจวิ้นหลินถามหนิงเหมิงด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายที่สุดในมวลมนุษย์ที่หนิงเหมิงเคยเห็น
“ผมเป็นคนรับผิดชอบใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นทำหรือไม่ ผมก็เป็นคนตัดสินใจ ยังมีปัญหาอะไรไหม” ชิวจวิ้นหลินยังคงยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เผยความรังเกียจและเสียดสีออกมา “หนิงเหมิง คนเราอยู่ในสังคมทำงาน มีหนี้ฉันต้องชดใช้! เมื่อคนเขายื่นมะละกอให้ฉัน ฉันจะตอบแทนด้วยหยกงาม แต่ถ้าคนเขาแทงฉันลับหลัง ฉันก็ต้องฉวยโอกาสวางยาพิษเขาด้วย!”
หนิงเหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอไม่เคยเห็นคนที่เป็นโรคหวาดระแวง* หนักขนาดนี้มาก่อน เขามโนเป็นละครฉากใหญ่ว่าเธอเคยคิดจะแทงเขาลับหลังเองได้ยังไง! เขากล้ายกตัวเองขึ้นเป็นพระเอกได้ยังไง!
หนิงเหมิงคร้านจะโต้เถียงกับคนต่ำช้าเช่นนี้ คนที่มีตรรกะและทัศนคติที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันพูดเรื่องผิดถูกก็ไร้ประโยชน์ เสียดายชีวิตอันงดงาม
พูดคุยก็ทำแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกรบ
“ชิวจวิ้นหลิน” หนิงเหมิงเรียกชื่อตรงๆ เธอไม่ต้องการเรียกเขาว่าผู้อำนวยการอีกเพราะเขาไม่คู่ควร “ฉันเป็นคนเอาโปรเจ็กต์นี้มา ฉันบอกคุณตอนนี้เลยว่าตั้งแต่นี้ต่อไปโปรเจ็กต์นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณอีก ฉันได้ส่งให้กับแผนกหนึ่งไปทำแล้ว”
ชิวจวิ้นหลินหัวเราะดูถูกราวกับว่าเขาได้ยินบางสิ่งที่เหลือเชื่อ
“หนิงเหมิง คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร” เขาเปิดลิ้นชัก หยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะ “ดูซะ ซีเหลียนเซ็นสัญญากับฉันแล้ว!”
ขณะนี้หนิงเหมิงเหมือนถูกฟ้าผ่าใส่หน้า
ทำไมซีเหลียนถึงไม่ยอมอดทน เธอกับซีเหลียนเข้าใจคำว่า ‘เห็นชอบในเงื่อนไขสัญญาความร่วมมือ’ ไม่เหมือนกันตรงไหนหรือเปล่า ตามคำพูดของซีเหลียน เธอเข้าใจว่าพวกเขาแค่เห็นด้วยที่จะร่วมมือกัน คิดไม่ถึงว่าเธอจะเข้าใจสิ่งที่ซีเหลียนจะสื่อออกมาไม่ตรงเท่าไหร่นัก แม้แต่สัญญาพวกเขาก็เซ็นกันเรียบร้อยแล้วด้วย
หนิงเหมิงรู้สึกผิดหวังและเหมือนถูกตบหน้าอย่างอธิบายไม่ถูก ซีเหลียนเซ็นสัญญาแต่กลับไม่บอกเธอสักคำ
เมื่อนึกถึงตอนที่คุยโทรศัพท์กับซีเหลียนไม่กี่วันก่อน อีกฝ่ายยังบอกว่าเมื่อเรื่องสำเร็จ อย่างไรก็ต้องให้ผลประโยชน์สิบเปอร์เซ็นต์กับเธอ
หนิงเหมิงอยากจะยิ้มขื่นๆ เมื่อเชื่อมเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน เธอก็เข้าใจความคิดของซีเหลียนดี
ซีเหลียนคงอยากจะให้เธอเอาผลประโยชน์สิบเปอร์เซ็นต์จากชิวจวิ้นหลิน เพื่อที่ซีเหลียนเองจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับผลประโยชน์สิบเปอร์เซ็นต์ที่สัญญากับเธอไว้ก่อนหน้านี้ แต่มันยากที่จะพูดอย่างนั้น เธอเลยเซ็นสัญญาก่อนซะเลย
หลังจากเซ็นสัญญา ส่วนแบ่งผลประโยชน์ก็โชว์ให้เห็นอยู่ตรงนั้น หนิงเหมิงแบ่งผลประโยชน์จากผลประโยชน์สิบเปอร์เซ็นต์ที่ชิวจวิ้นหลินได้ไป เธอจะกล้าไปขอส่วนแบ่งจากซีเหลียนอีกได้อย่างไร สำหรับส่วนแบ่งสิบเปอร์เซ็นต์นั่นชิวจวิ้นหลินจะแบ่งอย่างไรแบ่งให้เท่าไหร่ นั่นเป็นเรื่องภายในที่พวกเขาต้องจัดการกันเอง
แต่ละคนก็ดีดลูกคิดรางแก้วของตัวเอง
นี่เป็นบทเรียนที่ฝังใจในอาชีพการงานของหนิงเหมิง มันสอนเธอว่ามิตรภาพคือมิตรภาพ และธุรกิจคือธุรกิจ ตอนคุยธุรกิจมาคุยเรื่องมิตรภาพ ถ้าไม่เสียเงินก็เสียมิตรภาพ อย่างไรก็ต้องเสียสักอย่าง
ตอนนี้ซีเหลียนเซ็นสัญญาไปแล้ว เธอจะมาเตรียมตัวต่อสู้กับชิวจวิ้นหลินที่นี่ทำไม แม่ทัพยอมมอบตัวแล้ว พลทหารอย่างเธอยังเรียกร้องยังไม่ยอมแพ้ไปเพื่ออะไร
หลังก้าวออกจากการเป็นเลขาฯ ของท่านประธาน ถึงแม้มันจะโหดร้ายและน่าเกลียดขนาดนี้ แต่ก็ช่างเถอะ เธอรู้จักสิ่งที่โหดร้ายและน่าเกลียดเร็วหน่อยก็ดี
หนิงเหมิงสงบนิ่ง ตอนนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เธอตัดสินใจจะออกจากสำนักงานที่เต็มไปด้วยความโสมมและวุ่นวายนี้
ชิวจวิ้นหลินกลับเรียกเธอเอาไว้
“หนิงเหมิง พูดตามตรงนะ คุณจะโทษผมไม่ได้ ความคิดที่จะบีบให้คุณออกไม่ใช่ความคิดของผม ผมก็พูดถึงตรงนี้แล้ว คุณคงเข้าใจ”
…เข้าใจบ้านแกน่ะสิ!
หนิงเหมิงนับถือชิวจวิ้นหลินที่โยนความผิดออกจากตัวได้ดี ถือโอกาสกลั่นแกล้งเธอได้อย่างเปิดเผยและมีความสุขโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของลู่จี้หมิง
เขาไม่กลัวว่าเธอจะกลับไปเป็นเลขาฯ ท่านประธานแล้วหันกลับไปจัดการกับเขาหรือไง เหอะๆ เขาคงคิดว่าเธอกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ น่ะสินะ ถึงได้กล้าที่จะลงมือแบบไม่เกรงกลัวอะไรเช่นนี้ เขาจะต้องรู้สึกว่าเธอทำอะไรให้เจ้านายโกรธมาก แล้วก็รู้เรื่องของเจ้านายมากมาย เจ้านายไม่อาจจะไล่เธอออกได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงเนรเทศเธอมาอยู่ชายแดน แล้วก็ยืมมือคนที่เพิ่งเข้าบริษัทมาไม่นานจัดการกับเธอ ดังนั้นเขาจึงกลั่นแกล้งเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
หนิงเหมิงถอยออกจากห้องทำงานของชิวจวิ้นหลิน
เมื่อเธอกลับไปที่โต๊ะทำงานก็นั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งเธอนั่งนิ่งและโกรธมากขึ้น ใจเธอก็มีแผนการคร่าวๆ ขึ้นมา
เรื่องนี้เธอไม่อาจยอมได้!
หนิงเหมิงโทรหาซีเหลียนก่อน แต่ไม่ได้ต่อว่าอีกฝ่ายเรื่องเซ็นสัญญาโดยไม่บอกก่อน กลับกลายเป็นซีเหลียนที่อ้ำๆ อึ้งๆ ทำท่าทางราวกับไม่รู้ว่าควรจะขอโทษสำหรับความเห็นแก่ตัวของตัวเองดีไหม บรรยากาศก็อึดอัด หนิงเหมิงจึงทำลายความอึดอัดนี้โดยการขอให้ซีเหลียนส่งแฟ็กซ์สัญญาข้อตกลงที่เธอเซ็นกับชิวจวิ้นหลินเป็นการส่วนตัว สัญญาใต้ลิ้นชักที่ซีเหลียนบอกว่าจะโอนสิบเปอร์เซ็นต์ในสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของผลประโยชน์ที่เธอได้เข้าบัญชีส่วนตัวของชิวจวิ้นหลิน
ซีเหลียนถามหนิงเหมิงว่าเธอต้องการให้แฟ็กซ์เพื่ออะไร ในเมื่อหัวหน้าของเธอก็มีอีกชุดไม่ใช่เหรอ
หนิงเหมิงสงบสติอารมณ์และบอกว่าสำเนาของ ผอ. ชิวไม่ทันระวังถูกน้ำหกใส่ มีบางส่วนมันเลือนไป จะใช้สำเนาแฟ็กซ์นี้เป็นเอกสารแนบเสริมเข้าไป
ซีเหลียนแฟ็กซ์ข้อตกลงมาให้อย่างรวดเร็ว
หลังจากได้รับแฟ็กซ์แล้วหนิงเหมิงก็ไปหา ผอ. เหรินที่แผนกโปรเจ็กต์หนึ่ง
เธอกล่าวขอโทษ ผอ. เหริน “คุณเหริน ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันเกรงว่าโปรเจ็กต์ที่บอกคุณก่อนหน้านี้คงจะทำไม่ได้แล้ว มันมีความผิดพลาดบางอย่าง แล้วฉันจะคุยรายละเอียดกับคุณทีหลัง ตอนนี้ฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับประธานลู่ ฉันขอโทษจริงๆ!”
หนิงเหมิงโค้งคำนับอย่างรู้สึกผิดแล้วจากไป
ผอ. เหรินที่ยืนอยู่หลังเธอพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง “โปรเจ็กต์นี้ดีมาก ทำไมถึงไม่ทำแล้วล่ะ”
หนิงเหมิงผละจาก ผอ. เหริน แล้วก็ถือแฟ็กซ์สัญญาใต้ลิ้นชักตรงไปที่ห้องทำงานของลู่จี้หมิง
“คุณเอาไอ้นี่ให้ผมดู คุณคิดจะให้ผมทำอะไร” ลู่จี้หมิงโยนข้อตกลงส่วนตัวไปบนโต๊ะทำงาน เงยหน้าขึ้นและมองหนิงเหมิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาอย่างไร้ความรู้สึก
ในน้ำเสียงของเขาเหมือนจะมีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
หนิงเหมิงอึ้งกับคำถามของอีกฝ่าย
เขาไม่ใช่ควรจะโมโหโกรธาหรอกหรือ เขาควรจะเรียกให้คนข้างนอกไปตามชิวจวิ้นหลินเข้ามาทันทีไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แบบนี้ก็เท่ากับยักยอกรายได้ของบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไมเขายังมีท่าทางเฉยเมยแบบนี้ล่ะ
ไม่เข้าใจจริงๆ
ความคิดในหัวของหนิงเหมิงขาดตอนแล้ว มีเสียงตึ้กดังขึ้น
ลู่จี้หมิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเรียกสติหนิงเหมิงที่กำลังงุนงงกลับมา “คุณมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็ออกไป”
หนิงเหมิงกัดฟันสรุปความว่า “คุณไม่คิดว่าการกระทำของชิวจวิ้นหลินมันมีปัญหาหรือไง ที่สำคัญโปรเจ็กต์นี้เขาก็หลอกเอาไปจากฉันด้วย”
ลู่จี้หมิงขมวดคิ้วเข้าหากัน เส้นตรงกลางหว่างคิ้วเป็นสัญญาณว่ากำลังจะระเบิดอารมณ์
“คุณรู้สึกโดนรังแกใช่ไหม คุณไม่มีความสามารถในการควบคุมโปรเจ็กต์ด้วยซ้ำ จะน้อยใจทำไม”
ลู่จี้หมิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอีกครั้งและเขาก็หมดความอดทนแล้ว “มีอะไรจะพูดอีกไหม ถ้าไม่ก็รีบออกไปซะ จำไว้ว่าต่อไปอย่าเข้ามาหาผมตามอำเภอใจอีก ระดับของคุณยังไม่พอ นอกจากผู้บริหารระดับสูงที่สามารถเข้าห้องทำงานผมเมื่อไหร่ก็ได้ก็มีแค่เลขาฯ ผมเท่านั้น”
หนิงเหมิงกำหมัดแน่นแล้วก็คลายออก หลังจากหายใจเข้าลึกๆ อีกสองครั้ง ในที่สุดเธอก็ระงับความคิดที่จะวิ่งเข้าไปบีบคอคนให้ตายไว้ได้
ใจเธอด่าแรงๆ ลู่จี้หมิงพ่อแกน่ะสิ แล้วยิ้มออกมา
“ประธานลู่ ฉันคิดเสมอว่าแม้ว่าคุณจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่คุณก็ถือว่าเป็นเจ้านายที่ดี คุณไม่สนับสนุนการกระทำที่ชั่วร้าย คุณไม่เชื่อคำใส่ร้ายป้ายสี แต่ดูจากตอนนี้…ฉันตาบอดไปเอง”
ลู่จี้หมิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาชี้ไปที่ข้อตกลงฉบับนั้น เพิ่มระดับความดังของเสียงถามหนิงเหมิง
“เพราะข้อตกลงฉบับนี้ คุณถึงกล้าพูดกับผมแบบนี้เหรอ หนิงเหมิง ผมจะบอกคุณอีกครั้ง คุณไม่เหมาะกับการลงทุนจริงๆ ยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะ!”
รอยยิ้มมุมปากของหนิงเหมิงสั่นเล็กน้อย แต่เธอรีบปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบกระดาษที่พับสองครั้งออกมาจากกระเป๋าของตัวเองแล้วคลี่มันออกมา เธอเผยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพและสง่างาม
“ประธานลู่ ไม่ต้องกังวลค่ะ ต่อไปฉันจะไม่เข้ามาในห้องทำงานของคุณตามอำเภอใจเป็นอันขาด!” เธอวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ตรงหน้าลู่จี้หมิงเบาๆ ทว่าหนักแน่น “นี่คือจดหมายลาออกของฉัน”
ลู่จี้หมิงคุณเบ่งกับคนอื่นตลอด ลุงแกน่ะสิ ไม่ทำแล้วโว้ย!
เชิงอรรถ
* ร้านลู่กั่งเสี่ยวเจิ้น คือร้านอาหารไต้หวันที่มีสาขาที่เมืองเป่ยจิ่ง (ปักกิ่ง) ซั่งไห่ (เซี่ยงไฮ้) ฝูโจว (ฮกจิว) อู๋ซี อาหารคาวเน้นไปทางอาหารมณฑลฝูเจี้ยนและไต้หวัน โดยน้ำแข็งไสและบิงซูของร้านได้รับความนิยมมาก คนที่มาร้านลู่กั่งเสี่ยวเจิ้นหลังทานข้าวเสร็จมักจะสั่งบิงซู ซึ่งบิงซูมะม่วงของร้านนี้เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมาก
* Tencent QQ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คิวคิว’ เป็นโปรแกรมเมสเซนเจอร์สำหรับวินโดวส์ ผลิตโดยบริษัทเทนเซนต์จากประเทศจีน
* IP ย่อมาจาก Intellectual Property หมายถึงทรัพย์สินทางปัญญา
* ลูกกุ้ง หมายถึงคนที่อ่อนประสบการณ์
* BP ย่อมาจาก Business Plan หมายถึงแผนธุรกิจ
* โรคหวาดระแวง หรือพารานอยด์ (Paranoia) เป็นภาวะผิดปกติทางความคิดที่ทำให้เคลือบแคลงสงสัยหรือระแวงผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผล ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ามีคนจ้องทำร้ายอยู่ตลอดเวลา คิดว่าคนรอบข้างไม่ชอบตนเอง หรือไม่ไว้ใจผู้อื่น อาการเหล่านี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอาการหลงผิด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือเข้าสังคมได้ยาก
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มิถุนายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.