บทที่ 120
“เหล่าเหลียง มีบางคำพูดที่ฉันทนมานานมากแล้ว อยากพูดตั้งแต่งานหนังสือครั้งก่อน วันนี้ขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน…ยุคสมัยมันต่างกัน การตีพิมพ์หนังสือในปัจจุบันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ที่นักเขียนจะต้องส่งต้นฉบับทางไปรษณีย์ บ.ก. ตรวจต้นฉบับ โรงพิมพ์พิมพ์ออกมา แล้วคนอ่านก็ซื้อหนังสือ…”
มือของชูหลี่ค่อยๆ กำเป็นหมัด ปลายนิ้วขาวซีดเพราะออกแรงมากเกินไป…
“เพราะมีเครื่องมือสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตที่สะดวกหลากหลายรูปแบบ เหตุการณ์ใดๆ ในอดีต การสื่อสารในปัจจุบันก็เข้าถึงได้มากขึ้นแล้ว ดังนั้นต่อให้เมื่อก่อนเป็นคนสารเลวที่เอาแต่หาผลประโยชน์หรือไม่เอาการเอางานแต่กลับเจริญรุ่งเรืองก็ถูกเปิดโปงได้เช่นกัน…นักเขียนไม่ได้โง่ คนอ่านก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ท่าทีไม่เอาจริงเอาจังกับทัศนคติในการทำงานแบบขายผ้าเอาหน้ารอดอาจทำให้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยพังพินาศไม่ช้าก็เร็ว”
“ว่าไงนะ เธอว่าใครเป็นคนสารเลว”
ชูหลี่เชิดคางเล็กน้อย “ฉันบอกว่าแสงแดดรุนแรง สรรพสิ่งเผยรูปลักษณ์แท้จริง* น่ะค่ะ”
มุมปากของเหลียงชงลั่งกระตุกเล็กน้อย ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง “ชูหลี่! ระวังคำพูดของเธอด้วย! เธอหมายความว่าไง! เธอก็แค่รองหัวหน้า บ.ก. นิตยสาร ฉันเป็นผู้บังคับบัญชาของเธอ เป็นรองประธานของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย…อ้อ เธอคิดว่าตัวเองเจ๋งมากสินะที่ดึงนักเขียนเก่งๆ หลายคนมาได้ จะลองก็ได้นี่ ถ้าตอนนี้ฉันไล่เธอออก นักเขียนพวกนั้นจะออกไปพร้อมกับเธอและปล่อยเวทีแสดงความสามารถดีๆ อย่างสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยของเราไปหรือเปล่า!”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ” ชูหลี่ยกมุมปาก
ความจริงเลือดทั่วทั้งร่างเธอแทบจะแข็งตัวแล้ว ความเดือดดาลที่ไม่เคยมีมาก่อนบวกกับท่าทีปรามาสที่เหลียงชงลั่งมีต่อโจ้วชวน ชั่ววินาทีนั้นเธอแทบอยากจะเขวี้ยงจดหมายลาใส่หน้าเหลียงชงลั่งแล้วบอกเขาว่าฉันจะไปตอนนี้เลย…
แต่เธอยังคงอดทนไว้
การกลับมาของสั่วเหิงและเจียงอวี่เฉิงเพิ่งเข้าที่เข้าทาง นิยายรายตอนเรื่องใหม่ของอากุ่ยก็เพิ่งเริ่ม ตึกสูงของเธอเพิ่งจะมีรากฐานที่แข็งแกร่ง เธอจะยอมจำนนมอบรากฐานให้คนอื่นได้อย่างไร
ยังมีโจ้วชวนอีก…
กลางปีหน้าแฮร์มันน์จะเดินทางมาเสาะหานักเขียนที่ประเทศจีนไปร่วมงานด้วย สาเหตุที่ชูหลี่พูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ เพราะเธอสนใจจริงๆ เธอรู้ว่าโจ้วชวนชอบผลงานของแฮร์มันน์มาก และคาดหวังมากว่าสักวันจะสามารถพิสูจน์ตัวเองในเวทีที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางกว่านี้ได้…แม้โจ้วชวนจะไม่พูด แต่เขาก็เป็นพวกเก็บความรู้สึกที่ตอนประถมได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นสามประการก็เอาประกาศนียบัตรยัดใส่ในกระเป๋า และไม่เอาออกมาตลอดช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน แต่ความจริงแล้วเขาหวังอยู่ทุกวันว่าประกาศนียบัตรจะกระโดดออกมาจากกระเป๋าเอง แทบอยากจะเอาประกาศนียบัตรมาติดบนหน้าผากเพื่อประกาศให้โลกรู้…
และสิ่งที่ชูหลี่ต้องทำคือเป็นคนช่วยเขาเอาประกาศนียบัตรออกมา
ภาพยนตร์ ภาพยนตร์จากนิยาย ถึงเวลานั้นก็จะตามมาด้วยการตีพิมพ์นิยายที่ดัดแปลงจากบทภาพยนตร์ และสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศปัจจุบันก็มีแค่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยและสำนักพิมพ์ซินตุ้นเท่านั้น…ถ้าหากตอนนี้เธอออกจากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยล่ะก็ สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยก็จะไม่มีคนที่เค้นสมองช่วงชิงเพื่อโจ้วชวนเหมือนเธอเป็นคนที่สองอีก…
เธอแทบจะจินตนาการได้เลยว่าปีหน้าหรือปีถัดไปผลงานเรื่องใหม่ของแฮร์มันน์จะถูกมอบให้กับสำนักพิมพ์ซินตุ้นอีกครั้งอย่างง่ายดาย คนโง่อย่างเหลียงชงลั่งคงทำได้แต่เบ้ปากอย่างอวดดีแล้วพูดว่า ‘ถ้ามอบแฮร์มันน์และทรัพยากรของเขาให้ฉัน ฉันเองก็ทำให้ขายดีได้เหมือนกัน’
…คนโง่พรรค์นี้ย่อมไม่มีทางคิดหรอกว่าต่อให้ทรัพยากรเหล่านี้หล่นลงมาจากท้องฟ้าได้จริง พวกเขาจะทำประโยชน์อะไรได้!
อดทนไว้
จะโมโหไม่ได้
อย่าไปต่อล้อต่อเถียงคนโง่บรมพวกนี้เลย
รูม่านตาขยายกว้างหลายเท่าเพราะการสูดลมหายใจลึกๆ ในที่สุดชูหลี่ก็สะกดไฟโทสะของตนลงได้…ดึงจดหมายลาไปทำงานนอกสถานที่มาจากมือเหลียงชงลั่ง แล้วเปลี่ยนไปพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ทำไมคะ ไม่ได้ทำงานแบบไม่รับฟังใครสักหน่อย ไม่คิดจะยอมรับคำตักเตือนจากลูกน้องหน่อยเหรอ คุณไม่อนุมัติจดหมายลาไปทำงานนอกสถานที่ก็ช่างเถอะค่ะ ฉันใช้วันลาประจำปีของตัวเองก็ได้…”
อารมณ์โมโหมาเร็วไปเร็ว วินาทีก่อนหน้านี้ยังทำท่าโวยวายอยู่เลย วินาทีต่อมากลับทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เหลียงชงลั่งตามไม่ทันนิดหน่อย…เขามองชูหลี่หยิบปากกาที่อยู่บนโต๊ะเขาไปแก้บนจดหมายลา ขีดๆ เขียนๆ สองทีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้าเขาอย่างแรง…
เหลียงชงลั่งชะโงกศีรษะเข้าไปดู โอ้ ใช้วันลาประจำปีของตัวเองจริงๆ ด้วย
ดังนั้นเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อนุมัติการลาให้อย่างสบายอารมณ์ ส่วนชูหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เก็บจดหมายลาเตรียมตัวไปหาฝ่ายบุคคล…แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานรองประธานของเหลียงชงลั่งอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ชั่วขณะที่ปิดประตู เธอได้ยินคำพูดลอยมาจากทางที่นั่งของเขาเบาๆ
“บ้าไปแล้ว”
ใบหน้าชูหลี่มั่นคงดุจเขาไท่ซาน ออกไปอย่างเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป
ต้องขอบคุณการทุ่มเทปลูกฝังตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของเหล่าเหมียว ทุกอย่างที่พบเจอหลายเดือนมานี้สอนเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งให้เธอ นั่นก็คือ ‘อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนโง่ มันเปล่าประโยชน์’
ตอนเย็นขณะกลับบ้าน ชูหลี่จัดการอารมณ์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางข่าวซุบซิบนินทาในช่วงนี้ ทุกวันพอโจ้วชวนอัพเดตนิยายและโพสต์ลงเวยป๋อเสร็จก็จะล็อกเอาต์ออกมาทันที ไม่อ่านคอมเมนต์ ไม่อ่านที่แชร์โพสต์ ไม่อ่านข้อความส่วนตัว ใช้วิธีตามหลักการนกกระจอกเทศ* ที่ว่า ‘พวกคุณด่าได้ตามสบาย ผมไม่เห็นก็แสดงว่ามันไม่มีอยู่จริง’ เขาในฐานะคนติดโซเชียลจึงต้องหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยซีรี่ส์อังกฤษ ซีรี่ส์อเมริกัน ซีรี่ส์ญี่ปุ่น และซีรี่ส์เกาหลีที่ล้าหลังไปสิบกว่าปี จากนั้นก็ว่างงานจนกลายเป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง
ดังนั้นทุกวันหลังจากชูหลี่เลิกงาน เขาจะเดินตามหลังเธอเข้าๆ ออกๆ ห้องครัว ขึ้นๆ ลงๆ บันได ตอนที่เธอกำลังเช็ดเครื่องสำอาง ผู้ที่รออยู่ตรงประตูห้องน้ำตาปริบๆ นอกจากเจ้าเอ้อร์โก่วแล้ว ตอนนี้มีผู้ชายของเธอเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ชูหลี่เหลือบมองชายหนุ่มจากในกระจก “มีอะไรคะ”
เขาอารมณ์ไม่ดีและดูท่าทางเหมือนกำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรอยู่
โจ้วชวนเผยท่าทีลังเลออกมาราวกับว่ามีประโยคหนึ่งติดอยู่ที่ปลายลิ้น กลืนลงไปสามรอบ ในที่สุดก็เอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า
“ลางานแล้วหรือยัง”
“ลาแล้วค่ะ” ชูหลี่ก้มหน้าเปิดเครื่องล้างหน้า แล้วกดลงบนใบหน้าท่ามกลางเสียงดังครืดๆ “คุณพูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งวันอย่างกับพี่สะใภ้เสียงหลิน ฉันจะลืมได้เหรอคะ”
“ยืนยันวันแล้วนะ เป็นพุธนี้ถึงจันทร์หน้า”
“ค่ะ”
โจ้วชวนจ้องชูหลี่ สักพักก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยคงไม่ได้ขัดขาคุณหรอกนะ เท่าที่ผมรู้จักพวกเขา เหลียงชงลั่งอาจจะพูดว่านักเขียนดาวใกล้ร่วงอะไรสักอย่างออกมา คุณอย่าไปใส่ใจคำพูดบ้าบอพวกนั้นมากเลย…”
“…”
ดูสิ ความคิดของสุมาเจียว ผู้ผ่านทางล้วนล่วงรู้*
เหลียงชงลั่งคงคิดว่าฝีมือการแสดงของตัวเองยอดเยี่ยม แต่ปรากฏว่าแม้แต่คนทึ่มอย่างโจ้วชวนก็มองออกถึงความไม่เข้าท่าของเขา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ใบหน้าของชูหลี่สั่นเพราะแรงนวดจากเครื่องล้างหน้า แม้แต่เสียงพูดก็สั่นเล็กน้อย ทว่าสีหน้าภายใต้โฟมกลับสงบนิ่ง แววตาแน่วแน่ “ต่อให้เขาใจกล้าบ้าบิ่นแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดแบบนั้นหรอก คุณคือโจ้วชวนเชียวนะ”
มองจากในกระจก สีหน้าของชายหนุ่มที่พิงกรอบประตูค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย…หลายวันมานี้เขาคงถูกรังแกมาไม่น้อย มิฉะนั้นทำไมตอนนี้แม้แต่สุนัขอย่างเหลียงชงลั่งก็ยังมีอิทธิพลต่อเขาได้…โจ้วชวนผู้มั่นคง ถึงคราวที่เหลียงชงลั่งมาควบคุมความรู้สึกของเขาได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ชูหลี่มองท่าทางของโจ้วชวนแล้วก็นึกเอ็นดู จึงเอื้อมมือเขย่งเท้าไปตบศีรษะเขาเบาๆ การกระทำแบบนี้ทำให้เขาตะลึงงัน
ชูหลี่ล้างหน้าล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินผ่านโจ้วชวนเตรียมตัวจะไปทำอาหาร หลังจากละล้าละลังอยู่สองวินาที เขาก็เดินตามเธอเข้าไปในห้องครัวราวกับพวงหางเล็กๆ
ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่น พอเปิดดูก็เห็นว่าเป็นอากุ่ย หลังจากที่เธอรู้ว่า ‘โจ้วชวนคือ Mr. L’ ก็ยอมรับอย่างใจเย็นแล้วเชื่อมต่อกับบัญชีหลักของโจ้วชวนด้วยความดีอกดีใจ…
ตอนนั้นอากุ่ยพูดว่า ‘มีอะไรน่าโมโหกัน โกหกก็โกหกไปแล้ว วันเกิดตอนอายุสิบแปดของคุณวันนั้น จู่ๆ พ่อแม่บอกคุณว่าขอโทษนะลูกที่โกหกลูกมาสิบแปดปี จริงๆ แล้วครอบครัวของเรามีทรัพย์สินร้อยล้าน เดิมทีแล้วลูกไม่ต้องลำบากลำบนเรียนหนังสือขนาดนั้นหรอก…ปฏิกิริยาแรกของคุณคือรู้สึกเหมือนผืนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย จะเอามีดตัดเค้กพาดไว้บนคอตัวเองขู่ฆ่าตัวตายหรือไง…เลิกทำตัวเกิดมาท่ามกลางความสุขแต่ไม่รู้จักความสุขได้แล้ว ว่ากันตรงๆ เลยนะ ฉันรอวันที่พ่อแม่บอกคำนี้กับฉันมายี่สิบกว่าปี จะให้รออีกหนึ่งวันก็รอไม่ไหวแล้ว’
ผีที่อยู่ด้านหลังเธอ : ถามหรือยัง
โจ้วชวน : …
ผีที่อยู่ด้านหลังเธอ : เธอว่าไง ฉันรู้สึกว่าบ่ายวันนี้ตอนที่ชูหลี่คุยกับฉัน อารมณ์บ่จอยทะลุผ่านหน้าจอมาเลยล่ะ ไม่ใช่จอยที่แปลว่าร่าเริงสดใสนะ แต่โกรธต่างหากล่ะ
โจ้วชวน : เธอขู่ใคร
ผีที่อยู่ด้านหลังเธอ : ฉันไม่ได้ขู่ใคร แต่ฉันคิดว่าเหมือนฉันจะขู่คุณเข้าแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ!
โจ้วชวนแอบบ่นอากุ่ยว่า ‘เพ้อเจ้อชะมัด’ เงียบๆ อยู่ในใจ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง…
เฮ้อ
ชูหลี่ที่กำลังหันหลังให้เขาและหั่นผักอยู่ได้ยินเสียงถอนหายใจของชายหนุ่มก็ตกใจ ในใจคิดว่าหรือว่าทักษะการแสดงของตัวเองเมื่อกี้นี้จะแย่เกินไปจนโจ้วชวนมองออกเสียแล้ว
ต้นไม้ล้มลิงแตกกระเจิง* กำแพงล้มคนผลัก** แม้แต่เรื่องที่สุนัขอย่างเหลียงชงลั่งทำท่ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ เขาก็รู้เสียแล้ว
เขากำลังถอนหายใจ
เวลาแบบนี้คงเป็นเรื่องยากมากสินะที่คนคนหนึ่งจะต้องอดทนมากขนาดนี้
มิน่าล่ะ วันนี้พอเธอกลับบ้านเขาก็ตามติดเสียขนาดนั้น หรือว่าตอนที่เธอไม่อยู่บ้านจะมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือเหยียบจมูกปีนขึ้นหน้ามารังแกเขาอีก
คนที่เย่อหยิ่งอย่างโจ้วชวน ช่วงนี้ได้รับความไม่เป็นธรรมมากขนาดไหนกันแน่นะ…
จังหวะที่หั่นผักช้าลง ชูหลี่ยิ่งเหม่อลอยขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีดหั่นผักลื่น ความเจ็บแล่นปราดมาที่ปลายนิ้ว เธอร้อง “โอ๊ย” เบาๆ แล้วโยนมีดทิ้ง ก้มหน้ามองเห็นปลายนิ้วชี้ถูกบาดเป็นแผลค่อนข้างยาว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมา เธอขมวดคิ้วทันที…
“เป็นอะไรไป”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นมา จากนั้นภาพปลายนิ้วตรงหน้าก็มืดลง คนด้านหลังชะโงกหน้าข้ามไหล่เธอเข้ามาดู…เมื่อเห็นแผลที่ปลายนิ้วของเธอ ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วดุๆ
“เกิดอะไรขึ้น หั่นผักแล้วทำให้คุณโง่เหรอ…”
ชูหลี่ขยับริมฝีปาก ยังไม่ทันได้เอ่ยคำ วินาทีต่อมาชายหนุ่มก็จูงมือเธอพาเดินออกมาจากห้องครัว จากนั้นก็เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลจากที่ที่คุ้นเคย แล้วคว้าน้ำยาฆ่าเชื้อออกมา
ชูหลี่ตกตะลึง เพราะครั้งก่อนเขาเคยใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลเธอตาไม่กะพริบอยู่เลย
“มองอะไร” โจ้วชวนยื่นมือไปกดชูหลี่ให้นั่งลงบนโซฟา “ครั้งก่อนใช้แอลกอฮอล์ไม่ใช่ว่าเจ็บจนร้องไห้หาพ่อแม่หรอกเหรอ หลังจากนั้นผมก็ไปค้นหาในเน็ตว่าถ้าจะทำความสะอาดแผลให้คนซุ่มซ่ามควรใช้อะไรฆ่าเชื้อดี…”
ชายหนุ่มพูดไปพลาง ทว่ากลับเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ใช้สำลีทำความสะอาดเลือดรอบๆ แผลให้เธออย่างเบามือ…
“แผลลึกขนาดนี้ หั่นแรงน่ะสิ หั่นผักกาดหอมต้องใช้แรงขนาดนั้นหรือไง คุณเป็นบ้าเหรอ…”
ถ้อยคำอบรมสั่งสอนยังพูดไม่ทันจบ วินาทีต่อมามือที่กำไว้ในฝ่ามือก็ชักออก หญิงสาวที่เดิมทีนั่งเงียบๆ อยู่ตรงหน้าตนส่งเสียง “ฮึก” ดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็โผเข้าสู่อ้อมอกเขา ท่อนแขนเพรียวคล้องคอเขาไว้อย่างแน่นหนา ปลายจมูกกดลงบริเวณเส้นเลือดใหญ่ตรงส่วนคอของเขา…
“…”
โจ้วชวนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้แค่ว่าตอนนี้คนที่อยู่ในอ้อมกอดร้องไห้ด้วยความเสียใจราวกับว่าได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรสักอย่างจากพระเจ้า เมื่อเขายกมือขึ้นตบหลังเธอเบาๆ อย่างเงียบเชียบ เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น…ราวกับฟ้าจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
เปิดเขื่อนซะน้ำท่วมเชียว
เป็นอะไรไป
แน่นอน โจ้วชวนไม่รู้ว่าเวลานี้ชูหลี่กอดเขาเหมือนกอดเด็กน้อยที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเพื่อชดเชยให้กับความอัปยศที่เขาได้รับจากพวกผู้ใหญ่เจ้ายศเจ้าอย่างเหล่านั้นที่บ้านเพียงลำพังเมื่อตอนบ่าย และแล้วก็ทนไม่ไหวจนน้ำตาไหลออกมาอีก…ตอนนี้โจ้วชวนเองก็ทำได้เพียงกอดเธอไว้เงียบๆ ปล่อยให้เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพอใจ
ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือก็สั่น โจ้วชวนล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างยากลำบาก วางมือบนแผ่นหลังชูหลี่ ปลดล็อกดูแวบหนึ่ง ยังคงเป็นเจ้าเด็กผี
ผีที่อยู่ด้านหลังเธอ : ฉันคิดๆ ดูแล้วนะพี่ใหญ่ คุณเลิกถามก่อนเริ่มพูดเถอะให้ตาย ทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว น้ำมาเกิดคูคลอง* แค่ขอเล่นผีผ้าห่มสักยกมันยากขนาดนั้นเลยหรือไง!
ตอนเช้าเธอไม่รับปากก็ส่วนตอนเช้า สิบสองชั่วโมงผ่านไปแล้ว คุณรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้จะมีหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไร
ใช้ชีวิตให้เป็นจังหวะเดียวกับเวลาทำเรื่องใต้สะดือซะเลยสิ…
ตอบสนองข้อเรียกร้องประเทศขนาดนี้ ประชุมสภาประชาชนครั้งหน้าคุณไปเป็นตัวแทนต้นแบบสุขภาพจิตของเด็กนักเรียนประถมมัธยมเลยเถอะ!!
* แสงแดดรุนแรง สรรพสิ่งเผยรูปลักษณ์แท้จริง เดิมเป็นชื่อหนังสือของนักเขียนนามปากกา ‘อาอี่’ ภายหลังใช้ในความหมายที่ว่าชื่อเสียงหรือสิ่งของที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
* นกกระจอกเทศ หมายถึงคนที่อ่อนแอขี้ขลาดที่หนีความจริง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา
* ความคิดของสุมาเจียว ผู้ผ่านทางล้วนล่วงรู้ หมายถึงผู้มีแผนการร้าย แม้ไม่แสดงออกมาผู้คนก็มองออกได้โดยง่าย มีที่มาจากสมัยสามก๊ก สุมาเจียว (ซือหม่าเจา) อัครเสนาบดีวุยก๊ก ผู้มีความทะเยอทะยานและมักใหญ่ใฝ่สูง ฮ่องเต้โจมอ (เฉาเหมา) รู้ว่าตนเป็นเพียงหุ่นเชิดจึงคิดจะกำจัดสุมาเจียว แต่สุมาเจียวรู้ตัวจึงให้เซงเจ (เฉิงจี้) กำจัดฮ่องเต้โจมอแทน เมื่อฮ่องเต้โจมอสวรรคต สุมาเจียวก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ต่อหน้าพระศพว่าตนยังจงรักภักดีต่อฮ่องเต้โจมอและประหารเซงเจข้อหาลอบปลงพระชนม์เพื่อไม่ให้ผู้ใดครหาว่าตนเป็นโจรกบฏชิงราชสมบัติ
* ต้นไม้ล้มลิงแตกกระเจิง หมายถึงเมื่อผู้มีอำนาจสูญเสียอำนาจ ลูกน้องที่ติดตามก็แยกย้ายไปกันคนละทิศละทาง
** กำแพงล้มคนผลัก หมายถึงเมื่อตกที่นั่งลำบาก คนมากมายก็พร้อมที่จะฉวยโอกาสซ้ำเติม
* น้ำมาเกิดคูคลอง อุปมาว่าเมื่อเงื่อนไขพร้อม เรื่องราวก็สำเร็จได้โดยปริยาย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.