บทที่ 121
มีของเหลวร้อนๆ ไหลลงมาตามลำคอผ่านกระดูกไหปลาร้า โจ้วชวนวางโทรศัพท์ลง ยื่นมือไปประคองใบหน้าที่ซบอยู่ตรงส่วนคอของตนขึ้นมา…ดวงหน้าที่อยู่ในมือแดงก่ำเพราะร้องไห้อย่างหนักและกลั้นเอาไว้ บนขนตายังมีหยาดน้ำตาเกาะอยู่ สั่นไหวคล้ายจะร่วงหล่นลงมา ดวงตาแดงก่ำหรี่ลง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนดอกสาลี่ต้องหยาดฝนที่น่ามองเหมือนกับนางเอกในซีรี่ส์เกาหลีเลยสักนิด…
แต่ได้ผลกับแค่โจ้วชวนเพียงคนเดียวเท่านั้น
พอเขามือไม้อ่อนก็คลายมือออก “ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่ต้องร้อง ก็แค่นิ้วบาดไม่ใช่หรือไง ถึงขั้นร้องไห้จนเป็นแบบนี้ อย่างกับเด็กประถม…”
ชูหลี่ฉวยโอกาสซุกเข้าไปในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง หน้าผากพิงที่หน้าอกเขา เช็ดน้ำตาบนนั้น “ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้…ฮือๆ…”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ งั้นเพราะเรื่องอะไรล่ะ” ชายหนุ่มตบหลังเธอพลางดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างสะเปะสะปะ “เป็นเพราะผมพูดอะไรหรือเปล่า ผมไม่ได้ด่าคุณสักหน่อย ก็แค่บอกว่าต่อไปนี้ให้คุณระวังหน่อย…คุณจิตใจเปราะบางขนาดนี้เชียว? คุณดูคุณสิ อยู่ข้างนอกฮึ่มฮั่มเป็นเสือ ทำไมพอกลับบ้านมาก็กลายเป็นลูกหมาฮัสกี้ไปซะแล้ว ถ้าให้คนอย่างเหลียงชงลั่งเห็นเข้าล่ะก็…”
ชูหลี่สะอื้น ขณะกำลังคิดจะพูดว่า ‘ฉันไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าคนงี่เง่าแบบนั้นหรอก ต่อให้สับหัวฉันก็ไม่มีทาง!’ แต่คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก ดวงตาที่หรี่จนกลายเป็นเส้นก็เห็นชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดของเขาเอง จากนั้นก็ดึงตัวเธอขึ้นมา ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ได้ ถ้าคุณจะร้องไห้ก็กลับมาร้องที่บ้าน”
น้ำตาของคุณควรเป็นสิทธิพิเศษสำหรับผม ผมผ่านความยากลำบากมามากมายกว่าจะได้เป็นแฟนของคุณ จะคาดหวังอะไรได้มากกว่านี้ล่ะ
คนที่มีสิทธิ์เห็นน้ำตาของคุณแล้วแข้งขาอ่อน บนโลกใบนี้นอกจากพ่อคุณแล้วก็มีได้แค่ผมเท่านั้น
โจ้วชวนพูดอย่างแน่วแน่ พูดจบก็รู้สึกว่าตนเองมีลักษณะอย่างชายชาตรีเป็นพิเศษ…สำหรับเขาแล้ว การประกาศแบบนี้กับคำพูดที่พระเอกมักจะพูดในนิยายโรแมนติกต่างกันแค่เครื่องหมายวรรคตอนเท่านั้น…
หารู้ไม่ว่าระหว่าง ‘ความเป็นชายชาตรี’กับ ‘มะเร็งชายแท้* ระยะสุดท้าย’ มีเส้นบางๆ กั้นอยู่
พอพูดจบโจ้วชวนก็แสดงความพึงพอใจออกมา แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแขนเสื้อของตนถูกคนกระตุก เขาก้มหน้าลงมองด้วยความงุนงงเล็กน้อย แล้วก็พบกับใบหน้าที่น่าสงสาร จมูกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มของเธอแดงก่ำ ซึ่งขณะนี้ค่อยๆ ปลุกเร้าอารมณ์ของเขาขึ้นมาทีละนิด เธอเอ่ยถามเสียงเบา
“โจ้วชวน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงร้องไห้ คุณรังเกียจฉันแล้วใช่ไหม”
“…”
ไม่มีใครรังเกียจลูกหมาฮัสกี้ที่หูลู่แล้วร้อง ‘หงิงๆ’ เหมือนเด็กๆ หรอก
ไม่มี
สุนัขพันธุ์นี้พังบ้านเละเทะด้วยพละกำลังมหาศาล นอกจากงานที่พวกมันต้องทำอย่างการลากล้อเลื่อนหิมะให้กับพวกชนเผ่าเอสกิโมแล้ว ที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกล้วนเอาแต่กินดื่มรอวันตาย ทว่าสาเหตุหนึ่งเดียวที่ปัจจุบันนี้ยังไม่สูญพันธุ์ไปจากโลกก็เพราะความน่ารักของพวกมัน…
ก็เหมือนกับคุณ
ก็เหมือนกับคุณ
ก็เหมือนกับคุณ
ถูกมองตาปริบๆ เช่นนี้ โจ้วชวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะเสียงดัง ‘พรืด’ ออกมา ขณะที่ชูหลี่กำลังมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาอย่างงุนงง ชายหนุ่มก็ประคองใบหน้าชื้นแฉะที่อยู่ตรงหน้าและประทับจูบลงไปบนริมฝีปากนุ่มของเธออย่างแม่นยำ…งับริมฝีปากเธออย่างระมัดระวัง คงเพราะยังลบลิปไม่สะอาดหรือไม่ก็สาเหตุอื่น เขารู้สึกว่าตนเองกำลังกินอะไรบางอย่างที่มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ กลิ่นแบบนี้มักจะลอยมาจากตัวชูหลี่ในตอนเช้าตรู่หลังจากเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ
ปลายลิ้นสอดเข้าไปในริมฝีปากของเธอ หลังจากที่เธอร้องไห้ก็เริ่มเปิดปากอย่างให้ความร่วมมือและปล่อยให้เขาได้สำรวจอย่างราบรื่น…
มือของชายหนุ่มที่ประคองใบหน้าเลื่อนไปยังเอวของเธอ
เธอคุกเข่าลงบนโซฟาและเงยหน้ารับจูบของเขา ขณะนั้นปลายนิ้วของชายหนุ่มล้วงเข้าไปในใต้ชายเสื้อของเธอ ก็สัมผัสได้ถึงหุบเหวเล็กๆ ที่เกิดจากการโค้งเว้าโดยธรรมชาติของกระดูกก้นกบและกล้ามเนื้อส่วนหลังได้อย่างง่ายดาย เพราะเธอเงยหน้า…
ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกถึงมือของเขา…
ความจริงแล้วชั่วพริบตาแรกที่มือของโจ้วชวนแตะเอวเธอ เธอก็สั่นระริกราวกับกุ้ง…ปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกับเขาชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจึงยื่นมือไปยึดท้ายทอยของเธอไว้ไม่ให้ขยับออก
กระทั่งลมหายใจของเธอไม่สะดุด ความพร่าเบลอกลางอากาศทำให้เธอเหมือนกับจะจมน้ำตาย รู้สึกได้ว่ามือของชายหนุ่มคลำบนตะขอกระโปรงที่เอวเธออย่างไม่ประสงค์ดี จากนั้นขณะที่เธอยังไม่ได้สติกลับคืนมาครบถ้วน เขาใช้นิ้วที่คล่องแคล่วทั้งสองนิ้วดันแล้วกด…ชูหลี่พลันรู้สึกว่าตะขอตรงช่วงเอวคลายออก!
“โจ้วชวน” ชูหลี่อุทานเบาๆ พยายามถอนปลายลิ้นออกมาจากโพรงปากของชายหนุ่ม “คุณ…คุณ…”
เอ้อร์โก่วนอนหมอบมองดูอยู่ไกลๆ ตรงประตูห้องครัว
ส่วนเธอก็เขินจนหน้าแดง
ทว่ามือของโจ้วชวนกลับประคองรอบเอวเธออย่างแผ่วเบา นิ้วมือลูบไล้รอยจางๆ ที่ถูกกระโปรงรัดบนเอวเธอ
“รัดจนเป็นรอยแล้ว อ้วนขึ้นหรือเปล่า”
ใบหน้าชูหลี่เห่อร้อนจนแดงตั้งแต่ใบหน้าลามไปถึงใบหูและต้นคอ เธอถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่ใช้เสียงเอื่อยเฉื่อยถามคำถามทะลึ่งแบบนี้กับเธอ ในดวงตายังคงมีหยาดน้ำที่ยังไม่แห้งหลังจากการร้องไห้เมื่อครู่นี้…วินาทีถัดมาเธอได้ยินชายหนุ่มกำลังหัวเราะเบาๆ จากนั้นร่างเธอพลันถูกกระโจนใส่ จากที่นั่งคุกเข่าก็ล้มลงนอนหงายบนโซฟาเสียงดัง ‘ฟึ่บ’ เส้นผมยุ่งเหยิงปรกตา เธอรู้สึกว่าปลายนิ้วที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้ถูกของที่นุ่มและร้อนชื้นกวาดผ่านอย่างรวดเร็ว จึงนิ่งงันไป
“เลือดหยุดไหลแล้ว” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำและแหบพร่าเล็กน้อย “ยังจะพันแผลหรือเปล่า”
ขณะที่กล่าวคำพูดนี้ มือของเขาก็วางบนต้นขาเธอ
ตะขอกระโปรงหลุดออกแล้ว เพราะการเคลื่อนไหวติดต่อกันหลายครั้งก่อนหน้านี้ ซิปจึงรูดลงมาแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังห้อยอยู่บนสะโพกอย่างหลวมๆ…ปลายเดือนพฤษภาคมแล้ว อากาศค่อยๆ ร้อนอบอ้าว ชูหลี่สวมแค่ถุงเท้ายาวเลยเข่าคู่เดียว และตอนนี้ต้นขาด้านในก็แนบชิดกับต้นขาของชายหนุ่ม
เขาคุกเข่าอยู่ตรงหว่างขาเธอ…มือข้างหนึ่งประคองศีรษะของเธอไว้ เขาอยู่บนร่างเธอแล้ว
…นี่…นี่…นี่จะทำอะไรน่ะ
ชูหลี่เบิกตากว้างแล้วกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่โน้มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ…เขาจูบเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้อ่อนโยนและนุ่มนวลกว่าก่อนหน้านี้ เพียงแต่จุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากบวมแดงของเธอซึ่งทำให้จั๊กจี้เล็กน้อย…แต่ไม่นานนักเขาก็ถอนปลายลิ้นออกไป ประทับจูบอันชื้นแฉะลงที่หว่างคิ้ว ดวงตา และปลายจมูกของเธออย่างสะเปะสะปะ หลังจากนั้นอุณหภูมิที่ร้อนรุ่มกระแสหนึ่งก็แผ่ลามลงไปข้างล่าง…
เมื่อเขาขบเนื้อบริเวณติ่งหูของเธอ ทำให้ชูหลี่ครางออกมา ค่อยๆ เชิดลำคอเรียวยาวขึ้น…
ราวกับหญิงสาวที่ถูกสังเวยต่อปีศาจบนแท่นบูชาในภาพวาดสีน้ำมัน
ห่างออกไปไม่ไกล เอ้อร์โก่วที่เปลี่ยนจากท่านอนหมอบเป็นลุกขึ้นนั่ง เงยหน้าเห่า “โฮ่ง” อย่างได้ใจ!
รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ใต้ร่างสั่นระริกราวกับได้สติกลับคืนมา ในขณะที่กำลังยุ่งอยู่ โจ้วชวนคว้าลูกกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปยังสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ทางนั้น สุนัขตัวใหญ่กระโดดโหยง ขู่แง่งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปยังเบาะนอนในคอกของตน…
จุมพิตของชายหนุ่มคลอเคลียอยู่บริเวณลำคอขาวเนียนของเธอ ทิ้งรอยแดงไว้อย่างไม่สนใจ…เขาใช้ฟันขบเม้มตรงกระดูกไหปลาร้าของเธอราวกับกำลังหยอกเย้า จากนั้นก็เลื่อนลงไปเรื่อยๆ ปลายจมูกโด่งไล้มาจนถึงบริเวณหน้าอกเธอ กระดุมเม็ดที่สี่ไม่รู้ว่าถูกปลดออกตั้งแต่เมื่อไร
ชูหลี่ก้มหน้า มองปลายจมูกของโจ้วชวนที่ฝังเข้ามาในเสื้อเชิ้ตที่หลุดลุ่ยของตน จึงยกมือขึ้น ใช้หลังมือปิดตาของตนเองด้วยความตื่นเต้น…
จากนั้นก็พบว่ายิ่งแย่ไปกันใหญ่ การทำแบบนี้ทำให้เธอไวต่อการสัมผัสมากยิ่งขึ้น…ถึงขั้นรู้สึกได้ว่าเขาค่อยๆ เลื่อนศีรษะลงไป ปลายจมูกแตะที่ขอบกางเกงในที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตของเธอคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ!
“โจ้วชวน…”
“หืม?”
ชูหลี่อ้าปากคิดจะพูดอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นเอง จู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่เธอวางไว้บนโต๊ะน้ำชาก็แผดเสียงร้องขึ้นมาอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำเอาคนทั้งสองที่กำลังมีอารมณ์เร่าร้อนอยู่ในตอนนี้ตกอกตกใจหมด! ชูหลี่มองโจ้วชวนตาปริบๆ หลังจากที่ชายหนุ่มสบตากับเธอเงียบๆ อย่างจนใจก็ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น ชะโงกศีรษะไปดู
“…แม่คุณน่ะ”
“…”
ชูหลี่ได้ยินดังนั้นก็ดิ้นตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นมา โจ้วชวนฉวยโอกาสกดเธอกลับลงไปนอนบนโซฟา ยื่นแขนยาวๆ ไปคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโยนให้เธอ…หญิงสาวรับโทรศัพท์มาอย่างมือไม้เป็นพัลวัน จากนั้นก็เลื่อนปุ่มรับสาย เอาโทรศัพท์แนบหู เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“ฮัลโหล แม่”
ได้ยินเธอพูดสามพยางค์นี้ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนสีหน้า
เธอมองเขาอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนที่ตนใช้เสียงแหบพร่าที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาหยกๆ เรียก ‘แม่’ อย่างนุ่มนวล ยั่วยุให้คนอยากทำบาปมากแค่ไหน…โจ้วชวนสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากคิดแบบนั้นเขาก็อยากจะฆ่าตัวเองเสีย รู้สึกว่าตัวเองโรคจิตมาก เพราะบนโลกนี้คงน้อยนักที่จะมีผู้ชายหุนหันพลันแล่นถึงขั้นอยากจะกลืนแฟนสาวลงท้องตัวเองภายในคำเดียว
“หนูไม่ได้ร้องไห้ แค่เป็นหวัดนิดหน่อยเอง…อื้ม งานราบรื่นดีค่ะ หนูได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้า บ.ก. แล้วนี่นา เพราะงั้นงานก็เลยเพิ่มขึ้นน่ะ…แม่พูดเรื่องนี้กับพ่อหรือยัง บอกให้เขาอย่าเอาแต่เรียกให้หนูกลับบ้าน”
ชูหลี่นอนคุยโทรศัพท์บนโซฟาอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ขณะนี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามือข้างหนึ่งของชายหนุ่มคว้าแข้งเธอไว้
เธอตกตะลึง เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าขาถูกดึงขึ้นมา จากนั้น…บริเวณข้อพับขาก็พาดบนบ่าเขาอย่างมั่นคง
มุมนี้มัน…
“หนู” เสียงคุยโทรศัพท์ของชูหลี่พลันตะกุกตะกัก “หนูเองก็เปลี่ยนที่พักแล้วเหมือนกัน ที่ที่พักอยู่ตอนนี้ดีมากค่ะ สภาพแวดล้อมดีมากเลย…แม่คะ แม่โทรหาหนูมีธุระอะไรเหรอ”
ปกติเวลาคุยโทรศัพท์กับที่บ้านเธอมักจะออดอ้อนอยู่พักหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มยื่นมือมาถอดถุงเท้ายาวเลยเข่าที่อยู่บนขาเธอลงมา ชูหลี่ก็ขนลุกขนพอง อยากจะรีบวางสายไปเสีย!
เธอยกเท้าถีบชายหนุ่มทีหนึ่ง เขาเซนิดหน่อยแต่กลับหลุบตากระชากถุงเท้ายาวเลยเข่าของเธอต่ออย่างมุ่งมั่น…ระหว่างที่เซชายกระโปรงของชูหลี่ก็เลื่อนลงไปข้างล่าง เธอรีบยื่นมือไปกุมไว้ทันที…
ชายหนุ่มปัดมือเธอออก มือใหญ่อีกข้างหนึ่งกำน่องของเธออย่างแน่นหนา ก้มหน้าดูเท้าของเธอ ราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาก้มตัวประทับจูบลงบนหลังเท้าของเธอ…
จากนั้นก็เหมือนกับถูกปีศาจเข้าสิง เพราะเขาไล่จูบตั้งแต่หลังเท้า ข้อเท้า ขึ้นไปจนถึงหน้าแข้ง เขาหรี่ตาราวกับตั้งใจทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างมาก…ลมหายใจของชูหลี่เปลี่ยนเป็นหอบถี่ ขอบตาแดงก่ำอีกครั้ง อยากจะหนีออกไป ทว่าขาข้างนั้นกลับถูกชายหนุ่มยึดไว้ในฝ่ามือจนขยับไม่ได้
ปลายสายชูหลี่ได้ยินแม่ของเธอพูดถึงเรื่องแฟน พูดถึงเรื่องนัดบอด ลูกชายของลูกพี่ลูกน้องของสามีของอาเล็กอะไรสักอย่างจบจากมหาวิทยาลัยกั๋วฝาง รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา อนาคตไกล เขาอาจจะชอบแกก็ได้…
เธอไม่สนใจสักนิด ในสายตาเธอมีแค่โจ้วชวนเท่านั้น
ขณะนี้เองจูบของชายหนุ่มก็ไล่ขึ้นมาถึงเข่าของเธอแล้ว จากนั้นก็เลื่อนมาตรงชายกระโปรงส่วนที่เรียกว่า ‘อาณาเขตสัมบูรณ์’* ปลายจมูกเย็นเฉียบของเขาจรดลงตรงนั้น แต่คงจะได้ยินเสียงอะไรในสายโทรศัพท์ การกระทำของเขาจึงหยุดชะงักทันที เหลือบตามองเธอแวบหนึ่ง
นัยที่แฝงอยู่ในดวงตาของเขาทำให้เส้นผมของชูหลี่แทบจะตั้งชันขึ้นมา
“แม่ หนูไม่อยากนัดบอดแล้ว หนู…อ๊ะ!”
เธอรีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างลนลาน แต่กลับถูกเสียงร้องแหลมของตัวเองขัดจังหวะ เพียงเพราะชายหนุ่มแลบลิ้นเลียผิวเนื้อของเธอ จากนั้นก็อ้าปากกัดทีหนึ่ง มืออีกข้างของชูหลี่ที่วางข้างลำตัวยกขึ้นมาปิดปากของตนไว้ จากนั้นก็รู้สึกว่าควรกัดมันไว้เพื่อไม่ให้ปลายสายจับความผิดปกติของตัวเองได้…
ชายหนุ่มค่อยๆ หยัดตัวขึ้นมาจนโซฟาส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดหนักๆ เขามองเธอนิ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์ ใช้ปากถามโดยไม่มีเสียง
“นัดบอด?”
ขณะที่ถาม มือใหญ่ก็ค้ำอยู่บนต้นขาของเธอ ราวกับเน้นย้ำการมีตัวตนของเธอ มือเขาเลื่อนขึ้นมาอีกครั้ง ขณะนี้เองปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ใกล้จะแตะแล้ว ใกล้จะแตะแล้ว…
แตะบริเวณที่พูดออกมาไม่ได้
ชูหลี่ถูกสัมผัสจนแทบจะร้องไห้ เธอรับรู้ได้ถึงการคุกคามที่ถ่ายทอดมาโดยไร้สุ้มเสียงจากชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าเมื่อคุยโทรศัพท์สายนี้เสร็จ เธอยังจะมีชีวิตอยู่จนเห็นดวงตะวันในวันพรุ่งนี้หรือไม่…
ทำอะไรน่ะ
เขาอารมณ์ไม่ดีไม่ใช่เหรอ
ทำไมยังคุกคามคนอื่นอย่างเริงร่าขนาดนี้ได้ล่ะ
อารมณ์ไม่ดีก็ทำเรื่องอย่างนี้ได้หรือไง!
มือของเขาวางไว้ตรงไหน
ทำไมมือของเขามาวางอยู่ตรงนี้ได้
ถ้าฉันพูดอะไรผิดไป เขาก็จะ…
“หนูไม่นัดบอด หนูไม่นัดบอดค่ะ” ชูหลี่ไม่กล้าคิดต่อ กำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น กลางฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ จ้องดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้นของชายหนุ่ม เธอไม่รู้ว่าคำพูดนี้ตกลงพูดให้ใครฟังกันแน่ “หนูมีแฟนแล้ว ใช่ๆ มีจริงๆ ค่ะ ดีเลิศมากๆ…”
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการประจบประแจง แต่น่าเสียดาย คนที่ถูกชื่นชมยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ดูท่าทางเอาใจยากทีเดียว
เมื่อแม่ซักเธอจนสะอาดแล้ว ชูหลี่ก็วางสายอย่างหวาดกลัวจนฉี่แทบจะราด โยนโทรศัพท์มือถือออกไป…บรรยากาศยังคงนิ่งค้างราวกับว่ามีลูกธนูพาดอยู่บนสายและจำเป็นต้องยิงออกไป
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งยังไม่กล้าคิดให้ละเอียด ได้แต่เกร็งแขน กางมือกอดเอวชายหนุ่มไว้ พูดเบี่ยงประเด็นเสียงเบา
“อาจารย์โจ้วชวน ฉันหิวแล้วค่ะ เราสั่งดีลิเวอรี่กันดีไหม”
…ขอร้องคุณล่ะ กินข้าวเถอะ กินอิ่มแล้วจะได้ไม่ ‘หิว’
* มะเร็งชายแท้ หรือลัทธิชายเป็นใหญ่ เป็นคำที่ผู้หญิงจีนนิยมใช้เรียกเพศตรงข้ามที่ชอบหมกมุ่นเรื่องเพศ นอกจากนี้ยังหมายความว่าผู้ชายที่ไม่เข้าใจผู้หญิงและมองตัวเองเป็นใหญ่
* อาณาเขตสัมบูรณ์ คือเนื้อหรือผิวเปลือยบริเวณต้นขาระหว่างถุงเท้าที่ยาวถึงเข่าหรือเหนือเข่าไปจนถึงชายกระโปรงสั้น เป็นคำสแลงที่โอตาคุมักจะใช้กับตัวละครผู้หญิงในการ์ตูนมังงะ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.