บทที่ 3
เธอคงต้องมรณภาพแล้ว!!!!
ชูหลี่ไม่รู้ว่า Mr. L และสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยมีความคับแค้นใจอะไรต่อกัน เป็นเพราะสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยเป็นหนี้ค่าต้นฉบับเขาหรือว่าสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยมีตาหามีแววไม่ ปฏิเสธต้นฉบับอันเยี่ยมยอดของเขากันนะ
ชูหลี่ไม่กล้าเอ่ยถาม จึงทำได้แต่พิมพ์ส่งไปว่า ‘…’ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงเหมือนอยากจะนอนต่อ ครั้นหลับตาลงเมื่อใดก็นึกถึงหน้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นจนทำให้นอนไม่หลับ…ทำได้เพียงลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาคุยกับ Mr. L ต่อ เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจเรื่องสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : อ้อ! มีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ฉันได้เจอกับนักเขียนคนหนึ่งหลังสัมภาษณ์วันนี้ด้วยแหละ ฮ่าๆๆๆๆๆ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก กำลังคุยกับ บ.ก. เป็นการส่วนตัวแบบเสียงดังโวยวายและไร้เหตุผลมากที่ห้องทำงาน เฮ้อ…ไม่รู้ว่าใหญ่มาจากไหน คนเรานี่ตัดสินจากภายนอกไม่ได้เลยจริงๆ ภาพลักษณ์ภายนอกที่ทุกคนเห็นในเวยป๋อคงน่ารักใสซื่อมาก แต่เนื้อแท้แล้วนั้น เหอๆๆๆๆ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ไม่เหมือนกับโจ้วชวนผู้ที่แสนจะอ่อนโยน
อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยากที่จะจินตนาการได้ว่าทำไมการสนใจผู้ชายคนหนึ่งจึงเป็นหัวข้อสนทนาที่พูดกันไปเรื่อยเปื่อยได้ขนาดนั้น…
Mr. L ที่หายไป : …อ่อนโยน?
Mr. L ที่หายไป : เจอนักเขียนเพี้ยนๆ มา?
Mr. L ที่หายไป : นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าเธอได้เป็น บ.ก. แล้วจะรู้เองว่าพวกนักเขียนนักวาดพวกนั้นน่ะ ไม่ค่อยมีใครปกติกันนักหรอก…
Mr. L ที่หายไป : บอกตามตรงนะ ฉันแปลกใจว่าทำไมเธอถึงยังถือเอาเรื่องพวกนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจอยู่ในตอนนี้ ลืมไปแล้วเหรอว่าพวกเราพบกันได้ยังไง
ชูหลี่ “…”
Mr. L เพศชาย อายุประมาณสามสิบปี โสด ไม่ทราบอาชีพ ไม่ทราบรายรับ ไม่ทราบรูปลักษณ์ ไม่ทราบเสียง…
หลังจากที่ได้รู้จักกันเป็นปีที่สามแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงเป็นการสื่อสารกันผ่านโลกออนไลน์อย่างเรียบง่ายและบริสุทธิ์ ไม่เคยออกนอกกรอบแม้แต่น้อย และได้รับการดูแลให้คงอยู่ต่อไปโดยไม่มีอุปสรรค
…หากจะให้พูดถึงเรื่องที่ทั้งสองรู้จักกันได้อย่างไร คงต้องเริ่มพูดถึงการรวมตัวกันของนักวาดที่บ้าคลั่งบางคน
สามปีก่อน
ในปีนั้นชูหลี่ยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง สำหรับน้องใหม่จะทำอะไรได้นอกจากเล่นเกมออนไลน์ในหอพัก โชคร้ายที่เธอได้พบกับเกม ‘X’ ซึ่งเป็นเกมออนไลน์แนวแฟนตาซีตะวันออกสุดตระการตาที่ดูดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเธอไป…เมื่อเล่นเกมไปได้เรื่อยๆ ก็เริ่มให้ความสนใจกับโดจิน* ที่เกี่ยวข้องกับเกมออนไลน์ไปโดยปริยาย อยู่มาวันหนึ่งเธอเลื่อนดูเวยป๋อในหน้าแรก ทันใดนั้นก็เจอโพสต์ภาพวาดเกม ‘X’ ที่ตนเองเล่นอยู่ จำนวนการแชร์ภาพน่าจะอยู่ในช่วงพันต้นๆ และต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ถึงกับต้องถอนหายใจ…
‘ว้าว! งานละเอียดยิ่งกว่าโฟโต้บุ๊กที่เป็นตัว official เสียอีก!’
‘พระเจ้า!!! คู่จิ้นที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมคู่นี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีแฟนด้อมแล้ว QAQ’
‘ผู้เขียนมีลายเส้นที่สื่อถึงอารมณ์ การเป็นเทพอยู่ใกล้แค่เอื้อม’
ภาพวาดสวยจริงๆ เมื่อคลิกเข้าไปดู เป็นของนักวาดผู้มีแฟนคลับเพียงสามพันนิดๆ และใช้ชื่อว่า ‘เจี่ยน’ ภาพวาดนั้นยังถูกแฟนคลับแชร์ไปมากกว่าพันคน เธอยังโพสต์บนหน้าเวยป๋อของตนว่ามีความสุขที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีเช่นนี้ และจะทำงานให้หนักเพื่อผลตอบรับที่ดียิ่งขึ้น…
คู่จิ้นที่เจี่ยนวาดขึ้นมาคู่นี้มีภาพลักษณ์ค่อนข้างน่าเบื่อและไม่ค่อยมีใครจับคู่ตัวละครสองตัวนี้เข้าด้วยกันเท่าไร ชูหลี่กดติดตามผลงานของนักวาดคนนี้อย่างง่ายดาย และยังตั้งหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนเป็นภาพแรกที่เจี่ยนวาดขึ้นมาอีกด้วย…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวติดตามนักวาดคนนี้มาเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วจนกลายเป็นแฟนคลับอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอแทบจะไม่เชื่อสายตาตนเองว่าความคิดเห็นที่มีต่อนักวาดตัวน้อยซึ่งเมื่อก่อนมีแค่สามสี่สิบความคิดเห็นกลับเพิ่มขึ้นมาก นักวาดที่มีแฟนคลับราวไม่กี่พันคนมีชื่อเสียงมากขึ้นจนยอดติดตามขยับขึ้นมาอยู่ที่สี่หมื่นคน…และชูหลี่ในตอนนั้นก็จับพลัดจับผลูมาเป็นแอดมินกระดานข่าวคอยดูแลระบบการแสดงความคิดเห็นต่อคู่จิ้นที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนี้อย่างมืออาชีพ
หน้าที่ในการจัดการกระดานข่าวที่จริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าการคอยดูโพสต์แย่ๆ ขอแค่อย่ามีใครสร้างปัญหาในนี้ก็พอ จนวันหนึ่งไอดีที่มีชื่อว่า ‘Mr. L ที่หายไป’ ก็ปรากฏตัวขึ้น…
ในวันนั้นนักวาดเจี่ยนกำลังโพสต์ภาพโดจินภาพใหม่ เป็นภาพตัวละคร A กำลังขี่ม้าพร้อมถือร่มที่ทำจากใบบัว และตัวละคร B กำลังยืนจูงม้าอยู่ข้างๆ ทั้งคู่จ้องมองซึ่งกันและกันท่ามกลางสายลมและละอองฝน…ดูแล้วน่าสนใจเอามากๆ
Mr. L เขียนบทบรรยายโดยอิงจากภาพวาดภาพนี้ เขาเขียนบรรยายภาพโดจินสั้นๆ โดยขยายเนื้อเรื่องให้กว้างออกไป เมื่อคนชุดดำอย่างนักฆ่า A อยากกลับใจ เพราะได้พบรักกับ B นักปราชญ์ชุดขาวผู้อ่อนโยน ด้วยความรักแท้จริงที่เกิดขึ้น ทำให้เขาเลือกที่จะล้างมือที่เคยเปื้อนเลือด ชุบตัวใหม่ในอ่างทองคำ และวางมือจากการเข่นฆ่า ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็กลับคืนสู่ป่าเขา…ในฉากสุดท้ายของเรื่อง A ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าพูดกับ B ที่กำลังจูงม้าว่า
‘ต่อให้มีความสุขเทียบเท่าแม่น้ำหรือทะเลสาบ ต่อให้ควบม้าอยู่ในสนามรบหรือมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือเพียงใด หาได้เทียบเท่ากับม้าหนึ่งตัว ดอกบัวหนึ่งดอก และเจ้า’
ภาษาการเขียนนั้นเฉียบคม คมเสียจนหน้ากระดานข่าวในตอนนั้นผู้คนต่างฮือฮากันสุดๆ…
แม่เอ๊ย! ตอนนี้คู่จิ้นที่ไม่ค่อยมีใครนิยมกลับทำให้ผู้คนฟินกับความหวานกันได้!
ทุกคนตื่นเต้นกันมาก แม้แต่ตัวนักวาดเจี่ยนเองก็ตื่นเต้นเอามากๆ เช่นกัน และโพสต์ลงในเวยป๋อว่าคิดไม่ถึงว่าภาพการ์ตูนที่วาดขึ้นมากับมือนั้นจะมีนักเขียนแต่งบทบรรยายขึ้นมาให้ เธอรู้สึกมีความสุขจริงๆ เป็นต้น…เมื่อเห็นศิลปินของตนเองมีความสุขเป็นอย่างมาก ติ่งผู้คลั่งไคล้อย่างชูหลี่ก็ไม่ลังเลที่จะอนุมัติโพสต์ของ Mr. L และเมื่อเขาได้รับการอนุมัติแล้วก็ดีใจสุดๆ เรียกได้ว่าหลังจากที่นักวาดวาดออกมาหนึ่งภาพ เขาก็จะเรียงร้อยบทบรรยายขึ้นมาหนึ่งบทโดยใช้ชื่อเรื่องว่า ‘ดั่งภูเขาและผืนทะเล สัญญารักชั่วฟ้าดินสลาย’
ตอนนี้แวดวงแฟนคลับของคู่จิ้น AB ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมก็ฮือฮากันขึ้นมาง่ายๆ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ทำให้เธอได้รู้จักกับ Mr. L
ผู้ดูแลระบบอย่างเธอจึงเพิ่ม Mr. L เป็นเพื่อนในคิวคิว ชูหลี่จึงรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ทั้งสองพูดคุยกันเป็นพักๆ เกี่ยวกับคู่จิ้นคู่นี้และคุยกันเรื่องนักวาดการ์ตูนเจี่ยน ทั้งยังพบว่าต่างมีมุมมองที่น่าสนใจและเห็นพ้องต้องกันเป็นอย่างมาก…แต่ไม่รู้ว่าเสพความหวานของคู่จิ้นนี้จนฟินหรืออะไร ประกอบกับความเห็นแก่ตัวที่น่ากลัวของเธอเอง เพื่อให้เขารักษาการเขียนที่ยอดเยี่ยมนี้เอาไว้ เธอจึงมีเวลาให้กับนักเขียนบทบรรยายภาพของนักวาดที่ตนเองรักได้มากถึงขนาดนี้ แถมยังชื่นชมเขาจนออกจะบ้าคลั่งอยู่หน่อยๆ ประโยคที่เธอใช้กับเขาบ่อยที่สุดก็คือนักเขียนโจ้วชวนมักเขียนถึงพระเอกที่ชอบใส่ชุดสีขาว ภาษาที่ใช้เขียนก็ละเอียดอ่อน มีชีวิตชีวา และทรงพลังมาก มีส่วนคล้ายกันมากขนาดนี้ พวกนายทั้งสองคนต้องเป็นพี่น้องกันแน่ๆ เลย
(อย่างน้อยก็ในมุมมองของชูหลี่) Mr. L ดูเหมือนจะมีความสุขมากกับการพูดประจบของเธอ คนหนึ่งมีหน้าที่เขียนบทบรรยาย อีกคนหนึ่งมีหน้าที่กดอนุมัติโพสต์ ทั้งสองควบคุมการใช้พื้นที่เล็กๆ บนกระดานข่าวได้เข้ากันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย และแล้วกระดานข่าวที่เธอดูแลอยู่ก็ค่อยๆ เพิ่มความนิยมขึ้นเรื่อยๆ…
อยู่มาวันหนึ่งเกมภาคเสริมภาคใหม่ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เกมภาคใหม่นี้มีการจิ้นกันของคู่จิ้น A และ B จนได้เป็นคู่จิ้นหลักจริงๆ!
ทันใดนั้นแฟนคลับของคู่จิ้น AB ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจำนวนผู้ติดตามเวยป๋อของนักวาดเจี่ยนที่อยู่ในช่วงสามหมื่นก็เพิ่มขึ้นเป็นห้าหมื่น และเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งแสนไปจนถึงหลายแสนกันเลยทีเดียว กระดานข่าวที่ชูหลี่ดูแลอยู่ก็กลายเป็นกระดานข่าวยอดนิยมและมีคนเขียนบทความให้คู่จิ้น AB ทุกวันนับไม่ถ้วน ดั่งสุภาษิตจีนที่ว่าน้ำขึ้นเรือย่อมสูง…ด้วยความที่เธอเป็นฐานที่ดีเหมือนระดับน้ำสูงที่คอยพยุงเรืออย่าง Mr. L ไว้ให้เด่นเป็นสง่าไม่มีพลิกคว่ำ และสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ Mr. L ยังคงเขียนบทบรรยายภาพวาดที่นักวาดเจี่ยนวาดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
อันที่จริงแล้วนึกว่าวันเวลาจะผ่านไปอย่างมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความรักและความสามัคคี แวดวงแฟนคลับของคู่จิ้น AB กำลังเฟื่องฟู ส่วนนักวาดเจี่ยนที่เดิมทียังเป็นนักวาดตัวเล็กๆ ขณะนี้ได้กลายเป็นนักวาดผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแฟนคลับร่วมแปดแสนคน และได้ร่วมมือกับเกม ‘X’ ออกคอลเล็กชั่นภาพวาดอย่างเป็นทางการ ซึ่งขายได้หลายหมื่นฉบับ…
จนกระทั่งกลางดึกของวันหนึ่ง ช่องข่าวปั๋วต้าได้รายงานว่ามีโพสต์บันทึกการสนทนาในคิวคิวจำนวนมากอยู่ทุกพื้นที่ของกระดานข่าว
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเนื้อหาที่นักวาดเจี่ยนคุยกับคนใกล้ชิด
‘ฉันก็แค่วาดคู่จิ้นคู่หนึ่งแบบลวกๆ แต่ดันมีคนมาขอให้ฉันวาดเป็นการส่วนตัว รับเงินมา 300 หยวน พอโยนลงเวยป๋อก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พันกว่า!’
‘แฟนคลับก็เพิ่มขึ้นหลายร้อย แฟนคลับนี่เพิ่มทีละเยอะมาก! แฟนคลับที่บ้าเกม ‘X’ ทำไมถึงเยอะขนาดนี้ ฉันอยากลองต้มตุ๋นดูบ้างจัง หลอกแฟนคลับก็ดีเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆๆๆ เหมือนว่าฉันจะเห็นช่องทางทำเงินแล้ว!’
‘คู่จิ้น AB คู่นี้ ฉันวาดไปก็อยากจะอ้วกไป ที่จริงแล้วคู่ของ BC ถึงจะเรียกว่ารักแท้ ฉันชอบ BC มากกว่าอีก’
‘โธ่เอ๊ย! ไม่นึกว่า AB จะได้เป็นคู่จิ้นหลักอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ว่ารูปภาพที่ฉันวาดดูแล้วมันฮอตเกิน จนคิดพิสดารให้เปิดตัวอย่างเป็นทางการนะ ฮ่าๆๆๆๆ พวกแฟนคลับ BC ร้องไห้กันหนักมาก ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองก่อกรรมทำเข็ญ แบบนี้มันต้องชดใช้’
‘แน่นอนว่าต้องทำเพื่อเงินอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นทำเพื่อความรักงั้นเหรอ’
‘คู่จิ้นที่ฉันรักคือ BC’
ตั้งแต่ต้นจนจบมีคำพูดบ้าบอมากมาย เช่น ไม่ชอบคู่จิ้น AB ไม่ชอบแฟนคลับคู่จิ้น AB คำที่พูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่าทำเพื่อเงินไม่ได้ทำเพื่อความรัก มีหมดทุกสิ่งอย่าง…สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่และเป็นหลักฐานที่ทำให้เห็นการกระทำผิดอันร้ายแรงซึ่งต่อให้ผู้ดูแลจะลบเท่าไรก็ลบไม่หมด!
นักวาดเจี่ยนตื่นขึ้นมาก็พบว่าสิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปในเช้าวันใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเปิดดูความคิดเห็นทั้งหมดในเวยป๋อก็จะเป็นประเภท ‘เยี่ยมยอดไปเลย’ ‘วาดอีกเยอะๆ นะคะ’ แต่ไม่ทันไรประโยคต่างๆ กลับมีเนื้อหาเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ‘เหม็นขี้หน้าคนไร้ยางอาย’ ‘สายตามองเห็นแต่เงิน จนมองไม่เห็นอย่างอื่นเลย’ ‘เลิกเป็นติ่ง’ เป็นต้น ในบรรดากว่าหนึ่งหมื่นความคิดเห็นมีประมาณแปดพันความคิดเห็นที่กำลังด่ายันบรรพบุรุษสิบแปดชั่วอายุคน ที่เหลืออีกสองพันความคิดเห็นเป็นแฟนคลับที่กำลังบอกลาไปอย่างท้อแท้ใจ
เพียงชั่วเวลาข้ามคืน จากนักวาดสาวคู่จิ้น AB นามว่าเจี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ตกอับเหลือเพียงแม่นางเจี่ยนผู้ที่เหมือนหนูกำลังข้ามถนน ไม่ว่าใครได้พบเห็นต่างก็กรีดร้องและทุบตี แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินหน้ายืนกรานเป็นแฟนคลับนักวาดสาวคนนี้ บุคคลกลุ่มนี้เป็นพวกที่มีอาการสต็อกโฮล์ม ซินโดรม* ที่เมินเฉยต่อความเกลียดชังของคนหมู่มาก…
ส่วนชูหลี่และ Mr. L ค่อนข้างพูดไม่ออก ได้แต่กอดกันกลมตัวสั่นเทิ้มอยู่ตรงมุมห้อง
ณ ขณะนั้น ชูหลี่จำได้เพียงว่าเธอถอนหายใจด้วยความปลง…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : คำพูดพวกนี้ฉันจะบอกนายแค่คนเดียว และไม่กลัวด้วยว่านายจะหาว่าฉันเป็นพวกสต็อกโฮล์ม ซินโดรมหรือเปล่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่ทำให้เราเลิกใช้ภาพที่เจี่ยนวาดตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่ดี
ในวันนั้น Mr. L เงียบอยู่นาน แต่ประมาณสามชั่วโมงให้หลังเขาก็ตอบเธอด้วยคำสามพยางค์
Mr. L ที่หายไป : ฉันก็ด้วย
นับแต่นั้นโฉมหน้าใหม่ของมิตรภาพของพันธมิตรสต็อกโฮล์ม ซินโดรมที่น่าอับอายก็เกิดขึ้นอย่างซาบซึ้งมาจนถึงตอนนี้
นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความน่ารักในหัวใจและอีกด้านที่น่าเกลียดของเธอ ทัศนคติทั้งสามด้าน* ของเธอแสดงให้เห็นถึงรอยแตกร้าว แต่กลับแข็งแกร่งไม่แตกสลายไป เพราะมีกาวอันทรงพลังที่พยายามให้สิ่งเหล่านี้ประสานเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งนั้นคือ Mr. L…นอกจากนี้ประสิทธิผลในการใช้ยังดีมากอีกด้วย เพราะใช้เพียงแค่ครั้งเดียวก็อยู่ได้นานจนถึงตอนนี้ก็สามปีแล้ว
ตอนนี้เมื่อใดที่กล่าวถึงเรื่องราวในอดีตก็อดรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงอดรนทนไม่ไหวที่จะเปิดเผยความรู้สึกกับเขาอีกครั้ง แม้ Mr. L จะแสดงความคิดเห็นในเชิงเหน็บแนมก็ตาม…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ใช่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง…คิดถึงแม่นางเจี่ยนตอนนั้น ตอนนี้ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง ฉันเลิกติดตามเธอในเวยป๋อแล้ว น่าเศร้าจัง
Mr. L ที่หายไป : ยังมีชีวิตอยู่แหละ เธอฝีมือดี มีสไตล์แบบโบราณ มีแฟนคลับเวยป๋อนับล้าน แค่ภาพเดียวต้องจ่ายเงินหลายหมื่นหยวนต่อแถวซื้อ ในเวยป๋อมีทั้งคนชมและคนด่าครึ่งต่อครึ่งเลย
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : แล้วนายยังเขียนบทบรรยายให้แม่นางเจี่ยนอยู่ไหม
Mr. L ที่หายไป : เขียนกับผีอะไร ก็คนอนุมัติให้ฉันไม่อยู่แล้ว
คนที่อนุมัติโพสต์ของ Mr. L ต้องเป็นชูหลี่อยู่แล้ว คำพูดที่ฟังดูเคว้งคว้างของ Mr. L ทำให้เธอตื้นตันใจจนกลายเป็นหมาน้อยไปในทันที ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : Mr. L นายคือคุณธรรมสุดท้ายที่หลงเหลือบนโลกอันแสนเละเทะนี้จริงๆ รักษาจิตใจอันดีงามและความไร้เดียงสาของนายเอาไว้นะ สู้ๆ!
Mr. L ที่หายไป : …
หลังจากที่หัวข้อสนทนาเรื่องแม่นางเจี่ยนทำให้ทอดถอนใจอย่างหดหู่ เธอจึงเลิกพูดเรื่องนี้ หันไปพูดเรื่องชีวิตและเรื่องไร้สาระกับ Mr. L แทน เวลาผ่านไปไวมาก แสงอาทิตย์ข้างนอกค่อยๆ สว่างขึ้น เธอไม่คิดว่าจะเช้าเร็วขนาดนี้ จึงไปล้างหน้าและลงจากตึกไปทานมื้อเช้า
จากนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยโทรมาแสดงความยินดีกับเธอที่ผ่านการสัมภาษณ์ และได้เป็นพนักงานของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยอย่างเป็นทางการ
ขณะรับสาย ชูหลี่กำลังกินโจ๊กด้วยช้อนคันเล็กและนั่งหลังตรงอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง หลังจากพูดขอบคุณแล้ววางสายไป เธอถือช้อนนิ่งไปประมาณสามสิบวินาที จากนั้นก็วางช้อนกลับเข้าไปในชามแล้วเงยหน้าขึ้นมามองดูรอบๆ กาย…
แต่ไม่เห็นใครที่จะโอบกอดเธอไว้และกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจไปพร้อมกันกับเธอเลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงกระดี๊กระด๊าไปกับคิวคิวในมือที่กำลังเข้าสู่ระบบเพื่อคุยกับเจ้าคนไร้เดียงสาของเธอ…
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : เขาเขาเขาเขารับรับรับฉันฉันฉันแล้ววววววววววววว
Mr. L ที่หายไป : มหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งล่ะ
มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ไปให้พ้นเลยไป!! สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยย่ะ!!!!
Mr. L ที่หายไป : …ยายทึ่มเอ๊ย สำนักพิมพ์ที่กำลังจะเจ๊งทำให้เธอมีความสุขได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ระวังหน่อยนะ แม้แต่เงินเดือนเดือนแรกของเธอยังไม่ทันจะจ่ายให้ก็ประกาศว่าทั้งหมดแถวตรง พัก แยก!
และแน่นอนว่าในเวลานี้เธอไม่สนใจ Mr. L ผู้เป็นเหมือนน้ำอันแสนเย็นเฉียบในกะละมังที่สาดมายังเธอ ชูหลี่รู้เพียงว่าเธอได้ทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์จริงๆ ซึ่งเป็นการเดินตามเส้นทางที่ตนได้ฝันไว้…
เธอกำลังจะมีรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของโจ้วชวนแล้ว!
…Mr. L ก็เป็นเพียงพวกขี้อิจฉา!
บทที่ 4
หลังจากได้รับแจ้งผลการสัมภาษณ์ ชูหลี่จะเริ่มเข้าทำงานทันทีในวันแรกของเดือนถัดไป เธอจึงใช้เวลาอีกครึ่งเดือนที่เหลือหาที่พัก การอยู่ในเมืองแห่งนี้…ห้องกว้างขนาดประมาณสี่สิบกว่าตารางเมตรอาจจะดูธรรมดาไปสักหน่อย แต่ยังดีที่เป็นห้องชุดขนาดเล็กที่สะอาดสะอ้าน…หลังจากนั้นเธอก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการมาถึงของวันที่ 1 เมษายน ดั่งเจ้าสาวที่รอคอยงานแต่งงาน
ชูหลี่นอนไม่หลับในคืนก่อนที่จะเข้าทำงานอย่างเป็นทางการ เธอแจ้งข่าวดีที่ได้เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยถึงญาติมิตรทุกคน แถมยังได้คุยกันเป็นการส่วนตัวกับนักเขียนที่เธอคลั่งรักเป็นแฟนคลับมาแล้วกว่าสิบปีในฐานะที่จะได้เป็น บ.ก. เธอจึงมีคำพูดที่ฮึกเหิมและความทะเยอทะยานอันสูงส่งที่จะทำหนังสือเล่มที่ดีที่สุดให้เขา
กล่าวสั้นๆ คือทั้งใจเธอเปี่ยมด้วยแรงปรารถนาที่จะเข้าสู่วงการนี้เต็มที่ เธอดีใจมากที่ในที่สุดก็ใกล้จะก้าวไปสู่จุดนั้นแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นชูหลี่ดีดตัวลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วจัดการตนเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินทางตามเส้นทางที่ได้สำรวจไว้ล่วงหน้าแล้วทบทวนเงียบๆ อยู่หลายรอบ เธอก้าวขาอย่างเร็วรี่ไปยังหน้าอาคารที่เพิ่งมาเยือนเมื่อไม่นานมานี้
ตั้งแต่ตอนที่เธอเดินผ่านหน้าตู้จัดนิทรรศการหนังสือของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยที่โถงของตึกหนึ่ง ชูหลี่อดไม่ได้ที่จะเดินไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะได้มองให้เห็นเต็มสองตา เป็นสำนักพิมพ์หนึ่งที่มีแต่หนังสือชั้นดีเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์มาอยู่ในตู้จัดนิทรรศการนี้…เธอหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะมีหนังสือสักเล่มหรือไม่ก็สักสองสามเล่มที่ทำขึ้นและได้จัดวางอยู่บนชั้นวางนี้
…แต่หลังจากวาดฝันได้ไม่นาน เมื่อเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเธอก็พบเจอกับความจริงที่โหดร้าย…
ชูหลี่และพนักงานใหม่คนอื่นๆ ที่ผ่านการสัมภาษณ์มารวมตัวกันที่ห้องประชุม เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย…ขณะรอหัวหน้าแผนกทั้งหลายของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยซึ่งจะมากล่าวต้อนรับเหล่าพนักงานหน้าใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ราวกับความฝัน เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองกำลังจะเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย…จนกระทั่งพบว่าผู้คนรอบตัวถูกเรียกชื่อไปจนหมดและสุดท้ายเหลือเธออยู่เพียงคนเดียว หญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ในที่สุดเธอก็เห็นคนใส่รองเท้าส้นสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเดินเข้ามา
เมื่อได้เห็นใบหน้าของบุคคลนั้นชัดๆ ความตื่นเต้นเล็กน้อยที่มีก็ถูกแทนที่ด้วยคำว่า ‘Whats the f*ck’… คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่คือคนที่อยากรีบกลับไปกินข้าวที่บ้านในตอนนั้น และเป็นคนเดียวกับที่ถามเธอว่าพร้อมทำงานโดยรับค่าตอบแทนเพียงหนึ่งพันแปดร้อยหยวนต่อเดือนหรือไม่
สมกับเป็นวันที่ 1 เมษายน ฉากเบื้องหน้าช่างสอดคล้องเหมาะเจาะกับช่วงเวลานี้เสียจริง…ที่ห้องประชุมมีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวในเวลาป่านนี้ แต่เธอคนนั้นกลับไม่ประหลาดใจเลยที่เห็นคนเหลือเพียงคนเดียวในห้องซึ่งกำลังเงยหน้ามองเธออย่างงงงัน ก่อนจะเดินเข้าไปหาชูหลี่อย่างไม่รีบร้อน
“ชูหลี่?”
ชูหลี่กระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เสียงดัง “สวัสดีค่ะ ฉันคือ…”
“ฉันชื่ออวี๋เหยา เป็นหัวหน้า บ.ก. นิตยสารแสงแห่งจันทราฉบับใหม่ ยินดีต้อนรับสู่กอง บ.ก. ของเรานะ”
ชูหลี่ตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “แสงแห่งจันทรา?”
ไม่ใช่เส้นทางแห่งดวงดาวหรอกเหรอ
อวี๋เหยาเลิกคิ้วที่เขียนมาอย่างสวยงามของเธอ
ชูหลี่เปลี่ยนน้ำเสียงก่อนจะเอ่ยว่า “แสงแห่งจันทรา! โอ้! ยินดีมากเลยค่ะ!”
อวี๋เหยาหลุบตาลงและวางเฉยต่อน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของชูหลี่ พร้อมกับยื่นสัญญาให้ จากนั้นเธอก็เปิดไปที่หน้าแรก ในขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ช่วงทดลองงานกำหนดไว้สองเดือน โดยทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะหยุดทำงานหรือเลิกว่าจ้างได้ทุกเมื่อ…เธอสามารถจากไปได้ตลอด และฉันก็สามารถตัดสินใจได้ตลอดเวลาเช่นกันว่าจะให้เธอเป็นพนักงานประจำหรือเปล่า ส่วนเงินเดือนในระหว่างฝึกงานกำหนดไว้คร่าวๆ ที่สองพันห้าร้อยหยวน มีค่าโบนัสเพิ่มให้อีกหนึ่งร้อยหยวน ทุกวันจะมีค่าอาหารให้สิบหยวน อันที่จริงยอดขายโดยรวมที่ลดลงทำให้สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทค่อนข้างฝืดเคือง เธอคงไม่มีปัญหาหรอกนะ”
ในใจของชูหลี่เต็มไปด้วยคำถาม และคำพูดล้างสมองของ Mr. L ก็ดังขึ้นมาในหัว ใกล้เจ๊งแล้ว ใกล้เจ๊งแล้ว ใกล้เจ๊งแล้ว ในขณะเดียวกันก็รับสัญญามาด้วยท่าทีที่ฝืนยิ้ม
“…ไม่มีปัญหาค่ะ เป็นแสงแห่งจันทราจริงๆ ด้วย เย้! ดีใจมากเลย!”
จากนั้นก็เซ็นสัญญายอมรับข้อตกลงที่ได้กล่าวไว้ เพราะตอนนี้ชูหลี่เป็นเหมือนตัวมอดในข้าวสาร เปรียบเหมือนคนที่ไร้ค่า ยากจนมากถึงขั้นไม่มีเงินซื้อตั๋วรถไฟกลับบ้านเพื่อที่จะไปกอดแม่ของตนเองได้ในเวลานี้
สิบนาทีต่อมาชูหลี่ก็มายืนอยู่หน้าห้องทำงานตรงปลายทางเดิน ซึ่งเป็นทางที่เธอเคยหลงมาเจอกับสุนัขจิ้งจอกโดยบังเอิญ…กระดานดำขนาดใหญ่นั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม แต่ในขณะนี้ห้องทำงานไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป ด้านในมีผู้คนนั่งกระจัดกระจายกันอยู่ประมาณห้าหกคน
ตรงหน้าห้องทำงานมีตู้ปลาที่เลี้ยงปลานกแก้วไว้สิบกว่าตัว ครั้นเมื่ออวี๋เหยาเดินเข้าไปก็นำปลาซักเกอร์ที่เลี้ยงแยกไว้ระยะหนึ่งเพื่อปรับสภาพเทลงไปในตู้ปลาเสียอย่างนั้น ชูหลี่รู้สึกว่าปลาซักเกอร์ที่กำลังสั่นกลัวพร้อมกับว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่ปลานกแก้วเหมือนกับตนที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ไม่มีผิด…
เอ่อ…
แม้ว่าคนในออฟฟิศจะดูไม่สนใจอะไรนัก เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ แต่ก็ฝืนเงยหน้าขึ้นมามองชูหลี่แล้วทักทาย…
“อ้าว มีน้องใหม่ด้วยเหรอ ไม่รู้เลยว่าเด็กที่จ้างมาใหม่คราวนี้จะยัดตัวเองอยู่กับเราที่นี่ได้ไหม จริงๆ เลยนะ ก็เห็นอยู่ว่าที่นี่มันแออัดมากพออยู่แล้ว ตำแหน่งข้างฉันก็อุตส่าห์ช่วยย้ายตัวเองออกไปให้แล้ว แล้วทีนี้ฉันจะวางกระเป๋าไว้ที่ไหนดีล่ะ เพิ่งไปช็อปเฟนดิมาเอง!”
…เหล่าเหมียวรอง บ.ก. เพศชายที่ดูเหมือนเป็นเกย์ วันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีนัก เขาอายุสามสิบต้นๆ แต่งตัวดี…เป็นคนรับผิดชอบต้นฉบับนิยายของนิตยสารแสงแห่งจันทรา ในมือของเขาถือเอกสารการแนะนำตัวของนักเขียน ไม่ว่าจะเป็นโจ้วชวน สั่วเหิง เหอหม่า เหนียนเหนียน และสุดยอดนักเขียนอีกมากมาย…ตำแหน่งที่นั่งของเหล่าเหมียวอยู่ทางด้านหน้าของอวี๋เหยาและอยู่ทางด้านข้างของชูหลี่
“เป็น บ.ก. งานเขียนใช่ไหม ฉันชื่ออาเซี่ยง เป็น บ.ก. ฝ่ายศิลป์ อื้ม ก็ประมาณนี้แหละ”
…อาเซี่ยงผู้เป็นบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ สวมแว่นตาทำให้ดูเหมือนเงียบขรึม แต่ก็เป็นคนยิ้มแย้ม ลักษณะท่าทางดูเป็นคนอดทนและดูดี
“ผมแซ่หลี่ เรียกผมว่าเหล่าหลี่ก็ได้”
…บรรณาธิการฝ่ายศิลป์เหล่าหลี่ เพศชาย อายุสามสิบกว่าปี ดูค่อนข้างหัวโบราณ
“ฉันเพิ่งมาใหม่…จะเรียกว่ากึ่งๆ มาใหม่ก็ว่าได้ ชื่อเสี่ยวเหนี่ยว* นะ!”
…เสี่ยวเหนี่ยวผู้ที่เพิ่งเข้ามาทำงานเป็นบรรณาธิการก่อนชูหลี่ได้ครึ่งเดือน เธอมีผมลอนยาว เป็นสาวสไตล์โมริ** พูดเสียงเบา และใบหน้าแดงง่าย
เพื่อนร่วมงานใหม่มีสไตล์ที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือความเย็นชา
Everyone
…นี่อาจเป็นสำนักพิมพ์ที่เป็นสวรรค์ของผู้ป่วยโรคกลัวการเข้าสังคม*** พวกเขาคงรู้สึกอบอุ่นหวานชื่นกันเอามากๆ
ชูหลี่บ่นในใจและนั่งลงข้างๆ เหล่าเหมียวตามคำแนะนำ จากนั้นกลิ่นโคโลญผู้ชายก็ลอยมาแตะจมูก เธอนั่งตัวตรง เอาแต่หันหน้าไปมองเหล่าเหมียวแล้วสบสายตาเขา
“ค่ะ รอง บ.ก.!”
“ไม่ต้องเรียกฉันเต็มยศขนาดนั้น เรียกแค่เหล่าเหมียวก็พอ”
ขณะที่พูดเหล่าเหมียวก็โยนรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้หลายเว็บไซต์มาให้เธออย่างไม่เกรงใจ และบอกว่างานวันนี้คือการเข้าบัญชีเวยป๋อของบริษัทแล้วจัดการข้อความของผู้ที่ส่งต้นฉบับมาเพื่อตีพิมพ์ในกล่องข้อความของนิตยสารแสงแห่งจันทรา และคัดเลือกอีเมลซึ่งมีต้นฉบับที่ดีมาจัดให้เป็นระเบียบแล้วรวบรวมส่งมาทีละฉบับ
“มีตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามได้”
“ค่ะ! รับทราบค่ะ”
ฟังดูแล้วเหมือนจะให้กล้าถาม แต่น้ำเสียงเหมือนพร้อมจะหักคอกันอยู่ตลอด
ชูหลี่อยากถามว่ากล่องข้อความรับต้นฉบับไม่ได้ใช้สำหรับการนำต้นฉบับไปยื่นเพื่อตีพิมพ์หรอกเหรอ แต่เนื่องจากท่าทีของเหล่าเหมียว เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดและเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี ก่อนจะกลืนคำถามที่ว่านั้นลงไปเสีย ถ้ากล่องข้อความเต็มไปด้วยอีเมลต้นฉบับ แล้วอะไรที่เรียกว่าอีเมล ‘ที่ดี’ และ ‘ไม่ดี’ กันล่ะ
…แต่แล้วเธอก็เข้าใจความหมายของคำพวกนี้อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เปิดกล่องข้อความของนิตยสารที่ขึ้นตัวเลข ‘99’ ก็ทำให้เธอรู้สึกตาลาย จึงกวาดตามองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นชูหลี่ก็พบว่าอีเมลที่ใช้ส่งต้นฉบับ ไม่ใช่อีเมลสำหรับต้นฉบับที่จะส่งตีพิมพ์เพียงอย่างเดียว โดยเฉลี่ยแล้วจะมีการส่งอีเมลที่จริงจังแค่ยี่สิบฉบับ ส่วนที่เหลือเป็นอีเมลขยะ แบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามประเภทใหญ่…
ประเภทแรก ขอแค่ได้ถาม
‘สวัสดี ฉันอยากถามว่าถ้าจะส่งบทความไปที่นิตยสาร สามารถส่งมาที่กล่องข้อความนี้ได้ไหมคะ’
‘รบกวนสอบถามเกี่ยวกับการส่งต้นฉบับไปที่นิตยสารหน่อยครับ’
‘ฉันจะส่งต้นฉบับได้ที่ไหนคะ’
‘ปกติให้ค่าต้นฉบับเท่าไรและส่งยังไง’
‘ขอสอบถามวิธีการส่งต้นฉบับหน่อยค่ะ’
…กับคนประเภทนี้ ชูหลี่ได้คัดลอกข้อความตอบกลับไปอย่างใจดี
‘สวัสดีค่ะ คุณสามารถส่งต้นฉบับมาที่กล่องข้อความนี้ ขอบคุณค่ะ (≧ω≦) !!!’
ประเภทที่สอง อวดงานเขียน
‘สวัสดีครับ ผมเป็นนักเขียน อยากสอบถามว่างานเขียนของผมประมาณนี้พอจะได้ไหมครับ ในเดือนมีนาคมที่เศร้าและสดใสนี้ ฉันยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องเรียน มองเห็นแสงอาทิตย์อัสดงกำลังคล้อยลับตาไป สนามเด็กเล่นโดดเดี่ยวที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างดูเงียบสงบเหมือนกับโลกอีกใบหนึ่ง ฝุ่นละอองพัดปลิวไปตามกาลเวลา’
‘สวัสดีค่ะ ฉันมีตัวอย่างต้นฉบับที่เขียนตอนเริ่มเรื่องไว้ ไม่ทราบว่า บ.ก. พอจะให้คำแนะนำได้ไหมคะ ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นอีกคนหนึ่ง ในที่สุดฉันก็จะเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนถนนสายนี้ ฉันกอดตัวเองและเชื่อในความทรงจำอันแสนล้ำค่า…ตลอดการเดินทางมีทั้งก้าวเดินบ้าง หยุดพักบ้าง ระลึกถึงเพียงความทรงจำดีๆ ที่เคยมีร่วมกันกับเขา…เพียงแต่กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของถนนสายนี้ กลับพบว่าฉันลืมสิ่งที่เคยคิดจะจำ กลัวว่าฉันอาจทำมันหายไป’
‘สวัสดีครับ คุณรับบทกลอนพวกนี้หรือเปล่า ผมมีบทกลอนอยู่หนึ่งบท พระจันทร์สาดส่องนภาอันสดใส บ่งบอกว่าเงาจันทร์ได้หวนคืนกลับมา ครั้นเมื่อดอกโบตั๋นนั้นร่วงโรย หลายคนได้หวนคืนกลับมาเช่นกัน’
…สำหรับคนประเภทนี้ ชูหลี่รู้สึก ‘ว้าว’ ไปจนถึง ‘ฉัน…’ อยู่ในใจ จนในที่สุดก็รู้สึกเพลียไปกับการประเมินความงามทางด้านภาษา จึงเลือกที่จะมองข้ามด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ มึนชา และเหนื่อยล้า
ประเภทที่สาม คือการสอบถามความเป็นอยู่ของนักเขียน ประเภทนี้ตัดสินใจยากมาก ชูหลี่ไม่แน่ใจว่าควรตอบหรือเพิกเฉยดี เธอจึงไม่อายที่จะถามเหล่าเหมียวที่นั่งอยู่ข้างๆ และเป็นผู้มอบหมายงานนี้ให้เธอ…
ชูหลี่เอียงคอแล้วปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น “เหล่าเหมียวคะ ฉันขอถามคุณนิดหนึ่งค่ะ นักอ่านคนนี้ถามว่า ‘ฉันเป็นแฟนตัวยงของท่านเทพเหมิงหลีว์ในนิตยสารแสงแห่งจันทราฉบับแรกที่ตีพิมพ์เรื่องสั้นขนาดยาว แต่พักหลังนี้ไม่เห็นเธอปรากฏตัวอีกเลย เธอไปไหนเสียแล้ว’ ฉันจะตอบยังไงดี”
“หึๆ” เม้าส์ในมือของเหล่าเหมียวที่คลิกไปคลิกมาหยุดลง “เธอตอบเขาไปได้เลยนะว่านอกจากเขาที่อยากเห็นเหมิงหลีว์แล้ว ก็ไม่มีใครอยากเห็นนักเขียนคนนั้นอีก เพราะเหตุนี้เหมิงหลีว์จะไม่ปรากฏตัวที่นิตยสารของพวกเรา”
ชูหลี่ “…” แล้วเธอก็ถามต่อ “นอกจากนี้ยังมีคำถามนี้ที่ถามเกี่ยวกับโจ้วชวนว่า ‘โจ้วชวนสูงเท่าไร ปกติแล้วโจ้วชวนชอบอ่านหนังสือเล่มไหน มีคำแนะนำให้กับนักเขียนหน้าใหม่หรือคำแนะนำเกี่ยวกับรายการหนังสือที่น่าอ่านให้กับนักเรียนมัธยมบ้างไหม’ ”
หลังจากที่ชูหลี่พูดจบ ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ กองบรรณาธิการถึงเงียบไป รวมทั้งอวี๋เหยาผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ ทุกคนต่างพากันเงยหน้ามองชูหลี่…ราวกับว่าความจริงแล้วเธอไปถามเหล่าเหมียวว่าวันนี้ใส่กางเกงในสีอะไรอย่างไรอย่างนั้นแหละ…
ชูหลี่ “???” เธออึกอักในใจไปพักหนึ่ง เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงยิ้มอย่างประหม่าและรีบพูดต่อ “คำถามพวกนี้ก็โอเคอยู่นะคะ ว่าไหม ฉันได้ยินมาว่าคุณโจ้วชวนเก่งมาก นักอ่านมักจะถามคำถามเหล่านี้กับเขาในเวยป๋อ บางทีเขาก็ตอบกลับ แต่ถ้าหากเป็นคำถามจากนิตยสาร…”
ก็ยิ่งต้องตอบกลับหรือเปล่า
ชูหลี่ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นเองเหล่าเหมียวก็ปล่อยเม้าส์ที่จับอยู่และหมุนเก้าอี้ที่รองอยู่ใต้ก้นหันมาเผชิญหน้ากับเธอ เขานั่งไขว่ห้างแล้วกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากนั้นก็ยิ้มและกวักมือเรียก
“เธอมานี่หน่อย”
ชูหลี่ยืนขึ้นด้วยความประหม่าและเดินมายังด้านหลังของเหล่าเหมียว จากนั้นก็มองเขาเปิดคิวคิวในคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นคนที่ชื่อ ‘โจ้วชวน’ เขาก็ก้มหน้าลงแล้วเริ่มพิมพ์…
เหมียวเหมียว : อาจารย์โจ้วชวนครับ พนักงานคนใหม่ของพวกเรามีคำถามอยากจะขอร้องให้ผมถามคุณครับ ช่วยตอบสักนิดหนึ่งนะครับว่าคุณสูงเท่าไร ปกติแล้วชอบอ่านหนังสืออะไร มีคำแนะนำให้กับนักเขียนหน้าใหม่หรือคำแนะนำเกี่ยวกับรายการหนังสือที่น่าอ่านให้กับนักเรียนมัธยมบ้างไหมครับ
ครั้นเมื่อเหล่าเหมียวพิมพ์เสร็จแล้วก็ยกมือทั้งสองข้างออกห่างจากแป้นพิมพ์
ชูหลี่จ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่กี่วินาทีต่อมาตรงกล่องข้อความสนทนาคิวคิวก็ปรากฏข้อความเหล่านี้ขึ้น…
โจ้วชวน : คุณว่างมากนักเหรอ
โจ้วชวน : อยากโดนบล็อกหรือไง
โจ้วชวน : รายการหนังสือที่น่าอ่านสำหรับนักเรียนมัธยม? หลงหยางสิบแปดกระบวนท่า*
“ดูซะ”
ชูหลี่ “…”
จะให้ดูอะไรล่ะ
“เป็นไปไม่ได้ว่านี่คือโจ้วชวน”
เหล่าเหมียวมองเห็นสายตาของชูหลี่ที่เปลี่ยนเป็นสายตาเหลือเชื่อในชั่วพริบตา
* โดจิน คือคำในภาษาญี่ปุ่น หมายถึงผลงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากความชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งและนำมาเผยแพร่ด้วยตนเอง อาจจะเป็นในรูปแบบมังงะ นิตยสาร นวนิยาย เพลง อะนิเมะ หรือวิดีโอเกม
* สต็อกโฮล์ม ซินโดรม คืออาการของผู้ที่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่เป็นคนร้ายหลังเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง และอาจลงเอยด้วยการแสดงอาการปกป้องคนร้ายหรือยอมเป็นพวกเดียวกัน
* ทัศนคติทั้งสามด้าน คือทัศนคติต่อโลก ผู้คน และคุณค่า
* เสี่ยวเหนี่ยว ภาษาจีนแปลว่านกน้อย
** โมริ มาจากภาษาญี่ปุ่น เป็นการแต่งกายแบบสาวน้อยชาวป่า ให้ความรู้สึกน่ารัก น่าทะนุถนอม
*** โรคกลัวสังคม (Social anxiety disorder) คือการที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย หรือการทำกิจกรรมในที่สาธารณะ เป็นต้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
* ‘หลงหยางสิบแปดกระบวนท่า’ เป็นชื่อนิยายชายรักชายเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาล่อแหลมทางเพศ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.