X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 84

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 84

เฉิงเซ่าซางเป็นนักปฏิบัติผู้บอกทำเป็นทำ ในเมื่อตกลงใจแน่วแน่ว่าจะเอาใจใส่ห่วงใยหลิงปู้อี๋ นางก็แทบอยากกลายเป็นคู่สามีภรรยาที่ครองรักกับเขามาช้านานในชั่วข้ามคืนเดียว ทว่า…เฉกเช่นชาติก่อนตอนที่นางตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะขยันเล่าเรียน นับจากตั้งปณิธานจนกระทั่งผลการเรียนรุดหน้ายกระดับสำเร็จนั้น ยังคั่นกลางด้วยการสอบย่อยสี่หน สอบกลางภาคสองหน สอบปลายภาคหนึ่งหน กับข้อสอบเข้าเสมือนจริงที่สอบพร้อมกันทั้งโรงเรียนอีกหนึ่งหน

ดังนั้น…ภาพการเอาใจใส่คู่หมั้นหนแรกของนางจึงออกมาเป็นเช่นนี้…

“เดิมทีอยากเชิญท่านกลับไปกินเห็ดเยื่อไผ่ที่บ้านข้า แต่สิบวันมานี้ท่านไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เลย ข้าส่งท่านกลับจวนก่อนดีกว่า จะได้แวะรับการชี้แนะจากฝีมือพ่อครัวในจวนท่านด้วย!”

“เช่นนั้นชื่อเสียงของเจ้าเล่า ขนบประเพณีเล่า” หลิงปู้อี๋อมยิ้มที่มุมปาก

“ให้พวกมันสลายไปกับสายลมเถิด” อย่างไรเสียก็ไม่มีทางถอนหมั้นนางอยู่แล้ว ชื่อเสียงอันใดนั่นให้ปลิวเข้าโรงไฟฟ้าพลังงานลมไปแล้วกัน

เฉิงเซ่าซางจูงหลิงปู้อี๋เดินกลับไปถึงข้างรถเล็กของนาง เชื้อเชิญเขานั่งรถด้วยไมตรีอันเร่าร้อนล้นใจ ส่วนตนเองเป็นฝ่ายขึ้นขี่ม้า

หลิงปู้อี๋ถามพร้อมความฉงนเกลื่อนใบหน้า “แล้วเหตุใดเจ้าไม่นั่งรถด้วยกันกับข้าเล่า” นี่เป็นรถขนาดสองที่นั่งไม่ใช่หรือ

“โอ๊ะ ท่านยังไม่รู้สินะ ต้องบอกว่าอาจารย์ที่กำนัลรถมาท่านนั้นไม่ประสงค์ดี ที่นั่งดูคล้ายโอ่โถง แท้จริงรองรับได้แค่ขนาดลำตัวของสตรีสองคน คราวก่อนข้ากับอาเหยานั่งด้วยกัน แออัดจนเข็มยังสอดเข้ามาไม่ได้ รูปร่างท่านใหญ่กว่าอาเหยาตั้งหนึ่งวงรอบ มีหรือจะนั่งได้สองคน” เด็กสาวตอบอย่างกระตือรือร้นจริงใจยิ่ง

สายลมเย็นวาบระลอกหนึ่งโชยพลิ้วเข้ามาในตรอก บ่าวสกุลเฉิงต่างถอยห่างไปอีกหน่อยอย่างเป็นระเบียบและเงียบเชียบยิ่งนัก

หลิงปู้อี๋เพ่งพิศเด็กสาวครู่หนึ่ง ค่อยช้อนประคองนางกลับเข้ารถเล็กไปเงียบๆ ตนเองปีนขึ้นหลังอาชาพ่วงพีตัวนั้นโดยไม่พูดอันใดทั้งสิ้น

เหล่าบ่าวสกุลเฉิงคิด…ใต้เท้าหลิงช่างมีการอบรมดี ท่วงทีเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้!

การเริ่มต้นที่ดีคือครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ เฉิงเซ่าซางเชื่อมั่นเช่นนี้ คนเราเกิดมาบนโลก นอกจากความรู้สู่เส้นทางการเป็นขุนนางที่นางไม่มีปัญญาจะสอดมือแล้ว ที่เหลือก็ไม่พ้นแค่เรื่องของปัจจัยสี่

จวนของหลิงปู้อี๋เป็นฮ่องเต้พระราชทานให้ สง่างามแบบโบราณ โอ่อ่าตระการตา หลังอาหารเย็นวันนี้เฉิงเซ่าซางเดินชมดูทั้งในนอกรอบหนึ่ง รู้สึกว่าความรู้อันตื้นเขินของตนไม่มีสิ่งใดจะเพิ่มลดให้แก่จวนนี้ได้ สุดท้ายจึงตั้งใจจะย้ายเพียงดอกหงหลิง* ที่ปลูกอยู่ในเรือนของตนส่วนหนึ่งมาไว้ยังเรือนชั้นในของเขา

หลิงปู้อี๋เลิกคิ้วอมยิ้ม “ข้าเป็นบุรุษอยู่ตัวคนเดียว จะเลี้ยงดอกไม้อันใดเล่า”

“อืม วีรบุรุษคิดอ่านตรงกันจริงๆ” เฉิงเซ่าซางตื่นเต้นยินดี “ความจริงข้าก็ไม่ชอบปลูกดอกไม้หรอก เพียงแต่ท่านแม่บอกว่ารอบเรือนข้ามีแต่ต้นไผ่เขียวกับไม้เลื้อยเขียว ตัดกับทุ่งบุปผาสีสดใสผืนหนึ่งจึงจะงามตา ข้าเลยเลือกดอกหงหลิงที่เลี้ยงง่ายทนทานเป็นที่สุดมาปลูกให้ หากท่านไม่ชอบ ข้าจะย้ายก้านดอกกระเทียมที่ข้าเพาะใหม่มาให้ท่านสักหลายกระถาง ไม่เพียงพร้อมตัดพร้อมกิน ยังไล่แมลงได้…ท่านว่าอย่างไรเล่า”

หลิงปู้อี๋ตอบ “…ยังคงปลูกดอกหงหลิงก็แล้วกัน”

เปรียบกับการตกแต่งในจวน เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือพฤติกรรมมารับมาส่งที่เพิ่งถูกฮ่องเต้ตำหนิเป็นการภายในก่อนหน้าวันหยุดวันนี้ เฉิงเซ่าซางจึงประกาศต่อหลิงปู้อี๋อย่างเคร่งขรึม ห้ามเขานอนดึกตื่นเช้ามารับส่งนางอีก

“เช่นนั้นข้าจะพบหน้าเจ้านานขึ้นหน่อยได้อย่างไร” หลิงปู้อี๋หลุบตาลง

เฉิงเซ่าซางขบคิดมาแต่แรก “ข้าจะไม่ใช้ทางลัดไปวังอุดรแล้ว ยังคงเข้าไปทางกำแพงวังทิศใต้ดีกว่า ท่านรอข้าที่หน้าประตูวังแล้วเข้าไปด้วยกันนะ หากเป็นวันที่เหล่าขุนนางประชุมใหญ่ พวกเราไปถึงตำหนักท้องพระโรงของวังทักษิณแล้วท่านก็รั้งอยู่ที่นั่น ข้าจะมุ่งต่อไปวังอุดรเอง หากเป็นวันที่เหล่าขุนนางประชุมเล็กหรือเป็นวันที่ฝ่าบาททรงไม่ออกว่าราชการ พวกเราก็มุ่งไปวังอุดรด้วยกัน…เป็นอย่างไร”

“เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องตื่นเช้าขึ้นเกือบครึ่งชั่วยามหรือ”

เฉิงเซ่าซางโบกมืออย่างใจถึงยิ่ง “ไม่เป็นปัญหา อยู่เบื้องพระพักตร์ฮองเฮาข้าสัปหงกได้ ตอนกลางวันยังสามารถนอนเต็มที่อีกหนึ่งตื่น”

ในใจหลิงปู้อี๋ผุดรสชาติอันหวานชื่น ปากกลับกล่าวว่า “เจ้าอยู่ตำหนักฉางชิวเพื่อเรียนรู้จากฮองเฮา หากเสียการเพื่อข้า ไยมิใช่…”

เฉิงเซ่าซางดุอยู่ในใจว่าเขาได้กำไรแล้วยังทำใสซื่อ นางปั้นหน้าขรึมก่อนเอ่ย “หนึ่งใจมิอาจกระทำสองสิ่ง ข้าจะทุ่มหนึ่งใจไปที่ฮองเฮากับงานในตำหนัก หรือไม่ก็จะทุ่มหนึ่งใจมาที่ตัวท่าน ท่านเลือกเอาหนึ่งอย่างเถิด”

“เช่นนั้นเจ้ายังคงทุ่มมาที่ตัวข้าดีกว่า” หลิงปู้อี๋ตอบเสียงเบา ดวงหน้าซึ่งแต่ไรมาผนึกแข็งปานหยกเย็นถึงกับค่อยๆ ระบายสีชมพูอ่อนๆ ริ้วหนึ่ง

เฉิงเซ่าซางย่นจมูกจิ้มลิ้มใส่เขา ท่าทางน่ารักซุกซนยิ่ง

“ส่วนยามเย็นก็ดูว่าท่านงานยุ่งหรือไม่ หากท่านงานยุ่ง ข้าจะกลับบ้านช้าหน่อย อาหารค่ำพวกเราขอกินที่ตำหนักฉางชิวเอาแล้วกัน กินเสร็จก็ค่อยๆ กลับบ้าน ถือเป็นการย่อยอาหารออกกำลังกายไปในตัว แต่หากท่านงานไม่ยุ่งก็ไปกินที่บ้านข้า” เช่นนี้ฮ่องเต้น่าจะพึงพอใจแล้วกระมัง เพื่อแสดงออกซึ่งความจริงใจ นางทุ่มแบบจัดเต็มเลยนะ

“ขอกินกับฝ่าบาทก็ได้ ในตำหนักของฝ่าบาทมีพ่อครัวสองคน ฝีมือเป็นเลิศ” หลิงปู้อี๋ ‘เกาะบิดากิน’ ชนิดไม่เกรงใจเลย

เอ่ยถึงเรื่องกิน ในใจเฉิงเซ่าซางให้สว่างสดใส

ตกค่ำกลับถึงจวนสกุลเฉิง นางรีบให้อาจู้ค้นโถตุ๋นดินเผาดำใบเล็กที่นางหาช่างฝีมือในอำเภอหวาทำขึ้นเป็นพิเศษใบนั้น ขัดล้างจนสะอาด ผึ่งไว้ใต้แสงจันทร์ แล้วอบแห้งเตรียมไว้ใช้งาน ตามที่นางสังเกต ทักษะการปรุงอาหารในยุคนี้ยังไม่หลากหลายเท่ายุคหลัง ผู้คนส่วนใหญ่นับการปิ้งย่างและทอดด้วยน้ำมันน้อยเป็นอาหารเลิศรส นับเนื้อสัตว์อาหารคาวเป็นสิ่งมีค่า ทว่าเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด

ข้อเท็จจริงพิสูจน์ชัด อาหารยังคงเป็นประเภทต้มนึ่งจะดีต่อสุขภาพมากกว่า ดังนั้นภายใต้การแทรกแซงของนาง ต่อให้แบกรับความไม่พอใจอย่างรุนแรงของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง อาหารการกินประจำวันของจวนสกุลเฉิงก็ได้เพิ่มเติมพืชผัก น้ำแกง กับอาหารประเภทต้มเข้ามาจำนวนมากแล้ว

คนทางใต้ทำน้ำแกงมีลูกเล่นสารพัดอย่าง แตกฉานโดยไม่ต้องมีอาจารย์ ไม่ว่าสิ่งใดในภูเขาในทุ่งนา ในแม่น้ำในลำธาร เฉิงเซ่าซางล้วนจับใส่น้ำแกงได้ทั้งสิ้น

นับจากนั้นมาเฉิงเซ่าซางพยายามใช้ถุงนวมห่อหุ้มน้ำแกงหนึ่งโถมาให้หลิงปู้อี๋ที่หน้าประตูวังในยามเช้าของทุกวัน บางคราน้ำแกงกินแรงสิ้นเปลืองเวลามากเกินไป นางได้แต่ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กหิ้ววัตถุดิบที่จัดการเสร็จแล้วเข้าวังมา ขอเตาดินแดงใบย่อมจากไจ๋เอ่า ตั้งวางโถดินเผาดำอันเล็กประณีตเงาวับของตนไว้บนนั้น แล้วเริ่มตุ๋นน้ำแกงดังกลุกๆ…เคราะห์ดีนี่เป็นวังหลวงที่ไร้การแก่งแย่งชิงดี ทั้งฮองเฮายังมีอำนาจควบคุมตำหนักฉางชิวอย่างเบ็ดเสร็จ หาไม่ถึงตีเฉิงเซ่าซางให้ตายนางก็ไม่กล้าตุ๋นน้ำแกงที่นี่หรอก

บ้างเป็นยามเที่ยงวัน บ้างเป็นยามเย็น เมื่อหลิงปู้อี๋มาถึงตำหนักฉางชิว จะแลเห็นเด็กสาวตัวน้อยที่นั่งเฝ้าโถตุ๋นน้ำแกงอยู่ใต้ทางระเบียง ถูกไฟจากเตาฉายสะท้อนจนพวงแก้มแดงเรื่อ ผุดเม็ดเหงื่อที่เล็กละเอียดดุจใช้ผงมุกเติมลายบุปผาประดับบนดวงหน้า จากนั้นส่งยิ้มมาให้เขาตั้งแต่ไกล

ชั่วพริบตาเดียวเขาก็พลันเข้าใจกระจ่างแล้ว คำว่า ‘กลิ่นอายควันไฟ’* ที่บิดาบุญธรรมเอ่ยถึงบ่อยครั้งนั้นหมายความเช่นไร

เฉกเช่นวัยเด็กที่ครูสูงวัยท่านนั้นเคยกล่าวไว้ เฉิงเซ่าซางเป็นคนที่มีทั้งความใจเด็ดและแน่วแน่ เดิมทีนางระอางานครัวอันพิรี้พิไรชนิดนี้เป็นที่สุด ทว่าบัดนี้เมื่อตั้งใจจะบุกตะลุยภารกิจอันท้าทายนี้ กลับสามารถทุ่มเทพลังใจกับสติปัญญาอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ว่าจะสรรพคุณล้างปอด ชุ่มคอ บำรุงสายตา แก้ร้อนใน หรือเสริมพลัง ตลอดจนหัวใจตับม้ามของหลิงปู้อี๋ล้วนถูกนางบำรุงจนถ้วนทั่วหนึ่งรอบ เว้นก็แต่ไม่กล้าบำรุงไตเสริมธาตุหยางให้เท่านั้น

ไม่นานนักนางก็ค้นพบว่าตอนนี้สิ่งที่หลิงปู้อี๋ชื่นชอบที่สุดคือน้ำแกงขิงซอยลูกชิ้นปลา…กระบวนการเริ่มจากขูดเนื้อปลาสด ถอนกำจัดก้าง สับเนื้อให้ละเอียดแล้วปั้นเป็นลูกชิ้นปลาลูกเล็กๆ ต้มในน้ำแกงใส ตกแต่งด้วยขิงซอยสีเหลืองกับผักซอยสีมรกต ให้รสอ่อนอร่อยกลมกล่อม

เห็นพักนี้เด็กสาวขยันขันแข็ง ฮองเฮาถึงกับบังเกิดความอิจฉาเล็กๆ อย่างหาได้ยาก จึงเอ่ยหยอกเย้า “สงสัยว่างานข้าจะสำเร็จจนถอนตัวได้แล้วกระมัง บัดนี้ทั่ววังล้วนกล่าวขวัญถึงชื่อเสียงความเป็นกุลสตรีของเจ้า”

“จริงหรือเพคะ ทุกคนล้วนพูดว่าหม่อมฉันเป็น ‘กุลสตรี’?” เฉิงเซ่าซางตื่นเต้นยินดีอย่างบอกไม่ถูก นึกไม่ถึงเลย นึกไม่ถึงจริงๆ

ฮองเฮาแสร้งขึงตากล่าว “กับว่าที่สามีนั้นเป็นกุลสตรีแล้ว ทว่าชื่อเสียงด้านกตัญญูยังคงไม่ปรากฏ!”

เฉิงเซ่าซางกังขา “หม่อมฉัน…ไม่กตัญญูที่ใดกัน บิดามารดาของหม่อมฉันมาฟ้องร้องกับฮองเฮาหรือเพคะ”

“หมายถึงข้ากับฝ่าบาท ใจกตัญญูของเจ้าเล่า!” ฮองเฮาปั้นหน้าบึ้งตึง

เฉิงเซ่าซางเข้าใจเสียที ก็คือ ‘พบเจอใคร แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง’* กฎของผู้ร่วมเส้นทาง ทุกคนล้วนเข้าใจ ทำตามกฎเป็นใช้ได้

เมื่อก่อนเพื่อให้กระทำการได้รอบคอบ ภาชนะทั้งหมดเฉิงเซ่าซางล้วนจัดเก็บอย่างถี่ถ้วน ปริมาณวัตถุดิบก็จัดมาแม่นยำชนิดหลิงปู้อี๋กินได้หมดในครั้งเดียว ให้อิ่มท้องสามสี่ส่วนเป็นพอ ทว่ายามนี้จะต้องปรับเปลี่ยนเสียแล้ว

ไม่เหมือนกับหลิงปู้อี๋ ฮองเฮาชอบรสสัมผัสที่ออกหวานหนึบนุ่ม เฉิงเซ่าซางจึงจำต้องหันมาค้นคว้าเรื่องของหวานเพิ่ม น่าแค้นที่ยุคนี้ไม่มีน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลกรวดที่มีความเข้มข้นสูง นางเคยใช้น้ำตาลจากต้นอ่อนข้าวสาลีใส่ลงน้ำแกง น่าเสียดายที่ยังแทรกแซมด้วยรสอื่น อีกทั้งระดับความหวานก็ไม่เพียงพอ

เมืองในมณฑลโดยรอบพอจะมีต้นอ้อยปลูกกระจายตัวอยู่ สามารถคั้นเป็นน้ำอ้อยให้ผู้คนดื่มได้ ในตลาดก็มีขายสือมี่** ที่แพร่หลายมาจากแดนซีอวี้*** เพียงแต่สิ่งแรกไม่อาจใช้ปรุงอาหาร สิ่งหลังเฉิงเซ่าซางเห็นว่าทั้งมีราคาสูง ทั้งมีกลิ่นเจือปนที่ฉุนแรง ประกอบกับนี่เป็นยุคที่ไม่มีน้ำกรดเข้มข้นสูงสำหรับแยกส่วนประกอบของน้ำตาล นางจึงได้แต่ซื้ออ้อยหรือน้ำอ้อยมาเอง จากนั้นเคี่ยวครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสกัดผลึกน้ำตาลออกมา ด้วยมีพื้นฐานความรู้ทางเคมีอยู่ กระบวนการย่อมจะเลี่ยงข้อผิดพลาดได้มากมาย เพียงแต่สิ้นเปลืองฟืนยิ่งยวดและเคี่ยวกรำคนเหลือเกิน

จวบจนหีบเงินสำหรับใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดใกล้จะเห็นก้นหีบ ควันฟืนในจวนสกุลเฉิงค่อยเบาบางลง เฉิงเซ่าซางได้รับกากน้ำตาลที่มีความหวานเพียงพอเสียที นอกจากสามารถทำของกินเล่นประเภทที่ใช้กั่วถังกับหรู่ถัง* ซึ่งส่งผลให้เฉิงจู้น้อยกับเฉิงโอวน้อยดวงตาวิบวับดั่งดวงดาว และสามารถทำยำผักผลไม้ ซึ่งส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมองนางรื่นตาแล้ว ยังสามารถทำของว่างรสหวานแบบน้ำใสน้ำข้นได้หลากชนิด

ทว่ากากน้ำตาลชนิดนี้เก็บรักษาไม่ง่าย เฉิงเซ่าซางจึงฉวยช่วงฤดูคิมหันต์นี้ระดมใช้เสียเลย ประเดี๋ยวใช้ทำนมตุ๋น ประเดี๋ยวใช้ทำวุ้นนมหวาน ประเดี๋ยวใช้ทำขนมน้ำตาลขาว** ซึ่งฉบับของเฉิงเซ่าซางไม่ขาวแต่อย่างใด นางจึงได้แต่แบมืออย่างจนใจ ไม่เพียงเท่านี้นางยังทำขนมอบหนึ่งหนในครัวท้ายตำหนักฉางชิวด้วย กลิ่นนมอันหอมหวานละมุนละไมจนหลอมละลายจิตวิญญาณได้ชนิดนั้นฟุ้งกำจายออกไปไกลหลายหลี่ แทบจะชักนำให้ขุนนางหลายท่านที่ตอนนั้นประชุมอยู่ในสำนักราชเลขาธิการตามกลิ่นมาทีเดียว

เดิมฮองเฮามีอาการไอเล็กน้อยช่วงฤดูคิมหันต์ ครั้นได้รับการบำรุงดูแลครบครันเช่นนี้ นอกจากจะหายจากอาการไอแล้ว สีหน้ายังแดงเปล่งปลั่งขึ้นมากโข ไจ๋เอ่าเห็นแล้วปีติเป็นล้นพ้น จึงให้ความสนิทสนมกับเฉิงเซ่าซางยิ่งกว่าเดิม เรื่องส่วนตัวบางอย่างที่ไม่เคยมอบหมายกระทั่งกับลั่วจี้ทง กลับยินดีจะกำชับฝากฝังเฉิงเซ่าซาง

สถานที่ที่มีผู้คนอยู่ย่อมจะมีสังคม และย่อมจะมีคนจุ้นจ้านไปกระซิบกระซาบถึงข้างตัวลั่วจี้ทง “พี่สาว แต่เล็กมาท่านอยู่ตำหนักฉางชิวปรนนิบัติฮองเฮา นางเพิ่งจะมาได้กี่วัน ก็ข้ามหน้าไปอยู่บนศีรษะของท่านแล้ว”

ลั่วจี้ทงกลับประคองเต้าทึงข้าวโพดถั่วแดงพร้อมกับคลี่ยิ้มจนตาหยี “ก่อนย่างเข้าฤดูเหมันต์ ข้าก็ต้องเดินทางไปแต่งงานที่แดนพายัพแล้ว ทว่าสำหรับนาง วังหลวงกลับเป็นบ้านสามีของนางครึ่งหนึ่ง ยามนี้แค่แสดงความกตัญญูต่อแม่สามีที่อยู่ในวังล่วงหน้า ข้ากับนางไม่เหมือนกันแต่อย่างใด”

ต่อมาเรื่องนี้ถ่ายทอดมาถึงหูของเฉิงเซ่าซาง พาให้นางอุทานอย่างอดไม่ได้ “พี่จี้ทงมีหัวใจกระจ่างดวงตาสว่างโดยแท้” ดูสิ กระทั่งแม่นางน้อยเบื้องล่างยังตีกันไม่สำเร็จ วังหลวงแห่งนี้ช่างสงบสันติ ไร้ลมไร้คลื่นจริงเสียด้วย

ฮองเฮายิ้มกล่าว “หากนางถูกยั่วยุง่ายดายเพียงนี้ จะอยู่ในวังนานเท่านี้ได้อย่างไร”

“คนช่างยุเหล่านั้น ฮองเฮาทรงไม่คิดจะเอาความหรือเพคะ” เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว

ฮองเฮาสั่นศีรษะ “น้ำใสไร้มัจฉา*** วังหลวงนี้เงียบเหงา ย่อมไม่อาจถึงขั้นห้ามพวกนางพูดจากระมัง”

เฉิงเซ่าซางลอบส่ายหน้า

มีบางเรื่องเฉิงเซ่าซางส่ายหน้าปล่อยผ่านไปได้ ทว่ามีบางเรื่องนางไม่แคล้วต้องพูดมากสักประโยค

นับแต่ครั้งแรกที่นางถวายอาหารแด่ฮองเฮา ต่อให้ฮองเฮาไม่เก็บส่วนของฮ่องเต้ไว้ ก็ต้องส่งส่วนหนึ่งไปที่ตำหนักเยวี่ยเฟย ในใจเฉิงเซ่าซางให้วิตกยิ่ง แต่ไรมาอาหารเกิดการใช้เล่ห์สกปรกได้ง่ายที่สุด วันหน้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจะทำเช่นไรกันเล่า

ฮองเฮาตอบเรียบๆ “นางไม่ทำหรอก และนางก็รู้ด้วยว่าข้าจะไม่ทำแน่”

เฉิงเซ่าซางเพ่งมองสีหน้ามั่นอกมั่นใจของฮองเฮา จากนั้นไม่เอ่ยถึงอีก

 

เมื่อล่วงถึงปลายฤดูคิมหันต์ เฉิงเซ่าซางใช้กากน้ำตาลส่วนสุดท้ายทำข้าวเหนียวเปียกถั่วเปลือกแข็งที่ให้รสสัมผัสอันละมุนลิ้นถวายฮ่องเต้หนึ่งโถ ฮ่องเต้กินแล้วผงกศีรษะติดๆ กัน ก่อนถอนใจกล่าว “เซ่าซาง เจ้าช่างมีจิตใจละเอียดอ่อนฝีมือประณีต น่าเสียดาย วิธีทำน้ำตาลนี้ไม่เหมาะจะให้คนทั่วแคว้นเรียนรู้เอาอย่าง อย่าให้เผยแพร่ออกไปจะเป็นการดีกว่า ของเลิศรสไม่ว่าผู้ใดล้วนชื่นชอบ ทว่าใต้หล้ามีกำลังคนกับทรัพยากรอยู่เพียงเท่านี้ หากของหวานจำพวกนี้เป็นที่นิยมของตระกูลใหญ่ในวงกว้าง ทุกบ้านทุกช่องก็จะแห่กันไปปลูกอ้อย เลิกปลูกธัญพืช ทั้งที่ข้างนอกยังคงมีผู้ที่อดอยากเจียนตายอยู่”

เฉิงเซ่าซางย่อมรู้ว่านี่หมายความเช่นไร นางจึงขานรับอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเข้าใจความหมายของพระองค์ ขุมกำลังของแคว้นมีอยู่เพียงเท่านี้ ย่อมต้องใช้กับจุดที่เหมาะควร”

“เช่นนั้นจุดใดคือจุดที่เหมาะควรเล่า” ฮ่องเต้จงใจยั่วเย้าแม่นางน้อย ส่งผลให้ฮองเฮาขึงตาใส่หนึ่งที

เฉิงเซ่าซางตอบเสียงกังวาน “ย่อมเป็นธัญพืช ม้า และเครื่องเหล็ก” นางอดไม่ได้ต้องทำปากยู่ “ฝ่าบาทเพคะ ฮองเฮาทรงสอนหม่อมฉันอ่านตำรา ‘อภิปรายว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ แล้ว ยังมีอันใดสักอย่างของใต้เท้าจย่าอี้ผู้นั้นด้วย เอ่อ ดูเหมือนหม่อมฉันจะลืมชื่อตำราม้วนนั้นไปแล้ว แต่ว่าหม่อมฉันเคยอ่านมาจริงแท้แน่นอนนะเพคะ”

ฮ่องเต้ไม่รู้สึกว่าเป็นการล่วงเกินเบื้องสูงแต่อย่างใด ตรงข้ามยังลูบเคราหัวเราะร่วนดังฮ่าๆ

ใบหน้าเฉิงเซ่าซางแม้แสร้งปั้นปึ่ง ทว่าในใจเคารพยกย่องฮ่องเต้กับฮองเฮาคู่นี้ยิ่งยวด ในฐานะผู้มีศักดิ์สูงสุดแห่งแคว้น มีหรืออยากกินสิ่งใดจะไม่อาจได้กินสิ่งนั้น เพียงแต่สองพระองค์ทำตนเป็นแบบอย่าง ใช้ความมัธยัสถ์มาควบคุมผลักดันตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจทั้งหลายก็เท่านั้นเอง

ความจริงในยุคหลังมีอยู่ราชวงศ์หนึ่งซึ่งขึ้นชื่อด้านความมั่งคั่ง สามารถทำเครื่องเคลือบ ‘สีฟ้าหลังฝน’ อันวิจิตรหาใดเปรียบ มีวิธีปรุงผสมกลิ่นกำยานเป็นเอกเหนือทุกราชวงศ์ รวมถึงมีการเตะลูกหนังกับการละเล่นต่างๆ หลากหลายครบครัน…ทว่าน่าเสียดาย เจ้าเหนือหัวกับขุนนางในราชวงศ์นั้นไม่ได้ใช้ขุมกำลังของแคว้นไปกับปัจจัยสู่ความเจริญของบ้านเมืองอย่างเกลือ เหล็ก เสบียง และม้า ทำผิดต่อราษฎรผู้ขยันหมั่นเพียรมากความสามารถ และทำผิดต่อแม่ทัพพลทหารผู้เปี่ยมด้วยเลือดอันหาญกล้าร้อนแรง

ตามความเห็นอันตื้นเขินของนาง ท่วงทำนองหลักในการปกครองของราชวงศ์นั้นก็คือการติดสินบน ใช้ทรัพย์สินกับเกียรติยศติดสินบนทั้งบนล่างในนอก ติดสินบนข้าศึก ทำให้ราชสำนักได้รับสันติสุขชั่วครั้งชั่วคราว ติดสินบนขุนนาง เพื่อแลกมาซึ่งการยกย่องของกลุ่มขุนนางบุ๋นที่มีต่อเจ้าเหนือหัวกับราชวงศ์

เมื่อถึงห้วงคับขันที่ข้าศึกบุกประชิดกำแพงเมือง เจ้าเหนือหัวกับขุนนางกลุ่มนี้ถึงกับติดสินบนครั้งใหญ่ โดยปล้นชิงบุตรสาวชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ใช้น้ำตาเลือดกับเรือนร่างของพวกนางไปติดสินบนข้าศึกต่างเผ่าอันป่าเถื่อนด้อยอารยะ ที่ตลกร้ายคือสุดท้ายภรรยากับบุตรสาวของเจ้าเหนือหัวกับขุนนางกลุ่มนี้แม้เดินไปบนอีกเส้นทางหนึ่ง ทว่ากลับลงเอยไม่ต่างกันเลย*

ไม่รู้ใครเป็นผู้กล่าวไว้…ความพยายามกับหยาดเหงื่อจะไม่พูดโป้ปด

เฉิงเซ่าซางทุ่มเทแรงใจแรงกาย ขยับทั้งมือทั้งสมองเช่นนี้แล้ว มิเพียงชื่อเสียงอันดีงามค่อยๆ กลบลบชื่อเสียงความพยศหยาบคายเมื่อแรกเริ่ม ฮ่องเต้เห็นอยู่ในสายตาก็พึงพอใจ สะบัดมือกำนัลเหรียญห้าจูที่หลอมขึ้นใหม่จำนวนห้าหมื่นเหรียญให้นางไว้ใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ยังรับสั่งชมเชยด้วยว่านาง ‘กตัญญูประเปรียว จัดการได้เข้าที’ ทั้งถือโอกาสนี้กำนัลศักดินาสองร้อยครัวเรือนให้หลิงปู้อี๋ด้วย

เฉิงเซ่าซางไม่ชอบใจแล้ว นางอดกลั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังอาหารค่ำขณะนั่งใต้ทางระเบียงร่วมกับฮองเฮาและคอยหลิงปู้อี๋ไปด้วยนั้น ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ต้องงึมงำออกมา “ชมหม่อมฉันก็ชมหม่อมฉันสิ เกี่ยวอันใดกับใต้เท้าหลิงเล่า”

ฮองเฮาหลุดยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่นุ่มเบา “ของเขามิใช่ของเจ้าด้วยหรือไร เจ้าน่ะ แค่นี้ก็ต้องคิดเล็กคิดน้อย ไม่แน่ว่าสองร้อยครัวเรือนนี้อาจเป็นค่าเคี่ยวน้ำตาลที่ฝ่าบาททรงมอบให้เจ้าก็เป็นได้”

เฉิงเซ่าซางหัวเราะคิกออกมา แล้วพลันกล่าวเสียงห่อเหี่ยว “เฮ้อ เมื่อก่อนนะเพคะ ไม่ว่าจะได้รับคำชมหรือก่อเรื่องแล้วถูกตำหนิ นั่นล้วนเป็นเรื่องของตัวหม่อมฉันเอง ทว่าเดี๋ยวนี้…หม่อมฉันพูดได้ดี ทำได้ดี นั่นคือหน้าตาของใต้เท้าหลิง หากหม่อมฉันประพฤติไม่เหมาะสม นั่นคือทำให้ใต้เท้าหลิงขายหน้า เช่นนั้นตัวหม่อมฉันเองเล่า ตัวหม่อมฉันเองไปอยู่ที่ใดแล้วเพคะ” เด็กสาวตัวน้อยทำสีหน้าแบบผู้ใหญ่ พูดน้ำเสียงสะทกสะท้อนใจ

ฮองเฮาหุบยิ้ม นิ่งมองเฉิงเซ่าซางครู่หนึ่งค่อยเอ่ยตอบ “นี่เรียกว่าเจ้าดันทุรัง หากยึดตามที่เจ้าว่ามา เหล่าแม่ทัพกับขุนนางที่ปรึกษาใต้อาณัติของฝ่าบาทต่างก็ไม่มีที่ทางของตนเองแล้วน่ะสิ วางแผนได้ดี รบชนะศึกแล้ว นั่นคือการขยายดินแดนเพื่อฝ่าบาท หาได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่ กลับกันหากวางแผนพลาดพ่ายศึก นั่นล้วนเป็นความผิดของฝ่าบาทหรืออย่างไร นับแต่โบราณมาใต้ผืนฟ้าประดับดาวอันไร้ขอบเขตนี้ แม่ทัพที่ปรึกษาผู้วางกลยุทธ์อันลือลั่นก้มมองใต้หล้าอย่างทระนงเหล่านั้น นามของพวกเขาก็พร่างพรายอยู่ท่ามกลางห้วงดาราอันสุกสกาวนี้เช่นกัน”

เฉิงเซ่าซางเงยหน้าขึ้นช้าๆ เบิกตาโตทอดมองไปเบื้องนอกชายคา

“เมื่อก่อนเจ้าโดดเดี่ยวเกินไป คิดแต่ว่าเกิดเองดับเอง มีเกียรติเองอัปยศเอง ทว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะไกล่เกลี่ย เรียนรู้ว่าภูเขาลูกนี้ทางไม่เปิด ก็ไปเปิดทางบนภูเขาลูกอื่น แม้ภายหน้าเจ้าไม่อาจทำตามความตั้งใจเดิม ติดตามคุณชายสกุลโหลวผู้นั้นไปยังขุนเขาลำน้ำที่อยู่ไกล ทว่า ณ เมืองริมแม่น้ำลั่วเหอซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งใต้หล้านี้ เจ้าจะไม่อาจเป็นตัวของเจ้าเองแล้วหรือ”

เฉิงเซ่าซางประดุจได้รับการเปิดหน้าต่างแห่งความสว่างออกบานหนึ่ง บนท้องนภาสีครามซึ่งหม่นเข้มขึ้นตามลำดับนั้นคลับคล้ายปรากฏแต้มดาวเพิ่มขึ้นหลายดวง แม้แสงจะอ่อนยิ่งจางยิ่ง แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ดำรงคงอยู่

“ฮองเฮาเพคะ พระองค์ตรัสได้ดีจริงเชียว” นางหันกลับมาผลิยิ้มอันงดงาม เฉกสายลมเย็นสบายโชยไล้เนินเขา

ฮองเฮาแลเห็นรอยยิ้มนี้แล้ว จิตใจก็ปลอดโปร่งตาม

เฉิงเซ่าซางแหงนมองขอบฟ้า คิดในใจว่าพฤติกรรมของหญิงช่างคับแค้นหน้าบูดง่ายขี้บ่นคนเดิมนั้นน่าขันถึงเพียงใด ว่ากันถึงที่สุดแล้วนางก็แค่เปลี่ยนสาขาวิชาใหม่ ต่อให้เป็นชาติก่อน รับรองได้หรือว่าวันหน้านางจะหางานตรงกับสาขาที่เรียนมาอย่างแน่นอน

ตอนนี้นางเพียงแต่เปลี่ยนจากขอบเขตงานวิจัยสายวิทย์ไปอยู่คณะโภชนาการพ่วงบริหารงานเรือนเท่านั้นเอง น้ำพักน้ำแรงไม่แบ่งแยกถูกแพง อาชีพไม่มีสูงต่ำ ที่ใดต้องการก็ใส่ความมุมานะไปที่นั่น นางก็คือนาง แค่เปลี่ยนสาขาวิชาใหม่ นางก็จะไม่ใช่นางแล้วหรือ นั่นช่างน่าขันเสียเหลือเกิน

 

* ดอกหงหลิง (红菱) หมายถึงดอกของต้นกระจับแดง พืชน้ำซึ่งออกดอกสีขาวหรือสีแดง ออกผลเป็นรูปทรงคล้ายเขาควายสีแดงม่วง

* กลิ่นอายควันไฟ หมายถึงควันไฟประกอบอาหาร และยังใช้สื่อถึงชีวิตปุถุชน

* พบเจอใคร แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง หมายถึงแบ่งผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งของตนให้ผู้ที่ผ่านทางมาพบเห็น มีที่มาจากธรรมเนียมการล่าสัตว์ของชาวเอ้อหลุนชุน โดยขณะที่ล่าได้สัตว์มา หากบังเอิญมีอีกคนมาพบเห็น จะต้องแบ่งให้อีกฝ่ายไปครึ่งหนึ่ง นอกจากเป็นการซื้อน้ำใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแล้ว ยังป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายคิดร้าย ใช้กำลังแย่งชิง

** สือมี่ (น้ำผึ้งหิน) คือน้ำอ้อยที่ตากแดดจนแข็งตัวเป็นก้อน

*** ซีอวี้ (แดนตะวันตก) คือดินแดนทางตะวันตกของด่านอวี้เหมินและด่านหยางกวนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ปัจจุบันคือบริเวณเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางใต้ของเทือกเขาเทียนซาน (เทียนซานหนานลู่) เรื่อยไปจนถึงทางตะวันตกของที่ราบสูงปามีร์ รวมถึงแถบเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก และอินเดีย

* กั่วถัง คือน้ำตาลฟรักโทส หรู่ถัง คือน้ำตาลแล็กโทส

** ขนมน้ำตาลขาว คือขนมที่นึ่งจากแป้งข้าวเจ้ากับน้ำตาลทรายขาว เนื้อขนมเป็นสีขาวมีรูพรุน ในที่นี้น้ำตาลของเฉิงเซ่าซางยังไม่บริสุทธิ์พอ ขนมจึงไม่ออกมาเป็นสีขาว

*** น้ำใสไร้มัจฉา เปรียบเปรยว่าเข้มงวดกับผู้อื่นเกินไป จะไม่มีใครคบหาด้วย เหมือนน้ำที่ใสเกินไป ปลาก็ไม่อาจอยู่รอด

* ในที่นี้ผู้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ในราชวงศ์ซ่งเหนือรัชศกจิ้งคัง ซึ่งเป็นปีแรกและปีสุดท้ายในรัชสมัยของซ่งชินจง และเป็นปีสิ้นสุดของราชวงศ์ซ่งเหนือ เมื่อทัพจิน (กิมก๊ก) ตีไคเฟิงเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือแตก ซ่งฮุยจงกับซ่งชินจงฮ่องเต้สององค์สุดท้ายล้วนถูกทัพจินจับเป็นเชลย

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: