X
    Categories: Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์With Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Moonlight เพลงรักใต้แสงจันทร์ เล่ม 1 บทที่ 1 – 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1

เดือนมีนาคม ปี 20XX

สายฝนปรอยตกลงมายังพื้นดิน ฤดูหนาวทางตอนใต้ในปีนี้ดูเหมือนจะหนาวเป็นพิเศษ

เทศกาลตรุษจีนเพิ่งผ่านพ้นไป ทั้งบริษัทใหญ่และหน่วยงานต่างๆ เริ่มเปิดรับสมัครพนักงานรอบใหม่…แต่ทว่าสำหรับนักศึกษาส่วนใหญ่ที่เรียนสาขาภาษาจีนและวรรณคดี ข่าวการรับสมัครที่น่าตื่นเต้นที่สุดคงจะหนีไม่พ้นข่าวรับสมัครของอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำในประเทศอย่าง ‘สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย’ ที่ปีนี้คาดไม่ถึงว่าจะประกาศรับสมัครพนักงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นต่อให้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ณ ฝ่ายเทคโนโลยีธุรกิจของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยนั้น แน่นอนว่าย่อมมีผู้คนตบเท้าเข้ามาสัมภาษณ์งานกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ครึกครื้นสุดๆ

“เฮ้! เธอได้ยินข่าวไหมว่าครั้งนี้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยเปิดรับคนเพิ่ม ดูเหมือนว่าบริษัทจะจดทะเบียนเพื่อให้มีการประเมินมูลค่าที่ดี เลยต้องการเพิ่มจำนวนพนักงานน่ะ”

“เห็นว่าจะขยายขอบเขตการทำธุรกิจด้วยนะ เลยเพิ่มตำแหน่งงานแบบนั้น…ก่อนหน้านี้สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยทำแต่วรรณกรรมแนวโบราณ นึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้อยากจะบุกตลาดแนวนิยายขึ้นมา…”

“พระเจ้า! ถ้าเป็นหนังสือนิยายก็ต้องสำนักพิมพ์ซินตุ้นสิ เขาทำแนวนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องการแย่งงานน่ะสิ…”

“ชู่ว! พูดเบาๆ หน่อย ฉันได้ยินมาว่ามันสอดคล้องกันกับวรรณกรรมแนวโบราณในนิตยสารรายเดือน ‘เส้นทางแห่งดวงดาว’ แล้วสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยยังทำนิยายสำหรับวัยรุ่นในนิตยสารรายเดือนเล่มใหม่อีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘แสงแห่งจันทรา’ อ้อๆๆ ฉันยังได้ยินมาอีกว่าทำไปแล้วเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แถมยังเชิญโจ้วชวนมาร่วมงานด้วยนะ…”

“โอ้แม่เจ้า! โจ้วชวน! ใช่โจ้วชวนคนนั้นที่ฉันรู้จักหรือเปล่านะ ที่เขียนเรื่อง ‘บันทึกแห่งบูรพา’ อย่าบอกนะว่าเขาร่วมงานกับสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยแล้ว!!!!”

“ใช่ๆๆ…”

หนุ่มสาวจำนวนมากรวมตัวกันด้านนอกห้องประชุมของสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ในมือของพวกเขาถือบัตรคิวเพื่อรอการสัมภาษณ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งมารู้จักกันตอนนี้ ในเวลานี้มีผู้คนรวมกลุ่มกันแอบกระซิบกระซาบ…จนกระทั่งมีเสียงล้อหมุนจากปลายทางเดินดังกึก…กึก…เข้ามาขัดจังหวะ ทำให้การสนทนานี้หยุดลง

ผู้คนจำนวนมากเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปยังปลายทางเดิน ปรากฏร่างหญิงสาวอายุราวยี่สิบปี เธอมีรูปร่างสูงเพรียว ไว้ผมสั้น…ผิวขาวใส อาจเป็นเพราะวิ่งมาจึงทำให้แก้มนั้นแดงเล็กน้อย ปลายจมูกเรียวเล็กแดงก่ำเพราะอากาศที่หนาวเย็น เธอมีหน้าตาหมดจด เมื่อดูรวมๆ แล้วให้ความรู้สึกว่าทุกส่วนบนใบหน้ากลมกลืนกันดีอย่างไม่ขัดตา ส่วนตาสีดำและขาวก็ตัดกันอย่างเด่นชัดจนกลายเป็นดวงตาที่เจิดจรัสเป็นพิเศษ เผยให้เห็นความน่ารักสดใสอย่างมีชีวิตชีวา

อากาศหนาวแบบนี้แต่เธอกลับสวมใส่รองเท้าบูตยาวถึงเข่า กระโปรงสั้น ด้านนอกสวมเพียงเสื้อคลุมกันลมตัวยาว ร่างกายของเธอดูช่างบอบบางนัก เมื่อเทียบกับกระเป๋าใบใหญ่ที่เธอลากมาด้วยด้านหลัง…ขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังถือเรซูเม่ เธอรีบวิ่งจ้ำอ้าวไปหาพนักงานบริษัทหยวนเยวี่ยที่กำลังแจกบัตรคิวการสัมภาษณ์ ก่อนที่จะยืนนิ่งพร้อมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วยิ้มออกมา

“ขอโทษด้วยค่ะ ถนนที่มาจากสถานีรถไฟรถมันติด ฉันเป็นนักศึกษาที่จบจากสาขาภาษาจีนและวรรณคดี มาสัมภาษณ์ค่ะ ขอบัตรคิวให้ฉันด้วยค่ะ”

เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างสุภาพและคล่องแคล่ว

พนักงานแจกบัตรคิวชะงักงัน ยกมือขึ้นมองนาฬิกา พบว่ายังไม่เลยเวลานัดสัมภาษณ์ ดังนั้นจึงยื่นบัตรคิวต่อไปส่งให้เธออย่างง่ายดาย ครั้นเมื่อกำลังยื่นบัตรคิวให้ สายตาเขาก็กวาดไปเห็นเรซูเม่ในมือของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว…จึงทันเห็นคอลัมน์ชื่อสกุลที่เขียนไว้เป็นตัวอักษรใหญ่ๆ สองตัวว่า ‘ชูหลี่’*

…เมื่อมองดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างเพรียวบาง ดูไม่มีพิษมีภัยต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ชื่อชูหลี่จึงเป็นชื่อที่เข้ากับภาพลักษณ์ของเธอเสียจริง

ชูหลี่รับบัตรคิวท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างเงียบงันของผู้คนรอบกาย เธอยิ้มออกมาอย่างสดใสและพยักหน้าให้กับพนักงานแจกบัตรคิว หลังจากนั้นก็ลากกระเป๋าไปยังมุมหนึ่งอย่างไม่สนใจใคร ก่อนจะหาเก้าอี้ว่างแล้วนั่งลง…

ทันทีที่เธอนั่งลง รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไป แววตาถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและตึงเครียด ชูหลี่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาลงชื่อเข้าใช้งานคิวคิว** แล้วเข้าไปยังแชตของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งใช้ชื่อบัญชีว่า ‘Mr. L ที่หายไป’ ก่อนจะใช้นิ้วพิมพ์อย่างรวดเร็ว…

 

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ฉันมาถึงที่สัมภาษณ์แล้วนะ! คนขับแย่มากแกล้งทำเป็นไม่รู้จักทาง พาไปอ้อมจนฉันเกือบสาย ฉันก็เลยเปิดแมปนำทางเองเลย เปิดเสียงโทรศัพท์ให้ดังจนสุดเสียงอีกสามร้อยเมตรข้างหน้าเลี้ยวซ้าย ฮ่าๆๆๆๆ คอยดูว่าคนขับยังจะกล้าขับไปทางไหนได้อีก เหอๆๆๆ แต่ตอนนี้ทุกคนมองฉันเหมือนตัวประหลาด

 

เธอเงยหน้าขึ้นขณะที่พิมพ์ ค่อยๆ กวาดตาไปโดยรอบอย่างสงบนิ่ง และสายตาหลายคู่ที่ลอบมองเธอก็ถอนกลับไปทันที

ชูหลี่ยิ้มมุมปาก ก้มหน้าพิมพ์ข้อความต่ออย่างพึงพอใจ…

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ทำอย่างกับไม่เคยเห็นคนสวยใส่เสื้อกันลมอย่างงั้นแหละ

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นายว่าในบรรดาคนที่กำลังแอบมองฉัน จะมีคนใหญ่คนโตอย่าง บ.. ใหญ่ของสำนักพิมพ์บ้างไหมนะ ที่แฝงตัวมาเป็นผู้สัมภาษณ์ หลังจากนั้นก็ตีเนียนไปกับกลุ่มผู้ถูกสัมภาษณ์และตัดสินกันภายในว่าผู้ถูกสัมภาษณ์คนไหนพอจะเป็นต้นกล้าที่ดีได้บ้างหรือเปล่านิตยสาร ซุปไก่*** เขียนไว้แบบนี้

 

ตอนนี้ดูเหมือนว่าชูหลี่จะนึกอะไรบางอย่างออก เธอกระแอมเบาๆ ในลำคอและมองไปรอบตัว…อดทนรอได้สักพัก แต่ไม่มีการตอบกลับมาของ Mr. L ที่หายไป เธอเบ้ปากอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อยและคาดเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังยุ่งอยู่ จึงนำโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ

เธอนั่งยืดตัวตรงบนเก้าอี้ ตำแหน่งที่นั่งของชูหลี่หันหน้าไปทางห้องสัมภาษณ์ ซึ่งมุมนี้สะดวกต่อดวงตาสีดำและขาวที่ตัดกันอย่างเด่นชัดคู่นี้ของเธอจะสามารถจ้องมองการเดินเข้าออกของผู้มาสัมภาษณ์ได้เป็นอย่างดี…

คนนี้นำเรซูเม่มาเป็นตั้ง จะเอามาแจกใบปลิวเหรอ

โอ้ คุณผู้หญิงคนนี้หน้าตาดีจังเลย เป็น บ.. ฝ่ายไหนนะ เธอฮอตกว่าหลิวอี้เฟย* ตอนแสดงละครโทรทัศน์ซะอีกฉันพิงกล่องอะไรอยู่เนี่ยนึกไม่ถึงเลยว่าฉันกำลังพิงกล่องใส่นิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวสุดยอดไปเลยพี่ใหญ่ ฉลาดสุดๆ ไปเลย นี่แหละที่จะแข่งขันกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างทรงพลัง!

ขณะที่หญิงสาวเฝ้ามองผู้สัมภาษณ์คนที่สามสิบสองด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เรียบเฉยพร้อมกับนึกเปรียบเทียบถึงตำแหน่ง บ.ก. ที่มาสมัครกับรูปร่างที่เหมือนเทรนเนอร์ฟิตเนสของอีกฝ่ายอยู่นั้น เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที ในที่สุดพนักงานแจกบัตรคิวก็เรียกลำดับคิวของเธอ…

ชูหลี่ลุกขึ้นยืน ขณะนั้นเองเธอรู้สึกว่ารอบข้างนั้นเงียบแปลกๆ ปรากฏว่าผู้เข้าสัมภาษณ์ในครั้งนี้เหลือแค่…เธอคนเดียว

พนักงานเรียกลำดับคิวและยิ้มให้เธอ ชูหลี่ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องประชุมที่ปิดอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจากด้านในบอกว่า “เชิญเข้ามา” เธอก็เปิดประตูเดินเข้าไป…

เธอยื่นเรซูเม่ จากนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกรรมการผู้สัมภาษณ์คนที่ห้าแวบหนึ่งทางหางตาซึ่งดูไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของกรรมการผู้นั้นเริ่มหมดความอดทนกับการทำงานล่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์จนอยากรีบเลิกงานและกลับบ้านไปทานข้าวเต็มที

ชูหลี่ “…”

กรรมการผู้สัมภาษณ์เย็นชาจังดูเหมือนว่าจุดเริ่มต้นของละครทีวีมักจะเป็นแบบนี้?

ใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจไป

เชิดหน้าขึ้นและยืดอกเข้าไว้

หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ สายตาคอยสังเกตกรรมการผู้สัมภาษณ์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนอย่างละเอียด มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน พวกเขาแต่ละคนอาจมีตำแหน่งก็เป็นได้…แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะในสายตาของเธอทุกคนล้วนอาวุโสเหมือนกันหมด

ชูหลี่ทำได้เพียงแค่จ้องกรรมการท่านหนึ่งที่ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วเริ่มแนะนำตัว หลังจากทราบข้อมูลทั่วไปของเธอแล้วก็เริ่มสาธยายถึงวรรณกรรมแนวโบราณของนิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวเสียงสูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนชอบนิตยสารเล่มนี้มากเพียงใด เมื่อเล่าถึงตอนที่น่าตื่นเต้นก็จะลุกขึ้นยืน ก่อนจะประกาศให้กรรมการผู้สัมภาษณ์ทราบอย่างกระตือรือร้น

“ถ้าให้โอกาสฉันเข้าทำงานที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย แม้จะได้รับค่าตอบแทนเพียงแปด…ไม่สิ หนึ่งพันห้าร้อยหยวน ฉันก็เต็มใจรับถึงแม้จะยากลำบากก็ตาม!”

…ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงลิบลิ่วแห่งนี้ เดือนละหนึ่งพันห้าร้อยหยวนคงเหมาะจะอาศัยอยู่แค่ในท่อน้ำเท่านั้นแหละ

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลอุบาย

สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่อย่างหยวนเยวี่ยจะยอมให้เงินเดือนพนักงานเพียงหนึ่งพันห้าร้อยหยวนได้อย่างไร!

ชูหลี่คิดว่าหากแสดงละครโดยใช้กลอุบายนี้กับกรรมการผู้สัมภาษณ์ พวกเขาจะต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกับความกระตือรือร้นของตน แต่กลับผิดคาด เมื่อพูดจบก็ได้ยินกรรมการผู้สัมภาษณ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางขวาสุดกำลังแสดงสีหน้าท่าทางที่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมอะไรเลยจนหญิงสาวรู้สึกสงสัยว่าเธอหลับไปแล้วหรือยัง กรรมการผู้สัมภาษณ์คนนี้ถามประโยคหนึ่งออกมาอย่างคล่องปากว่า

“หนึ่งพันห้าร้อยหยวนต่ำเกินไป ถ้าหนึ่งพันแปดร้อยหยวนเธอจะทำไหม”

ชูหลี่ “…?”

กรรมการผู้สัมภาษณ์หญิงคนนั้นพูดออกมาโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเก็บสีหน้าที่มึนงงแทบไม่อยู่ ทำให้กรรมการผู้สัมภาษณ์สี่คนที่เหลือต่างหัวเราะก๊ากออกมา…

ชูหลี่รู้สึกว่าวันนี้เธอเจอแต่คนแย่ๆ ตั้งแต่คนขับรถยันกรรมการผู้สัมภาษณ์เลย

แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรค เธอจึงพยักหน้า ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความนัย “หนึ่งพันแปดร้อย? ฉันทำค่ะ”

สิบนาทีต่อมา ผู้สัมภาษณ์คนสุดท้ายอย่างชูหลี่ก็ก้าวออกมาจากห้องสัมภาษณ์…ในเวลานี้ข้างนอกกลับเงียบสงบกว่าตอนก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์เสียอีก พนักงานคนอื่นกำลังเก็บอุปกรณ์การสัมภาษณ์และเครื่องดื่ม

ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้สัมภาษณ์ก็เดินออกไปพร้อมถือข้อมูลการสัมภาษณ์ พูดคุยกันก่อนจะแยกย้ายกันไปทีละสองสามคน

ชูหลี่เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว และเมื่อเธอหันหลังกลับก็พบว่าเหลือเธอเพียงคนเดียวที่อยู่ตรงทางเดิน

วันหยุดยาวช่วงเทศกาลเช่นนี้ ในอาคารสำนักงานของบริษัทหยวนเยวี่ยนั้นว่างเปล่า ร้างจนแทบจะเจอผีได้จากมุมห้อง…เธอคิดในใจว่าไหนๆ ก็มาแล้ว จึงไม่รีบกลับและชะลอฝีเท้าของตนให้ช้าลงก่อนจะเห็นกล่องหนังสือ ‘เรื่องของเจ้าชายน้อย’ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอเคยอ่านสมัยประถม จนมาถึงนิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวที่เธอเคยอ่านสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยตลอดเส้นทางมีสื่อสิ่งพิมพ์มากมายหลายเรื่องที่เธอเคยอ่านมาแล้ว เรียกได้ว่าเธอเติบโตมาพร้อมกับหนังสือเหล่านี้เลยก็ว่าได้

…การสัมภาษณ์ในตอนนั้น แม้เธอจะพูดเรื่องไร้สาระมากมาย แต่เรื่องที่ว่าเธอชื่นชอบสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยไม่ใช่เรื่องโกหกเลยสักนิด

ชูหลี่ด้อมๆ มองๆ สอดส่องไปทั่ว เธอรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเดินผ่านห้องทำงานที่มีโปสเตอร์นิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวติดอยู่ เดินชมนู่นนี่จนกระทั่งมาถึงปลายทางเดินอย่างไม่รู้ตัว…ก็พบว่ามีห้องทำงานอยู่ตรงนี้ด้วย นึกไม่ถึงว่าไฟยังเปิดอยู่ แถมประตูยังเปิดทิ้งไว้

ข้างในจะมีคนอยู่ไหมนะ

ชูหลี่หดคอลงพร้อมกับครุ่นคิดว่าคงเป็นการเสียมารยาทที่จะขัดจังหวะการทำงานของคนอื่น ขณะที่กำลังจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ บังเอิญว่าหางตาเหลือบไปเห็นกระดานดำขนาดใหญ่ติดอยู่หน้าห้อง…มองเห็นโปสเตอร์โฆษณานิตยสารแทบทุกชนิดที่มีชื่อว่า ‘แสงแห่งจันทรา’ และบนกระดานดำยังเต็มไปด้วยคำโฆษณาที่เขียนไว้ด้วยชอล์กอย่างยุ่งเหยิง

 

การร่วมงานกับเทพแห่งทิศบูรพาโจ้วชวนนักเขียนยอดฝีมือแนวแฟนตาซีที่ไม่ควรพลาด

ผลงานยอดเยี่ยมแห่งปีของโจ้วชวน

นิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาวและ แสงแห่งจันทรา ที่มาแรง

 

โจ้วชวน?

คนคนนี้ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่เรียกได้ว่าเธอเป็นแฟนคลับตัวน้อยของเขาเลยก็ว่าได้

ชายหนุ่มคนนี้เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อตอนอายุสิบเจ็ดปีกับหนังสือเรื่อง ‘บันทึกแห่งบูรพา’ และตอนอายุยี่สิบเอ็ด เขากลายเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซีตะวันออกชั้นนำของประเทศ อายุน้อย รูปหล่อ (ระดับตำนาน) มีเงินทองมากมาย ได้ยินมาว่าโจ้วชวนเกิดมาในตระกูลของนักวรรณกรรมโดยแท้ นับว่าเป็นลูกท่านหลานเธอในตระกูลผู้ลากมากดีซึ่งมีพ่อเป็นถึงสมาชิกสมาคมนักเขียนประจำมณฑลที่ทุกคนต่างย่ำเท้าเข้าหา และยิ่งไปกว่านั้นนิสัยของหนุ่มคนนี้ดีมาก…จนผู้คนต่างขนานนามให้เขาว่าองค์ชายโจ้วชวนผู้อ่อนโยนดั่งหยก

ดังนั้นเขาจึงใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาและนิสัยแสนสุภาพอ่อนโยนสง่างามดุจหยกดั่งคำเล่าลือ พร้อมทั้งความอบอุ่นดั่งโกลเด้น รีทรีฟเวอร์พิชิตใจแฟนคลับสาว จนแทบจะมีแฟนคลับเต็มคันรถบรรทุก จากนั้นก็ใช้ฝีมือด้านการเขียนพิชิตใจวัยรุ่นได้อีกหนึ่งคันรถบรรทุกเต็มๆ

ชูหลี่ชื่นชอบนักเขียนคนนี้ และคิดว่าหากตนได้เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยจริง บางทีอาจได้เจอกับเทพโจ้วชวนตัวเป็นๆ ได้ถ่ายรูปและขอลายเซ็นอีกด้วย…เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็ลากกระเป๋าพลางหัวเราะออกมา หมุนตัวเดินต่อหลังจากเพ้อเรื่องเมื่อครู่ แต่ขณะที่กำลังหมุนตัวก็ได้ยินเสียงดังก้องมาจากห้องทำงาน…

“ตีพิมพ์ลองตลาดดูก่อนสักสามหมื่นสองพันเล่ม? ลอง! ลองตลาด! คุณยังจะกล้าพูดอีก? เห็นผมเป็นขอทานงั้นเหรอ!”

ชูหลี่ “???”

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคำถาม

บทที่ 2

เธอไม่รู้ว่าใครกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องทำงานฝ่าย บ.ก. ของนิตยสารแสงแห่งจันทรา แต่อย่างน้อยเวลานี้เสียงดังก้องนั้นก็ทำเธอขวัญเสียจนแทบก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว…เธอจับกระเป๋าอย่างมึนงงและยืนนิ่งราวกับฝ่าเท้าหยั่งรากลึกลงไปในดิน วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังออกมาจากห้องทำงาน หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ออก แต่จะวิ่งหนีไปจากสถานที่เกิดเหตุก็ไม่ทันแล้ว เพราะคนคนนั้นก้าวมาที่ประตูไวดุจสายลม

ทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

ปฏิกิริยาแรกของชูหลี่คือเธอคิดว่าคนคนนี้สูงมากเลย แต่คงสูงไม่เกินหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรหรอกมั้ง

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เตี้ยมากนัก แต่ชายผู้นี้กลับสูงกว่าเธอมากเลยทีเดียว…อายุของเขาน่าจะประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี จมูกเป็นสัน ริมฝีปากบาง หน้าตาหล่อเหลาเอาการ มีเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความโกรธและเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง จากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ เขาดูเย่อหยิ่ง…สวมเสื้อสเว็ตเตอร์สีดำ กางเกงยีน รองเท้าบูตมาร์ติน ในมือของเขาถือเสื้อขนเป็ดสีดำที่ยังไม่ทันได้ใส่

ขณะที่เดินออกจากประตู เขาตะลึงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นชูหลี่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

…คิดไม่ถึงว่าบนทางเดินจะมีคนอยู่

แต่ความตะลึงบวกมึนงงนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบมองไปเห็นกระเป๋าเดินทางที่อยู่ด้านหลังชูหลี่ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมที่ดูยุ่งเหยิงเพราะก่อนหน้านี้เธอวิ่งไปสัมภาษณ์…เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชูหลี่ถึงเข้ามาอยู่ในหัวของเขา ขณะนั้นมีเพียงคำพูดถากถางที่ฉายชัดในแววตาสีน้ำตาล เขายกมุมปากขึ้นราวกับกำลังเย้ยหยัน มองเธอด้วยหางตา จากนั้นก็หันกลับไป เหลือเพียงใบหน้าอันงดงามแต่ไร้อารมณ์ และเดินเฉียดไหล่ของเธอไป

ชูหลี่ “…”

คนคนนี้…วินาทีแรกเขายังโกรธแค้นสุดชีวิตราวกับราชสีห์ที่ถูกรุกรานอาณาเขต แต่วินาทีต่อมาเมื่อเขาลดความโกรธลงได้แล้ว…กลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกผู้เยือกเย็นและทะนงตัว

 

หลังจากที่สุนัขจิ้งจอกจากไป ชูหลี่ก็หันหลังเดินตามหลังสุนัขจิ้งจอกออกจากอาคารสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย…แต่สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นขายาวและก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เธอยืนอยู่ใต้ชายคาของอาคารและพยายามใช้แอพพลิเคชั่นในมือถือเรียกรถไปส่งโรงแรมที่จองไว้ ด้านนอกฝนตกมองดูแล้วขมุกขมัว ไม่เห็นแม้แต่ขนของสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นสักเส้น

เขาทะเลาะกับ บ.. เรื่องจำนวนพิมพ์ครั้งแรก ถ้างั้นเขาเป็นนักเขียนเหรอ

ขณะที่กำลังคาดเดาอย่างใจลอย ชูหลี่ก็ขึ้นรถแท็กซี่มุ่งหน้ากลับโรงแรม ตอนที่นั่งอยู่บนรถก็อดไม่ได้ที่จะเข้าเวยป๋อ* ของเทพโจ้วชวนผู้เป็นนักเขียนคนดังซึ่งถูกกล่าวถึงตรงกระดานดำหน้าห้องทำงานฝ่าย บ.ก. เพื่อปลอบประโลมตนเองหลังจากเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น

 

โจ้วชวน : ผมได้พบกับเรื่องที่ไม่พอใจอย่างมาก ผมโกรธนะครับ แต่อันที่จริงก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองยังขยันไม่พอหรือเปล่าถึงได้ค่าตอบแทนแค่นี้ บางทีผมอาจต้องพยายามต่อไป สู้ๆ แล้วคนอื่นจะเห็นคุณค่าอย่างที่เราต้องการ

 

…นี่คือโพสต์ของโจ้วชวนบนเวยป๋อเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว

ถัดไปคือความคิดเห็นประเภทคำชม

 

ท่านเทพอ่อนโยนมาก

พระเจ้า! นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนไม่เห็นคุณค่าของคุณ เป็นคนยังไงกันนะที่ทำให้คุณร้องไห้ QAQ’

ประสบเรื่องราวเหล่านี้แล้วนำมาทบทวนตัวเองก่อน คุณช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ คุณทำได้ดีมากแล้วนะ

 

ชูหลี่อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจให้กับการเขียนข้อความธรรมดาๆ ของนักเขียนที่มีความเฉียบคมทางภาษา แม้จะโกรธก็ยังโกรธได้อย่างสง่างาม…

ขณะที่ดูเวยป๋อของโจ้วชวนตอนนั่งรถไปยังโรงแรม ชูหลี่ก็ลืมเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่แสนโหดร้ายตัวนั้นไปเสียสนิท…เช้านี้เธองัดตัวออกมาจากที่นอนตั้งแต่หกโมงเพื่อจะให้ทันรถไฟเข้าเมือง แล้วยังวิ่งไปสัมภาษณ์อีก ข้าวเช้ายังไม่ทันได้กินสักคำ ตอนนี้เธอทั้งง่วง ทั้งหิวและหนาวจนรู้สึกเหมือนเริ่มจะเป็นหวัด เธอแค่ต้องการกินอะไรร้อนๆ ให้อิ่มท้องและนอนให้เต็มอิ่ม ไม่มีเรี่ยวแรงไปกังวลเรื่องอื่นหรอก

หญิงสาวหยิบคีย์การ์ดออกมา เดินเข้าลิฟต์ ก่อนจะตรงไปตามเลขห้องจนสุดทางเดินแล้วรูดคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้องสุดท้าย

สั่งอาหารดีลิเวอรี่มาส่งที่ห้อง

อาบน้ำ

กินอาหารที่สั่งมา

เข้านอน

รอผลการสัมภาษณ์จากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยที่จะแจ้งให้ทราบในวันพรุ่งนี้

เมื่อชูหลี่ล้มตัวลงนอนบนเตียงของโรงแรม สมองของเธอแทบอยากจะประท้วงหยุดงานกันเลยทีเดียว หลังจากชาร์จโทรศัพท์วางไว้บนหมอน เธอก็ผล็อยหลับไปอย่างง่วงงุน…

ไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้ยินเสียงจากข้างหมอนเหมือนมีอะไรมาสะกิดดังแกรก…แกรก…ชูหลี่ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือก็พบว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้างหมอนของเธอ…ชายหนุ่มสวมเสื้อสเว็ตเตอร์สีดำและกางเกงยีน แต่ส่วนที่ควรเป็นศีรษะมนุษย์กลับกลายเป็นหัวสุนัขจิ้งจอก ตอนนี้…ดวงตาของเจ้าสุนัขจิ้งจอกกำลังจับจ้องประสานกับนัยน์ตาแมวของเธออยู่บนเตียง!

ชูหลี่เหงื่อไหลโซมไปทั่วทั้งตัว ทำให้เสื้อยืดนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายแข็งทื่ออยู่บนเตียง ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตนเองที่เต้นรัวเร็ว…

ลมหายใจของสุนัขจิ้งจอกดังขึ้นข้างหูดังแฮกๆ เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ จึงเอามือปัดบริเวณข้างติ่งหู…ความรู้สึกนี้เหมือนจริงจนเกินไป ชูหลี่อยากจะกรี๊ดออกมาแต่กลับร้องไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างมองดูสุนัขจิ้งจอกยกปลายนิ้วที่เรียวยาวและขาวซีดเหมือนมนุษย์ผู้ชายเขี่ยติ่งหูของเธอเบาๆ…

จั๊กจี้จัง

สุนัขจิ้งจอกหัวเราะออกมาเบาๆ หลังแกล้งเธอสำเร็จ

ในใจของชูหลี่นั้นเต้นแรงมาก นี่คือดินแดนแห่งความฝันที่ผสมผสานไปด้วยความรู้สึกอันเข้มข้นของการถูกผีอำ สิ่งลี้ลับ ความฝันฤดูใบไม้ผลิ* คนและสัตว์ซึ่งผสมปนเปกันไปหมดเหรอ!

ท่ามกลางความมืดมิด ดูเหมือนใบหน้าของสุนัขจิ้งจอกจะขยับเข้ามาใกล้เธอ มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากจนน่าขนลุก…เธอพยายามอย่างหนักที่จะลืมตาขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่าใบหน้าของสุนัขจิ้งจอกเปลี่ยนไป ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาของมนุษย์ที่เชิดขึ้นเล็กน้อย ปากที่ยื่นยาวแปรเปลี่ยนเป็นสันจมูกโด่ง ส่วนริมฝีปากบางนั้นดูหยอกเย้าขี้เล่น…

ชูหลี่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน รู้สึกแต่เพียงว่าเขาโน้มตัวลงมาและใกล้ชิดจนระยะห่างระหว่างคนทั้งสองลดลง…จนกระทั่งริมฝีปากของเขาเกือบจะสัมผัสเธอ เขาหยุดลงอย่างเห็นอกเห็นใจ เอนตัวไปยิ้มให้เธอ แล้วพูดกับเธอด้วยเสียงแผ่วเบา

“ฟังคำแนะนำของฉันนะ ไม่ว่าเธอจะอยากไปที่ไหนก็ไม่ควรไป ที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ที่ดีหรอก”

น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาคลุมเครือ ลมหายใจร้อนระอุกระทบข้างแก้มจนรู้สึกว่าความร้อนนั้นสูงขึ้นราวกับจะแผดเผา…ขณะที่พูดเขาก็หยอกเย้าโดยใช้ปลายนิ้วอันเย็นเฉียบสัมผัสที่คางของเธอ

เมื่อพูดจบเขาก็ค่อยๆ หุบยิ้ม

ชั่วพริบตาเธอก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ช่างหล่อเหลามากเสียจริง นัยน์ตาสีน้ำตาล ทว่าใบหน้านั้นแสนเย็นชาและนิ่งเงียบราวกับน้ำ

คุ้นหน้ามากเลย

 

“โอ๊ะ!”

ชูหลี่พลิกตัวขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว!

ครั้งนี้เธอตื่นแล้วจริงๆ

หัวใจเธอเต้นแรงและใช้เวลานานกว่าจะสงบลง จังหวะการเต้นของหัวใจนั้นรุนแรงราวกับว่ามันจะหลุดจากอกเธอในวินาทีต่อมา เธอลืมตามองแวบหนึ่งอย่างหวาดผวา ก่อนจะรีบหลับตาลงทันที ประตูห้องพักในโรงแรมยังคงล็อกอยู่ ส่วนหมอนที่หนุนอยู่มีรอยยุบ…ทุกอย่างราวกับภาพในความฝัน

เธอจ้องมองที่ประตูอยู่นานจนมั่นใจว่าชายนัยน์ตาสีน้ำตาลคนนั้นไม่สามารถเปิดมันเข้ามาได้อย่างแน่นอน หญิงสาวตกใจกลัวจนเหงื่อไหลไปทั่วทั้งหัว

ชูหลี่ “…”

ที่แท้เธอฝันถึงสุนัขจิ้งจอกที่เพิ่งเจอกันเพียงครั้งเดียวอย่างนั้นเหรอ อยู่ๆ ในหัวของเธอก็มีเสียงเพลงประกอบที่มีเสียงพากย์ของอาจารย์จ้าวจงเสียง* ในสารคดี ‘โลกของสัตว์’ อย่างเป็นธรรมชาติ ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ทุกๆ สิ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมา และในที่สุดก็เข้าสู่ฤดูแห่งการผสมพันธุ์ที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายต่างก็รอคอย…

จะบ้าตาย

เธอคว้าน้ำแร่ข้างเตียงมาจิบด้วยมืออันสั่นเทา เมื่อน้ำเย็นไหลลงคอก็ทำให้อวัยวะภายในค่อยๆ เย็นลง ชูหลี่เหลือบมองดูเวลาในโทรศัพท์ เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบแจ้งเตือนว่ามีข้อความบางส่วนที่ยังไม่เปิดอ่าน…

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าเป็น Mr. L ที่หายไป เขาหายตัวไปทั้งวันจริงๆ อีกฝ่ายส่งข้อความหาเธอประมาณช่วงสองทุ่ม เป็นการตอบข้อความไร้สาระระหว่างการรอสัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าเพราะความตื่นเต้นของเธอ…

Mr. L ที่หายไป : มาแล้ว บ่ายนี้ออกไปทำธุระข้างนอกมา

Mr. L ที่หายไป : ไปสัมภาษณ์มาแล้วเหรอ สัมภาษณ์ที่ไหน

Mr. L ที่หายไป : แล้วผลเป็นไงบ้าง

Mr. L ที่หายไป : แล้วคนล่ะ

 

สามชั่วโมงต่อมา เวลาประมาณห้าทุ่มยี่สิบ

 

Mr. L ที่หายไป : แค่ไม่ตอบแป๊บเดียวเอง เธอโกรธจนบล็อกฉันไปแล้วเหรอ

Mr. L ที่หายไป : หรือถูกลักพาตัวไปขาย?

Mr. L ที่หายไป : ไม่สิ เธอทึ่มขนาดนี้ ต่อให้ขายก็ขายไม่ออกหรอก ลักพาตัวไปได้แต่ขายไม่ได้หรอก น่าเศร้าจัง

Mr. L ที่หายไป : ฮัลโหล?

 

‘Mr. L ที่หายไป’ เป็นเพื่อนชูหลี่ที่เจอกันโดยบังเอิญบนโลกอินเตอร์เน็ตเมื่อสองสามปีก่อน…ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งคู่ไม่เคยโทรศัพท์คุยกันเลย ไม่ก่อกวนล้ำเส้น เป็นเพื่อนทางโลกออนไลน์ที่มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ต่อกัน

ชูหลี่ “…”

 

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : นายก็รู้ว่าฉันเรียนภาษาจีนและวรรณคดีมา ก็ต้องไปสัมภาษณ์ที่สำนักพิมพ์น่ะสิ สำนักพิมพ์ในฝันของฉันตั้งแต่เด็กอะพอกลับมาจากสัมภาษณ์ก็เข้าโรงแรมแล้วหลับไปเลย ไม่ทันได้เช็ก QQ

 

คิดไม่ถึงว่า Mr. L จะยังอยู่ เขาตอบข้อความกลับมาทันที…

 

Mr. L ที่หายไป : สำนักพิมพ์? สำนักพิมพ์ไหน

Mr. L ที่หายไป : ไม่ได้หลับอยู่เหรอ แล้วตอนนี้เป็นผีตัวไหนที่กำลังคุยกับฉันอยู่ล่ะเนี่ย

 

เพียงแค่เห็นคำว่า ‘ผี’ คำนี้ เธอก็ถึงกับปวดหัวขึ้นมา แทบอยากจะดึงผู้ชายคนนี้ที่พูดจาไม่ดูเวล่ำเวลาออกมาจากหน้าจอแล้วทุบแรงๆ สักที…

 

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ฉันฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา แถมยังได้อยู่ห้องสุดท้ายพอดี ฝันว่าผีมาคอยหลอกหลอน เป็นสัตว์ประหลาดหน้าสุนัขจิ้งจอกมาจับหน้าฉัน!

Mr. L ที่หายไป : นั่นเรียกฝันร้ายเหรอ เขาเรียกว่าความฝันฤดูใบไม้ผลิต่างหาก

มือปืนไซเบอร์ที่ลิงเชิญมา : ไปให้พ้นเลย นายถามว่าสำนักพิมพ์อะไรงั้นเหรอ ถ้าบอกไปนายก็ไม่รู้จักหรอก สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยน่ะตอนเด็กนายเคยอ่าน เรื่องของเจ้าชายน้อย ไหม ก็เป็นของสำนักพิมพ์นี้แหละ

 

เธอส่งข้อความคุยฟุ้งเรื่องสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย ขณะที่กำลังรอคอยให้ Mr. L เคารพในความกล้าหาญของเธอที่บังอาจเดินเข้าไปสัมภาษณ์งานในสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่า Mr. L ที่ก่อนหน้านี้เคยตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ กลับนิ่งเงียบไปนาน…จนเธอจะพิมพ์ถามเขาอยู่แล้วว่าหลับไปแล้วเหรอ แต่โทรศัพท์ก็สั่นเตือนแจ้งข้อความเข้าเสียก่อน คำตอบของ Mr. L ที่ตอบกลับมาค่อนข้างอธิบายยากพิลึก…

 

Mr. L ที่หายไป : สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย?

Mr. L ที่หายไป : ชื่อนี้ทำให้นึกถึงคำว่าหยวนจี้* เลย มันทำให้รู้สึกเหมือนกับคำว่าใกล้มรณภาพพุ่งเข้ามาที่หน้าฉันอย่างจัง

Mr. L ที่หายไป : เธอเคยคิดไหมว่าโรงแรมนี้มีผีสิงจริงๆ หรือแม้แต่ผีก็ขวางทางเธอไม่ให้ไปที่สำนักพิมพ์ที่กำลังจะล้มละลายนั่นไม่ได้?

 

ชูหลี่ “…”

ตานักเลงหัวรั้นคนนี้ อยู่ๆ จะมาด่าสำนักพิมพ์ทำไมกัน

พวกเขาติดหนี้นายหรือไง

 

* หลี่ (礼) แปลว่ามารยาท

** Tencent QQ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คิวคิว’ เป็นโปรแกรมเมสเซนเจอร์สำหรับวินโดวส์ ผลิตโดยบริษัทเทนเซ็นต์จากประเทศจีน

*** ซุปไก่ เป็นคำสแลงทางอินเตอร์เน็ตที่หมายถึงการให้กำลังใจ ชูกำลัง แต่อีกนัยหนึ่งคือคำพูดสวยหรูแต่นำไปใช้ไม่ได้

* หลิวอี้เฟย นักแสดงหญิงชาวจีนสัญชาติอเมริกัน ผลงานเด่นคือรับบท ‘เซียวเหล่งนึ่ง’ ในมังกรหยกภาค 2 (พ.ศ. 2549)

* เวยป๋อ (Weibo) เป็นเว็บไซต์โซเชียลมีเดียของจีนที่มีความคล้ายคลึงกับทวิตเตอร์ผสมเฟซบุ๊ก

* ความฝันฤดูใบไม้ผลิ หมายถึงฝันดีที่สลายไปอย่างรวดเร็ว และเป็นคำสแลงที่หมายถึงความฝันเชิงชู้สาวได้อีกด้วย

* อาจารย์จ้าวจงเสียง เป็นนักพากย์ชื่อดังประจำรายการ ‘โลกของสัตว์’ ของประเทศจีน

 

* หยวนจี้ เป็นการเล่นคำระหว่างคำว่า ‘หยวนเยวี่ย’ ที่เป็นชื่อสำนักพิมพ์และ ‘หยวนจี้’ ที่เป็นศัพท์ทางพุทธศาสนา แปลว่ามรณภาพ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: