X
    Categories: ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 3 – 4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

คิดมาถึงตรงนี้เมิ่งถังก็เริ่มสงสารมู่หวาฮุยขึ้นมาอีก และยิ่งอยากให้มู่หวาฮุยรู้เรื่องที่อวิ๋นชูเยวี่ยมีคนในใจอยู่แล้ว เพื่อภายหน้าเมื่อเขารู้ว่าอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นคู่หมั้นของตนจะได้ตัดความคิดที่มีต่อนางทิ้งไป หยุดความสูญเสียได้ทันท่วงที

“ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านไม่กล้าพูดถึงสาเหตุที่ข่มเหงข้าในวันนี้ แต่ข้ากล้าพูด” เมิ่งถังหันหน้ามาทางมู่หวาฮุย สีหน้าไม่สะทกสะท้าน แล้วเอาเรื่องที่เมื่อก่อนนางแอบหลงรักหลิงซิงเหยาอย่างไร เมื่อวานยังนัดหลิงซิงเหยาออกมาและสารภาพความในใจต่อเขาอย่างไร บอกเล่าออกมาทั้งหมด

“…ตอนนั้นศิษย์พี่หลิงปฏิเสธข้าอย่างชัดแจ้ง ในใจของข้าก็ปล่อยวางเรื่องเขาไปแล้ว ไม่มีความเพ้อฝันใดๆ เกี่ยวกับเขา และไม่เคยคิดว่าต่อไปจะชอบเขาอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งของยอดเขาชิงหงบังเอิญเห็นเรื่องที่ข้าสารภาพความในใจกับศิษย์พี่หลิงเข้า หลังจากกลับไปนางก็ป่าวประกาศเรื่องนี้ไปทั่ว”

แม้เรื่องเหล่านี้เจ้าของร่างเดิมจะเป็นคนก่อขึ้นมาทั้งหมด แต่เมิ่งถังก็ไม่ถือสาแม้แต่น้อยที่จะรับมาเป็นเรื่องของตน อีกทั้งนางก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาต่อหน้ามู่หวาฮุยในเวลานี้

ประการแรกเรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วสำนักหมิงหวาแล้ว ต่อให้เวลานี้นางไม่พูด ช้าเร็วมู่หวาฮุยก็ต้องได้ยินจากคนอื่น ประการที่สองหากไม่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างจะเอ่ยปากเรื่องอวิ๋นชูเยวี่ยกับหลิงซิงเหยาให้มู่หวาฮุยรู้ได้อย่างไร

“ศิษย์พี่คงรู้ว่ายอดเขาชิงหงมีศิษย์น้องหญิงผู้หนึ่งชื่ออวิ๋นชูเยวี่ยกระมัง ศิษย์น้องผู้นี้ นางกับศิษย์พี่หลิงต่างฝ่ายต่างชอบพอกันอยู่ก่อนแล้ว ศิษย์พี่หลิ่วรักศิษย์น้องของนาง ไม่พอใจที่ข้าถึงกับกล้าไปสารภาพความในใจต่อศิษย์พี่หลิง ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจมาสั่งสอนและตักเตือนข้า”

ความจริงแม้เวลานี้อวิ๋นชูเยวี่ยกับหลิงซิงเหยาจะต่างมีอีกฝ่ายอยู่ในใจจริง ยอดเขาชิงหงมีศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคนมองออก ยังเอาเรื่องนี้มาหยอกล้ออวิ๋นชูเยวี่ยอยู่เสมอ แต่ปัจจุบันเจ้าของเรื่องทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นนี้* ภายนอกยังดูคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ในสำนักหมิงหวาจึงยังมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้เรื่องนี้ หาไม่เจ้าของร่างเดิมก็คงไม่วิ่งไปสารภาพความในใจกับหลิงซิงเหยา

อย่างไรก็ตามในหนังสือนิยาย ความคลุมเครือระหว่างอวิ๋นชูเยวี่ยกับหลิงซิงเหยาสองคนนี้กินเนื้อหาไปเกือบครึ่งเล่มเต็มๆ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่เห็นอยู่ว่าอวิ๋นชูเยวี่ยมีคนอื่นอยู่ในใจกลับยังรั้งมู่หวาฮุยไว้เกือบครึ่งเล่ม โดยเฉพาะหลังจากรู้แล้วว่ามู่หวาฮุยเป็นคู่หมั้นของตน

ดังนั้นบทบาทของมู่หวาฮุยในหนังสือจึงเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้หลิงซิงเหยาหึงหวงและส่งเสริมความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางเอก เมื่อสองคนนี้เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงในใจและตัดสินใจจะอยู่ด้วยกันในที่สุด มู่หวาฮุยบุคคลที่เป็นเครื่องมือผู้นี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่อีกต่อไป

ครั้นแล้วนักเขียนก็มอบชีวิตที่เลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อให้กับมู่หวาฮุยเสียเลย จากนั้นก็ให้เขาถูกนางเอกสังหารกับมือ สุดท้ายกระทั่งศพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ไม่เหลือไว้ ปล่อยให้ร่างและวิญญาณของเขาต้องแหลกสลาย

ถือสิทธิ์อะไร ความรักนอกจากตัวเอกกับกลุ่มของตัวเอกแล้ว คนอื่นก็ไม่มีใครคู่ควรที่จะมีความสุข กระทั่งมีชีวิตอยู่เลยหรือ ตอนอ่านหนังสือเมิ่งถังโกรธมาก ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับมู่หวาฮุยเสียตั้งแต่ตอนนี้

หลังจากเล่าเรื่องจบ เมิ่งถังก็ลอบมองมู่หวาฮุย เห็นสีหน้าของเขาไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย

ดียิ่งนักดูเหมือนเวลานี้เขายังไม่รู้ว่าอวิ๋นชูเยวี่ยคือคู่หมั้นของตัวเอง และไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ ต่ออวิ๋นชูเยวี่ย

แต่ความจริงแล้วมู่หวาฮุยในเวลานี้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

เดิมเข้าใจว่าศิษย์น้องที่เป็นคนไม่ค่อยพูด ไปไหนมาไหนตามลำพัง ไม่ว่ากับผู้ใดก็ไม่สนิทสนม คิดไม่ถึงว่านางถึงกับมีคนที่ชอบ กระทั่งยังรวบรวมความกล้าไปสารภาพความในใจกับอีกฝ่ายด้วย

มู่หวาฮุยเริ่มทบทวนตนเอง ที่ผ่านมาเขาไม่ใส่ใจศิษย์น้องเกินไปใช่หรือไม่ และหลิงซิงเหยาก็ถึงกับปฏิเสธศิษย์น้องอย่างไม่อ้อมค้อม…

เวลานี้ศิษย์น้องคงจะเสียใจมากกระมัง

มู่หวาฮุยไม่เคยปลอบใจสตรี ยิ่งไม่เคยปลอบใจสตรีที่ไปสารภาพความในใจแล้วถูกปฏิเสธ ในใจกำลังคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสมก็ได้ยินหลิ่วหลิงอวิ๋นกรีดร้องขึ้นมา

“เมิ่งถัง เจ้าหน้าไม่อาย!”

นางพูดเรื่องที่นางไปสารภาพความในใจกับศิษย์น้องหลิงออกมาตรงๆ ต่อหน้าศิษย์พี่ใหญ่ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสารภาพของนางยังถูกศิษย์น้องหลิงปฏิเสธอย่างไม่ไว้ไมตรีอีกด้วย

เรื่องเช่นนี้ไม่สมควรเป็นเรื่องอัปยศ ไม่สมควรปกปิดซุกซ่อนไม่ให้ใครรู้หรอกหรือ

ที่สำคัญที่สุดก็คือนางบอกมูลเหตุและผลลัพธ์ของเรื่องนี้ออกมาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตนยังจะเล่นลิ้นต่อหน้าศิษย์พี่ใหญ่อย่างไรว่าไม่ได้ข่มเหงรังแกเมิ่งถัง

มู่หวาฮุยยังคงเป็นศิษย์พี่ที่มีเหตุผล น่าเคารพยิ่ง เห็นหลิ่วหลิงอวิ๋นกล้าเอ่ยปากด่าประจานเมิ่งถังต่อหน้าเขา รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าหล่อเหลาก็จางลง

“ศิษย์น้องหลิ่วระวังคำพูดด้วย! หนุ่มสาวชอบความสวยความงามเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถึงศิษย์น้องของข้าพึงพอใจศิษย์น้องหลิงก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน”

ถูกเขาปกป้องเช่นนี้ ในใจของเมิ่งถังมีความสุขยิ่ง

จึงรับหัวข้อสนทนา หันไปพูดใส่หลิ่วหลิงอวิ๋น “ศิษย์พี่ของข้ากล่าวได้ถูกต้อง! อีกทั้งเมื่อครู่ข้าก็บอกกับท่านอย่างชัดเจนแล้ว เวลานี้ข้าไม่ชอบศิษย์พี่หลิงแล้ว กระทั่งต่อไปเมื่อเห็นเขา ข้าก็จะเดินอ้อมไป ท่านไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อตำหนิและตักเตือนข้าแทนศิษย์น้องอวิ๋นอีก”

ฮึ ใครอยากจะสนใจพระเอกนางเอกกัน จากนี้ไปนางเพียงต้องการปกป้องมู่หวาฮุยให้ดีก็พอแล้ว

หลิ่วหลิงอวิ๋นรู้สึกว่ายามนี้เมิ่งถังเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ* เป็นคนต่ำต้อยที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่มีมู่หวาฮุยอยู่ที่นี่ ต่อให้นางโมโหเดือดดาลเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือกับเมิ่งถังตรงๆ เช่นเมื่อครู่ก่อน ได้แต่ลอบกัดฟัน ถลึงตาใส่เมิ่งถังอย่างดุดันทีหนึ่ง จากนั้นก็ยกเท้าจะเดินออกไปนอกห้อง

แต่เมิ่งถังกลับเอ่ยปากเรียกนางไว้

“ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่เกรงใจก็แล้วไปเถิด แต่ศิษย์พี่ของข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทั้งสำนัก เวลานี้เขายืนอยู่ที่นี่ ท่านจะจากไป ไม่สมควรต้องบอกกล่าวเขาสักคำหรือ”

หลิ่วหลิงอวิ๋นถูกทำให้โมโหจนมือไม้สั่น แต่คำพูดของเมิ่งถังก็มีเหตุผลยิ่ง นางเป็นศิษย์น้องสมควรนอบน้อมต่อศิษย์พี่ใหญ่ จำต้องหมุนตัวไป สองมือแนบลำตัวก้มลงคำนับมู่หวาฮุย จากนั้นก็กลั้นหายใจเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ากลับก่อนล่ะ”

มู่หวาฮุยผงกศีรษะน้อยๆ ตอบกลับไปว่าได้

มองเงาด้านหลังของหลิ่วหลิงอวิ๋นที่กำหมัดแน่นค่อยๆ เดินจากไปไกล เมิ่งถังก็อดเบิกบานใจไม่ได้ เห็นแก่ที่มู่หวาฮุยอยู่ที่นี่ หนี้ที่ฟันถ้วยชาตัดแขนเสื้อของนาง วันหน้าค่อยทวงคืนกลับมา หันหน้ากลับมาอย่างยิ้มแย้มเบิกบาน สบเข้ากับสายตาที่มองมาอย่างค้นหาของมู่หวาฮุยพอดี

เมิ่งถังเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไปเล็กน้อย เรียกศิษย์พี่ออกมาคำหนึ่ง

มู่หวาฮุยอืมคำหนึ่ง สายตากวาดมองใบหน้านางอีกครู่หนึ่ง เขาหันหน้าไป พูดเหมือนไม่ใส่ใจ “วันนี้ศิษย์น้องดูร่าเริงยิ่ง”

ในใจเมิ่งถังกระตุกวาบ

แย่แล้ว! จู่ๆ ได้เจอเทพบุตรตื่นเต้นเกินไป ลืมไปเลยว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นคนนิ่งเงียบพูดน้อย ครั้นพอเปลี่ยนความคิดก็หาข้ออ้างได้แล้ว

“ตอบศิษย์พี่ ความจริงแต่ก่อนเป็นเพราะข้าชื่นชอบศิษย์พี่หลิง กลัวว่าตนเองจะห้ามใจไม่อยู่อยากจะใกล้ชิดเขา ถูกคนมองออกว่าข้าพึงพอใจเขา จึงได้ตั้งใจไปไหนมาไหนตามลำพัง และพูดจากับคนอื่นน้อยมาก แต่เมื่อวานข้ารวบรวมความกล้าไปสารภาพความในใจกับศิษย์พี่หลิงกลับถูกเขาปฏิเสธมาอย่างน่าสังเวชใจ เมื่อคืนข้าเสียใจตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็โน้มน้าวตนเองให้ปล่อยวางศิษย์พี่หลิงลงได้แล้ว

ในเมื่อข้าตัดใจจะวางศิษย์พี่หลิงลงแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตนเองเพื่อเขาอีก คงเพราะเช่นนี้ถึงได้ทำให้ศิษย์พี่รู้สึกว่าวันนี้ข้าดูร่าเริงกว่าที่ผ่านมากระมัง” พูดจบก็เผยรอยยิ้มที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งให้มู่หวาฮุย

จะอย่างไรนิสัยของนางกับเจ้าของร่างเดิมก็ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ทั้งนางก็ไม่คิดว่าต่อไปจะใช้ชีวิตเฉกเช่นเจ้าของร่างเดิม ไม่สู้หาข้ออ้างพูดออกมาเสียแต่ตอนนี้ ต่อไปก็เป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ

นางก็ไม่ห่วงว่ามู่หวาฮุยจะสงสัยในตัวนาง อย่างไรเสียร่างนี้ก็เป็นร่างกายของเจ้าของร่างเดิมจริง อีกทั้งความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนางก็รู้ทั้งหมด ไม่กลัวมู่หวาฮุยจะสุ่มตรวจเรื่องใดๆ ในอดีต

มู่หวาฮุยฟังแล้วกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย นิสัยก่อนหลังของเมิ่งถังต่างกันมากจริง

แต่เขาพลันนึกได้ว่าเมื่อก่อนเคยได้ยินคนพูดว่าหญิงสาวที่ผิดหวังเรื่องความรัก นิสัยจะเปลี่ยนแปลงง่าย ศิษย์น้องคงแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าเขากระมัง เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก และหยิบของขวัญที่เขาเอามาฝากเมิ่งถังจากการเดินทางครั้งนี้ออกมาจากแหวนเก็บทรัพย์

ก่อนหน้านี้หลังจากที่อาจารย์พาเมิ่งถังขึ้นเขามาแล้วก็เริ่มกักตน โยนเมิ่งถังมาให้เขา เขามองเมิ่งถังที่อายุยังไม่ถึงสิบขวบแล้วกลัดกลุ้มยิ่งไม่รู้ควรอบรมสั่งสอนนางเช่นไร

ทั้งเด็กคนนี้ก็มีนิสัยนิ่งเงียบไม่ค่อยพูด ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม นางก็ยืนเฉยทั้งวันไม่พูดอะไรสักคำ เพราะเรื่องนี้มู่หวาฮุยจึงตั้งใจไปขอคำชี้แนะจากผู้อื่นว่าควรดูแลเด็กเช่นไร และเพราะเหตุนี้เองจึงกลายเป็นความเคยชินที่ว่าทุกครั้งที่ลงจากเขากลับมาจะต้องมีของขวัญของฝากมาให้นาง

เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ว่าเขาจะเอาของขวัญอะไรมาให้เมิ่งถัง นางก็ล้วนมีสีหน้าเฉื่อยเนือย ไม่มีท่าทางดีใจแม้แต่น้อย อย่างมากก็บอกขอบคุณศิษย์พี่อย่างเย็นชาคำหนึ่งเท่านั้น

ทว่าเวลานี้เขามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจของแม่นางน้อย เดี๋ยวก็ยื่นมือมาลูบคลำสิ่งนี้ เดี๋ยวก็ยื่นมือไปลูบคลำสิ่งนั้น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มพลางถามเขา “ศิษย์พี่ ของเหล่านี้ล้วนมอบให้ข้าหรือ”

เมื่อก่อนเหตุใดไม่เคยสังเกตเห็นบนแก้มของนางมีลักยิ้ม หัวคิ้วดวงตาก็ชวนมองยิ่ง ยามแย้มยิ้มในดวงตาราวกับมีดวงดาวระยิบระยับนับพัน อารมณ์ที่เดิมออกจะมัวหม่นดูเหมือนจะดีขึ้นมาในทันใด

“อืม” เขาพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยน

เมิ่งถังซาบซึ้งใจจนแทบร้องไห้ออกมา เทพบุตรไม่เพียงปกป้องนาง ยังเอาของขวัญมาให้นางมากเพียงนี้!

เจ้าของร่างเดิมช่างโง่เขลา นางจะชอบบุรุษทั้งที มีศิษย์พี่ดีๆ เช่นนี้ไม่ชอบกลับไปชอบหลิงซิงเหยา

เมิ่งถังอุ้มตุ๊กตาดินเหนียวตัวหนึ่งอยู่ในมือ คลี่ยิ้มให้มู่หวาฮุย

“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าชอบของขวัญเหล่านี้มาก”

ตุ๊กตาดินเหนียวตัวนี้สูงราวๆ ชุ่น* กว่า อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ สวมเสื้อผ้าพื้นแดงลายดอกสีน้ำเงิน อุ้มปลาหลีอยู่ในอ้อมแขนตัวหนึ่ง บนใบหน้าอ้วนขาวยิ้มกริ่ม ดูแล้วมีความสุขยิ่ง

ของสิ่งนี้เขาเพียงซื้อติดมือมาเท่านั้น รวมถึงของขวัญที่วางกองอยู่บนโต๊ะเหล่านี้ เขาก็แค่ซื้อติดมือมา ไม่ได้ตั้งใจเลือกอย่างจริงจัง อย่างไรเสียไม่ว่าเขาจะซื้อของขวัญสิ่งใดกลับมา ศิษย์น้องก็ล้วนมีสีหน้าเช่นนั้น ไม่เคยมีท่าทีว่าชอบ

ส่วนสาเหตุที่เขายังคงรักษาความเคยชินนี้มาตลอดก็เพียงเพราะเห็นเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง อาจารย์จะได้รู้ว่าเขาที่เป็นศิษย์พี่ผู้นี้ รักและทะนุถนอมศิษย์น้องไม่น้อย

ทว่ายามนี้เห็นเมิ่งถังประคองตุ๊กตาดินเหนียวยิ้มแย้มเบิกบาน สีหน้าดีอกดีใจ เขาพลันรู้สึกว่าบางทีคราวหน้าเวลาซื้อของขวัญให้ศิษย์น้อง เขาควรจะตั้งใจเลือกสักหน่อย

เพราะท่าทางของศิษย์น้องยามแย้มยิ้มดูสดใสชวนมองยิ่ง ทำให้คนเห็นจิตใจเบิกบานตามไปด้วยอย่างแท้จริง

บทที่ 4

 เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งถังไปเข้าเรียนที่กระโจมห้องเรียน

ตามเนื้อหาในหนังสือนิยายกำหนดไว้ว่าทุกวันศิษย์ในสำนักหมิงหวาที่พลังวัตรต่ำกว่าขั้นสร้างฐานลงไป ต้องตื่นเช้าไปที่กระโจมห้องเรียน ซึ่งมีคนสอนหนังสือให้โดยเฉพาะ

แม้เมิ่งถังจะเข้าสำนักหมิงหวามาหลายปีแล้ว ทั้งยังมีมู่หวาฮุยคอยดูแลเป็นพิเศษอยู่เสมอ แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ผ่านขั้นสร้างฐาน เจ้าของร่างเดิมสติปัญญาธรรมดาๆ ก็เรื่องหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการฝึกฝน

แต่เมิ่งถังไม่เป็นเช่นนั้น

ในเมื่อนางกำหนดเป้าหมายให้ตนเองแล้วว่าจะปกป้องมู่หวาฮุย ถ้ากำลังความสามารถของตนไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องเขาได้อย่างไร คงทำได้เพียงพูดอย่างเดียวเท่านั้น

อีกทั้งไม่เพียงเพื่อมู่หวาฮุย ถ้านางแข็งแกร่งมากพอ เมื่อวานนางยังจะถูกหลิ่วหลิงอวิ๋นใช้ไอกระบี่ฟันถ้วยชา ตัดแขนเสื้อขาดหรือ ย่อมสามารถข่มหลิ่วหลิงอวิ๋นลงกับพื้นถูไถแรงๆ ได้โดยตรง

ด้วยเหตุนี้อยู่ในชั้นเรียนเมิ่งถังจึงฟังคำสอนอย่างตั้งอกตั้งใจ

กระทั่งยังตั้งใจเอากระดาษพู่กันมาเป็นพิเศษ ตรงใดฟังไม่เข้าใจก็ลงมือจดไว้ หลังเลิกเรียนไม่รอให้อาจารย์สาวเท้าเดินออกจากห้องก็รีบวิ่งเข้าไปถาม ท่าทางตั้งอกตั้งใจใฝ่รู้ยิ่ง

อาจารย์ท่านใดบ้างไม่ชอบลูกศิษย์ที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ด้วยความดีใจไม่เพียงอธิบายให้เมิ่งถังฟังในจุดที่นางไม่เข้าใจอย่างละเอียด ยังถือโอกาสบอกอาคมบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกันให้นาง จากนั้นจึงเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เมิ่งถังพลันเข้าใจขึ้นมา เดินไปคิดไป ค่อยๆ เดินกลับมาถึงที่นั่งของตนแล้วนั่งลงไป เอาข้อคิดที่ตนได้รับมาเขียนลงบนกระดาษ นางเขียนอย่างเพลิดเพลินไม่ได้สังเกตเห็นสายตาที่คนอื่นๆ มองตน

แต่ก่อนเมิ่งถังผู้นี้ไม่ใช่นั่งอยู่ในที่นั่งที่ไกลที่สุดคนเดียว ดูไร้ตัวตนดุจตะไคร่น้ำในเงามืดหรอกหรือ เหตุใดวันนี้กลับมานั่งแถวหน้าสุด เลิกเรียนยังกล้าเป็นฝ่ายไปหาอาจารย์ซักถามปัญหาอีกด้วย

เวลานี้ทั้งสำนักหมิงหวาต่างรู้เรื่องที่นางไปสารภาพความในใจกับหลิงซิงเหยาและถูกปฏิเสธแล้ว มีคนหัวเราะพลางเหน็บแนมนาง “ศิษย์พี่เมิ่ง นี่ท่านผิดหวังในความรักจึงมุมานะฝึกฝนเช่นนั้นหรือ ไอ้หยา หรือท่านไม่รู้ว่าศิษย์พี่หลิงชอบหญิงสาวที่บอบบางอ่อนหวานนุ่มนวล ลักษณะท่าทางเช่นนี้ของท่าน ศิษย์พี่หลิงยิ่งไม่มีทางชมชอบ” พอพูดจบรอบข้างก็มีเสียงหัวเราะครืน

เมิ่งถังกลอกนัยน์ตาขึ้นบน โต้กลับไปทันที “เรื่องของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า เห็นคนกินหัวไช้เท้าเค็มแล้วคนกินจืดเป็นทุกข์แทน* หรือ ยุ่งกับเรื่องของตนเองก็พอแล้ว”

ต้องรีบเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งให้จงได้ หาไม่ก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หากนางแข็งแกร่งมากพอ ไม่ต้องลงมือ เพียงปล่อยอานุภาพคุกคามกดข่มก็สามารถบีบบังคับคนให้คุกเข่าลงกับพื้นเรียกท่านพ่อได้แล้ว

คนผู้นั้นได้ยินแล้วชะงักอึ้งไปชั่วขณะ เพราะในความทรงจำของเขา ไม่ว่าพวกเขาจะหัวเราะเยาะเมิ่งถังอย่างไร เมิ่งถังก็จะนิ่งเงียบ จากนั้นก็จะยิ่งก้มหน้าลงต่ำ แต่เวลานี้นางไม่เพียงกล้าย้อนคำ คำพูดที่พูดออกมายังทำให้เขาไม่อาจโต้แย้งได้…

“เวลานี้ศิษย์พี่เมิ่งมีสง่าน่ายำเกรงแล้ว” มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ศิษย์น้องซุนเพียงเจตนาดีเตือนท่านคำหนึ่ง ท่านกลับต่อว่าเขาเช่นนี้”

คนผู้นี้หูหนวกหรือโง่เขลากันแน่ คำพูดเหล่านั้นของศิษย์น้องซุนคือการเตือนด้วยเจตนาดี? การเตือนด้วยเจตนาดีเช่นนี้ให้เจ้า เจ้าจะเอาหรือไม่

เมิ่งถังหันหน้าไป จำได้ว่าคนพูดเป็นศิษย์หญิงคนหนึ่งของยอดเขาชิงหง มีชื่อว่าติงเล่อเซวียน

ข้างกายนางยังมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ นางสวมชุดกระโปรงสีชมพู ผิวพรรณนวลเนียนเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าหิมะ รูปโฉมงดงามละมุนละไม กำลังดึงชายแขนเสื้อของติงเล่อเซวียน ห้ามปรามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ศิษย์พี่ติง ท่านอย่าว่าศิษย์พี่เมิ่งเช่นนี้”

ในใจของเมิ่งถังพลันกระจ่างแจ้ง คนผู้นี้คงจะเป็นนางเอกอวิ๋นชูเยวี่ยแน่ๆ

อวิ๋นชูเยวี่ยผู้นี้ถือป้ายนางเอกคนโปรด เกิดมาก็เป็นดั่งไข่มุกในมือของเจ้าเมืองชื่อเซียว คนทั้งจวนเห็นนางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เฝ้าปกป้องคุ้มครองอย่างระมัดระวัง บ่มเพาะให้นางเป็นคนบอบบางไร้เดียงสา ไม่รู้ถึงความทุกข์ยากของโลก อาจเพราะในจวนพะเน้าพะนอเกินไป จึงรู้สึกว่าชีวิตจืดชืดน่าเบื่อ เลยเล่นสนุกด้วยการหนีออกจากจวน

ในเมื่อเป็นนางเอกย่อมต้องมีอะไรแตกต่าง เช่นนั้นนักเขียนก็กำหนดให้นางมีร่างหยกไขกระดูกหงส์ พูดง่ายๆ ก็คือสำหรับบุรุษผู้ฝึกวรยุทธ์แล้ว ร่างกายนี้เป็นสิ่งช่วยเสริมพลังวัตรอันยอดเยี่ยม

นางเอกในหนังสือนิยายที่บอบบางน่าทะนุถนอมเช่นนี้ จะคาดหวังให้นางเป็นมังกรผยองฟ้า** จู่โจมฟ้าจู่โจมดินกวาดล้างโลกด้วยกระบี่เล่มเดียวได้อย่างไร นี่เป็นผู้ที่ไม่อาจได้รับความทุกข์ยากแม้แต่น้อย ดังนั้นแม้นางเอกจะมีสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา แต่พลังวัตรก็กลับไม่สูง

การพาร่างกายเช่นนี้ไปโน่นนี่จนทั่วก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยถือทองคำไปเดินตลาดที่ผู้คนคึกคัก ไม่นานก็ต้องถูกคนสังเกตเห็น

ในช่วงคับขันอันตรายพระเอกอย่างหลิงซิงเหยาเป็นวีรบุรุษช่วยโฉมงาม ทั้งสองคนก็เกิดรักแรกพบต่อกัน จากนั้นอวิ๋นชูเยวี่ยก็ตามหลิงซิงเหยากลับมาสำนักหมิงหวา ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาชิงหงจึงรับเป็นศิษย์

ได้รับการดูแลโปรดปรานจากทุกคนต่อไป เพียงแค่ขอบตานางแดงขึ้นมาเล็กน้อยก็จะมีคนช่วยออกหน้าแทนนางมากมาย

อย่างเช่นติงเล่อเซวียนผู้นี้เห็นชัดว่ากำลังออกหน้าแทนนาง เพียงเพราะเรื่องเมื่อสองวันก่อนที่เมิ่งถังไปสารภาพความในใจกับหลิงซิงเหยา

เมิ่งถังออกจะนึกรำคาญขึ้นมาจริงๆ แล้ว

ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที เมื่อวานนางไม่ใช่เพิ่งแสดงท่าทีของตนกับหลิ่วหลิงอวิ๋นอย่างชัดเจนและจริงจังไปแล้วหรือ เหตุใดเวลานี้ติงเล่อเซวียนก็ยังเป็นเช่นนี้อีก

คนในยอดเขาชิงหงเช่นพวกเจ้าไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ได้กำหนดกันเป็นการภายในแล้วว่าหลิงซิงเหยาก็คือสามีของอวิ๋นชูเยวี่ย คนอื่นไม่อาจมองแม้แต่แวบเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดพวกเจ้าไม่เอาหลิงซิงเหยากลับไปขังไว้ที่ยอดเขาชิงหง ไม่ให้เขาออกมาเล่า

“ข้ามีสง่าน่ายำเกรงแล้วอย่างไร”

เมิ่งถังลุกขึ้นมายืน ยกมือชี้ไปที่ติงเล่อเซวียน รวมทั้งศิษย์น้องซุนที่เพิ่งเหน็บแนมนางไปเมื่อครู่ผู้นั้น รวมถึงคนอื่นๆ

“เจ้า…เจ้า ยังมีพวกเจ้าที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคน เข้าสำนักช้ากว่าข้าทั้งสิ้น ล้วนต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่ กฎระเบียบของสำนักหมิงหวาลืมหมดแล้วหรือ เช่นนั้นวันนี้ข้าผู้เป็นศิษย์พี่จะสั่งสอนพวกเจ้าเอง!

เมตตากรุณา คุณธรรม มารยาท ภูมิความรู้ สัจจะ ให้อภัย กตัญญู เคารพผู้อาวุโสกว่า ข้ออื่นข้าจะยังไม่พูดถึง เคารพผู้อาวุโสกว่า คำนี้รู้ความหมายกันหรือไม่ เคารพรักต่อพี่ชายพี่สาว! ในเมื่อข้าเป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้า พวกเจ้าก็สมควรต้องให้ความเคารพข้า ยังจะกล้าพูดจาแปลกประหลาดเสียดสีประชดประชันข้า! นี่ก็คือผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่!

อ้อ ข้าวางตัวมีสง่าน่ายำเกรงต่อหน้าพวกเจ้าสักหน่อยแล้วอย่างไร พวกเจ้าไม่อาจยอมรับหรือ ขอบอกกับพวกเจ้าตามตรง ต่อให้วันนี้ข้าดุด่าพวกเจ้า ตบหน้าพวกเจ้าฉาดหนึ่งแล้วอย่างไร ต่อให้พวกเจ้าไปฟ้องผู้อาวุโสที่หอคุมกฎ ข้าก็ยังคงมีเหตุผลเหนือกว่า!”

ฮึ วันนี้นางจะลองใช้สถานะกดข่มคนดู ดูว่าวันหน้าคนเหล่านี้ยังจะกล้าพูดจาแปลกประหลาดเสียดสีประชดประชันนางเช่นนี้อีกหรือไม่!

บรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้เหล่านี้ แต่ก่อนไหนเลยจะเคยเห็นเมิ่งถังที่เป็นเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นถึงกับถูกกลิ่นอายความน่าเกรงขามบนร่างของนางทำให้หวาดหวั่น ไม่กล้าบุ่มบ่ามมุทะลุอีก

หากแต่ติงเล่อเซวียนผู้นั้นกลับโกรธจนสั่นไปทั้งตัว

“ท่านหน้าไม่อาย!”

เมิ่งถังคิด หรือว่าพวกเจ้าศิษย์ยอดเขาชิงหงไม่มีคำใหม่จะด่าคนแล้วหรืออย่างไร พลิกไปพลิกมาก็มีเพียงหน้าไม่อายสามคำนี้

“ไหนเจ้าว่ามาซิ ข้าหน้าไม่อายอย่างไร” สองมือเมิ่งถังกอดอยู่ที่อก ร่างเอียงพิงโต๊ะเรียน ท่าทางดูแล้วเหนื่อยหน่ายยิ่ง

เห็นชัดว่าไม่เห็นติงเล่อเซวียนอยู่ในสายตา ติงเล่อเซวียนมีหรือจะมองไม่ออก

ในใจยิ่งโกรธแค้นแล้ว ทว่าในความโกรธแค้นยังเจือไปด้วยความเหยียดหยามอยู่หลายส่วน

“พวกเราต้องเรียกท่านว่าศิษย์พี่ไม่ผิด แต่ท่านก็ไม่ดูเสียบ้าง พวกเราเหล่านี้เข้าสำนักหมิงหวาช้ากว่าท่านกี่ปี เสียแรงท่านยังมีฐานะเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนัก ปกติมียาดียาวิเศษป้อนให้เท่าไร จนบัดนี้ลำดับขั้นก็ยังไม่ถึงขั้นสร้างฐาน ศิษย์พี่หลิงที่เข้าสำนักมาพร้อมท่าน เวลานี้กำลังมุ่งเข้าสู่ขั้นจินตันแล้ว”

พูดมาถึงตรงนี้ติงเล่อเซวียนก็ควบคุมตนเองไม่อยู่ พูดเสริมอย่างโกรธแค้นอีกประโยคหนึ่ง “ฮึ ขอเพียงแบ่งยาวิเศษเหล่านั้นให้ข้าสักครึ่งหนึ่ง ข้าคงบรรลุขั้นสร้างฐานอย่างสมบูรณ์ไปนานแล้ว”

เข้าใจแล้ว ดูแล้วสาเหตุที่เจ้าของร่างเดิมตกเป็นเป้าไม่ใช่เพียงเพราะนิสัยอ่อนแอมองตนต่ำต้อยข่มเหงได้ง่าย ยังเพราะเจ้าของร่างเดิมสติปัญญาความรู้ธรรมดาๆ แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากเจ้าสำนักรับมาเป็นศิษย์สายตรง เสพสุขจากแหล่งทรัพยากรที่คนเหล่านี้ไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง

ก็เพราะความริษยาจึงได้ร่วมมือกันกีดกันเจ้าของร่างเดิม

หากพวกเจ้าเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร่างเดิมจึงได้รับความโปรดปรานจากเจ้าสำนัก รับมาเป็นศิษย์สายตรง หากพวกเจ้าเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเจ้าสำนักจึงดีต่อเจ้าของร่างเดิมเช่นนั้น กลัวก็แต่เมื่อรู้ความจริงแล้ว ให้พวกเจ้ามาเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก เจ้าก็ยังไม่ยอมด้วยซ้ำ

เมิ่งถังในใจยิ้มหยันเรื่องนี้ ทว่าบนใบหน้ากลับยังคงมีท่าทีเหนื่อยหน่าย

“อ้อ ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน”

ติงเล่อเซวียนกำลังคิดว่าเมิ่งถังผู้นี้ดูแล้วยังมีญาณทัสนะที่รู้ตัวเองดีอยู่หลายส่วนก็ได้ยินคำพูดถัดมา

“ทว่าทำอย่างไรได้เล่า ถึงสติปัญญาของข้าจะธรรมดาสามัญ เข้าสำนักมาหลายปียังตีฝ่าขั้นสร้างฐานไม่ได้ ยังต้องเล่าเรียนอยู่กับพวกเจ้าด้วยกันที่นี่ แต่ข้าก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้า”

เอนพิงโต๊ะเรียนด้วยร่างอ่อนระทวยราวกับไร้กระดูก เมิ่งถังมองติงเล่อเซวียนด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม

“พวกเจ้าพบเจอข้าก็ยังคงต้องเรียกข้าศิษย์พี่เมิ่งอย่างนอบน้อม ข้าสามารถวางท่าสั่งสอนพวกเจ้าได้ พวกเจ้าก็ได้แต่ต้องรับฟังแต่โดยดี ไม่อาจโต้แย้ง หาไม่ล่ะก็ ข้าก็จะบอกกับศิษย์พี่หรืออาจารย์ของข้า หรือถ้าเหล่าผู้อาวุโสที่หอคุมกฎรู้เข้า พวกเจ้าลองทายดู ถึงตอนนั้นใครจะถูกลงโทษกันเล่า”

เมิ่งถังหาใช่เจ้าของร่างเดิมที่ถูกข่มเหงรังแกก็ได้แต่อดทนอยู่เงียบๆ ในเมื่อมีคนหนุนหลังอยู่เหตุใดจะไม่ใช้

ประจักษ์ชัดแจ้งว่าติงเล่อเซวียนถูกความไร้ยางอายของเมิ่งถังทำให้ตื่นตระหนกตกใจ ชี้หน้านางอยู่เป็นนาน ยังคงอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปดี

หนังหน้าของคนผู้นี้หนาถึงเพียงนี้แล้ว ต่อให้นางพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ไม่อาจทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดแม้แต่น้อยนิด

เมิ่งถังยังคงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม กระทั่งยังเลิกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเหมือนจะบอกแน่จริงเจ้าก็ด่าข้าอีก ดูข้าจะยั่วยุเจ้าให้โมโหจนตายได้หรือไม่

ติงเล่อเซวียนถูกนางทำให้โมโหจนหน้าเป็นสีตับหมู* แต่ฝีปากกลับใช้การไม่ได้ เพลิงโทสะที่แน่นอกไม่รู้ควรแสดงออกมาเช่นไร

อวิ๋นชูเยวี่ยที่นั่งอยู่ข้างกายนางเห็นศิษย์พี่ของตนมีท่าทางเช่นนี้ก็รีบกล่าวปลอบใจนางเบาๆ สองคำ

จากนั้นก็หันหน้ามา มองเมิ่งถังอย่างหวั่นหวาด น้ำเสียงอ่อนแอเปราะบาง

“ศิษย์…ศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่ติงของข้าไม่ได้มีเจตนาจะยอกย้อนท่าน นางก็เป็นคนใจร้อนเช่นนี้เอง ความจริงแล้วนางเป็นคนดีมาก ท่าน…ท่านอย่าดุนางเลย” พูดมาถึงช่วงท้ายในดวงตารูปเมล็ดซิ่ง** สุกใสคู่นั้นของนางถึงกับมีม่านน้ำผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง ดูเหมือนจะร้องไห้ไม่ร้องไห้อยู่แล้ว

เมิ่งถังคิด

อะไรกัน เพียงคำพูดที่ว่าติงเล่อเซวียนเป็นคนดีมาก เพียงเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ประโยคเดียว นางก็สมควรต้องอดทนต่อคำพูดเย้ยหยันและด่ากระทบกระเทียบเปรียบเปรยเช่นนั้นหรือ

อีกทั้งขอร้องเถอะ นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับติงเล่อเซวียน เจ้าเข้ามาวุ่นวายอะไรกัน

เข้ามายุ่งเกี่ยวก็เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่เจ้าไยต้องแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ใครไม่รู้ยังเข้าใจว่าข้าข่มเหงรังแกเจ้าแล้ว

ขณะเมิ่งถังคิดจะสั่งสอนหลักการวางตัวให้อวิ๋นชูเยวี่ย ไม่ใช่คนทั้งใต้หล้าล้วนเป็นบิดามารดาของเจ้า ล้วนต้องยอมอ่อนข้อให้เจ้า คุณหนูใหญ่ผู้นี้ ต้องพูดกับเจ้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ด้วยกลัวจะทำให้เจ้าตกใจอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงศิษย์น้องซุนผู้นั้นร้องขึ้นมา “ศิษย์พี่หลิงมาแล้ว!”

 

 

* เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นนี้ เป็นคำอุปมา หมายถึงแสดงออกอย่างเปิดเผย

* จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เป็นสำนวน หมายถึงการกดขี่ผู้อื่นด้วยอำนาจที่ไม่ใช่ของตน

* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)

* เห็นคนกินหัวไช้เท้าเค็มแล้วคนกินจืดเป็นทุกข์แทน เป็นสำนวน หมายถึงคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น บ่อยครั้งคนที่ไม่รู้ความเป็นมาของเรื่องราวกลับเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายทำให้ยิ่งเสียเรื่อง อย่างเช่นคนชอบกินเค็มได้กินของเค็มก็มีความสุข คนกินจืดไม่เข้าใจกลับเป็นห่วง

** มังกรผยองฟ้า เป็นสแลงออนไลน์ เป็นคำเรียกกึ่งหยอกล้อกึ่งประชดประชัน หมายถึงผู้เก่งกาจอยู่ยงคงกระพัน เอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยง่ายดาย

* สีตับหมู คือสีม่วงคล้ำ สีเขียวคล้ำ

** ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (บ๊วย) ชาวจีนมักเปรียบดวงตาที่กลมโตว่าเหมือนเมล็ดซิ่ง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: