X
    Categories: ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 1 – 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1 

เมิ่งถังนั่งอยู่หน้ากระจกมานานมากแล้ว

ใบหน้ายังคงเป็นใบหน้าเดิมของเธอ ชื่อสกุลก็ยังคงเป็นชื่อสกุลเดิม แต่สถานะกลับไม่ใช่สถานะเดิมอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้เธอยังเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่แล้ววันนี้พอลืมตาขึ้นมา วิญญาณก็ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างตัวประกอบหญิง ในหนังสือนิยายแฟนตาซีเรื่อง ‘ตำนานดาวเดือน’ ที่เธออ่านเมื่อคืนเล่มนั้น

แม้จะเป็นตัวประกอบหญิงที่ชั่วร้าย จุดจบในตอนท้ายยังถูกตัวเอกฝ่ายชายแทงด้วยกระบี่เล่มหนึ่ง แต่เมิ่งถังกลับรู้สึกว่านี่มันดีมาก เพราะตัวประกอบหญิงคนนี้เป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียวของ ‘มู่หวาฮุย’

‘มู่หวาฮุย’ คือพระรองในหนังสือนิยายเรื่อง ‘ตำนานดาวเดือน’ ช่วงแรกนั้นฐานะสูงศักดิ์ ทั้งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหมิงหวา และเป็นนายน้อยของเมืองเชียนเฮ่อ พูดถึงพรสวรรค์ยิ่งโดดเด่น เมื่อเริ่มฝึกพลังวัตรสิบวันบรรลุขั้นสร้างฐาน สามปีสร้างตัน เคยตัดท้องฟ้าและสายน้ำได้ในกระบี่เดียว เป็นบุคคลผู้โดดเด่นฝ่ายธรรมะ เป็นผู้ที่สวรรค์โปรดปรานอย่างแท้จริง

เพียงแต่ช่วงแรกเขาโดดเด่นมีหน้ามีตาสักเพียงใด ช่วงหลังเขาก็น่าเวทนาถึงเพียงนั้น นิยายเขียนไปได้ครึ่งเรื่อง จู่ๆ ก็เปิดเผยออกมาว่าความจริงแล้วเขานั้นหาใช่บุตรชายของเจ้าเมืองเชียนเฮ่อ ฐานะที่แท้จริงของเขาก็คือบุตรชายของรัชทายาทคนก่อนแห่งเผ่ามาร อีกทั้งยังถูกบิดาผู้ให้กำเนิดผนึกแกนแสงแห่งความมืดที่เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่ามารไว้ในร่างกายเขา

เนื่องจากสถานะมารของมู่หวาฮุย เพียงเวลาชั่วข้ามคืนอาจารย์ที่แต่ก่อนเคยรักใคร่และศิษย์ร่วมสำนักที่เคารพนับถือเขาต่างหันดาบหันกระบี่เข้าหาเขา และเนื่องจากในร่างกายของมู่หวาฮุยมีสิ่งล้ำค่าของเผ่ามารผนึกอยู่ จอมมารคนปัจจุบันจึงลงนามประกาศจับเขา ทว่าท้องฟ้ากว้างผืนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงเวลาอันสั้น ธรรมะและมารทั้งสองฝ่ายถึงกับไม่มีที่ให้เขาได้ยืนอยู่

ในท้ายที่สุดมู่หวาฮุยต้องจำใจเข้าเผ่ามาร ช่วงชิงตำแหน่งจอมมาร เพียงแต่เขาเพิ่งอยู่อย่างสงบสุขได้ไม่ถึงครึ่งปี หกสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะก็ได้ยกกำลังมาล้อมปราบเผ่ามารเป็นการใหญ่

มู่หวาฮุยไม่อาจตัดใจลงมือกับอาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักในอดีต แต่ก็จนใจด้วยอาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักกลับมุ่งมั่นจะเล่นงานเขาถึงตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเอกที่เขาคอยปกป้องคุ้มครองโอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอดก็เป็นไปด้วยเช่นกัน ด่าว่าเขาเป็นตัวประหลาดชั่วร้ายไม่ขาดปาก

เมื่อความคิดความหวังพังทลายลง ในพริบตาสุดท้ายมู่หวาฮุยจึงไม่หลบหลีก ปล่อยให้กระบี่ในมือนางเอกแทงทะลุหัวใจของเขา

จนถึงตอนนี้เมิ่งถังยังจดจำได้อย่างขึ้นใจถึงคำบรรยายในหนังสือที่เขียนถึงตอนมู่หวาฮุยตาย

 

‘ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง แม้แต่ตอนสบสายตาที่มองมาด้วยความตื่นตระหนกของอวิ๋นชูเยวี่ย มุมปากก็ยังยกขึ้นเป็นหยักเล็กน้อยเผยรอยยิ้มอบอุ่นมาให้

รอยยิ้มนี้ทำให้อวิ๋นชูเยวี่ยรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้ายังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหมิงหวาในอดีตผู้นั้น ชุดขาวผมดำท่ามกลางแสงตะวันยามสายัณห์ เหลียวมองไปก็รู้สึกอบอุ่นชุ่มชื่นประดุจต้นไผ่เขียวบนภูเขา

เพียงแต่พริบตาถัดมาไผ่เขียวต้นนี้ก็ล้มลงเสียแล้ว

ขณะล้มลง มุมปากของเขายังคงมีรอยยิ้มเจืออยู่จางๆ มองปุยเมฆขาวท้องฟ้าสีครามเหนือศีรษะปราดหนึ่งพลันหวนนึกถึงปีนั้น ตอนเขาเข้าสู่ขั้นจินตันและออกมาจากการกักตน อากาศก็ดีเช่นเดียวกับวันนี้

เพียงแต่ตอนนั้นเขาจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากทุกคน ไหนเลยจะคาดคิดได้ถึงเรื่องต่างๆ ที่จะตามมาหลังจากนั้น

หวนนึกถึงชีวิตของตน มิต่างอันใดกับเรื่องขบขันเรื่องหนึ่ง มาบัดนี้ยุติลงเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว พลันหัวเราะเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง มู่หวาฮุยหลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ

พริบตาถัดมาร่างที่สูงใหญ่ของเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลี ยามลมภูเขาพัดมาก็ค่อยๆ ปลิวหายไปในป่าเขาและสายน้ำ ไม่หลงเหลือแม้แต่น้อยนิด

ไม่มีมู่หวาฮุยอยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว และทุกสิ่งในอดีตเกี่ยวกับคนผู้นี้ก็เป็นเช่นเถ้าธุลีที่ปลิวปรายเหล่านี้ หายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งหมด

ตอนเมิ่งถังอ่านมาถึงตรงนี้ก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก แทบอยากจะพุ่งเข้าไปในหนังสือฆ่าทุกคนที่เคยทำร้ายมู่หวาฮุยด้วยมือตนเองทันที จะได้แก้แค้นแทนเขา

สวรรค์คงได้ยินเสียงกู่ร้องในใจของเธอ ดีเลย คราวนี้เธอทะลุมิติเข้ามาในหนังสือสมใจปรารถนาแล้ว

ช่วงตอนที่เธอทะลุมิติมาก็ไม่เลว ชาติกำเนิดที่แท้จริงของมู่หวาฮุยยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา เวลานี้เขายังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ผู้ปราดเปรื่องยอดเยี่ยมของสำนักหมิงหวา นายน้อยผู้สุขุมอ่อนโยนแห่งเมืองเชียนเฮ่อ

เมิ่งถังตัดสินใจแล้ว ในเมื่อสวรรค์ให้เธอทะลุมิติเข้ามา เช่นนั้นเธอก็จะต้องปกป้องมู่หวาฮุยให้ดี จะไม่ปล่อยให้เขาต้องโศกเศร้าจนน่าเวทนาเช่นในหนังสือนิยายอีก

สำหรับตอนจบของหนังสือนิยายเล่มนี้ เมิ่งถังแสดงท่าทีว่าไม่กังวลแม้แต่น้อย

เธอก็ไม่ได้คิดจะชอบพระเอกของเรื่อง หรือจะฆ่านางเอกแล้วเข้าแทนที่เช่นเนื้อหาเดิม แล้วจะต้องกลัวอะไร สุดท้ายก็ต้องถูกพระเอกใช้กระบี่แทงอยู่ดี

อีกทั้งสุดท้ายแล้วใครจะเป็นฝ่ายแทงใครก็ยังไม่แน่

 

เมื่อวางเป้าหมายในอนาคตไว้เรียบร้อย เมิ่งถังก็คิดจะไปพบมู่หวาฮุยทันที

ตามความคืบหน้าของเนื้อเรื่องเดิม มู่หวาฮุยน่าจะเดินทางกลับไปเมืองเชียนเฮ่อตั้งแต่เดือนที่แล้ว และวันนี้เป็นวันที่เขาจะกลับมาสำนักหมิงหวาพอดี

เพียงแต่เมื่อครู่เมิ่งถังนั่งนานไปหน่อย ครั้นแล้วพอนางลุกขึ้นมายืนก็พบว่าสองขาของตนชาไปหมด ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย ไม่อาจขยับขาก้าวออกไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว

จำต้องนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้ง คิดจะรอให้ขาทั้งสองข้างกลับมามีความรู้สึกก่อนค่อยยืนขึ้นมาใหม่ แต่เพิ่งจะนั่งลงไปได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกตน

“เมิ่งถัง!”

เสียงนั้นดังมาก และเรียกได้ว่ากราดเกรี้ยว อีกทั้งพร้อมๆ กับเสียงร้องเรียกก็มีเสียงดังปัง ประตูไม้สองบานที่ปิดสนิทอยู่ถูกคนถีบเปิดจากด้านนอกทันที

เมิ่งถังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันหน้ามองไปก็เห็นหญิงคนหนึ่งกำลังเดินเร็วๆ เข้ามาในห้อง

หญิงคนนี้ใบหน้ารูปเมล็ดแตง สวมชุดกระโปรงสีม่วงเข้ม เวลานี้ยืนอยู่เบื้องหน้านาง ในดวงตาที่มองลงมาหานางเต็มไปด้วยแววรังเกียจและเหยียดหยาม

เมิ่งถังทะลุมิติมาครั้งนี้ก็ได้รับความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมมาด้วย ดังนั้นนางจึงรู้ว่าหญิงผู้นี้มีชื่อว่าหลิ่วหลิงอวิ๋นเป็นศิษย์ของผู้นำสังกัดยอดเขาชิงหงเช่นเดียวกับอวิ๋นชูเยวี่ยที่เป็นนางเอก

ขณะเดียวกันตามเนื้อหาเดิมในหนังสือนิยาย นักเขียนได้สร้างให้นางเอกเป็นคนที่มีแต่คนรักใคร่ หลิ่วหลิงอวิ๋นผู้นี้ขาดก็แค่ไม่ได้เห็นอวิ๋นชูเยวี่ยเป็นบุตรสาวของตนและรับมาเลี้ยงดูก็เท่านั้น

แต่ขณะเดียวกันในเนื้อหาเดิมของหนังสือนิยาย ท่าทีของหลิ่วหลิงอวิ๋นที่มีต่อเจ้าของร่างเดิมของเมิ่งถังก็เลวร้ายยิ่ง คิดดูแล้วที่หลิ่วหลิงอวิ๋นมาหานางในเวลานี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่

ไม่ผิดจากที่คิด พริบตาถัดมาก็เห็นปลายคางของหลิ่วหลิงอวิ๋นเชิดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความหยามเหยียด

“เมิ่งถัง เจ้าช่างหน้าไม่อาย! เจ้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง แอบชอบศิษย์น้องหลิงก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงกับไร้ยางอายวิ่งไปสารภาพความในใจกับเขา หรือเจ้าเข้าใจว่าด้วยรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ของเจ้า ศิษย์น้องหลิงจะต้องชอบเจ้าแน่นอนก็ไม่โปรยฉี่ส่องดูสารรูปตัวเอง* ว่าคู่ควรจะแย่งชิงบุรุษกับศิษย์น้องอวิ๋นของข้าหรือไม่!”

เมิ่งถังไม่ชอบใจแล้ว

นางนั่งอยู่ในห้องของตนดีๆ หลิ่วหลิงอวิ๋นผู้นี้กระทั่งจะทักทายก่อนสักคำยังไม่มีก็ถีบประตูเข้ามา หลังจากเข้ามาแล้วพออ้าปากก็โจมตีนางทันที

อีกอย่างรูปร่างหน้าตาของนางเป็นอย่างไรหรือ ใบหน้านี้ของนาง แม้จะไม่ถึงกับงามล่มบ้านล่มเมือง แต่ก็ไม่อัปลักษณ์แน่นอน เหตุใดหลิ่วหลิงอวิ๋นจึงพูดราวกับนางเทียบไม่ได้แม้กับอึสุนัขกองหนึ่ง จะให้นางทนได้อย่างไร จึงตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องสนใจว่ารูปร่างหน้าตาข้าเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยผิวพรรณข้าก็ยังขาว”

พูดพลางเมิ่งถังก็ยกมือขึ้นลูบแก้มตนเองเบาๆ ใบหน้ายิ้มกริ่ม “ภาษิตว่าไว้ได้ดี ขาวเพียงอย่างเดียวก็ปกปิดความอัปลักษณ์ได้มากมาย ที่กลัวที่สุดคือผิวพรรณดำดุจถ่านไม้ หากเป็นเช่นนั้นต่อให้องคาพยพทั้งห้างดงามเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านว่าเหตุผลนี้ถูกต้องหรือไม่”

แม้องคาพยพทั้งห้าของหลิ่วหลิงอวิ๋นจะนับว่าหมดจด แต่เสียดายที่สีผิวค่อนข้างเข้ม นี่นับเป็นความเจ็บปวดในใจของนางมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เมิ่งถังจะถึงกับสะกิดบาดแผลของนางต่อหน้าตรงๆ

“เจ้า!” นางโกรธจนหน้ากลายเป็นสีม่วง มือที่ชี้หน้าเมิ่งถังยังสั่นเทา

“ข้าทำไมหรือ ศิษย์พี่หลิ่ว”

ใบหน้าของเมิ่งถังยังคงยิ้มกริ่ม มือข้างหนึ่งค้ำแก้ม ยิ้มพลางเอ่ยถาม “ศิษย์พี่หลิ่วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟวิ่งมาถามเรื่องที่ข้าไปสารภาพความในใจกับศิษย์พี่หลิง เพราะต้องการจะออกหน้าแทนศิษย์น้องอวิ๋นของท่าน หรือว่าความจริงแล้วท่านก็แอบชอบศิษย์พี่หลิงเช่นกัน พอได้ยินว่าข้าไปสารภาพความในใจกับศิษย์พี่หลิงท่านจึงนั่งไม่ติด กลัวว่าข้าจะแย่งศิษย์พี่หลิงไป”

นางเพิ่งจะพลิกฟื้นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม และเข้าใจแล้วว่าการสารภาพความในใจที่หลิ่วหลิงอวิ๋นพูดถึงคือเรื่องอันใด

เฮ่อ นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าของร่างเดิมแอบหลงรักผู้เป็นพระเอกอย่างหลิงซิงเหยามาโดยตลอดหรือ เมื่อวานลำบากไม่น้อยกว่าจะรวบรวมความกล้านัดเขาออกมาแล้วสารภาพความรู้สึก

เดิมทีเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย หญิงสาวเลื่อมใสชื่นชอบชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง รวบรวมความกล้าไปสารภาพความในใจก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่ง นางไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

แต่เจ้าของร่างเดิมของนางเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง สติปัญญาก็ธรรมดาสามัญกลับได้รับความโปรดปรานจากท่านเจ้าสำนัก รับเข้าเป็นศิษย์สายตรง ปกติได้กินยาวิเศษยาอายุวัฒนะมากมายดุจสายน้ำไหล ลับหลังย่อมมีศิษย์ร่วมสำนักอิจฉาริษยามากมาย

กอปรกับเจ้าของร่างเดิมยังเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนแอรู้สึกว่าตนด้อยกว่าผู้อื่น ปกติไม่ว่าจะถูกข่มเหงระรานมากเพียงใดก็ได้แต่อดทนอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่เคยเล่าให้ผู้ใดฟัง ด้วยเหตุนี้คนที่ข่มเหงระรานนางจึงยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น

ก็อย่างเช่นเรื่องที่ไปสารภาพความในใจในครั้งนี้ ให้บังเอิญถูกศิษย์คนหนึ่งของยอดเขาชิงหงพบเห็นเข้า ศิษย์ผู้นั้นเป็นคนปากสว่าง หลังจากกลับไปก็เอาเรื่องนี้พูดไปทั่วเห็นเป็นเรื่องตลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่าถึงสีหน้าท่าทางและคำพูดของหลิงซิงเหยาตอนปฏิเสธเจ้าของร่างเดิม เกรงก็แต่เวลานี้คนทั้งสำนักหมิงหวาคงจะรู้เรื่องนี้กันจนทั่วแล้ว

ถ้าแค่รู้ก็แล้วไปเถิด แต่คนเหล่านั้นกลับต่ำช้ายิ่ง ตั้งแต่นั้นทุกครั้งตอนเจอเจ้าของร่างเดิมก็จะเอาเรื่องนี้มายั่วเย้าเหน็บแนมนาง

ใครบ้างไม่มีศักดิ์ศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของร่างเดิมยังเป็นเด็กสาวที่รู้สึกว่าตนด้อยกว่าผู้อื่น กว่าจะไปสารภาพได้ก็ต้องรวบรวมความกล้าทั้งชีวิตของตนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของผู้อื่น ทั้งยังเป็นเรื่องตลกขบขันที่ไม่มีวันจบวันสิ้น

นับแต่นั้นจิตมารก็เกิดขึ้น กระทั่งสุดท้ายกลายเป็นมาร ไม่มีทางให้หันหลังกลับมาได้อีก

พูดได้ว่าที่สุดท้ายเจ้าของร่างเดิมต้องลงเอยด้วยจุดจบเช่นนั้น หลิ่วหลิงอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ยังมีคนอื่นๆ ในสำนักหมิงหวาที่เคยข่มเหงระรานเจ้าของร่างเดิมมากน้อยย่อมสมควรต้องรับผิดชอบ

เมิ่งถังในตอนนี้มิใช่เจ้าของร่างเดิม นางย่อมไม่เอาเรื่องยั่วเย้าเหน็บแนมเหล่านี้มาใส่ใจ และยิ่งไม่ปล่อยให้คนอื่นมาข่มเหงระรานเช่นเจ้าของร่างเดิมเป็น

ที่นางเชื่อมั่นศรัทธาคือมีแค้นย่อมต้องชำระในที่นั้น ต่อให้ตอนนี้ศัตรูแข็งแกร่งตนเองอ่อนแอ ไม่อาจแก้แค้นได้ทันที แต่ผู้กล้าแก้แค้น สิบปีก็ยังไม่สาย

หลิ่วหลิงอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าเวลานี้เมิ่งถังจะฝีปากแหลมคมเช่นนี้ เห็นอยู่ว่าเมื่อก่อนนางยังเป็นน้ำเต้าที่ถูกอุดปากใบหนึ่ง* ไม่ว่าพวกตนจะยั่วเย้าเหน็บแนมพูดฉีกหน้าอย่างไรก็ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะโต้เถียง อดไม่ได้ที่จะตะลึงงันไปชั่วขณะ รอจนได้สติกลับคืนมาก็ถูกคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งถังทำให้โกรธจนพูดจาไม่ปะติดปะต่อ

“เจ้าหน้าไม่อาย! ข้า…ข้าไปแอบชอบศิษย์น้องหลิงตั้งแต่เมื่อใด คนที่ศิษย์น้องหลิงชอบคือศิษย์น้องอวิ๋น ข้ามาก็เพื่อจะเตือนเจ้า ศิษย์น้องหลิงเป็นของศิษย์น้องอวิ๋น ต่อไปเจ้าอย่าได้คิดจะหมายปองศิษย์น้องหลิงอีก”

เมิ่งถังก็นับว่าเห็นอย่างชัดเจนแล้ว หลิ่วหลิงอวิ๋นผู้นี้อย่างมากก็เป็นเสือที่สานจากไม้ตอกหุ้มด้วยกระดาษตัวหนึ่ง ภายนอกดูดุดันน่าเกรงขาม ความจริงแล้วไม่อาจต้านทานการโจมตีได้

“ท่านวางใจ เมื่อก่อนที่ชอบศิษย์พี่หลิงเป็นเพราะข้าตาบอด แต่เวลานี้ตาข้าดีแล้ว ยังจะชื่นชอบเขาอีกหรือ”

เมิ่งถังคร้านจะใส่ใจนางอีก พลิกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็ชี้มือไปที่ประตู เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เดินดีๆ ไม่ส่งล่ะ”

เดิมนางคิดจะบอกท่านไสหัวไปได้แล้ว แต่มาคิดดูแล้วจะอย่างไรก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่แน่ต่อไปยังต้องเจอหน้ากันอีกเป็นบางครั้งบางคราว ดังนั้นในคำพูดจึงเหลือไมตรีไว้หลายส่วน

แต่หลิ่วหลิงอวิ๋นไม่ได้จากไป หากแต่สองตาเบิกกว้างจนกลมโต มองน้ำชาในถ้วยของนางด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“นี่เป็นหญ้าซิงเยา เจ้าถึงกับใช้หญ้าซิงเยามาชงชา เมิ่งถัง เจ้ากำลังทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจเจ้ารู้หรือไม่”

หญ้าซิงเยาเป็นสมุนไพรวิเศษขั้นสาม สามารถเพิ่มพลังวัตร ผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปคิดจะได้มาสักต้นต้องทุ่มเทเหน็ดเหนื่อยลำบากลำบน ถ้าโชคดีได้มาสักต้นก็จะต้องทะนุถนอมดุจสิ่งล้ำค่า แต่เมิ่งถังถึงกับเอาหญ้าซิงเยามาทำเป็นใบชาชงชาดื่ม!

ที่แท้แล้วเมิ่งถังผู้นี้มีคุณธรรมความดีอันใด ท่านเจ้าสำนักถึงได้ชื่นชอบรับเข้าเป็นศิษย์สายตรง ถ้าตอนนั้นคนท่านที่เจ้าสำนักชื่นชอบคือนาง เช่นนั้นคนที่ใช้หญ้าซิงเยามาชงชาดื่มในตอนนี้ก็ย่อมจะเป็นนาง

สายตาของหลิ่วหลิงอวิ๋นที่มองเมิ่งถังเต็มไปด้วยความริษยาและเกลียดชัง

“ไม่อาจยอมรับหรือ”

เมิ่งถังช้อนตา มองสบตานางตรงๆ มุมปากหยักโค้งเป็นรอยยิ้มหยัน “ต่อให้ท่านไม่อาจยอมรับได้ ทว่าก็รบกวนท่านสะกดกลั้นเอาไว้ด้วย” พูดจบนางก็ยิ้มกริ่มยกถ้วยชาขึ้นมาจิบน้ำชาในถ้วยไปคำหนึ่ง ภายใต้สายตาที่มองมาราวจะสังหารคนของหลิ่วหลิงอวิ๋น

บทที่ 2

เดิมหลิ่วหลิงอวิ๋นก็เป็นคนใจคอคับแคบอยู่แล้ว ไหนเลยจะทนต่อคำพูดเสียดสีทำร้ายจิตใจแฝงความหมายนอกในที่ทยอยส่งมาไม่ขาดสายของเมิ่งถังได้ นางจึงโกรธจนยกมือขึ้นมาทันที

เมิ่งถังเพิ่งทะลุมิติมา แม้จะได้รับความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมมาอย่างครบถ้วน แต่ยังไม่คุ้นเคยกับอาคมของเจ้าของร่างเดิม ดังนั้นถึงในใจจะรับรู้ถึงอันตราย แต่ร่างกายยังคงไม่อาจหลบหลีกได้พ้น

เพียงเห็นประกายกระบี่สีขาวสายหนึ่งวาบผ่าน ถ้วยชาที่เมิ่งถังถืออยู่ในมือก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีก น้ำชาในถ้วยสาดกระเซ็นลงมาที่ตัวเสื้อด้านหน้าของเมิ่งถังทั้งหมด จนเปียกไปทั้งแถบ

ในเวลาเดียวกันประกายกระบี่ก็ไม่ลดทอนพลังลง ตัดแขนเสื้อของเมิ่งถังออกไปชิ้นใหญ่

โชคดีที่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายนางหดแขนไปทางด้านหลัง หาไม่แล้วครั้งนี้ที่ถูกตัดขาดคงไม่ใช่เพียงแขนเสื้อของนาง แต่คงเป็นแขนขวาของนางด้วย

นี่ต้องเป็นความเกลียดชังความแค้นที่ยิ่งใหญ่เพียงใด พอลงมือก็มุ่งหมายจะตัดแขนนางแล้ว

เมิ่งถังเป็นคนที่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างเช่นนั้นหรือ นางเลิกคิ้ว ขณะกำลังคิดหาวิธีโต้ตอบกลับไป พลันได้ยินเสียงดังมาจากนอกหน้าต่าง “ศิษย์น้องอยู่หรือไม่”

เสียงนั้นชัดเจนนุ่มนวลละมุนละไมดุจน้ำแข็งดุจหยก เสนาะโสตยิ่ง

เมิ่งถังหันหน้าไปตามเสียงก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างสูงตระหง่านดุจต้นไผ่เขียว

เห็นอยู่ว่าบนร่างของเขาเพียงสวมเสื้อสีขาวเรียบง่ายตัวหนึ่ง แต่กลับทำให้คนรู้สึกประหนึ่งหยกงามใสกระจ่างภายใต้ดวงจันทร์ชิ้นหนึ่ง ท่วงทำนองที่อ่อนโยนและนิ่งเฉยทำให้แม้อยู่ท่ามกลางฝูงชนนับพันนับหมื่น ผู้คนก็สังเกตเห็นเขาได้ในแวบเดียว

เมิ่งถังคล้ายได้ยินเสียงกวางน้อยวิ่งวุ่นวายอยู่ในใจของตน

แย่แล้ว นี่มันอาการหัวใจหวั่นไหว! ถึงตอนนี้นางมีหรือจะยังไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร

“ศิษย์พี่!”

นางรีบลุกขึ้นมายืน ร้องเรียกไปคำหนึ่ง แล้วรีบวิ่งไปที่หน้าประตู

ส่วนเรื่องที่หลิ่วหลิงอวิ๋นเกือบจะตัดแขนขวาของนาง ฮึ เวลานี้เทพบุตรของข้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้า ใครยังจะมีเวลาไปใส่ใจเจ้า ความแค้นในครั้งนี้วันหน้าค่อยแก้แค้นก็ยังไม่สาย

เมื่อตื่นเต้นเกินไป ทันใดนั้นใต้ฝ่าเท้าก็เสียจังหวะ เมื่อมาถึงเบื้องหน้ามู่หวาฮุย ไม่ทันระวังเท้าซ้ายเกี่ยวเท้าขวา ร่างของเมิ่งถังก็ถลาไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่อยู่

ตอนที่หน้ากำลังจะทิ่มไปกับพื้นอย่างไม่เหลือภาพลักษณ์ใดๆ นั้นก็เห็นมู่หวาฮุยสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เมิ่งถังพลันรู้สึกว่ามีพลังนุ่มนวลขุมหนึ่งช่วยประคับประคองนางไว้

นางอาศัยพลังขุมนี้หยัดร่างขึ้นมายืนตรง ไม่อาจซุกซ่อนความดีใจที่อยู่ภายใน เมิ่งถังยื่นมือไปยุดชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุยเอาไว้ “ศิษย์พี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”

มู่หวาฮุยรูปร่างสูงยิ่ง นางสูงเพียงหัวไหล่เขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เวลามองเขาย่อมต้องแหงนหน้า

แต่เมิ่งถังไม่ถือสาแม้แต่น้อย ทางหนึ่งนางก็พินิจพิจารณามู่หวาฮุยอย่างละเอียด ทางหนึ่งก็คิดด้วยความสุขใจว่ามู่หวาฮุยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เหมือนที่นางอ่านหนังสือแล้วคิดภาพไว้ไม่มีผิด

ไม่สิ ควรบอกว่าเขาดูอ่อนโยน หล่อเหลายิ่งกว่าที่นางคิดภาพไว้เสียอีก

เปรียบกับเมิ่งถังที่ดีใจอย่างไม่ปิดบัง มู่หวาฮุยกลับรู้สึกตกใจเล็กน้อย

ศิษย์น้องผู้นี้ของเขา แม้จะเข้าสำนักหมิงหวามาได้หลายปีแล้ว ปกติแล้วอาจารย์จะกักตนอยู่บ่อยๆ วรยุทธ์ของศิษย์น้องส่วนใหญ่เขาจึงเป็นผู้ถ่ายทอด แต่ศิษย์น้องก็หาได้สนิทสนมกับเขา

ทุกครั้งยามพบเจอกันนางก็มักจะก้มหน้าก้มตา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็เพียงขานรับอย่างเอื่อยเฉื่อยออกมาคำหนึ่ง ไม่มีคำพูดมากกว่านั้น เรื่องนี้ทำให้จนถึงตอนนี้มู่หวาฮุยก็ยังไม่สามารถจดจำรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน แต่เวลานี้เมิ่งถังกลับจับชายแขนเสื้อเขาไว้อย่างสนิทสนม ยังแหงนหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสให้เขา

แต่จะอย่างไรมู่หวาฮุยก็ไม่ชอบคลุกคลีใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ใด จึงออกแรงเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของตนออกมาจากมือของเมิ่งถังอย่างไม่เผยร่องรอย ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นปกติที่เคยพบเห็น “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”

ภายใต้ความตื่นเต้น เมิ่งถังไหนเลยจะยังสังเกตเห็นว่ามู่หวาฮุยได้ดึงแขนเสื้อออกจากมือนางไปแล้ว ทว่าต่อให้สังเกตเห็นก็ไม่เป็นไร ฟิลเตอร์มากมายที่นางใส่ให้กับมู่หวาฮุยทำให้รู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรย่อมถูกต้องแน่นอน

เวลานี้เมิ่งถังอยู่ในสภาพแฟนคลับได้พบเทพบุตรที่ตนเฝ้าคิดถึงทุกวันคืนอย่างสมบูรณ์ ฝีปากแหลมคมที่มีต่อหลิ่วหลิงอวิ๋น ถือว่าตนมีเหตุผลก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เมื่อครู่ก่อน ไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอยู่เลย ได้แต่มองมู่หวาฮุยแล้วยิ้มอย่างโง่งม

มู่หวาฮุยกลับสังเกตเห็นหลิ่วหลิงอวิ๋น

อันที่จริงถึงไม่อยากเห็นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะในมือของหลิ่วหลิงอวิ๋นถือกระบี่ยาวอยู่เล่มหนึ่ง แสงตะวันจากนอกห้องส่องกระทบคมกระบี่สาดประกายแวววับ

นางกับเมิ่งถังเป็นศิษย์ร่วมสำนัก อยู่ด้วยกันในที่ส่วนตัวเหตุใดต้องถือกระบี่

มู่หวาฮุยเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ใบหน้ากลับยังคงนุ่มนวลเช่นปกติ

“ที่แท้ศิษย์น้องหลิ่วก็อยู่ที่นี่ด้วย”

เขาผงกศีรษะน้อยๆ ให้หลิ่วหลิงอวิ๋น นับเป็นการทักทาย จากนั้นก็แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์น้องหลิ่วถือกระบี่อยู่ในมือทำอันใดหรือ”

หลิ่วหลิงอวิ๋นไหนเลยจะคาดคิดได้ถึงว่าจู่ๆ มู่หวาฮุยจะมาที่นี่

นางไม่กลัวเมิ่งถัง ประการแรกพลังวัตรของเมิ่งถังสู้นางไม่ได้ พวกนางสองคนถ้าต่อสู้กันขึ้นมาจริง เมิ่งถังมีแต่ต้องถูกนางกดลงถูไถกับพื้นสถานเดียว ประการที่สองนางก็คาดการณ์ไว้แล้ว ทุกครั้งที่เมิ่งถังได้รับความไม่เป็นธรรมก็ได้แต่อดทนอยู่เงียบๆ ไม่มีทางบอกให้เจ้าสำนักหรือมู่หวาฮุยรู้

แต่กับมู่หวาฮุย หลิ่วหลิงอวิ๋นยังคงหวาดกลัวมาก

เพราะถึงอย่างไรมู่หวาฮุยก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักหมิงหวา แม้เขาจะดูเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่ในช่วงคับขันสำคัญ ความน่าเกรงขามที่พึงมีในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักก็ไม่ขาดหายแม้ครึ่งส่วน

และที่สำคัญที่สุดก็คือพลังวัตรของมู่หวาฮุยเป็นสิ่งที่นางเทียบไม่ติด ถ้านางกับเขาต่อสู้กัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิ่วหลิงอวิ๋นต้องถูกมู่หวาฮุยจัดการในกระบวนท่าเดียว

นางลนลานรีบเก็บกระบี่ในมือ

“เอ้อ ข้า…ข้าไม่ได้ทำอันใด เมื่อครู่ศิษย์น้องเมิ่งบอกมีเพลงกระบี่เพลงหนึ่งนางยังใช้ไม่เป็น ขอให้ข้าแสดงให้นางดู ข้าถึงได้หยิบกระบี่ออกมา” พูดพลางถลึงตาใส่เมิ่งถัง

นางยังคงเข้าใจว่าเมิ่งถังยังเป็นเมิ่งถังคนเก่า ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรก็ไม่โต้แย้ง กระทั่งยังให้ความร่วมมือคล้อยตามคำพูดของนาง

แต่เมิ่งถังในยามนี้เป็นคนเช่นนั้นหรือ นางเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อยต่างหาก

ชัดเจนว่าหลิ่วหลิงอวิ๋นกลัวมู่หวาฮุย จึงโกหกหน้าตาเฉย

ครั้นแล้วเมิ่งถังก็ฉกฉวยจังหวะนี้ดำเนินการอย่างฉับพลัน ยื่นมือไปยุดชายแขนเสื้อของมู่หวาฮุยแล้วฟ้องเขา

“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หลิ่วนางพูดโกหก” เมิ่งถังสบสายตาที่มองมาของมู่หวาฮุย ยังคงฟ้องต่อไปไม่หยุด

“เมื่อครู่ข้ากำลังดื่มน้ำชาอยู่ จู่ๆ ศิษย์พี่หลิ่วก็ชักกระบี่มาฟันถ้วยชาของข้า ยังตัดแขนเสื้อข้าขาดไปชิ้นใหญ่ ถ้าไม่ใช่ข้าหลบได้ทัน เกรงว่าแขนขวาของข้าคงถูกนางฟันขาดไปแล้ว”

ทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็ชี้มือไปยังถ้วยชาที่ขาดเป็นสองซีกบนพื้นให้มู่หวาฮุยดู แล้วยกมือข้างขวาของตนขึ้นให้มู่หวาฮุยดูแขนเสื้อที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของนาง

มู่หวาฮุยยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ แต่กลับไม่ใช่เพราะเรื่องที่หลิ่วหลิงอวิ๋นทำเหล่านี้ทั้งหมด หากแต่เป็นเรื่องที่เมิ่งถังถึงกับฟ้องเขาด้วย

หลิ่วหลิงอวิ๋นยามนี้กลับตกใจจนขวัญแทบกระเจิง รีบร้องขึ้น “ข้าไม่ได้ทำ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าฟังนางพูดเหลวไหล!”

เมิ่งถังหรือจะยอมให้นางเล่นลิ้นเอาตัวรอด รีบแย้งขึ้นทันที

“ท่านจะไม่ได้ทำได้อย่างไร ถ้าท่านไม่ได้ทำแล้วถ้วยชาของข้า ยังมีแขนเสื้อของข้าอีก หรือว่าข้าเป็นคนฟันขาดเองเพื่อจะใส่ร้ายท่านเช่นนั้นหรือ”

มู่หวาฮุยยิ่งประหลาดใจแล้ว

ที่ผ่านมาเขาเพียงเข้าใจว่าศิษย์น้องผู้นี้ของเขาพูดจาไม่คล่อง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับมีช่วงที่พูดจาคล่องแคล่วเช่นนี้

สายตากวาดผ่านใบหน้าซีกขวาของเมิ่งถังคล้ายไม่ใส่ใจก็เห็นตรงบริเวณใกล้ใบหูมีไฝสีดำขนาดเท่าเมล็ดงาครึ่งเมล็ดอยู่ แต่ก่อนตอนเขาสอนเพลงกระบี่ให้เมิ่งถัง เห็นท่ากุมกระบี่ของนางไม่ถูกต้อง ตอนเข้าไปช่วยแก้ไขให้บังเอิญสังเกตเห็นเข้า

คนผู้นี้คือเมิ่งถังตัวจริง หาใช่คนอื่นที่รูปร่างหน้าตาคล้ายนาง

ส่วนเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วหลิ่วหลิงอวิ๋นได้ข่มเหงเมิ่งถังหรือไม่ มู่หวาฮุยยังคงเชื่อเมิ่งถัง

ถ้วยชาที่แตกกับแขนเสื้อที่ขาดไม่อาจปลอมแปลงได้ นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือเขารู้ถึงพลังวัตรของเมิ่งถังในเวลานี้ดี จะต้องมีแต่หลิ่วหลิงอวิ๋นที่เป็นฝ่ายข่มเหงนางได้

จึงถามหลิ่วหลิงอวิ๋น “ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องของข้าทำอะไรผิด จึงต้องให้ศิษย์น้องหลิ่วลงมือสั่งสอน”

แม้ทุกคนต่างก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักหมิงหวา แต่สุดท้ายแล้วมีเพียงเมิ่งถังกับมู่หวาฮุยที่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์คนเดียวกัน นั่นก็เปรียบได้กับพี่น้องแท้ๆ กับลูกพี่ลูกน้อง แม้จะอยู่ร่วมสำนักเดียวกัน แต่จะอย่างไรพี่น้องแท้ๆ ย่อมสนิทสนมใกล้ชิดกันมากกว่า

“นาง…นาง…” หลิ่วหลิงอวิ๋นพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ได้

ย่อมไม่อาจบอกไปตามตรงว่าเพราะเมิ่งถังไปสารภาพความในใจกับหลิงซิงเหยา นางไม่พอใจแทนอวิ๋นชูเยวี่ย ดังนั้นจึงตั้งใจมาตักเตือนเมิ่งถังโดยเฉพาะกระมัง

เมิ่งถังข่มเหงง่าย แต่มู่หวาฮุยข่มเหงไม่ง่าย จะอย่างไรนางก็กระจ่างแก่ใจดี เรื่องนี้ความจริงแล้วนางไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย

นางไม่อยากพูด เมิ่งถังกลับไม่พะว้าพะวังอะไร

เพราะเมิ่งถังรู้ ตามความคืบหน้าของเนื้อหาเดิมในหนังสือนิยาย มู่หวาฮุยกลับไปเมืองเชียนเฮ่อครั้งนี้ เจ้าเมืองผู้เป็นบิดาของเขาได้บอกเรื่องหมั้นหมายคู่ครองให้เขาทราบ อีกฝ่ายคือบุตรสาวของเจ้าเมืองชื่อเซียว

ใช่แล้ว บุตรสาวเจ้าเมืองชื่อเซียวผู้นี้ก็คืออวิ๋นชูเยวี่ยนางเอกของเรื่องที่ปกปิดฐานะ เข้ามาเป็นศิษย์สังกัดยอดเขาชิงหง สำนักหมิงหวา เพียงแต่เวลานี้มู่หวาฮุยยังไม่รู้ว่านางคือคู่หมั้นของตน เพียงเห็นนางเป็นศิษย์น้องทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ภายหลังได้รู้เข้าโดยบังเอิญจึงได้เริ่มใส่ใจในตัวนางขึ้นมา

นับแต่นั้นก็ดูแลปกป้องอวิ๋นชูเยวี่ยมาโดยตลอด ช่วยชีวิตนางให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและอันตรายหลายครั้ง แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คืออวิ๋นชูเยวี่ยในเวลานี้กับพระเอกหลิงซิงเหยาต่างมีความรักต่อกันแล้ว ดังนั้นถึงภายหลังมู่หวาฮุยจะดีต่ออวิ๋นชูเยวี่ยเพียงใด อวิ๋นชูเยวี่ยก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อเขา

นางเพียงเห็นเขาเป็นตัวสำรอง รักษาหลักการสามไม่คือไม่แสดงออก ไม่ปฏิเสธ ไม่รับผิดชอบได้อย่างสมบูรณ์

มู่หวาฮุยก็เพียงได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของอวิ๋นชูเยวี่ยเท่านั้น แม้ภายหลังฐานะที่แท้จริงของมู่หวาฮุยกับหลิงซิงเหยาจะถูกเปิดเผยออกมา ฐานะคู่หมั้นของอวิ๋นชูเยวี่ยก็ถูกหลิงซิงเหยาแย่งชิงไป

ตั้งแต่ต้นจนจบมู่หวาฮุยไม่ว่าอะไรก็ไม่เคยได้รับ ย่อมไม่ว่าอะไรก็ไม่เคยได้ครอบครองอย่างแท้จริง

 

* ‘ไม่โปรยฉี่ส่องดูสารรูปตัวเอง’ หมายถึงไม่รู้จักประมาณตน ตรงกับคำพังเพยไทยที่ว่า ‘ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา’

* น้ำเต้าที่ถูกอุดปากใบหนึ่ง เป็นสำนวน หมายถึงพูดไม่เก่ง พูดน้อย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: