บทที่ 58
หากอ้างอิงตามมาตรฐานการให้คะแนนจากบัญชีเวยป๋อ ‘นักวิจารณ์อเมริกาเหนือ’ ที่ว่า ‘ให้จูอิน* กับหวังจู่เสียน** เจ็ดคะแนน ให้หลิวอี้เฟยแปดคะแนน ส่วนเก้าคะแนนต้องตกเป็นของนางฟ้าวิคตอเรียส์ซีเคร็ต*** ที่กางปีกเปิดแคตวอล์กอย่างแน่นอน’ แต่สำหรับหญิงสาวที่ไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไป แต่งตัวเรียบร้อย และมีทรงผมที่แสนจะธรรมดาเช่นชูหลี่ อย่างมากก็คงได้ประมาณสี่ถึงห้าคะแนน ถือว่าเป็นระดับที่ถ้าพลัดหลงเข้าไปในกลุ่มคนที่เดินไปมาบนถนนจะไม่มีใครสังเกตเห็นเธอจนต้องถ่างตาหา…
เธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมายี่สิบกว่าปี ในที่สุดวันนี้ก็กลายเป็นจุดสนใจเป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะพานักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ (ที่เอาแต่แย่งซีนกัน) ทั้งสองคนมาปรากฏตัว
…ทว่าใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ…
Excuse me?
เธอเนี่ยนะ มีสิทธิ์อะไรกัน
น่าโมโหชะมัด เดี๋ยวนี้พวกผู้ชายตาบอดกันไปหมดแล้วเหรอเนี่ย
ต้องเป็นบรรดาพี่ชายของเธอแน่นอน คนหนึ่งพี่ชายฝ่ายพ่อ อีกคนหนึ่งพี่ชายฝ่ายแม่
ดูสีหน้าได้ใจของยายคนนี้สิ ได้ใจอะไรกัน เธอแค่มีพี่ชาย แถมยังควงทีเดียวตั้งสองคนเอง
ฉันยอมเชื่อว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นคู่ขากันดีกว่า
ตอนที่ชูหลี่หยิบบัตรกำนัลสองใบและเงินสิบแปดหยวนขึ้นมาให้พนักงานเพื่อแลกตั๋วหนัง คนรอบข้างต่างพากันมอง…เมื่อเธอได้ตั๋วมาสามใบ หลังมองเลขที่นั่งบนตั๋วแล้ว หญิงสาวก็หยิบตั๋วใบตรงกลางยัดใส่กระเป๋าเสื้อ พร้อมส่งอีกสองใบที่เหลือให้ท่านเทพทั้งสองที่ยืนเป็นทวารบาลเฝ้าประตูอยู่ด้านหลัง…
ตอนนี้ฝูงชนจึงยอมรับชุดความคิดที่ว่า ‘สามคนนี้มาด้วยกัน’ ก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจแล้วพากันแยกย้าย
ขณะนี้ยังเหลือเวลายี่สิบกว่านาทีก่อนหนังเริ่มฉาย ชูหลี่ถือตั๋วหนังและมองหาที่นั่ง แต่เมื่อก้นเพิ่งแตะเก้าอี้ อยู่ๆ ตรงหน้าก็มืดลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจียงอวี่เฉิงยืนโน้มตัวอยู่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“กินขนมไหม หรือจะเป็นเครื่องดื่ม หรือจะเอาไอศกรีมดี”
ชูหลี่รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้วค่ะอาจารย์”
โจ้วชวนที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพิ่งกินข้าวเสร็จจะกินขนมอะไรอีก กระเพาะรั่วหรือไง พิซซ่าถาดใหญ่ขนาดนั้น อิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้ว…”
“ก็เพราะนายกินเยอะไปน่ะสิ”
เจียงอวี่เฉิงยืดตัวขึ้น เดินเบียดไหล่ของโจ้วชวนไป เขาเข้าไปที่เคาน์เตอร์ขายขนม เลือกป็อปคอร์น ช็อกโกแลต และน้ำแร่ด้วยตัวเอง ก่อนจะถือกลับมายัดไว้ในอ้อมอกของชูหลี่…หญิงสาวรีบรับไว้และกล่าวขอบคุณ ตอนนี้เองก็มีมือใหญ่ยื่นมาหยิบมาร์ชเมโลจากเธอไปหนึ่งห่อ
“…มีแต่ขนมหวานๆ นายเห็นเธอเป็นเด็กสามขวบหรือไง”
“นายช่วยหุบปากได้ไหม คนที่ออกมาข้างนอกแล้วไม่พกกระเป๋าสตางค์นี่ทำไมพูดมากจัง ไม่มีเด็กสาวคนไหนไม่ชอบกินขนมหวานหรอกน่า”
เจียงอวี่เฉิงมองดูโจ้วชวนแกะห่อมาร์ชเมโลด้วยสายตาเย็นชา เขาหยิบมาร์ชเมโลออกมาบี้แล้วบี้อีก ขยำจนไส้แทบทะลักออกมา แล้วยื่นเจ้าขนมหวานรูปร่างเหมือนก้อนอึใส่ปากก่อนพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ฉันไม่กินขนมหวาน”
เจียงอวี่เฉิงมองบนพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออก
โจ้วชวนเคี้ยวพร้อมกับบ่นไปด้วย “ฉันไม่กินขนมหวาน เธอก็ไม่กินขนมหวาน นายซื้อของพวกนี้มาก็เปลืองเงินเปล่า…”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาเห็นเจียงอวี่เฉิงใช้สายตาเย้ยหยันมองมา โจ้วชวนหยุดพูดแล้วหันหน้าไปมองโดยสัญชาตญาณก็เห็นหญิงสาวแกะกระดาษห่อและคาบช็อกโกแลตชิ้นใหญ่ไว้พลางจ้องมองเขาด้วยความงุนงง
โจ้วชวน “…”
ชายหนุ่มหงุดหงิดที่ชูหลี่ไม่ได้ดังใจจึงต่อว่าเธอ “เพิ่งกินข้าวมายังจะกินช็อกโกแลตอีก! คุณเป็นปลาทองเหรอ ทำไมไม่รู้จักอิ่มซะบ้าง”
ชูหลี่ทำหน้าจ๋อย เมื่อถูกสายตาต่อว่าราวกับเธอ ‘ร่วมมือกับศัตรูก่อกบฏ’ ของโจ้วชวนจ้องมองเข้าก็ชักจะรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาหน่อยๆ
“ฉันกินชิ้นเล็กๆ เองนะคะ…”
“ตัวคุณหนักมากพอแล้วนะ”
หนักจนอุ้มไม่ไหว โศกนาฏกรรมที่ผมทำได้เพียงมองดูคุณนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะในห้องหนังสือทั้งคืน คุณลืมแล้วเหรอ
เมื่อเห็นสีหน้าของชูหลี่เปลี่ยนไป เจียงอวี่เฉิงก็ดึงเสื้อโจ้วชวนออกไปได้ทันเวลา “ทำตัวแบบนี้ก็สมแล้วล่ะที่นายโสดตั้งแต่เกิด จะโทษใครได้ หน้าตานายนี่เสียของชะมัด อ้าปากพูดออกมาแต่ละคำแทบจะไม่ใช่คำพูดดีๆ ถ้าเจ้าเอ้อร์โก่วเป็นตัวเมีย มันคงหนีออกจากบ้านไปแล้ว…”
ระหว่างที่รออยู่เป็นเวลาสิบกว่านาที โจ้วชวนใช้สายตาราวกับกล่าวหาชูหลี่ว่า ‘ยายคนทรยศ’ จ้องมองมา แรกๆ เธอก็กลัวอยู่หรอก แต่พอชินแล้วเธอก็กินช็อกโกแลตอย่างสงบภายใต้สายตาแบบนี้ จากนั้นก็ยืนขึ้น กอดป็อปคอร์นถังใหญ่แล้วเอ่ยปาก
“เข้าไปกันได้แล้วล่ะค่ะ”
โจ้วชวนยืดขาอันเรียวยาวแล้วยืนขึ้น “อีกสักพักถ้าผมหลับไปอย่าลืมเรียกผมนะ กลัวว่าจะหลับสบายจนหยุดหายใจน่ะ”
“งั้นนายมาทำไมกัน”
ชูหลี่ต้องเดินเข้าไปแทรกกลางคนทั้งคู่ เพื่อแยกชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ด้วยกันทีไรเป็นต้องปะทะคารมกันได้ไม่หยุดหย่อนออกจากกัน
ทั้งสามเดินเข้าไปในโรงหนัง เนื่องจากว่าการโปรโมตหนังเรื่องนี้ค่อนข้างธรรมดา ไม่ได้ดึงดูดคนเท่ากับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นที่เข้าฉาย ดังนั้นถึงแม้จะเป็นวันหยุด แต่มีคนมาดูหนังรอบนี้น้อยมากจนแทบจะไม่มี น้อยจนเรียกได้ว่าน่าสงสาร รวมพวกชูหลี่สามคนเข้าไปแล้วก็ได้ประมาณสิบคน ชูหลี่นั่งตรงกลางระหว่างนักเขียนทั้งสองตามเลขที่นั่งบนตั๋วหนัง ในตอนนี้เสียงวุ่นวายตลอดช่วงเช้าก็สงบลงแล้ว โจ้วชวนเล่นมือถืออยู่ด้านซ้ายมือของเธอ ส่วนเจียงอวี่เฉิงอาศัยตอนที่หนังยังไม่เริ่มเปิดดูเวยป๋อ ประมาณสิบนาทีที่แล้วเขาโพสต์รูปตั๋วสามใบพร้อมกับข้อความ ‘มาดูหนังในวันหยุดกับ บ.ก. สวัสดิการจากสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ย’
ขณะนี้บรรดาแฟนคลับในเวยป๋อของเขากำลังทายกันว่าตั๋วสามใบนี้เป็นของใครกันอย่างสนุกสนาน มีคนสังเกตเห็นว่าเป็นโรงหนังที่เมือง G ก็เริ่ม @ โจ้วชวน…โจ้วชวนที่เล่นมือถืออยู่ก็พูดขึ้นมาด้วยความรำคาญ
“นักอ่านของนายพากัน @ ฉันทำไม นายมาเมือง G จะต้องอยู่กับฉันเท่านั้นเหรอ”
“มีปัญหาเหรอ” เจียงอวี่เฉิงพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย “นายมาเมือง B ก็มากินฟรีดื่มฟรีที่บ้านฉัน แถมยังเคยพูดไว้ดิบดีว่าเป็น ‘การต้อนรับของอาจารย์เจียงอวี่เฉิง’ อีก พอฉันมาเมือง G นายก็ควร ‘ต้อนรับ’ ฉันไม่ใช่เหรอ”
โจ้วชวนกำหมัดขึ้น “ใช้ไอ้นี่ ‘ต้อนรับ’ ดีไหม”
เจียงอวี่เฉิงยิ้มเยาะ ยังไม่ทันตอบกลับ ไฟในโรงหนังก็มืดลง ขณะเดียวกันชูหลี่ก็เอาถังป็อปคอร์นที่กอดอยู่ยัดเข้าไปในอ้อมอกของโจ้วชวนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“หนังเริ่มแล้วค่ะ”
โจ้วชวนขยับปากแต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กอดถังป็อปคอร์นเงียบๆ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบป็อปคอร์นยัดใส่ปาก
เนื้อเรื่องในช่วงแรกของหนังคือ บ.ก. เพอร์กินส์ได้รับต้นฉบับนิยายของนักเขียนโทมัส ก่อนหน้านั้นนิยาย ‘Look Homeward, Angel’ ถูกสำนักพิมพ์หลายแห่งปฏิเสธมาแล้ว แต่เมื่อส่งต้นฉบับถึงมือของเพอร์กินส์ บ.ก. ชื่อดัง เขากลับบ้านโดยถือต้นฉบับนี้อ่านบนรถไฟอย่างไม่ยอมวางมือ ผ่านไปหลายวันโทมัสมาที่สำนักงานของเพอร์กินส์โดยเตรียมใจไว้ว่าจะต้องถูกปฏิเสธแน่นอน แต่เพอร์กินส์กลับบอกว่าจะตีพิมพ์นิยายของเขาและจะมอบเงินมัดจำค่าลิขสิทธิ์ให้เขาครึ่งหนึ่ง…
พอพบเหตุการณ์ที่ไม่คิดไม่ฝัน โทมัสก็ดีใจสุดขีดถึงขั้นทั้งร้องทั้งเต้นในสำนักงานของเพอร์กินส์ ชูหลี่ยิ้มมุมปากพลางยื่นมือไปดึงแขนเสื้อโจ้วชวนที่นั่งข้างๆ
“ตอนที่ต้นฉบับคุณตีพิมพ์ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ”
เพราะชายหนุ่มถูกดึงแขนเสื้อจึงเอียงตัวไปเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ แต่สายตายังคงจับจ้องที่จอหนัง เขาพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ไม่นะ นอกจากพ่อผมแล้ว ไม่เคยมีใครตีกลับต้นฉบับผมคืน”
“…” ชูหลี่ปล่อยเขาไปและหันไปทางเจียงอวี่เฉิง “อาจารย์คะ แล้วคุณ…”
“พ่อผมเป็น บ.ก. คนแรกของผม เมื่อหลายปีก่อนเขาค้นเจอต้นฉบับ ‘สวนสัตว์ที่หายไป’ ในกล่องใส่กระดาษที่ไม่ใช้แล้ว จากนั้นก็เอาไปขาย แล้วผมก็ดังเลย”
ขณะที่เจียงอวี่เฉิงพูดประโยคนี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โจ้วชวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของชูหลี่ก็ส่งเสียง “หึ” เบาๆ
ชูหลี่ “…”
มาดูหนังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกกับนักเขียนสองคนที่ไร้ซึ่งความรู้สึกเป็นความผิดของเธอเอง
หลังจากนั้นหนังก็เล่าถึงฉาก บ.ก. พิสูจน์อักษรเกิดการโต้แย้งกับนักเขียนขึ้น ทั้งสองถกเถียงกันทั้งวันทั้งคืนเพียงเพราะหนังสือเล่มเดียว…
เรื่องนี้ทำให้ชูหลี่หวนนึกถึงตอนที่พิสูจน์อักษร ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ทุ่มสองทุ่มต้องโทรไปทะเลาะกับโจ้วชวนทุกวัน…มีครั้งหนึ่งที่อวี๋เหยาถึงกับทอดถอนใจแล้วบอกว่าดีที่ตอนนี้เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาแล้ว หากเป็นยุคที่นักเขียนและ บ.ก. ต้องมานั่งแก้ต้นฉบับด้วยกัน ชูหลี่กับโจ้วชวนคงถล่มสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยเป็นแน่
ในหนังยังเล่าว่านิยายเล่มแรกของโทมัสขายดี นิยายเล่มที่สองก็ขายดี จนนักเขียนและ บ.ก. ค่อยๆ กลายมาเป็นเพื่อนที่จริงใจต่อกัน มีฉากหนึ่งเพอร์กินส์ถือหนังสือเรื่อง ‘Look Homeward, Angel’ ขึ้นพลิกอ่านไปมาด้วยรอยยิ้มอันปลาบปลื้ม ชูหลี่คิดว่าช่างเป็นหนังที่งดงามมากจริงๆ
“ความจริงแล้ว บ.ก. ต่างก็ไม่กล้าเปิดอ่านหนังสือที่ตนเองตรวจ ต่อให้เป็นน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาก็เถอะ เพราะว่าพอเผลอไปอ่านเจอคำผิดหรือประโยคผิดทีไร ก็ยากที่จะควบคุมความหวาดกลัวและทำตัวไม่ถูก”
“นี่ก็คือความแตกต่างระหว่าง บ.ก. กิ๊กก๊อกกับปรมาจารย์แห่งวงการ บ.ก.” โจ้วชวนชี้ไปที่ปลายจมูกของชูหลี่ “ผมเคยเห็นสภาพคุณนอนฟุบน้ำลายยืดอยู่บนต้นฉบับของผม แล้วผมจะคาดหวังให้ได้อะไรขึ้นมา”
“…”
ตามปกติเมื่อ บ.ก. และนักเขียนในยุคนั้นทำหนังสือด้วยกัน พวกเขาต้องตัวติดกันอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะกิน ดื่ม ขับถ่าย หรือนอน เรื่องนี้ทำให้ภรรยาของนักเขียนโทมัสไม่พอใจอย่างมากถึงขั้นถือปืนบุกไปหา บ.ก. เพอร์กินส์
“ถ้างั้นแฟนสาวของนักเขียนคงลำบากใจมากจริงๆ นะคะ เพราะยังไง บ.ก. ย่อมมีเหตุผลร้อยแปดในการโทรหา ส่งวีแชต ส่งอีเมลรบกวนนักเขียนอยู่ตลอดเวลา สมมติว่ากำลังทำกิจกรรมบนเตียงก็ต้องหยุดก่อนเพื่อมาอธิบายให้ฟังว่าจุดไข่ปลาพวกนี้มีไว้เพื่ออะไร”
ในตอนนี้โจ้วชวนเริ่มเหม่อลอยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ชูหลี่จึงเขย่าแขนเขา “อาจารย์คะ ตื่นค่ะ”
โจ้วชวนหลุดจากอาการเหม่อลอย มองดูนางเอกที่เอาปืนจ่อหัวตัวเองเพื่อให้โทมัสเลือกระหว่างเธอกับเพอร์กินส์
“สถานการณ์ที่คุณพูดถึงนี้จัดการง่ายมาก คำตอบก็คือแต่งงานกับเธอซะ”
“ฮะ?”
“มี บ.ก. ตั้งเยอะที่ลงเอยกับนักเขียน เพราะถ้าเป็นแบบนี้ อย่างน้อยเวลาทำกิจกรรมบนเตียงเธอทำได้แค่ร้อง คงไม่คิดว่าต้นฉบับของคนที่ทับอยู่บนตัวเธอมีปัญหาตรงไหน…”
“…”
ชูหลี่ยกมือขึ้นมาปิดหูด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
เจียงอวี่เฉิงหันมาด้วยท่าทางหมดคำพูด “ดูหนังอาร์ตอยู่ดีๆ นายเกิดทะลึ่งอะไรขึ้นมา”
โจ้วชวนมองชูหลี่อยู่ครู่หนึ่ง โรงหนังมืดเกินไปทำให้เขามองเห็นหน้าเธอไม่ชัด แต่เดาได้ว่าหญิงสาวคงจะหน้าแดงก่ำไปหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงตอบด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“เธอเริ่มก่อน”
ชูหลี่ไร้ข้อแก้ตัว
หนังดำเนินเรื่องไปถึงตอนที่เพอร์กินส์ได้ร่วมงานกับนักเขียนยอดนิยมคนหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลหลายประการอยู่ๆ เขาก็หยุดเขียน หนึ่งในนั้นเป็นเพราะงานที่เขียนออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ทั้งยังเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง…โจ้วชวนเปลี่ยนท่านั่ง ยิ้มอ่อนที่มุมปาก
“คุ้นๆ อยู่นะ”
เจียงอวี่เฉิงมองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
ต่อมาโทมัสที่กำลังโด่งดังได้พบกับนักเขียนที่กำลังตกอับคนนี้ และด้วยความเมาโทมัสจึงเยาะเย้ยเขาอย่างจองหองพองขน พฤติกรรมที่เลวร้ายของโทมัสทำให้ บ.ก. เพอร์กินส์ไม่พอใจอย่างยิ่ง ทั้งสองทะเลาะกันใหญ่โตในค่ำคืนอันแสนมืดมิด…ราวกับว่าจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
“โจ้วชวน ทำไมนายถึงเข้าไปอยู่ในหนังล่ะ!”
“…”
ในตอนท้ายเรื่องโทมัสและเพอร์กินส์ทำสงครามเย็นใส่กัน นิยายเล่มใหม่ของโทมัสเกือบจะเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์อื่นแล้ว แต่โทมัสกลับถือต้นฉบับนิยายมายืนอยู่ตรงหน้าเพอร์กินส์และมอบนิยายเล่มนี้ให้เขา ทั้งยังจะเขียนขอบคุณเขาในฐานะ บ.ก. ที่หน้าชื่อเรื่อง แต่เพอร์กินส์กลับปฏิเสธ
โจ้วชวนเอาแต่ถามคำถามนี้ตลอดเวลาที่ดูหนัง “ปฏิเสธทำไม กลัวดังแล้วมีปัญหาเหรอ”
“ตอนที่หนังสือเล่มนี้ขายดี งานของ บ.ก. ถือว่าจบลงแล้ว…ตั้งแต่คัดเลือกต้นฉบับ แก้ไขต้นฉบับให้สมบูรณ์ พิสูจน์อักษร ตีพิมพ์ โปรโมต วางจำหน่าย…กระบวนการทั้งหมดของการทำหนังสือเล่มหนึ่ง บ.ก. จะยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนเป็นเงา…” ชูหลี่คิดแล้วพูดต่อไป “นักเขียนคือจิตวิญญาณของหนังสือ แต่ บ.ก. เป็นเพียงเงาเท่านั้น การที่เพอร์กินส์ปฏิเสธ เพราะหนังสือมีได้เพียงแค่จิตวิญญาณเดียวไงล่ะคะ”
โจ้วชวนยืดตัวตรง จ้องมองชูหลี่อย่างเงียบงัน
“ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยถึงต้องการให้นักเขียนและ บ.ก. มาดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน…อาจารย์คะ ก็เหมือนกับที่คุณพูดเมื่อวันนั้น ในยุคที่ข่าวสารรวดเร็วแบบนี้ ทำให้เราติดต่อกันได้โดยแทบไม่ต้องมาพบหน้ากัน สำหรับนักเขียน บ.ก. ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว…” ชูหลี่พูดต่อไป “บ.ก. สมัยก่อนคงเหมือนกับเพอร์กินส์ที่จำเป็นต้องมีสายตาอันเฉียบแหลม รักสำนักพิมพ์ รู้จักหาข้อมูล และทำหนังสือออกมาให้ดีที่สุดเพื่อให้ปรากฏต่อสายตาของผู้อ่าน เหมือนกับ บ.ก. ที่ไม่มีชื่อเสียงกำลังบอกผู้คนนับหมื่นนับพันที่กำลังเดินผ่านและไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้หรือนักเขียนคนนี้ว่า ‘ฉันมีหนังสือเล่มหนึ่ง น่าอ่านมากเลย เชิญคุณลองอ่านดูนะ’ ”
…ขณะที่พูดเรื่องพวกนี้ ชูหลี่หวนนึกถึงเรื่องราวมากมาย
นึกถึงสั่วเหิงผู้ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางอุปสรรค
นึกถึงเจียงอวี่เฉิงผู้ถูกคนด่าลับหลังและหัวเราะเยาะว่า ‘ล้าหลัง’ แต่ต่อหน้ายังปากหวานก้นเปรี้ยวประจบสอพลอเขา
นึกถึงอวี๋เหยาผู้ที่จิตใจเคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับความเป็นจริงและเดินหลงทางในที่สุด
นึกถึงเหล่าเหมียวผู้พร้อมที่จะทิ้งนักเขียนตกยุคหากไม่ลงรอยกัน และมองหนังสือเป็นเหมือนกับสินค้า
แล้วก็คิดถึงตัวเอง
ข้างหูมีเสียงเจียงอวี่เฉิงหัวเราะเยาะดังขึ้นมา “พอกลับมาดูในยุคนี้ การทำหนังสือสักเล่มหนึ่งไม่ว่าเรื่องอะไรต้องนึกถึงตัวเลขไว้ก่อน แม้เนื้อหาของหนังสืออาจจะไม่ดีนัก แต่เป็นเพราะมันขายได้”
คำพูดของเจียงอวี่เฉิงแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน ขณะที่โจ้วชวนเงยหน้ามองเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“หนังสือเล่มหนึ่งพอเขียนออกมาแล้วก็มีความนิยมในตัวมันเอง ทั้งอัตราการคลิกสะสมบนช่องทางออนไลน์ จำนวนคอมเมนต์ แล้วก็ชื่อเสียงของนักเขียน…นักเขียนชื่อดัง เมื่อเริ่มเขียนก็แทบจะมีสำนักพิมพ์จำนวนมากมาต่อคิวแย่งกันเสนอราคา แต่นักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงกลับไร้คนสนใจ จะออกหนังสือเล่มหนึ่งก็ยากเย็นเหลือเกิน…” ชูหลี่คิดแล้วพูดขึ้น “จาก บ.ก. ซึ่งเป็น ‘ผู้ที่มีความสามารถในการคัดเลือกนักเขียน’ ก็กลายเป็น ‘นักธุรกิจ’ นี่คงจะเป็นความแตกต่างกันระหว่างการทำหนังสือสมัยก่อนกับตอนนี้”
“ใช่ๆ ผมเคยเห็นกับตาเลยว่า บ.ก. ของนักเขียนตกยุคคนหนึ่งพูดกับนักเขียนด้วยตัวเองว่าเนื้อเรื่องเล่มนี้ขายยาก คุณอย่าเขียนเรื่องนี้เลย ที่นิยมตอนนี้คือบลาๆๆ คุณเขียนเรื่องนั้นสิ…” โจ้วชวนมองเจียงอวี่เฉิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ในตอนนั้นนักเขียนตกยุคคนนั้นโกรธแทบบ้า แถมยังพูดประโยคอันแสนคลาสสิกออกมาว่า…”
เจียงอวี่เฉิงตอบกลับเรียบๆ “กล้าดียังไง”
“เกือบคิดว่าเจียงอวี่เฉิงถูกวิญญาณโจ้วชวนเข้าสิงซะแล้ว”
โจ้วชวนก้มหน้าหัวเราะแบบไร้เสียงพลางตบตักตัวเอง
แต่ชูหลี่กลับหัวเราะไม่ออก…
เธอเห็นเจียงอวี่เฉิงเงียบไป ขณะที่ใบหน้าของโจ้วชวนก็เต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย หญิงสาวย้อนนึกถึงวันนั้น สภาพสั่วเหิงที่นั่งก้มหน้าร้องไห้ในกอง บ.ก. นิตยสารแสงแห่งจันทรา…ชูหลี่ก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอตกลงบนพื้นและเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น
คงเป็นเพราะ บ.ก. ของนักเขียนสมัยนี้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยที่สุด…
นักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงต้องพยายามประนีประนอม
นักเขียนที่ประสบปัญหาและกำลังเข้าสู่ช่วงตกต่ำของอาชีพต้องเผชิญหน้ากับความจริง
เมื่อนักเขียนชื่อดังกำลังเปรียบเทียบความไม่เป็นธรรมที่เคยประสบพบเจอมาก่อนกับการได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นในตอนนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…
ไม่มีนักเขียนคนไหนยอมเป็นเพื่อนที่จริงใจกับ บ.ก. อย่างง่ายดายอีกแล้ว
และผลงานก็ไม่ใช่สะพานที่เชื่อมระหว่างนักเขียนกับ บ.ก. อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือยอดขาย ค่าลิขสิทธิ์ ความนิยม และการต่อรองราคาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เหมือนหนังที่กำลังฉายอยู่ตอนนี้ ทุกวันนี้สภาพแวดล้อมซึ่งเต็มไปด้วยความเร่งรีบเป็นเรื่องยากที่จะมี บ.ก. ที่คอยใช้ฐานะ ‘บ.ก.’ เป็น ‘มือจับอัจฉริยะ’ ในการค้นหาเพชรในตมมาเซอร์ไพรส์คนทั้งโลกอย่างเพอร์กินส์ปรากฏขึ้น
ตอนนี้ในจอหนังเป็นฉากที่โทมัสอยู่ในช่วงป่วยหนักก่อนสิ้นใจ เขาเขียนจดหมายสั่งเสียฉบับหนึ่งทิ้งไว้ให้เพอร์กินส์ มีทั้งความซาบซึ้ง ทอดถอนใจ และเสียดายที่ต้องห่างจากเพื่อนที่จริงใจต่อเขา เพอร์กินส์อ่านจบก็เงียบไปและเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ ในที่สุดหนังก็จบลงด้วยความเงียบเหงาที่แสนจะอึมครึม
พอหนังจบ ไฟในโรงหนังก็สว่างขึ้น
“คุณก็เลยคิดว่าตัวเองไม่ต้องการ บ.ก. แล้ว” ชูหลี่มองโจ้วชวน “ฉันเข้าใจคุณแล้วล่ะค่ะ”
โจ้วชวนหัวเราะหยัน คว้าป็อปคอร์นขึ้นมากำหนึ่ง ท่าทางดูขี้เกียจหน่อยๆ “ไม่คิดเลยว่าพอดูหนังแล้ว คนที่คิดได้จะเป็นคุณ”
พูดแล้วยกมือขึ้นตบหัวเธอเบาๆ “เอาเถอะ พิจารณาตัวเองให้ดี จากนั้นก็เผชิญหน้ากับความจริง ต่อไปก็เอาลูกไม้แบบเด็กสาวในละครสร้างแรงบันดาลใจมารบกวนผมให้น้อยๆ ลงหน่อย…”
“แต่หนังเรื่องนี้อย่างน้อยก็บอกอะไรบางอย่าง ยืนยันความจริงบางอย่าง” ชูหลี่จับมือใหญ่คู่นั้นที่ยังวางไว้บนหัวของเธอไม่ปล่อย “ถ้าก่อนหน้านี้มีคนทำได้ งั้นตอนนี้ฉันก็ทำได้”
โจ้วชวนอึ้ง
ชูหลี่ยืนขึ้น “ถ้าต้องมีใครสักคนคอยรับฟังความผิดหวังของพวกนักเขียนที่มีต่อ บ.ก. งั้นก็ให้ฉันทำเถอะค่ะ…อาจจะฟังดูอวดดีไปหน่อย แม้ว่าฉันเพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำได้ อาจารย์คะ พวกคุณให้โอกาสฉันสักครั้ง ฉันจะเอาความตั้งใจนี้สลักไว้ตรงหน้าผาก จำไว้ให้ขึ้นใจ และจะพาหนังสือของพวกคุณส่งไปถึงมือนักอ่านให้ได้…” เธอใช้มือทั้งสองคว้ามือของชายหนุ่ม บีบแรงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาอันยิ่งใหญ่ “ให้โอกาสฉันสักครั้งนะคะ”
โจ้วชวนไม่ได้หัวเราะเยาะและไม่ได้ตอบรับในทันที เขาเพียงแค่มองสองมือของหญิงสาวที่จับมือเขาเงียบๆ ด้วยสายตาเป็นประกายก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย จนกระทั่งมีน้ำเสียงหยอกล้อดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของพวกเขา…
“ถ้าคุณไม่บังคับให้ผมเขียนเรื่องอะไรมากมายที่ฮิตกันในตอนนี้” เจียงอวี่เฉิงพูด “ผมก็ยินดีที่จะร่วมงานกับคุณเป็นอย่างยิ่ง”
ชูหลี่อึ้งไปครู่หนึ่ง เธอปล่อยมือโจ้วชวนและหันกลับมา…ในตอนนี้ริมฝีปากของชายหนุ่มผู้อบอุ่นและสง่างามที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเธอยังคงประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่เปลี่ยน เขาสบตากับชูหลี่แล้วยักไหล่
“ยังไงก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ ลองดูก็ไม่เสียหายนี่นา”
คนในโรงหนังแยกย้ายกันไปบ้างแล้ว คุณป้าพนักงานทำความสะอาดถือไม้กวาดและถังขยะเดินเข้ามา
โจ้วชวนก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างเงียบเชียบและไม่แน่ใจ…ตอนที่เจียงอวี่เฉิงเลือกที่จะหยิบยื่นความเชื่อใจให้ชูหลี่ก่อน เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงหยอกล้อของอีกฝ่ายนั้น แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความตั้งใจและความคาดหวัง…
แต่ชายหนุ่มเพียงแค่กลอกตาไปมา ยืนขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าสัญญาเลย ดูที่การกระทำของคุณดีกว่า ผ่านไปหลายปีใครจะจำความตั้งใจแรกที่เคยพูดได้ อย่าว่าแต่คุณเลย ผมเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองในตอนนั้นจริงๆ แล้วเขียนนิยายเพราะอะไร”
ชายหนุ่มพูดพลางเอาถังป็อปคอร์นที่เขากินเหลืออยู่ไม่เท่าไรในอ้อมแขนยัดใส่มือชูหลี่ ขาอันเรียวยาวเดินผ่านหญิงสาวกับเจียงอวี่เฉิงไปโดยไม่หันกลับมา
เจียงอวี่เฉิงตบไหล่ บ.ก. ตัวน้อยที่มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มไปด้วยความตกตะลึงระคนใจเสียเล็กน้อย
“ขอแปลหน่อยนะ พี่ใหญ่โจ้วชวนบอกว่าเขาจะให้โอกาสคุณ”
ชูหลี่หันกลับมามองเจียงอวี่เฉิงเหมือนหมาน้อยที่น่าสงสาร
รอยยิ้มของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น “คุณต้องสู้ๆ นะ”
* จูอิน นักแสดงชาวฮ่องกง เคยได้รับการโหวตให้เป็นนักแสดงสาวในฝันของหนุ่มฮ่องกง ผลงานที่มีชื่อเสียงของเธอคือภาพยนตร์เรื่อง ไซอิ๋วเดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน ภาค 2
** หวังจู่เสียน นักแสดงชาวไต้หวัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของเธอคือ โปเยโปโลเย เย้ยฟ้าแล้วก็ท้า
*** วิคตอเรียส์ซีเคร็ต แบรนด์ชุดชั้นในสตรีและผลิตภัณฑ์ด้านความงามชื่อดังของสหรัฐอเมริกา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.