บทนำ
จงเจินขับรถวนอยู่ในสนามบินสองรอบถึงจะเห็นฉงหรงจากระยะไกล หญิงสาวกำลังเดินสบายๆ ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากประตูทางออก เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนทรงปีกค้างคาวสีขาวลายทาง คอวีกว้างปิดกระดูกช่วงบ่าสวยไว้รำไร สวมกางเกงยีนเจ็ดส่วนสีเข้มเปิดข้อเท้าเล็กๆ พาดเสื้อกันลมไว้บนแขน แม้จะนั่งเครื่องบินนานขนาดนี้ก็ยังดูสดใสกระปรี้กระเปร่า ไม่มีวี่แววอ่อนเพลียเลยสักนิด
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่ร้อน จงเจินเห็นฉงหรงแต่งตัวแบบนี้ก็รู้สึกหนาวจนตัวสั่นวูบหนึ่ง รีบจอดรถชิดขอบทางแล้วเปิดประตูรถวิ่งไปหา “สุดเท่! ผมอยู่นี่!”
ฉงหรงเดินเข้ามา ยิ้มพลางยกมือขยี้หัวจงเจินเล่น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ โจงงง…เจินนน…ไอ้น้องชาย”
จงเจินเกลียดการที่คนอื่นลากเสียงยานคางเรียกชื่อเขาที่สุด เขาขมวดคิ้วดิ้นหนีมือปีศาจของพี่สาว รีบจัดทรงผมใหม่ “ทำไมพี่ตัดผมสั้นอีกแล้ว”
ฉงหรงสะบัดผมสั้นสีน้ำตาลแดงปราดเปรียว ผู้หญิงน้อยคนที่จะไว้ผมสั้นแล้วดูดีขนาดนี้ ดูเท่เก๋ไปอีกแบบ รับกับคิ้วสวยและดวงตาสุกใส เธอเอาหมวกแก๊ปยูนิเซ็กซ์มาใส่ก่อนจะร้องโอด “เออน่า! ตอนวิดีโอคอลล์กับที่บ้านก็โดนสวดไปรอบละ อีกหน่อยก็ยาวเหมือนเดิมเองน่ะแหละ”
จงเจินหัวเราะฮ่ะๆ ช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางใส่กระโปรงท้าย หลังจากขึ้นรถแล้วก็ปั้นสีหน้าจริงจัง พูดอย่างชื่นชมว่า “แหมพี่ พี่ใจกล้าเกินไปแล้วนะ กลับจากต่างประเทศทั้งทีก็ไม่ยอมกลับบ้าน แถมยังมาที่นี่อีก”
บ้านสกุลฉงและสกุลจงเป็นครอบครัวที่มีกฎเข้มงวด สมาชิกในบ้านมากกว่าครึ่งเรียนกฎหมาย เพราะฉะนั้นเด็กๆ ในบ้านส่วนใหญ่จึงรู้จักเคารพกฎเกณฑ์ มีเพียงญาติผู้พี่ที่อายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีคนนี้ที่ทำท่าพูดรู้เรื่อง เชื่อฟังผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก แต่ชอบเลี่ยงกฎพาเขาไปเที่ยว เหมือนท้าทายกฎประจำบ้านที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรแบบไม่ได้ตั้งใจ ทุกครั้งก็รอดตัวจากการถูกลงโทษมาได้แบบสบายๆ ความรู้สึกสนุกตื่นเต้นหลังจากทำเรื่องแหกกฎนั้นตอบสนองความอยากฝ่าฝืนกฎของจงเจินเต็มเปา นานวันเข้าเจ๊ฉงหรงก็กลายเป็นเทพีอันดับหนึ่งในใจเขา มีวงแหวนสว่างไสวเป็นของตัวเอง
ฉงหรงคาดเข็มขัดนิรภัยเอียงคอมองเขา “กล้าแค่ไหนก็สู้นายไม่ได้หรอกมั้ง ตอนที่คนทั้งบ้านกำลังช่วยนายเลือกคณะ สมัครเรียนกฎหมายให้ นายกลับกล้าไปเรียนหมอ”
จงเจินเกาหัวอย่างเขินๆ “ตอนนั้นต้องขอบคุณเจ๊น่ะแหละที่ยอมช่วยผม ช่วยผมเปลี่ยนจดหมายแสดงความจำนงสมัครเรียนในวินาทีสุดท้าย”
ทุกครั้งที่จงเจินรู้สึกกลัวความผิดก็จะไม่เรียกพี่ แต่เปลี่ยนมาเรียกเจ๊ ฟังแล้วสนิทสนมมากกว่า
“เฮอะ” ฉงหรงยิ้มเจ้าเล่ห์ ในใจคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ทั้งสองคนฝ่าฝืนความต้องการของที่บ้านทำงานเข้าขากันอย่างดี ว่าไปแล้วเธอคือคนร้ายหมายเลขหนึ่ง ไอ้หนูทำไมต้องกลัวความผิดถึงขนาดนี้
จงเจินขับรถไปพลางก็ถามว่า “พี่ พี่หนีมาพึ่งผมใช่มั้ยเนี่ย”
ฉงหรงหัวเราะเบาๆ “นาย? นักศึกษาอาชีพเสี่ยงอันตรายสูงอย่างนาย แค่เลี้ยงตัวเองให้รอดนี่ก็เต็มกลืนแล้ว ฉันจะไปหวังอะไรจากนายอีก ฉันเคยเรียนปริญญาโทอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่ง นายลืมแล้วเรอะ”
จงเจินหันหน้ามามองฉงหรง รู้สึกว่าตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่ก็แปลกๆ ไป จึงลองหยั่งเชิงถาม “นี่พี่ ผมอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนั้นทำไมพี่ถึงมาเรียนโทที่นี่”
“ฉันน่ะเหรอ” ฉงหรงเอียงคอ ทำท่าคิดจริงจัง “นายรู้ใช่มั้ยว่าครอบครัวพวกเราเรียนกฎหมายกันทุกคน ฉันก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านการเรียนกฎหมายหรอกนะ แต่ที่ทนไม่ไหวคือ…ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนวิชากฎหมายก็เจอแต่คนคุ้นหน้า ตอนปีสองอาจารย์สอนกฎหมายคือคุณอา หรือก็คือแม่นาย ปีสามยิ่งแย่ใหญ่ ตกอยู่ในเงื้อมมือน้าชายน้าสาว ลำบากจะตายกว่าจะหลุดออกมาจากกรงเล็บของพวกเขาสองคน ปีสี่ตายคาที่เพราะเจอแม่แท้ๆ ของตัวเอง อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่เซ็นชื่อในวิทยานิพนธ์ตัวจบก็คือแม่นาย นายว่าน่าอึดอัดมั้ย บางครั้งคณะเชิญอาจารย์อาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยาย ไม่เป็นพ่อฉันก็พ่อนาย หรือไม่ก็เป็นลุงเป็นอาสักคน แม้แต่ตำราเรียน คนแต่งก็คือปู่ของฉันหรือตาของนาย ฉันไม่อยากเจอภาพเวลาเป็นทนายความขึ้นว่าความแบบนี้หรอกนะ ‘พ่อ พ่อดูสิ หนูหักล้างหลักฐานกับลุงรองตั้งนานแล้ว พ่อรีบตัดสินเถอะ’ ยังมีอีกนะ กะอีแค่เรื่องตัดผมสั้น ฉันยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลย ถ้าไม่รีบหนีออกจากกรงนี้ต้องถูกขังอยู่ในนั้นตลอดชาติ”
“ฮ่าๆๆๆ” จงเจินฟังแล้วก็หัวเราะ หัวเราะแล้วก็ขมวดคิ้วทันที คิดอยู่นานมากจึงนึกออก “อ๋อ มิน่าล่ะ ตอนนั้นที่พี่ยุให้ผมแอบสมัครหมอ ที่จริงจะใช้ผมเป็นหนูทดลองสินะ”
ฉงหรงมองอย่างเหยียดหยาม “ตอนนี้เพิ่งคิดออก ไม่ช้าไปแล้วเหรอ”
จงเจินสูดจมูกอย่างน่าสงสาร “พี่อ้ะ! พี่โหดมาก!”
ฉงหรงงอนิ้วชี้เคาะคอนโซลรถตรงหน้า “คนได้ประโยชน์คือนาย ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ จริงๆ แล้วเรื่องนี้คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือนาย จำเอาไว้ด้วย ตอนนั้นใครกันนะที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งมาบอกฉันว่ายอมตายดีกว่าเรียนกฎหมาย นายสมปรารถนาแล้ว ควรจะขอบคุณฉันไม่ใช่หรือไง”
จงเจินรู้ดีว่าการเถียงกับทนายความไม่ใช่เรื่องฉลาด รีบยกธงขาวยอมแพ้ เปลี่ยนมาบ่นกระปอดกระแปด “ผมขอบคุณไปตั้งนานแล้ว…แล้วก็ตอนนั้นพอเรื่องแดง ผมก็ไม่ได้ซัดทอดว่าพี่เป็นคนออกหัวคิด มิน่าล่ะ ตอนนั้นพอเรื่องที่ผมสมัครเรียนหมอสงบลง พี่ก็รีบเก็บข้าวของมาเรียนปริญญาโทที่นี่ทันที! ที่แท้พี่วางแผนไว้ก่อนแล้ว!”
ฉงหรงพยักหน้ายอมรับ “อืม ฉันวางแผนไว้ก่อนแล้ว ตอนนั้นแอบไปสมัครโท แอบไปสอบ ได้ใบตอบรับมาแล้วก็ไม่กล้าบอกใคร เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าขีดสุดของความอดทนของพวกเขาอยู่ที่ไหน ไม่มั่นใจในการปฏิวัติ พอดีกับที่นายมาทำให้ฉันรำคาญมาก ฉันก็เลย…ใช้นายเป็นคนออกหน้าไปตายแทน ต่อให้การปฏิวัติล้มเหลว อย่างมากนายก็เรียนกฎหมายไปตามแผนที่วางไว้แต่แรก ไม่ได้สูญเสียอะไร”
จงเจินถูกเธอปั่นหัวจนมึนก็เลยไม่พูดเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเรื่องถามว่า “แล้วพี่เรียนหนังสืออยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว อยู่ดีๆ ทำไมถึงไปเรียนต่างประเทศอีก”
เปลวไฟของฉงหรงมอดลงไปมาก เธอลูบปลายจมูก พูดเสียงทุ้มต่ำอยู่ในคอ “อ้อ เพราะที่นี่มีเรื่องน่ากลัว”
“แล้วตอนนี้ทำไมกลับมาอีก”
ฉงหรงลูบปลายจมูกอีกครั้ง “เพราะฉันเจอเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่า”
จงเจินงุนงง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไร แถมสีหน้ายังดูเศร้าสร้อยอีกด้วย
ปีนั้นฉงหรงตั้งใจปกปิดทางบ้านมาสอบเรียนปริญญาโทที่นี่ ต่อมาได้รู้จักหลินเฉิน รุ่นพี่คณะเดียวกัน หลินเฉินคนนี้หน้าตาดี มาดดี นิสัยดี และเป็นคนเก่ง มีออร่าเจิดจ้าเป็นของตัวเองตั้งแต่เกิด ดูแลรุ่นน้องอย่างเธอดีมาก
ความจริงเธอกับหลินเฉินไม่ควรจัดเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ตามหลักแล้วเธอกับหลินเฉินมีศักดิ์คนละรุ่นกัน อาจารย์ที่ปรึกษาของหลินเฉินเป็นอาจารย์ระดับอาวุโสในวงการ หลินเฉินเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา ในขณะที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอเป็นนักเรียนของอาจารย์ระดับอาวุโสคนนั้น ตามหลักแล้วเธอควรเรียกหลินเฉินเป็นอาจารย์อา เพียงแต่ว่าถ้าเรียกแบบนั้นฟังดูอิหลักอิเหลื่อเอาการ พวกเขาจึงเรียกกันง่ายๆ ว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง
ตอนนั้นเกมแนวต่อสู้แบบกลุ่มกำลังได้รับความนิยม ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเล่น แต่ฉงหรงกลับชอบ หลินเฉินจึงดึงเธอเข้าร่วมกลุ่มคนเล่นเกม นอกจากพวกผู้ชายในคณะที่เธอรู้จักแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งคน ว่ากันว่าเป็นเพื่อนของหลินเฉิน ชื่อเวินเซ่าชิง เขาอยู่ต่างประเทศและเล่นเกมเก่งมาก
พอล็อกอินเข้าเกมแล้วก็แอดเป็นเพื่อน ฉงหรงจึงรู้ว่าเวินเซ่าชิงเป็นใคร หรือควรจะบอกว่าความจริงแล้วคนผู้นี้ชื่อเวินเซ่าชิง
ตอนที่ฉงหรงเจอเวินเซ่าชิงครั้งแรกยังไม่รู้ว่าเขาชื่อเวินเซ่าชิง ตอนนั้นเธอกำลังเรียนปริญญาตรี เกมนี้เพิ่งเป็นที่นิยม เธอลากลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างจงเจินมาผลาญเวลามากมายไปกับเกม เล่นไปนานๆ เข้าย่อมเจอเรื่องราวหรือคนที่น่าสนใจ ในความเห็นของฉงหรง คนคนนั้น ‘เป็นทั้งศัตรู เป็นทั้งเพื่อน’
ฉงหรงเชื่อมั่นว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านเกม ช่วงที่เจอเวินเซ่าชิงเธอกำลังเข้าฟอร์ม อยู่ในช่วงที่แกล้งๆ อยากแพ้ ดังนั้นเมื่อเวินเซ่าชิงโผล่มาจึงสมใจเธอ
ช่วงที่เธอยกกิลด์* ไปตีกับเวินเซ่าชิง เป็นครั้งแรกที่เธอแพ้ แต่เป็นการแพ้แบบยินยอมพร้อมใจ
คนในเกมมีจำนวนมาก กว่าครึ่งเจอกันช่วงสั้นๆ วันนี้เข้ากลุ่มกับคุณ วันพรุ่งนี้ก็ไปเข้ากับกลุ่มอื่น ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ แล้วแต่พรหมลิขิต เรื่องที่เกิดขึ้นจริงพิสูจน์แล้วว่าทั้งสองคนมีพรหมลิขิตที่ดุดันมาก
แรกๆ ฉงหรงก็ไม่คิดอะไรมาก แต่ทุกครั้งที่เธอคิดว่าน่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว เขาก็จะมาปรากฏตัวในห้องเดียวกับเธอ การที่ได้เจอเขาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ก้นบึ้งของหัวใจบังเกิดความผูกพันโดยไม่รู้ตัว
คนคนนั้นเล่นเกมเก่งมาก เทคนิคกับการวางแผนเหนือชั้นกว่าคนอื่น ช่วงกิลด์วอร์หรือการยกพวกตีกันก็ประสานงานกับคนอื่นๆ ได้ดี การวางตำแหน่งเล่นงานชาวบ้าน ‘เฉียบคม’ ชนิดหาตัวจับยาก เกมนี้ระบบจะกำหนดให้เองว่าจะได้เป็นสหายหรือศัตรู ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นศัตรูกัน เวลาเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้เธอแค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เวลาเป็นสหายร่วมทีมก็รู้สึกวางใจเพราะเขาพึ่งพาได้
ครั้งหนึ่งเธอพบโดยบังเอิญว่าเขาโพสต์คลิปแนะนำเทคนิคในเว็บบอร์ดเกม เสียงใช้แอพพลิเคชั่นแปลงเสียงและพูดอย่างระมัดระวัง ส่วนใหญ่เป็นคลิปการเล่น เล่นไปพร้อมกับบรรยายเกมไปด้วย เขาสามารถแบ่งสมาธิทำสองอย่างพร้อมกันได้อย่างเชี่ยวชาญ ช่วงว่างๆ เธอจะเปิดดูคลิปพวกนี้ พอดูมากเข้า แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เส้นประสาทหยาบอย่างจงเจินก็ยังพบเห็นเรื่องแปลกๆ ด้วย เลยช่วยเธอสังเกต
‘พี่ๆ คนนั้นโพสต์คลิปแคสต์เกมอีกแล้ว! พี่ดูแล้วหรือยัง’
‘ส่งลิงก์มาซิ เออ นายน่ะใกล้สอบเข้ามหา’ลัยแล้วนะ ถ้าฉันเห็นนายออนไลน์เข้าเกมอีก ฉันจะลบแอ็กเคานต์นายซะ’
‘อย่านะ! ช่วงก่อนสอบเข้าผมจะไม่เข้าเกมอีก พี่ห้ามลบแอ็กเคานต์ผมนะ!’
ปีที่จงเจินสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉงหรงกำลังวางแผนปิดบังทางบ้านไปสอบปริญญาโท เพราะเหตุนี้ปีนั้นเธอจึงแทบไม่ได้แตะต้องเกมนั้นเลย ค่อยๆ ลืมคนที่ ‘เป็นทั้งศัตรู เป็นทั้งเพื่อน’ ในเกมคนนั้นไป
แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้เธอกับเขาจะได้พบกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ แถมยังได้รู้ชื่อของเขาอีกด้วย
เกมนั้นเธอกับเขายังเป็นศัตรูกัน ไอดีที่คุ้นตา เทคนิคการวางแผนที่คุ้นเคย ฉงหรงรู้สึกว่าความรู้สึกดีๆ ในใจที่ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลากลับมาลุกโชนอีกครั้ง
พอจบเกม อยู่ดีๆ เวินเซ่าชิงก็ถามเธอว่า ‘พวกเราเคยเจอกันมาก่อนใช่มั้ย ในเกม?’
ฉงหรงคิดไม่ถึงว่าเขาจะเซ้นส์ดีขนาดนี้ รีบตอบว่า ‘ไม่เคย’
ไม่เคยจริงๆ ครั้งแรกที่อยู่ทีมเดียวกันเธอใช้แอ็กเคานต์ของจงเจิน เมื่อเธอเริ่มเล็งเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เขารู้ตัวจึงใช้แอ็กเคานต์ของจงเจินทุกครั้ง ดูแค่ไอดี เขาไม่น่าจะจำเธอได้ นอกจากว่า…เขาก็เคยสนใจเธอ? จึงจำเทคนิคการเล่นของเธอได้
เล่นทีมเดียวกันร่วมต่อสู้กันไม่นานก็เริ่มสนิทกัน เมื่อต่างฝ่ายเล่นด้วยกันในทีมจนคุ้นแล้วก็ต่างรู้สึกว่าเวินเซ่าชิง สมาชิกทีมที่ไม่เคยเจอหน้ากันในโลกแห่งความเป็นจริงคนนี้เป็นคนน่าสนใจมาก ขณะที่เวินเซ่าชิงก็มักมีคำพูดเด็ดๆ ทำให้พวกเขาอึ้งทึ่งอยู่บ่อยๆ
มีคนนัดออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน เขาก็ตอบว่า ‘คืนนี้รับปากบอสแล้วว่าจะไปคุมสถานที่ให้ ออกไปเที่ยวไม่ได้’
เล่นไปได้ช่วงหนึ่งก็ออฟไลน์ไปเฉยๆ บอกเพียงว่า ‘มีเหตุฉุกเฉิน นายเรียกไปเจาะหัวคน’ คนอื่นถามเขาว่ากำลังทำอะไร ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เขาจึงตอบว่า ‘กำลังซักผ้า วันนี้เปื้อนเลือดตอนทำงาน’
คนอื่นชมเขาว่าเทคนิคดี เขาก็บอกว่า ‘คงเกี่ยวกับอาชีพน่ะนะ นิ้วมือทำงานคล่อง ใช้มีดบ่อย ฝึกจนชำนาญละ’
ช่วงที่เวินเซ่าชิงไม่อยู่ คนในทีมจะถามหลินเฉินว่า ‘ยอดฝีมือคนนี้ทำงานอะไรกันแน่’
หลินเฉินเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ ทุกคนก็ได้แต่งงต่อไป
นานวันเข้าฉงหรงก็เริ่มสงสัย แม้จะรู้สึกว่าแปลกมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยั่งเชิงถามหลินเฉิน ‘คนที่ชื่อเวินเซ่าชิงคงไม่ใช่แก๊งมาเฟียต่างชาติอย่างที่พวกเขาลือกันจริงๆ ใช่ไหม’
ความจริงเธอไม่ได้มีเจตนาดูถูกอะไร อาชีพทนายความปกติก็อยู่ระหว่างสีขาวกับสีเทาอยู่แล้ว คนที่รู้จักจะมีเบื้องหลังซับซ้อนหน่อยก็ไม่เป็นไร
คำตอบของหลินเฉินมาแนวคลุมเครือ ‘แล้วเธอเห็นว่าไงล่ะ’ ฉงหรงรู้สึกไร้สาระเลยไม่ถามอีก
จนถึงปีนั้น ปีที่เธอได้เจอตัวจริงของเขา
ฉงหรงเรียนนิติศาสตร์ คนที่เรียนกฎหมายส่วนใหญ่จะมีเหตุผล เยือกเย็น ควบคุมอารมณ์ได้ดี สำหรับเธอแล้วเกมก็คือเกม ถูกกั้นออกจากโลกแห่งความจริงด้วยกำแพงมิติ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอเวินเซ่าชิงตัวจริง เรื่องนี้ต้องขอบคุณหลินเฉิน
ฉงหรงไม่เคยถามหลินเฉินว่าถ้าตอนนั้นเขาสามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องอะไร ยังจะแนะนำให้เธอรู้จักกับเวินเซ่าชิงหรือไม่
ตอนที่เธอพบกับเวินเซ่าชิงครั้งแรกก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่งแบบนี้ ดอกไม้บานทั่วเมือง แสงอาทิตย์กับสายลมอบอุ่นอ่อนโยน เมฆขาวลอยอย่างเกียจคร้านเหนือศีรษะ คนคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างเรียบง่าย
หลินเฉินเชิญทุกคนไปกินข้าวที่บ้าน เป็นบ้านที่เขาเช่าอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย พอดีกับที่วันนั้นเธอมีเรียน หลังเลิกเรียนก็รีบตามไป
ระหว่างรอลิฟต์ที่ชั้นล่างของบ้านหลินเฉินมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาสวมเสื้อขาวกางเกงเทาเรียบง่าย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า มืออีกข้างถือถุงอาหารที่ดูไม่ค่อยเข้ากันอีกหลายถุง แต่ไม่มีความรู้สึกแปลกแยกแม้แต่น้อย ท่วงท่าผ่อนคลาย
เรียนกฎหมายมานาน ฉงหรงชอบฝึกฝนตัวเองเรื่องการตื่นตัวต่อทุกสิ่งในสภาพแวดล้อมด้วยท่าทีแบบไม่ได้ตั้งใจ นานๆ เข้าก็เลยกลายเป็นโรคที่เกิดจากการทำงาน ชอบเจาะลึกถึงรายละเอียด
เธอแกล้งทำเป็นเดินไปเดินมาเหมือนไม่มีเจตนา ก่อนจะหยุดอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่ทางด้านขวาข้างหลังผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็จ้องมอง พิจารณาเขาอย่างเปิดเผย
ชายหนุ่มหลุบตาเล็กน้อย จ้องหน้าจอแสดงหมายเลขชั้น ตัวเลขหยุดนิ่งอยู่นานมาก เขาก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนใจ เธอสังเกตเห็นว่านิ้วมือที่หิ้วถุงอาหารพวกนั้นเรียวยาวสะอาด เล็บมือดูสุขภาพดี แล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดรับสาย
‘ซื้อแล้ว กำลังรอลิฟต์อยู่ชั้นล่าง เดี๋ยวก็ขึ้นไปละ’
น้ำเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ดึงดูด บวกกับความสุภาพอ่อนโยนเล็กน้อย ฉงหรงเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขา ใบหน้าด้านข้างเข้ากันกับน้ำเสียง ผิวขาวละเอียด โครงหน้าที่สง่าผ่าเผยดูอ่อนโยนมากแม้มองไม่เห็นคิ้วกับตา เห็นเพียงแสงลอดผ่านขนคิ้วเล็กๆ ดกดำปรากฏเป็นแสงเงาจางๆ
ประตูลิฟต์เปิดออก เขาเดินไปด้านหน้าก่อนหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือกันประตูลิฟต์ เอียงตัวเล็กน้อยหันหน้ามองมาทางเธอ
ตอนนี้ฉงหรงจึงเห็นใบหน้าเขาตรงๆ ทั้งคิ้วทั้งตาดูดี ดีแบบไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ผู้ชายน้อยคนที่จะมีหน้าตาแบบนี้ ท่าทางสะอาด แต่ดึงดูดใจ…เป็นพิเศษ
ฉงหรงค้างนิ่ง เขาจึงส่งสัญญาณให้เธอเข้าลิฟต์ก่อน เธอยืนงงครู่หนึ่งก่อนจะรีบเดินเข้าลิฟต์แล้วกดเลขชั้น
ผู้ชายคนนั้นเดินตามเข้ามา มองแวบหนึ่งแต่ไม่กดเลขชั้น ฉงหรงอดไม่ไหวต้องเหลือบมองเขา ก่อนจะผินหน้ากลับคล้ายไม่คิดอะไร ชั้นเดียวกันหรือ
เมื่อมาถึงจุดหมายฉงหรงก็เดินออกจากลิฟต์ และรู้ว่ามีคนเดินตามมาด้านหลัง เธอหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง เสียงฝีเท้าที่ด้านหลังก็หยุดตามไปด้วย
‘แค่ซื้อของกินทำไมนานจัง’ หลินเฉินเปิดประตูพร้อมกับบ่น แต่พอเห็นฉงหรงก็หยุดชะงักทันที หัวเราะพลางอธิบาย ‘…ผมไม่ได้ว่าคุณนะ’
ฉงหรงหันหน้าไปมองผู้ชายที่ด้านหลัง ไม่ได้ว่าฉัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องว่าเขาสินะ
หลังจากทั้งสองคนเข้าไปในห้องแล้ว หลินเฉินก็หัวเราะหึๆ แตะบ่าผู้ชายคนนั้นพร้อมแนะนำให้ทุกคนรู้จักว่า ‘เวินเซ่าชิง เพื่อนซี้ของผมเอง รู้จักกันมาหลายปีแล้ว’
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
เขาก็คือเวินเซ่าชิงหรือนี่…
นี่คือเวินเซ่าชิง คนที่ได้ยินแต่ชื่อไม่เคยได้เจอตัวจริง รู้จักมาตั้งนานในที่สุดก็ได้เจอตัวเป็นๆ…
คิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นคนร่างยักษ์กำยำกล้ามใหญ่ ที่แท้เวินเซ่าชิงรูปร่างหน้าตาแบบนี้นี่เอง เวลาอยู่ในเกมเขาดุร้ายดุเดือดมาก ภาพตัดกันรุนแรงเกินไปแล้ว!
ฉงหรงก็อดใจไม่ไหวต้องพินิจพิจารณาเขาอย่างละเอียด ผู้ชายคนนี้หน้าตาดี ท่าทางสุภาพมีความรู้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนพวกแก๊งมาเฟีย
หลังจากหลินเฉินเห็นหน้าตาประหลาดใจของแต่ละคนแล้วก็ยังกลั้นหัวเราะ แนะนำเพิ่มอีก “เรียนหมอ ปริญญาตรีก็เรียนที่ ม. พวกเรา ตอนนี้เรียนเมืองนอก แต่ว่าอย่าว่าอะไรไป วงการของพวกเขาคล้ายกับแก๊งมาเฟีย เป็นอาชีพที่ความเสี่ยงสูงพอๆ กัน”
มีคนเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความจริงเขาเป็นนักศึกษาแพทย์นี่เอง แบบนี้ก็เดาได้ละ ที่บอกว่าไปคุมสถานที่ก็คงหมายความว่าไปโรงพยาบาลสินะ เจาะหัวคนก็คงหมายความว่าผ่าตัดสมอง ตอนทำงานเปื้อนเลือดก็ใช่ เรื่องถือมีดเป็นเรื่องธรรมดาของนักศึกษาแพทย์
เวินเซ่าชิงมองพวกเพื่อนๆ ร้องฮือฮา แล้วก็สบตากับหลินเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก ฉงหรงกลับอ่านนิสัยชั่วร้ายของเขาออกได้อย่างว่องไว
ทุกคนพากันไปนั่งคุยที่ห้องรับแขก เหลือเวินเซ่าชิงเข้าครัวคนเดียวไปเตรียมอาหารกลางวัน
ในฐานะที่ฉงหรงเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มจึงไปยืนที่ประตูห้องครัว เป็นผู้ช่วยเชิงสัญลักษณ์ พร้อมกับถือโอกาสสังเกตเวินเซ่าชิงต่ออีก
คนที่เคยอยู่ต่างประเทศมักจะทำอาหารเก่ง ท่าทางของเขาคล่องแคล่วมาก โดยเฉพาะเทคนิคการใช้มีดอันเยี่ยมยอด
ฉงหรงอดไม่ได้ นึกชมในใจ ไม่เสียทีที่เป็นคนฆ่าสัตว์มืออาชีพนะ…ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนที่ผูกอยู่ด้านหน้า ‘คนฆ่าสัตว์มืออาชีพ’…ก็เข้ากันดีชะมัด
เวินเซ่าชิงรีบทำอาหารหนึ่งชุดส่งขึ้นโต๊ะก่อน ทั้งหมดเป็นอาหารแบบง่ายๆ ไม่มีอาหารเปิบพิสดารชื่อแปลกอะไรแต่อร่อยมาก ทุกคนแย่งกันกินจนหมดอย่างรวดเร็ว
ทุกคนย้ายมากินผลไม้หลังอาหารที่ห้องรับแขกต่อ แต่ฉงหรงแยกมายืนเงียบๆ อยู่นอกห้องครัว มองดูผู้ชายที่ห่างจากเธอเพียงประตูกระจกกั้น แขนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดม้วนขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบ เผยให้เห็นแขนแข็งแรง เขาล้างจานเสร็จแล้วก็เช็ดคราบน้ำมันรอบๆ เตาต่ออีก
ตลอดขั้นตอนทำอย่างจริงจังมีสมาธิจดจ่อ ฉงหรงไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกับเธอคนนี้ถึงมีสมาธิทำเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญแบบนี้ได้
สายลมบางเบาพัดผ่านหน้าต่างห้องครัวที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง พัดชายเสื้อของเธอกับเขาให้พลิ้วไหวไปเล็กน้อย
เขาเช็ดนานแค่ไหน ฉงหรงก็ดูนานเท่านั้น จากนั้นเขาก็ล้างมือ ปลดผ้ากันเปื้อนแล้วพับวางไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย คลายแขนเสื้อลงพร้อมกับเงยหน้ามองมาทางเธอ จากนั้นอยู่ดีๆ ก็หัวเราะ
‘ฉงหรง พวกเราเคยเจอกันมาก่อนในเกม’ เขาพูดอย่างมั่นใจ
ฉงหรงตื่นเต้นทันที เธอเดาว่าเมื่อครู่เวินเซ่าชิงต้องปล่อยหนอนปีศาจไว้ในอาหารอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน พอพบหน้ากันครั้งแรกทำไมถึงทำให้เธอรู้สึกดีๆ ได้
ดวงตาเขามีรอยยิ้ม ในรอยยิ้มมีความอบอุ่น ในความอบอุ่นมีสายลมฤดูใบไม้ผลิ ในสายลมเธอได้ยินเสียงหัวใจหวั่นไหว
วันนั้นส่วนลึกของความทรงจำของฉงหรงจดจารเพียงรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจสั่นสะท้าน ส่งผลให้เวลาต่อมาไม่นานเมื่อหลินเฉินบอกรักเธอแบบอ้อมๆ เธอถึงกับเหมือนมีผีผลักให้ตอบไปว่าเธอไม่ชอบทนายความ
‘ถ้าอย่างนั้นคุณชอบอะไร’ หลินเฉินถามตรงๆ
ฉงหรงจำได้ว่าคำตอบของเธอคือเธอชอบหมอ
ในโลกนี้มีหมอมากมาย แต่หลินเฉินก็เข้าใจได้ทันที
ที่น่าขันคือตอนนั้นเวินเซ่าชิงกลับไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตั้งนานแล้ว เธอกับเวินเซ่าชิงพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มีเพียงการทักทายทั่วๆ ไป ไม่ได้พูดคุยลึกซึ้งแม้แต่น้อย แม้เวลาอยู่ในเกม ส่วนใหญ่ก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ทำไมเธอจึงพูดคำว่าชอบออกไปง่ายๆ แบบนั้นกันนะ
นับแต่โบราณมาเพื่อนสนิทกับผู้หญิงหนีไม่พ้นเรื่องรักสามเส้าเหมือนละครน้ำเน่า ดังนั้นเวินเซ่าชิงจึงถูกสารภาพรักโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต่อจากนั้นก็เริ่มมีปัญหากับหลินเฉินโดยไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน
ฉงหรงรู้ตัวดีว่าเธอก่อเรื่องใหญ่แล้ว ยังเรียนปริญญาโทไม่จบก็ขอโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนหนีไปต่างประเทศ เพราะกลัวว่าถ้าเวินเซ่าชิงรู้ความจริงเข้าจะมาคาดคั้นเอากับเธอ ไม่แน่ว่าอาจมีบทลงโทษด้วยก็เป็นได้
เธอรู้แต่ว่าเขาสนิทกับหลินเฉินมาก การประสานงานกันในเกมดีจนไม่ใช่เพื่อนธรรมดาจะทำได้ รวมถึงประโยคที่หลินเฉินเคยพูดว่าเป็น ‘เพื่อนซี้ที่คบกันมาหลายปีแล้ว’ จริงๆ แล้วสนิทถึงระดับไหนกันนะ
โชคดีที่ไม่มีใครมาคาดคั้นเอาเรื่องกับเธอ หลายปีนี้เธอถึงขั้นไม่กล้าติดต่อกับหลินเฉิน เธอไม่กล้ารับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ต่างประเทศหลายปี ในหัวยังเห็นภาพวันที่พบหน้าเวินเซ่าชิงครั้งแรกอยู่เป็นระยะ ผู้ชายที่มีออร่านักวิชาการแต่แฝงความเฮี้ยวเล็กๆ คิดถึงวันที่พบเขาครั้งแรก คล้ายว่าในอากาศยังมีกลิ่นอายของแสงอาทิตย์ในวันนั้นหลงเหลืออยู่ ป่ายามฤดูใบไม้ผลิบุปผาตระการ อาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นใจ สายลมฤดูใบไม้ผลิเปี่ยมรัก พัดพาเสื้อผ้าอาภรณ์พลิ้วไหว
ฉงหรงรู้ว่าที่สายลมฤดูใบไม้ผลิวันนั้นโชยพัดไม่ใช่เพียงชายเสื้อของเธอ แต่ยังมีหัวใจของเธอด้วย
อาทิตย์อบอุ่นสายลมกระจ่างขับความหนาว ใบหลิวแทงยอด ดอกเหมยแย้มกลีบบาน รับรู้ถึงหัวใจรักหวั่นไหว
จงเจินรอนานมาก ฉงหรงก็ยังไม่เอ่ยปาก เขาอาศัยช่วงรอไฟเขียวหันหน้าไปมอง
“พี่?”
ฉงหรงได้สติ ทำท่าตั้งใจดูรถคันที่นั่งอยู่ “รถคันนี้ไม่เลวนะ ยืมใครมา”
จงเจินหน้าบานทันที “ไม่เลวใช่มะ ผมก็ชอบ รถบอสของผมเอง”
จงเจินกำลังเรียนปริญญาโทที่วิทยาลัยแพทย์ ฉงหรงคิดในใจว่าคนที่สอนระดับปริญญาโทได้ อายุคงไม่น้อยแล้วกระมัง
“คนแก่ยุคนี้ชอบรถสไตล์นี้กันแล้วหรือ”
จงเจินได้ยินก็รีบแก้ให้ว่า “ไม่ใช่คนแก่! เป็นศาสตราจารย์วัยหนุ่มนะเออ! อายุมากกว่าพี่ไม่กี่ปีเอง ยังหนุ่มแล้วก็หล่อด้วย เชี่ยวชาญสาขาเฉพาะทางมาก เทคนิคการใช้มีดผ่าตัดก็ยอดเยี่ยม แล้วที่สำคัญที่สุดนะ เขาฮอตมาก! เขาเรียนวิทยาลัยแพทย์ที่อเมริกา นี่ พี่รู้มั้ยว่าวิทยาลัยแพทย์ของอเมริกาสอบเข้ายากที่สุด”
ฉงหรงฟังแล้วสะดุ้ง เพราะเหมือนกับใครคนหนึ่งที่เธอรู้จัก คนนั้นก็สามารถสอบเข้าวิทยาลัยที่ดีที่สุดของอเมริกาเหนือได้ เรียนสาขาเฉพาะทางที่สอบเข้ายากที่สุดด้วย
จงเจินยกมือโบกไปมาด้านหน้าเธอ “พี่? พี่! พี่กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ”
ฉงหรงได้สติ “อ้อ กำลังคิดว่าคนเก่งขนาดนี้ทำไมถึงยอมรับนายเป็นนักเรียน”
จงเจินกระทืบเท้ารัวๆ ทันที “อาเจ๊!”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ” ฉงหรงรีบปั้นหน้าจริงจัง “ที่จริงกำลังคิดว่า…นายมีบุญวาสนาอะไรระดับไหน ถึงสอบเข้าเรียนโทกับคนแบบนี้ได้”
“…” จงเจินตัดสินใจแล้วว่าตลอดทางต่อไปนี้จะไม่คุยกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้อีก
ฉงหรงยิ้มมองจงเจินซึ่งกำลังงอนตุ๊บป่อง ยีหัวน้องชายเบาๆ อีกครั้งแล้วหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
ในที่สุดไอ้หนูที่เอาแต่พูดจ้อก็เงียบได้เสียที ฉงหรงตั้งใจว่าจะไม่ล้อเขาอีกแล้ว เธอแค่ต้องการให้เขาหยุดพูด เพราะว่าอยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกว้าวุ่นใจ
วินาทีที่จงเจินพูดถึงศาสตราจารย์คนนั้น เธอกลับคิดถึงเวินเซ่าชิง ถ้าเวินเซ่าชิงขยันหน่อย อายุขนาดนี้ได้เป็นศาสตราจารย์ก็มีความเป็นไปได้
ฉงหรงเปิดหน้าต่าง ลมพัดเข้ามาปะทะหน้าทำให้สมองแจ่มใสขึ้นบ้าง มีคำกล่าวว่าช่วงหนุ่มสาวไม่ควรพบพานเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เกินไป เป็นคำพูดที่มีเหตุผลมาก
เพียงแต่ว่าตอนนั้นฉงหรงไม่รู้ว่าออร่านักวิชาการบนตัวเวินเซ่าชิงได้มาจากการที่ตอนเด็กซนและดื้อมาก ถูกทำโทษให้ใช้พู่กันคัดตำรา ‘เปิ่นเฉ่ากังมู่’ หรือ ‘เชียนจินฟาง’ บวกกับการแช่ยาจีนอีกกองใหญ่ ส่วนท่วงท่าโอ่อ่าสง่างามเอย อ่อนน้อมถ่อมตนเอย สุภาพอ่อนโยนเอย อะไรพวกนี้ทั้งหมดก็แค่ใช้ขู่คนอื่นเล่นๆ เท่านั้น
วันเวลาต่อจากนี้ไป เธอจะมีประสบการณ์ตรงอย่างลึกซึ้ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ต.ต. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.