X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน อี๋เหนียงห้าขององค์หญิง บทที่ 9-บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 9

จือจือเอาไข่มุกที่ได้มาส่องกับเทียนพิจารณาโดยละเอียด

ดูแล้วก็เป็นไข่มุกธรรมดาๆ เม็ดหนึ่ง ทว่าสัณฐานค่อนข้างกลมเกลี้ยง ยกขึ้นดมก็ไม่ได้กลิ่นอะไร จือจือไม่รู้ว่าไข่มุกเม็ดนี้ราคาเท่าไร แค่กลัวว่าบิดาจะถูกหลอกมา

นางใช้เชือกแดงร้อยไข่มุกพันรอบข้อมือต่างสายสร้อย หลังจากใส่สร้อยเส้นนี้นอนอยู่หลายคืนก็ไม่เห็นว่าจะวิเศษตรงที่ใด เพียงแต่พี่เสิ่นไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย

จือจือเกรงว่าไข่มุกจะมีฤทธิ์ป้องกันสิ่งอัปมงคล จึงลองถอดออกหนึ่งวันหนึ่งคืน ทว่าก็ยังไม่เห็นพี่เสิ่น วิญญาณล่องลอยตนนี้อุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส ไม่แน่ว่าอาจจะไปหาอะไรสนุกๆ ที่อื่นแล้วก็ได้

 

ปีใหม่มาถึงโดยไม่รู้ตัว ในคืนสิ้นปีจือจือดื่มสุราไปเล็กน้อย แล้วล้มตัวนอนหลับไปบนเตียงด้วยความเมา ก่อนหลับไปนางได้ยินเสียงบิดาลงกลอนประตู ระยะนี้…ไม่สิ นับตั้งแต่ที่จือจือบอกว่ามีชายที่ต้องใจอยู่แล้ว บิดาก็ระมัดระวังเป็นพิเศษ กลัวว่านางจะถูกคนนอกเห็น

เด็กสาวนอนหัวเราะอยู่บนเตียง ความคิดของท่านพ่อช่างซับซ้อนเกินความเข้าใจยิ่งนัก เป็นคนเร่งรัดให้นางออกเรือนแท้ๆ แต่กลับคอยป้องกันคนนอกเสียเอง

จือจือไม่เข้าใจหัวอกบิดา อยากให้บุตรสาวตนเองแต่งงานไปกับคนดีๆ ก็เรื่องหนึ่ง แต่การได้รู้ว่าผักกาดที่ตนประคบประหงมเลี้ยงมาอย่างยากลำบากมีหมูที่พึงใจอยู่แล้วเงียบๆ นั้น เป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้

เจ้าหมูตัวนั้นได้ใจบุตรสาวสุดที่รักของเขาไปตั้งแต่เมื่อไร

เจ้าหมูตัวนั้นเป็นใคร

เจ้าหมูตัวนั้นได้ใช้คารมคำหวานหลอกล่อบุตรสาวของเขาหรือไม่

 

จือจือนอนหลับสบาย ตอนเช้าจึงตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นมาก

ช่วงวันแรกๆ ของปี บ้านใกล้เรือนเคียงมักไปเยี่ยมเยียนทักทายกัน คนที่มีอาวุโสมากที่สุดในบ้านนี้คือหลินผู้พ่อ ดังนั้นสามคนพ่อลูกจึงตระเวนเยี่ยมเพื่อนบ้านในวันที่หนึ่ง

บ้านแรกที่ไปเยี่ยมเยียนคือบ้านของเซี่ยงชิงจวี

แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่หลินผู้พ่อระลึกถึงความช่วยเหลือที่บ้านสกุลหลินได้รับจากสองสามีภรรยาในอดีต จึงมักจะมาคารวะทักทายในวันที่หนึ่งของทุกปี

ชาติก่อนจือจือก็ตามมาด้วย แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน

นางส่องกระจกสำริดอยู่เป็นนานสองนาน

วันนี้นางสวมเสื้อนวมสีแดงเข้มกับกระโปรงสีแดงที่ดูสีอ่อนกว่าเล็กน้อย เกล้าผมทรงดอกกุ้ยระย้าแล้วปักปิ่นเงินรูปดอกกุ้ยสองอัน

นางมีเครื่องประดับไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นของซึ่งมารดาที่จากไปแล้วทิ้งไว้ให้ บางครั้งท่านพ่อหาเงินมาได้ก็จะซื้อให้นางบ้าง แต่ไม่ใช่ของแพงอะไร อย่างปิ่นเงินที่นางปักวันนี้ก็ทำจากเงินเนื้อธรรมดาๆ ดีตรงที่สวยเท่านั้นเอง จือจือส่องกระจกพลางพึมพำว่า “ดูแล้วเล็กไปหน่อยหรือไม่นะ แต่ท่าทางคราวก่อนที่ข้าแต่งตัวจะไม่ถูกใจคุณชายหลิน”

“พี่ใหญ่ เสร็จหรือยัง” เสียงของหลินหยวนดังขึ้นตรงหน้าประตู

จือจือขานรับ “จะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

นางมองปิ่นเงินบนศีรษะอย่างสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ก็ดึงออก หากอีกฝ่ายดูรู้ว่าเป็นของไร้ราคาค่างวดจะดูถูกนางหรือไม่ เช่นนั้นเอาออกดีกว่า

พอเห็นพี่สาวเดินออกจากห้อง หลินหยวนก็ชมเปาะ “วันนี้พี่ใหญ่งามจริงๆ” เขาพูดพลางเดินวนรอบจือจือสองรอบ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงไม่มีเครื่องประดับผมเลยเล่า”

นางใช้นิ้วจิ้มหว่างคิ้วเด็กชาย “ตาดีจริงนะ วันนี้พี่ไม่อยากประดับ”

หลินหยวนหัวเราะคิก “ไปๆๆ ท่านพ่อรออยู่หน้าบ้านแล้วล่ะ คราวก่อนพี่เซี่ยงมาดื่มชาบ้านเราไปตั้งมากมาย วันนี้ข้าจะไปกินขนมบ้านเขาให้เกลี้ยงเลย”

 

หน้าประตูบ้านสกุลเซี่ยง

เนื่องจากเป็นเทศกาลปีใหม่ สกุลเซี่ยงจึงปิดกลอนคู่ไว้ที่หน้าประตูเช่นกัน ดูจากฝีแปรงที่เขียน เป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นลายมือเซี่ยงชิงจวีเอง

หลินผู้พ่อเพิ่งจะก้าวเข้าไปเคาะประตู คนข้างในก็เปิดรับ

“ท่านลุงหลิน”

วันนี้เซี่ยงชิงจวีมาเปิดประตูด้วยตนเอง

จือจือเบิกตากว้าง จากนั้นนางก็เม้มปากพลางถอยไปข้างหลังเล็กน้อย ใบหน้าก้มต่ำ หลังจากแยกกันในร้านชาวันนั้น นางก็เพิ่งได้พบเขาเป็นครั้งแรก คราวก่อนเขาดุดันใส่นางอย่างกับอะไรดี

“เสี่ยวหยวน” เสียงของเจ้าบ้านสะดุดลงเล็กน้อย “แม่นางหลินก็มาด้วยเช่นกัน”

จือจือก้มหน้างุด รู้สึกหดหู่ทดท้อขึ้นมาทันควัน

ขนาดน้องชายนาง เขายังเรียกว่า ‘เสี่ยวหยวน’ ทีกับนางดันเรียกว่า ‘แม่นางหลิน’ อย่างแห้งแล้ง อีกทั้งยังใช้คำว่า ‘ก็มาด้วยเช่นกัน’ ไม่ต้อนรับนางหรืออย่างไร จือจือลูบคลำไข่มุกที่สวมอยู่บนข้อมือพลางนึกในใจว่าดีแล้วที่วันนี้ไม่ได้เอาถุงเหอเปามาด้วย

“หลานชาย เหตุใดถึงได้มาเปิดประตูเองเล่า”

“ลุงจางป่วย ข้าเลยให้แกพักผ่อน เชิญเข้ามาข้างในก่อนขอรับ”

จือจือเดินเข้าไปทั้งที่ยังก้มหน้า ทันใดนั้นประโยคหนึ่งก็ดังเข้าหูแบบไม่ให้ตั้งตัว

“สุขสวัสดิ์วันปีใหม่”

นางเงยหน้าพรวด แล้วต้องประหลาดใจเมื่อได้พบว่าเซี่ยงชิงจวีกำลังจ้องมองตนเอง

จือจือเคยลอบเปรียบเทียบความหล่อเหลาของเซี่ยงชิงจวีกับราชบุตรเขยอยู่เงียบๆ พบว่าหากราชบุตรเขยเป็นแสงอรุณแล้วล่ะก็ เซี่ยงชิงจวีย่อมต้องเป็นแสงจันทร์ ต่างคนมีดีต่างกันไป ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มรูปงามทั้งคู่ ผิดกันตรงที่ราชบุตรเขยเจอใครก็ยิ้มแย้มสุภาพอ่อนโยนตลอด ขณะที่เซี่ยงชิงจวีเย็นชาเป็นน้ำแข็ง ราวกับท่อนเหล็กก็ไม่ปาน

“สุขสวัสดิ์วันปีใหม่พี่เซี่ยงเช่นกันขอรับ” เสียงของน้องชายนางดังตามมา

ที่แท้เขาก็พูดกับน้องชายนางนี่เอง จือจือก้มหน้าลงใหม่ จากนั้นก็ได้ยินเซี่ยงชิงจวีกระแอมเบาๆ

“หลานชายก็ป่วยเหมือนกันหรือเปล่า อากาศหนาวเย็นออกอย่างนี้ ต้องสวมเสื้อผ้าอุ่นๆ เข้าไว้นะ”

“ข้าไม่เป็นไรขอรับ”

ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของผู้เป็นเจ้าบ้านเย็นชาขึ้นกว่าเดิม

ระหว่างนั่งสนทนา มีแต่หลินผู้พ่อกับเซี่ยงชิงจวีพูดคุยกันเป็นส่วนใหญ่ หลินหยวนที่นั่งกินขนมพูดแทรกขึ้นเป็นระยะ ขณะที่จือจือเอาแต่นั่งดื่มชาเงียบๆ

ทันใดนั้นขนมจานหนึ่งก็ยื่นเข้ามาตรงหน้า

“ขนมนี้รสชาติไม่เลว”

“ขอบคุณขอรับพี่เซี่ยง” หลินหยวนชิงรับจานมาก่อน

เซี่ยงชิงจวีมองเด็กชาย มุมปากลู่ลงเล็กน้อย “ไม่เป็นไร”

จือจือลังเลสักพัก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาชิ้นหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันส่งเข้าปาก เสียงของบิดาก็ดังขึ้น

“นี่ก็สายเต็มที หลานชายคงจะเพลียแล้วกระมัง พวกเรายังต้องไปทักทายบ้านอื่นอีก ไม่อยู่รบกวนเจ้าแล้วล่ะ”

จือจือมองขนม จากนั้นก็วางลงดังเดิม แต่เพราะกลัวเซี่ยงชิงจวีจะรังเกียจว่านางจับแล้ว จึงได้วางชิ้นนั้นไว้ตรงขอบจาน

“ขนมชนิดนี้ของพี่เซี่ยงอร่อยมากเลย ท่านพ่อ พวกเราก็ซื้อไปกินบ้างเถิด” หลินหยวนร่ำร้อง

“ถ้าอร่อยก็เอากลับไปสิ” เซี่ยงชิงจวีบอกเสียงราบเรียบ

ดังนั้นหลินหยวนจึงหิ้วห่อขนมเดินออกมาด้วย

เด็กชายชื่นชมเซี่ยงชิงจวีมาตลอดทาง เหมือนลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเคยโมโหอีกฝ่ายที่ดื่มชาบ้านตนเองไปหลายกา

“ขนมบ้านพี่เซี่ยงอร่อยจริงๆ เลย พี่ใหญ่ เดี๋ยวเราแบ่งกันกินนะ”

“เจ้ากินไปคนเดียวเถิด ข้าไม่ใคร่ชอบขนมหวาน”

เสียงของหลินผู้พ่อดังมาจากข้างหน้า “นั่นสิ เสี่ยวหยวน เจ้ากินไปคนเดียวไป พี่สาวเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ไม่ควรกินของหวานมากนัก”

หลินหยวนทำปากอูด “อะไรกัน เมื่อวานท่านพ่อยังรบเร้าให้พี่ใหญ่กินวุ้นดอกกุ้ยที่ตัวเองทำอยู่เลยแท้ๆ”

บทที่ 10

ตอนที่ได้เจอพี่เสิ่นอีกครั้งคือคืนวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง

จือจือเพิ่งสระผมเสร็จ กำลังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งรอผมแห้งก็ได้ยินเสียงเรียกตนเอง

“จือจือ”

พอนางหันไปมองก็เห็นพี่เสิ่น

ฝ่ายตรงข้ามส่งยิ้มบางๆ มาให้

“พี่เสิ่น กลับมาแล้วหรือ”

วิญญาณล่องลอยพยักหน้า “จือจือ ออกไปข้างนอกกับข้าเร็ว”

“หา?”

พี่เสิ่นทำหน้ามีลับลมคมใน “ข้ารับปากไว้ว่าจะช่วยหาหนุ่มรูปงามมาให้เจ้าไม่ใช่หรือ ข้าหาเจอแล้ว ตอนนี้เขากำลังรอเจ้าอยู่” นางลอยไปลอยมาตรงหน้าเด็กสาวหลายรอบ “รับประกันว่ารูปงามแน่ เจ้าไปแล้วไม่ผิดหวังหรอก หล่อเหลากว่าเจ้าหนุ่มเซี่ยงมาก”

จือจือลังเลอย่างหนัก “แต่ตอนนี้ดึกมากแล้วนะเจ้าคะ”

“วางใจเถิด มีข้าอยู่ทั้งคน จะกลัวอะไร คนเขาพูดกันว่าผีน่ากลัวที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ มีผีคอยคุ้มครองเจ้า เจ้ายังต้องกลัวอะไรอีก” พี่เสิ่นเอ่ยเร่ง “เร็วเข้าๆ เปลี่ยนชุดที่งามที่สุดแล้วออกไปกับข้า”

ตั้งแต่คราวที่ช่วยให้อาฉินสมปรารถนา จือจือก็เก็บกุญแจประตูหลังเอาไว้ ดังนั้นครั้งนี้จึงออกไปได้อย่างสะดวกราบรื่น โคมในมือนางส่องทางเดินข้างหน้าให้สว่างเรืองรอง

เนื่องจากผมยังไม่แห้ง นางจึงปล่อยผมปรกไหล่ แต่ใช้เชือกแดงมัดไว้ลวกๆ แค่พอไม่ให้ผมยุ่ง ปลายผมทิ้งตัวพาดแผ่นหลัง ส่วนชุดที่สวมอยู่พี่เสิ่นช่วยเลือกให้ บอกว่านางผิวขาว ใส่ชุดสีแดงขึ้นที่สุด แต่หากเป็นตอนกลางคืนจะสวมชุดแดงไม่ได้

‘แสงจันทร์สาดส่อง เจ้าต้องสวมชุดสีฟ้าอ่อนถึงจะงามเด่น’ พี่เสิ่นบอกด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

จือจือมีกระโปรงสีฟ้าอ่อนอยู่ตัวหนึ่ง ที่ถูกต้องเรียกว่าสีขาวปนฟ้า ตัวกระโปรงตัดเย็บเป็นชั้นๆ เวลาเยื้องย่างจะเห็นรองเท้าได้วอมแวม พี่เสิ่นตาแหลมนัก เพราะพอจือจือสวมชุดนี้เดินใต้ผืนฟ้ารัตติกาล ชายกระโปรงราวกับถูกย้อมด้วยแสงจันทร์อย่างนั้น มาบวกกับดวงหน้าที่ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉม ความเย้ายวนสะดุดตาในยามปกติจึงหายไปสิ้น

เด็กสาวที่เดินถือโคมดูประหนึ่งนางฟ้าเดินเล่นใต้แสงจันทร์

“พี่เสิ่น พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ”

“ก็ไปเจอหนุ่มรูปงามน่ะสิ”

จือจือมองวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างหน้า “หนุ่มรูปงามที่ใดกันต้องออกมาเจอกลางค่ำกลางคืน”

“นั่นเป็นเพราะ…” ฝ่ายที่อยู่ข้างหน้าหันมามอง “ข้ารอมานานแล้ว เพิ่งสบโอกาสคืนนี้เอง”

จือจือไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก พี่เสิ่นนำทางนางอยู่พักใหญ่ ทะลุตรอกซอยหลายต่อหลายแห่ง พอมาถึงปากตรอกแห่งหนึ่งพี่เสิ่นก็หยุดรอ

“จือจือ เจ้าต้องเดินเข้าไปคนเดียว”

เด็กสาวมองฝ่ายตรงข้าม ความตระหนกสะท้อนอยู่ในแววตา

พี่เสิ่นมองเห็นความวิตกของนาง “ไม่ต้องกลัว เข้าไปเถิด ข้าจะรออยู่ตรงนี้ วางใจได้เลย ข้าจะคอยคุ้มครองเจ้าแน่ จือจือ เข้าไปสิ”

แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่เสิ่นถึงไม่เข้ามาด้วยกัน แต่นางคิดว่าพี่เสิ่นเป็นผีที่ดี ไม่มีทางหลอกนางเด็ดขาด ดังนั้นเด็กสาวจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปข้างใน ตรอกแห่งนี้ลึกยิ่งนัก รอบด้านก็เงียบสงัด จือจือได้ยินแค่เสียงฝีเท้าของตนเองเท่านั้น

เสียงรองเท้าปักลายย่างย่ำไปตามพื้นอิฐ

ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเดินมาได้ครึ่งทาง นางก็รับรู้ได้โดยสังหรณ์ว่าสิ่ง…หรืออีกนัยหนึ่งคือคน…ที่อยู่ตรงท้ายตรอกจะสร้างความหวาดกลัวให้ตนเอง หนุ่มรูปงามที่ใดจะมาอยู่ในตรอกเช่นนี้กลางดึกกันเล่า นางหันไปข้างหลัง ทว่าตรงนี้มองไม่เห็นพี่เสิ่นแล้ว

จือจือยืนลังเลอยู่ที่เดิมพักใหญ่ เท้าก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

ถูกล่ะว่าเซี่ยงชิงจวีเย็นชา แต่นางน่าจะยังพยายามต่อไปได้

อย่าไปสนใจหนุ่มรูปงามที่อยู่ในตรอกน่ากลัวเช่นนี้กลางดึกเลยดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนเย็นชายิ่งกว่าเซี่ยงชิงจวีด้วยซ้ำ

แต่…พี่เสิ่นอุตส่าห์มีน้ำใจ เข้าไปดูหน่อยแล้วกัน

จือจือกัดฟัน กำด้ามโคมในมือแน่น แล้วตัดสินใจเดินต่อ

คราวนี้เดินไปได้ไม่ทันไร นางก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น

คนผู้นั้นใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุด ลักษณะเหมือนได้รับบาดเจ็บ

หืม? หนุ่มรูปงามที่ได้รับบาดเจ็บ?

พี่เสิ่นวางแผนให้นางไปช่วย เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้แต่งงานกับนางเป็นการตอบแทนอย่างนั้นหรือ

จือจือก้าวเข้าไปอย่างลังเล บุรุษผู้นั้นสวมหน้ากากเสียด้วย นางลองใช้ปลายเท้าเขี่ยขาเขา แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

น่าจะหมดสติไปกระมัง

เด็กสาวทิ้งตัวลงนั่งยองๆ พิจารณาร่างบนพื้นโดยละเอียด แล้วพบว่าบนขามีแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหล จือจือไม่เคยมีประสบการณ์ทำแผลมาก่อน นางนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก็ฉีกขากางเกงอีกข้างของชายหนุ่ม ดูท่าจะตัดเย็บจากเนื้อผ้าชั้นดีมากทีเดียว นางต้องออกแรงอยู่นานกว่าจะฉีกออกมาได้ จากนั้นก็ลังเลต่อว่าจะพันผ้าตำแหน่งใดดี เหนือแผล ใต้แผล หรือว่าพันทับแผล

“ควรต้องห้ามเลือดกระมัง ไม่ใช่แผลงูกัดนี่นา” จือจือพันผ้าที่ฉีกออกมารอบแผล แล้วผูกปมให้อย่างประณีต เนื่องจากช่วยคนเจ็บห้ามเลือด มือนางจึงพลอยเปื้อนเลือดไปด้วยไม่น้อย นางเช็ดมือกับเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอย่างรังเกียจ แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่เห็นหน้าบุรุษผู้นี้เลย

น่าจะหล่อเหลามากสินะ…

แต่เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บกลางดึก ซ้ำยังมานอนอยู่ในที่แบบนี้กันเล่า อีกทั้งยังแต่งตัวพิลึกพิลั่นด้วย

หน้ากากที่คนผู้นี้สวมธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง เป็นหน้ากากสีดำเรียบๆ ไม่มีลวดลายแม้แต่นิดเดียว

จือจือจ้องมองหน้ากากพลางเอื้อมมือออกไปช้าๆ ตอนที่ดึงหน้ากากลงมา ปลายนิ้วเหมือนจะแตะโดนผิวหน้าของฝ่ายตรงข้าม

สัมผัสที่ได้รับ…เย็นเฉียบ แววตาของนางไหวระริก ขณะดึงหน้ากากลง

หน้ากากเพิ่งจะพ้นใบหน้า นางก็ตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้น ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกถึงขีดสุด

นางมองคนตรงหน้า จากนั้นก็มองหน้ากากในมือ แล้วรีบโยนทิ้ง

เหตุใดถึงเป็นเขา…

เมื่อครั้งที่กลายเป็นผี นางเฝ้ามองคนผู้นี้ทุกคืนวัน และความปรารถนาสูงสุดของนางในชาตินี้คือไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ไม่คิดเลยว่ากลับได้พบเขาเร็วยิ่งกว่าชาติก่อนมาก

จือจือไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรแล้ว มือเท้านางอ่อนปวกเปียกไปหมด ต้องจับกำแพงพยุงกายถึงจะลุกขึ้นยืนสำเร็จ พอยืนได้ก็หันหลังออกวิ่งทันที ไม่กล้าแม้แต่จะมองร่างบนพื้นซ้ำ ราวกับว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นสัตว์ร้าย

ชาติก่อน

ตอนแต่งเข้าตำหนักองค์หญิง ทุกสิ่งทุกอย่างแปลกใหม่สำหรับจือจือไปหมด ขนาดนางเห็นถ้วยชายังเอื้อมมือไปลูบๆ คลำๆ

‘ถ้วยชานี่ไม่ยักเหมือนที่บ้านข้า’ นางพูดพลางหันไปยิ้มให้ไฉ่หลิง

จือจือมีฐานะต่ำต้อย ที่ถูกต้องบอกว่าไม่มีฐานะเลยเสียมากกว่า ดังนั้นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติจึงมีแค่ไฉ่หลิงผู้เดียว ไฉ่หลิงอายุไม่มาก อ่อนแก่กว่าจือจือไม่เท่าไร พอเห็นเจ้านายทำอย่างนั้นก็ยกมือป้องปากยิ้ม ‘ต่อไปอี๋เหนียงห้าจะยังได้เห็นของดีๆ อีกมากมาย นับประสาอะไรกับแค่ถ้วยชาเล่าเจ้าคะ ถ้วยชาล้ำค่าหายากต้องถ้วยชาในตำหนักบรรทมขององค์หญิงต่างหาก นั่นน่ะเป็นของพระราชทานจากฮ่องเต้เลยทีเดียว แผ่นดินนี้ของดีทุกอย่างเป็นขององค์หญิงทั้งนั้น’

จือจือร้องอ้อ ไม่ได้รู้สึกชื่นชมแต่อย่างใด ทั้งยังไม่อิจฉา เพราะรู้ว่าฐานะของทั้งคู่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน นางจึงไม่เกิดความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น องค์หญิงเป็นนางหงส์ ส่วนนางเป็นแค่ไก่ป่าเท่านั้น

ครั้งแรกที่ได้พบองค์หญิง นางไปเข้าเฝ้าพร้อมอี๋เหนียงคนอื่นๆ พวกนางคุกเข่าอยู่นอกม่าน ส่วนองค์หญิงนั่งอยู่ข้างใน กงหมัวมัวเป็นคนพูดถึงกฎระเบียบในตำหนักทั้งหมด พวกนางจึงไม่ได้ยินเสียงขององค์หญิงเลย

ตอนที่กงหมัวมัวสั่งให้พวกนางกลับออกไป จือจือลอบเหลือบตาขึ้นมองม่านทีหนึ่ง แต่ผ้าม่านรูดไว้อย่างมิดชิด นางจึงเห็นแค่เงาคนรางๆ

คนผู้นั้นนั่งเก้าอี้ในอิริยาบถผ่อนคลาย แต่จือจือกลับสัมผัสรังสีแห่งอำนาจจากร่างของ ‘นาง’ ได้

 

จือจือวิ่งเต็มเหยียด ไม่นานก็เห็นพี่เสิ่น

ฝ่ายนั้นมองนางอย่างประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นจือจือ! เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้”

จือจือลนลานเสียจนลืมหยิบโคมไฟมาด้วย “พี่เสิ่น พวกเรากลับกันเถิด” ทรวงอกนางสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง ระหว่างที่วิ่งมา ผมที่มัดไว้ลวกๆ ก็หลุดลงมาหมด ใครตาไม่บอดก็ต้องมองออกกันทั้งนั้นว่าเวลานี้นางว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง

“ได้ๆ กลับก็กลับ” พี่เสิ่นไม่ซักไซ้ต่อ

เมื่อกลับถึงบ้าน จือจือล้างคราบเลือดบนมือจนสะอาด แล้วขึ้นล้มตัวลงบนเตียงโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

พี่เสิ่นเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าถาม ไม่รู้ว่าเด็กสาวหวาดกลัวสิ่งใด

อาจจะขวัญเสียเพราะเห็นแผลกระมัง…พี่เสิ่นคิดอย่างนั้น แต่นางก็อุตส่าห์รออยู่นานกว่าบุรุษผู้นั้นจะได้รับบาดเจ็บ

ภายหลังจือจือไม่เอ่ยถึงเรื่องในคืนนั้นอีกเลย ซ้ำยังเก็บตัวมากกว่าเก่า ไม่ใคร่ออกไปที่ใด ลืมกระทั่งว่าต้องหาทางมอบถุงเหอเปาให้เซี่ยงชิงจวี

จวบจนถึงคืนเทศกาลหยวนเซียว* หลินหยวนชวนนางออกไปเดินเที่ยว จือจือถึงเพิ่งนึกออกว่าวันนี้เป็นวันเทศกาล

“ได้ เสี่ยวหยวนรอพี่สักครู่นะ”

นางคว้าผ้าคลุมกันลมมาห่มแบบง่ายๆ แล้วพากันออกจากบ้าน

บรรยากาศของเทศกาลทำให้หลินหยวนตื่นเต้นเป็นพิเศษ “พี่ใหญ่ คืนนี้ข้าจะเล่นทายปริศนาโคมไฟให้เยอะๆ จะได้กวาดรางวัลกลับบ้านให้หมด”

“เอาสิ” จือจือเอ่ยถาม “ท่านพ่อเล่า”

“ท่านพ่อไม่ไป สั่งให้ข้าดูแลพี่ใหญ่ให้ดี” เด็กชายตบอกตนเอง “พี่ใหญ่วางใจได้เลย วันนี้ข้ารับปากท่านพ่อไว้แล้ว จะต้องคุ้มครองท่านกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”

“แหม ดูไม่ออกเลยนะว่าเจ้าเปี๊ยกเก่งกาจถึงเพียงนี้” พี่เสิ่นหัวเราะอยู่ข้างๆ

จือจือเองก็หัวเราะขันเช่นกันขณะจูงมือน้องชาย “เช่นนั้นเราไปกันเถิด”

เทศกาลหยวนเซียวเป็นเทศกาลที่คึกคักในแต่ละปี

วันนี้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารอบอวลไปทั่วเมืองหลวง เสียงหัวเราะร่าเริงดังเข้าหูไม่ขาดระยะ โคมไฟรูปทรงต่างๆ ประชันความงามกันละลานตา ดอกไม้ไฟเบ่งบานบนผืนฟ้าไม่ขาดสาย ดอกไม้ไฟเหล่านี้เป็นของราชวงศ์ จึงมีให้จุดอย่างไม่อั้น เพื่อสื่อให้เห็นว่าฮ่องเต้เชื้อเชิญราษฎรมาฉลองเทศกาลด้วยกันอย่างรื่นรมย์กลมเกลียว

จือจือเดินจูงมือน้องชาย กวาดตามองไปตรงนั้นทีตรงนี้ที

หลินหยวนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็สนุกสนานไม่แพ้กัน พอเห็นชาวยุทธ์เปิดแสดงศิลปะพ่นไฟก็อ้าปากหวออย่างตื่นเต้น “โอ้โห! พี่ใหญ่ ดูนั่นสิ”

จือจือพลอยอุทานฮือฮาตามไปด้วย พี่เสิ่นที่ลอยอยู่ข้างๆ แค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึ

“มีอะไรน่าดูนักหนา เจ้าเด็กสองคนนี่”

จือจือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

หลินหยวนลากพี่สาวเดินไปเรื่อยๆ ตรงนี้ก็อยากดู ตรงนั้นก็อยากดู ทำเอาจือจือเดินชนคนอยู่หลายครั้ง

พี่เสิ่นเองก็บ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเด็กบ้านี่ เดินระวังหน่อยสิ”

“เสี่ยวหยวน เสี่ยวหยวน! เดินช้าๆ หน่อย…” จือจือเดินชนคนอีกแล้ว แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามยกมือขึ้นประคองนางไว้

“แม่นางหลิน?”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายทว่าเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งปรากฏสู่สายตา

ทว่าความเย็นชาในดวงตาเหมือนจะลดลงมาก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 ต.ค. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: