X
    Categories: LOVEทดลองอ่านใกล้เกินรัก ชุด สุดท้ายก็เธอ

ทดลองอ่าน ใกล้เกินรัก ชุด สุดท้ายก็เธอ บทนำ-บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทนำ

 

“กลายเป็นข่าวฉาวมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์กันเลยทีเดียวครับ เมื่อรีเบคก้าสาวสวยผู้ถูกจับตามองมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่ากำลังคบหาดูใจอยู่กับพุฒ บริพัตรเมธานนท์ได้ออกมาแฉว่าชายหนุ่มนอกใจเธอ อีกทั้งยังไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจนิเฟอร์ภรรยาสาวคนสวยของสตีเว่น นักเตะร่วมสโมสรจนเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องหย่าร้างกัน หลังข่าวนี้เผยแพร่ออกไปก็มีสาวๆ อีกหลายคนออกมาแฉวีรกรรมความเจ้าชู้ของเขา ล่าสุดทางสโมสรออกมาชี้แจงว่าได้ตั้งกรรมการสอบสวนพฤติกรรมของพุฒเรียบร้อยแล้ว หากทั้งหมดเป็นความจริงทางสโมสรอาจจะต้องพิจารณาเรื่องการต่อสัญญากับหนุ่มนักเตะสัญชาติไทยอีกครั้ง เรื่องนี้กำลังถูกบรรดาแฟนบอลวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักเลยนะครับ…”

เสียงบรรยายของนักข่าวขาดหายไปพร้อมกับหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับลง ร่างสูงร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตรสวมเพียงกางเกงยีนตัวเดียวเผยให้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่าอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบคนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด

ข่าวนี้ถูกเผยแพร่โดยสื่อของอังกฤษเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าในเวลานี้มันได้กลายเป็นข่าวโด่งดังมากในไทยและอาจสร้างความอับอายให้บิดามารดาของเขาจนไม่กล้าออกไปเดินตามท้องถนน

เขาวางโทรศัพท์ทิ้งก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปที่ระเบียงของห้องพัก ทอดสายตามองไปยังตึกสีส้มอิฐที่แสดงให้ถึงสถาปัตยกรรมของประเทศอังกฤษอันแสนคุ้นตา

ความหนักใจเดียวจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องอนาคตอาชีพนักฟุตบอลของเขา แต่คงจะเป็นเรื่องมารดาของเขาต่างหาก ป่านนี้คงยืนถือไม้เรียวมือไม้สั่นไปหมดแล้ว

 

“แกจะไม่ต่อสัญญาเหรอ” น้ำเสียงปลายสายปะปนไปด้วยความแปลกใจ

“ครับ”

พุฒตอบกลับไปสั้นๆ เข้าใจความตระหนกของพี่ชายดี เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการเล่นฟุตบอล อยู่กับมันมากกว่าอยู่กับครอบครัวเสียอีก ฟุตบอลแทบจะกลายเป็นชีวิตของเขาไปแล้ว

เมื่อพูดว่าจะไม่ต่อสัญญากับสโมสรซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของนักฟุตบอลค่อนโลกจึงดูเหมือนเป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้

แต่ก็เป็นไปแล้ว

“เพราะข่าวนั่นเหรอ”

“ก็…ส่วนหนึ่ง”

“เรื่องจริงเหรอ” พิชญ์ บริพัตรเมธานนท์นิ่วหน้า แม้ว่าไม่ได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของน้องชาย แต่เขาก็ยังอยากให้ข่าวเรื่องการพัวพันกับผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาของคนอื่นนั้นเป็นเพียงข่าวลือมากกว่า

“จริงแค่บางส่วนน่ะเฮีย ทำไงได้ ผมตกอับแล้ว คงต้องกลับบ้านแล้วล่ะ”

การพูดเรื่อง ‘ใหญ่’ ให้เป็นเรื่อง ‘เล็ก’ พูดเรื่อง ‘ยาก’ ให้เป็นเรื่อง ‘ง่าย’ นั้นดูเหมือนจะเป็นความสามารถพิเศษของทายาทตระกูลบริพัตรเมธานนท์กระมัง งานนี้พ่อกับแม่ต้องเอามือกุมขมับเป็นแน่ เมื่อบุตรชายทั้งสามคนขยันสร้างชื่อเสียให้ตระกูลกันอย่างถ้วนหน้า

ไม่มีใครรอดพ้นจากข่าวรักๆ ใคร่ๆ

แรกเริ่มเลย พิชญ์ลูกชายคนกลางประกาศยกเลิกการแต่งงานกับคู่หมั้นอย่างพริ้มเพราไฮโซสาวเจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ก่อนที่พริ้มเพราจะกลายมาเป็นภรรยาของพี่ชายคนโตอย่างพฤกษ์ บริพัตรเมธานนท์ศัลยแพทย์หนุ่มจนกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่นานเป็นปี หนนี้ลูกชายคนสุดท้องคงจะกลัวน้อยหน้าพี่ชายทั้งสองจึงทำเรื่องฉาวโฉ่จนต้องอับอายขายหน้าไปทั้งประเทศ

“กลับมาแกคิดว่าชาวบ้านเขาอยากให้แกกลับมั้ย หลงปลื้มว่าไปสร้างชื่อให้ประเทศชาติ ที่ไหนได้…”

“เฮียๆ เกินไป ตอนแรกผมแค่เครียดนะ พอเฮียพูดแล้วผมอยากตายเลยอะ”

ปลายสายตอบกลับมาเป็นเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พุฒรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กห้าขวบอย่างไรไม่ทราบ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจกลับไปเช่นกัน

“คุยกับแม่เลย”

“คุยแล้ว แม่ด่าตลอดการสนทนา ไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรเลย”

“งั้นที่โทรหาฉันวันนี้ก็คงไม่ใช่เพราะอยากบอกให้รู้เฉยๆ ใช่มั้ย”

“เฮียนี่ฉลาดสมเป็นลูกรักแม่”

“ไม่ต้องมาอวย”

“คุยกับแม่ให้หน่อยนะ เฮียเป็นลูกรักของแม่ แม่ต้องฟังเฮียอยู่แล้ว”

“ไม่!”

คำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยนั้นทำให้พุฒอยากจะทึ้งหัวตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังกลั้นใจพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“ขอร้องล่ะ”

“ทำไมแกไม่อยู่ที่นั่นแล้วไม่ต้องกลับมาอีกเลยล่ะ”

“พูดแบบนี้เหมือนไม่รักน้องเลยนะ”

พุฒรินไวน์แดงราคาแพงระยับใส่แก้วแล้วกระดกทีเดียวหมด เขาค่อนข้างเครียดกับข่าวที่เกิดขึ้น แม้ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ลึกๆ แล้วก็เป็นกังวล

“ฉันอยากให้แกหายไป เพื่อที่ฉันจะได้ฮุบสมบัติไว้คนเดียวไง”

“อะไรนะเฮีย” หัวใจเขาหยุดเต้นไปเลยเมื่อได้ยินคำประกาศของพี่ชาย ปกติพิชญ์ไม่ใช่พวกชอบพูดเล่น ตรงกันข้ามพี่ชายของเขาคนนี้ค่อนข้างจริงจังในทุกๆ เรื่องต่างจากพฤกษ์พี่ชายคนโต รายนั้นอำเก่ง อำทุกเรื่อง และเชื่อถือคำพูดไม่ได้ แต่พอคนพูดเป็นพิชญ์เขาถึงกับแยกแยะไม่ออกเลยว่าอันไหนพูดจริงอันไหนพูดเล่น

“ฉันพูดจริง”

“เฮีย!”

“แกชอบทำตัวเหมือนเด็กดี เชื่อฟังผู้ใหญ่ อยู่ในกรอบ อยู่ในร่องในรอย แต่ความจริงแกน่ะมันตัวดี แกมันไอ้เด็กผู้ชายห่วยแตก ไอ้สาม! ถ้าฉันอยู่ตรงนั้นฉันจะเตะสักทีสองทีให้แกหลังแอ่น” พิชญ์ที่เก็บความโกรธเอาไว้มานานเริ่มระเบิด ในฐานะพี่ชายเขาย่อมไม่ต้องการเห็นชีวิตของน้องชายจมดิ่งลงเหว

พุฒเล่นฟุตบอลเก่งมาก เขาฉายแววมาตั้งแต่ขึ้นเรียนชั้นอนุบาล แม้จะถูกครหาว่าใช้เส้นสายจนได้ไปเล่นกับทีมในพรีเมียร์ลีกเพราะสโมสรที่ซื้อตัวไปนั้นมีเศรษฐีชาวไทยเป็นเจ้าของและสนิทสนมกับบิดาของเขามาก

แต่ความเป็นจริงแล้ว พุฒมีพรสวรรค์และฝึกอย่างหนักมาเสมอ ความพยายามของชายหนุ่มผลักดันให้เขาก้าวไปอยู่ในจุดสูงสุดของกีฬาฟุตบอลได้

นับเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว ทว่ากลับต้องมาตกม้าตายเพราะเรื่องผู้หญิง หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่พุฒเผชิญอยู่เขาก็คงจะเรียกตัวเองว่าพี่ชายไม่ได้

“เฮียสอง…นี่เฮียสองตัวจริงหรือเปล่า”

“พูดอะไร”

“เฮียสองตัวจริงไม่พูดติดกันยาวเกินสามประโยค บอกมา…ว่าแกเป็นใคร”

ปลายสายเงียบไปหลายวินาทีก่อนพุฒจะได้ยินเสียงพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

“ไอ้พุฒ” น้ำเสียงเข้มถูกกดให้ต่ำลง “แกไม่ต้องกลับมาไทยเลย เน่าตายอยู่อังกฤษนั่นแหละ”

1

ตกอับ

ข่าวพุฒถูกผู้หญิงออกมาแฉถึงพฤติกรรมคาสโนว่าของเขายังคงเป็นประเด็นร้อนไม่หยุด แถมลุกลามไปถึงขั้นว่าเขาเป็นพวก ‘มั่วเซ็กซ์’ มีสัมพันธ์กับผู้หญิงไม่เลือก ไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นลูกหรือเป็นภรรยาของใคร และบางครั้งก็มีคนเห็นว่าเขาควงสาวขึ้นห้องทีละสองคนอีกด้วย

ทั้งยังมีปาปารัซซี่ถ่ายภาพที่เขากำลังควงผู้หญิงหน้าตาคล้ายเจนิเฟอร์ขึ้นโรงแรมปล่อยออกมาด้วย นั่นก็ยิ่งยากจะปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น

พิรุณรักษ์จิบกาแฟร้อนขณะดูข่าวเช้าก่อนไปทำงาน ริมฝีปากอิ่มเหยียดจนเป็นเส้นตรง

ไอ้ผู้ชายบ้าตัณหา! ชั่วช้าสามานย์!

ติ๊ดๆๆ ติ๊ดๆๆ

เจ้าของร่างในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงเอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ แต่แล้วก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นหน้าเจ้าของสายเรียกเข้าปรากฏอยู่บนหน้าจอ

เป็นผีหรือไง แค่นึกถึงก็โผล่มาเลย

“ว่า”

“ที่รัก คิดถึงจัง”

“อะไรของแกไอ้พุฒ ใครที่รักแกไม่ทราบ”

พิรุณรักษ์เป็นเพื่อนกับพุฒมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม เรื่องนี้น้อยคนนักจะรู้ เธอเรียนห้องเดียวกับเขาและได้นั่งข้างกันโดยบังเอิญ นับจากนั้นเธอกับเขาก็กลายเป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้

อันที่จริงมันมีเรื่องมากมายกว่านั้น แต่ช่างเถอะ เธอไม่อยากนึกถึงมันเท่าไหร่หรอก

“ฉันจะกลับไทยอาทิตย์หน้า ไปพักด้วยนะ”

“ไม่!”

“รู้สึกแย่จังเลย ช่วงนี้มีแต่คนรังเกียจ”

แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ากำลังเศร้าเลยสักนิด เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอก็ไม่มีวันให้พุฒมาพักด้วยเด็ดขาด

“แกจะมาพักกับฉันทำไม บ้านช่องแกออกจะใหญ่โต”

“ก็แม่ไม่ยอมให้เข้าบ้าน”

“สมน้ำหน้า!”

“ฝน…” เขาลากเสียงยาวด้วยความอ่อนใจ จากที่ไม่รู้สึกอะไรเลยในทีแรก ตอนนี้เริ่มรู้สึกถึงการถูกทอดทิ้งขึ้นมาบ้างแล้ว “แกไม่ห่วงฉันสักนิดเลยเหรอวะ นี่ฉันกำลังเจอกับวิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิตนะ”

“เพราะฉันรู้ว่าแกทำตัวเองไง คนแบบแกนะ อยู่ที่ไหนก็ไม่ทิ้งสันดานเดิม ไอ้พุฒไอ้ชั่ว!”

“ไม่ต้องมาด่าเลย ฉันโดนด่ามาเยอะแล้ว วันที่สิบสี่มารับฉันที่สนามบินด้วย เก้าโมงเช้า”

พิรุณรักษ์ถึงกับต้องกำหนดลมหายใจของตัวเองเพราะเริ่มจะโมโห ก่อนจะกรอกเสียงลงไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่! ไป-ตาย-ซะ!!”

‘ผู้หญิงธรรมดา’ ตามคำนิยามนั้นเป็นอย่างไร หากอยากเห็นภาพให้ชัดเจนล่ะก็ ชีวิตของพิรุณรักษ์สามารถสะท้อนภาพนั้นได้เป็นอย่างดี

พิรุณรักษ์ทำงานอยู่ในตำแหน่งฝ่ายการตลาดของบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยระดับกลางในคณะบริหารจัดการด้วยเกรดเฉลี่ยสองจุดเจ็ดห้า เธอก็เริ่มทำงานทันที และได้กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนตัวจริงตามแบบสากลปฏิบัติ

ตื่นเช้า แต่งตัวไปทำงาน แวะซื้อกาแฟสดร้านประจำกับข้าวเหนียวหมูปิ้ง ถึงที่ทำงานก่อนเวลาห้าถึงสิบนาที ทำงาน เลิกงาน กินอาหารกล่องเป็นมื้อเย็น กลับบ้าน เข้านอนก่อนสี่ทุ่ม และ…ตื่นเช้า กิจวัตรวนเวียนแบบเดิมทุกวัน

เป็นเช่นนี้จนอายุล่วงเลยมาถึงยี่สิบเก้าปีแบบงงๆ

อันที่จริงความ ‘ธรรมดา’ ของเธอควรจะดำเนินต่อไป แต่เพราะอายุที่มากขึ้น ทำให้เธอมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาขึ้นมานั่นก็คือ ‘ความโสด’ ในวัยใกล้เลขสาม เพราะหากเป็นปกติธรรมดาคนวัยเช่นเธอควรแต่งงานมีครอบครัว หรืออย่างน้อยก็มีแฟนไปแล้ว แต่ว่าเธอกลับไม่มีวี่แวว

“ว่ากันว่าสาวโสดที่อายุเข้าเลขสามมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นโสดตลอดไป” ฐิติวรดากำลังเสพข่าวจากสื่อโซเชียลลดโทรศัพท์ลงเพื่อบอกกับคนตรงหน้า

พิรุณรักษ์กำลังไถอินสตาแกรมอยู่ถึงกับชะงัก ก่อนค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมาจับจ้องคนพูดด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นัก

“หมายถึงใคร”

“ก็ทั่วๆ ไปอะ ทำไมแกจะต้องโกรธด้วยล่ะ”

พิรุณรักษ์และฐิติวรดาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทสนมกัน นอกจากทั้งคู่จะทำงานในแผนกเดียวกันแล้วยังมีอุปนิสัยและรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันจนใครๆ ต่างแซวว่าทั้งคู่เป็น ‘ฝาแฝดผู้พลัดพราก’

พิรุณรักษ์สุดแสนจะชินชา เพราะอันที่จริงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกมองว่าเป็นฝาแฝดกับใครสักคนที่ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่ถูกทักว่าเหมือนคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ เธอมีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ผิวขาวเหลือง รูปร่างสมส่วน หากวัดกับมาตรฐานความงามของหญิงไทยแล้วก็ถือว่าอยู่เลยระดับของฐานนิยมมานิดหนึ่งกระมัง

แต่ทั้งที่สวยเหมือนกันแท้ๆ ฐิติวรดากลับชิงตัดหน้ามีแฟนไปก่อน ซ้ำอีกฝ่ายยังมีแพลนจะสละโสดในเร็ววันนี้กับพนักงานหนุ่มร่วมออฟฟิศอนาคตไกลอีกด้วย

“เอาน่า แกไม่ต้องกังวลหรอกนะ อันที่จริงผู้หญิงอย่างเราๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีสามีเสมอไป อยู่เป็นโสดก็สบายดีออก จริงมั้ย” ฐิติวรดาปลอบใจเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนที่ดูออกว่ากำลังขุ่นเคืองเป็นอันมาก

“แล้วใครกันล่ะที่เป็นคนจุดประเด็นให้ฉันคิดน่ะ”

“ก็…มันลืมตัวอะ แต่แกคงไม่ได้เครียดจริงหรอกใช่มั้ย เนอะ มันไม่ได้น่าเครียดเลยนี่นา” คนจุดประเด็นพยายามดับกองไฟที่ตัวเองเพิ่งราดน้ำมันลงไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา

พิรุณรักษ์คว้าน้ำมาดื่มแก้กระหาย เพราะคิดถึงเรื่องนี้ทีไรลำคอของเธอก็แห้งผากเหมือนชีวิตอันแห้งแล้งของเธอไม่มีผิด

“ใช่! เพราะถึงยังไง ฉันก็ต้องมีแฟนอยู่แล้ว”

“ชาตินี้หรือเปล่า”

“ไอ้แหวน!”

“ขอโทษๆ ก็มันอดไม่ได้อะ ปากไวไปหน่อย” ฐิติวรดายิ้มแห้งก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่องแบบไม่ยอมวกกลับมาเรื่องนี้อีกเลย

ทว่าบทสนทนาสั้นๆ ในวันนี้กลับทำเอาพิรุณรักษ์เสียสมาธิไปเลยทั้งวัน ต่อให้เธอทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ภายในใจนั้นไม่ใช่เลย

อันที่จริงเธอไม่ควรต้องมากังวลเรื่องการมีหรือไม่มีคู่ชีวิต ในเมื่อยังมีผู้หญิงอีกมากมายบนโลกนี้เลือกที่จะครองโสดไปจนตาย ดังคำกล่าวที่ว่า

‘แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า’

ใช่! คำกล่าวนั้นเป็นจริงและจะเป็นอมตะนิรันดร์กาล แต่สำหรับพิรุณรักษ์แล้วแผ่นดินนี้ยังมีชายอีกหลายคนที่พึงเชยและเหมาะสมที่จะได้มาเป็นสามี มาตรฐานคู่ชีวิตของเธอไม่ได้สูงลิ่วเหมือนใครๆ จนหาคนดีทัดเทียมกันไม่ได้ เธอไม่ใช่คนเลือกมากขนาดนั้น แต่ที่ยังไม่มีใครนั่นก็เป็นเพราะว่า…กามเทพยังจัดสรรลำดับการช่วยเหลือมาไม่ถึงเธอเท่านั้นเอง

คิดแล้วเศร้าอย่างไรไม่ทราบ

ขณะที่พิรุณรักษ์กำลังตกอยู่ในสภาวะเศร้าซึมอยู่นั้น สายเรียกเข้าจากมารดาก็ทำให้เธอต้องทิ้งความคิดนี้ไว้ก่อน

“ค่ะแม่”

“ยายหนิงคลอดลูกแล้วนะ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียวแหละ ตัวอ้วนปุ๊กเลย”

พิรุณรักษ์เม้มปาก ทั้งที่ความเป็นจริงเธอควรจะยินดีกับการมีสมาชิกคนใหม่ในครอบครัว แต่มันก็อดสะเทือนใจไม่ได้ สโรชาเป็นบุตรสาวของน้าอรซึ่งเป็นน้องสาวของแม่ ลำดับญาติกันแล้วสโรชาก็มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเธอหกปี แต่สาวเจ้ากลับแต่งงานมีลูกนำไปก่อนแล้ว

“ฝากรับขวัญหลานด้วยนะคะแม่” เธอกรอกเสียงกลับไปโดยไร้ซึ่งความยินดี

“ฝากแต่ปาก ไหนล่ะเงินน่ะแม่คุณ” นัศลียาถามกลับ

“สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ แปะไว้ก่อนได้มั้ยแม่ นี่ค่าโทรศัพท์ยังไม่ได้จ่ายเลย”

“ลูกคนนี้นี่! เมื่อไหร่จะโตสักที ยายหนิงเด็กกว่าตั้งเยอะเป็นแม่คนได้แล้ว ลูกสาวฉันยังบ่นเรื่องเงินไม่พอใช้อยู่เลย แม่กับพ่อบอกแล้วไงว่าวัยแบบเราน่ะต้องมีคู่คิดจะได้ช่วยดูแลกัน เกิดอะไรขึ้นมาพ่อแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ทราบแล้วค่ะแม่ หนูก็มองๆ อยู่ แต่ว่ามันยังไม่มีใครเข้ามา”

“มาตรฐานสูงเกินไปหรือเปล่า ไม่ก็หัดออกไปเที่ยวบ้าง ทำงานเสร็จกลับบ้านจะไปเจอใครที่ไหน แต่งเนื้อแต่งตัวให้มันสวยๆ ไม่ต้องมิดชิดปิดคอถึงตาตุ่ม เฮ้อ! หนักใจจริงๆ เลยลูกฉัน ชาตินี้จะหาผัวได้มั้ย เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้สอน”

คำสอนของมารดาทำเอาพิรุณรักษ์ทำหน้าปูเลี่ยน เธอก้มมองชุดของตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกระโปรงดำสนิทปิดถึงเข่า

แต่เรื่องอะไรจะยอมให้มารดามาดูถูกว่าเธอ ‘หาผัวไม่ได้’ หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดใส่โทรศัพท์ด้วยความมั่นใจเกินร้อย

“แม่ไม่ต้องห่วง ปีหน้าเตรียมอุ้มหลานได้เลย”

“พูดเพ้อเจ้อหรือเปล่าลูกสาวแม่”

“ไม่เพ้อเจ้อหรอกค่ะ แต่งงานปลายปี ต้นปีท้องเลย”

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง”

“ไม่ต้องรีบ?”

“ไม่ต้องแต่งให้เสียเวลา! ผู้ชายต้องเปลืองเงินมาขออีก เสียเงินมากเขาจะเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น ทีนี้แย่เลย” นัศลียากล่าวน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขำด้วย

“คุณน้ำทิพย์ขาาา นี่ลูกสาวนะคะ”

“นัศลียาค่ะลูก แม่ชื่อนัศลียา” หญิงวัยหกสิบเอ็ดปีต้องย้ำเตือนบุตรสาวทุกครั้ง แต่ดูเหมือนพิรุณรักษ์จะมีความสุขมากกว่าที่ได้แกล้งเรียกชื่อเก่าของนาง

“ก็คนเดียวกันนั่นแหละค่ะ” เธอบอกพลางยิ้มอ่อน “แม่พูดเล่นใช่มั้ยคะ นี่ลูกสาวแม่ทั้งคนนะ ทำเหมือนจะยกให้คนอื่นไปฟรีๆ”

“ไม่ได้พูดเล่น ถ้ามีผู้ชายหลงมาจริงแม่จะเตรียมข้าวสารไว้แถมให้ด้วยสักสองกระสอบ”

พิรุณรักษ์รู้สึกเหมือนมีมือใครบางคนมากดเธอให้จมลงใต้ธรณี หญิงสาวเม้มปากแน่นเพราะไม่รู้จะตอบโต้มารดาอย่างไร สุดท้ายจึงพูดได้แค่เพียงว่า

“แม่อะ! หนูจะฟ้องพ่อ”

 

เมื่อฐิติวรดาเพื่อนร่วมงานที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักและเริ่มตัวติดกับแฟนเป็นตังเม มิตรภาพของผู้หญิงอันแสนเปราะบางก็ถูกสั่นคลอน พิรุณรักษ์กับฐิติวรดาเริ่มไม่ได้ตัวติดกันเหมือนเมื่อก่อน จากที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไป ทำให้พิรุณรักษ์ต้องไปเข้าร่วมกับแก๊งเก้งในที่ทำงานโดยไม่รู้ตัว

“ชะนีน้อย ไปกันยัง”

ชลชาติเกย์หนุ่มวัยสามสิบตอนต้นเท้าแขนลงบนโต๊ะทำงานของพิรุณรักษ์

“เจ๊ชลลี่” หญิงสาวเหลือบสายตามองนาฬิกาตรงมุมขวาของจอคอมพิวเตอร์ “เที่ยงแล้วเหรอ ไม่รู้ตัวเลย”

“จ้ะ แม่คนขยันหมั่นเพียร ทำงานจนลืมเวลาพักกลางวัน”

“แหมๆ งานมันเร่งน่ะ น้องดองไว้เยอะต่างหาก” คนถูกมองว่าขยันหมั่นเพียรหยิบกระเป๋าถือพร้อมสอดส่ายสายตามองหาใครบางคน “แล้วพี่แพทล่ะคะ”

“รอข้างล่างแล้ว”

ชลชาติตั้งชื่อใหม่ให้ตัวเองว่า ‘ชลลี่’ ส่วนพีรวิทย์ หรือ ‘แพท’ นั้นเขาเป็นเกย์เหมือนกันแต่ไม่ประสงค์เปลี่ยนชื่อตัวเองเนื่องจากเขาเป็นชายรักชายที่ค่อนข้างแมนมาก ชนิดที่พิรุณรักษ์เองก็ดูไม่ออกเลยในตอนแรก หากเธอไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมก็คงมองว่าพีรวิทย์เป็นผู้ชายคนหนึ่ง

สามเพื่อนร่วมงานเลือกรับประทานอาหารร้านที่ห่างจากที่ทำงานไปประมาณเกือบห้าร้อยเมตรทั้งที่มีร้านที่ใกล้กว่านั้น ด้วยเหตุผลว่าร้านนี้ใกล้กับสโมสรฟุตบอลซึ่งมักจะมีหนุ่มๆ นักฟุตบอลมารับประทานอาหารกันอย่างเนืองแน่น อาจดูเป็นเหตุผลที่ตลก ทว่าพวกหล่อนจริงจังกับเรื่องนี้มากๆ

“คนนั้นๆ กล้ามแน่นเว่อร์” ชลชาติแทบไม่เป็นอันกินเพราะเอาแต่จ้องผู้ชายจนตาทะลัก

พีรวิทย์หรี่ตามองเพื่อนแล้วถอนหายใจ “อย่าให้มันเกินไป”

“แพทจ๊ะ ใครจะเก็บอาการได้เหมือนหล่อนล่ะฮะ”

“ใครเก็บอาการ ฉันไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นหรอก”

“แหม ไม่สนแต่ก็เห็นได้ทุกที”

“พี่ๆ สองคนอย่าทะเลาะกันเลยนะคะ เดี๋ยวเหยื่อก็รู้ตัวหรอก” พิรุณรักษ์ยกมือขึ้นห้ามทัพ สองคนนี้สนิทกันแบบไหนนะ มีโอกาสเป็นต้องหาเรื่องทะเลาะกันตลอด

ดูๆ ไปแล้วคิดว่าเป็นศัตรูกันเสียมากกว่า แต่ก็ไม่แน่…อาจจะเป็นศัตรูหัวใจกันก็ได้ เธอคิดแล้วยิ้มกับตัวเอง

“ไม่ต้องมาพูดเลยนังตัวดี” ชลชาติเรียกจิกเพื่อนสาวรุ่นน้อง “ตั้งแต่มากินข้าวกับพวกฉันนะ ผู้ชายก็พากันสนใจแกจนไม่สนใจฉันแล้วเนี่ย”

“อะไรอะเจ๊ชลลี่ น้องยังไม่เห็นผู้ชายคนไหนมองน้องสักคน”

“นั่นสิ แกก็พาลน้องมัน”

“แพท! แกจะขัดฉันทุกเรื่องเลยหรือไงนะ”

“พูดตามความจริงทั้งนั้น แกพาลไง”

พิรุณรักษ์ทำคอหด กลอกตามองบน

ทะเลาะกันอีกแล้ว

การถกเถียงเล็กๆ นี้จบลงเมื่อพิรุณรักษ์ก้มหน้ากินอาหารโดยไม่คิดห้ามมวยใครอีก ท่าทีเศร้าสร้อยของเธอทำให้ทั้งคู่ต้องสงบศึกลงแล้วหันมาสนใจหญิงสาวแทน

“นี่ชะนี ทำหน้าหงอยแบบนี้เป็นไรฮะ” ชลชาติถาม

“ก็เศร้าน่ะสิ”

“เรื่อง?”

“ก็เจ๊ชลลี่บอกว่าผู้ชายพวกนี้สนใจน้อง ไหนล่ะ ไม่เห็นจะมีใครมองน้องสักคน” พิรุณรักษ์มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าหนุ่มนักกีฬาต่างก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิดเดียว

ไม่แม้แต่จะชายตา

“อ้าว! นี่หล่อนก็อยากให้ผู้ชายมองเหมือนกันเหรอยะ”

“น้องอายุยี่สิบเก้าแล้วนะพี่ ยังไม่มีแฟนเลย ส่อเค้าจะขึ้นคานแล้วเนี่ย”

“ไม่มีเลยเหรอ” พีรวิทย์ถามด้วยความแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะพิรุณรักษ์เองก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไร ดูน่ารักเสียด้วยซ้ำ ถึงโสดก็ไม่น่าโสดสนิท “เลือกมากหรือเปล่า”

“เลือกอะไรล่ะพี่แพท ยังไม่มีใครโผล่มาสักคนเลย ข้อสอบที่ไม่มีช้อยส์น่ะ จะเลือกข้อถูกได้ยังไง”

“พูดไปนั่น” พีรวิทย์มองสาวรุ่นน้องด้วยความทึ่งที่สามารถคิดเปรียบเปรยได้ถึงขั้นนั้น แต่ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าหญิงสาวกำลังเครียดมากจริงๆ ดูไม่มีร่องรอยล้อเล่นเลยสักนิด แต่ก็มิวายอดถามย้ำไปอีกไม่ได้ “เครียดจริงเหรอ”

“ก็จริงน่ะสิ เพื่อนรุ่นเดียวกับน้องนะแต่งงานมีลูกกันไปเป็นโขยงแล้ว”

“ไม่เห็นจำเป็นเลย ดูอย่างพวกพี่สิ แก่กว่าเราตั้งหลายปียังไม่คิดเรื่องมีลูกเลย”

“แต่ฉันอยากมี!” ชลชาติโพล่งขึ้นมาทันทีอีกทั้งสีหน้ายังขึงขังเป็นอย่างมาก คราวนี้เขาดึงความสนใจได้มากกว่าที่พิรุณรักษ์ทำได้ในตอนแรกเสียอีก

“พูดเป็นเล่น” พีรวิทย์ถามเสียงเข้ม ดูตกใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นท่าทางมุ่งมั่นขนาดนั้นของเพื่อน

“พูดจริง ถึงฉันจะเป็นเกย์ แต่เอาจริงๆ ฉันก็อยากมีลูกกับเขาเหมือนกันว่ะ ทำไมมองกันแบบนั้นล่ะ มันดูยากมากเลยใช่มั้ย”

“ไม่หรอกเจ๊ชลลี่” พิรุณรักษ์วางมือลงบนแขนของชายหัวใจหญิง แม้ปากจะพูดว่า ‘ไม่หรอก’ แต่แววตาของเธอฉายชัดถึงความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง

กับตัวเองที่ดูไม่มีหนทางแต่ก็ยังพอเห็นแสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์ ทว่ากับชายรักชายอย่างชลชาติแล้ว การอยากมีลูกสักคนดูหนทางจะมืดมิดเกินไป

“ไม่ต้องพูดหรอก ถ้าใจไม่ได้คิดแบบนั้น ฉันดูสีหน้าแกก็รู้แล้วว่าไม่ได้คิดอย่างที่พูด”

“ดูออกได้ไงอะ” พิรุณรักษ์ถามเสียงอ่อย ไม่ปฏิเสธความเข้าใจนั้น

“แกน่ะอ่านง่ายยิ่งกว่านิทานของเด็กสามขวบอีก”

“เลิกคิดอะไรเพ้อเจ้อเถอะน่า” พีรวิทย์โพล่งขึ้นมาทำลายสถานการณ์ดราม่าของคนทั้งคู่ เขาตักอาหารรับประทาน เคี้ยวช้าๆ พลางบอกความคิดเห็นของตัวเองออกไป “ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว สมัยนี้มีลูกคนนึงจนไปสิบปี จริงๆ อาจจะยี่สิบปีเลยล่ะมั้ง แถมเด็กก็เลี้ยงยากด้วย จะมาเลี้ยงตามมีตามเกิดเหมือนสมัยก่อนก็ไม่ได้นะ ไหนจะต้องใส่ใจพัฒนาการ ไหนจะต้องคอยเสริมสร้างการเรียนรู้ต่างๆ ดูแลตั้งแต่แบเบาะยันเรียนจบมหาวิทยาลัย ร้ายไปกว่านั้นอาจจะต้องส่งจนจบปริญญาโท พอจบออกมาทำงานได้ แต่ดันเป็นคนขาดความอดทน บ่นอยากลาออกทุกวันขึ้นมา คนเป็นพ่อแม่ก็อาจจะต้องมาตามซัพพอร์ตไปจนตายอีก มีลูกนี่มันดีตรงไหนเหรอ”

นานๆ ทีพีรวิทย์จะร่ายยาวขนาดนี้ แต่พอพูดทีก็เล่นเอาคนฟังถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกไปหลายวินาที

“โอ้โห! สาธยายจนฉันเกือบคล้อยตามแล้วน่ะนี่” ชลชาติหรี่ตามองเพื่อน “แกนี่คิดลบเหมือนกันเนาะ”

“พูดจริงๆ”

เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึกอ่อนไหวต่อสิ่งใดของอีกฝ่ายชลชาติก็ถึงกับปล่อยลมหายใจออกมา “เฮ้อ! แกฟังฉันนะแพท ต่อให้ใครจะพูดยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยนความคิดเรื่องการอยากมีลูกของฉันไปได้หรอก ฉันอยากมีลูก อยากมีใครสักคนที่เป็นรักแท้และทำให้ชีวิตของฉันมีความหมาย”

“แล้วจะทำยังไง แกจะกลับใจเป็นผู้ชายแล้วมีเมียหรือไง”

พอพีรวิทย์พูดแบบนั้น พิรุณรักษ์ก็ถึงกับชักมือออกจากแขนของชลชาติทันทีแล้วมองอีกฝ่ายอย่างระแวงแบบไม่ปิดบังจนชลชาติต้องเท้าเอวมองเพื่อนรุ่นน้อง

“โอ๊ย! ชะนีน้อย ไม่ต้องมาทำเป็นรังเกียจฉันออกหน้าแบบนั้นก็ได้ย่ะ! เพราะถึงยังไงชาตินี้ฉันก็ไม่มีวันเอาหล่อนเป็นเมียแน่นอน แล้วฉันก็เป็นเกย์นะยะ ไม่ใช่เป็นหวัด ที่จะเป็นแล้วหายได้อะ”

“น้องล้อเล่นหรอกน่า ความจริง…ถ้าเจ๊เปลี่ยนใจอยากมีภรรยาขึ้นมาจริงๆ ฉันก็ไม่เกี่ยงนะ”

แทนคำตอบ ชลชาติใช้สายตาไม่สบอารมณ์มองเพื่อนรุ่นน้อง ทำเอาหญิงสาวได้แต่ยิ้มแห้ง

“ก็ถ้าเจ๊ชลลี่ไม่อยากมีภรรยา แล้วจะมีลูกได้ยังไงล่ะ หรือว่าจะใช้วิธีทางการแพทย์ แบบอุ้มบุญอะไรเทือกนั้น”

“ไม่ใช่! ฉันก็หาผู้ชายสักคนที่คิดเหมือนกับฉัน แล้วค่อยไปอุปการะเด็กมาสักคน เลี้ยงเขาให้ดีไง”

“หาผู้ชายยังไงก่อน” พีรวิทย์อดค่อนขอดวิธีคิดของเพื่อนไม่ได้ “แค่หาแฟนสักคนยังยาก แล้วจะหาแบบที่มีความคิดตรงกับเรานี่มันไม่ยากไปกันใหญ่เหรอ”

“โอ๊ย! แพทแกออกมาจากกะลาบ้างนะ โลกนี้เขามีสิ่งที่เรียกว่า ‘แอพฯ หาคู่’ ค่า แล้วมันก็มีกลุ่มให้เลือกตามความต้องการ เราอยากจะได้แนวทางชีวิตคู่แบบไหนก็เข้าไปกลุ่มที่มีแนวคิดเดียวกัน”

ไม่พูดเปล่า ชลชาติยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นที่ว่าให้ดูอีกด้วย

พีรวิทย์อึ้งไปเล็กน้อยกับความจริงจังของเพื่อน ขณะที่พิรุณรักษ์มองภาพบนหน้าจอด้วยแววตาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“แอพฯ แบบนี้มันใช้ได้จริงเหรอเจ๊ชลลี่ ดูอันตรายออก”

“แต่งงานมีลูกกันมาหลายคู่แล้วค่ะคุณน้อง”

พิรุณรักษ์ไม่คิดว่าพรหมลิขิตจะเล่นตลก เธอเชื่อมาตลอดว่า ‘เนื้อคู่นั้นเมื่อถึงเวลาก็มาเอง’ แต่ผ่านเลยเวลามาหลายปีดีดักเธอก็ยังไม่เห็นว่าจะถึงเวลาที่ว่าสักทีเลย

หรือว่างานนี้เธอจะพึ่งพาพรหมลิขิตจากสวรรค์ไม่ได้แล้ว ของบางอย่างหากไม่ใช้การย่อมเสื่อมสลายหมดประโยชน์ไป ความพร้อมของร่างกายในการมีบุตรของหญิงสาวก็เช่นกัน

“งั้น…สอนน้องเล่นบ้างสิ พี่สาวคนสวย”

พิรุณรักษ์มองคนตรงหน้าผ่านโต๊ะอาหารซึ่งถูกเสิร์ฟเป็นที่เรียบร้อย ชายรูปร่างสูงโปร่งนั่งหลังตรงคอตั้งบ่าผึ่งผาย ใบหน้าหล่อเหลาพอประมาณ บุคลิกท่าทางขึงขัง เขาสวมชุดไปรเวต แต่ก็ดูออกว่าชายหนุ่มเป็นคนในเครื่องแบบอย่างแน่นอน เพราะผมถูกตัดเกรียนจนเห็นศีรษะขาวทั้งสามด้าน

พิรุณรักษ์ส่งยิ้มหวานแบบพอประมาณให้คนตรงหน้าอย่างที่พยายามให้ดูไม่เกร็งจนเกินไป

“รถติดมั้ยครับ ระหว่างทางมาที่นี่” ร้อยตรีธนทัตเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

“ก็…ไม่ติดอย่างที่คิดค่ะ สบายๆ คุณทัตล่ะคะ เดินทางมาสะดวกมั้ย”

“ผมมารถไฟฟ้าน่ะ ก็สะดวกดีครับ”

“…”

“…”

บทสนทนาหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ก่อนทุกอย่างจะกลายเป็นความเงียบสงัดก่อให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อชอบกล พิรุณรักษ์ยิ้มแห้งให้กับคู่เดตคนที่สามของเดือนนี้

สงสัยว่าเธอจะทำตัวน่าเบื่อเกินไปอีกแล้วสินะ

“คุณฝนชอบทานผักมั้ยครับ” ธนทัตเริ่มต้นชวนคุยอีกครั้ง

“ไม่ชอบเลยค่ะ”

“ไม่ได้นะครับ ไม่ทานผักทำให้ระบบการขับถ่ายไม่ดี หน้าตาหมองคล้ำขาดความแจ่มใส โรคภัยถามหาด้วย เรื่องนี้ควรฝึกให้เป็นระเบียบวินัยขั้นพื้นฐานเลย ต้องทำให้เป็นนิสัยเพื่อสุขภาพของตัวเองนะครับ งั้นเริ่มต้นจากแตงกวานี่ก่อนเลยแล้วกัน” ธนทัตตักแตงกวาจากชามสลัดผักไปวางลงบนจานของอีกฝ่าย

“แหม! แต่ฉันไม่ค่อยชอบแตงกวาเสียด้วยสิคะ”

พิรุณรักษ์ฉีกยิ้มกว้าง แต่ดวงตาไร้แวว ในใจร้องบอกกับตัวเองว่าเธอไม่ควรนัดเดตกับผู้ชายในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยเมนูเพื่อสุขภาพ เพียงเพราะอยากจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการพบกันครั้งแรก

“ไม่ชอบก็ต้องทานครับ บางครั้งคนเราก็ต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบบ้าง จะกินแต่สิ่งที่ชอบอย่างเดียวไม่ได้นะครับ”

น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้น พิรุณรักษ์ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไล่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจออกไป ทว่าก็ทำได้ยากเย็น

ความคิดของคนผ่านร้อนผ่านหนาวมายี่สิบเก้าปีสามารถบอกได้เลยว่าเธอไม่สามารถรักผู้ชายตรงหน้าได้อย่างแน่นอน

แต่พิรุณรักษ์ไม่รู้เลยว่าความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดของเธอคนเดียว

“อายุขนาดนี้แล้วคุณฝนยังเลือกทานอีก แล้วหากในอนาคตเรามีลูกด้วยกัน คุณจะเป็นแม่ที่ดีได้ยังไงครับ คุณจะบังคับลูกให้ทานผักได้ยังไงในเมื่อคุณเองก็ยังทานไม่ได้เลย”

“เอ่อ! เราเพิ่งพบกันครั้งแรก ทำไมถึงคุยไปถึงเรื่องนั้นเลยล่ะคะ” คนถูกตัดสินว่าเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ถามเสียงอ่อย รู้สึกหวั่นเกรงชายตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายอยู่รอบตัวของเขาที่ทำให้เธอตัวลีบเล็กลงราวกับว่าเธอเป็นทหารในสังกัดของเขาก็มิปาน

“ผมอายุขนาดนี้แล้ว ไม่อยากเสียเวลาไปกับการคุยที่ไร้สาระน่ะครับ”

ครั้งนี้พิรุณรักษ์รู้สึกหน้าชา และอาจจะชาไปถึงกะโหลกศีรษะเลยกระมัง เพราะตอนนี้เธอขยับใบหน้าไม่ได้เลยสักนิด มันแข็งค้างอยู่อย่างนั้น

“ผมต้องการแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เราคุยเรื่องนี้กันไปเมื่อวันก่อนไงล่ะครับ จำได้มั้ย ผมเห็นว่าเรามีความต้องการตรงกันนั่นคือสร้างครอบครัวถึงได้นัดคุณออกมาทำความรู้จักกันในวันนี้ แต่ผมอยากได้ภรรยาที่เพียบพร้อมเรื่องงานบ้านและมีความเป็นแม่เต็มตัว ขอโทษจริงๆ ที่ผมต้องบอกว่าคุณน่าจะขาดคุณสมบัตินั้น ถึงแม้ว่าผมอาจจะเป็นผู้ชายในฝันของคุณ แต่เราคงไปกันไม่ได้ครับ”

พิรุณรักษ์หายจากอาการหน้าชา แต่เริ่มจะหัวร้อนแทน เธอวางช้อนแล้วมองหน้าคนพูดด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย

“เพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่าคะ คุณตัดสินว่าฉันไม่มีความเป็นแม่เพราะแค่ฉันไม่กินผักฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ แต่การที่คุณเที่ยวบงการคนอื่นให้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการตั้งแต่พบกันครั้งแรกเนี่ย มันเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ ไม่ว่าฉันหรือผู้หญิงคนไหนก็คงไม่อยากได้ผู้ชายแบบคุณมาเป็นสามีหรอกค่ะ ประสาทเสียตาย”

 

ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: