บทที่ 3
ว่ากันว่าผู้หญิงเงียบล้วนฟาดผู้ชายเรียบมานักต่อนัก อันนี้อาริสาขอเถียงเล็กน้อยว่าไม่จริงเสมอไป อย่างเธอเป็นผู้หญิงเงียบและเรียบร้อยก็ไม่เคยนอกใจผู้ชาย เอาจริงๆ แล้วเธอน่ะเน้นคบยาวๆ คบทีละคน ต่อต้านการคบซ้อนด้วยซ้ำ
“ฉันว่าแกหาคนใหม่เถอะ ฉันทำไม่ได้หรอก แล้วถ้าแมนรู้ล่ะก็…”
ไม่อยากจะนึกสภาพตัวเองตอนนั้นเลย ปกรณ์เสียงสองของเธอหากรู้เรื่องนี้คงใช้เสียงหนึ่งทั้งด่าทั้งตีเธอแน่ๆ ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้ชายสายตบตี แต่เขาอาจจะทำกับเธอขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้
“นะๆ พวกแก แมนย้ำแล้วย้ำอีกกับฉันว่าห้ามคุยกับผู้ชายอื่น พวกแกสงสารฉันเถอะนะ ปล่อยลูกนกสวยๆ น่ารักอย่างฉันไป” น้ำตาเธอคลอแล้วนะ คลอมากๆ แล้ว จะหยดติ๋งลงมาแล้ว
หญิงสาวในชุดกีฬาสีขาวพอดีตัวเกาะเสาแน่นราวกับถูกวิญญาณจิ้งจกผสมตุ๊กแกเข้าสิง ขณะที่จีรดาก็พยายามดึงเธอให้เข้าไปในฟิตเนสที่เป้าหมายชอบมาออกกำลังกาย
“อย่าลีลาน่ายายแอ๊นท์ นี่มันหน้าที่แก เราตกลงกันแล้ว”
“ตกลงกับผีสิ พวกแกตกลงกันเองแล้วมาโบ้ยฉัน”
ก็บอกแล้วไงว่าเธอยังไม่อยากถูกฆ่าด้วยสายตาลุกเป็นไฟกับเสียงเกินมาตรฐานของคู่หมั้นตอนกลายร่างเป็นปีศาจ ที่สำคัญเธอเพิ่งอายุยี่สิบหกเองนะ! มันน้อยเกินไปที่จะถูกคู่หมั้นฆ่าปาดคอ!
“แกเหมาะที่สุดแล้วล่ะแอ๊นท์” จีรดากล่อมเสียงอ่อน ยกนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ข้อแรก…แกลองคิดดูสิ นายภิมุขไม่รู้จักแกใช่ไหมล่ะ”
“กะ…ก็ใช่” ไม่อยากยอมรับแต่อาริสาก็โกหกความจริงไม่ได้ คนน่ารักที่เกาะเสาแน่นได้แต่จำใจพยักหน้าหงึกๆ
“แกหน้าตาก็โอเคใช่ไหมล่ะ” นิ้วกลางเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้วและคนที่กำลังถูกชักจูงก็พยักหน้าอย่างจำยอม “แล้วแกก็เล่นกีฬาเก่ง หุ่นก็ดีใช่ไหม”
“ก็พวกแกบอกว่าฉันอ้วนง่าย แล้วแมนก็ชอบผู้หญิงเฮลตี้”
“แกทำดีมาก หุ่นแกตอนนี้นิ่มๆ น่ากอดสุดๆ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ กลมกลึงไปทั้งตัว เทรนเนอร์คนนี้ปั้นหุ่นแกซะสวยเช้งเลย”
“อือๆ ครูดี” คนเกาะเสาพยักหน้าหงึกหงักยิ้มหวาน อาการบ้ายอกำเริบ
“ดังนั้น…”
“ว่า…” ตากลมโตแป๋วแหววของอาริสาจับจ้องเพื่อน
จีรดาเว้นระยะในประโยค จ้องตาคนที่กำลังตั้งใจฟังด้วยรอยยิ้ม
“ชุดกีฬาน่ะถ้าใส่ตัวเล็กๆ รัดๆ ซะหน่อยขี้คร้านหนุ่มๆ จะมองจนน้ำลายหก เห็นไหมว่าตรงสเป็กเป้าหมายทุกประการ เอวแกเล็กมากเลยนะตอนนี้ ผู้ชายเอาสองมือประกบก็จับได้รอบแล้ว น่าอวดเว่อร์ๆ”
“จริงเหรอ แกไม่ได้แกล้งชมฉันเท่านั้นใช่ไหม”
“บ้า ใครจะทำแบบนั้นได้ลงคอ” จีรดาขยิบตาให้มัชฌิมา บอกให้เพื่อนอีกคนรีบฉวยโอกาสตอนที่อาริสากำลังล่องลอยเพราะความบ้ายอค่อยๆ แกะมือเธอออกจากเสา “และที่สำคัญแกไม่อยากช่วยเพื่อนรึไง ถ้านายภิมุขไม่รู้จักพวกฉัน พวกฉันก็ทำกันเองแล้ว ไม่มาบังคับแกอย่างนี้หรอก แกก็รู้ว่าพวกฉันสองคนก็สวยไม่ใช่เล่นๆ นะยะ”
“ก็จริง” ในกลุ่มแก๊งสี่คนของพวกเธอน่ะ อาริสาอ่อนด้อยที่สุดแล้ว ตอนได้คบเป็นแฟนกับปกรณ์ตามหลักเธอต้องเลิกกับเขาภายในหนึ่งปีตามกฎของแก๊งที่ห้ามผูกมัดตัวเองไว้กับผู้ชายคนเดียว อย่างจีรดาก็เปลี่ยนแฟนทุกหกเดือน มัชฌิมาอีกคนที่ชอบคุยกับผู้ชายไปทั่ว ถึงไม่คบแต่เจ้าตัวก็ทั่วถึงตลอด ไม่ต้องพูดถึงพิมมาลาเลย แต่เธอน่ะ…เธอน่ะ…ฮือๆๆๆ มีแฟนก็มีแค่ปกรณ์มาคนเดียวตลอด ภักดีข้าวเหนียวนึ่งสุดๆ
“พวกเราในแก๊งไม่มีใครอยากให้แกเป็นผู้เสียสละหรอกนะแอ๊นท์ แต่แกต้องเข้าใจนะ แกเข้าใจพวกเราใช่ไหมเพื่อน”
อืม…
เธอชะงักไปกับคำพูดของมัชฌิมา จะว่าไปมันก็ถูกนะ เถียงไม่ได้เลยแหละ เพราะถ้าเทียบกันแล้วในกลุ่มของพวกเธอ เอาแบบเป็นกลางด้วยเอ้า! เธอสวยน้อยที่สุดแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น…
“แต่ฉันมีคู่หมั้นแล้วนะ” หญิงสาวบอกเพื่อนเสียงอ่อย
“หมั้นแบบไม่เป็นทางการพวกฉันไม่ถือว่าเป็นคู่หมั้นกันหรอกย่ะ และที่สำคัญตาแมนหวานใจแกยังไม่กลับมาตอนนี้หรอกน่า เอาน่า! อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิ ฉันรับรองว่าปฏิบัติการแก้แค้นของพวกเราจะเสร็จทันก่อนแฟนแกกลับมาแน่นอน” มัชฌิมาให้ความมั่นใจ
“แน่นะ?”
“แน่สิ”
“กะ…ก็ได้” ร่างบางยอมปล่อยเสา เมื่อกี้กอดแน่นจนเสาอุ่นเลย “เอากระเป๋าเสื้อผ้ามาสิ เดี๋ยวฉันหิ้วเอง”
“ไม่ต้อง แกมีหน้าที่อ่อยอย่างเดียว พวกฉันยอมเป็นเบ๊แก อย่างนี้ถึงยุติธรรม” จีรดาสรุปจบแล้วรุนหลังเธอให้เดินเข้าอาคาร
“ผู้ชายที่นั่งตรงโต๊ะนั้นไง นายภิมุขล่ะ” จีรดากระซิบกับเหยื่อล่อปลาที่ตอนนี้นั่งกระสับกระส่ายอย่างน่าสงสาร อาริสาไม่อยากมองหรอก ตอนนี้ยังทำใจมองผู้ชายอื่นนอกจากปกรณ์ไม่ได้
“เฮ้ย นี่แกฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่าไอ้แอ๊นท์ ฉันบอกว่าโน่นไงนายภิมุข”
“เดี๋ยวค่อยมอง”
“จะมาเดี๋ยวทำไม อีกสักพักฉันกับไอ้ปอก็จะเดินออกไปแล้ว จะทิ้งแกไว้คนเดียวแล้วนะ”
คนตัวเล็กเจ้าของดวงตากลมโตขนตางอนเด้งถอนหายใจยาว เหลือบมองไปทางทิศที่เพื่อนบอกแล้วก็รีบหันกลับทันที
“นั่นเรียกว่ามองเหรอ ฉันนึกว่าแกสะบัดหน้า”
“เปล่าซะหน่อย”
“จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะ เอ้านี่บัตรของแก” มัชฌิมาเดินกลับมารวมกลุ่ม บ่นกระปอดกระแปด “ค่าสมาชิกแพงหูฉี่มากๆ พวกเราหารสามยังตกคนละเกือบหมื่นอะ”
มะ…หมื่นเลยเหรอ ฮือออออ เงินค่าสปาผิวของช้านนนน
“นี่ ฉันให้แกดูเป้าหมายนะยะ ไม่ใช่ให้มาทำตาละห้อยเสียดายเงิน”
จีรดาจับหน้าของเธอให้หันกลับมา คราวนี้ไม่ยอมปล่อยแก้มนิ่มทั้งสองข้างของเธอด้วย บังคับให้เธอดูให้ได้
เชอะ! หน้าตาก็ธรรมดาเหมือนในรูปถ่ายตามหน้าสังคมไฮโซ สามัญชนจะตาย จะต่างก็ตรงที่…ตัวสูง หุ่นนักกีฬา ท่าทางมั่นใจ ยิ้มเก๋ โอเคๆ สรุปว่าดูดีก็ได้ แต่ก็ดูดีแค่ภายนอกแหละ
“เป็นไง ดูดีมากๆ เลยใช่หรือเปล่า”
“ก็งั้นๆ” เธอย่นจมูก
“อีแอ๊นท์ ซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อย”
ก็ได้! ยอมรับก็ได้ว่าหล่อมาก หุ่นดีที่สุด ตัวก็สูง ผิวก็ขาว ยิ้มก็เท่ แววตาก็วาววับ ขนาดว่าตอนนี้กำลังเหงื่อโซมหลังจากออกกำลังกายมาหนักๆ ก็ยังเปล่งปลั่งปลดปล่อยฟีโรโมน! แต่ถึงอย่างนั้น…ก็สู้ปกรณ์เสียงสองของเธอไม่ได้หรอก รายนั้นน่ะ…รายนั้น…ระ…ระ…ระ…ระ…รายนั้น…
อาริสาลุกพรวดจากเก้าอี้ ทำเอาเพื่อนที่เหลืออีกสองคนเกือบอุทานเสียงหลง แต่ไม่…อาริสาไม่สนใจเพื่อนหรอก ตากลมๆ วับหวานของเธอนั้นจ้องผู้ชายในปฏิบัติการของตนเอง
“โอมายก็อดดด” เธออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ถอยหลัง…ถอยไปเลยถึงสามก้าว ไม่ต่างจากนางเอกในซีรี่ส์ละครจีนที่กำลังติดตาม อุ๊ยตายแล้ว! ตายจริงๆ เป้าหมายเธอ ปะ…เป้า เป้าหมายถนัดมือซ้าย!
ในใจของอาริสานั้นคุกเข่าท่ามกลางสายฝนไปแล้ว พระพรหมเจ้าขา นี่ท่านกำลังแกล้งลูกใช่ไหม ท่านก็รู้นี่ สำหรับลูกแล้วผู้ชายที่ถนัดมือซ้ายน่ะเซ็กซี่ที่สุดในจักรวาล!
“แอ๊นท์…ยายแอ๊นท์” จีรดาฉวยแขนเธอไว้แน่น “ตั้งสติก่อนเพื่อน อย่าลืมว่าเขาไม่ใช่คนดี ฟังนะ ผู้ชายถนัดมือซ้ายไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนดี แกเข้าใจใช่ไหมยายบ๊อง”
“ใจฉันสั่นหมดแล้วตอนนี้” อาริสาหันไปสบตาเพื่อน ทำยังไงดี หัวใจเธอส่งสัญญาณ SOS ระรัวเลย
“แต่เขาสะดือจุ่นนะแก” จีรดาซึ่งยังจับแขนเธอไว้แน่นรีบกระซิบที่ข้างหู “ฉันเคยเห็นหน้าท้องของเขาตอนเขาว่ายน้ำ จุ่นจริงๆ จุ่นของแท้”
“อย่ามาแกล้งฉันนะ”
“ใครจะทำแบบนั้น นายภิมุขน่ะสะดือจุ่นจริงๆ ไม่เชื่อถามไอ้ปอสิ”
“จริงเหรอปอ”
“ใช่”
หมดกัน! จบกัน! นานๆ จะเจอผู้ชายเพอร์เฟ็กต์นอกจากตาแมนสุดยอดหวานใจของเธอ ทำไมคนใหม่คนนี้ถึงไม่เพอร์เฟ็กต์ทุกองศา
“เอาล่ะ เช็ดน้ำลายให้เรียบร้อย” มัชฌิมาส่งกระดาษทิชชูมาให้ “คราวนี้ก็ดำเนินการตามแผนได้แล้วนะ จำไว้ว่าสำหรับแกเขาไม่ใช่ผู้ชายเพอร์เฟ็กต์น่าครอบครองอีกต่อไป สู้ๆ”
ถูกเพื่อนสองคนโหมเชื้อไฟ อาริสาซึ่งยอมเป็นเหยื่อล่อปลาสูดลมหายใจลึกๆ เอาก็เอา! แค่จีบผู้ชายมาทิ้งเท่านั้นเอง!
“เก็บค่าประสบการณ์เอาไว้ อย่าหัดคบแค่ผู้ชายคนเดียว คิดเสียว่าตอนนี้แกเป็นโสด โอเค้?” เทรนเนอร์จีรดาป้องปากกระซิบสอนอยู่ข้างหู
“อือๆ รู้แล้วๆ” อาริสาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอกำลังจะหยิบกระเป๋ากีฬาแต่ก็ถูกเพื่อนรั้งไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งไป” มัชฌิมาชี้นิ้วไปที่นิ้วนางข้างซ้าย “แหวนที่นิ้วน่ะถอดออกซะก่อน เดี๋ยวความก็แตกกันพอดี”
“ไม่ถอดไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“แต่แมนเขาสั่งไว้น่ะสิ” เธอต่อรอง
“ถอดเดี๋ยวนี้” มัชฌิมาสั่งเสียงเฉียบ “ไม่ต้องทำน้ำตาคลอเลย ถอดมาให้พวกฉันก่อน”
“มะ…ไม่เอานะ”
“ปอๆ อย่ากดดันยายแอ๊นท์นักเลยน่า” จีรดาไกล่เกลี่ย “ให้ยายแอ๊นท์ใส่นิ้วอื่นก็ได้ แอ๊นท์ใส่นิ้วอื่นได้ไหมล่ะ”
“ก็ได้นะ”
“เอางั้นก็ได้ แต่ไม่มีข้อแม้อีกแล้วนะ เรื่องไอ้แมนน่ะตอนนี้แกมีหน้าที่ต้องปล่อยเบลอ” มัชฌิมาสั่งเสียงเข้ม กอดอกประมาณว่าถ้ายังเรื่องมากอีกก็ลุกไปตบกันเลยดีกว่า
เมื่อรู้ว่าต่อรองไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว อาริสาจึงได้แต่ถอนใจ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอยากแก้แค้นแทนเพื่อนจ้างให้เธอก็ไม่ทำหรอก เธอไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจสนุกกับการปั่นหัวผู้ชายซะหน่อย
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” อาริสาละล่ำละลักขอโทษคนตรงหน้าหลังจากที่ทำน้ำหกใส่ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยมาดที่ใสซื่ออย่างที่สุด ขุดฟีลลิ่งการแสดงของนางเอกเก่า ลืมเล่าไปใช่ไหมล่ะ สมัยเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์น่ะเธอจบโทการแสดง
“ไม่เป็นไรครับ เปรอะนิดเดียวเท่านั้น” คนตรงหน้าพูดเสียงนุ่มหลังจากที่มองเธออย่างตกตะลึง ก็แหม…ไอ้ชุดกีฬาที่ยายเพื่อนสองคนเลือกให้มันรัดสุดๆ ไปเลยนี่ แถมตรงเอวก็เว้าให้เห็นเนื้อนวลซะด้วย อีกนิดก็จะเป็นชุดว่ายน้ำอยู่แล้ว
“เอ๊ะ! นี่คุณเพิ่งมาเล่นที่นี่หรือเปล่าครับ ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” นายภิมุขเปิดบทสนทนาก่อน
โธ่เอ๊ย! ตาขี้หลี ไม่รู้ยายพิมไปชอบได้ไง ไอ้พวกอ้าปากก็เห็นลำไส้เล็ก!
“พอดีแอ๊นท์เพิ่งจะมาเล่นครั้งแรกน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” เธอโปรยยิ้มหยาดเยิ้มให้ชายหนุ่ม ทำเป็นไม่สนใจเขา เดินออกมาอย่างมั่นใจด้วยมาดนางพญาสุดแสนเซ็กซี่ ฮือ…ขอโทษนะแมน นี่จะเป็นการยิ้มให้ชายหนุ่มคนอื่นนอกจากคุณครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของแอ๊นท์
เปาะแปะๆๆ
จีรดาปรบมือให้การแสดงเปิดฉากของเพื่อนรักด้วยความทึ่ง ปากก็ถามเพื่อนอีกคนที่ยืนกอดอกลุ้นดูอยู่ด้วยกันข้างๆ
“ยอดไปเลย แกเห็นตอนที่ยายแอ๊นท์เดินออกไปหรือเปล่า”
“ฝีมือใช้ได้ ฉันว่างานนี้มีลุ้นแน่” มัชฌิมาเองก็มั่นใจขึ้นมาอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ “จริงสิ ว่าแต่แกไปเห็นสะดือของนายภิมุขตอนไหนถึงได้รู้ว่าสะดือจุ่น”
จีรดายักไหล่ตามความเคยชิน “ไม่เคยเห็นหรอก”
“อย่ามาตอนะ”
“สาบานเลยย่ะ อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิ ไม่เคยเห็นจริงๆ แต่ฉันเห็นหน้ายายแอ๊นท์ตอนตะลึงกับความหล่อของนายภิมุขก็เลยพูดส่งๆ ไปน่ะ แกก็รู้นี่ว่ายายนั่นไม่ชอบผู้ชายสะดือจุ่น”
“ฉลาด” มัชฌิมาตบไหล่เพื่อนรักที่ฉลาดในการแก้ปัญหา
“แน่นอน ฉันจบหมอนะ ขอบใจ”
อีกด้านหนึ่ง
ผู้หญิงที่เดินผ่านหน้าเขาไปอย่างไม่ไยดี ยามเธอเดินจากไป เธอทิ้งไว้เพียงแค่กลิ่นหอมจากเส้นผมสีโค้กที่ซอยระลำคอขาวเนียน ปลายจมูกของเขายังรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมพิเศษนั้น สะดุดใจเขาอย่างน่าประหลาด หนุ่มโสดที่ไม่สดยิ้มออกมาระหว่างที่มองตามร่างบาง น่าเล่นด้วยอยู่นะ ชื่อแอ๊นท์…แอ๊นท์อย่างนั้นเหรอ
กว่าจะรู้ตัวว่าการโปรยเสน่ห์แบบยั่วๆ นั้นได้ผลเวลาก็ผ่านมาเกือบห้าวันแล้ว เพื่อนของเธอวางแผนให้อาริสาแวะมาที่สปอร์ตคลับแห่งนี้อาทิตย์ละห้าวัน แล้วก็เป็นห้าวันที่ไม่ได้พบกับภิมุขทุกครั้ง ประหนึ่งว่าที่เธอมาก็เพื่อใช้บริการห้องออกกำลังกายเท่านั้น ไม่ได้มาเพื่ออ่อยเขาแต่อย่างใด
ใช่ไหมล่ะ คนเราจะอ่อยทั้งทีก็ต้องมีเล่ห์เหลี่ยมกันหน่อย
อาริสานั่งมองร่างสูงที่คล้ายกำลังคอยใครอยู่ที่หน้าทางเข้า แพขนตาของเธอหรี่ลง มุมปากก็กระดกขึ้นอย่างถูกใจ
‘ข่าวดีนะพวกแก ปลาใกล้จะฮุบเหยื่อแล้ว’
อาริสารีบส่งข้อความไปรายงานผลความคืบหน้า จากนั้นก็นั่งยิ้มกริ่มต่อในรถ
สี่วันที่แล้วมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ตอนนั้นเธอกำลังตีสควอชอยู่ในห้อง แล้วจู่ๆ ก็เกิดล้มจนเจ็บข้อเท้า ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเงาหนึ่งก็ปราดเข้ามา ตอนที่เงยหน้าขึ้นสบตากัน อาริสาก็พบว่าเขาคือภิมุข ภูเบศอรรถพงศ์
วันนั้นเขาดูแลเธอด้วยความสุภาพ ท่าทางเป็นสุภาพบุรุษที่แม้แต่จะแตะข้อเท้าเธอนั้นก็ยังต้องขออนุญาต ทำเอาอาริสาถึงกับเคลิ้ม แผนทรมานสังขารในที่สุดก็ได้ผล เจ็บข้อเท้านิดหน่อยแต่ก็นับว่าคุ้ม ไม่ต้องเสียเวลาทอดสะพานเพิ่มอีก
เขาเสนอตัวพาเธอไปโรงพยาบาล ถ้าเป็นผู้หญิงทั่วไปก็คงรีบฉวยโอกาสนี้สานสัมพันธ์กับเขา ทว่ามัชฌิมากับจีรดาสั่งแล้วสั่งอีกห้ามเธอใจร้อน สมองน้อยๆ ของคุณเจ้าของร้านกาแฟอย่างเธอก็เลยเลือกที่จะปฏิเสธ ปรับแผนทรมานสังขารให้กลายเป็นกลยุทธ์ถอยเพื่อรุกขึ้นมาทันควัน
ซึ่งก็ได้ผล
พอส่งข้อความไปรายงานเพื่อนเรียบร้อยเธอก็นั่งมองเขาอยู่ในรถอีกหน่อย วันนี้ภิมุขมาถึงสปอร์ตคลับเร็วกว่าปกติ อืม…เร็วกว่าตั้งเกือบสองชั่วโมงแน่ะ
“ใจผู้ชายก็แบบนี้ล่ะนะ” อาริสาสรุป ประสบการณ์การอ้อนของปกรณ์ทำให้เธอรู้ว่าผู้ชายส่วนมากน่ะเวลาอยากได้อะไรก็จะต้องเอามาให้จงได้นั่นแล ผู้ชายน่ะมีสัญชาตญาณนักล่าฝังอยู่ในกระดูก
เธอไม่รู้หรอกว่าข้อสันนิษฐานของเธอนั้นถูกต้องมากแค่ไหน นี่หากอาริสารู้ว่าภิมุขถึงขนาดยอมยกเลิกนัดกับคู่ควงคนใหม่ซึ่งเป็นนางแบบสาวที่เพิ่งคบกันได้ไม่นาน เธอคงภูมิใจมากกว่านี้ เอาไปคุยโวกับเพื่อนได้อีกหลายวัน
ด้านภิมุขนั้นหลังจากยืนกระวนกระวายอยู่นาน ชายหนุ่มก็เริ่มหันมายิ้มขัน เขารู้ตัวดีว่าเวลานี้อาการตนเองช่างเหมือนวัยรุ่นที่เพิ่งริมีความรัก เรื่องแบบนี้ไม่เกิดกับเขามานานมากแล้ว
หญิงสาวที่มีกลิ่นผมหอมคนนั้นน่ารักมาก ตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตาเหมือนตุ๊กตาตาแป๋ว ตอนที่เจ้าหล่อนหกล้มแล้วเขารีบเข้าไปดู ดวงตาสีดำสนิทกลมโตเหมือนลูกเกาลัดนั้นคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำตาใสๆ ภิมุขไม่เคยเชื่อเลยว่าตัวเขาจะเกิดอาการแพ้น้ำตาผู้หญิง ทว่านาทีนั้นหัวใจด้านชาของเขาเหมือนถูกปลายเล็บมนของเธอข่วนเอาๆ จากไม่เคยคิดว่าหัวใจตนนั้นมีความรู้สึก บัดนั้นมันก็เกิดรู้สึกรู้สาขึ้นมาจนได้ นั่นทำให้เขาสามารถปฏิเสธคำชวนของนางแบบสาวที่เพิ่งควงกันได้ไม่กี่วันอย่างไม่เสียดายเพื่อจะมาดักรอผู้หญิงที่เขาพบในสปอร์ตคลับ…ผู้หญิงน่ารักที่ชื่อแอ๊นท์
ชายหนุ่มเหลือบดูนาฬิกาข้อมือราคาแพง
เขายอมเสียเวลาอันมีค่าของตนเองร่วมสองชั่วโมง เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า บางทีวันนี้เธออาจไม่มา ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ สมเพชตนเองเอามากๆ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เห็นทีต้องระวังเอาไว้บ้างแล้ว
“อ้าว คุณภิมุขจะกลับแล้วเหรอคะ”
ตอนที่คิดจะกลับ น้ำเสียงสดใสก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ใต้แสงเงาของช่วงเวลาพลบค่ำ ร่างบางที่เดินส่งยิ้มหวานสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าตรงมาหาเขานั้นช่างน่ารักอะไรอย่างนี้
“เสียดายจัง วันนี้เราสองคนสวนกันเสียแล้ว” อาริสาทักชายหนุ่มอย่างร่าเริงเมื่อเดินสวนกันที่ประตูทางเข้า ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วเธอกะให้เขารอสักหนึ่งชั่วโมงก็พอ แต่เพื่อนของเธอทั้งสองคนดันส่งข้อความมาห้ามไว้ ไม่ให้เธอเดินไปหาเขาด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้เป็นการเร่งปฏิกิริยาของปลาภิมุขให้อยากกินเหยื่ออย่างเธอเร็วขึ้น ยายสองคนนั้นบอกว่าผู้ชายยิ่งได้เรายากก็จะยิ่งอยากได้ไม่สิ้นสุด เป็นจุดอ่อนหนึ่งที่พวกหล่อนทั้งสองเอาไว้ใช้ปั่นหัวผู้ชายมาตลอดหลายปี
“คุณแอ๊นท์” ปลาน้อยทักเธอนัยน์ตาพราว “ทำไมวันนี้มาช้าจังเลยล่ะครับ”
“พอดีแอ๊นท์ต้องไปทำธุระหลายที่น่ะค่ะ คุณภิมุขจะกลับซะแล้ว แอ๊นท์ว่าจะชวนคุณเล่นสควอชซะหน่อย” หญิงสาวทำหน้าเสียดาย
“ไม่เป็นไรครับ ผมเล่นเป็นเพื่อนคุณแอ๊นท์ก็ได้ แถมเต็มใจด้วยนะครับ” ปลาน้อยขยิบตาให้
เยส! ต้องอย่างนี้สิจ๊ะพ่อปลาสุดหล่อของฉัน
ดีใจได้ไม่นาน อาริสาก็รู้สึกเหมือนเธอจะตายอยู่รอมร่อ
บอกไปแล้วนะว่าเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กบอบบาง จะมาตีกันรุนแรงแบบนี้ไม่ได้ นี่อะไรตบเอาๆ เล่นอวดเธอหรือว่าจะเล่นเพื่อฆ่าเธอกันแน่ อาริสาสงสัย อาริสาอยากรู้!
“เดี๋ยวเราไปทานอาหารแล้วก็ฟังเพลงกันไหมครับ หวังว่าคุณแอ๊นท์คงไม่เหนื่อยจนปฏิเสธผม” ภิมุขชักชวนทันทีที่เธอกับเขาเดินออกจากห้องสำหรับเล่นสควอช สีหน้าของเขาคึกคักตรงกันข้ามกับเธอราวฟ้ากับสะดือทะเล
โอ๊ย! ไม่เหนื่อยเลย ไม่เหนื่อยสักนิด แค่เหมือนกับวิ่งมาสักห้ากิโลเท่านั้น! ผู้ชายอะไรตีแรงยังกับโคถึก สงสัยเสร็จงานนี้กล้ามเนื้อแขนกับขาของเธอต้องเป็นมัดๆ แน่ๆ อาริสาซึ่งบูชาความกลมกลึงของเรือนร่างอยากจะร้องไห้
“ก็ได้ค่ะ ว่าแต่ที่ไหนคะ” แม้จะฝืนใจ หากเพื่อความสำเร็จของแผนการ หญิงสาวจึงฉีกยิ้มหวานขณะที่ถามอย่างกระตือรือร้น
“ผมมีร้านโอมากาเสะเจ้าประจำ คุณแอ๊นท์สนใจไหมครับ”
อะ…อาหารญี่ปุ่นเหรอ
ให้ตายสิ ใช้แรงจนหมดพลังขนาดนี้ เธอจะต้องไปนั่งกินอาหารคำน้อยๆ ที่เชฟค่อยๆ บรรจงปั้นให้ทีละคำเนี่ยนะ ปฏิเสธได้ไหม ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวรถเข็นอะไรก็ได้ เธอหิวจะตายอยู่แล้ว อีกนิดก็จะคลานบนพื้นแล้วนะ
แล้วก็เป็นแบบนี้ไปอีกทุกครั้งที่เล่นกีฬาด้วยกัน เสร็จจากการโหมแรงหนักๆ ก็จะพากันไปร้านอาหารหรูหราราคาแพง
ฟูลคอร์สแบบแมวดม
ฟูลคอร์สที่เนื้อน้อยจนน่าใจหาย
เป็นแบบนี้ตลอดก็ไม่ไหวนะ เธออยากได้เนื้อมากๆ เลยนะ เนื้อๆๆๆๆๆ!
ฮือ…พอแยกจากเขาเธอต้องกลับไปทำมื้อดึกกินต่อที่บ้านตลอดเลย กินข้าวก่อนนอนใครเขาทำกันบ้าง กรดไหลย้อนกันพอดี!
เอาล่ะ วันนี้เธอจะปฏิเสธเขา ต่อให้จะโดนจีรดากับมัชฌิมาต่อว่า เธอก็จะปฏิเสธไม่ยอมไปกินมื้อเย็นกับเขาอีกแล้ว
“วันนี้…”
“วันนี้แอ๊นท์คงต้องกลับก่อนค่ะ” เธอเดินเช็ดเหงื่อออกมาพร้อมกับเขา แก้มกลมใสเป็นสีเลือดฝาดขณะที่เงยหน้าอธิบาย “วันนี้มีธุระตอนค่ำ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะคะ”
“เหรอครับ วันนี้ผมว่าจะลองชวนคุณแอ๊นท์ไปชิมอาหารไทย”
“อาหารไทย?” ที่แปลว่าข้าวเยอะๆ กับเยอะๆ ใช่ไหม
“เป็นแนวฟิวชั่นน่ะครับ ร้านนี้อร่อยมาก ร้านประจำของผมกับครอบครัว”
“เห…”
“งั้นเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”
“จะว่าไปธุระก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอกค่ะ เอาไว้ทำพรุ่งนี้เช้าก็ได้”
“เอาอย่างนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ แบบนี้แหละดี”
‘ควิซีน เดอ ริเวอร์’ เป็นร้านอาหารไทยฟิวชั่นที่บรรยากาศดีสมกับที่เขาการันตีมาตลอดทาง แล้วพอได้มาเห็นด้วยตา อาริสาก็ยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ
ที่นี่มีลมจากแม่น้ำพัดมาเอื่อยๆ แม้ว่าจะมองเห็นแสงไฟรถยนต์ที่ติดยาวเหยียดบนสะพานกับแสงไฟจากเรือขนสินค้า แต่บรรยากาศของแม่น้ำยามค่ำพอผสานกับทิวทัศน์ของเจดีย์ใหญ่ที่สะท้อนแสงสีทองจากสปอตไลต์ตรงฐานเจดีย์ ภาพนวลนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกสงบ ผ่อนคลายลงได้อย่างน่าประหลาด
“สั่งอาหารเยอะอย่างนี้จะทานหมดเหรอคะ” เธอถามเสียงหลงทันทีที่ฟังบริกรทวนรายการอาหารทั้งหมด กินทิ้งกินขว้างจัง มีอย่างที่ไหนมากันสองคนสั่งมาตั้งห้าหกอย่าง แถมในรายการก็ยังไม่รวมออเดิฟอีกสองเมนู!
“ทานไม่หมดก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่รับรองเลยครับว่าของที่ผมสั่งน่ะอร่อยทุกอย่าง” ภิมุขเน้นประโยคสุดท้าย “ผมเห็นคุณแอ๊นท์ไม่ค่อยชอบอาหารต่างประเทศ ก็เลยเดาว่าน่าจะชอบอาหารไทย”
“เอ๊ะ? แอ๊นท์ไม่เคยบอกนี่คะ”
“ผมเฝ้ามองคุณแอ๊นท์เสมอครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” เขาใช้มือซ้ายผายมือไปทางเครื่องดื่ม
โอ้ว อย่าๆๆ อย่าใช้มือซ้ายกับเธอเลยขอร้อง!
ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่มีเจ้าของแล้วของเธอเหมือนถูกเขาข่วนตะกุย ภิมุข ภูเบศอรรถพงศ์ชักจะอันตรายต่อหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอ
อาริสารีบเสไปคว้าแก้วเครื่องดื่มน้ำสมุนไพร เธอจิบเล็กน้อยเป็นการแก้เขิน
“รสชาติถูกใจไหมครับ”
“ดีค่ะ ไม่หวานมาก ร้านคงใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาลแน่ๆ”
“น่าจะอย่างนั้นครับ อีกเดี๋ยวลองทานกับข้าวของเขาดู”
“แหม พูดอย่างนี้ชักอยากลองทานไวๆ แล้วสิว่าจะจริงอย่างที่คุณนำเสนอหรือเปล่า” หญิงสาวพยายามดัดเสียงให้ดูเหมือนพอใจกับสิ่งที่คนตรงหน้ามอบให้ ลึกๆ ก็สั่งตัวเองว่าจะต้องทำใจแข็งๆ อย่าได้อ่อนไหวกับความเอาใจใส่ของผู้ชายเบื้องหน้า
ภิมุขๆๆ ผู้ชายคนนี้หักอกยายพิมนะ แถมยังทิ้งขว้างจนยายพิมไม่เหลือสภาพดีๆ อีกด้วย
กับข้าวถูกวางเรียงบนโต๊ะเกือบพร้อมกัน เมนูทั้งหมดนั้นล้วนดูน่ารับประทานไม่น้อย หอยเชลล์ทอดที่วางเป็นแถวอยู่บนเครื่องยำนั้นดูชุ่มฉ่ำสดใหม่ มีปลาหิมะหั่นแว่นนึ่งมะนาวพริกสดวางอยู่ข้างๆ รสจืดหน่อยก็จะเป็นแซลมอนทอดราดซอสส้ม วางเคียงกับเต้าหู้นึ่งปลากะพงขาว ส่วนที่เป็นน้ำแกงนั้นคือต้มยำปลาทะเลน้ำใส
“มีแต่ปลาเกือบทั้งนั้น คุณชอบทานปลาเหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นอาหารทั้งหมดบนโต๊ะ
“ผมคิดว่าคุณแอ๊นท์น่าจะควบคุมน้ำหนัก”
“เอ๊ะ! คุณว่าแอ๊นท์อ้วนเหรอ”
“ไม่ใช่นะครับ” ปลาน้อยภิมุขรีบอธิบายเมื่อเห็นเธอมองเขาด้วยความโมโห “ผมไม่ได้ว่าคุณแอ๊นท์อ้วนนะครับ เพียงแต่ผมเห็นผู้หญิงที่มาออกกำลังกายส่วนมากมักทำเพื่อลดน้ำหนักกัน”
“แอ๊นท์ไปออกกำลังกายเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้อยากลดน้ำหนักหรอก” เธอตอบพลางตักเต้าหู้หั่นเต๋าเข้าปาก อืม…อร่อยแฮะ ไหนลองเมนูอื่นบ้างซิ แซลมอนทอดก็หวานดี กินสักสองคำ…ไม่สิ เอาสักสามคำแล้วกัน
และอย่างไม่คาดคิด อาหารที่คนตรงหน้าสั่งมาถูกเธอกวาดซะเรียบวุธด้วยความลืมตัว อาจจะเพราะรสชาติอาหารที่ถูกปากหรือไม่ก็เป็นเพราะบรรยากาศที่แสนจะเป็นใจ ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัวของเธอหรอกนะ กว่าจะนึกได้ว่าเธอลืมกฎข้อแรกของสาวเซ็กซี่ เนื้อปลาแซลมอนในปากก็เกือบติดคอ!
‘จำไว้นะแอ๊นท์ กฎของสาวสวยแนวยายพิมน่ะ’ เสียงของเพื่อนเธอดังเบาๆ ในสมอง ‘ผู้หญิงสวยสปีชี่ส์เซ็กซี่ มาดผู้ดีมันต้องทานน้อยๆ ห้ามแกแปลงร่างเป็นปอบบวกกระสือหิวอย่างที่แกเป็นอยู่บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…ถึงแกจะน่ารักแค่ไหน ผู้ชายอย่างคุณภิมุขไม่แคล้วถอยห่างแกแน่’
คิดมาถึงตรงนี้น้ำแกงสามรสปลาทะเลก็ดูเหมือนจะฝืดคอ มือบางวางช้อนลงก่อนจะช้อนสายตามองคนที่นั่งตรงข้ามด้วยอารมณ์ที่แย่สนิท
จู่ๆ คู่ทานอาหารเย็นของเขาก็ทำท่าเหมือนเด็กนักเรียนทำผิดมหันต์ ใช้ตากลมๆ สุกสกาวช้อนมองเขาแล้วเม้มริมฝีปากเหมือนว่าจะร้องไห้
“คุณแอ๊นท์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ มีอะไรไม่ถูกใจ”
“คือ…” คนน่ารักส่ายหน้าจนแก้มกลมสะท้อนดวงไฟ วาววับเสียจนภิมุขอยากเอื้อมมือไปหยิกเบาๆ ว่าจะนุ่มสักแค่ไหนสักทีสองที
ในทางตรงกันข้าม อาริสากลับคิดว่าที่เขามองเธอเงียบๆ นั้นคงเพราะกำลังอึ้งกับความตะกละของเธอแน่ๆ แงๆๆๆ หวังว่าตาปลาน้อยนี่คงจะไม่ทิ้งเธอง่ายๆ เพียงเพราะเธอกินไม่บันยะบันยังจนพุงป่องแบบนี้หรอกใช่ไหม
เธอเงียบ เขาเองก็เงียบ สักพักชายหนุ่มก็ยิ้มอ่อน ถามเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า
“รับของหวานไหมครับ ทับทิมกรอบที่นี่ขึ้นชื่อทีเดียว”
อาริสาเกือบทิ้งตัวลงพิงพนักอย่างอ่อนแรง เขาคงเห็นเธอเป็นผู้หญิงสายตะกละไปแล้วแน่ๆ เอะอะอ้าปากก็พูดถึงแต่เรื่องกิน!
ไม่ได้การล่ะ เธอต้องรีบแก้ไขสถานการณ์
“คงไม่ล่ะค่ะ แค่นี้ก็อิ่มมากอยู่แล้ว ขืนทานมากกว่านี้ท้องแตกแน่ๆ” อาริสาฝืนยิ้มทั้งที่จริงแล้วก็ออกจะเสียดายคำชวน
“ลองสักหน่อยเถอะครับ ของที่นี่เขาอร่อยมาก แบ่งกับผมคนละครึ่งก็ได้” นายภิมุขคะยั้นคะยอ
อ่า…จะดีเหรอ จิตใจของเธอสับสนจัง
“อะไรนะยายแอ๊นท์!! นี่แกกินกับข้าวห้าอย่างจนเกลี้ยงแถมตบท้ายด้วยทับทิมกรอบ!” มัชฌิมาไม่อยากเชื่อ
“แถมไม่รวมเรื่องแกซัดออเดิฟไปอีกสองเมนูด้วยนะนั่น” จีรดาปิดท้าย
“อือ” อาริสาหน้าจ๋อย “ขอโทษนะพวกแก อาหารร้านนั้นมันเด็ดจริงๆ”
“ทำไมแกไม่ควบคุมตัวเอง กินข้าวอย่างกับปอบแบบนี้ แกจำได้ไหมเรื่องไอ้กฎข้อที่หนึ่งที่ว่าสาวเซ็กซี่มีมาดเขาไม่ทำกัน แกต้องกินแค่คำสองคำเพื่อไม่ให้พุงแกยื่นออกมาตอนอิ่มแล้ว”
“พุงฉันเมื่อคืนก็ไม่ได้ยื่นเท่าไหร่หรอก ฉันออกกำลังกายตลอดน่า”
“ใครจะเชื่อ กินขนาดนั้น เมื่อคืนท้องแกคงป่องเหมือนคนท้องสี่เดือนแหงๆ”
“ไม่นะ แต่ถ้าสองเดือนอะไรแบบนี้ก็น่าจะใช่อยู่”
“ยังจะกล้าพูดตาใสอีก” มัชฌิมาซึ่งกลัวว่าแผนจะเสียดุเธอเสียงเขียว “ยังไม่รีบกลับมาทำหน้าสำนึกผิดอีก ประเดี๋ยวพวกฉันก็ตีเลย”
“โอย…ฉันอยากจะบ้าตาย” จีรดาส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่ออีกคน “ตอนกินของหวานแกยังแบ่งกินกับเขาอีก แถมกินซะเกลี้ยงถ้วยด้วย”
“ฉันคงไม่เหมาะสมกับแผนการนี้ของพวกแกหรอก” หญิงผู้มีกระเพาะปอบก้มหน้าพูดเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด “ฉันว่าฉันคงทำแผนแกพังไม่เป็นท่าแล้วล่ะ แกหาคนมาแทนเถอะ ฉันไม่เหมาะสมจะเป็นตัวผู้เล่นในเกมนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“เปลี่ยนคนเหรอ”
“อือๆ”
“เปลี่ยนเป็นใครล่ะ”
“แฮ่ ตอนนี้ยังไม่รู้”
“แต่ว่าแกก็อยากเปลี่ยนใช่ไหม”
“ใช่ๆ ต้องหาคนที่เหมาะสมตั้งแต่กำเนิด ฉันน่ะ…ไม่เหมาะหรอก เห็นไหม แค่กินข้าวกับเขายังลำบากเลย” เธอเสนอความคิดพร้อมกับพยายามซ่อนดวงตาที่กระหยิ่มอย่างอดไม่อยู่ที่จู่ๆ ก็เกิดความคิดดีๆ แบบนี้
“มันก็จริงน่ะนะ จากสภาพที่แกเล่ามามันคงจะไม่ได้ผลแล้วล่ะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ถ้านายภิมุขเขาไม่สนใจแกแล้วเราค่อยหาคนใหม่” มัชฌิมายอมตัดใจ
“เย้! อุ๊บส์! เฮ้อ…น่าเสียดายจังเลยเนอะ” อาริสารีบตีหน้าเศร้าต่อ “ฉันน่ะอยากช่วยยายพิมจริงๆ นะ พวกแกอย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้สิ นี่แอ๊นท์นะ แอ๊นท์เพื่อนรักของพวกแก”
มัชฌิมากับจีรดามองเธอตาขวาง อาริสารีบหลบตา เธอแกล้งนั่งไหล่ตกอย่างสำนึกผิดต่อ
บทที่ 4
“คุณแอ๊นท์”
ให้ตายเถอะพระเจ้า! ทำไมท่านไม่เข้าข้างลูกเลยเจ้าคะ!
“อุ๊ย! คุณภิมุข วันนี้มาเร็วจังเลยนะคะ” เธอฝืนยิ้ม หันไปทักทาย
โธ่! อีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ยายเพื่อนๆ ของเธอก็จะยอมรับคำร้องขอให้มีการเปลี่ยนตัวเหยื่อล่อปลาแล้วแท้ๆ
หมด…หมดกัน อาริสาเศร้ามาก!
“เดี๋ยวเราไปหาอะไรทานกันนะครับ” ภิมุขชวนทันทีพร้อมกับพยายามเร่งฝีเท้าจนขึ้นมาเดินเคียงข้าง “วันนี้เลขาฯ ผมแนะนำร้านอาหารไทยแนวฟิวชั่นอีกที่ ผมว่าคุณแอ๊นท์น่าจะอยากไปลองชิม”
“วันนี้ต้องขอตัวค่ะ พอดีแอ๊นท์มีนัดแล้ว” อาริสารีบปฏิเสธ ขืนไปมีหวังห้ามตัวเองไม่อยู่ มิต้องแปลงร่างเป็นปอบให้ตานี่เห็นอีกเหรอ
“นัด?” คนชวนทำเสียงไม่เชื่อ “สำคัญมากหรือครับ ปฏิเสธไปไม่ได้เหรอ”
“เอ่อ…”
“ว่ายังไงล่ะครับ”
ว้ายยยยย อย่าใช้สายตาอ้อนๆ แบบนี้มองเธอได้ม้ายยยยย ผู้ชายหน้าตาดีเวลาทำตัวง้องแง้งแบบนี้เนี่ย โอยๆๆๆ หัวใจเธอจะวายตายให้ได้เลยเน้อ
“ว่ายังไงล่ะครับ ร้านนี้อร่อย ผมเองก็อยากพาคุณแอ๊นท์ไปลองด้วยกัน ผมกับคุณไปลองชิมร้านนี้เป็นครั้งแรกด้วยกันจะได้เป็นสถานที่ในความทรงจำ…นะครับคุณแอ๊นท์”
หยุดตะกุยหัวใจบางๆ ของเธอเดี๋ยวนี้น้า!
เกือบละ เกือบจะใจอ่อนตกปากยอมไปรับประทานข้าวกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะปลายนิ้วก้อยของเธอเผลอไปแตะถูกแหวนหมั้นที่เธอสวมไว้ที่นิ้วกลาง
“คือฉันตั้งใจว่าคืนนี้จะทำอาหารทานเองน่ะค่ะ ก็เลยนัดไปรับชีสที่ร้านค้าเจ้าประจำ” ไม่ได้โกหกนะ เล่นกีฬาเป็นกระทิงเปลี่ยวขนาดนี้เป็นใครก็ต้องหิว วันนี้ตั้งใจจะทำพาสต้าคลุกชีส เอาแบบชีสเยิ้มๆๆๆ
“งั้นผมขอเป็นผู้ช่วยได้ไหมครับ รับรองว่าเป็นผู้ช่วยอย่างเดียว ไม่ทำให้คุณลำบาก” คนเสนอตัวสัญญาอย่างแข็งขัน คนอะไรกันเนี่ยชวนตัวเองเฉยเลย ถ้าเธอยอมตกลงเธอคงสติวิปลาสเป็นบ้าไปแล้ว หญิงสาวยิ้มเป็นคำตอบก่อนจะส่ายหน้าโดยไม่สนใจสายตาละห้อยของเขาแล้วเดินจากไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.