X
    Categories: Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงินWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Blue Bridge สะพานรักสีน้ำเงิน บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 4

เฉินซงหนานกับสวีซู่มาที่ร้านอาหารที่บอกไว้ในตอนแรก ยามหัวค่ำเมื่อไฟเริ่มเปิดก็ตรงกับเวลาอาหารพอดี แต่ก็ต้องรอถึงจะมีที่นั่ง

“หาที่กินที่ไหนสักที่ก็พอแล้วครับ”

ตลอดทางมานี้เฉินซงหนานรู้สึกได้ว่าสวีซู่เหมือนจะไม่ได้กระตือรือร้นสักเท่าไหร่ จึงออกความเห็นทันที

มีร้านอาหารริมทางเท้าที่หัวมุมมีคนลุกออกมาโต๊ะจึงว่างพอดี ทั้งสองเลยแทรกตัวเข้าไปแทนที่ สั่งอาหารสองสามอย่าง ทั้งยังสั่งเหล้าข้าวฟ่างสดหมักเองที่เถ้าแก่ร้านเป็นคนแนะนำ บอกว่าทุกคนที่ได้ดื่มไม่มีใครบอกว่าไม่ดี

“ดื่มเพียวๆ ได้ไหม” สวีซู่ถาม

เฉินซงหนานปกติดื่มเบียร์อยู่บ้าง หลังจากที่สวีซู่มา จ้าวหนานเซียวก็ส่งเขาให้ไปช่วยงาน อยู่ด้วยกันไม่กี่วันก็เริ่มคุ้นเคยบ้างแล้ว เขาค่อนข้างรู้สึกเคารพวิศวกรจากเครือเจจีกรุ๊ปที่ดูเหมือนอายุมากกว่าตนแค่ไม่กี่ปีแต่ไม่ว่าจะเป็นคุณวุฒิหรือประสบการณ์ล้วนนำหน้าตนไปไกลคนนี้ กระทั่งเกิดความรู้สึกนับถือเลื่อมใสจากก้นบึ้งหัวใจด้วยซ้ำ ได้ยินอีกฝ่ายถามแบบนี้ แน่นอนว่าต้องดื่มได้ แล้วก็นึกถึงที่เมื่อก่อนผู้ใหญ่พูดว่าทำงานสายนี้การดื่มเหล้าเป็นความสามารถขั้นพื้นฐาน ในทรวงอกเขาร้อนระอุ ความฮึกเหิมพุ่งเสียดฟ้า

“ดื่ม!”

สวีซู่ยิ้ม ก่อนจะบอกให้เถ้าแก่ร้านนำมาเสิร์ฟ

เฉินซงหนานพอเหล้าลงท้องได้สองแก้วก็เริ่มพูดมากขึ้นมา พูดถึงความสับสนของตนตอนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ไม่รู้ว่าควรเลือกไปบริษัทชั้นแนวหน้าอย่างเครือเจจีกรุ๊ปหรือว่าสถาบันออกแบบ รู้สึกว่าพอเข้ามาในสถาบันออกแบบ ตนเองอาจจะกลายเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสายพานในห้องโรงงาน หรือไม่สามปีห้าปีผ่านไปก็รู้แค่ขั้นตอนไม่กี่อย่างในนั้น ใครก็มาแทนที่ได้ แต่ว่าพอจะไปบริษัทชั้นแนวหน้า ที่บ้านก็ค้านอย่างรุนแรง การลงไซต์ก่อสร้างนานเป็นเดือนเป็นปีโดยไม่ต้องกลับบ้านจนเป็นเรื่องปกติ อย่าว่าแต่เหน็ดเหนื่อยเลย อีกหน่อยไปดูตัวก็จะโดนรังเกียจ สถาบันออกแบบแม้จะมีไปทำงานข้างนอก แต่ก็ยังดีกว่าบริษัทชั้นแนวหน้ามาก อย่างน้อยก็ฟังดูมีหน้ามีตามากกว่า ดีต่อการไปดูตัว เดิมเขาโอนเอียงไปทางบริษัทมากกว่า สุดท้ายก็ขัดใจคนที่บ้านไม่ได้ เลยเปลี่ยนใจ

สวีซู่ฟังไปเงียบๆ ไม่พูดอะไร

เฉินซงหนานขอคำแนะนำเกี่ยวกับการไปเรียนที่ต่างประเทศจากเขา บอกว่าตนก็มีความคิดที่จะไปเรียนต่อยอดที่ต่างประเทศหลังจากทำงานได้สองสามปี

สวีซู่เมื่อมีคนถามก็ตอบกลับ และยังให้ช่องทางการติดต่อเป็นการส่วนตัวของคนที่ดูแลสถาบันปรึกษาด้านการเรียนต่อต่างประเทศแก่เฉินซงหนาน บอกว่าน่าเชื่อถือกว่า อีกหน่อยถ้าเฉินซงหนานไม่มีเวลาสมัครก็ให้ไปหาอีกฝ่าย แล้วบอกว่าเขาแนะนำมา

เฉินซงหนานดีใจอย่างยิ่ง กล่าวขอบคุณซ้ำๆ ด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะถามถึงเรื่องมหาวิทยาลัยและสาขาที่อีกฝ่ายเรียน พอได้ยินคำตอบ ดวงตาก็สว่างวาบ

“บังเอิญจังเลย พี่ก็เป็นรุ่นพี่ผม!”

เฉินซงหนานรู้สึกว่าระยะห่างได้ย่นเข้ามาแล้ว จึงเปลี่ยนไปเรียกอีกฝ่ายว่าพี่

“พี่ ในเมื่อพี่กับวิศวกรจ้าวเป็นรุ่นเดียวกัน แล้วยังสาขาเดียวกัน ทำไมวันนั้นตอนที่เจอกันที่ไซต์ก่อสร้าง ผมเห็นพวกพี่สองคนดูเหมือนไม่รู้จักกัน”

เถ้าแก่ร้านไม่ได้คุยโว เหล้าข้าวฟ่างสดมากจริงๆ ความแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ ดื่มไปไม่เท่าไหร่หางตาของสวีซู่ก็ค่อยๆ เจือความมึนเมาสีแดงอ่อน เขาหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเธอได้ที่หนึ่งในทุกวิชา เป็นคนที่ได้ทุนการศึกษาเต็ม ผมก็แค่อยู่ไปวันๆ แถมจบมาตั้งหลายปีแล้ว เธอจะไปจำผมได้ได้ยังไง”

แน่นอนว่าเฉินซงหนานไม่เชื่อ แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังถ่อมตัว “พี่ก็ถ่อมตัวเกินไป จะเป็นไปได้ยังไง วิศวกรจ้าวไม่ใช่คนอย่างนั้นสักหน่อย”

สวีซู่มองเขาทีหนึ่ง “นายรู้จักเธอมากเลยเหรอ”

เฉินซงหนานไม่ได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของสวีซู่แปลกไป พยักหน้าอย่างจริงจัง “หลังจากผมเข้ามาที่สถาบันแล้วก็ติดตามวิศวกรจ้าวมาตลอด เธอมีความเป็นมืออาชีพสูง นิสัยก็ดีมาก สอนให้ผมทำหลายอย่างเป็น ได้ทำงานกับเธอในตอนนั้น ผมช่างโชคดีจริงๆ นะ!”

เมื่อพูดถึงผู้หญิงที่ในใจชื่นชม เฉินซงหนานที่แต่เดิมเริ่มเมาแล้วก็ยิ่งคึกคักขึ้น พรั่งพรูคำพูดออกมาไม่หยุด

“เสียดายที่ตอนผมเข้ามหา’ลัย พวกพี่ก็เรียนจบกันไปแล้ว ถ้าผมเข้าเรียนเร็วกว่านั้นสักปีก็คงดี พี่เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม วิศวกรจ้าวสมัยเรียนมหา’ลัยเป็นยังไง สวยมากเลยใช่ไหม คงมีคนจีบเธอเยอะสินะ เธอในตอนนั้นมีแฟนไหม ผมเดาจากสายตาและเงื่อนไขของเธอ คนที่จะมาเป็นแฟนเธอได้ต้องเก่งมากแน่เลย”

สวีซู่หมุนจอกเหล้าที่ว่างเปล่าตรงหน้าเล่น ไม่ส่งเสียงสักคำ

เฉินซงหนานถามเป็นชุด แต่ไม่ได้ยินสิ่งที่อยากรู้เลยสักคำก็ผิดหวัง พลันนึกอะไรขึ้นได้ แล้วรินเหล้าให้สวีซู่

“ดูผมสิ เอาแต่พูด ยังไม่ได้ดื่มให้พี่สักแก้ว!”

สวีซู่ดื่มแล้วก็พูดว่า “พอได้แล้วล่ะ นึกถึงผลที่ตามมาด้วย อย่าดื่มจนเมา นายเมาแล้วเธอจะโทษฉัน”

“ไม่เป็นไร! ผมยังดื่มไหว!”

เฉินซงหนานกำลังคึก รินให้ตัวเองอีกจอก แล้วก็พูดเรื่องของหญิงสาวที่ตนชื่นชมต่อ

“ผมชื่นชมเธอจริงๆ นะ ครึ่งปีมานี้ถูกส่งมาข้างนอกตลอด แทบจะตัวเป็นเกลียว บอกให้ไปไซต์ก่อสร้างก็ไป ผู้หญิงคนนึงพักอาศัยในที่แบบนั้นไม่บ่นอะไรสักคำ อ้อ ใช่ เธอใจกล้ามากด้วย! ก่อนคุณจะมามีเย็นวันหนึ่ง งูเลื้อยเข้าไปในห้องที่เธออยู่ เธอไม่กะพริบตาเลยสักนิด ถ้าเป็นผมล่ะก็ทำไม่ได้แน่ ผมกลัวงู…”

สวีซู่พลันหยุดมือที่ถือจอกเหล้า เขาช้อนตาขึ้น

“งูเข้าไปในห้องของเธอเหรอ เกิดอะไรขึ้น”

เฉินซงหนานนึกย้อน “ช่วงดึกวันนั้น…เหมือนใกล้จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมหลับไปแล้วได้ยินเสียงดังเข้ามา ถึงได้รู้ว่ามีงูเข้าไปในห้องเธอ โชคดีที่ตอนนั้นผู้จัดการหยางก็อยู่ข้างๆ ช่วยเธอจับงูไป ผมถามเธอ เธอบอกว่าไม่เป็นไร ให้ผมไปพักผ่อน”

สวีซู่ค่อยๆ มีสีหน้าเคร่งขรึม

เฉินซงหนานลุกไปเข้าห้องน้ำ สวีซู่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

หยางผิงฝูรับโทรศัพท์เขาก็ดีใจมาก บอกว่าตนเองกำลังอยากโทรหา ถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เลขาฯ เหยียนอยากรู้ว่าวันไหนเขาสะดวกให้เลี้ยงข้าว

สวีซู่บอกที่อยู่ไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็วางสาย

เฉินซงหนานก้าวเดินด้วยฝีเท้าเบาหวิวกลับมาจากห้องน้ำ ในที่สุดเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดี ถามโดยพูดไม่ค่อยชัด “พี่ เป็นอะไร มีธุระเหรอ”

“นายค่อยๆ กินไป ฉันมีธุระ ออกไปข้างนอกแป๊บ”

 

ตัวอำเภอไม่ใหญ่ หยางผิงฝูขับรถไม่นานก็มาถึง เห็นสวีซู่ยืนอยู่คนเดียวข้างเสาไฟที่หันเข้าหาถนนจึงรีบจอดรถแล้วตะโกนเรียกอีกฝ่ายทีหนึ่ง

เลขาฯ เหยียนมาพร้อมกับเขา เข้ามาจับมืออย่างเป็นมิตรแล้วยิ้มพลางพูด “วิศวกรสวี ว่างกินข้าววันไหน ขอบคุณบริษัทสะพานถนนของพวกคุณที่ให้ความช่วยเหลืออย่างมากต่อการก่อสร้างในท้องถิ่นเรามาหลายปี”

“ผมทำงานหนักเงินเดือนน้อย มาที่นี่เป็นครั้งแรก ผมไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไร ขอบคุณครับ” สวีซู่พูดจบก็หันไปหาหยางผิงฝู เรียกเขาให้เข้ามา

หยางผิงฝูเดินตามเขาเข้าไปอีกทางหนึ่ง

“วิศวกรสวีเรียกผมมีอะไรหรือ ทางเลขาฯ เหยียนเขาจริงใจมากนะ อยากจะทำความรู้จักเพื่อนอย่างคุณ…”

“หลายวันก่อนที่พักของวิศวกรจ้าวทำไมถึงมีงูเข้าไปได้” สวีซู่ตัดบทอีกฝ่าย

หยางผิงฝูคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ เขาจะถามเช่นนี้

“เรื่องนี้…เป็นอย่างนี้ครับ หลังจากที่เธอมา เริ่มแรกพวกเราก็คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงจะไม่ค่อยสะดวก จึงให้เธอกลับไปพักที่ตัวอำเภอ แต่เธอไม่ไป จะอยู่ที่โรงเรียนให้ได้ พวกเราก็เลยตามใจ โรงเรียนประถมของหมู่บ้านร้างมาหลายปีแล้ว ด้านข้างเป็นภูเขา คุณก็รู้ว่ายากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีงูและแมลงเข้ามา โชคดีที่ตอนนั้นผมผ่านทางไปพอดีก็เลยช่วยเธอจับไว้ เป็นงูป่าธรรมดา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”

“เธอพักที่ไหน คุณพักที่ไหน บังเอิญจังเลยนะ ตอนกลางคืนคุณไม่นอนแต่ไปเตร็ดเตร่แถวๆ ที่พักเธอ แล้วยังเป็นคุณที่เจองูเข้าไปในห้องเธอเนี่ยนะ”

หยางผิงฝูพูดไม่ออกไปชั่วขณะและยังรู้สึกงงงวย

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับวิศวกรสวีดูออกจะธรรมดา หลายวันก่อนทั้งสองนอกจากจะคุยกันเรื่องงานไม่กี่ประโยคแล้ว ดูไม่ออกเลยว่ามีการคบหากันเป็นการส่วนตัว และก็ไม่รู้ว่าทำไมเย็นนี้สวีซู่ถึงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไป

“คนแซ่หยาง แกเป็นคนปล่อยงูใช่ไหม” น้ำเสียงของสวีซู่พลันตึงเครียด

หยางผิงฝูเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ในใจก็ตกประหม่า รู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้วจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “วิศวกรสวี เรื่องนี้ผมยอมรับ เป็นผมที่ทำไม่ถูกต้อง ผมก็สำนึกผิดแล้ว ตอนนั้นไม่ควรเลอะเลือนชั่ววูบ แต่ว่างูไม่มีพิษจริงๆ ผมยังพอมีมโนธรรมอยู่ ผมแค่อยากขู่ให้เธอตกใจเฉยๆ ต่อให้เธอไม่ระวังโดนกัดจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก…”

“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”

สวีซู่คว้าคอเสื้อของหยางผิงฝูแล้วต่อยไปหมัดหนึ่ง มีเสียงดัง ‘ตุ้บ’ หยางผิงฝูที่รูปร่างไม่จัดว่าเล็กถูกต่อยล้มลงบนพื้น

หยางผิงฝูร้องด้วยความเจ็บปวด สวีซู่ไม่พูดสักคำ เข้ามาจ้องหน้าเขาแล้วต่อยใส่อีกครั้ง

เลขาฯ เหยียนถูกปฏิเสธในการทำความรู้จักกำลังผิดหวัง พลันเห็นสวีซู่ลงมือก็สะดุ้งตกใจ วิ่งเข้ามาหยุดการทุบตี

สวีซู่ลงมือไม่เบาเลย แค่สองทีหยางผิงฝูก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว กองอยู่บนพื้นพูดยอมรับผิดไม่หยุด

เลขาฯ เหยียนและหยางผิงฝูมีการคบหาเป็นการส่วนตัวไม่เลว พอได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ก็เห็นหยางผิงฝูมีเลือดกำเดาไหลแล้ว สวีซู่ดูเหมือนดื่มเหล้ามา ใบหน้าโมโหดุร้ายราวยักษ์อสูร ในใจก็ประหวั่นพรั่นพรึง ยื้อยุดเขาไว้สุดชีวิต บอกว่าผู้จัดการหยางทำไปเพราะคำนึงถึงระยะเวลาก่อสร้าง ตอนนั้นร้อนใจเกินไปถึงได้ทำเรื่องไม่เหมาะสมอย่างนี้

“คนแซ่หยาง สำนักงานใหญ่สั่งแล้วสั่งอีกให้ตรวจสอบวินัยของตัวองค์กร ที่ไม่ฟ้องให้ตรวจสอบแกคือไว้หน้าแกแล้ว แกยังทำเรื่องแบบนี้อีก!”

คนบนถนนเห็นมีเรื่องครึกครื้นน่าดู ไม่นานก็ล้อมวงเข้ามา มีคนโทรแจ้ง 110 เลขาฯ เหยียนกลัวว่าถ้าเกิดเรื่องบานปลายไปกันใหญ่จะไม่ดีต่อตนเองจึงรีบห้ามเอาไว้ แล้วบอกว่าเป็นคนกันเอง แค่เมาแล้วแกล้งกัน

“ผมผิดไปแล้ว บ้านผมยังมีผู้ใหญ่กับเด็กที่ต้องเลี้ยง วิศวกรสวีคุณปล่อยผมไปเถอะ อีกหน่อยผมไม่กล้าแล้ว…”

“ตอนนี้รู้จักแบ่งผู้ใหญ่ผู้น้อยแล้วเหรอ ทีตอนที่แจกซอง ปล่อยงู ทำไมไม่คิดบ้าง ฉันว่าแกกินข้าวข้างนอกจนเบื่อแล้วล่ะ อยากไปกินข้าวในคุกใช่ไหม!”

สวีซู่โกรธจนไม่อาจควบคุม เข้าไปเตะซ้ำอีกที

เลขาฯ เหยียนแตกตื่นอย่างยิ่ง รีบวิ่งกลับมาเกลี้ยกล่อมสุดชีวิต “วิศวกรสวี ผู้จัดการหยางหลายปีมานี้รอบคอบระมัดระวัง ทำอะไรให้บริษัทไม่น้อย ถึงไม่มีความชอบแต่ก็ทำงานหนัก ยกโทษได้ก็ยกโทษเถอะนะ สงบอารมณ์หน่อย”

“ให้ผมไปขอขมาคุณจ้าวไหม ให้คุณจ้าวยกโทษให้ ให้ผมคุกเข่า…” หยางผิงฝูขอร้องด้วยความจนใจ

สวีซู่นวดคลึงกำปั้น สูดหายใจรับลมกลางคืนเข้าไปช้าๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา “คนแซ่หยาง แกทำตัวดีๆ นะ”

เลขาฯ เหยียนเห็นเขาสะบัดหน้าจากไปก็ถอนใจโล่งอก รีบประคองหยางผิงฝูขึ้นรถ เกลี้ยกล่อมเสียงค่อย “ช่างเถอะๆ คุณชายใหญ่แบบนี้ฉันเห็นมาเยอะแล้ว จะบ้าก็บ้า จะคลั่งก็คลั่ง สันดานเลวร้ายตั้งแต่เล็ก โลกทั้งใบหมุนรอบตัวเขา ปล่อยไปเถอะ เพื่อความสงบสุขของโลก”

จ้าวหนานเซียวอาบน้ำอุ่นแล้วเป่าผมให้แห้ง ปีนขึ้นเตียงปุ๊บก็ปิดไฟเข้านอน ไม่รู้ว่าอยู่ในความมืดนานเท่าไหร่ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงอยู่ๆ ก็มีเสียงริงโทนของสายเข้า

หลังจากทำงานแล้วเธอก็ปิดเครื่องไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หัวหน้าจะโทรมาถามความคืบหน้าของภาพแปลน บอกว่าเจ้าของงานกำลังออนไลน์เพื่อรอคำตอบแม้จะเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืนก็ตาม

ศีรษะเธอหนักอึ้งลุกไม่ขึ้น เธอสะลึมสะลือไม่ได้รับสาย แต่เสียงริงโทนช่างตื๊ออย่างยิ่ง หลังจากดังแล้วหยุดไปก็ดังขึ้นมาอีก

จ้าวหนานเซียวดิ้นรนจนลุกขึ้นมาได้ในที่สุด หลับตาพลางคลำหาโทรศัพท์

“ใครคะ”

“เสี่ยวหนาน ลูกใช่ไหม” เสียงของเสิ่นเสี่ยวมั่นผู้เป็นแม่ดังเข้ามาในหู

หญิงสาวลืมตาในทันที “หนูเอง แม่ทำไมอยู่ๆ ก็โทรมาหาหนูล่ะ”

“เสี่ยวหนานเป็นอะไรไปลูก ทำไมเสียงแหบขนาดนี้ ลูกป่วยหรือ” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่ฟังดูแตกตื่น

จ้าวหนานเซียวรีบปิดช่องเสียงบนมือถือเอาไว้ เคลียร์ลำคอที่ปวดบวมหลังจากนอนหลับได้ตื่นหนึ่ง ค่อยพูดขึ้นใหม่อีกครั้ง “เปล่าค่ะ สัญญาณไม่ดีมั้งคะ แม่โทรมามีเรื่องอะไร”

แม่ของเธอคงเชื่อแล้วแน่นอน เธอรู้สึกได้ว่าแม่ถอนใจโล่งอกอยู่ในโทรศัพท์

“ตอนเย็นแม่ส่งข้อความหาลูกไปตั้งมากมาย ลูกไม่ตอบกลับเลย! แม่เป็นห่วงจะแย่ ถึงได้โทรหานี่ไง! ลูกทำอะไรอยู่ เมื่อกี้โทรติดต่อกันหลายสายก็ไม่รับ!”

เสิ่นเสี่ยวมั่นเป็นคนที่ได้รับการอบรมมาดี ปกติไม่ว่าพูดกับใครล้วนพูดเสียงเบา เมื่อครู่คงจะร้อนใจจริงๆ น้ำเสียงถึงได้แฝงการตำหนิ

“แม่ วันนี้หนู…”

เดิมเธอจะบอกว่าวันนี้เหนื่อยจนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ จึงไม่ได้อ่านข้อความที่แม่ส่งมาและไม่ได้รับโทรศัพท์ในตอนแรก แต่พอเริ่มพูดไปแค่ช่วงต้นก็หยุดแล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่ “เมื่อกี้โทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับตัว ก็เลยไม่ได้รับ ทำให้แม่เป็นห่วงแล้ว โทรหาหนูมีอะไรคะ”

“เสี่ยวหนาน เรื่องทางฝั่งแม่กำลังจะเรียบร้อยแล้ว…”

สัญญาณในห้องไม่ค่อยดีจริงๆ เสียงเดี๋ยวดังเดี๋ยวหาย ทั้งยังมีเสียงซ่าๆ เข้ามา

จ้าวหนานเซียวรีบลงจากเตียงแล้วออกไปนอกห้อง

“เมื่อกี้แม่พูดอะไรนะคะ”

“แม่กะว่าอีกไม่กี่วันก็จะกลับประเทศ คุณตาของลูกช่วงนี้สุขภาพเป็นยังไงบ้าง”

“คุณตาสบายดีค่ะ ไม่กี่วันก่อนหนูเพิ่งโทรคุยกับเขา เขาอยู่ต่างเมือง จุดบรรจบ* ของสะพานใหญ่มีปัญหา เชิญเขาไปแก้ไข ช่วงนี้ไม่อยู่ที่ปักกิ่ง”

“เกษียณมานานแล้ว ดูแลนักศึกษาปริญญาเอกก็แล้วไป ยังจะไปต่างเมืองอีก!” เสิ่นเสี่ยวมั่นทอดถอนใจ “ช่างเถอะ บอกให้คุณตาของลูกพักผ่อนเขาก็ไม่ฟัง เสี่ยวหนานลูกอย่าเอาอย่างคุณตานะ ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน”

“ที่บ้านค่ะ” จ้าวหนานเซียวพูดโกหก

“เสี่ยวหนานลูกฟังแม่นะ อย่าโหมงานหนักเกินไป แล้วก็พวกสถานที่ห่างไกล ห่างความเจริญ สถานที่อันตรายต่างๆ ถ้าหัวหน้าให้ลูกไปล่ะก็ ลูกอย่ารับเด็ดขาด อย่างมากเราก็ไม่ทำ!”

“อืมๆ รู้แล้วค่ะ…” จ้าวหนานเซียวพูดเลี่ยง รับปากไปส่งๆ

“เสี่ยวหนาน แม่กลับมาครั้งนี้อยากจะคุยกับลูกเรื่องที่ลูกจะไปต่างประเทศกับแม่…”

“แม่ โทรศัพท์หนูใกล้แบตฯ หมดแล้ว เดินทางไปต่างประเทศเปลืองเงินนะคะ เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันวันหลัง แค่นี้ก่อนละกัน หนูสบายดี แม่วางใจได้!”

จ้าวหนานเซียวพูดตัดบทแม่แล้ววางสาย ก่อนจะเปิดดูข้อความชุดใหญ่ที่แม่ส่งมาหาเมื่อตอนเย็น เธอพิงขอบหน้าต่างช้าๆ ได้สติจากภาพวิวกลางคืนนอกหน้าต่าง

ลมกลางคืนหอบหนึ่งพัดมา หญิงสาวรู้สึกศีรษะหนักอึ้งเท้าเบาหวิว หนาวไปทั่วทั้งร่างจนสั่นสะท้านขึ้นมา พอคิดจะกลับห้อง หันหลังไปก็เห็นสวีซู่ยืนอยู่บนทางเดินด้านข้างลิฟต์กำลังมองมาที่เธอ เงียบงันไม่ส่งเสียงราวกับวิญญาณก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว

จ้าวหนานเซียวตกใจสะดุ้งโหยง มือถือจึงตกลงบนพื้นข้างหน้าเท้า

สวีซู่รีบเดินเข้ามาก้มลงเก็บมือถือให้ เธอเองก็โน้มตัวลงไปพอดี มือทั้งสองแตะกันเพียงแผ่ว ผิวหนังสัมผัสกันและกัน

ชายหนุ่มชะงัก รีบเงยหน้าขึ้นมองเธอ

เขาน่าจะดื่มเหล้ามา ดวงตายังแดงอยู่นิดหน่อย ใบหน้าทั้งสองเข้าใกล้กันมาก จ้าวหนานเซียวได้กลิ่นเหล้าจากลมหายใจของเขา

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: