X
    Categories: My Tricky Love...เทใจรักนักวางแผนความรู้สึกดีที่เรียกว่ารักทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน My Tricky Love… เทใจรักนักวางแผน บทที่ 5-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 5

“ยายแอ๊นท์ตื่นได้แล้ว”

โอย…ใครนะบังอาจมาปลุก คนยิ่งกำลังฝันดีอยู่ด้วย

“ตื่นได้แล้วย่ะ ตื่น ตื่น ตื๊น”

“ยายจิ๊บ นี่ไม่ใช่เวลาตื่นของฉันนะ!” ปากก็พูดแต่ตายังหลับอยู่เลย โอ้…กุลสตรีไทย

“เจ็ดโมงแล้ว แกต้องตื่น ตื๊น ตื่น” คนที่เข้ามาปลุกตอบเสียงใสขณะที่มือก็ดึงผ้าห่มที่เธอคลุมโปงอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน

“เจ็ดโมง! ยายบ้า…นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะ แล้วเมื่อคืนฉันก็นอนดึกด้วย แกรู้ไหมกว่านายภิมุขเขาจะยอมล่าถอยไปได้ฉันต้องเปลืองน้ำลายตั้งหลายปี๊บ แถมกลับมาก็ต้องมานั่งทำบัญชีร้านอีก หมู่นี้ฉันเฝ้าร้านน้อยมาก เกิดลูกจ้างในร้านโกงฉันขึ้นมา ร้านเจ๊ง แม่ด่าฉันตาย” คนขี้เซาพูดเสียงงัวเงียใต้โปงผ้าห่ม

“แต่วันนี้เรามีงานต้องทำนะ แกลืมรึไงยะว่าเราจะไปสืบเรื่องของนายภิมุขกันน่ะ หรือว่าแกอยากจะให้แผนของเราต้องใช้เวลามากขึ้น” สิ้นคำขู่ของคนปลุก หญิงสาวก็สะบัดผ้าห่มผืนหนาอันอุ่นสบายทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนกระโจนพรวดเดียวถึงประตูห้องน้ำ

“ขอสิบห้านาที” เธอตะโกนบอกพร้อมเสียงน้ำที่รดลงมาจากฝักบัว

 

“นายภิมุขจะมาถึงที่ทำงานตอนแปดโมงครึ่ง เลิกงานตอนสี่โมงเย็น แล้วก็จะไปสปอร์ตคลับซึ่งพวกเราก็รู้อยู่แล้ว แต่ตอนกลางวันนี่สิ เราไม่รู้ว่านายคนนี้มีพฤติกรรมอะไรบ้าง หรือว่ามีสาวๆ น่ารักเซ็กซี่แวะเวียนมาเป็นคู่แข่งของยายแอ๊นท์บ้างไหม เพราะถ้าเราอยากให้นายภิมุขรู้รสของการถูกทิ้ง นายภิมุขก็จะต้องไม่เหลือใครเลย” มัชฌิมาพูดอย่างเด็ดขาดและรอบคอบขณะที่รื้อกล้องส่องทางไกลออกมาจากกระเป๋าหนัง

“มันไม่มากไปเหรอ จะเล่นงานจนไม่เหลืออะไรเลยแบบนี้ น่าสงสารนะ” อาริสาแย้งเสียงอ่อยพลางกลืนน้ำลายด้วยความเสียวสันหลังแทนหลังจากฟังจบ

“ไม่มากไปหรอก ดีซะอีกจะได้เข็ดไปเลยไง เบื่อจริงๆ ไอ้พวกผู้ชายเจ้าชู้” จีรดาว่าอย่างหมั่นไส้ขณะคว้ากล้องส่องทางไกลที่มัชฌิมายื่นให้ จากนั้นก็ลองส่องดูไปรอบๆ “อุ๊แม่เจ้า!”

“อะไร” เธอกับเพื่อนสนิทอีกคนพลอยขยับตัวตามไปด้วยอย่างใคร่รู้

“นั่น…นั่น…ผู้ชายคนนั้น” จีรดาพยายามปรับโฟกัส

“คนไหน พวกฉันมองไม่เห็น”

“ที่หนึ่งนาฬิกา”

“หนึ่ง…หนึ่งอะไรนะ”

“หนึ่งนาฬิกาไงยายบื้อ”

อะ…อ่อ

เธอสองคนหันไปมองตามที่จีรดาบอก แต่ระยะที่พวกเธออยู่นั้นไกลจากอาคารออฟฟิศของลูกปลาน้อยภิมุขมากจนเห็นแค่ว่าเป็นคน ทว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร

“เอากล้องมาให้พวกฉันซิ” มัชฌิมาขอ

“เดี๋ยวก่อน ขอดูให้กระชุ่มกระชวยอีกนิดน่า”

“อะไรของแกเนี่ย นี่อย่าบอกนะว่าหลงนายภิมุขอีกคน”

“โอ๋ย ไม่ใช่” จีรดาสูดน้ำลาย เจ้าตัวโวยวายกรี๊ดกร๊าด ใช้กล้องส่องทางไกลไม่ยอมวางมือ “ใส่ชุดทหารด้วย…เหล่าไหนนะ…ว้าย ตายจริง ทหารบกด้วย…กรี๊ดๆๆๆ”

เสียงกรีดร้องของจีรดาทำเอาเพื่อนที่เหลืออีกสองคนต้องเอานิ้วอุดหู ยืนหันมามองหน้ากันอย่างเข้าใจในสถานการณ์

“อาการเก่ากำเริบ” มัชฌิมาส่ายหน้า

“เห็นคนแต่งเครื่องแบบเป็นไม่ได้” อาริสาอ่อนใจ

พวกเธอทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียง

ถ้าจำไม่ผิดแฟนเก่าก่อนหน้าพี่ติที่จีรดาเพิ่งเลิกกันไปก็เป็นคนในเครื่องแบบ

“ต๊าย…ชื่อชายชาญซะด้วย เก๋มาก…” จีรดาลากเสียงอย่างตื่นเต้น

“เก๋ตรงไหน” อาริสาไม่เข้าใจ เธอหันไปถามกึ่งปรารภกับมัชฌิมาที่ทำหน้าเบื่อ “เชยมากกกกก”

“…สามดาวด้วย งั้นก็เป็นนายร้อยล่ะสิ” จีรดายังคงสูดปากไม่หยุด นี่เจ้าตัวจะตื่นเต้นไปถึงเมื่อไหร่ ระวังเถอะจะหัวใจวายตายเข้าสักวัน “คนนี้ฉันจองนะ ห้ามแย่ง”

โอ๊ะ! มีหวงด้วย

“นี่ใจคอแกจะเหมาให้หมดทุกเหล่าทัพรึไง ตั้งแต่ปีหนึ่งก็นายต้นนักเรียนนายร้อยทหารอากาศ ตอนปีสี่ก็นายโจ้นักเรียนนายเรือ ก่อนหน้าพี่ติก็เป็นตำรวจชื่อก้อง” มัชฌิมานับนิ้วไปด้วยจาระไนไปด้วย มีอาริสาพยักหน้าหงึกๆ เป็นลูกคู่

“แหม…พวกนั้นน่ะของเล่น แค่ทางผ่าน”

“ดอกไม้ริมทางว่างั้นเถอะ” เธอประชด แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้ใครกันบอกว่าเกลียดคนเจ้าชู้น่ะหือ?

“อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะยายแอ๊นท์”

หน้าผากมนของเธอถูกเพื่อนรักนักสะสมคนในเครื่องแบบใช้นิ้วจิ้มดังจึ้กๆ

“คนอื่นๆ ฉันให้สถานะพี่ชายที่เกือบเป็นแฟน แต่พวกเขาเอาแต่คิดว่าฉันเป็นแฟนก็เท่านั้น”

“แถจนสีข้างถลอกแล้ว”

“จริงๆ นะ แต่คนนี้น่ะของจริงจ้ะ ฉันขอบอกพวกหล่อนไว้เลย ประกาศจุดยืน ณ จุดนี้”

“ไหนขอฉันดูหน่อย” มัชฌิมาทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ดึงกล้องส่องทางไกลจากมือเพื่อน “หนึ่งนาฬิกาใช่ไหม”

“ใช่”

“นี่อย่าบอกนะว่าเป็นผู้ชายใส่ชุดทหารที่ยืนอยู่หน้าตึก”

“แม่นแล้ว”

“แกรู้มั้ยว่าเขาเป็นใคร” มัชฌิมาลดกล้องส่องทางไกลในมือแล้วหันไปถามเพื่อน “ว่ายังไงยายจิ๊บ แกรู้หรือเปล่า”

“ก็ชายชาญไง” จีรดาทำหน้างง “ฉันเพิ่งบอกชื่อเขาให้แกฟังไปเมื่อกี้นะยายปอ แกฟังแล้วยังผ่านไปไม่ถึงสี่สิบวินาทีเลย”

“นังจิ๊บ” มัชฌิมาหน้าเครียด “เมื่อกี้ตอนแกมองเขาน่ะ มองตั้งแต่ตรงไหน ตั้งแต่บ่าลงไปใช่มั้ย แล้วก็เน้นเฉพาะชุดนายทหารที่มีดาวแปะกับแถบชื่อโดยที่ไม่ได้มองแม้แต่หน้า”

“ไม่ต้องห่วง ผู้ชายเวลาสวมเครื่องแบบทุกคนล้วนมีรัศมีความหล่อบังเกิดขึ้นทั้งนั้น”

“ให้ตายเถอะย่ะ ฉันไม่รู้ว่าควรเวทนาหรือสมน้ำหน้าแกดี” มัชฌิมาซึ่งรอบรู้เป็นที่สุดบอกต่ออีกว่า “หนุ่มที่แกตกหลุมน่ะเขาชื่อตั๊ก เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเป้าหมายของเรา ซึ่งฉันเสียใจที่ต้องบอกว่างานนี้แกคงจีบเขาไม่ได้แล้ว”

“ไม่จริง” จีรดาช็อก แต่ก็เพียงแค่สองวินาทีเท่านั้น “แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ไม่สนหรอก”

“เราไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนที่อยู่รอบตัวเป้าหมาย” มัชฌิมาเตือน

“แล้วไง คนละคนกันนี่” จีรดายักไหล่ “แล้วถ้าเมื่อถึงเวลาที่ความแตก เขารู้ว่าฉันเป็นเพื่อนพวกแกฉันก็จะพูดว่า…ตายจริง! จิ๊บไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่าเพื่อนของจิ๊บเคยเป็นแฟนญาติของคุณ หวังว่าคุณคงไม่เอาเรื่องของญาติของคุณมาเกี่ยวกับเรื่องของเรานะคะ จิ๊บรักคุณนะคะ รักคุณตั๊กคนเดียว” จีรดาทำเสียงซื่อบริสุทธิ์ บีบน้ำตาเหมือนพจมานตอนอยู่ต่อหน้าชายกลาง ณ บ้านทรายทอง

“โอว…สุดๆ ไปเลย ข้าน้อยขอปรบมือให้ ว่าแต่นายชายชาญอะไรนี่มีดีตรงไหน ยังไม่ทันพูดกับเขาสักคำก็ตกหลุมรักซะแล้ว” อาริสาถามด้วยความไม่เข้าใจ

“ชื่อเขาเก๋ ชายชาญ ตั๊ก” จิ๊บทำตาเคลิ้ม

“ชื่อตั๊กเนี่ยนะเก๋ ชื่อยังกับผู้หญิง” คนถามพึมพำอย่างไม่เห็นด้วย

“หุ่นก็ดี ถามปอสิว่าเขาแม้นแมนขนาดไหน” คนพูดเริ่มตาลอย

“ก็งั้นๆ แหละ ฉันว่าพี่โจ้ยังล่ำกว่าเยอะ” คนถูกถามแย้งเสียงเรียบ แต่ก็ทำเอาคนตาลอยกลับมาตาเขียวปั้ดได้ทันควัน

“อี๋! พี่โจ้น่ะล่ำเกินไป แขนกับอกพองอย่างกับลูกโป่ง นี่ฉันยังสงสัยเลยว่าถ้าเอาเข็มไปเจาะเนี่ยจะแตกไหม คนอาไร้! หุ่นเหมือนอาร์โนลด์”

“แต่ก่อนแกชมว่าเขาหุ่นดีเหมือนอาร์โนลด์ไม่ใช่เหรอ” อาริสาซึ่งทนฟังต่อไม่ไหวหลุดปากขัดคอ

“แกว่าอะไรนะไอ้แอ๊นท์”

“เปล่าๆ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” อาริสาคอหด “ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะฆ่าฉันขนาดนั้นก็ได้”

“ไม่รู้ล่ะ สรุปว่าฉันตกหลุมรักเขาแล้ว แค่นี้โอเค?” เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองยังจ้องหน้ากันอยู่ คนที่เพิ่งตกหลุมรักจึงรีบพูดต่อทันที “แต่ฉันจะไม่ทำให้เสียแผนแน่นอน ฉันจะไปสืบเรื่องของเป้าหมายกับทางโน้นไปในตัว นะ…นะ น้า…ให้ฉันจีบเขาเถอะนะ ตอนนี้ฉันว่างนะ โสดมาหลายวันแล้ว”

แม้จะไม่เต็มใจนักกับการขอร้องครั้งนี้ หากพวกเธอทั้งสองคนก็สวมวิญญาณนางเอกหัวอ่อนยอมตกลงเพิ่มแผนนี้ลงไปด้วยเพื่อเห็นแก่ความสงบสุขของตัวเอง

 

“ฮือ…โธ่ ไม่น่าเลย” คนนั่งข้างๆ เธอพร่ำรำพันปานจะขาดใจ

“ฝนทำใจซะเถอะ ยังไงซะเรื่องมันก็ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว” อาริสาพยายามปลอบใจพลางส่งกระดาษทิชชูให้คนข้างๆ แม่บ้านประจำบ้านของเธอรับไปสั่งน้ำมูกดังฟืดใหญ่ ข้างๆ กันเป็นกองกระดาษทิชชูที่ถูกใช้แล้วสูงเป็นภูเขาย่อมๆ

“ไม่ได้หรอกค่ะคุณแอ๊นท์ คนอะไรใจร้ายใจดำ ดูสิมาหลอกคนอื่นให้รักหัวปักหัวปำแล้วก็เขี่ยทิ้ง” ฝนสาวใช้วัยสิบห้าของเธอว่าอย่างคับแค้น

“ฝนอย่าคิดมากไปเลยนะจ๊ะ ยังไงซะเราคงไปแก้ไขไม่ได้”

“ไม่รู้ล่ะ ถ้ายายนางเอกไม่ยอมกลับมาหาพระเอกล่ะก็ฝนไม่ยอมจริงๆ ด้วย ดูสิคะคุณแอ๊นท์ พระเอกเสียใจมากขนาดไหน นางเอกก็มีคนรักอยู่แล้วแท้ๆ ยังมาหลอกใช้พระเอกเพื่อแก้แค้นแทนพ่อ หลอกให้เขารักเขาหลงแล้วก็ทิ้งเขาไป ผู้หญิงอะไรหน้าตาก็ดีแต่นิสัยแย่มาก”

“มันก็แค่ละครน่ะ ทำไมเราต้องอินขนาดนี้ด้วย” หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ

“คุณแอ๊นท์คะ” สาวใช้กิตติมศักดิ์กอดอกพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างอหังการ “ละครน่ะก็ต้องอิงมาจากเรื่องจริงใช่ไหมคะ คุณแอ๊นท์ลองคิดดูดีๆ สิคะ ถ้าวันหนึ่งเรารู้ว่าคนที่เรารักหลอกเรามาตลอด เราจะเสียใจขนาดไหน ไอ้คนที่ทำอย่างนี้ได้น่ะมันต้องเป็นคนที่ใจร้ายใจดำและชั่วร้ายมากๆ แน่ๆ หลอกคนอื่นให้มารัก แถมตัวเองยังมีคนรัก แบบนี้เรียกว่าหลอกผู้ชายถึงสองคน หน้าไม่อาย แพศยา นังหน้าด้าน!”

อึก! ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ากำลังโดนแม่บ้านด่าอ้อมๆ ล่ะ อาริสาหน้าเสีย

“แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ อย่างคุณแอ๊นท์นิสัยดีอย่างนี้คงไม่เคยคิดจะทำร้ายใครและคงไม่มีใครมาทำร้ายหรอกค่ะ คุณแอ๊นท์ก็เลยไม่เข้าใจ คุณแมนออกจะรักคุณแอ๊นท์มาก คงไม่มีวันนอกใจคุณแอ๊นท์ของฝนแน่ ส่วนเรื่องที่คุณแอ๊นท์จะนอกใจคุณแมน โหยยยยย ยิ่งไม่มีวันเกิดขึ้น คุณแอ๊นท์ไม่มีทางทำเรื่องชั่วๆ สุวรรณมาลีแบบนั้นหรอก” คนข้างๆ มองตาเธออย่างเชื่อมั่น

สุวรรณ แปลว่าทอง

มาลี แปลว่าดอกไม้

รวมกันเป็น…ดอกไม้สีทอง

ม่ายน้า!!!!!!

พอเถอะฝน แอ๊นท์ขอร้องงงงงง เลิกด่าแอ๊นท์ได้ไหม นี่นายจ้างนะ เป็นคนที่จ่ายเงินเดือนให้ฝนทุกเดือนด้วยนะ

“อุ๊ย…คุณแอ๊นท์เป็นอะไรไปคะ หน้าดูซีดๆ”

หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกจ้ะ เพียงแต่ง่วงน่ะ ถ้าฝนดูละครจบก็ปิดโทรทัศน์ปิดไฟด้วยแล้วกัน”

สั่งเสร็จหญิงสาวก็เดินไปที่ห้องนอนทันทีพร้อมกับใจที่เริ่มสับสน หวังว่าเธอคงจะคิดถูกนะที่ใช้วิธีนี้แก้แค้นผู้ชายคนนั้น เธอคงไม่ได้ถูกชาวบ้านจัดอันดับอยู่ในหมวดผู้หญิงลวงโลก หลอกปั่นหัวผู้ชาย ชั่วช้ามากๆ หรอกเนอะ

 

กริ๊ง กริ๊ง…

เสียงโทรศัพท์กรีดร้องปลุกประสาทการรับรู้ของเธอให้ตื่นตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากที่พยายามข่มตาหลับเป็นเวลานาน อาริสาสูดหายใจ พยายามตั้งสติขณะลุกจากที่นอนเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง

“แอ๊นท์ ตื่นได้แล้วย่ะ แล้วก็รีบแต่งตัวด้วย เดี๋ยวอีกชั่วโมงฉันจะไปรับ” จีรดาส่งเสียงคึกคักมาตามสาย

“แต่งตัว? แกจะพาฉันไปไหน วันนี้ไม่มีคิวที่จะต้องไปหาเป้าหมายนี่นา” เธอขยี้ตา เมื่อคืนฝันวุ่นวายยุ่งเหยิงมาก มีทั้งปกรณ์มีทั้งภิมุข แล้วก็มีเธอวิ่งวุ่นควงคนนั้นสลับกับควงคนนี้ เหนื่อยจนหมดแรง

“เหอะน่า รีบแต่งตัวก็แล้วกัน” พูดจบเจ้าหล่อนก็วางสายทันที

“อะไรของมันเนี่ย สงสัยของขึ้นแต่เช้า ดูสิพูดไม่ทันจะรู้เรื่องเลย วางหูซะแล้ว” เธอถอนหายใจยาว เดินไปอาบน้ำแต่งตัวตามคำบัญชาของเพื่อนจอมบงการสุดรักของเธอ

 

“นี่แกพาฉันมาที่นี่ทำไม” อาริสางุนงงสุดขีด ตากลมดำขลับล้อมด้วยแพขนตายาวหนามองบ้านพักนายทหารที่ปลูกเรียงกันเป็นแถว

ที่นี่มันหน้าปากทางเข้าบ้านพักของกรมทหารนี่ ดูสิมีแต่พวกทหารเต็มไปหมดเลย สวมเสื้อเขียวๆ เต็มไปหมดด้วย อาริสาตัวสั่น ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะชอบคนในเครื่องแบบ!

“ฉันเปลี่ยนแผนใหม่แล้วล่ะ” จีรดาจอดรถก่อนจะหันมาอธิบาย “เราสองคนจะไม่ปิดบังเป้าหมายว่าเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น แกก็รู้ว่ายังไงซะเราก็ต้องเจอกันอยู่ดีใช่ไหมล่ะ ซึ่งฉันก็มาคิดดูแล้ว เพื่อความคล่องตัวในการทำงาน แผนนี้ดีที่สุด” เน้นประโยคสุดท้ายอย่างมั่นใจ

ดูมัน…พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ซ้ำยังเน้นประโยคสุดท้ายอย่างมั่นใจซะด้วย

“ปอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

คนข้างๆ ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ฉันว่าแล้ว นี่แกจะทำให้เรื่องมันสาวเข้ามาหาพวกเรามากขึ้นนะ แค่พวกฉันยอมให้แกจีบนายชายชาญนี่ก็เสี่ยงพอตัวแล้ว แต่นี่แกเล่นจะตามจับเขาขนาดนี้เลยเนี่ยนะ! ไม่เอา แผนของแกไม่ผ่าน ฉันไม่เห็นด้วย ปรับตก เอาออกไปเลย” อาริสาปฏิเสธทันทีโดยไม่สนใจเสียงฮึดฮัดของคนข้างๆ

“แผนของฉันเนี่ยดีแล้ว แกเชื่อฉันเถอะ”

“ไม่” เธอปฏิเสธเด็ดขาดพร้อมกับใช้ไม้เด็ดคือเปิดประตูลงจากรถทันที

“โห…ยายแอ๊นท์ แค่นี้ไม่เห็นต้องทำงอนเลย” จีรดาโวยวายพร้อมกับก้าวลงมาจากรถเช่นกัน

“ไม่รู้แหละ ยังไงฉันก็ไม่ยอมทำตามแผนของแกแน่” เธอยังคงเดินต่อไปและไม่สนใจแรงกระชากของยายเพื่อนตัวดีที่ตอนนี้พยายามยื้อยุดเธอ โฮะ! ไม่รู้อะไรซะแล้วว่าตอนนี้เธอไม่ใช่ยายแอ๊นท์ตัวอ่อนปวกเปียกแล้วนะ จะบอกไว้เลยว่าหลังจากต้องออกกำลังกายกับตาโคถึกภิมุขตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ พละกำลังของเธอตอนนี้มันก็แรดดีๆ นี่เอง

เพราะมัวแต่กระชากลากถูเถียงกันนี่เองจึงทำให้สองสาวไม่รู้ว่ากำลังเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนแถวนั้น โดยเฉพาะเขา…ผู้ชายในชุดทหารที่กำลังเปิดประตูรั้วบ้านพักเดินออกมา

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” เสียงห้าวถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

“เผือก!!” เธอกับจีรดาหันไปตวาดคนที่เข้ามายุ่งพร้อมกัน พวกเธอน่ะตบตีกันแบบนี้ตลอดแหละ ยิ่งสมัยตอนเรียนหนังสือด้วยนะ จิกตบกันอย่างกับไก่ชน!

“ว้าย!” อาริสาร้องลั่น ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม จู่ๆ ยายเพื่อนตัวดีที่ยื้อแขนเธอกลับปล่อยเธอจนเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นดินอย่างแรง!

ยายเพื่อนใจร้าย เอาจริงเหรอเนี่ย ทุกทีไม่เคยตีกันรุนแรงเอาเป็นเอาตายเลยนะ เจ็บ! โอ๊ย! ขาเธอ ขาเจ็บมากเลย!

“ตายแล้วยายแอ๊นท์ของจิ๊บ”

แค่ประโยคนี้ทำไมทำให้อาริสารู้สึกขนลุกซู่

“แก…แกทำไมต้องทำเสียงสอง”

“โธ่แอ๊นท์ เจ็บหรือเปล่าจ๊ะ เป็นอะไรขึ้นมา คุยกันอยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆ ก็ทำตัวคลุ้มคลั่งแบบนี้ เพื่อนจิ๊บตกใจหมดเลยนะจ๊ะ” จีรดาดัดเสียงสวยลูบหลังลูบผมเธอเป็นพัลวัน “โกรธจิ๊บทำไมจ๊ะ จิ๊บก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่งน่ะ ดูสิไม่เห็นต้องโมโหเลย”

“หา?”

“โถๆๆๆ” เพื่อนเธอพูดเสียงอ่อนพลางใช้มืออีกข้างที่ว่างปัดฝุ่นที่เกาะกางเกงเธอไปมาด้วยอาการที่เรียกว่าห่วงใยจนน่าขนลุก “ไม่เจ็บนะแอ๊นท์”

พูดอะไรเนี่ยไม่เห็นเข้าใจเลย โอ๊ะ ดูสิ รอยยิ้มนั่น เฮ้ย! เธอเป็นผู้หญิงนะ อย่ายิ้มหวานขนาดนั้นได้ไหม

“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มคนที่เข้ามาห้ามเธอสองคนถามแทรกเข้ามา

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เคล็ดนิดหน่อย” อาริสารีบปฏิเสธขณะที่ยังคงก้มหน้าปัดเศษดินที่ติดตามตัว

“โธ่แอ๊นท์ เธอเจ็บมากนะจ๊ะ ดูสิเลือดไหลด้วย ไม่รู้ข้อเท้าจะแพลงหรือเปล่า” จีรดาพูดต่อหน้าตาเฉยพลางหันมาขยิบตาให้เธอที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

ยายนี่เป็นอะไรน่ะ ตาเจ็บเหรอ ขยิบตาปริบๆ จนเธอต้องกะพริบตาตามไปด้วยเนี่ย ขอคิดก่อนนะ ขออาริสาใช้สมองสักครู่ โอ๊ะโอ๋ มิน่าทำไมยายเพื่อนตัวแสบของเธอถึงเปลี่ยนร่างเปลี่ยนสีเป็นจิ้งจกได้ขนาดนี้ ป้ายชื่อบนเครื่องแบบของผู้ชายคนนี้…หมอนี่คือนายชายชาญนั่นเอง

“เร็วๆ สิ แกล้งเจ็บสิ เจ็บให้หนักๆ สิแก”

ไม่ต้องมากระซิบซะให้ยากเลย ไม่! ไม่เด็ดขาด เธอจะไม่ยอมใจอ่อนทำตามแผนของจีรดาแน่ แต่เหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้ง เพราะยายเพื่อนบ้าดันรู้ทันเลยเหยียบเท้าเธอเสียเต็มแรง

“โอ๊ย!”

“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ ผมว่าเราน่าจะพาเพื่อนคุณไปหาหมอ” ผู้กองชายชาญเสนออย่างมีน้ำใจ

ตายล่ะ! นี่มันก็เข้าแผนของเสือผู้ชายจอมเจ้าชู้น่ะสิ ไม่ได้ เธอจะไม่มีวันยอมเป็นเครื่องมือเด็ดขาด!

“ไม่ต้องหรอกค่ะ…โอ๊ย!”

คราวนี้เจ็บจริงแล้วนะ เล่นกระทืบซะแรงขนาดนี้ ยายบ้าผู้ชายในเครื่องแบบคนนี้ยังเห็นเธอเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า!

“ตายแล้ว…สงสัยคงเจ็บมากน่ะค่ะ” จีรดาหันไปทางชายหนุ่มร่างสูง เล่าเป็นเชิงปรึกษา “ไม่รู้จะทำยังไงดี ดื๊อดื้อค่ะ ไม่ชอบหาหมอ”

“ผมว่าให้ผมช่วยพยุงเพื่อนของคุณดีกว่าไหมครับ”

“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ ยายนี่ยืนเองได้”

แหม…ไม่ยอมให้ผู้ชายแตะต้องตัวเธอเลยนะ อาริสาทำปากขมุบขมิบด่าเพื่อนว่ากระซู่ ยังไม่ทันได้คบกันก็หวงเขาไม่ให้เขาแตะต้องเพศตรงข้าม กล้านะยะ กล้ามากเลย

“ไม่ทราบว่าที่บ้านคุณมีกล่องปฐมพยาบาลไหมคะ คือดิฉันเป็นพยาบาลน่ะค่ะ”

โอ้โฮ…พูดเป็นฉากๆ เลยนะ จากหมอฟันไปเป็นพยาบาล สามารถเปลี่ยนสาขาอาชีพได้ด้วย

“มีครับ เชิญทางนี้ครับ”

“ต้องรบกวนคุณทหาร ขอโทษมากๆ เลยนะคะ”

อาริสาอ้าปากค้าง เธอปล่อยให้เพื่อนลากเดินตามร่างสูงไปต้อยๆ

“นี่แกใช้วิธีขอเข้าบ้านผู้ชายแบบนี้บ่อยๆ เหรอ” อดไม่ได้จริงๆ ในที่สุดเธอก็กระซิบถามเพื่อนด้วยความเหลือเชื่อ “เพิ่งเจอกันครั้งแรกแกก็ทำแบบนี้เลยเนี่ยนะ ยังเป็นกุลสตรีอยู่ไหม”

“นี่มันยุคอะไร ขืนรอจะได้กินเหรอ”

“ทางนี้ครับบ้านผม” ผู้กองชายชาญผลักประตูรั้วบ้านพักของเขาให้เปิดกว้าง ขณะที่คนฟังก็รู้สึกต่างๆ กันไป…คนหนึ่งดีใจสุดขีด ขณะที่อีกคนหนึ่งเศร้าสุดขีด…

พนันได้เลยว่าไม่เกินสามวัน ผู้ชายคนนี้ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่นจีรดาแน่ๆ โธ่ ไม่น่าหาเรื่องเลยผู้กอง!

ถึงจะเห็นใจเขา แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่อาริสาได้เข้ามาเยือนบ้านพักนายทหาร เธอก็เลยค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ ผู้หญิงรักสะอาดอย่างเธอชื่นชมความเป็นระเบียบของเขานะ สะอาด เรียบร้อย ไม่มีฝุ่นสักเม็ด

“แอ๊นท์ดูสิ มีถ้วยรางวัลเพียบเลย”

ทันทีที่ชายหนุ่มทิ้งเธอทั้งสองคนให้นั่งรออยู่ที่โซฟารับแขกภายในบ้านพักเพื่อเข้าไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลในห้องนอน จีรดาก็ตาเป็นประกาย ลุกเดินไปทั่วห้อง มองนั่นมองนี่ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเก็บภาพถ้วยรางวัลของเขา แล้วก็เซลฟี่ยืนยันการปักหมุดผู้ชายคนใหม่ของตนเอง

เฮ้อ…นอกจากจะบ้าเครื่องแบบแล้วยังบ้าพวกนักกีฬาด้วยสิ สงสัยงานนี้นายชายชาญถูกมัดดิ้นไม่หลุดแน่

“ไม่เห็นจะแปลกเลย บ้านไหนก็มีถ้วยรางวัลแหละ ฉันว่าแกลองไปดูใกล้ๆ ซิ เผื่อว่ามันอาจเป็นรางวัลประเภทแข่งกินหรือพวกวิ่งวิบากตามงานวัดก็ได้”

“ขัดขวางความสุขจัง ตาบอดเหรอ เห็นชัดๆ ว่าเป็นรางวัลชนะเลิศยิงปืนกับเทควันโด แล้วก็ไม่ต้องพูดจาดิสเครดิตเขาเลยนะ เพราะเดี๋ยวแกจะเจ็บกว่านี้ เชอะ! มีอย่างที่ไหน แทนที่จะช่วยเพื่อน ดันคอยแต่จะขัดคอซะนี่ อยากให้เพื่อนเป็นโสดนานเกินสิบวันรึไง”

อะนะ โสดยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลยนะ มูฟออนเร็วเหลือเชื่อ

อาริสาได้แต่ปลง ปลงทั้งเรื่องเจ้าชู้ของเพื่อน แล้วก็ปลงเผื่อนายทหารชายชาญที่อาจจะโดนบอกรักและบอกเลิกได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชายในเครื่องแบบสำหรับจีรดาก็เหมือนกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วทิ้งนั่นแหละ

“มาแล้วครับกล่องปฐมพยาบาล” เสียงที่ดังมาก่อนตัวของเขาทำให้จีรดาที่กำลังตาขวางใส่เธอรีบปรับสีหน้า เจ้าตัวหันไปรับกล่องเครื่องมือที่ยื่นมาให้พร้อมส่งต่อรอยยิ้มอ่อนหวานที่สามารถละลายน้ำแข็งที่เย็นที่สุดในใจคนให้หลอมเหลวได้

แล้วก็เป็นไปตามคาด…

เช้าวันนี้เพื่อนในแก๊งของเธอก็สามารถจับผู้กองชายชาญมัดไว้ได้อย่างแน่นหนาแบบที่เรียกว่าดิ้นไม่หลุดและหนีไม่รอดได้อย่างสมบูรณ์แบบ นับเป็นการทำลายสถิติของบรรดาชายหนุ่มทั้งหมดที่จีรดาเคยต้อนเข้าโกดัง

อาริสามองนาฬิกาที่เธอแอบจับเวลาเอาไว้

หนึ่งชั่วโมงกับอีกสี่สิบห้านาที เฮ้อ…สัพเพ สัตตา

บทที่ 6

ค็อฟฟี่ การ์เด้นเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่เธอร่วมทุนกับพี่สาว ตอนนี้ก็มีอายุได้สองปีแล้ว สาเหตุที่อาริสาเลือกทำธุรกิจประเภทนี้ล้วนมาจากความชอบส่วนตัว เธอชอบที่จะสูดกลิ่นหอมของกาแฟ ชอบความรู้สึกยามที่ได้ชงกาแฟให้ผู้อื่นดื่ม สีหน้าอิ่มเอมของพวกเขาทำให้เธอมีชีวิตชีวาเสมอ จนถึงขนาดยอมละทิ้งสิ่งที่เรียนมาตลอดสี่ปีเพื่อมาเป็นเจ้าของธุรกิจประเภทนี้ก็ว่าได้ ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าคุณเดินเข้ามาแล้วจะพบสาวตัวเล็กน่ารักผมสั้นสีโค้กเซ็ตผมให้ยุ่งเหยิงเล็กน้อยอวดลำคอขาวสล้างดูเซ็กซี่เล็กๆ กำลังยืนส่งยิ้มอบอุ่นต้อนรับคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล

“ค็อฟฟี่ การ์เด้นสวัสดีค่ะ” เสียงหวานใสเอ่ยต้อนรับทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งที่ประตูทางเข้าร้าน

“คาปูชิโนกับแบล็กค็อฟฟี่ค่ะ” ลูกค้าร้องสั่งก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะเล็กที่จัดไว้ข้างอ่างดอกบัวสีชมพู

ที่นี่ไม่ได้มีแค่ดอกบัว แต่อาริสาชอบปลูกดอกไม้ทุกชนิด มีไม้กระถางขนาดต่างๆ มากมายวางประดับอยู่เต็มร้าน ร้านนี้จะหยุดทุกวันอังคารกับวันพุธ ในช่วงเวลาดังกล่าวเธอจะพาต้นไม้ทุกต้นออกไปพักให้มันได้อาบแสงแดด

วันนี้ร้านเปิด อาริสาเองก็มาถึงร้านช่วงสาย เธอพูดคุยกับพนักงานที่มาเปิดร้านให้ในตอนเช้า จากนั้นก็สวมผ้ากันเปื้อนของร้าน เดินไปที่เครื่องชงกาแฟเพื่อรับออเดอร์

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง และเหมือนเคยที่เธอจะเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานต้อนรับลูกค้าผู้มีพระคุณ แต่คราวนี้มันกลับต่างจากทุกครั้ง ลูกค้าที่เดินเข้ามาเป็นคนคุ้นตาที่เธอจะได้พบเขาทุกค่ำที่สปอร์ตคลับหรู

“สวัสดีครับ” ภิมุขเอ่ยทัก เขาเดินตรงมายังเคาน์เตอร์ที่เธอกำลังชงกาแฟ “ขอเอสเพรสโซสองชอตครับ”

เกมตกปลาระหว่างเธอที่เป็นเหยื่อล่อกับเขาที่เป็นปลาเป้าหมายน่าจะยังไม่เริ่มต้นจนกว่าจะเจอกันที่สปอร์ตคลับ นี่เป็นกติกาที่อาริสาเขียนขึ้น เธอเองก็ปรารถนาที่จะมีเวลาเป็นตัวของตัวเอง

ภิมุขไม่เคยถามว่าเธอทำอาชีพอะไร ในทางเดียวกันอาริสาเองก็ไม่เคยถามเขา พวกเธอทั้งคู่คล้ายคบหากันเพื่อเป็นคู่เล่นกีฬา เป็นแบบที่เล่นไปพลางก็หยอดก็อ่อยกันไปพลางทำนองนี้ เพื่อจะได้ไม่ผูกพันกันจนมากระทบการใช้ชีวิตจริงๆ ของเธอ อาริสาคิดแบบนี้และก็ทำแบบนี้ไม่เคยผิดพลาด งั้นแล้วทำไมล่ะ ทำไมวันนี้จู่ๆ ตาคนนี้ถึงได้มาปรากฏตัวที่ร้านกาแฟของเธอได้

อาริสาไม่สบายใจ ทำไมตาปลาน้อยนี่ถึงมาที่นี่ถูก

“สวัสดีค่ะคุณภิมุข มาถูกได้ยังไงคะ” หญิงสาวดัดเสียงหวาน วันนี้ไม่ได้แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดด้วยล่ะ ทำยังไงดี

“มาตามหาหัวใจน่ะครับ”

“คะ?”

“มาตามหาหัวใจครับ” ชายหนุ่มส่งตาหวานตอบกลับมาอีกรอบ

โอยเลี่ยนมาก คิดได้ไงเนี่ย

แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดออกไปหรอก อย่างน้อยๆ ยายเพื่อนสองตัวของเธออาจจะฆ่าเธอได้ถ้าพูดออกไปแบบนั้น นี่ลูกปลาน้อยอุตส่าห์สวมวิญญาณพระเอกลิเกเลยนะ แปลว่าเขาตั้งใจเดินหน้าจีบเธอจริงๆ จังๆ แล้ว

หญิงสาวเสหันไปหยิบผ้าเช็ดโต๊ะมาเช็ดพื้นเคาน์เตอร์ แขนเล็กๆ ทำงานขะมักเขม้น ระหว่างนั้นก็แกล้งถามเสียงเริงร่า

“งั้นคุณภิมุขรับเอสเพรสโซสองชอตใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ แต่วันนี้ผมขอไม่จ่ายด้วยเงินสดนะ ขอจ่ายด้วยแรงงานแทนได้ไหม”

“ยังไงคะ”

“วันนี้ตั้งใจจะมาเป็นเด็กเสิร์ฟครับ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มา เดี๋ยวลูกค้าคู่นี้ผมจัดการเอง” ชายหนุ่มพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อความทะมัดทะแมง พอได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตู มือเรียวแบบผู้ดีของเขาก็แย่งสมุดจดออเดอร์ไปหน้าตาเฉย

“สวัสดีครับ ค็อฟฟี่ การ์เด้นยินดีต้อนรับครับ ต้องการมุมนั่งแบบส่วนตัวหรืออยากได้แบบโอเพนเอาต์ดอร์ครับผม”

ท่าทางกระตือรือร้นของคนตรงหน้าทำเอาเธออ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้ตั้งใจตะกุยหัวใจของเธออีกแล้วใช่ไหม แล้วใจของเธอก็ดันหลงเล่นตามไป แกว่งไกวตามที่เขาต้องการ

อาริสาใจเสีย เธอลูบแหวนที่ปกรณ์ให้ ทำยังไงดี…ทำยังไงดี

“ห้ามใจอ่อน ห้ามๆๆๆ”

ถึงจะเตือนตัวเองเสียงแข็งแบบนั้น แต่ตลอดทั้งวันอาริสาก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะสบตากับเขา สายตามันเป็นไปโดยอัตโนมัติ มันเอาแต่เฝ้าวนเวียนมองแผ่นหลังหยัดตรงของผู้ชายที่วิ่งวุ่นรับรองลูกค้าไปมา

ตลอดทั้งวันเขาทำงานอย่างคล่องแคล่ว ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพผู้บริหารหนุ่มที่เธอเคยรู้จัก ความต่างนี้เกินกว่าที่เธอจะกล้าจินตนาการ ภายใต้ท่าทางสุภาพนั้นตอนที่เธอกับเขาสบตากันมันมีสัญญาณอันตราย

ใช่ๆๆ ผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตรายที่ทำเอาเพื่อนรักของเธอถึงกับจะฆ่าตัวตายมาแล้วนะยายแอ๊นท์

“ท่องเอาไว้สิ ท่องเอาไว้”

“คุณแอ๊นท์ครับ”

“คะ?”

การไม่สนใจเสื้อผ้าที่รีดจนกลีบแทบบาดมือจะยับย่นเพราะต้องพับแขนเสื้อให้ทะมัดทะแมง การไม่สนใจว่าภาพเด็กเสิร์ฟกาแฟมันจะต่ำต้อยกว่าผู้บริหารเงินเดือนหลักแสนอย่างเขา แล้วยังจะรอยยิ้มที่มีให้กับลูกค้ากับการบริการอย่างไม่ถือตัว เขากำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำให้เธอชื่นชมบูชา?

หรือว่า…

จู่ๆ อาริสาก็นึกสงสัยว่าสิ่งที่เธอได้ยินมาจากเพื่อนๆ มันจะผิดพลาด หรือว่าภาพที่เธอเห็นในเวลานี้ก็คือภาพที่แท้จริงของเขา?

ภิมุขก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา เป็นผู้ชายที่ดี เป็นคนปกติธรรมดาที่อาจจะมีผิดพลาดบ้างเท่านั้นเอง

“ลาเต้สองที่ครับ” เขาเท้าแขนบนเคาน์เตอร์แล้วโน้มตัวมาบอกเธอ อาริสามองเขาผ่านเครื่องชงกาแฟเบื้องหน้า รอยยิ้มที่ปรากฏในแววตาคมกล้านั้นช่างเปิดเผยและซื่อตรง

คงเพราะเธอไม่ได้ขานรับ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาก็เลยเลือนหาย ความเป็นห่วงและอาทรเข้ามาแทนที่ ร่างสูงเดินอ้อมมา เปิดประตูที่กั้นไว้ตรงด้านข้างเคาน์เตอร์

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เหนื่อยเหรอครับแอ๊นท์”

อาริสาส่ายหน้า เธอรีบเรียกสติตัวเอง แล้วเธอก็ทำสำเร็จ เธอดึงภวังค์ของเธอที่กำลังใจอ่อนยวบๆ ให้กลับมามั่นคงดังเดิม

“เปล่าค่ะ แอ๊นท์โอเคดีมากค่ะ”

“แน่ใจนะครับ?”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับพร้อมรอยยิ้ม…รอยยิ้มที่เธอไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามันเป็นรอยยิ้มแรกที่เธอยิ้มให้เขาโดยไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับ

 

ป้าย OPEN ถูกพลิกให้กลายเป็น CLOSED

“วันนี้ต้องขอบคุณมากนะคะ” อาริสากล่าวขอบคุณคนที่ยืนรอเธออยู่ข้างๆ เธอล็อกกุญแจประตูหน้าร้าน จากนั้นก็เดินเคียงข้างเขาออกจากใต้ชายคา

ภิมุขอยู่ช่วยงานเธอจนกระทั่งเวลาปิดร้าน แม้เธอจะพยายามบอกให้เขากลับไปตั้งแต่เย็นแล้วก็ตาม แต่คนตัวสูงก็ยังดื้ออยู่นั่นล่ะ ดื้อจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ

พนักงานในร้านไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้ ก็เรื่องของนายจ้างนี่นะ เด็กๆ พวกนั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะมากกว่า อาริสานึกขอบคุณ อย่างไรเสียก็ไม่อยากให้ใครๆ เข้าใจผิดว่าเธอจับปลาหลายมือ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ ช่วงนี้คุณแอ๊นท์ไปที่สปอร์ตคลับน้อยลง ผมก็เลยต้องมาหาคุณที่นี่แทน”

อืม…ก็ไปน้อยลงจริงๆ นั่นแหละ เธอเองก็กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหวเลยยั้งๆ ดึงตัวเองให้ถอยเพื่อสร้างระยะห่างบ้าง

พอเห็นเธอเงียบ เขาก็เลยพูดต่อด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า

“ยังไงดีล่ะ ผมมาหาที่นี่คงไม่ทำให้คุณลำบากใจหรอกใช่ไหมครับ”

คำถามอย่างตรงไปตรงมาจากผู้ชายที่เป็นชายในฝันของผู้หญิงหลายคน จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าเนื้อตัวร้อนวูบวาบ หัวใจหวิวๆ

“คุณแอ๊นท์ครับ ผมมาที่นี่ได้หรือเปล่าครับ”

เขาฉวยมือเธอไปจับไว้ จูงเธอเดินต่อไปข้างหน้า เสียงนุ่มๆ ที่มีความหมายซ่อนอยู่ในคำถามนั้นทำเอาใบหน้าเธอร้อนผ่าว ได้แต่ก้มหน้าผงกศีรษะน้อยๆ อย่างที่หากไม่สังเกตก็คงไม่ได้คำตอบ

“ขอบคุณครับ” ภิมุขสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนั้นของคนตัวเล็กกว่า ชายหนุ่มส่งสายตาอย่างมีความหมายขณะที่ทอดเสียงประโยคสุดท้ายอย่างอ่อนหวาน “ผมดีใจมากเลยนะครับแอ๊นท์”

อาริสาปิดตา ไม่นะยายแอ๊นท์ อย่าได้เข้าสู่เส้นทางของคนนอกใจ

ถ้า…

ถ้าไม่ติดว่ามีแมนเป็นคนในหัวใจของเธอแล้วล่ะก็ เธอคงดีใจมากกับคำพูดทั้งหมดและการกระทำทุกอย่างของภิมุขในวันนี้ ไม่แปลกเลยไม่แปลก ไม่แปลกแม้แต่นิดเดียวที่ยายพิมจะคลุ้มคลั่งสุดใจเมื่อถูกเขาทิ้ง

อาริสาเดินเคียงข้างภิมุขไปเงียบๆ เดินเอื่อยๆ ไปยังลานจอดรถ มือหนากุมมือเธอ บัดนี้พอมาถึงรถของเธอก็เปลี่ยนมารวบมือทั้งสองของเธอเอาไว้

ชายหนุ่มคงรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกมือหนีของคนที่เดินเคียงข้าง เขาเอ่ยขอโทษเบาๆ ยอมปล่อยมือเธออย่างเสียดาย หญิงสาวเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตัวสูงอย่างลังเล เธอส่ายหน้ากับความคิดตนเองที่จู่ๆ ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจนเธอเองยังตกใจ

ไม่นะ! ไม่ได้นะ!

ชอบ…ชอบเขาไม่ได้นะ!

เสียงแหลมเล็กในอกดังท้วงทันทีที่สรุปความคิดของเธอได้ แต่มันก็สายเกินไป…สายเกินกว่าจะแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง

กว่าจะรู้ตัวอีกที มือของเธอก็เอื้อมไปจับมือของเขาไว้เองเสียแล้ว อาริสาอธิบายการกระทำของเธอในเวลานี้ไม่ได้จริงๆ

“คุณแอ๊นท์” แววตาของภิมุขวาววาม เขาก้มมองมือตนเองที่ถูกเธอกุมเอาไว้ ไม่ใช่คนไร้เดียงสาเสียหน่อยถึงจะไม่รู้ความหมาย สักพักเขาก็ดึงมือตัวเองเข้ามาซึ่งทำให้อาริสาที่ยังไม่ทันปล่อยมือเขาพลอยถูกดึงเข้าสู่อ้อมอกของเขาด้วย

อาริสาเม้มริมฝีปากล่างอย่างเก็บกดความรู้สึกที่เธออยากจะเพิกเฉยมาตลอด ความร้อนรุ่ม รักต้องห้าม ความบาปทั้งหลายช่างเย้ายวนจนเธอทนไม่ไหว และแล้วความรู้สึกที่ไม่เหมาะไม่ควรก็เริ่มเติบโต มารู้ตัวอีกทีมันก็หยั่งรากลึกลงกลางหัวใจของเธอแล้ว

ความคิดของเธอถูกตัดขาดจากสิ่งทั้งมวลทันทีที่ชายหนุ่มดันตัวเธอออกจากอ้อมอกอบอุ่นแข็งแกร่ง ทีแรกอาริสาคิดว่าเขาจะปฏิเสธสิ่งที่เธอเสนอให้ จะหาว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าไม่อายหรือเปล่า แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากขอตัวออกมา มือของเธอก็ถูกเขารั้งเอาไว้ พอเธอเลิกคิ้วด้วยความพิศวงสงสัย ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขากึ่งลากกึ่งจูงเธอ

ดะ…เดี๋ยวก่อน จะทำอะไร นี่ถ้าหากว่าเขาคิดเกินเลย หาว่าเธออ่อยเขาเพื่อจะชวนไปโรงแรมล่ะจะทำยังไง!

โอยยยย เธอไม่ได้คิดจะชวนไปทำเรื่องอย่างนั้น มันก็แค่ความรู้สึกดีๆ ที่บังเอิญเกิดขึ้นมา แล้วเธอก็แค่อยากส่งผ่านไปให้เขา ไม่ได้คิดอกุศลอะไรมากไปกว่านี้เลย!

อาริสาหน้าเสีย หากว่าเขาคิดว่าเธอส่งสัญญาณให้เขาทำมิดีมิร้ายเธอล่ะก็…เธอเอาเขาตายแน่ คนบ้าเอ๊ย! อุตส่าห์รู้สึกดีด้วยแล้วแท้ๆ อย่าคิดนะว่าเธอจะหวั่นไหวเพราะเขาอีกเป็นครั้งที่สอง!

ภิมุขเปิดประตูรถแล้วดันเธอเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ขับรถพุ่งออกไปโดยไม่ถามไถ่เธอเลยสักคำว่าอยากไปด้วยหรือเปล่า อาริสารีบเปิดกระเป๋า เปล่า เธอไม่ได้คิดจะแจ้ง 191 เธอจะส่งข้อความไปถามยายเพื่อนสองคนนั้นว่าเธอควรทำยังไงดี

แล้วจู่ๆ รถก็จอดที่ริมแม่น้ำ อาริสาจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะลงจากรถหรือว่านั่งต่อไป

“ข้างล่างลมเย็นมากเลยนะครับ” เขาเปิดประตูรถให้เธอ

มีเก้าอี้ให้นั่งอยู่ริมทาง เขาเดินไปนั่งแล้วตบตรงที่ว่างข้างๆ บอกให้เธอมานั่งด้วยกัน อาริสากะพริบตาปริบ ยืนนิ่งอยู่สักพัก คิดสะระตะได้ก็เดินไปนั่งตามที่เขาบอก

“สมัยเด็กๆ ผมต้องมารอผู้ปกครองมารับที่นี่ นั่งอยู่ตรงนี้ บางทีก็ร้อนแต่ก็ทนไหว”

“คุณภิมุขเรียนอยู่โรงเรียนละแวกนี้เหรอคะ”

“โน่นครับ รั้วสีเหลืองนั่น”

“อ๋อ…ถ้าตอนเย็นๆ สวนตรงนี้คงคึกคักน่าดู”

“ผมชอบช่วงเวลาโรงเรียนเลิกนะครับ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย มีแต่เสียงหัวเราะ ผู้คนก็เยอะแยะ เวลานี้ถ้าเบื่อๆ ก็จะมานั่งเล่นที่นี่” แล้วเขาก็หันมาทางเธอ “ผมถือว่าที่ตรงนี้เป็นเหมือนหลุมหลบภัยของผม ผมบอกแค่คุณแอ๊นท์คนเดียว”

“แอ๊นท์ก็มีนะคะ หลุมหลบภัยน่ะ”

“ที่ไหนเหรอครับ”

“วันนี้คุณภิมุขก็ได้เข้าไปค่ะ”

“ร้านกาแฟเหรอครับ”

“ค่ะ” เธอพยักหน้า ปล่อยให้สายลมจากแม่น้ำพัดปะทะใบหน้า ลมร้อนๆ อุ่นๆ แต่เย็นสบาย “แอ๊นท์ชอบทำในสิ่งที่รัก บางคนก็บอกว่าทำไปทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย คู่แข่งก็เยอะ ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา แต่แอ๊นท์ชอบนี่คะ ถ้าเจออุปสรรคก็ต้องสู้แหละ”

“คุณแอ๊นท์ตอนเป็นบาริสต้ามีเสน่ห์มากเลยนะครับ ผมเองเผลอมองยังละสายตาไม่ได้เลย”

“คุณภิมุขอยากเป็นบาริสต้าบ้างไหมล่ะคะ แอ๊นท์สอนให้ได้นะ”

“ผมอยากเป็นอย่างอื่นมากกว่าครับ” เขาเอียงหน้ามากระซิบ “อยากเป็นแฟนบาริสต้าที่สุดในตอนนี้”

“โอ๊ะตายจริงเชียว! แอ๊นท์ลืมไปเลยว่าวันนี้ต้องกลับบ้านเร็ว”

เธอลุกจากเก้าอี้ พยายามปรับสีหน้าไม่ให้กระอักกระอ่วน ขณะที่คนตัวสูงมิได้พูดอะไรนอกจากมองเธอด้วยแววตาอ่อนละมุน

“งั้นผมไปส่งนะครับ”

“ส่งที่ร้านแอ๊นท์เถอะค่ะ รถแอ๊นท์จอดไว้ที่โน่น”

“ได้ครับ”

โล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ได้คาดคั้นให้ต้องตอบรับอะไร อาริสานึกขอบคุณและขอโทษภิมุขในใจ แผนการร้ายๆ ของเธอเดินมาจนถึงจุดที่อิ่มตัวแล้ว

“น้องครับ”

อาริสามองไปตามเสียงเรียกของเขา ไม่ไกลสักเท่าไหร่มีเด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบปียืนถือถาดพวงมาลัยมองสบตาเขาอย่างตื่นๆ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” อาริสาหันไปถามเขา

“อยากได้มาลัยดอกไม้ไหมครับ”

“เอ๋?”

“น้องครับ พวงมาลัยทั้งหมดนี่เท่าไหร่”

พอรู้ว่าจะขายของได้ เด็กหญิงก็เลยรีบวิ่งมา

“พวงละสิบบาท ทั้งหมดเจ็ดสิบบาทค่ะ” เด็กหญิงแม่ค้าพวงมาลัยตอบ

“งั้นเหมาหมดเลย” ภิมุขยื่นธนบัตรสีแดงให้ เขารอแม่ค้าตัวน้อยหยิบพวงมาลัยสดทั้งหมดใส่ถุง “รีบกลับบ้านได้แล้วนะ ดึกมากแล้ว”

“ค่ะ คุณผู้ชาย”

เด็กหญิงเดินจากไปพร้อมกับถาดเปล่าและเงินที่สอดไว้ในกระเป๋า ภิมุขส่งมาลัยดอกไม้ทั้งหมดให้เธอ ก่อนจะหันมาจูงมือเธอเดินตรงไปที่รถเงียบๆ

“ผมรีบร้อนไปเอง นี่เป็นความผิดของผม ผมไม่อยากให้คุณแอ๊นท์อึดอัดใจ อย่าคิดมากเลยนะครับ”

ถ้าเป็นปกรณ์ ปกรณ์จะทำแบบนี้หรือเปล่า จะขอโทษที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกเขาเร่งรัด จะอ่อนโยนและยอมให้เวลาเธอคิดใคร่ครวญเหมือนอย่างที่ภิมุขยอมให้เธอไหม

อาริสาก้าวไปนั่งในรถแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้ พอหันไปมองชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นสารถี ใจเธอก็โยกคลอน

การสนทนาของเขากับเด็กหญิงขายพวงมาลัยได้ทำลายภาพของเขาที่เธอคิดและรับรู้จนเกือบทั้งหมด พอๆ กับการสารภาพรักของเขาที่กล่าวอ้อมแต่กลับขอโทษอย่างตรงไปตรงมา

เป็นไปได้เหรอที่คนนิสัยแบบนี้จะทำร้ายเพื่อนเธอได้สาหัสขนาดนี้ บางทีพวกเธอทั้งสามคนอาจจะเข้าใจเขาผิดไปเองก็ได้

ละอายใจ? เกลียดตัวเอง? เธอก็ตอบไม่ได้ แต่หากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้เป็นสิ่งที่เขาจงใจสร้าง ผู้ชายคนนี้ก็น่ากลัวจนไม่สมควรได้รับการให้อภัย

แต่เธอเชื่อในสิ่งที่คิดแบบนี้เหรอ

อาริสาไม่อยากยอมรับเลย

เธอไม่เชื่อหรอก ตลอดวันนี้ทั้งวัน ภิมุขเปิดเผยตัวตนจริงๆ กับเธอ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ธ.ค. 64 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: