บทที่ 7
ให้ตายเถอะ! เมื่อคืนเอาแต่นอนคิดมาก ทำเอาลืมเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตไปเสียสนิท!
“แอ๊นท์ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์แมนเลยล่ะ รีบโทรกลับหาแมนด่วนเลยนะ”
นี่แค่น้ำจิ้มนะ เพราะตอนที่เปิดโทรศัพท์มาน่ะ ทั้งสายเรียกเข้า ทั้งข้อความเสียง ทั้งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นสีเขียวเด้งขึ้นมาเป็นร้อยๆ
อาริสายกมือขึ้นคลึงกระบอกตา เมื่อเช้าเข้าห้องน้ำเห็นหน้าตัวเองแล้วยังตกใจเลย ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า สงสัยจะเป็นผลกรรมที่เธอทำไว้กับภิมุขย้อนกลับมาสนองแค้นเธอคืน
“แอ๊นท์! ไปไหนน่ะ ที่เมืองไทยมันห้าทุ่มแล้วไม่ใช่เหรอ บอกแล้วไงว่าอย่าไปเที่ยวกลางคืน โทรกลับหาแมนด้วยนะ”
“แอ๊นท์ นี่แมนโมโหแล้วนะ ทำไมปิดเครื่องล่ะ ไม่คิดถึงแมนแล้วใช่ไหม!” คราวนี้เสียงห้าวห้วนที่เธอคุ้นเคยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ มันดังจนแทบจะฝังตัวลงบนกระดูกเธอเลยทีเดียว
“แอ๊นท์ แมนจะบินกลับแล้วนะ โธ่โว้ย งานแทนที่จะเสร็จตามกำหนด พายุดันเข้ามาอีก เลื่อนกองถ่ายมาหลายอาทิตย์แล้ว แมนคิดถึงแอ๊นท์ใจจะขาด”
“แอ๊นท์บินมาหาแมนหน่อย จะไปดูแลร้านอะไรมากมาย แมนเลี้ยงแอ๊นท์ได้ หาตั๋วบินมาเลยนะ”
“แอ๊นท์ครับ แอ๊นท์ แมนคิดถึงนะ ตอบแมนสักทีสิ ได้ยินข้อความนี้ของแมนหรือเปล่า”
“นอกใจเหรอ มีคนใหม่ใช่ไหม แอ๊นท์ทำกับแมนแบบนี้ได้ยังไง เรารักกันมากมาก่อนนะแอ๊นท์”
ไม่ว่าจะกี่ข้อความที่เปิดฟังก็มีแต่ประโยคร้อนเป็นไฟจากปกรณ์ พอมาถึงข้อความนี้ อาริสาก็ตัดสินใจปิดเครื่อง เธอทิ้งศีรษะพิงกับโซฟา สายตาก็เอาแต่หยุดอยู่ที่ถุงพวงมาลัย
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงทั้งหลายที่หลงรักเขานั้นถึงยอมมอบทั้งตัวและใจให้ ผู้ชายที่มีแต่บรรยากาศความสบายใจล้อมรอบตัวน่ะ ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ทั้งนั้น
เธอถอนหายใจ ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าผู้หญิงทั้งหมดที่มีนายภิมุขก้าวเข้าไปในชีวิตน่ะรู้สึกอย่างไร ตัวเธอเองบัดนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่รู้ดี
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มสวย ไม่นานเลย…ไม่นานจริงๆ ท้ายที่สุดปราการในใจเธอก็แตกสลาย นายคนนี้เป็นผู้ชนะ สามารถทำให้เธอรู้ถึงความเป็นสุภาพบุรุษ ความโรแมนติก และการเป็นบ้านหลังน้อยให้เธอได้พักพิง ไม่ร้อนเป็นไฟแบบคู่หมั้นของเธอ
อาริสากลัดกลุ้ม เธอปล่อยตัวเองนอนหมดแรงอยู่ที่โซฟานานแค่ไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่สาวใช้ของเธอขออนุญาตเข้ามาทำความสะอาด
อาริสาโผเผลุกขึ้นยืน เธอก้มลงหยิบโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องเอาไว้ จัดการเปิดเครื่องให้มันทำงาน บัดนี้ปรากฏสัญลักษณ์ต่างๆ มากมาย
ไม่ได้รับสายห้าสิบสามครั้ง ซึ่งมาจากหวานใจเธอถึงสามสิบเอ็ดครั้ง ส่วนที่เหลือเป็นของจีรดากับมัชฌิมาที่โทรมาหาเธอเมื่อคืนนี้ พอดูที่ข้อความเสียงก็พบว่ามีอยู่ยี่สิบสี่ข้อความ ทุกข้อความล้วนมาจากหมายเลขเดิม…ทางไกลจากอังกฤษ
หลังจากตั้งสติสักพักอาริสาก็ต่อสายหาปกรณ์ รอไม่นานเลย อาจจะเพียงแค่สิ้นเสียงสัญญาณสองครั้งเท่านั้นก็มีคนรับสาย ที่สำคัญเธอยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร พายุคำพูดเหมือนเฮอร์ริเคนก้อนใหญ่ก็ถาโถมข้ามทวีปเข้าใส่หูเธอ
“แอ๊นท์ ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดเธอก็ติดต่อได้สักที” เสียงของอาทิตย์ดังลั่นลอยมา “นี่เธอไปไหนมา รู้ไหมว่าไอ้แมนมันจะคลั่งตายอยู่แล้ว”
“ติดธุระน่ะ”
“ยังจะมีธุระอะไรที่สำคัญกว่าไอ้แมนอีกครับผม ตอนนี้เพื่อนของผมคนนี้มันเป็นบ้า งานการทำไม่เสร็จก็เพราะเธอ”
“ขอโทษนะอาท”
“ขอโทษลูกค้าฉันดีกว่า รู้ไหมว่าตอนนี้ใครก็เข้าหน้าไอ้แมนไม่ติด พระเอกนางเอกโฆษณาของฉันน่ะกลัวจนหัวหดกันหมดแล้ว ถ้าไม่ติดว่าลูกค้าอยากได้งานฝีมือไอ้แมนและไอ้แมนมันทำมาตั้งแต่ต้น ป่านนี้มันถูกปลดแล้ว เดี๋ยวเธอคุยกับไอ้แมนนะ ช่วยทำให้มันอารมณ์คงที่ที”
“จ้ะ”
“แอ๊นท์!”
“เฮ้ย!” อาทิตย์ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก็มีมือมืดมากระชากโทรศัพท์ จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตะคอกดังลอยมาตามสาย
“แอ๊นท์ไปไหนมา!”
อาริสาสะดุ้ง เกือบทำโทรศัพท์ในมือร่วงลงพื้น เธอสูดลมหายใจลึกๆ บังคับเสียงไม่ให้สั่น
“แมนจ๊ะ เมื่อคืนขอโทษทีนะ แอ๊นท์ติดธุระ กลับมาถึงบ้านก็เพลีย”
“ธุระตอนห้าทุ่มเที่ยงคืนเนี่ยเหรอแอ๊นท์ แมนโทรไปถามยายฝนคนรับใช้แอ๊นท์ รายนั้นบอกว่าแอ๊นท์ยังไม่กลับบ้าน”
“บัญชีที่ร้านมันยุ่งๆ น่ะจ้ะ”
“ก็แล้วทำไมแอ๊นท์ต้องลงไปทำเองด้วยล่ะ พี่สาวแอ๊นท์ว่างก็ให้พี่สาวแอ๊นท์ทำไปสิ”
“แมน มีเหตุผลหน่อยสิจ๊ะ”
“นี่แหละแมนกำลังมีเหตุผล แอ๊นท์ไปไหนมา ทำไมไม่รับสาย ออกไปกับใคร เราตกลงกันแล้วใช่ไหมว่าแอ๊นท์จะไม่ไปเที่ยวกลางคืนถ้าไม่มีแมนไปด้วย”
“แอ๊นท์ก็บอกแล้วไงว่าแอ๊นท์มีงาน ตั้งแต่แมนไม่อยู่ แอ๊นท์ก็ไม่ได้ออกไปนั่งเล่นกับเพื่อนเลย”
“แมนจะเชื่อได้เหรอ ถ้าไม่มีอะไรปิดบังกันจริงๆ เวลาแมนวิดีโอคอลล์ไปหา แอ๊นท์ก็ต้องรับสายทุกที่สิ ไม่ใช่รับแค่เฉพาะที่บ้านกับร้านกาแฟ”
“แมนมีเหตุผลหน่อยสิจ๊ะ ก็แอ๊นท์มีชีวิตแค่ที่บ้านกับร้านกาแฟนะแมน”
“เหรออออ แน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกแมน งั้นแล้วทำไมคนรับใช้ของแอ๊นท์ถึงบอกแมนว่าแอ๊นท์มีไปสปอร์ตคลับด้วย”
“เอ่อ…ก็…ก็…พวกยายจิ๊บชวน”
“งั้นแล้วทำไมตอนที่แมนโทรไปถามยายพวกนั้น ทุกคนถึงได้บอกว่าไม่ได้ชวนแอ๊นท์ไปเล่นยิม”
“แมนอย่าจับผิดแอ๊นท์ได้ไหม เราคุยกันดีๆ เถอะ”
“นี่ผมก็คุยดีแล้ว ผมกำลังเรียงไทม์ไลน์ของแอ๊นท์อยู่ไง!”
ปกรณ์ไม่ใช่แค่เป็นผู้กำกับโฆษณาแล้ว ผันตัวไปเป็นนักจับผิดน่าจะรุ่ง ขุดเธอเป็นชุดๆ ต้อนเธอแบบนี้ก็มีแต่แย่กับแย่น่ะสิ ยิ่งตอนนี้เขาเลือกใช้คำว่า ‘ผม’ แทนที่จะเรียกชื่อตัวอย่าง ‘แมน’ เสียด้วย แปลว่าไม่ว่าเธอจะอธิบายอย่างไร เธอก็ดับอารมณ์เดือดพล่านของเขาไม่ได้หรอก
“โอเค แอ๊นท์บอกก็ได้ เมื่อคืนนี้แอ๊นท์ไปเที่ยวกับปอ จิ๊บ แล้วก็พิมน่ะ” หญิงสาวแก้ตัวเสียงอึกอัก
“ไปที่ไหน”
“ผับประจำของปอ”
“ผมเคยบอกว่าไง”
“ถ้าไม่มีแมนไปด้วย แอ๊นท์ห้ามไป”
“แอ๊นท์ผิดใช่ไหม”
“อื้อ ขอโทษนะจ๊ะแมน”
“แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์ผม” เสียงห้าวห้วนซักไซ้อย่างจับผิด
“ก็ในนั้นเสียงมันดัง แอ๊นท์ก็เลยไม่ได้ยิน โธ่…แมนจ๋า แมนอย่าดุแอ๊นท์นักสิ แมนอยากได้ยินเสียงแอ๊นท์ร้องไห้เหรอ” เมื่อเริ่มรู้ว่ากำลังจะจนมุม เธอจึงใช้มุกอ้อนซึ่งตามสถิติมันมักได้ผลเสมอ แต่เธอคงลืมไปว่ามันไม่ได้รับรองว่าจะได้ผลทุกครั้ง!
“ดุ?! ผมไม่กล้าดุแอ๊นท์หรอก เกิดวันดีคืนดีแอ๊นท์เลิกรักผม ผมจะทำยังไง!”
คราวนี้เธอถึงกับยกหูโทรศัพท์ออกห่างทันที
เอาแล้วไง…วิญญาณผู้นำเชียร์เข้าสิงอีกแล้ว เขาคิดว่าเขาเป็นใคร ชายหนุ่มผู้มีพลังเสียงเกินความถี่ของจรวดมิซไซล์รึไงถึงได้ตะโกนกรอกหูเธอแทบดับน่ะ
อาริสาอยากเลี่ยง เธอไม่อยากทะเลาะกับเขา ทั้งที่ใจจริงนั้นอยากจะตัดสายเหลือเกินแล้ว แต่ถ้าทำอย่างนั้นงานของปกรณ์ที่อังกฤษก็อาจจะพัง แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นหน้าที่การงานของเขาก็อาจจะพินาศ
“แมนเชื่อแอ๊นท์หน่อยสิจ๊ะ แอ๊นท์เองก็รอแมนกลับมากรุงเทพฯ ทุกวันเลย”
“หึ!”
ถึงเขาจะทำเสียงแบบนี้กลับมาแต่ก็นับว่าดีกว่าเอะอะโวยวายมาเป็นชุดๆ อาริสาเงียบเสียง คอยให้อีกฝ่ายสงบพายุอารมณ์ เธอน่ะเป็นน้ำเย็นให้เขา ไม่คิดจะเป็นเชื้อไฟ
“ไปแค่ผับอย่างเดียวเหรอ”
“ก็มีคาราโอเกะนิดหน่อย”
“แค่นั้นใช่ไหม” ปกรณ์ถามย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป แม้จะยังไม่เหมือนเดิมแต่ก็นับว่าดีขึ้นมาก
“จ้ะ แล้วก็กลับบ้าน”
“ที่แมนถามก็เพราะแมนเป็นห่วง กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตราย แอ๊นท์เข้าใจแมนใช่ไหมครับที่รัก”
“เข้าใจ แต่แมนก็ต้องเข้าใจแอ๊นท์บ้างสิจ๊ะ แอ๊นท์จะโกหกแมนไปทำไม แล้วแมนล่ะเป็นไงบ้าง งานจะเสร็จหรือยัง” อาริสาเปลี่ยนเรื่อง
“ยังเลย แมนอยากให้งานมันออกมาดีที่สุดน่ะ อุปสรรครอบนี้เยอะมาก แมนเองก็เซ็งนะแอ๊นท์ แต่ก็จะพยายามให้ทันสิ้นเดือนนี้ เพราะตอนนี้…” ชายหนุ่มเอามือป้องปากเนื่องจากกลัวคนในกองถ่ายโฆษณาได้ยิน “แมนคิดถึงแอ๊นท์จะตายอยู่แล้ว”
“แอ๊นท์ก็เหมือนกัน แมนก็ตั้งใจทำงานล่ะ แล้ว…แอ๊นท์ก็จะคิดถึงแมนมากๆ”
“จะคิดถึง! งั้นตอนนี้แอ๊นท์ก็ไม่คิดถึงแมนน่ะสิ” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียดอีกครั้งก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเสียงอึกอักของเธอ “ล้อเล่นจ้ะ แมนรู้ว่าแอ๊นท์ก็คิดถึงแมนเหมือนที่แมนคิดถึงแอ๊นท์จนจะขาดใจใช่ไหมล่ะ เอาล่ะ แค่นี้นะ จุ๊บแมนผ่านสายโทรศัพท์ทีสิ”
“จุ๊บๆ”
“จุ๊บๆ ครับ”
อาริสาค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงอย่างช้าๆ
ความรู้สึกของคนกำลังนอกใจมันเป็นอย่างนี้เหรอ ร่างบางเผลอทุบอกตนเอง
อึดอัดข้างในเหลือเกิน
อาริสาไม่มีกะจิตกะใจ เธอได้แต่พึมพำว่า
“กลับมาเร็วๆ นะแมน แอ๊นท์ไม่อยากโกหกไปมากกว่านี้ แอ๊นท์กลัวจะทำให้แมนผิดหวังจนชาตินี้แมนอาจจะไม่มองหน้าแอ๊นท์อีกแล้วก็ได้”
บทที่ 8
“ฉันอยากเลิก” หญิงสาวตัดสินใจพูดขึ้นทันทีที่เพื่อนทั้งสองมาถึงกันพร้อมหน้า
“เหตุผล?” มัชฌิมารีบถาม “ถ้าเหตุผลเพราะแกงอแง ฉันกับไอ้จิ๊บไม่อนุมัตินะ บอกไว้ก่อน”
“ใช่ เพราะถ้าแกไม่มีเหตุผลดีๆ ล่ะก็…หยุดคิดถึงมันได้เลย” จีรดาเองก็เสียงเครียดเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อปฏิบัติการลับหักอกภิมุขอะไรทั้งนั้น รายนี้น่าจะเป็นเพราะเจ้าหล่อนกำลังคั่วอยู่กับญาติของภิมุขเลยไม่อยากมีผลกระทบไปด้วยมากกว่า
“คือฉัน…เอ่อ คือว่า คือ…”
“คืออะไรล่ะ” จีรดาชะโงกหน้าเข้ามาจนชิด “ว่าไง ไหนบอกเหตุผลแกซิ”
“ฉัน คือเอ่อ…คือแบบว่าเอ่อ…” เธออึกอักลังเล ขณะที่เพื่อนทั้งสองคนต่างสบตากันอย่างไม่เข้าใจ
“พูดมาสิ” มัชฌิมาทนไม่ไหว “ถ้ายังอ้ำอึ้งแบบนี้พวกฉันจะไม่ฟังแล้ว”
“คือฉันสงสารเขาน่ะ”
“Pardon?” มัชฌิมามองเธอเหมือนเห็นตัวประหลาด “แกคิดอะไรอยู่เนี่ยยายแอ๊นท์”
“เออ แกคิดอะไรของแก จู่ๆ ก็มาบอกสงสารนายภิมุขเนี่ยนะ” จีรดาเองก็ขำ “ทำมาตั้งนาน แกไม่อยากเป็นคนดีพิทักษ์หัวใจที่บอบบางของไอ้พิมแล้วหรอกเหรอ”
“มันอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้นะ”
“งั้นก็เสนอมาสิ”
“ตอนนี้ยังนึกไม่ออก”
“งั้นก็จบ งานนี้พวกฉันไม่ให้เลิก”
“แต่ว่า…คือฉันว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ค่อยดีแล้วล่ะ จริงๆ นะจิ๊บ จริงๆ นะปอ ยิ่งพบกับเขาบ่อยๆ แบบนี้ฉันก็ยิ่งสงสารคุณภิมุขมากๆ เลย” ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ อาริสาผ่อนลมหายใจโล่งอก “นะพวกแก บางทีเราอาจจะทำเกินไป”
“ฟังไม่ขึ้นย่ะ” นางสาวมัชฌิมาส่ายหน้า “ไม่นับว่าเป็นเหตุผลอันควร”
“แอ๊นท์ พวกเราเดินมาถึงขั้นสุดท้ายแล้วนะ จู่ๆ แกจะมาทิ้งกันกลางทาง แบบนี้เรียกว่าเป็นพวกไม่รับผิดชอบ” จีรดาเสริม
“ฉันสงสารเขา” เธอหันไปบอกกับจีรดาอีกรอบ ซ้ำยังย้ำเหตุผลเดิม “ฉันว่าบางทีเราอาจทำเกินไป”
“ยังไง”
“เราไม่ควรใช้ความรักเป็นอาวุธไปทำลายชีวิตของคนอื่นน่ะสิ”
“นี่แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย” จีรดาอ้าปากค้าง “ตอนแรกแกก็เห็นดีด้วยนี่ยายแอ๊นท์”
“ฉันเปล่า ฉันโดนพวกแกบังคับต่างหาก”
“นี่ฉันถามจริงๆ เถอะ แกคิดว่าแกเป็นเซเลอร์มูนรึไงยะถึงได้อยากพิทักษ์ความรักและความยุติธรรมน่ะ” จีรดาประชด ก่อนจะหันไปสั่งแยมโรลและเค้กชาเขียวอีกชุด
“นั่นสิ ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้นแกก็หยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย” มัชฌิมาจิบน้ำชาในถ้วยกระเบื้อง
“พวกแก ฉันอยากเลิกจริงๆ อยากหยุดเรื่องพวกนี้ด้วย ไม่อยากพบคุณภิมุขแล้ว นะ เลิกเหอะนะ”
“เอาน่ายายแอ๊นท์ อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว เพราะจากสภาพการณ์ที่เห็น ฉันว่าภายในอาทิตย์นี้นี่แหละที่ปลาจะกินเหยื่อ” จีรดาโน้มน้าว “เอ้า…นี่ตัดใจเลยนะ เค้กชาเขียวชิ้นนี้ฉันยกให้แกเลย”
พูดจบเพื่อนของเธอก็เลื่อนเค้กมาวางตรงหน้าอาริสาที่นั่งหน้าจ๋อย
“เห็นมั้ยว่ายายจิ๊บมันทุ่มทุนสร้างขนาดไหน เค้กชาเขียวของโปรดมันเลยนะแก เพื่อนต้องช่วยเพื่อน แล้วแกจะมาโยนทิ้งกันได้ยังไง จริงไหมยายแอ๊นท์”
จู่ๆ อาริสาก็คิดขึ้นมา หากว่าเธอสารภาพว่าเริ่มหวั่นไหวกับนายภิมุขล่ะ เพื่อนของเธอจะยอมให้เธอหยุดปฏิบัติการรักครั้งนี้ไหม
“มีอะไรหรือเปล่า ท่าทางเหมือนแกอยากจะพูดอะไร แต่บอกก่อนนะ ห้ามพูดเรื่องเลิกทำงานนี้ หัวข้อนี้ยุติลงแล้ว”
โดนจีรดาดักคอแบบนี้ อาริสาก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่มี ไม่มีอะไร”
ความล้มเหลวจากการเสนอแผนยกเลิกปฏิบัติการพิเศษในที่ประชุมโต๊ะกลมเมื่อวานนี้ทำเอาเธอนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน หญิงสาวสะลึมสะลือลุกจากที่นอน เมื่อคืนนี้กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีสาม
“ตายล่ะ! ขอบตาเป็นแพนด้าหนักเลย” เธอร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตนเองจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง แถมน้ำในผิวเธอก็ดูแห้งๆ คงเพราะความเครียดแหงๆ
“รักเพื่อน แต่กำลังจะซวยเพราะเพื่อนแล้วนะยายแอ๊นท์เอ๊ย”
ก็ได้แต่บ่นเท่านั้น เธอขัดเพื่อนเป็นซะที่ไหน เพราะแบบนี้แหละพอแต่งตัวเสร็จเช้าวันนี้อาริสาก็เลยได้แต่ต้องลงคอนซีลเลอร์มากกว่าปกติ
ในตอนที่แต่งหน้าเสร็จ เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ไม่เคยดังเลยนับตั้งแต่ปกรณ์ไปอังกฤษก็ดังขึ้น หัวคิ้วเรียวสวยของเธอขมวดมุ่น อาริสารอให้สาวใช้ของเธอออกไปต้อนรับ ร่างบางสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องสำอางบนใบหน้าก่อนจะเปิดประตูห้องนอน
“ฝน ใครมาน่ะ”
ตอนที่เธอถาม เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังอีกรอบ
“แล้วกัน ยังไม่มีใครไปดูเหรอเนี่ย” อาริสาย่างเท้าลงบันได “ฝน เปิดประตูที”
“คุณแอ๊นท์ขา ฝนกำลังซักผ้า คุณแอ๊นท์ไปเปิดประตูเองได้ไหม” ฝนตะโกนออกมาจากหน้าเครื่องซักผ้า ดูท่าสาวใช้จอมอหังการของเธอคงกำลังทำมิดีมิร้ายเครื่องซักผ้าของเธออีกแน่ๆ
“ใช้เจ้านายเนี่ยนะ”
“โธ่ หรือคุณแอ๊นท์จะมาซ่อมเครื่องซักผ้าล่ะคะ”
“โอเค งั้นฉันไปเปิดเอง”
อาริสายอมแพ้ เธอเดินตัดห้องรับแขก เดินไปจนเกือบถึงประตูด้านหน้า แต่เพื่อความปลอดภัยเพราะบ้านหลังนี้มีแต่ผู้หญิงบอบบาง เจ้าของร้านกาแฟคนเก่งก็เลยแง้มม่านสำรวจหน้าประตูรั้วก่อน
รถยุโรปคันหรูจอดอยู่หน้าบ้าน คุ้นชะมัด คุ้นจนเหมือนกับ…
“ว้าย! คุณภิมุข!!”
อาริสาร้องลั่น สัญชาตญาณดึงให้เธอหลบอยู่ข้างหน้าต่างด้วยความตกใจ
“ไม่เห็นใช่ไหม ไม่ทันเห็นฉันใช่ไหม!”
เสียงกริ่งเงียบไปแล้ว…
เขาคงยอมล่าถอยไปแล้วล่ะมั้ง อาริสาค่อยๆ แง้มมองทางหน้าต่างอีกครั้ง นายภิมุขรู้จักบ้านของเธอได้ยังไง บ้าจัง! หรือเขาจะสืบชีวิตของเธอ?!
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ในห้องรับแขกก็ดังขึ้น อารามหวาดกลัวว่าคนหน้าบ้านจะได้ยิน อาริสาเลยรีบวิ่งหน้าตื่นไปคว้ามันไว้
ปิดๆๆๆ เธอต้องรีบปิดมันก่อน เกิดอีตาภิมุขได้ยินขึ้นมาจะรู้ว่าเธออยู่ในบ้าน
แต่พระเจ้า!
ตาโตๆ ของอาริสาแทบถลน อีมือบ้า! บอกให้กดตัดสายดันไปกดรับสายเสียอย่างนั้น แล้วสายใครก็ยังพอว่า…แต่นี่ดันเป็นสายของปกรณ์!
“แอ๊นท์จ๋า”
ตู๊ดดดด
เธอตระหนกสุดขีดแล้วจริงๆ ก็เลยกดตัดสายเขาอย่างไม่เคยทำมาก่อน อาริสากลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ในอก กระทืบเท้าเร่าๆ ตื่นยิ่งกว่ากระต่ายตื่นตูมในนิทาน!
โทรศัพท์ในมือเธอดังอีก แล้วเสียงกริ่งประตูก็ดังผสมโรง โอยยยย! ทำไมชีวิตเธอต้องมีผู้ชายสองคนมาพร้อมกัน ออกไปสักคนหนึ่งได้ม้ายยยยย!
“คุณแอ๊นท์ ใครมาคะ แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์” ยายฝนโผล่หน้ามาจากหลังบ้าน “จะให้ฝนเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ไหมคะ”
“ไม่ต้อง!”
“หะ?”
“ไม่ต้องเปิด! ห้ามเปิดนะ!”
เห็นหน้าเธอขาวเผือด ยายฝนก็เลยตกใจ
“หรือว่า…‘จุดๆๆ’…เหรอคะคุณแอ๊นท์”
อาริสายกมือปิดปากแน่น นี่แม้แต่สาวใช้ของเธอก็รู้แล้วว่าเธอมีผู้ชายสองคนในชีวิตงั้นสิ โอ้ม่ายยยย เธอเป็นกุลสตรีไทยนะ เธอเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ เธอจะเป็นหญิงสองใจไม่ได้ แม่รู้แม่ตีเธอตายแน่!
“คุณแอ๊นท์คะ…”
“ฝน…” อาริสาน้ำตาคลอเบ้า แต่ก่อนที่เธอจะทันได้อธิบายเรื่องราว สาวใช้ส่วนตัวของเธอก็รีบดึงเธอออกห่างจากประตู
“ข่าวในโทรทัศน์เขาก็เตือนว่าอย่าไปกู้เงินนอกระบบ แล้วเป็นยังไงล่ะคะตอนนี้ เจ้าหนี้มาทวงเงินคุณแอ๊นท์ถึงหน้าบ้านแล้ว!”
“หะ? อะ…อะไรนะ” อาริสายังจับต้นชนปลายไม่ได้ เจ้าหนี้? เจ้าหนี้มาเกี่ยวอะไร ยายฝนพูดอะไรเนี่ย
“รีบรับโทรศัพท์เถอะค่ะ เป็นคุณแมนโทรมาใช่ไหมคะ”
“ใช่ๆ”
“งั้นก็รีบรับสายเลยค่ะ แล้วบอกคุณแมนไปตามจริง ขอให้คุณแมนโอนเงินมาให้ก่อน คุณแอ๊นท์ต้องรีบใช้หนี้นะคะ คนพวกนี้น่ะมันน่ากลัว!”
“เดี๋ยวนะ มันไม่ใช่…”
“ตั้งสติค่ะคุณแอ๊นท์” สาวใช้ของเธอจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของอาริสา “เวลานี้คุณแอ๊นท์จะต้องไล่ไอ้พวกนักเลงทวงหนี้ที่อยู่หน้าประตูออกไปก่อน ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ คุณแอ๊นท์จะต้องคุยกับคุณแมน ต้องสารภาพความจริงค่ะ”
“สะ…สารภาพเหรอ”
ยายฝนพยักหน้า “คุณแมนรักคุณแอ๊นท์ เงินกี่บาทคุณแมนก็สู้ค่ะ คุณแอ๊นท์เชื่อฝน”
นั่นสิ เธอจะต้องรับโทรศัพท์ของแมนก่อน แมนเป็นคู่หมั้นเธอ เป็นคนที่มาก่อน ถ้าเธอไม่รับสายเขา เขาอาจจะสงสัย แล้วถ้าสงสัยมากๆ เข้า เขาก็อาจจะคอยจับผิดสืบเรื่องเธอว่าทำอะไรอยู่ตอนนี้ ทำไมถึงมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ถึงตอนนั้นเธอไม่ได้ยืนสวยๆ อยู่ตรงนี้แน่ เธออาจจะตายไปแล้ว โดนแมนเชือดคอตายไง!
“โอเค งั้นฉันจะรับสายแมนก่อน”
“คุณแอ๊นท์ทำถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ” ยายฝนพยักหน้าให้กำลังใจ
อาริสาสูดหายใจลึกที่สุด เธอหลับตาแน่น กดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล แม…น”
“อรุณสวัสดิ์ครับแอ๊นท์” เสียงของภิมุขทักทายมาอย่างสดใส
อาริสาลืมตาโพลง เธอดึงโทรศัพท์ออกจากข้างหู อ่านชื่อที่อยู่หน้าจอ ไหงกลายเป็นชื่อของคุณภิมุขไปได้!
โฮ…แมนคนบ้า ทุกทีก็เอาแต่โทรจิกเธออย่างกับไก่ ทำไมคราวนี้จู่ๆ ก็เลิกโทรจิกเธอให้รับสายล่ะ ฮือ…แล้วทำไมสายที่เธอรับถึงต้องกลายเป็นสายของนายภิมุขด้วย!
ซวย…ซวยไม่มีอะไรมากั้นแล้วยายแอ๊นท์เอ๊ย
อาริสาหมดอาลัยตายอยาก เข่าเธอทรุดฮวบ ยังดีว่าทรุดตรงที่มีเก้าอี้พอดี
“คุณภิมุขเหรอคะ” หมดแรงแล้ว เธอหมดเรี่ยวแรงแล้วตอนนี้
“ผมมีอะไรมาเซอร์ไพรส์ครับ ลองทายดูสิ”
ไม่ทายได้ไหม ทำไมยิ่งหนียิ่งเจอ ยิ่งโดนเขาเข้ามาป่วนหัวใจด้วย
อาริสายกมืออย่างอ่อนแรง โบกไล่สาวใช้ที่ยืนให้กำลังใจเธอให้กลับไปทำงานต่อ
“ทายอะไรคะ แอ๊นท์ทายไม่ถูกหรอกค่ะ”
เฉลยเถอะ เธอไม่กล้าเดา ยอมรับเลยว่าเวลานี้เธอกลัวตัวเองจะทายถูก ขืนเป็นแบบนั้นคงรับไม่ไหว
ในขณะที่เธอใจสั่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำก็ตอบมาอย่างร่าเริง “ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าบ้านคุณแล้วครับ และห้ามบอกว่าคุณไม่อยู่ เพราะผมยังเห็นรถของคุณจอดอยู่เลยนะ”
อาริสาหลับตา มือที่ถือโทรศัพท์กำแน่น ถามเขาเสียงพร่า
“คุณรู้จักบ้านแอ๊นท์ได้ยังไง”
คนปลายสายหัวเราะร่วนน้ำเสียงเซ็กซี่
“ความลับครับ เอาล่ะ ตอนนี้คุณจะมาเปิดประตูให้ผมได้หรือยัง ผมยืนรอมาตั้งแต่ตีห้าครึ่งแล้ว” ประโยคสุดท้ายดูเหมือนชายหนุ่มจะพูดอุบอิบอย่างขัดเขิน
“ตีห้าครึ่ง!”
“เอ่อ คือ เอาเป็นหกโมงก็ได้…” คราวนี้เสียงที่อุบอิบอยู่แล้วกลับเบาลงและอยู่ในลำคอยิ่งกว่าเดิม อาริสาอยากจะโกรธเขา อยากจะเกลียดเขา แต่ว่าเขาก็น่ารักเกินไปจนเธอทำไม่ลง
“งั้นรอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวแอ๊นท์ออกไปเปิดประตูให้”
ยอมแพ้ล่ะ ยอมแพ้แล้ว
เธอปรายตามองพวงกุญแจที่วางไว้บนเคาน์เตอร์อย่างตัดสินใจ
แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแมน ครั้งเดียวจริงๆ
อาริสาเรียกพลังตนเองให้กลับมาฮึดอีกครั้ง ร่างบางเดินโผเผไปที่ห้องซักล้างแล้วก็เรียกยายฝน รายนี้ก็เอาแต่ยืนกัดเล็บหน้าเครียด พอเห็นเธอปุ๊บก็รีบถลามาปั๊บ ถามแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ
“สรุปว่ายังไงคะคุณแอ๊นท์ คุณแมนจะโอนเงินมาให้เมื่อไหร่”
“โอนเงินอะไรล่ะ ฉันไม่ได้มีหนี้สิน”
“อ้าว ถ้างั้น…” ฝนบุ้ยใบ้ไปทางหน้ารั้ว
อาริสาทำมือรูดซิปปาก “เพื่อนฉันมาหา อีกเดี๋ยวพอเขาเข้ามาในบ้านฝนไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูด รูดซิปปากให้สนิทเลยนะ”
“เอ๊า จู่ๆ จะให้ฝนเป็นใบ้ทำไมล่ะคะ”
“ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน รูดซิปปากให้แน่นเลยนะ หรือไม่ก็กลับไปอยู่ในห้องพักก่อน ไม่ต้องออกมา”
จัดการเรื่องสาวใช้เรียบร้อยอาริสาก็เดินไปเปิดประตูบ้าน ร่างบางมองภิมุขที่ยืนส่งยิ้มมาจากหน้ารั้ว โบกมือทักทายเธอพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีตอนเช้าครับคุณแอ๊นท์ ไม่ทราบว่ามารบกวนรึเปล่า พอดีวันนี้ตื่นเช้าน่ะครับเลยอยากหาเพื่อนทานอาหารด้วย” ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มขณะใช้มือซ้ายชูถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋
“สามถุง?”
“ผมซื้อมาเผื่อสาวใช้ของคุณน่ะ เขาคงทานได้นะครับ”
โถ พ่อคนเผื่อแผ่ อย่ามีน้ำใจนักได้ไหม อย่าแคร์เธอนักเลย ไม่ต้องยกเธอให้เป็นคนสำคัญในเวลานี้ก็ได้
ในใจของอาริสานองไปด้วยหยาดน้ำตา ได้แต่ฝืนยิ้มต้อนรับเขา รู้สึกผิดจนยากอธิบาย
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ยายฝนไม่ยอมไปหลบอยู่ในห้อง ยืนทำตาโตอ้าปากค้าง แต่ยังดีที่ยอมเป็นบื้อใบ้ อาริสามองยายฝน เธอชูนิ้วชี้ขึ้นมาส่งสัญญาณปรามเจ้าหล่อนเอาไว้ว่าห้ามพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
โอ๊ะตายจริง! นึกขึ้นได้ว่าในห้องนั่งเล่นมีรูปถ่ายของเธอกับปกรณ์ อาริสาตาโต ในพริบตาหนึ่งก็คิดเรื่องชั่วร้ายเลวทรามออกมาได้
ใช่ หากว่าเธอทำให้เขารู้ด้วยตัวเองว่าเธอมีแฟนแล้วล่ะ ยายเพื่อนทั้งสองคนก็จะมาบีบบังคับเธอไม่ได้อีกใช่ไหม แต่ว่านะ…อาริสาอยากทุบลงไปที่อกข้างซ้าย หากว่าเธอทำเรื่องใจร้ายแบบนี้ลงไป ภายภาคหน้าเธอกับภิมุขก็คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว ซ้ำคงต้องถูกเขาเกลียดมากๆ ด้วย
แพขนตายาวหนาหลุบลงโดยไม่รู้ตัว ในอกรู้สึกวาบโหวง ในที่สุดอาริสาก็จำต้องตัดใจ ถ้าไม่ทำแบบนี้ทุกอย่างก็จะคาราคาซัง
“เชิญคุณภิมุขรอที่ห้องรับแขกก่อนนะคะ”
เธอส่งสัญญาณทางสายตาให้สาวใช้รับถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ฮึบเข้าไว้นะอาริสา ไม่ต้องรอคำอนุมัติจากยายเพื่อนสองคนนั้นหรอก เธอลงมือปิดปฏิบัติการนี้เองเถอะ!
ถ้าเดินเข้าไปจะพบรูปถ่ายของเธอกับแมนวางอยู่เหนือเปียโนสีขาว อาริสาหวังว่าคนที่เดินตามมาจะเห็นมันในทันที
“แอ๊นท์เล่นเปียโนด้วยเหรอครับ”
“ค่ะ” เธอหันไปสบตาเขา เอาล่ะ เธอพร้อมแล้ว เขาจะโกรธ จะด่า จะว่าอะไร เธอจะไม่แก้ตัวเลยสักคำ เธอสัญญา!
“ผมเองก็ชอบเล่นนะครับ” เขาเดินผ่านตัวเธอตรงไปที่เปียโนสีขาวหลังนั้น “ขอลองเล่นได้ไหมครับ แต่อาจจะไม่เพราะนะ ผมร้างมันมานานมาก”
“เห?” อาริสาอ้าปากค้าง เธอหันขวับมองไปยังรูปถ่ายของปกรณ์ที่เขาบังคับให้เธอวางมันเอาไว้
ไม่มี?!
ไม่มีได้ยังไง?! รูปนั้นน่ะตั้งอยู่ตรงนั้นมาตลอดหลายปีเลยนะ!
“คุณแอ๊นท์”
เธอหันไปตามเสียงเรียกแผ่วๆ ของยายฝน สาวใช้ตัวดีของเธอส่งสายตาเข้าอกเข้าใจมาให้
“นี่อย่าบอกนะว่า…”
ยายฝนทำท่ารูดซิปปากแล้วก็ชี้ไปที่ลิ้นชักตู้ไม้ ขยับปากโดยไม่มีเสียงมาเป็นคำว่า ‘ฝนซ่อนไว้ให้แล้ว คุณแอ๊นท์ไม่ต้องกลัว’
อาริสาถึงกับเหม่อ เอาเถอะ…เอาเถอะ เธอยอมแพ้พระพรหมแล้ว!
นับจากวันนั้นทุกหกโมงเช้าสมาชิกของบ้านเธอก็เพิ่มมาอีกหนึ่งคน เขามักจะมากดกริ่งหน้ารั้วพร้อมกับชูถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋กรอบไม่อมน้ำมันในมือซ้าย
ขอโทษนะแมน…แอ๊นท์ขอโทษด้วย บ้านของแอ๊นท์ที่แมนสั่งไว้ว่าห้ามปล่อยให้ผู้ชายเข้าบ้าน ตอนนี้ห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่!
“แน่ใจนะคะว่าวันนี้จะโชว์ฝีมือเอง” เธอยังจำได้ดีถึงการเป็นลูกมือครั้งที่แล้วของเขา ยายฝนถึงกับร้องไห้หลังต้องขัดกระทะที่ถูกเขาทำไหม้ใบนั้นจนปวดแขน ทำเอาเธอต้องปลอบใจด้วยการจ่ายค่าจ้างขัดกระทะให้ต่างหากนอกเหนือจากเงินเดือน
“อย่าดูถูกเชียวนะ ผมน่ะพ่อครัวยังต้องหลบเลย”
“ใช่ค่ะ ต้องหลบเพราะอาจถูกลูกหลงจากอาหารที่คุณทำจนตัวพองไง” เธอพูดกลั้วหัวเราะ
“ทำเป็นหัวเราะไปเถอะ พอคุณกินฝีมือผมคราวนี้แล้วจะร้องโอ้โห” เขาขยิบตา จากนั้นมือหนาก็รุนหลังอาริสาให้ออกไปจากห้องครัว “วันนี้ผมจะทำคนเดียว เจ้าหญิงไปนั่งรอที่โต๊ะได้เลยครับ”
ตลอดเวลาที่เธอนั่งคอย ได้ยินเสียงเคาะตะหลิวกับกระทะและเสียงสบถร้องยามที่ชายหนุ่มหลบน้ำมันจากกระทะที่กระเด็นมาโดน ไหนจะเสียงโครมครามของหม้อและจานชามที่กระทบกระแทกกันให้วุ่นวาย ไม่อยากจะจินตนาการเลยในตอนนี้ว่าครัวของเธอจะป่นปี้สักแค่ไหน อาริสาหันไปปลอบใจสาวใช้ “เอาน่าฝน มันคงไม่เละมากเท่าเมื่อวานหรอกมั้ง”
“แต่ฟังเสียงแล้วมันน่าจะตรงกันข้ามนะคุณแอ๊นท์”
“งั้นเราลองเข้าไปดูกันไหมล่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉง “ไป ไปดู”
“คุณแอ๊นท์”
“ว่า?”
“อย่าหาว่าฝนจุ้นจ้านเลยนะคะ แต่เขามาทุกวันแบบนี้…คงไม่ใช่แค่กิ๊กแล้วใช่ไหม”
“บ้า ไม่ใช่นะ”
“แปลว่าเขาคือตัวจริงเหรอคะ” ฝนถามซื่อๆ “งั้นกับคุณแมน…คุณแอ๊นท์เลิกกับทางนั้นแล้วเหรอ”
รอยยิ้มของเธอจางหายไปจนหมด ปัญหานี้เธอคิดมาหลายวันแล้วล่ะ แล้วก็คิดจนคิดตก เลยสามารถตอบยายฝนด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและเฉียบขาด
“ผู้ชายคนนี้เป็นแค่เพื่อนเท่านั้นจ้ะ ไม่มีทางเกินเลย!”
ใช่…เธอจะต้องไม่คิดอะไรกับเขาให้มากไปกว่านี้
“เอาล่ะ เราเข้าไปดูเขากันเถอะ”
ยายฝนมองเธอคล้ายไม่เชื่อ “แต่หน้าคุณแอ๊นท์ตอนพูดออกมาเหมือนจะร้องไห้เลยนะคะ”
“ใครร้อง สงสัยอายแชโดว์มันร่วงเข้าตา ฝนไปดูคุณภิมุขก่อนนะ เดี๋ยวฉันตามไป”
อาริสาผลักประตูห้องน้ำ สบตากับเงาสะท้อนที่ซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด รักแต่ไม่อาจได้ครอบครองมันเป็นแบบนี้ใช่ไหม อาริสานัยน์ตาแห้งผาก เธอถอนหายใจออกมาแรงๆ
“คุณแอ๊นท์…”
ตอนที่เธอเดินเข้าไปในครัว พ่อครัวหัวป่าก์ก็หันมาทักเธออย่างเขินๆ ชี้อวดเธอให้ดูจานปลากะพงทอดที่เหลืองฟูอยู่บนจานเปล
“เป็นไงครับ”
“น่าทานมากค่ะ”
“นั่นฝีมือของฝนน่ะครับ ส่วนของผมน่ะ…อยู่ตรงโน้น”
ตอบไปแล้วเธอก็เห็นยายฝนทำหน้าสยดสยองชี้ให้เธอมองปลากะพงสีดำสนิทสามตัวในถังขยะ เอาเถอะๆ วันนี้สงสัยต้องเพิ่มเงินพิเศษค่าเก็บล้างข้าวของในครัวให้ยายฝนอีกแล้วสินะ ทั้งคราบน้ำมัน คราบไหม้ในกระทะ
“แอ๊นท์ว่าคุณภิมุขต้องยอมแพ้แล้วล่ะค่ะ กระทะกับเตาแก๊สกลายเป็นของอันตรายของคุณภิมุขแล้ว”
“คุณแอ๊นท์ไม่เชื่อฝีมือผมเหรอครับ”
“แบบนี้เชื่อไม่ลงแล้วค่ะ ดูท่าทางเมื่อกี้ก็น่าจะเพิ่งเกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เธอพยายามพูดขำๆ ขณะที่พ่อครัวหัวป่าก์ทำหน้ายุ่ง
“ไม่ใช่สงครามหรอกครับ แต่มันเป็นการต่อสู้แบบลูกผู้ชายระหว่างผมกับ…” เขาพยักพเยิดไปทางปลาทอดที่บัดนี้ไม่เหลือสภาพซะแล้ว
“แล้วผลเป็นยังไงคะ” หญิงสาวถามอย่างสนใจ
“ผมชนะไง” ชายหนุ่มยืดอก “ในบรรดาปลาทั้งสี่ตัวที่ผมซื้อมา สามตัวตาย อีกหนึ่งตัวก็พลีชีพให้แอ๊นท์ เอาล่ะ ไปนั่งรอที่โต๊ะได้แล้ว เดี๋ยวพ่อครัวคนนี้จะเอาไปเสิร์ฟให้ขอรับ” ชายหนุ่มโค้งคำนับล้อๆ
หญิงสาวนั่งมองอาหารตรงหน้า ถ้าไม่นับซากปลาที่นอนตายอยู่บนโต๊ะ อาหารอื่นๆ ก็นับว่าน่าดูทีเดียว
“มีอะไรเหรอคะ” เธอกะพริบตางงๆ เมื่อคนที่นั่งตรงข้ามทำเสียงขลุกขลักในลำคอ
“เปล่าหรอกครับ ผมเห็นคุณแอ๊นท์มองอาหารตรงหน้าสลับกับมองผมแปลกๆ”
“ก็แอ๊นท์ไม่เคยเห็นคุณภิมุขแบบนี้เลยนี่คะ นอกจากวันที่ไปช่วยแอ๊นท์ที่ร้านกาแฟ วันนี้ดูคุณเป็นตัวของตัวเองมากเลยค่ะ” เธอบอกอย่างจริงใจ
“ผมดีใจจังที่คุณรับผมในแบบที่เป็นผมได้”
“การทำอาหารเหรอคะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นแอ๊นท์ว่ามันไม่เห็นแปลกตรงไหน ปัจจุบันนี้ผู้ชายเข้าครัวมีออกเยอะแยะ” เธอพูดอย่างฉงน
“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงตัวตนของผมจริงๆ เอาล่ะ เราอย่าพูดเรื่องนี้กันดีกว่า” พูดจบชายหนุ่มก็ตักปลากะพงให้เธอ แต่พอเห็นว่าเธอยังมองเขาด้วยความสงสัยอยู่ เขาก็เลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้คุณแอ๊นท์ว่างไหม ผมอยากชวนคุณไปที่ที่หนึ่ง”
“ที่ไหนคะ ใช่หลุมหลบภัยของคุณหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ น่าจะเรียกว่าเป็นความลับของผมมากกว่า คุณแอ๊นท์อยากไปไหมครับทีนี้”
แม้จะลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายเธอก็ตกปากรับคำ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ธันวาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.