บทนำ
เดือนกันยายน ปี 2550 ที่แดดร้อนระอุ นักศึกษาใหม่มหาวิทยาลัยชิงหวา* เริ่มเข้าเรียน
เมืองทั้งเมืองเวลานี้เหมือนโถเซรามิกที่อากาศไม่สามารถระบายออกได้ กระแสลมร้อนยากจะต้านทาน นอกรั้วมหาวิทยาลัยชิงหวามีต้นการบูรเขียวชอุ่มที่ได้รับการตัดแต่งอย่างดีตั้งตระหง่านเรียงรายตามแนวถนน แต่ละต้นสูงใหญ่แข็งแรง ใบไม้หนาแน่นอุดมสมบูรณ์ เหมือนทหารองครักษ์ที่ตั้งแถวรักษาการณ์อย่างเข้มงวด
ติงเซี่ยนมือจับกระเป๋าเดินทางยืนอยู่หน้าหอพักชายเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เธอรูปร่างไม่สูงนัก รวบผมหางม้าสูง คิ้วบาง ปากเล็ก ดวงตาเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด มีคนเคยพูดว่านอกจากดวงตาคู่นั้นแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ บนใบหน้าของเธอก็ล้วนธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่พอดูได้ ไม่ขัดหูขัดตา
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเธอก็ยังไม่มีทีท่าจะไปไหน
เฉาเหวินจวิ้น นักศึกษาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ชั้นปีที่สองลงมาซื้อน้ำข้างล่างและเหลือบเห็นภาพนี้เข้า เขารู้สึกแปลกใจจึงคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายแล้วส่งเข้ากลุ่มแชตคิวคิว** ให้เพื่อนร่วมห้อง
‘ภาพแปลกวันนี้ ปรากฏศิลาวั่งฟู*** หน้าหอพักชายอย่างน่าประหลาด’
ในกลุ่มล้วนเป็นพวกคลั่งเทคโนโลยี นอกจากเล่นเกม เขียนโปรแกรม ทำสถิติข้อมูลการทดลองแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็ไม่สนใจทั้งสิ้น รูปนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอะไร ไม่มีใครสนใจที่จะตอบ แต่ละคนต่างยุ่งกับงานในมือของตัวเอง
เฉาเหวินจวิ้นแค่แชร์อะไรสนุกๆ เล่นเท่านั้น เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร พอถ่ายรูปเสร็จก็เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าก่อนไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อน้ำ
เมื่อได้น้ำมาแล้ว ขณะดื่มน้ำอยู่หน้าร้าน โทรศัพท์มือถือก็ดัง ‘ติ๊ด…’ ขึ้นมา เขาหยิบออกมาดูอย่างไม่รีบเร่งอะไร
“พรวด…” น้ำในปากพุ่งพรวดออกไปไกลประมาณสองฝีก้าว
ในกลุ่มมีคนตอบกลับมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกพี่โจวซือเยวี่ยนั่นเอง
เขาคือโจวซือเยวี่ยที่หัวเสียเพราะแพ้การแข่งขันลีกมหาวิทยาลัยช่วงก่อนหน้านี้
‘เธออยู่ไหน’
เฉาเหวินจวิ้นรีบปิดฝาขวด เอาขวดน้ำหนีบไว้ใต้แขนและรีบพิมพ์ตอบ
‘เธออยู่ที่หน้าหอพักเรานี่เอง ละ…ลูกพี่จะมาดูมั้ย’
‘อืม’
ผู้หญิงแบบไหนกันนะที่สามารถทำให้โจวซือเยวี่ยออกมาจากห้องทดลองที่เขาใช้เก็บตัวมาตลอดช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนได้
หลังจากนั้นในหัวของคนทั้งกลุ่มก็เริ่มมีภาพฉากละครตามจีบหนุ่มขึ้นมาทันที พร้อมทั้งยังกำชับเฉาเหวินจวิ้น
‘เหล่าเฉา รีบเชิญพี่สะใภ้ตัวน้อยเข้ามานั่งข้างในเร็ว’
‘เหล่าเฉา ช่วยฉันเก็บกางเกงในหน่อย แล้วเอาของลูกพี่ไปแขวนแทนด้วยนะ ขอบใจมาก’
‘เหล่าเฉา นายไปถ่ายรูปหน้าตรงของพี่สะใภ้ตัวน้อยมาให้พวกเราดูด้วยนะ’
และเฉาเหวินจวิ้นก็ถ่ายมาได้จริงๆ
จังหวะที่ติงเซี่ยนไม่ทันระวังตัว เขาก็พุ่งไปตรงหน้าเธอเหมือนสายฟ้าแลบแล้วกดชัตเตอร์ จากนั้นก็วิ่งหนีไปด้วยความเร็วราวกับแข่งวิ่งร้อยเมตร หญิงสาวสีหน้ามึนงง พอได้สติกลับมาก็เห็นเฉาเหวินจวิ้นชูโทรศัพท์มือถือวิ่งหนีไปแล้ว แถมยังโบกมือให้เธออีกด้วย เขาวิ่งขึ้นตึกไปอย่างเร่งรีบ ยังไม่ทันหายหอบก็เอารางวัลที่ได้มาจากการสู้รบส่งให้เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่เหลือดู
ในยุคนั้นที่ยังไม่มีแอพฯ เหม่ยเหยียน* คงไม่ต้องบอกว่าภาพของติงเซี่ยนภาพนั้นน่าเกลียดขนาดไหน ดวงตาทั้งคู่ตกใจเหมือนปลาตาย แม้เขี้ยวเล็กๆ ที่ดูน่ารักในยามปกติก็ไม่ได้ดูน่ารักขนาดนั้น แต่ผิวพรรณถือว่าไม่เลว
เมื่อเห็นรูป เพื่อนร่วมห้องต่างแสดงความคิดเห็นว่าสายตาของลูกพี่นี่เกินบรรยายจริงๆ และพากันเสียดาย เสียดายใบหน้าอันหล่อเหลานั่นเหลือเกิน
ต่อมาตามคำบอกเล่าของเสี่ยวจางซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องกลุ่มเดียวกัน ตอนที่เกิดเหตุเขากับลูกพี่อยู่ในห้องทดลอง กำลังประกอบหุ่นยนต์ที่อีกไม่นานจะต้องใช้เข้าร่วมการแข่งขันลีกมหาวิทยาลัย เมื่อลูกพี่ได้ยินข่าวจากในกลุ่มก็บิดขาหุ่นยนต์จนหัก…
บิดจนหักเลย
เสี่ยวจางกลายเป็นบ้าเพราะเรื่องนี้ เขาโมโหจนบ่นไม่หยุด แม้แต่พูดก็ยังติดๆ ขัดๆ สาปแช่งคุณชายโจวผู้นั้นอย่างครบถ้วนทุกประการ สุดท้ายก็นึกขึ้นได้และถามว่าผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน
เฉาเหวินจวิ้นรีบรายงานข่าวที่เพิ่งได้ยินมา “เพื่อนนักเรียน ม.ปลาย ได้ยินว่าเพื่อลูกพี่ เธอถึงกับยอมเรียนซ้ำชั้นจนสอบติดมหาวิทยาลัยชิงหวา แถมยังเข้าสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ด้วย”
เสี่ยวจางนิ่งอึ้งไป มือหยุดสั่น บนหน้ามีอักษรตัวโตเขียนว่า ‘บ้าเอ๊ย’
มีคนร้องตะโกนขึ้น “ผู้หญิงคนนี้ไม่เบาเลยนะเนี่ย!”
สอบเข้าชิงหวาเพราะความรัก คิดดูแล้วเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก
“แต่ว่า…” เฉาเหวินจวิ้นหยุดไปครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วอย่างกังวล “เหมือนว่าลูกพี่จะปฏิเสธเธอ…”
ปฏิกิริยาของทุกคนคือ ‘What! สมกับเป็นโจวซือเยวี่ย ผู้หญิงนับเป็นอะไรกัน โปรแกรมสิถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง’
เป็นจริงดังที่ว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องที่พยายามแล้วจะสำเร็จ
อีกด้านหนึ่ง
ติงเซี่ยนที่ถูกปฏิเสธก็มึนงง เธอทำแก้มป่อง นั่งขัดสมาธิบนเตียงในห้องพัก มือเท้าคางครุ่นคิด ปลายนิ้วชี้เคาะแก้มตัวเองเป็นจังหวะ พัดลมบนศีรษะหมุนไปมา ทว่าลมร้อนอบอ้าวกลับไม่ถูกพัดหายไป แม้แต่อากาศโดยรอบก็ยังตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ
ที่จริงแล้วโจวซือเยวี่ยชอบเธอหรือเปล่านะ
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงคาบเรียนวิชาภาษาจีนสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
คุณครูใช้มือสองข้างยันแท่นบรรยาย สายตากวาดไปที่นักเรียนทางด้านล่าง นิ้วชี้ดันแว่นตาขึ้นพร้อมถามว่า ‘ในสายตาของพวกเธอ การเติบโตคืออะไร’
มีคนตอบสนองไวมาก รีบแย่งตอบขึ้นมา ‘การตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกางเกงเปียก แล้วยิ้มในใจว่าไม่ได้ฉี่รดที่นอน’
คนที่แย่งตอบเป็นนักเรียนชายที่เกเรที่สุดในชั้น ปกติเวลาเรียนชอบตอบคำถามคุณครู โดยเฉพาะคุณครูผู้หญิง หลังจากนั้นห้องเรียนที่แต่เดิมเงียบกริบก็ระเบิดขึ้นมาด้วยเสียงหัวเราะ แม้แต่คนข้างๆ ติงเซี่ยนก็ยังอดหัวเราะไม่ได้
คุณครูผู้หญิงอายุยังน้อยและหน้าบางเดินหนีออกไปด้วยความโมโห ครึ่งคาบเรียนที่เหลือจึงกลายเป็นว่าให้ทุกคนทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง
ในฐานะที่เป็นตัวแทนวิชาภาษาจีน ติงเซี่ยนนอนฟุบบนโต๊ะเรียน เอียงศีรษะมองร่างด้านข้างที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างอย่างขะมักเขม้น
โจวซือเยวี่ยกำลังก้มหน้าทำโจทย์วิชาคณิตศาสตร์ เขาคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว นิ้วมือที่จับปากกานั้นเรียวยาว เห็นข้อกระดูกชัดเจน เห็นกระทั่งเส้นเลือดสีเขียวได้รางๆ ใบหน้าที่ก้มอยู่เย็นชา มุมปากที่ยกขึ้นนิดๆ แสดงให้เห็นว่าเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้
‘โจวซือเยวี่ย’
‘หือ?’ เด็กหนุ่มตอบโดยไม่ได้สนใจ ปากกาในมือยังคงเขียนต่อไป ดวงตาไม่เหลือบขึ้นมาแม้แต่น้อย ยังคงเขียนสมการอย่างรวดเร็วยาวต่อกันเป็นพืด ตัวเลขแถวต่อแถวที่ออกมาจากปลายปากกาเขาเหมือนกับแถวทหารที่จัดระเบียบเป็นอย่างดี
ติงเซี่ยนมองดูกระดาษขาวที่เขาเขียนทดคร่าวๆ เต็มไปหมด ก่อนจะมองไปยังคำตอบที่เขาเขียนอย่างไม่ลังเลข้อแล้วข้อเล่าพลางทอดถอนใจแล้วปลอบใจตัวเอง
อย่าตกใจไป เขาเป็นแชมป์จินตคณิตระดับประเทศ
‘ถ้าอย่างนั้นวันนั้นนาย…‘ฉี่รดที่นอน’ เหรอ’ ติงเซี่ยนเอาคางเกยโต๊ะและถามด้วยความสงสัย
วันนั้น? วันไหน โจวซือเยวี่ยใช้เวลาอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าคือวันไหน เธอยังกล้าพูดถึงวันนั้นอีกเหรอ!
‘สามวันไม่ตี เธอก็จะขึ้นหลังคารื้อกระเบื้องใช่มั้ย* ครั้งหน้าถ้าบุกรุกเข้าห้องฉันอีกนะ…’ พร้อมๆ กับเสียงที่ฟังดูเริ่มรำคาญของเด็กหนุ่ม ติงเซี่ยนก็โดนเขาเอาปากกาเคาะศีรษะเข้าให้อย่างไม่ปรานี
ติงเซี่ยนคลึงศีรษะตัวเองแล้วฟุบลงบนโต๊ะต่อ ขีดๆ เขียนๆ และขูดชื่อที่เดิมทีสลักไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือจนเป็นร่องลึกโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ขูดก็ไม่ลืมที่จะยั่วโมโหเขา
‘ฉันจะเข้า!’
คุณชายโจววางปากกาแล้วหันขวับมามองเธอทันที เส้นผมเป็นประกายสีทองภายใต้แสงสีทองอันเจิดจ้าของพระอาทิตย์ยามลาลับขอบฟ้า แนวลำคอยาวจรดคอเสื้อเครื่องแบบนักเรียน ลูกกระเดือกที่ยื่นออกมาขยับเล็กน้อย
‘อ้อ ถ้าเธอไม่กลัวตายก็ลองดูแล้วกัน’
ติงเซี่ยนเหม่อมองเขาอยู่อย่างนั้น สายตาอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยการหยอกล้อ นิสัยร้ายๆ แบบคุณชายน้อยเริ่มปรากฏออกมาอีกแล้ว
ตอนนั้นเธอมักจะรู้สึกว่าโจวซือเยวี่ยชอบเธอ
เมื่อนึกถึงตรงนี้เธอก็เลียริมฝีปากแห้งผากด้วยความเสียดายนิดๆ เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าอยู่ที่เตียงด้านล่างมองเธออยู่ครึ่งชั่วโมงแล้ว อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“วันนี้ฉันได้ยินรุ่นพี่ปีสองคนหนึ่งบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งสอบเข้าชิงหวาเพื่อความรัก เป็นเธอใช่มั้ย เยี่ยมยอดเหมือนกันนี่นา”
มนุษยสัมพันธ์ดีไม่เบาเลยนี่สาวน้อย ไม่นานก็รู้จักรุ่นพี่ปีสองแล้ว
ติงเซี่ยนได้สติกลับมา อยากตอบไปว่า ‘เธอก็ชมเกินไป’ แต่พอคิดดูอีกที ชมเกินไปอะไรกัน ฝ่ายนั้นยังไม่ได้ตอบรับเธอเลย เธอจึงได้แต่นั่งเอามือเกาศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บนเตียง
อยู่ว่างๆ เบื่อๆ เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าอยู่ก็ชวนเธอคุยถึงเรื่องประสบการณ์ความรัก
“อย่าใจเสียไปเลย ครั้งแรกไม่ได้ เราก็ลองครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่ได้ ก็ครั้งที่สาม ครั้งที่สามไม่ได้ ก็ครั้งที่สี่ ฉันน่ะไม่เชื่อหรอกนะว่าดอกไม้สดแบบเธอจะปักลงบนกองขี้วัว* นั่นไม่สำเร็จ”
ในมหาวิทยาลัยสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่หนุ่มหล่อมีอยู่น้อยนิดเต็มเกลื่อนไปด้วยพวกคนโผงผาง เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าอยู่จึงคิดว่ารุ่นพี่ผู้ชายของติงเซี่ยนคนนั้นก็คงเป็นแค่ผู้ชายสายวิทย์ใส่แว่นตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง
สำหรับดอกบัวน้อยที่สดใสโดดเด่นอย่างติงเซี่ยนนับว่าเพียงพอที่จะคู่ควรกับเขาแล้วจริงๆ
ติงเซี่ยนก้มศีรษะกัดเล็บพลางพึมพำ
“เขาไม่ใช่ขี้วัวสักหน่อย”
เพื่อนร่วมห้องหูไวได้ยินเข้าก็ทำท่ารู้ทัน “รู้แล้วล่ะน่า รู้แล้ว รุ่นพี่ของเธอหล่อที่สุด หญิงสาวที่แอบหลงรักชายหนุ่มข้างเดียวมักจะเป็นพวกที่ไม่มีสุนทรียภาพ ขนาดคนที่เธอแอบรักแคะขี้มูก เธอก็จะรู้สึกว่าเขาโดดเด่นเหมือนลอยออกมาจากภาพวาดใช่มั้ยล่ะ”
เมื่อพูดจบเธอก็ชำเลืองมองติงเซี่ยนแวบหนึ่ง ส่วนติงเซี่ยนเริ่มฝึกโยคะบนเตียงเงียบๆ ตีลังกาขาพิงผนัง แขนทั้งสองข้างยันบนเตียง เสื้อยืดผ้าฝ้ายสีขาวตกลงจากช่วงเอวมาจนถึงแผ่นหลัง เผยให้เห็นกระดูกสันหลังที่ลึกลงไปและลักยิ้มของวีนัส[2] ที่ไม่ตื้นไม่ลึกทั้งสองข้าง
เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าสูดลมหายใจ “ยายตัวเล็ก ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย เธอมีของดีนี่นา ไม่เห็นยากอะไรเลย อย่างเธอนี่นะ ไปยืนต่อหน้าเขา สะบัดเสื้อผ้าออก เรื่องกล้วยๆ นิดเดียว”
“เคยถอดแล้ว ไม่ได้ผล” ติงเซี่ยนหลับตาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพื่อนร่วมห้องที่มาส์กหน้าก็คาดไม่ถึง แม้ว่าหน้าอกติงเซี่ยนจะไม่นับว่าใหญ่ แต่ของที่ควรมีก็มีหมด ไม่น่าจะถึงขั้นถูกปฏิเสธแบบนี้
สมัยนี้ยังมีผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาซึ่งหาได้ยากแบบนี้อยู่อีกเหรอ
เพื่อนร่วมห้องอ้าปากค้าง สมองคิดไม่ทันไปชั่วขณะ “เธอแก้ผ้าหน้าหอพักชายกลางวันแสกๆ เหรอ”
“ไม่ใช่” ติงเซี่ยนกลอกตาทีหนึ่ง
น่าจะเป็นตอนมัธยมศึกษาปีที่หก คุณยายของติงเซี่ยนป่วยหนัก พ่อไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาครึ่งปี พี่สาวคนโตโทรศัพท์มาจากต่างจังหวัดบอกว่าต้องจ้างพยาบาลมาดูแลคุณยาย ค่าดูแลเดือนละหนึ่งพันหยวน รวมกับพี่สาวน้องชายที่ต่างจังหวัดอีกสามคน แต่ละคนออกเงินกันคนละสองร้อยหยวนต่อเดือนก็พอดี
ในช่วงนั้นบ้านตระกูลติงตกอยู่ในช่วงชักหน้าไม่ถึงหลัง คุณพ่อติงเพิ่งถูกย้ายงานไม่ถึงสองปี เงินเดือนยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน ส่วนคุณแม่ติงก็เพิ่งตกงานและรองานใหม่อยู่ที่บ้าน ทั้งยังต้องจ่ายเงินผ่อนบ้านทุกเดือน บวกกับในบ้านยังมีน้องชายซึ่งเป็นปีศาจน้อยที่อยากซื้อโน่นได้นี่ สำหรับคุณแม่ติงแล้ว เงินสองร้อยหยวนนี้นับว่าเป็นเกล็ดน้ำค้างแข็งทับถมบนกองหิมะ* เลยทีเดียว
ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงหารือกันและตัดสินใจให้คุณแม่ของติงเซี่ยนกลับบ้านไปดูแลคุณยายสักพัก ในวันถัดมาแม่จึงพาติงเซี่ยนไปฝากให้บ้านตระกูลโจวดูแล จากนั้นก็พาลูกชายกลับต่างจังหวัดด้วยกัน
แม่จากไปครั้งนี้เป็นเวลารวมครึ่งปี
ติงเซี่ยนใช้เวลาช่วงเทอมหนึ่งของชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่บ้านตระกูลโจว คืนก่อนที่จะกลับต่างจังหวัดช่วงปิดภาคเรียนฤดูหนาว ทั้งสองทำข้อสอบอยู่ในห้อง
ที่จริงแล้วติงเซี่ยนทำข้อสอบอยู่ในห้องของโจวซือเยวี่ย ส่วนคุณชายโจวกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงในท่วงท่าเท่ๆ สบายๆ ขายาวข้างหนึ่งเหยียดตรง อีกข้างชันขึ้นมา ในมือกำลังเล่นเครื่องเล่นเกมเสี่ยวป้าหวัง** ตลอดเวลาที่เล่นเกม เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
ในเดือนมกราคม นอกกรุงปักกิ่งปกคลุมด้วยหิมะ ลมหนาวเย็นยะเยือก นอกหน้าต่างราวกับคลุมไว้ด้วยผ้าห่มขนแกะบางๆ
ติงเซี่ยนไหนเลยจะมีกะจิตกะใจทำข้อสอบ ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่เด็กหนุ่มด้านหลังที่ห่มผ้าห่มขนแกะ ทำข้อสอบอยู่นานก็ยังหยุดอยู่ที่ข้อสอง
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คุณชายโจวเล่นเหนื่อยแล้วก็วางเครื่องเล่นเกมลงพลางนวดคอ แล้วเดินมาหยิบข้อสอบของเธอขึ้นมาตรวจ หลังจากนั้นก็เห็นกระดาษคำตอบที่ขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะข้างนอกเสียอีก
เขาไม่โมโห ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แค่ถามอย่างเย็นชา ‘ยังจะสอบเข้าชิงหวามั้ย’
ติงเซี่ยนรู้สึกว่าท่าทีที่เขามีต่อเธอไม่เหมือนที่มีต่อคนอื่น เมื่อวานตอนสอนดาวประจำชั้นเรียนก็ไม่เป็นแบบนี้ เขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งโน่นนี่นั่น เธอคิดแล้วก็โมโหขึ้นมาจึงโยนข้อสอบทิ้ง
‘ไม่สอบแล้ว’
พูดไปได้แค่ครึ่งคำ โจวซือเยวี่ยก็โน้มตัวลงมา มือจับเข้าที่ท้ายทอยเธอและดึงเข้าไปตรงหน้าเขา
ริมฝีปากนิ่มๆ อุ่นๆ ของเขาประทับลงมา เด็กหนุ่มค่อนข้างเงอะงะ เรียกได้ว่าไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย พอประกบกับริมฝีปากของเธอก็ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันอยู่อย่างงงๆ แบบนี้
โจวซือเยวี่ยเองก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
ริมฝีปากทั้งคู่ประกบกันอยู่แบบนี้เป็นเวลาสามนาที
ติงเซี่ยนได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆ ของคุณชายโจว และเสียงดังตึกตักๆ ของหัวใจตัวเองที่แทบจะเต้นทะลุหน้าอกออกมาอย่างชัดเจน
ขนตาของโจวซือเยวี่ยยาวจนแทงคนตายได้ บริเวณเปลือกตาของติงเซี่ยนโดนปลายขนตาที่ทั้งหนาทั้งยาวของเขาสัมผัสจนคันยุบยิบ สะท้านไปถึงหัวใจ
นอกห้องเป็นแนวต้นการบูรเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ส่วนภายในห้องเต็มไปด้วยความรักภายในใจของหนุ่มสาวที่อ่อนประสบการณ์และความสับสนว้าวุ่นที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ทั้งสองคนไม่มีใครหลับตา ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยความตะลึงงัน ปากประกบปาก จมูกชนจมูก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
แล้วก็เป็นติงเซี่ยนที่เอ่ยปากก่อน ‘เอ่อ ต้องขยับสักหน่อยมั้ย’
ในโทรทัศน์เหมือนจะแสดงแบบนี้ หน้าชนกัน เชยคางของอีกฝ่าย และเอียงศีรษะไปอีกข้าง
‘เงียบไปเลย’ เด็กหนุ่มที่ใบหูแดงก่ำพูดขึ้น
หลังจากนั้นติงเซี่ยนก็รู้สึกเสียดายนับครั้งไม่ถ้วน
ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เธออยู่ใกล้โจวซือเยวี่ยมากที่สุด เด็กหนุ่มคนนี้บุคลิกเย็นชา หยิ่งทะนงฝังลึกถึงกระดูก ทั้งปากร้าย ทั้งชอบเข้มงวดกับเธอ จะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ถ้ารู้อย่างนี้คืนนั้นควรจัดการเขาให้เรียบร้อยไปเลย!
ตอนที่ยังเด็กมากๆ พวกเราต่างเคยมีความฝัน เกี่ยวกับความมุ่งหวัง เกี่ยวกับความรัก
ทุกคนต่างคิดว่าตัวเองเป็นแมรี่ ซู* แต่ความจริงแล้วเป็นแค่เพียงสายฟ้าประดิษฐ์**
คนที่เธอคิดว่าใช่ความจริงแล้วไม่ได้ชอบเธอขนาดนั้น เพียงแต่พวกเราไม่ยอมตื่นขึ้นมาแล้วรับความจริงเท่านั้นเอง
บทที่ 1
การหมั้นหมายตั้งแต่เด็กที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
การแอบหลงรักเป็นการใช้ชีวิตคู่ให้จบลงอย่างสมบูรณ์ในโลกของคนเพียงคนเดียว
‘บันทึกของสัตว์ประหลาดตัวน้อย’
เดือนมิถุนายน ปี 2546 บ้านตระกูลติงมีเรื่องที่น่ายินดีสองเรื่องใหญ่
เรื่องแรก ติงเซี่ยนสอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นนำระดับประเทศ เรื่องที่สอง พ่อของติงเซี่ยนถูกส่งไปทำงานที่สำนักงานผังเมืองเขตเยี่ยนซาน และหน่วยงานต้นสังกัดยังได้จัดสรรบ้านสวัสดิการรัฐในซอยเยี่ยนซานให้หนึ่งหลัง แม้ว่าต้องจ่ายเงินผ่อนชำระต่อเดือนจำนวนไม่น้อย แต่ก็สะดวกสำหรับผู้เป็นแม่ในการดูแลการเรียนของติงเซี่ยน
แต่ในสายตาของติงเซี่ยน นี่ไม่ใช่การดูแล แต่เป็นการควบคุม
หากในยุคนั้นพวกกล้องวงจรปิดแพร่หลาย บางทีห้องของเธออาจมีกล้องติดเต็มไปหมด ติงเซี่ยนอดขอบคุณยุคสมัยที่ล้าหลังแบบนั้นไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยเธอก็รักษาพื้นที่ส่วนตัวไว้ได้บ้าง
ซอยเยี่ยนซานมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี แบ่งเป็นสองซอยคือด้านตะวันออกและด้านตะวันตก คนที่อาศัยในซอยด้านตะวันออกเป็นพวกบรรพบุรุษมีหน้ามีตาในสังคม ส่วนซอยด้านตะวันตก รัฐบาลพัฒนากลายเป็นบ้านสวัสดิการรัฐ และจัดสรรให้บรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ผู้อยู่อาศัยล้วนเป็นพนักงานรัฐ
แน่นอนว่าเยี่ยหวั่นเสียนแม่ของติงเซี่ยนก็ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ การเลือกปฏิบัติเป็นงานถนัดของเธอ
ปลายเดือนมิถุนายน ติงเซี่ยนบอกลาเพื่อนๆ ในชนบท และย้ายเข้ามาอยู่ที่ซอยเยี่ยนซานพร้อมกับแม่
บ้านสวัสดิการรัฐอยู่ชั้นหนึ่ง มืดๆ ครึ้มๆ ผนังลอกเป็นแผ่นตกลงมา ตรงข้ามกับหน้าต่างห้องติงเซี่ยนมีต้นไม้ทรุดโทรมอยู่ต้นหนึ่ง ใบกิ่งก้านที่หนาแน่นในฤดูร้อนบดบังแสงที่ส่องมาที่ห้องของเธอพอดี บางครั้งเวลาทำการบ้านตอนกลางวันก็ยังต้องเปิดไฟ ผ่านไปหนึ่งเดือนเธอเริ่มรู้สึกว่าเวลามองต้นไม้ทรุดโทรมต้นนี้แล้วจะเห็นเงาภาพซ้อน
เมื่อเทียบกับน้องชายที่อยู่ห้องนอนหลักซึ่งมีระเบียงขนาดใหญ่และห้องน้ำส่วนตัว ติงเซี่ยนก็เห็นความลำเอียงของแม่อย่างชัดเจน แต่เธอเคยชินจนไม่ติดใจเอาเรื่องอะไร
ติงเซี่ยนนั่งมองต้นไม้ทรุดโทรมต้นนั้นตลอดช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน หลังจากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างออก นั่นก็คือการขอย้ายไปอยู่ประจำที่โรงเรียน
“จะไปอยู่ประจำที่โรงเรียนทำไม อยู่ประจำที่โรงเรียนต้องจ่ายเพิ่มอีกสองร้อยหยวน ลูกคิดว่าเงินหาง่ายอย่างนั้นเหรอ” เยี่ยหวั่นเสียนก้มตัวถูพื้นพลางพูด
ติงเซี่ยนคอตก ก้มหน้าจ้องปลายเท้าโดยไม่ขยับเขยื้อนราวกับรู้สึกอับอายกับคำขอที่ดูอกตัญญูของตนเอง
“อย่ามายืนเกะกะขวางทางตรงนี้ ถ้าช่วยไม่ได้ก็กลับห้องตัวเองไปอ่านหนังสือไป” เยี่ยหวั่นเสียนถือไม้ถูพื้นออกไปซักและเสริมอีกประโยคโดยไม่หันหลังกลับมา “อย่ามาขวางทางน้องเล่นของเล่น”
ไม่รอให้ติงเซี่ยนหันมา เจ้าปีศาจน้อยข้างหลังก็ขับรถของเล่นคันใหม่มาข้างๆ จงใจให้ล้อรถทับนิ้วเท้าของเธอ ติงเซี่ยนโมโห ปีศาจร้ายภายในจิตใจอยากจะแผลงฤทธิ์ จึงกระทืบเท้าลงบนรถของเจ้าปีศาจน้อย
แรงไม่มากเท่าไร รถโคลงเคลงสักพักก็กลับมาตั้งอยู่ในสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
เจ้าปีศาจน้อยยอมลงจากรถและเข้าไปผลักติงเซี่ยนอย่างแรง
ตอนนั้นติงเซี่ยนกำลังวางเท้าข้างหนึ่งลงบนโต๊ะเตี้ยๆ พลางมองดูแผลของตัวเองอยู่ เมื่อถูกผลักเข้าอย่างแรงก็สูญเสียการทรงตัว ล้มใส่เก้าอี้นั่งเนื้อไม้แท้ หน้าผากชนเข้ากับขอบเก้าอี้แล้วปูดขึ้นเป็นลูกใหญ่ทันที
“ติงจวิ้นชง!” ติงเซี่ยนคำรามเสียงต่ำเพราะกลัวว่าแม่จะตำหนิ
ตัวการร้ายวัยแปดขวบกลับไปนั่งที่รถของเล่นของตัวเอง ปรบมือและชี้ที่ศีรษะเธอพร้อมกับหัวเราะ
ติงเซี่ยนใช้มือคลึงศีรษะ ตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วปูดขึ้นเหมือนมีเขางอกออกมา
“ขอโทษเดี๋ยวนี้!” ในใจเธอลุกเป็นไฟ แต่สุดท้ายปากกลับพูดออกมาได้แค่สี่พยางค์
ติงจวิ้นชงทำหน้าล้อเลียนใส่เธอ “ไม่ แบร้ๆๆๆๆ!”
เจ้าปีศาจน้อยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทำให้เธอโกรธถึงขีดสุด ติงเซี่ยนยืนขึ้น เตะรถของเล่นจนคว่ำในคราวเดียว แม้แต่เจ้าปีศาจน้อยก็กลิ้งตกลงไปบนพื้น
เขาคลานขึ้นมานั่งบนพื้น ใช้มือปิดตาและร้องไห้เสียงดังลั่นพร้อมกับแอบชำเลืองมองว่าแม่เข้ามาแล้วหรือยัง เมื่อเห็นว่ายังไม่เข้ามาจึงร้องดังกว่าเดิม
“ฮือๆๆ…พี่ตีผม! พี่ตีผม!”
น้องชายคนนี้ตั้งแต่เล็กก็เรียนรู้วิธีร้องเรียกความสงสารเห็นใจ ร้องเหมือนเป็นเรื่องใหญ่โตจริงๆ ในที่สุด แม่ที่ซักผ้าถูพื้นอยู่ข้างนอกก็เข้ามาจนได้
เยี่ยหวั่นเสียนเช็ดมือแล้วรีบเข้ามาทันที กวาดตามองทีเดียวก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบดึงลูกชายสุดที่รักเข้ามากอด
“ลูกจ๋า พี่แกล้งลูกเหรอ”
ระหว่างที่พูดก็ไม่ลืมทำตาเขียวใส่ติงเซี่ยน
ส่วนเจ้าปีศาจน้อยตัวร้าย เมื่อเห็นคนให้ท้ายก็ฟ้องทันที
เยี่ยหวั่นเสียนรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้มาก เธออุ้มพลางปลอบโยนติงจวิ้นชง ขณะที่ปลอบก็ใช้มือตีติงเซี่ยนอย่างแรง
“พี่สาวลูกทำผิด พี่สาวลูกทำผิด ลูกรัก อย่าร้องไห้เลยนะลูก!”
หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงก้มหน้ารับผิดไปแล้ว แต่ติงเซี่ยนในวันนี้มีท่าทีแข็งกร้าวเป็นพิเศษ ใบหน้าแดงก่ำ กัดฟันแน่นไม่ยอมรับผิด แถมยังเถียงคอเป็นเอ็น
“น้องเป็นคนเริ่มก่อน ผลักหนูจนหัวปูดขนาดนี้!”
เยี่ยหวั่นเสียนจ้องเธอ “น้องไม่รู้เรื่องอะไร ลูกจะทำตัวไม่รู้เรื่องตามน้องหรือไง น้องไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย! ลูกเป็นพี่สาวเขานะ จะยอมน้องบ้างไม่ได้หรือไง น้าเล็กบอกว่าลูกเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ดูแล้วไม่ผิดเลย ลูกก็เหมือนพ่อของลูก ไม่รู้บุญคุณคน!” จากนั้นก็ดันตัวลูกสาว “รีบขอโทษน้อง! วันนี้เป็นอะไรไป! เร็วสิ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนระเบิดออกมา “ใช่ หนูเป็นคนอกตัญญู!”
เยี่ยหวั่นเสียนถูกลูกสาวตะโกนใส่จนอึ้งงัน ตาค้างมองติงเซี่ยนวิ่งกลับเข้าห้องของตัวเองไป จากนั้นก็มีเสียงปิดประตูดังปังตามมาทันที
เยี่ยหวั่นเสียนสะดุ้งรู้สึกตัว ลูกสาวตัวดีปีกกล้าขาแข็งบังอาจเถียงกับเธอ หากไม่ใช่เพราะในมือยังอุ้มลูกชายอยู่ เธอคงพุ่งตัวไปดึงหูลูกสาวตัวดีมาสั่งสอนให้รู้เรื่องสักรอบแล้ว
“สอบติดมัธยมเยี่ยนซานแล้วถือว่าเก่งนักใช่มั้ย กล้ามาขึ้นเสียงเถียงกับฉัน! นังตัวดี! น้าเล็กของแกพูดไม่ผิด! นังตัวดี แกมันเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังใจแคบอีก ฉันไม่น่าคลอดแกออกมาเลย!”
ติงเซี่ยนไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ตัวแนบประตู หอบหายใจเบาๆ
เธอปรบมือให้ตัวเองในใจ ทนรับสภาพไม่เป็นธรรมมาสิบกว่าปี จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองเถียงแม่เมื่อครู่นี้ช่างกล้าหาญเหลือเกิน เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะโตแล้ว
เพราะในหนังสือกล่าวไว้ว่าสัญลักษณ์ของการเติบโตขึ้นคือการต่อต้าน การต่อต้านก็เริ่มจากการเถียงนั่นเอง
ติงเซี่ยนเอียงคอมองตัวเองในกระจกแต่งตัวที่อยู่เบื้องหน้า รูปร่างเธอไม่สูง ผอม ตัวเล็ก ผมสีดำมัดเป็นหางม้าไว้ด้านหลังศีรษะ ตัวแบนๆ ไม่ถึงกับสวย แต่ก็พอดูได้
หน้าผากที่ขาวสะอาดปูดขึ้นมา
น่าแปลก เธอรู้สึกว่าเขาเล็กๆ แบบนี้ก็เข้ากับสีหน้าและอารมณ์ของเธอในวินาทีนี้เหมือนกัน หากมีเขี้ยวอีกอย่างก็คงจะดี
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะทำท่าขบฟัน แยกเขี้ยวแหลมเป็นประกาย ทำสีหน้าให้ดูดุร้ายที่สุด
ท่ามกลางความวุ่นวายข้างนอกประตู ติงเซี่ยนมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ร่างเล็กๆ ของเธอขดเหมือนเปาะเปี๊ยะกุ้ง นัยน์ตาที่ขยับอย่างรวดเร็วคู่นั้นจ้องไปยังใบไม้เขียวชอุ่มที่ปลิวไสวนอกหน้าต่าง
น้องชายยังคงร้องไห้เสียงดังอยู่ที่ห้องรับแขก ทั้งยังมีเสียงกัดฟันด่าของแม่ลอยเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ
“ยายเด็กใจแคบ สอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานก็โอหังอวดดี ลูกรักของแม่ ไม่ต้องร้องไห้นะ แม่ต้องไปทำกับข้าวแล้ว”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่เปิดออก พ่อของติงเซี่ยนเลิกงานกลับมาแล้ว เยี่ยหวั่นเสียนอุ้มลูกชายไปฟ้อง
ในบ้านพ่อของติงเซี่ยนจะเป็นคนเงียบๆ พูดน้อยมาโดยตลอด ส่วนมากมักจะนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนกับตอนนี้ เมื่อได้ยิน ‘คำฟ้อง’ จากเยี่ยหวั่นเสียนก็เพียงแต่หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าและเอาเข้าปากเงียบๆ
เยี่ยหวั่นเสียนโกรธสุดขีด จึงผลักเขาทีหนึ่ง “อย่างน้อยคุณก็พูดอะไรบ้างได้มั้ยฮะ! ลูกสาวคุณน่ะ นับวันจะยิ่งเอาไม่อยู่แล้วนะ!”
พ่อของติงเซี่ยนเห็นเหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้จนชินชาเสียแล้ว เขารู้สึกรำคาญขึ้นมาจึงดับบุหรี่
“ลูกของคุณ ลูกของคุณ ลูกสาวไม่ใช่เธอที่คลอดออกมาเหรอ อุ้มแต่ลูกชายทั้งวัน ตามใจจนเสียเด็กแล้ว”
เสียงร้องของน้องชายยิ่งดังขึ้น ติงเซี่ยนแอบกัดฟันหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม
เยี่ยหวั่นเสียนเหมือนลูกโป่งที่โดนเจาะแตกอย่างฉับพลันจึงขึ้นเสียงทันที “คุณหมายความว่ายังไง! หาว่าฉันโอ๋ลูกชายเหรอ ตอนแรกก็เพราะบ้านคุณนั่นแหละที่บังคับให้ฉันมีลูกชาย ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดโบราณๆ ของบ้านคุณ ฉันจะอดทนมีลูกชายให้คุณเหรอ! ตอนนี้กลับมาโทษฉัน!”
เสียงร้องไห้ของน้องชายบวกกับเสียงทะเลาะกันเป็นฟืนเป็นไฟของผู้ใหญ่สองคนทำให้ข้างนอกวุ่นวายจนเละเป็นโจ๊กเลยทีเดียว
เงาของต้นไม้ทรุดโทรมนั้นค่อยๆ เลือนรางไป ติงเซี่ยนถูกความง่วงครอบงำทันทีท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อึกทึกวุ่นวาย เธอเคยชินกับมันเสียแล้ว นี่เป็นเหตุการณ์ปกติของบ้านเธอ
ความคิดสุดท้ายก่อนที่เธอจะหลับไปคือ…
ขอให้สามปีนี้ผ่านไปไวๆ วัยสิบแปดปีที่เหมือนนรกรีบสิ้นสุดลงสักทีได้มั้ยนะ
วันรุ่งขึ้นความวุ่นวายเมื่อวานกลายเป็นควันที่หายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยหวั่นเสียนพาลูกสาวลูกชายไปบ้านตระกูลโจวท้ายซอยด้านตะวันออก
ก่อนออกจากบ้าน เยี่ยหวั่นเสียนกำชับพวกเธอหลายต่อหลายรอบว่าคุณลุงโจวท่านนี้เป็นผู้ดี การที่พ่อได้ย้ายงานในครั้งนี้ คุณลุงโจวมีส่วนช่วยไม่น้อย ระหว่างอยู่บนโต๊ะอาหารต้องพูดจาดีๆ
เมื่อพูดจบเธอก็หันมามองติงเซี่ยนและเอ่ยกำชับเป็นพิเศษ “คุณลุงโจวมีลูกชายคนหนึ่ง สอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานในปีนี้เหมือนกัน แม่ได้ยินมาว่าคะแนนรวมยังสูงไม่เท่าลูก ยังไงลูกก็ช่วยๆ เขาหน่อย ผูกมิตรกับเขาไว้”
ติงเซี่ยนรู้สึกว่าในสายตาของแม่ มาตรฐานในการแบ่งประเภทคนไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย เด็ก ชรา มีเพียงสองประเภท นั่นก็คือคนที่มีประโยชน์กับคนที่ไม่มีประโยชน์
“ค่ะ”
เธอตอบรับไปอย่างส่งๆ เหมือนหุ่นยนต์ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าตัวเองกำลังเข้าสู่ช่วงต่อต้าน เธอจะไม่ทำตามคำสั่งของแม่เป็นอันขาด หรือถ้าแรงกว่านั้นอีกหน่อยก็คือทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ในวินาทีที่เธอเห็นคุณชายน้อยผู้นั้น ติงเซี่ยนกลับอยากอยู่ในแนวร่วมเดียวกับมารดาขึ้นมาทันที
คุณลุงโจวในวัยสี่สิบกว่าปีนับว่าเป็นคนดูดีทีเดียว ใส่แว่นตากรอบทอง ท่าทางดูผู้ดีมีมารยาท ส่วนคุณนายโจวก็เป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดเท่าที่ติงเซี่ยนเคยเห็นมา ติงเซี่ยนใช้คำว่า ‘หญิงสาว’ อย่างไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร เพราะเดาอายุคุณนายโจวไม่ออกจริงๆ
เยี่ยหวั่นเสียนใช้ความสามารถในการประจบสอพลอเต็มที่ คอยเอาอกเอาใจคุณนายโจวอ้อมหน้าอ้อมหลัง คุณนายโจวเองก็ควงแขนเธออย่างสนิทชิดเชื้อเป็นธรรมชาติและพูดกับเธออย่างสุภาพ
“วันนี้บ้านคุณพาเด็กๆ มาด้วยพอดี งั้นเชิญทุกคนอยู่กินข้าวด้วยกันเถอะนะคะ”
เยี่ยหวั่นเสียนยิ่งกว่ารอคอยสิ่งนี้ แต่แสร้งทำเป็นพูดอย่างเกรงใจ “จะรบกวนพวกคุณมากเกินไปหรือเปล่าคะ”
คุณนายโจวยิ้มพลางโบกมือ “รบกวนอะไรกัน ก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกไม่กี่คู่เอง เป็นเพื่อนนักเรียนมัธยมเยี่ยนซานของซือเยวี่ยทั้งนั้น จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกันเอาไว้หน่อย”
“ใช่ค่ะๆ” เมื่อพูดจบเยี่ยหวั่นเสียนก็ดึงติงเซี่ยนเข้ามา “เซี่ยนเซี่ยน นี่คือคุณป้าโจวที่แม่เคยพูดให้ลูกฟังบ่อยๆ ไงจ๊ะ”
ติงเซี่ยนมองคุณนายโจวเงียบๆ กำลังคิดว่าถ้าในตอนนี้เธอพูดว่า “ความจริงแล้วแม่ไม่เคยพูดถึงคุณเลยค่ะ” เยี่ยหวั่นเสียนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
แต่คุณนายโจวเป็นคนน่ารักอ่อนโยน ติงเซี่ยนจึงสงบปากสงบคำไว้ชั่วคราวและยิ้มอย่างน่ารัก
“คุณป้าโจว สวัสดีค่ะ ได้ยินแม่พูดถึงคุณป้าอยู่บ่อยๆ เลยค่ะ”
สัญลักษณ์ของช่วงต่อต้านข้อแรกคือโกหกโดยไม่กะพริบตา
คุณนายโจวลูบศีรษะเธอ “เด็กดี”
แม่บ้านทำอาหารเสร็จแล้ว คุณนายโจวพาติงเซี่ยน น้องชายเธอ และแม่มานั่งที่โต๊ะอาหาร
เด็กผู้หญิงสวมหมวกติดดอกไม้วิ่งนำลงมาจากบันไดเป็นคนแรก พอเห็นติงเซี่ยนก็อึ้งไป ก่อนจะยิ้มและหาที่นั่งนั่งลง
“คุณน้าคะ พี่สาวคนนี้คือใครคะ”
คุณนายโจวกล่าว “เป็นเพื่อนของพี่ซือเยวี่ยของหนูไงล่ะจ๊ะ ชื่อติงเซี่ยน”
เด็กผู้หญิงคนนั้นใบหน้ากลม ผิวขาวเนียน หน้าตาสวยมาก เธอนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหารห่างจากติงเซี่ยนครึ่งโต๊ะแล้วหันมาโบกมือให้
“สวัสดีค่ะพี่ ฉันชื่อซ่งอี๋จิ่น”
ซ่งอี๋จิ่นน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ติงเซี่ยนเคยเห็นมา สวยกว่าเด็กผู้หญิงที่ว่าสวยที่สุดในโรงเรียนเก่าของติงเซี่ยนเสียอีก
เธอโบกมือเช่นกัน ทำสีหน้าท่าทางที่ตัวเองคิดว่าเป็นมิตรที่สุด ยิ้มออกมาเล็กน้อย “สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อติงเซี่ยน”
ซ่งอี๋จิ่นเก็บมือกลับมาและชมเธอ “พี่ผอมจังเลย”
ติงเซี่ยนตอบกลับ “เธอก็สวยมากจ้ะ”
เด็กกำลังโตสองคนรู้จักมารยาทการพูดจาเยินยอกันบนโต๊ะอาหารเหมือนในโลกของผู้ใหญ่ ทำเอาคุณนายโจวกับแม่ของติงเซี่ยนหัวเราะไม่หยุด
แต่พวกเธอไม่รู้ว่าในโลกของติงเซี่ยนกับซ่งอี๋จิ่น ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่แล้ว
คุณนายโจวยิ้ม “เอาล่ะ พอแล้ว เด็กน้อยสองคนนี้มาเลียนแบบคำพูดอะไรของผู้ใหญ่กันจ๊ะ”
แม่ติงเซี่ยนเสริม “เด็กสมัยนี้โตไวเหลือเกิน”
แม้ว่าผู้ใหญ่จะพูดเช่นนั้น ซ่งอี๋จิ่นกับติงเซี่ยนกลับยิ้มให้กัน นี่เป็นความลับของการเติบโต
ติงเซี่ยนเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือ…
ผู้ใหญ่มักจะมองว่าพวกเธอเป็นเด็กน้อย เพราะว่าพวกเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว
ผ่านไปสิบนาทียังมีคนไม่ลงมา คุณนายโจวเริ่มหงุดหงิด “อี๋จิ่น ทำไมพวกเขายังไม่ลงมา”
“พวกพี่เจี่ยงเฉินยังเล่นเกมอยู่ค่ะ หนูหิวก็เลยลงมาก่อน ส่วนพี่ซือเยวี่ยยังนอนอยู่ ปลุกไม่ยอมตื่นค่ะ ทำไมเขานอนซมเป็นหมาทุกวันเลย…”
เธอพูดจบก็รู้สึกตัวทันที เผลอปากไวไปหน่อย ตีอกชกลมว่าตัวเองไม่น่าพูดจาไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ลืมไปว่าต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องมีมารยาท ซ่งอี๋จิ่นจึงแลบลิ้น ทำตัวไม่ถูก
คุณนายโจวเกาศีรษะพลางต่อว่า “ทำไมหนูพูดแต่คำหยาบทั้งวี่ทั้งวันเลย”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องพักแขกชั้นบนก็เปิดออก มีเสียงคนพูดดังขึ้น ซ่งอี๋จิ่นส่งเสียงบอก
“อ๊ะ พวกพี่เจี่ยงเฉินลงมาแล้ว”
คุณนายโจวจึงตะโกนขึ้นไปชั้นบน “อาเฉิน!”
เสียงพูดคุยของคนสองสามคนหยุดลง จากนั้นเสียงสดใสของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น “อยู่นี่ครับ”
“เธอไปเรียกซือเยวี่ยหน่อย เด็กคนนี้นอนจนใกล้จะตายแล้ว พวกเรารอเขามากินข้าวอยู่ ส่วนคนอื่นไปล้างมือแล้วลงมากินข้าวนะจ๊ะ”
“รับทราบครับ’ เจี่ยงเฉินเพิ่งชนะไปสองเกมจึงอารมณ์ดีสุดๆ ‘คุณน้ารอแป๊บนึงนะครับ ผมจะไปลากตัวเขาลงมาให้ครับ”
ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงทุบประตูจากชั้นบนดังปังๆๆ ตามมาด้วยเสียงห้าวแบบเด็กหนุ่มของเจี่ยงเฉิน แถมเขายังทำเสียงเหมือนผู้ประกาศข่าว
“อาเยวี่ย! ตื่นได้แล้ว!! แม่นายเรียกกินข้าว!!” ดูเหมือนเจี่ยงเฉินไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย “เปิดประตู! เปิดประตู!!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดติงเซี่ยนถึงรู้สึกตื่นเต้น เธอสงบลมหายใจฟังเสียงจากชั้นบน
พูดตามตรงเธอเองก็อยากรู้จักคุณชายน้อยคนนั้นเหมือนกัน สามีภรรยาตระกูลโจวที่มียีนฟ้าประทานขนาดนี้ จะมีลูกออกมาฟ้าประทานขนาดไหน
ทันใดนั้นชั้นบนก็เงียบไปสามวินาที
ก่อนจะเริ่มต้นด้วยเสียงรองเท้าแตะลากพื้นเข้ามาใกล้ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงประตูที่ถูกเปิดออกดังแอ๊ด…ตามด้วยเสียงโมโหและรำคาญถึงขีดสุดดังขึ้น
“เจี่ยงเฉิน อยากตายใช่มั้ย!”
เท่าที่ติงเซี่ยนฟัง เสียงนั้นมีความง่วงงุนและความงัวเงียที่ให้ความรู้สึกเซ็กซี่อย่างประหลาด
เจี่ยงเฉินกลัวคุณชายน้อยที่งัวเงียเพิ่งตื่นคนนี้มากทีเดียว เขาทิ้งท้ายไว้ว่า “แม่นายเรียกกินข้าว” หลังจากนั้นก็รีบวิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด วิ่งผ่านห้องรับแขกและห้องครัว
ทันใดนั้นเขาก็หันมาและมองตรงมาที่ติงเซี่ยนทันที จากนั้นก็พินิจดูเธอ
ติงเซี่ยนอยู่ข้างๆ คุณนายโจว ใส่กระโปรงสีขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม มือทั้งสองข้างวางบนตักอย่างเป็นระเบียบ ดูน่ารักเรียบร้อย มีเพียงหน้าผากที่ปูดเป็นลูกจนดูน่าขัน
เจี่ยงเฉินอึ้งงัน ในใจคิดว่าเด็กสาวคนนี้ไปตบตีกับใครที่ไหนมา
ด้านหลังโจวซือเยวี่ยขยี้ตางัวเงียลงบันไดมา สวมรองเท้าแตะเดินเสียงดัง มือทั้งสองสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ท่าทางสบายๆ เดินลงมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว พอมาถึงบันไดสองสามขั้นสุดท้ายเขาก็รีบก้าวอย่างรวดเร็ว ในที่สุดขาเรียวยาวก็ถึงพื้น จากนั้นก็เดินด้วยความเร็วปกติอีกครั้ง ขณะที่ผ่านเจี่ยงเฉิน เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งตบหัวเพื่อนไปทีหนึ่งพร้อมเอ่ยปากอย่างฉุนๆ
“อึ้งอะไร”
เสียงพูดของเขาเพราะมาก ดึงดูดคนได้ราวกับมีแม่เหล็ก เป็นเสียงผู้ชายที่เพราะที่สุดเท่าที่ติงเซี่ยนเคยได้ยินมา นอกจากนี้สำเนียงยังชัดเจนและฟังดูสบายๆ ไม่เหมือนสำเนียงปักกิ่งโง่ๆ ของเจี่ยงเฉิน
เจี่ยงเฉินกำลังจะถามเขาว่านี่คือใคร ปรากฏว่าคุณชายน้อยคนนั้นไม่ได้มองมาทางติงเซี่ยน เขาตรงมาที่โต๊ะอาหารและลากเก้าอี้ข้างซ่งอี๋จิ่นออกมานั่งลง ส่วนเจี่ยงเฉินตามมาทันทีและนั่งลงข้างเขา
ติงเซี่ยนที่เดิมทีก้มหน้า เมื่อได้ยินเสียงปึงปังนี้ก็เงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็โดนหนุ่มน้อยหัวรังนกทำให้ตกตะลึง
ที่แท้ก็คือคุณชายน้อยนั่นเอง ผิวพรรณดี กรอบหน้าและรูปร่างเหมือนจะสง่างามมาตั้งแต่กำเนิด
โจวซือเยวี่ยเพิ่งตื่น ผมยุ่งกระเซอะกระเซิง เขาใช้มือจัดให้เรียบร้อย ใบหน้านั้นนอกจากใต้ตาคล้ำที่เห็นได้ชัดแล้วก็แทบจะหาข้อเสียอื่นไม่ได้เลย
ติงเซี่ยนถอนใจ หล่อกระชากวิญญาณไปเลย หล่อกระชากวิญญาณจริงๆ!
โจวซือเยวี่ยไม่ได้สังเกตว่าบนโต๊ะมีคนแปลกหน้านั่งอยู่อีกสามคน เขามัวแต่ก้มหน้าซดน้ำซุปในมือตัวเอง จนเมื่อคุณนายโจวเอ่ยปากเรียกชื่อเขา
“ซือเยวี่ย”
“หืม?” โจวซือเยวี่ยซดน้ำซุปคำสุดท้ายเสร็จ เลียริมฝีปากและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
“นี่คือคุณน้าติง นี่คือติงเซี่ยน พวกลูกเคยเจอกันตอนเด็กๆ”
โจวซือเยวี่ยสายตาสั้นเล็กน้อย แต่ไม่ชอบใส่แว่น เขาหรี่ตาพยายามมองว่าเป็นใคร แต่ก็จำอะไรไม่ได้ ได้แต่โน้มตัวมาด้านหน้าและพูดอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณน้าติง” คำทักทายของเขาเป็นไปตามมารยาท ไม่ได้รู้สึกเกร็งกับคนแปลกหน้า ดูสบายๆ เป็นธรรมชาติอย่างมาก
หลังจากนั้นเขาก็หันสายตามาที่ติงเซี่ยน ลูบขอบปากเบาๆ ท่าทางดูดีมีชาติตระกูลที่สุด
หากเปรียบเทียบกันแล้ว ติงเซี่ยนก็เหมือนคนบ้า สายตาไม่รู้จะมองไปตรงไหน พยักหน้าอย่างเกร็งไปหมด หลังจากนั้นก็รีบก้มหน้ามองชามข้าวของตัวเองอย่างลนลาน ไม่รู้ว่าเขินอายอะไร
“นี่คงเป็นซือเยวี่ยสินะคะ โตขึ้นมาหล่อเหลาเชียวค่ะ” แม่ติงเซี่ยนยิ้มเหมือนมองลูกชายตนเอง “ตอนเด็กๆ น้าก็เคยอุ้มเธอนะ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะโตขนาดนี้แล้ว”
คุณพ่อโจวยิ้มเห็นด้วย รู้สึกใจหาย “ใช่ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
แม่ของติงเซี่ยนสะกิดลูกสาวที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ “เซี่ยนเซี่ยน นี่ซือเยวี่ยไงลูก ตอนเด็กๆ ลูกสองคนยังเคยนอนเตียงเดียวกันเลยนะ”
ทั้งสองอึ้งไปทั้งคู่
คุณนายโจวกระแอม เมื่อเห็นลูกชายคิ้วขมวดไม่พอใจก็รีบช่วยแก้สถานการณ์ “เรื่องตอนเด็กอย่าไปพูดถึงเลย ตอนนั้นเขาทั้งคู่ยังจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ จริงสิ เซี่ยนเซี่ยน ได้ยินว่าหนูก็สอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานใช่มั้ยจ๊ะ”
ติงเซี่ยนยังไม่ทันได้สติกลับมา จู่ๆ พอโดนเรียกชื่อก็เอ่ยปากออกมาโดยไม่รู้ตัว “หกร้อยแปดสิบห้าคะแนนค่ะ”
ประโยคนี้กลายเป็นคำติดปากเธอไปแล้ว หลังจากสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษาได้ เยี่ยหวั่นเสียนก็เที่ยวอวดไปทั่วว่าเธอสอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซาน ทำเอาเวลาเธอออกไปข้างนอก พอเจอผู้คนก็จะถูกถามว่าสอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานเหรอ สอบได้กี่คะแนน
ดังนั้นหกร้อยแปดสิบห้าคะแนนจึงกลายเป็นคำติดปากเธอเพราะเหตุนี้
ก่อนหน้านี้ทั้งสองบ้านเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว คือตอนที่ติงเซี่ยนกับโจวซือเยวี่ยยังเล็กอยู่ คุณนายโจวก็ชอบติงเซี่ยนมาก เพราะเธอน่ารัก เชื่อฟัง และตั้งใจเรียน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าหกร้อยแปดสิบห้าคะแนนของเธอนั้นผิดปกติอะไร
แต่สำหรับพวกเด็กเรียนแย่บนโต๊ะอาหารนี้ คนอื่นยังไม่มีใครถามว่าเธอสอบได้กี่คะแนน เธอก็รีบบอกคะแนนตัวเองเสียแล้ว ถ้าไม่ใช่อวดจะเรียกว่าอะไร จะต่างอะไรกับพวกที่พูดว่า ‘ว้า ครั้งนี้ฉันสอบได้ไม่ดี สอบได้แค่เก้าสิบเก้าคะแนนเอง’
ตั้งแต่โบราณมาพวกเรียนแย่กับพวกเรียนดีก็เอามาเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว
หกสิบคะแนนของนักเรียนเรียนแย่จะไปเหมือนหกสิบคะแนนของนักเรียนเรียนดีได้อย่างไร
แน่นอนว่าคุณชายน้อยบางคนมีรังสีข่มคนอื่นตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะสอบได้คะแนนมากกว่าเขา แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาต่างหากที่เป็นหนึ่งในโลกหล้า ติงเซี่ยนในเวลานั้นก็โดนข่มด้วยรังสีแห่งความสูงศักดิ์ของเขาเช่นกัน
“เซี่ยนเซี่ยนของพวกเราก่อนสอบอ่านหนังสือจนถึงตีสอง บอกยังไงก็ไม่ยอมฟัง ชอบเรียนเป็นพิเศษ” ทั้งที่รู้ว่าคะแนนของโจวซือเยวี่ยไม่สูงเท่าติงเซี่ยน เยี่ยหวั่นเสียนก็ยังจงใจถาม “ซือเยวี่ย เธอล่ะ สอบได้กี่คะแนนจ๊ะ”
“หกร้อยเจ็ดสิบครับ” โจวซือเยวี่ยตอบอย่างสงบนิ่ง
ติงเซี่ยนคำนวณโดยไม่รู้ตัวทันทีว่าโจวซือเยวี่ยอยู่อันดับที่เท่าไรของเมือง
เยี่ยหวั่นเสียนกล่าวอย่างแปลกใจ “ก็คาบเส้นพอดีน่ะสิ”
คุณนายโจวยิ้มเขินๆ อยากจะอธิบาย แต่กลับถูกเจี่ยงเฉินพูดแทรก “อาเยวี่ยมีพรสวรรค์ แค่สอบไปงั้นๆ ก็ผ่าน ก่อนสอบยังมาเล่นเกมกับพวกเราอยู่เลยครับ”
เด็กสาววัยแรกแย้มไวต่อความรู้สึกมาก แน่นอนว่าติงเซี่ยนฟังความนัยในคำพูดนี้ออกทันที เหมือนเจี่ยงเฉินกำลังพูดว่า ‘คุณดูสิ ลูกสาวคุณอ่านหนังสือถึงตีสองก่อนสอบก็สอบได้มากกว่าชาวบ้านแค่สิบห้าคะแนนเท่านั้นเอง’
จากนั้นเยี่ยหวั่นเสียนก็ย้ายหัวข้อสนทนามาที่เจี่ยงเฉินต่อทันที “แล้วเธอล่ะจ๊ะ สอบได้กี่คะแนน”
เจี่ยงเฉินยักไหล่ไม่แคร์
“คะแนนผ่านก็โอเคแล้วล่ะครับ” บวกกับสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดของคุณชายโจว ประโยคนี้ฟังแล้วแทบไปต่อไม่ถูก ทั้งยังน่าเก็บไปคิดอีกด้วย
เยี่ยหวั่นเสียนอยากจะพูดต่อ แค่คะแนนผ่านได้อย่างไร แน่นอนว่ายิ่งคะแนนเยอะก็ยิ่งดี ขาดไปคะแนนเดียวต้องจ่ายเงินตั้งเท่าไร เด็กๆ เมืองนี้รวยแล้วเอาแต่ใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ
คุณนายโจวอธิบาย “พวกเขาน่ะเป็นเด็กที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เป็นนักเรียนมัธยมเยี่ยนซานรุ่นสุดท้ายที่พอเรียนจบ ม.ต้น ที่นั่นแล้วก็สามารถขึ้นชั้น ม.ปลาย ได้เลย ดังนั้นสอบกี่คะแนนก็ได้เข้าเรียน”
เยี่ยหวั่นเสียนยิ้มอย่างอารมณ์ดีและภาคภูมิใจ ในที่สุดติงเซี่ยนก็ทำให้เธอได้หน้า
ซ่งอี๋จิ่นที่เงียบอยู่นานก็ถามติงเซี่ยนขึ้นมา “พี่ติงเซี่ยน พี่ได้ไปเรียนพิเศษช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนมั้ย”
“ไม่ได้ไปจ้ะ” ติงเซี่ยนส่ายหน้า
เจี่ยงเฉินตกใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “ฮึ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ช้าไปหน่อยแล้ว พวกซือเยวี่ยเขาเรียนวิชาครึ่งเทอมแรกของ ม.สี่ จบแล้วนะ”
“ยังไม่มีการแจกหนังสือเรียนเลยไม่ใช่เหรอ”
เจี่ยงเฉินอธิบาย “อ้อ ก็ยืมจากรุ่นพี่ปีก่อนสิ เออ ใช่สิ เธอน่าจะเป็นนักเรียนคนแรกที่มาจากเหยียนผิง น่าจะไม่มีคนรู้จักให้ยืม”
เธอเป็นนักเรียนคนที่สองที่มาจากเหยียนผิงต่างหาก แต่นัยการเสียดสีประชดประชันในคำพูดนั้นชัดเจนเสียเหลือเกิน ติงเซี่ยนจึงขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วย
ติงเซี่ยนมองไปที่โจวซือเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ เขากำลังหมกมุ่นกับการแกะกุ้งโดยไม่สนใจบทสนทนาใดๆ บนโต๊ะอาหารแม้แต่น้อย
คุณชายน้อยก็คือคุณชายน้อย ดูเหมือนว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามช่างยากนักที่จะทำให้เขาสนใจได้
เยี่ยหวั่นเสียนรีบพูดต่อ “ติงเซี่ยนไม่ต้องเรียนพิเศษหรอกจ้ะ เธอฉลาดมาก เรียนแป๊บเดียวก็รู้เรื่อง ไม่ต้องให้พวกเราคอยเป็นห่วง แล้วก็ยังเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น”
คุณลุงโจวพยักหน้าเห็นด้วย “ติงเซี่ยนน่ะ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ในอนาคตต้องได้ดีแน่ๆ”
“ใช่ค่ะ ไม่เคยทำให้ฉันต้องกังวลเลย ซือเยวี่ยจ๊ะ ต่อไปถ้าเธอมีปัญหาด้านการเรียนอะไรก็มาคุยกับติงเซี่ยนได้นะจ๊ะ ติงเซี่ยนรู้เรื่องหมดแหละจ้ะ”
โจวซือเยวี่ยแกะกุ้งตัวสุดท้ายเข้าปากและตอบพลางจะยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ได้ครับ”
“นั่นแหละดีเลย” เยี่ยหวั่นเสียนยิ้มจนตีนกาลากยาวไปถึงหลังศีรษะ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีก “พวกลูกๆ ก็สนิทสนมเรียนรู้กันไว้ อย่างน้อยคุณปู่ของพวกลูกก็เคยหมั้นหมายเธอทั้งสองคนไว้ตั้งแต่เด็ก”
พวกวัยรุ่นบนโต๊ะอาหารตะลึงงันกันทั้งโต๊ะ
การหมั้นหมายตั้งแต่เด็กไม่ค่อยเห็นกันแล้วในยุคสมัยของพวกเขา แต่กลับมาเกิดขึ้นกับคุณชายน้อย ในวินาทีนั้นแม้แต่ซ่งอี๋จิ่นที่กำลังคุยกับติงเซี่ยนอยู่ก็ถึงกับหยุดพูดแล้วอ้าปากค้าง
ติงเซี่ยนมองไปโดยไม่รู้ตัว เผอิญเห็นโจวซือเยวี่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมุมปากด้านหนึ่งยกขึ้น สีหน้าไร้ความรู้สึก
คุณลุงโจวกระแอมและส่งสายตาให้คุณนายโจว “เรื่องนี้มีอยู่จริง แต่พูดขึ้นมาตอนนี้ออกจะเร็วไปหน่อยมั้ย ยังไงพวกเขาก็เพิ่งจะขึ้น ม.ปลาย”
“ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรนะคะ…” เยี่ยหวั่นเสียนพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็โดนตัดบท คนบนโต๊ะอาหารหันมองไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
“ถอนหมั้นต้องทำยังไงบ้างครับ”
คำพูดนี้สำหรับเจี่ยงเฉินแล้ว มันคือสไตล์ของโจวซือเยวี่ยไม่ผิดเพี้ยน เขาเป็นคนหัวสูง การที่เขาจะไม่ถูกใจผู้หญิงแบบติงเซี่ยนที่ดูแล้วธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้เขายังเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา แต่ไหนแต่ไรไม่เคยอ้อมค้อม ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ขี้เกียจจะคุย บวกกับอยู่ในวัยที่ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่เด็กโจวซือเยวี่ยไม่ค่อยได้เจอผู้หญิง ไม่รู้วิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิง บรรดาเพื่อนนักเรียนหญิงที่อยากจะเข้ามาจีบเขา โดยรวมแล้วคุยกันได้ไม่เกินสามประโยค เขาก็ทำจนพวกเธอไม่รู้จะคุยต่ออย่างไร พูดประโยคเดียวก็คือเขาเป็นคนตรงมาก
เวลาที่โจวซือเยวี่ยยิ้ม เขาดูอ่อนโยนไปหมด แต่เวลาเขาเม้มปากสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาก็ดูดุมากทีเดียว
เยี่ยหวั่นเสียนยิ้มค้างอยู่ที่มุมปาก ส่วนติงเซี่ยนก้มหน้า หยิบตะเกียบยัดข้าวเข้าปากคำโตราวกับไม่รู้เรื่องใดๆ
อาหารมื้อนี้กินกันอย่างกระอักกระอ่วน เจี่ยงเฉินกินหมดด้วยความเร็วแสงแล้วรีบวิ่งไปเล่นเกมต่อที่ชั้นบน โจวซือเยวี่ยก็อยากไป แต่โดนคุณนายโจวรั้งไว้
คุณชายน้อยนั่งไขว่ห้างบนโซฟา ขมวดคิ้วอย่างเริ่มจะรำคาญ เพราะว่าติงเซี่ยนยังกินข้าวไม่เสร็จ เยี่ยหวั่นเสียนเห็นดังนั้นจึงสะกิดลูกสาวเป็นการบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว และให้รีบไปคุยกับโจวซือเยวี่ย
ติงเซี่ยนยัดข้าวใส่ปากคำใหญ่ “ไม่รู้จะคุยอะไร”
เยี่ยหวั่นเสียนกัดฟัน “ถ้าไม่เชื่อ แม่ตีนะ”
เมื่อโดนแม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับ ติงเซี่ยนก็รีบกินข้าวในชามจนหมดเกลี้ยงอย่างไม่เต็มใจ และโดนผลักไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
โจวซือเยวี่ยนั่งจมอยู่ในโซฟา มือหนึ่งพาดพนักไว้ อีกมือวางบนขาตามสบาย เขายื่นรีโมตให้เธอพลางเลิกคิ้ว ไม่พูดไม่จาสักคำ
ติงเซี่ยนนั่งอย่างเรียบร้อย หันหลังให้เขา เลือกช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย “นายไปเล่นเกมกับพวกเขาเถอะ ฉันดูโทรทัศน์คนเดียวได้”
โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองเธอและลองหยั่งเชิงดู “งั้นฉันไปนะ”
ติงเซี่ยนพยักหน้า รีบไปสระผมที่ยุ่งเหมือนรังนกของนายเถอะ
“โอเค” โจวซือเยวี่ยลุกขึ้นไปจริงๆ
โทรทัศน์บ้านตระกูลโจวใหญ่กว่าของบ้านเธอมาก ปกติแล้วติงเซี่ยนไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูโทรทัศน์ เวลาอยู่บ้านถ้าไม่ใช่น้องชายยึดไว้ก็โดนพ่อยึด
เธอดูอย่างสนุกสนานตามสบายอยู่คนเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่งติงจวิ้นชงโวยวายจะเข้าห้องน้ำ เยี่ยหวั่นเสียนบอกให้เธอพาเขาไปเข้า ติงเซี่ยนจึงพาน้องชายไปส่งและยืนพิงผนังห้องน้ำรออยู่ด้านนอก
มีเสียงดังออกมาจากประตูข้างๆ ดึงดูดความสนใจของติงเซี่ยนทันที จากนั้นเธอก็ได้ยินคนดัดเสียงพูดเลียนแบบเธอ
“ฉันสอบได้หกร้อยแปดสิบห้าคะแนน!”
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะ
มีอีกคนเลียนเสียงของเยี่ยหวั่นเสียนที่พูดบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ “ติงเซี่ยนน่ะเป็นเด็กดี ไม่ต้องให้พวกเราคอยเป็นห่วง ไม่เคยแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ติงเซี่ยนน่ะรู้เรื่องหมดทุกอย่าง!”
“พวกนายดูแม่ของยายติงเซี่ยนสิ ยังอยากจะมาเกี่ยวดองกับซือเยวี่ยอีก ยุคสมัยนี้ใครเขาจับหมั้นหมายตั้งแต่เด็กกันอีกล่ะ!”
“พวกนายว่าหัวปูดๆ ของเธอเหมือนเขางอกมั้ย…”
“ฉันว่าเหมือนสัตว์ประหลาดเชร็ค”
“เธอมองซือเยวี่ยแล้วก็ยังเขินๆ อีกด้วยนะ!”
กระดูกสันหลังของติงเซี่ยนที่พิงผนังอยู่แข็งทื่อราวกับมีคนล็อกคอเธอไว้ สมองเริ่มขาดออกซิเจน ในหัวว่างเปล่าไปหมดจนเกิดเสียงวิ้ง
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ฉันว่ายายสัตว์ประหลาดนั่นก็น่าสงสารอยู่นะ สายตาที่แม่เธอมองเธอกับมองน้องชายต่างกันลิบลับเลย”
การเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ลำเอียงไม่ใช่ความผิดของเธอ ดังนั้นติงเซี่ยนจึงพยายามปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเองอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด แม้ว่าแม่จะไม่ดีกับเธอเท่าที่ดีกับน้อง แต่ต่อหน้าคนภายนอก เธอจะไม่พูดถึงแม่ในทางที่ไม่ดีเด็ดขาด
บาดแผลของวัยรุ่นโดนฉีกจนเละทันที เธอกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้นไม่ไหว ปีศาจร้ายในใจอยากจะกระโดดออกมาอาละวาด!
“ซือเยวี่ย แม่ของเธอดูไม่ใช่คนดี นายห่างยายสัตว์ประหลาดนั่นไว้หน่อย อย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวนะ”
นี่เป็นเสียงของเจี่ยงเฉิน
“อือ” โจวซือเยวี่ยซึ่งกำลังถือคันบังคับเกมฆ่าฟันส่งเสียงตอบรับโดยที่ใจยังคงจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แต่ในสมองกลับมีเงาร่างเล็กๆ ของติงเซี่ยนที่นั่งบนโซฟาโผล่ขึ้นมา
วินาทีถัดมาตัวละครในคอมพิวเตอร์ก็ล้มลง เขาตายแล้ว
ส่วนนายหัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อึ้งไปที่จู่ๆ ตัวเองชนะ
โจวซือเยวี่ยโยนคันบังคับเกมทิ้ง ขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิดแล้วล้มตัวลงบนโซฟา เอาหมอนมาปิดหน้า แค่ดูสีหน้าก็เห็นได้ว่าในตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี
เจี่ยงเฉินจับแขนเขาแล้วโน้มตัวเข้ามา “ซือเยวี่ย นายบอกซิ จู่ๆ ก็มีคู่หมั้น รู้สึกยังไง”
คนในห้องต่างอยากฟังเขาประเมิน ‘คู่หมั้น’ โดยไม่รู้ตัว
เดิมทีติงเซี่ยนทำเขาสมาธิหลุดจนเล่นเกมแพ้ก็ทำให้อารมณ์เสียมากพอแล้ว แม้จะพูดว่าเป็นเพราะตัวเขาเอง แต่เธอก็มีส่วนต้องรับผิดชอบอยู่ดี ยิ่งเจี่ยงเฉินซักไซ้อย่างไม่ลดละก็ยิ่งทำให้เขารำคาญ จึงหยิบหมอนกดไปที่ศีรษะเพื่อนทีหนึ่ง
“นายนี่น่ารำคาญจริงๆ ถ้านายชอบก็ไปมีเองสิไป อย่ามากวนฉัน” พูดจบก็เอาเท้าเตะเจี่ยงเฉิน “ลุกขึ้น นายนั่งทับโมเดลฉันแล้ว”
ใช่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่คุณชายโจวสนใจมีแต่โมเดลประเภทต่างๆ
มีแต่ซ่งอี๋จิ่นซึ่งอยู่ข้างๆ ที่ตั้งใจถามอย่างจริงจังเป็นพิเศษ “ฉันรู้สึกว่าพี่ติงเซี่ยนไม่ได้ถึงขั้นที่พวกพี่พูดกัน…ทำไมพวกพี่ถึงไม่ชอบเธอ…”
“น้องสาว พวกเราแค่ไม่ชอบท่าทางที่เธออวดคะแนนเท่านั้นแหละ ท่าทางเธอบนโต๊ะอาหารทำให้ฉันนึกถึงแฟนเก่าของฉัน เหมือนกำลังเสแสร้ง” เจี่ยงเฉินกัดฟันเน้นย้ำสองคำสุดท้าย
“เธอน่าจะไม่มีเจตนาอื่นมั้ง”
“แน่ล่ะ เธอคงไม่มีเจตนาอะไร แค่ขี้อวดเท่านั้นแหละ เป็นโรคของเด็กเรียนเก่ง ฉันสอบได้หกร้อยเก้าสิบคะแนน ฉันทำได้ไม่ดี…ฮือๆๆๆๆ…ครั้งนี้สอบได้แค่ที่สองของห้อง ฮือๆๆ…”
เจี่ยงเฉินกำลังเลียนแบบอย่างออกรสออกชาติ ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเรียกดังมาจากข้างนอกประตู
“พี่!!!”
คนในห้องหยุดพูดทันทีแล้วมองหน้ากัน แม้แต่โจวซือเยวี่ยที่โยนหมอนเล่นอย่างเบื่อหน่ายก็ชะงักไปเช่นกัน
เจี่ยงเฉินพูดเบาๆ “ซวยแล้ว พี่น้องคู่นั้นอยู่ข้างนอกเหรอ”
ซ่งอี๋จิ่นส่งสายตาบอกว่าตัวใครตัวมันให้เจี่ยงเฉิน
หลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังสองสามครั้ง โจวซือเยวี่ยที่นอนบนโซฟาเอาขาเตะเจี่ยงเฉินให้ไปเปิดประตู
เจี่ยงเฉินไม่กล้าไป กลัวจะเห็นหน้าดุร้ายของติงเซี่ยน แต่สีหน้าโจวซือเยวี่ยบอกว่า “ถ้านายไม่ไปเปิด ฉันจะโยนนายออกไปข้างนอก” เขาจึงต้องฝืนลุกไปเปิดเอง
ประตูเปิดออกดังแกร๊ก…เจี่ยงเฉินทำหน้ายิ้มแย้ม “ยายสัตว์ประ…คนสวย มาหาซือเยวี่ยเหรอ”
คนภายในห้องนั่งอยู่ด้วยกันสองสามคน บางคนเล่นเกม โจวซือเยวี่ยกอดหมอนนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเหมือนพี่ใหญ่ ซ่งอี๋จิ่นนั่งอยู่ข้างเขา
ติงเซี่ยนมองผ่านเจี่ยงเฉิน เพ่งตรงไปที่โจวซือเยวี่ย “ห้องน้ำกระดาษหมด”
โจวซือเยวี่ยลูบจมูกและยืนขึ้น เดินผ่านระเบียงแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องตัวเอง เขาชอบเอามือลูบคอเวลาเดิน สักพักก็ถือกระดาษทิชชูออกมา พิงกรอบประตูและส่งกระดาษให้เธอ
ติงเซี่ยนรับมาและขอบคุณอย่างสุภาพ “รบกวนนายเลย” หลังจากนั้นเธอก็หันหลังเดินจากไป
โจวซือเยวี่ยมองเงาหลังของเธอ จู่ๆ ก็ยิ้ม สายตาเบนไปด้านหนึ่งพลางพูดแทงใจดำอย่างตรงไปตรงมา
“อย่าแกล้งเลย เธอได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย”
ติงเซี่ยนชะงักและหันหน้ามาอย่างสงบนิ่ง
คุณชายน้อยเอามือล้วงกระเป๋ายืนพิงกรอบประตู มองเธอกึ่งยิ้ม แสงที่ลอดจากช่องหน้าต่างสาดลงมาบนตัวเขา ทำให้เห็นความหยิ่งผยองในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความกล้ามาจากไหน ตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ “ถ้าฉันยอมถอนหมั้น นายคงจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยใช่มั้ย”
โจวซือเยวี่ยประหลาดใจ หลังจากนั้นนานพอสมควรเขาก็พยักหน้า
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเด็กสาวตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีชัดถ้อยชัดคำ “อ้อ งั้นฉันไม่ถอน”
สัญลักษณ์ของช่วงต่อต้านข้อที่สองคือทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่อีกฝ่ายต้องการ
เดิมทีอยากจะขอโทษแทนเจี่ยงเฉิน แต่โจวซือเยวี่ยกลับโดนเธอยั่วยุจนโมโห เขากัดริมฝีปากล่าง พยักหน้าและพูดขึ้นมา
“ได้ ช่างเธอ”
เมื่อพูดจบก็ปิดประตูดังปัง เป็นอันว่าจบแบบไม่สวย
จากนั้นชีวิตมัธยมปลายของติงเซี่ยนก็เริ่มขึ้นพร้อมด้วยสัญญาหมั้นหมายเช่นนี้
วันที่ 2 กันยายน โรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานเปิดภาคการศึกษาอย่างเป็นทางการ มีการแบ่งห้อง รับหนังสือและสื่อการเรียนการสอน ปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ ทั้งหมดล้วนแต่ดำเนินการไปอย่างมีระเบียบแบบแผน
ติงเซี่ยนถูกจัดให้อยู่ห้องเรียนดี วันแรกต้องไปรายงานตัวในคาบทบทวนบทเรียนตอนเย็น
ตอนจะออกจากบ้าน ยังถูกเจ้าปีศาจน้อยที่บ้านรบเร้าให้ช่วยเขียนเรียงความครึ่งหนึ่ง ทำให้เธอไปสาย ตั้งแต่หน้าประตูรั้วโรงเรียนไปจนถึงอาคารเรียนว่างเปล่า ไม่เห็นเงาใครสักคน
พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ช่วงโพล้เพล้กำลังมาถึง แสงบนท้องฟ้ายามเย็นเผยออกมาจากชั้นเมฆ สว่างสดใสเหมือนสำลีเจ็ดสีลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือโรงเรียน แสงเจ็ดสีที่สาดส่องลงมางดงามเป็นพิเศษราวเปิดปล่องลำแสงกลางท้องฟ้า เหมือนเป็นสัญลักษณ์ถึงเส้นทางที่เธอต้องบากบั่นต่อสู้ในกรงขังระหว่างช่วงชีวิตมัธยมปลายในอนาคตสามปีต่อจากนี้
หลังจากติงเซี่ยนหาห้องมัธยมศึกษาปีที่สี่ของตัวเองเจอ เธอก็ยืดตัวชะเง้อเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังเพื่อแอบดูสถานการณ์ในห้องเรียน ปรากฏว่าถูกครูประจำชั้นที่กำลังปฐมนิเทศปรับทัศนคตินักเรียนอย่างฮึกเหิมบนแท่นบรรยายกวาดสายตามาเห็นพอดีและเรียกให้เธอเข้ามา
“นักเรียนหญิงคนนั้น”
ติงเซี่ยนมีข้อเสียอย่างหนึ่ง แค่ครูเรียกเธอต่อหน้าเพื่อนนักเรียนทั้งห้อง เธอก็จะหน้าแดง บวกกับผิวเธอบางมาก ทั้งใบหน้าเลยดูแดงก่ำไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ถูกครูจับได้ว่ามาสาย ทำให้หน้าแดงไปจนถึงลำคอเหมือนแอปเปิ้ลที่ห้อยโตงเตงอยู่ตรงนั้น
ครูประจำชั้นชื่อหลิวเจียง อายุสี่สิบต้นๆ รูปร่างอ้วนเล็กน้อย บนศีรษะกลมๆ มีผมไม่กี่เส้น ใส่แว่นตากรอบหนา ชอบเอาชายเสื้อยัดในกางเกง คาดเข็มขัดยี่ห้อเพลย์บอยรัดพุงกลมๆ ของเขาไว้
คนเราดูกันภายนอกไม่ได้ ครูหลิวเจียงสอนวิชาเคมีที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้มาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว และสอนเฉพาะห้องเรียนดีเท่านั้น เป็นครูขาโหดที่โด่งดัง ดุ และเข้มงวด ไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าล้อเล่นกับเขา โดนตั้งฉายาว่า ‘เจียงหน้าเหล็ก’
ครูหลิวเจียงตั้งกฎกับนักเรียนเพียงข้อเดียว นั่นก็คือคุยกันด้วยคะแนนเท่านั้น
คะแนนดีครูก็จะฟังเธอ ถ้าคะแนนไม่ดีก็ไม่ต้องพูดเหลวไหล ให้ตั้งใจฟังครูอย่างเดียว
ได้ยินว่าปีก่อนหน้านี้มีนักเรียนคนหนึ่งลาออกเพราะเขา
ติงเซี่ยนใจฝ่อ กำลังลังเลว่าจะรายงานตัวก่อนเลยดีหรือไม่ แต่ก็ได้ยินเสียงที่หนักแน่นและชัดเจนจากแท่นบรรยายลอยมา
“ชะเง้อมองดูสัตว์ในสวนสัตว์เหรอ รีบเข้ามาเร็ว”
เพิ่งเปิดภาคเรียน ครูหลิวเจียงพูดจาดีเกินคาด ติงเซี่ยนรีบเข้ามานั่งที่โต๊ะติดประตูแถวหลังสุด ใจที่เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ
มีเพื่อนนักเรียนรู้สึกว่าครูหลิวเจียงตลก จึงร่วมวงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา บรรยากาศอบอุ่นที่สุด
ครูหลิวเจียงกำลังสอนเรื่องทัศนคติและวิธีคิดให้บรรดานักเรียนใหม่กลุ่มนี้อย่างเมามันบนแท่นบรรยาย ขณะที่ติงเซี่ยนเอามือเท้าคางเหม่อลอย
เธอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครูหลิวเจียงมาจากสวี่เคอ
สวี่เคอเป็นเพื่อนบ้านที่เมืองเหยียนผิงตอนเธอยังเด็ก และเป็นเด็กคนแรกของเมืองเหยียนผิงที่สอบติดเข้ามาเรียนในโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซาน
ตอนที่ติงเซี่ยนได้รับโทรศัพท์จากครูประจำชั้นที่โทรมาแจ้งว่าเธอถูกจัดอยู่ห้องไหน สวี่เคอก็อยู่ที่บ้านเธอพอดี
ตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ ครูหลิวเจียงก็เคยสอนสวี่เคอ พอเขาขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าก็เปลี่ยนไปเรียนสายศิลป์ จนถึงทุกวันนี้ครูหลิวเจียงก็ยังรู้สึกดูแคลนเขาอยู่หน่อยๆ เพราะตอนนั้นสวี่เคอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานด้วยคะแนนเกือบเต็ม การสอบเล็กใหญ่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่เขาก็สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนมาตลอด โดยเฉพาะวิชาเคมี พอพูดถึงสวี่เคอ ครูหลิวเจียงก็ทั้งรักทั้งแค้น
แต่ติงเซี่ยนไม่ได้เก่งกาจขนาดสวี่เคอ คะแนนของเธอแค่เพียงผ่านเกณฑ์แบ่งนักเรียนเรียนดีเท่านั้น เดาว่าน่าจะอยู่ในอันดับท้ายๆ
ตั้งแต่เล็กจนโตสวี่เคอก็เป็น ‘ลูกบ้านอื่น’ มาตลอด พูดง่ายๆ ก็คือพ่อแม่ทุกคนในเมืองต่างอยากมีลูกแบบสวี่เคอทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาโดดเด่น นิสัยอ่อนโยน เรียนหนังสือเก่ง ทุกครั้งที่ติงเซี่ยนออกไปซื้อของกับแม่ก็มักจะได้ยินเหล่าคุณป้าข้างนอกพูดถึงเขาไม่หยุด
“คราวนี้สวี่เคอสอบได้ที่หนึ่งของเมืองอีกแล้ว”
“สวี่เคอสอบติดโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซาน!”
“คราวนี้บ้านตระกูลสวี่ได้หน้าใหญ่เลยล่ะ ใครไม่รู้บ้างว่าเด็กๆ ที่เหยียนผิงของเราขึ้นชื่อเรื่องเรียนหนังสือไม่เก่ง ไปเถอะ พวกเราไปหาคุณย่าของสวี่เคอกัน ให้สวี่เคอมาช่วยติวหนังสือให้ลูกพวกเราตอนสุดสัปดาห์”
พ่อแม่ของสวี่เคอเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่กับปู่และย่า
น่าจะเพราะผู้เป็นย่านิสัยอ่อนโยน สวี่เคอจึงมีนิสัยเหมือนย่า พูดจาอะไรทำอะไรก็จะอ่อนโยนเรียบร้อย ไม่เคยทำอะไรให้ใครไม่พอใจทั้งนั้น แถมยังช่วยสอนการบ้านกับสอนพิเศษให้เด็กๆ ในเมืองอีกด้วย
มีแต่ติงเซี่ยนที่ไม่ไปเรียนกับเขา
สวี่เคอรู้ดีว่าผู้หญิงอย่างติงเซี่ยนเป็นคนแข็ง การเรียนและกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตถูกแม่ควบคุมอย่างเข้มงวด ส่วนเขานั้นทั้งต่อหน้าและลับหลังมักได้รับการสนับสนุนว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องทำตามพ่อแม่มากนัก เรื่องการเรียนเป็นเรื่องของตัวเอง ความเคยชินที่ทำมาสิบกว่าปีของติงเซี่ยนจู่ๆ จะแก้ในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร
ยกตัวอย่างเช่นการจดบันทึกช่วยจำ สวี่เคอพยายามแนะนำเธอหลายครั้งว่าอย่าเขียนทุกอย่าง ให้เลือกเขียนเฉพาะที่สำคัญ
แต่ติงเซี่ยนแก้ไม่ได้ เพราะแม่ของเธอตรวจสมุดจดบันทึกของเธอทุกวัน ครูพูดอะไรในวิชาเรียนต้องจดทุกตัวห้ามขาด ตอนแรกเริ่มเธอก็ทั้งร้องทั้งโวยวาย ไม่ยอมจด แต่หลังจากถูกแม่ลงไม้ลงมืออย่างหนักไปสองสามครั้ง เธอก็ยอมจด จดไปสามสี่ครั้งก็กลับกลายเป็นความเคยชิน
ติงเซี่ยนก้มหน้ามองสมุดบันทึกของตัวเองอย่างเหม่อลอย ข้างหูมีเสียงตุ้บดังขึ้น ที่นั่งข้างๆ มีกระเป๋านักเรียนสีดำทิ้งลงมา สายตาเธอเหลือบเห็นเงาร่างสูงใหญ่นั่งลง
ยังมีคนมาสายกว่าเธออีก แถมยังดูมั่นใจไม่รู้ร้อนรู้หนาวขนาดนี้ ระวังจะโดนครูหลิวจับได้ แต่ปรากฏว่าครูหลิวเจียงเหลือบมองมาทางนี้เพียงแวบเดียวก็ผ่านไป แล้วพูดเรื่องของตัวเองต่อ แถมยังมีรอยยิ้มที่มุมปากอีกด้วย
อารมณ์ดีบ้าอะไร!
ติงเซี่ยนกำลังอยากจะหันไปดูว่าเป็นเทพมาจากไหนกัน
ทันใดนั้นคนที่นั่งโต๊ะข้างหน้าก็หันมา เป็นผู้ชายผิวขาวมาก หัวโต หวีผมเรียบร้อย ดูแล้วคุ้นๆ เมื่อเขาเห็นติงเซี่ยนก็ชะงักไป
นายหัวโตที่เคยเจอที่บ้านตระกูลโจววันนั้น
ติงเซี่ยนมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เธอได้ยินนายหัวโตคนนั้นพูดขึ้นตามที่คิดจริงๆ…
“ซือเยวี่ย นายคงไม่ได้นอนตั้งแต่บ่ายถึงตอนนี้หรอกใช่มั้ย”
คนที่นั่งข้างๆ ส่งเสียงขึ้นจมูกง่ายๆ คำเดียว “อือ”
“นี่ ฉันยังโทรหาคุณน้าโจวอยู่เลยว่าอย่าลืมปลุกนายด้วย”
โจวซือเยวี่ยไม่ได้พูดอะไร
“แม่นายลืมเหรอ”
เขาตอบกลับสั้นๆ “อือ” เสียงขึ้นจมูกเหมือนยังง่วงอยู่
“คุณน้าโจวนี่เจ๋งจริงๆ” นายหัวโตยกนิ้วโป้งแล้วหันกลับไป
หลี่จิ่นฮุ่ยขี้ลืมมาก เรื่องที่จำได้เพียงเรื่องเดียวก็คือไปเล่นไพ่กับคุณนายบ้านข้างๆ นอกจากเล่นไพ่แล้ว เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ หลักๆ เป็นเพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน ความจำจึงไม่เหมือนเดิม บวกกับลูกชายคนนี้ไม่เคยทำให้เธอต้องเป็นห่วง ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องของเขา
หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้โจวซือเยวี่ยกำลังเตรียมเข้าร่วมแข่งขันหุ่นยนต์ในเดือนกันยายน อดหลับอดนอนทุกคืน ก็คงไม่ต้องมานอนตอนบ่ายชดเชยแบบนี้
เขาเกาคิ้ว สายตาชำเลืองมองมาที่เพื่อนร่วมโต๊ะก็พบติงเซี่ยนกำลังก้มศีรษะ คางเกยบนพื้นโต๊ะ มือขีดๆ เขียนๆ บนสมุด เธอรวบผมม้าแบบที่ทำเป็นประจำ ลำคอเรียวยาวขาวสะอาดเหมือนกับรากบัวอ่อน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขารู้สึกว่าศีรษะด้านหลังเธอมีคำว่า ‘โง่’ แปะไว้อยู่
“เฮ้”
เฮ้อะไร ฉันไม่มีชื่อหรือไง ไม่ได้สนิทกับนายสักหน่อย แค่มานั่งติดกันชั่วคราวเท่านั้น จะมาทำตีสนิทอะไร
ติงเซี่ยนทำเป็นหูตึง หันหน้าไปอีกทาง ทำเป็นว่าฉันไม่สนใจนาย
คุณชายโจวหัวเราะเย้ยตัวเองและส่ายศีรษะ
ครูหลิวเจียงยิ่งพูดก็ยิ่งติดลม ออกรสออกชาติเหมือนกาน้ำร้อนเดือด น้ำลายกระเด็นกระดอนไปทั่ว
“ธนูยิงแล้วไม่ย้อนกลับ ในเมื่อพวกเธอก้าวเข้ามาในประตูนี้แล้ว มีชีวิตอยู่ก็ถือเป็นคนที่นี่ ‘ตาย’ ก็เป็นวิญญาณที่นี่ ฉันหวังว่าพวกเธอจะทำให้ตัวเอง ’ตาย’ อย่างมีเกียรติ! ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พวกเธอจะต้องเข้มงวดกับตัวเองให้สุด มีกำลังมากแค่ไหนก็ทุ่มไปให้สุด ธนูจะยิงได้ไกลแค่ไหนก็อยู่ที่พวกเธอลงแรงพยายามมากแค่ไหนในช่วงสามปีนี้ แม้จะเหนี่ยวสายธนูตึงจนขาดก็จะผ่อนแรงขี้เกียจไม่ได้เด็ดขาด!”
ติงเซี่ยนฟุบอยู่บนโต๊ะ รู้สึกว่าประโยคนี้ดีมาก เปรียบเทียบได้เหมาะเจาะจริงๆ ครูที่เหยียนผิงไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ จากนั้นเธอก็หยิบปากกาจด ตั้งใจจะแปะไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นกำลังใจและกระตุ้นตัวเอง
ทันใดนั้นโจวซือเยวี่ยซึ่งนั่งมองอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดก็หัวเราะในลำคอ ชำเลืองมองสมุดเธอด้วยท่าทางเยาะเย้ย
“คำสอนให้กำลังใจปลอมๆ พวกนี้ก็จดใส่สมุด ชีวิตเธอมันขาดการศึกษาขนาดนั้นเลยเหรอ”
ติงเซี่ยนเพิ่งเขียนคำว่าธนูเสร็จ พอได้ยินคำเย้ยหยันอย่างเย็นชานี้ก็รีบใช้มือทั้งสองปิดสมุดไว้แน่นและหันหน้าไปทางอื่น
ครูหลิวเจียงพูดจามีเหตุมีผล นักเรียนด้านล่างต่างฟังจนฮึกเหิมไปตามๆ กัน ดวงตาเป็นประกายราวกับเห็นใบตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าตนเอง
ขณะที่สองคนแถวหลังสายตาสบประสานกันกลางอากาศ
คุณชายโจวไม่เหมือนมาเรียนสักนิด เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ หนังสือ ‘คนกับธรรมชาติ’ กางอยู่บนโต๊ะ อ่านอย่างไม่สนโลก คิ้วทั้งสองข้างเลิกขึ้นเล็กน้อย หางตาเหมือนขนของลูกขนไก่ที่ได้รับการเล็ม เหมือนกับใบมีดที่ทั้งบางและคม
ใบหน้าดุเข้มตั้งแต่เกิดหล่อเหลา เขาตัดผมสั้น ทำให้เห็นใบหน้าที่สะอาดสะอ้านและโครงหน้าชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับหัวรังนกที่บ้านเขาในวันนั้น โจวซือเยวี่ยที่แต่งตัวเล็กน้อยดูน่ามองทีเดียว
ติงเซี่ยนมองใบหน้าที่มีเสน่ห์นั้นอย่างเย็นชา และพูดทีละคำอย่างชัดเจน “ฉันชื่อติงเซี่ยน”
โจวซือเยวี่ยก้มหน้าเปิดหนังสือ ‘คนกับธรรมชาติ’ ไม่เหลือบตาขึ้นมามองแม้แต่น้อย เงี่ยหูฟังและตอบ “อือ” ออกมาส่งๆ ไม่รู้ว่าเขาจำเธอได้หรือเปล่า
ติงเซี่ยนพูด “นายไม่ต้องมาทำเป็นตีสนิทกับฉัน” ฉันไม่หลงเสน่ห์นายหรอก
คราวนี้คุณชายน้อยเงยหน้า ใบหน้าบ่งบอกว่าคาดไม่ถึง คิ้วชี้ขึ้น
“ฉัน…ตีสนิทเหรอ”
ติงเซี่ยนพูดอย่างจริงจัง “ใช่ พรุ่งนี้ครูก็จะจับย้ายที่นั่งแล้ว เราทั้งคู่มากสุดก็เป็นแค่เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำค้าง*”
คุณชายน้อยคิ้วแทบจะหลุดออกมา “…เพื่อนร่วมโต๊ะ…น้ำค้าง?”
ติงเซี่ยนพยักหน้า เธอไม่ได้พูดอะไรผิดสักนิด
สุดท้ายครูหลิวเจียงบนแท่นบรรยายก็สรุปปิดการบรรยาย “เอาแบบนี้นะ อีกหนึ่งเดือนจะมีการสอบวัดความรู้ ให้เวลาพวกเธอหนึ่งเดือนรีบไปทบทวนเรื่องที่เคยเรียนมา ส่วนที่นั่งก็นั่งแบบนี้ไปก่อน ไว้ครบหนึ่งเดือนครูจะจัดที่นั่งให้ใหม่ตามคะแนนของพวกเธอ เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน นักเรียนที่อยู่ประจำไปรวมตัวกันที่ห้องทำงานครูนะ นักเรียนไปกลับก็เดินทางกลับบ้านดีๆ เลิกเรียนได้”
เอ่อ คุณครูคะ จะง่ายไปหน่อยมั้ยคะ
สมแล้วที่เป็นครูขาโหดที่โด่งดัง แม้แต่เวลาพูดยังจับเวลาได้พอดีเป๊ะ พอคุณครูพูดจบ เสียงกริ่งเลิกเรียนที่ก้องกังวานก็ดังขึ้นเหมือนเตรียมพร้อมไว้แล้วทันที…
บรรดานักเรียนต่างกรูกันออกจากห้องเรียน เหลือแต่ติงเซี่ยนที่ยังนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม แม้แต่ของก็ลืมเก็บ
นายหัวโตไปขอตารางสอนกับครูหลิวเจียง โจวซือเยวี่ยพิงโต๊ะเรียนรอเพื่อน ความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรทำให้ต้นขาแทบจะเลยพื้นโต๊ะเรียนขึ้นมา สะโพกครึ่งล่างอิงขอบโต๊ะ มือทั้งสองล้วงกระเป๋า สะพายกระเป๋านักเรียนสีดำ ก้มหน้ามองปลายรองเท้าของตนเอง ปอยผมห้อยลงมาปรกหน้า
นายหัวโตกลับมาอย่างรวดเร็ว ‘ไปเถอะ ซือเยวี่ย’
โจวซือเยวี่ยลุกขึ้น กำลังจะก้าวเดิน ทันใดนั้นก็หยุดแล้วตบบ่าติงเซี่ยน พูดล้อเลียนเธอ
“เจอกันพรุ่งนี้นะ เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำค้าง”
ติงเซี่ยนกำลังเก็บกล่องดินสอใส่กระเป๋า เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อึ้งไป เงยหน้าขึ้นทันควัน แต่ก็ไม่เห็นใครแล้ว
เธอทุบกล่องดินสอลงบนโต๊ะเสียงดังปัง ดินสอในนั้นกลิ้งตกออกมา และบังเอิญกลิ้งไปที่เก้าอี้นั่งของโจวซือเยวี่ยพอดี
เหมือนเป็นลางบอกเหตุ
* มหาวิทยาลัยชิงหวา เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน มีอัตราการแข่งขันสอบเข้าสูงมาก โดดเด่นในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม
** คิวคิว หรือ Tencent QQ เป็นโปรแกรมเมสเซนเจอร์สำหรับวินโดวส์ ผลิตโดยบริษัทเทนเซนต์จากประเทศจีน
*** ศิลาวั่งฟู คือหินรูปร่างเหมือนคนยืน ตั้งอยู่บนภูเขาทางเหนือของเขตอู่ชาง มณฑลหูเป่ย
* เหม่ยเหยียน หรือ Beautycam คือแอพพลิเคชั่นแต่งรูป
* สามวันไม่ตี ขึ้นหลังคารื้อกระเบื้อง ใช้เปรียบเปรยถึงเด็กที่ซุกซน ดื้อรั้น มักจะเป็นประโยคที่ผู้ใหญ่ใช้สั่งสอนเด็กที่ไม่เชื่อฟัง
* ดอกไม้สดปักลงบนกองขี้วัว เป็นคำเปรียบเปรยถึงหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ได้สามีหน้าตาน่าเกลียดหรือนิสัยน่ารังเกียจ
[2] ลักยิ้มของวีนัส คือรอยบุ๋มสองรอยเล็กๆ ที่อยู่บริเวณด้านหลังตรงข้อต่อกระดูกเชิงกรานแถวบั้นเอว คล้ายรอยลักยิ้ม
* เกล็ดน้ำค้างแข็งทับถมบนกองหิมะ หมายถึงโชคร้ายซ้ำๆ หรือหายนะที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
** เสี่ยวป้าหวัง ชื่อบริษัทเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทการศึกษา ออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเกมและการศึกษาสำหรับเด็กๆ
* แมรี่ ซู เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มความรู้สึกหรือจินตนาการของผู้เขียนและผู้อ่าน โดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและความเป็นจริงหลายประการ และในวงการนักเขียนใช้ศัพท์นี้เพื่อแทนความหมายว่าการเขียนเรื่องที่เกินจริง ไม่อิงหลักความเป็นจริง
** สายฟ้าประดิษฐ์ เรียกอีกอย่างว่า ‘แมรี่ ซูเทียม’ หมายถึงไม่ใช่แมรี่ ซูตัวจริง ใช้พูดถึงคนที่อยากจะเป็นจุดสนใจ แต่กลับไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำได้
* เพื่อนร่วมโต๊ะน้ำค้าง ความหมายเปรียบเทียบเหมือนเพื่อนร่วมโต๊ะชั่วคราว เสมือนน้ำค้างที่เมื่อแสงอาทิตย์ส่องมา น้ำค้างก็จะแห้งหายหมดสิ้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.