บทที่ 3
เธอเดินผ่านเหมือนสายลมที่พัดมาโดยไม่รู้ตัว
การแอบหลงรักคือการที่ฉันเปิดคอนเสิร์ตในใจเพียงคนเดียว แต่เธอกลับไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษในคาราโอเกะของคนอื่น
‘บันทึกของสัตว์ประหลาดตัวน้อย’
ติงเซี่ยนยังไม่ได้สติกลับมา
เมื่อเด็กหนุ่มจากไปแล้ว เติ้งหวั่นหวั่นก็เดินมาข้างหน้า จับมือติงเซี่ยนและพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม
“วันจันทร์พวกเราสลับที่นั่งกลับกันนะ ที่จริงแล้วนั่งข้างหลังสองสามวันมานี้ฉันมองเห็นไม่ค่อยชัดเลย”
เอ๊ะ? ทำไมจู่ๆ ก็…
ติงเซี่ยนอึ้งงัน ปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือไป ส่วนสมองมึนงงไปหมด
เติ้งหวั่นหวั่นยิ้มแล้วลูบศีรษะเธอ สายตาเหลือบไปด้านหลังแวบหนึ่งและพูดขึ้นมา “เหม่ออะไร ฉันรู้หมดแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ ติงเซี่ยนก็รีบโบกมือ “ไม่ ฉันไม่ใช่…”
ไม่ใช่อะไรกันล่ะ
แค่ได้ยินว่าเขาให้เธอย้ายกลับไป ลาตัวน้อยในใจก็แทบจะกระโดดชนกำแพงตายแล้ว
เติ้งหวั่นหวั่นไม่รอให้เธอพูดจบก็ตัดบททันที “เอาล่ะ ทำไมเธอไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”
คำพูดนี้ฟังดูมีลับลมคมใน คลุมเครือเสียจนติงเซี่ยนไม่กล้าสบตาเติ้งหวั่นหวั่นอีกฝ่ายตรงๆ เธอจึงก้มหน้า นั่นยิ่งเป็นการยืนยันความคิดในใจของเติ้งหวั่นหวั่น
เติ้งหวั่นหวั่นหัวเราะ “พวกเราเป็นเพื่อนนักเรียนกัน ถ้าเธอบอกฉันตรงๆ ฉันไม่ปฏิเสธแน่นอน”
บอกตรงๆ? บอกตรงๆ กับเธอยังไง ติงเซี่ยนเบ้ปาก
เติ้งหวั่นหวั่นปล่อยมือเธอและมองไปข้างหน้า “เอาล่ะ โจวซือเยวี่ยบอกฉันหมดแล้ว ไม่ต้องอาย วันจันทร์กลับไปพวกเราสลับที่กัน ฉันไปเล่นก่อนนะ”
ดะ…เดี๋ยวสิ
ติงเซี่ยนยื่นมือมาดึงเติ้งหวั่นหวั่นไว้ จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า “อะ…เอ่อ…โจวซือเยวี่ยบอกเธอว่ายังไง”
เติ้งหวั่นหวั่นตอบอย่างเปิดเผย “เขาบอกว่าเธอเพิ่งเข้าเมืองมา ร่างกายไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศที่นี่ พักนี้ต้องวิ่งไปห้องน้ำระหว่างเรียนบ่อยๆ นั่งข้างหลังเลยสะดวกกว่า”
วิ่งไปตบเขาให้ตายตอนนี้ยังทันมั้ยเนี่ย
เติ้งหวั่นหวั่นพูดจบก็วิ่งไปที่ตู้เกมบาสเกตบอล ติงเซี่ยนมองไปยังร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอยู่หน้าตู้เกมบาสเกตบอล กัดฟันอย่างโมโห
โจวซือเยวี่ยยืนอยู่หน้าตู้เกมบาสเกตบอล ทำท่าโยนลูกบาสลงตาข่ายตามแบบมาตรฐาน ลูกบาสลอยขึ้นไปเป็นเส้นโค้งอย่างชำนาญ จากนั้นก็ตกลงไปในตาข่ายที่อยู่ตรงข้าม มือเขาเร็วมาก ลูกบาสบางลูกยังไม่ตกลงพื้น อีกลูกก็ลงตาข่ายไปแล้ว
ตู้เกมบาสเกตบอลแบบนี้ที่เหยียนผิงก็มีตู้หนึ่ง
เธอมีเพื่อนเล่นสมัยเด็กคนหนึ่งเล่นเกมนี้เก่งมาก เวลาไม่มีอะไรทำก็ชอบนั่งหน้าตู้เกมบาสเกตบอลที่ร้านเกมเพื่อเล่นทำลายสถิติตัวเอง ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็โยนจนทะลุเป้า หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทำลายสถิติเขาได้อีก
นี่เป็นครั้งที่สองที่ติงเซี่ยนเห็นว่ามีคนที่สามารถเล่นตู้เกมบาสเกตบอลได้คะแนนถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคะแนน
ขณะที่ลูกบาสลูกสุดท้ายของโจวซือเยวี่ยลงตาข่ายก็มีเสียงซ่งจื่อฉีกับเจี่ยงเฉินตะโกนโห่ร้องดังขึ้น ข่งซาตี๋ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตะโกนขอเล่นบ้าง เติ้งหวั่นหวั่นจึงรีบเข้าไปแย่งเหรียญเล่นเกมของโจวซือเยวี่ย
โจวซือเยวี่ยพูดโดยไม่เข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว “แย่งฉันทำไม ไปแลกเองสิ”
ซ่งจื่อฉีผิวปาก
ข่งซาตี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ซ้ำเติม “ใช่ เธอไปแย่งของเขาทำไม จะเล่นก็ไปแลกเองสิ”
เติ้งหวั่นหวั่นส่งเสียงหึ พูดปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองอย่างระมัดระวัง “ไม่เล่นแล้ว”
ข่งซาตี๋เลิกคิ้วให้กับติงเซี่ยนอย่างภาคภูมิใจ สีหน้านั้นราวกับบอกว่า ‘วางใจเถอะ ฉันดูให้อยู่ เธอไปตามหาน้องชายเถอะ’
ส่วนเด็กหนุ่มที่เธอพะวงถึงกลับไม่รู้ตัวใดๆ ทั้งสิ้นกับเรื่องเหล่านี้ เขาหันไปจดจ่อกับการคีบตุ๊กตาแล้ว
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็หัวเราะออกมา เธอนึกได้ว่าเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในหนังสือ…
ขัดแย้งเหมือนปลาที่หัวกับหางพันกัน แต่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างยาวนาน
หนุ่มสาวช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่เกิดความขัดแย้งในตัวมากที่สุด
ตอนที่ติงเซี่ยนลากติงจวิ้นชงกลับบ้าน เยี่ยหวั่นเสียนก็ทำกับข้าวเสร็จพอดี แม่ไม่ได้พูดอะไร เร่งให้พวกเธอรีบล้างมือแล้วไปกินข้าว ติงจวิ้นชงทำหน้าล้อเลียนใส่ติงเซี่ยนแล้ววิ่งติดจรวดเข้าไปในห้องน้ำ
บนโต๊ะกินข้าว
ติงเซี่ยนคีบข้าวเข้าปากกินๆ หยุดๆ เยี่ยหวั่นเสียนคีบปลาใส่จานของเธอพลางถาม “พักนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง”
ติงเซี่ยนตักข้าวเข้าปากและตอบ “ก็ดีค่ะ”
เยี่ยหวั่นเสียนพยักหน้า เสียงตะเกียบกระทบชามดังแกร๊ก จากนั้นก็พูดต่อ “ตอนค่ำมีเวลาก็สอนเลขให้น้องหน่อย”
“ค่ะ”
เยี่ยหวั่นเสียนถามเรื่อยเปื่อยต่อไปอีก “ลูกกับซือเยวี่ยเป็นยังไงบ้าง”
จู่ๆ ได้ยินคนในครอบครัวพูดชื่อนี้ขึ้นมา ความรู้สึกแปลกประหลาดซึ่งคงมีแต่ติงเซี่ยนเท่านั้นที่เข้าใจก็ผุดขึ้นมา
ข้าวครึ่งคำติดอยู่ที่ลำคอ เธอไอสองสามทีเพื่อให้คอโล่ง พยายามใช้น้ำเสียงที่นิ่งที่สุดตอบ
“ก็ดีค่ะ”
“ดีกับเขาไว้นะ คะแนนเขาเป็นยังไงบ้าง”
ในใจติงเซี่ยนรู้สึกเจ็บจางๆ คิดอยู่นานก็ไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมมาบรรยายเขาได้ ดังนั้นจึงประเมินเขาด้วยถ้อยคำที่จริงแท้แน่นอนที่สุดและไม่ผิดสังเกตว่า…เขาเป็นเด็กเรียนดี
เยี่ยหวั่นเสียนไม่เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งนัก เธอพยักหน้าพลางพูด “จริงๆ แต่ก่อนก็เคยได้ยินคุณนายโจวพูดว่าลูกชายเขาคนนี้เรียนอะไรก็เรียนได้ดีมาก ความจำเป็นเลิศ แต่สอบเข้า ม.ปลาย คราวนี้ทำไมได้คะแนนแค่นี้”
ดูวิธีการเรียนของเขา สอบได้เท่านี้ก็เทพแล้ว โอเคมั้ย ติงเซี่ยนร้องตะโกนในใจ
“ตอนเด็กๆ เขาฉลาดก็จริง แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง”
ตอนนี้เป็นปีศาจ ติงเซี่ยนคิดเงียบๆ
“เด็กบางคนมีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น แต่ถ้าไม่ส่งเสริมดีๆ ก็จะหายไปได้ง่ายๆ ลูกดูคุณนายโจว วันๆ เอาแต่เล่นไพ่ ไม่จัดการอะไรทั้งนั้น คุณลุงโจวก็งานยุ่ง จะมีเวลาเลี้ยงลูกที่ไหน แม่ว่าโตขึ้นชงชงของพวกเราจะต้องได้ดีกว่าเขาแน่นอน”
ติงเซี่ยนเหลือบไปมองน้องชายที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว หัวเราะอย่างเย็นชา “สอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นที่ดีๆ ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องได้ดีดีกว่ามั้งคะ”
พูดแทงใจดำเข้าแล้ว
แม้แต่เยี่ยหวั่นเสียนซึ่งปกติต้องเถียงก็ไม่เถียงอะไร เธอลูบศีรษะติงจวิ้นชงเบาๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยน
“พี่สาวลูกพูดถูก ที่สำคัญที่สุดคือต้องทำคะแนนให้ได้มากกว่านี้”
ติงจวิ้นชงมองพี่สาวด้วยสายตาตำหนิ
ติงเซี่ยนรีบกินข้าวในชามจนหมดแล้วกลับห้องไปเตรียมการเรียนสัปดาห์หน้า
เปิดหนังสือไปได้สองหน้า แต่ยังไม่ได้อ่านสักตัว ใบไม้บนต้นไม้ทรุดโทรมนอกหน้าต่างก็ปลิวเบาๆ ใบไม้สีเหลืองอ่อนตกลงมาตรงหน้าต่างห้องเธอราวกับเป็นสัญญาณของฤดูใบไม้ร่วง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เมฆยามโพล้เพล้ค่อยๆ เคลื่อน หมอกควันพันลี้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
พระจันทร์ไม่กลมดีนักค่อยๆ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ สีของแสงจันทร์เหมือนผ้าโปร่งแสงส่องผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้เป็นเงาลายๆ บนพื้นหินสีคราม คล้ายเรื่องในใจของสาวน้อยที่ส่องสว่างเหมือนดาวและเดือน แต่กลับไม่สามารถอธิบายออกมาได้
ทันใดนั้นเธอก็รอคอยอยากให้วันจันทร์มาถึงเร็วๆ
ในที่สุดวันจันทร์ก็มาถึง ติงเซี่ยนตื่นเช้ามาก ตั้งใจล้างหน้าหวีผมอย่างดี เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดที่เพิ่งซักเสร็จ ในปากกัดหมั่นโถว จากนั้นก็วิ่งออกจากบ้านไป
เยี่ยหวั่นเสียนวิ่งตามเธอมา ถามว่าจะเอาซาลาเปาอีกลูกไหม แต่เธอไม่หันหลัง โบกมือแล้วเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว ไม่เคยรอคอยการไปเรียนมากขนาดนี้
เธอไปถึงแต่เช้า ภายในห้องเรียนมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน เติ้งหวั่นหวั่นยังไม่มา
ติงเซี่ยนนั่งที่ของตัวเอง หยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาและท่องคำศัพท์เงียบๆ
เมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้น บรรดาเพื่อนนักเรียนทยอยกันมาถึง ติงเซี่ยนเอามือปิดหูท่องคำศัพท์ต่อไป
หลิวเสี่ยวเฟิงสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาและเป็นฝ่ายทักเธอก่อน “วันนี้ท่าทางเธอไม่เลวเลยนี่ ดูกระตือรือร้นมากเลยนะ”
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็นึกถึงวันนั้นที่เขาช่วยพูดแทนเธอจนเกือบจะทะเลาะกับเหอซิงเหวิน เธอจึงยิ้มกว้างให้เขาและพูดอย่างอ่อนหวาน
“ขอบใจนายมากนะ หลิวเสี่ยวเฟิง หลังจากวันนั้นยังไม่มีโอกาสขอบใจนายเลย ขอบใจนายมากจริงๆ”
คำขอบคุณที่ได้รับอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้หลิวเสี่ยวเฟิงทำตัวไม่ถูก เขาใช้มือเกาศีรษะอย่างเขินอาย “ไม่เป็นไร เหอซิงเหวินทำไม่ถูกจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็ต้องช่วยเหมือนกัน ธะ…เธออย่าใส่ใจเลย”
“ขอบใจนายมากจริงๆ” ติงเซี่ยนพูดอย่างจริงใจ
หลิวเสี่ยวเฟิงเขินจริงๆ โบกมือไปพลางพูดไปพลาง “เธอไม่ต้อง…”
ติงเซี่ยนกำลังจะหัวเราะ แต่กลับเห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังเดินผ่านหน้าไป ผมบนศีรษะเธอถูกขยี้อีกแล้ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงราบเรียบลอยมา
“ย้ายโต๊ะ”
นับวันจะยิ่งเคยมือใหญ่แล้วนะ!
แต่ปฏิกิริยาในวินาทีถัดมาคือยังดีที่เมื่อเช้าสระผม
หลิวเสี่ยวเฟิงกลืนคำว่า ‘เกรงใจ’ สองพยางค์นี้กลับลงไป เขามองแผ่นหลังโจวซือเยวี่ยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาและพูดอย่างประหลาดใจ
“เธอจะกลับไปแล้วเหรอ”
ติงเซี่ยนยืนขึ้น เอาหนังสือเก็บเข้าใต้โต๊ะและบอกลาหลิวเสี่ยวเฟิง
หลิวเสี่ยวเฟิงพูดอย่างลังเล “ก็ดี แต่คราวหน้าอย่าย้ายที่นั่งตามอำเภอใจอีกนะ ยังโชคดีที่ช่วงนี้ครูยังไม่ตรวจ”
ติงเซี่ยนตบบ่าเขาและพยักหน้าอย่างจริงจังพลางกล่าวลาเหมือนจอมยุทธ์ “ลาก่อน พ่อหนุ่ม มีเวลาว่างก็มาเยี่ยมกันนะ”
หลิวเสี่ยวเฟิงโดนเธอล้อเล่นจนขำแล้วยืนขึ้น “ฉันช่วยเธอนะ โต๊ะตัวนี้หนักเอาการอยู่”
ข่งซาตี๋ก็ยืนขึ้นเหมือนกัน พุ่งตัวเข้าไปช่วยเหลือ
ซ่งจื่อฉีชำเลืองมอง เอนหลังพิงพนักด้านหลัง เอามือพาดที่โต๊ะของโจวซือเยวี่ยและพูดขึ้น “ฉันรู้สึกว่าเจ้าหลิวเสี่ยวเฟิงนี่ไม่บริสุทธิ์ใจแน่ๆ”
โจวซือเยวี่ยกำลังทำโจทย์ที่เมื่อวันศุกร์ลืมเอากลับบ้าน ตวัดปากกาฉับๆๆ พริบตาเดียวก็ทำเสร็จหลายข้อ เขาเจียดเวลาเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าเขียนพลางพูดโดยไม่ใส่ใจ
“ทั้งชั้นเรียนนี้ก็มีแต่นายเท่านั้นแหละที่ความคิดไม่บริสุทธิ์”
ซ่งจื่อฉีจ้องเขา “งั้นนายบอกซิว่าทำไมต้องให้ยายสัตว์ประหลาดนั่นย้ายที่นั่ง แถมยังรับปากให้เติ้งหวั่นหวั่นมาเล่นกับพวกเราอีก”
“นายเป็นคนรับปากไม่ใช่เหรอ”
“ชิ คิดว่าฉันโง่เหรอ ถ้าฉันรับปาก ทำไมนายต้องทำตามด้วยล่ะ”
คุณชายโจวกลอกตาอย่างเอือมระอา “โอเค ฉันรำคาญเติ้งหวั่นหวั่น วันๆ ถามแต่คำถามไม่หยุดหย่อน”
“คำถามที่สอง ทำไมนายไม่ตอบตกลงข้อเสนอของข่งซาตี๋ที่ให้ฉันกับนายนั่งด้วยกัน”
ทันใดนั้นคุณชายโจวก็วางกระดาษโจทย์ลง สายตาแผ่รัศมีอันดุร้าย เอนตัวไปด้านหลัง แขนกอดอก พิงพนักเก้าอี้อาบแดดยามเช้าอย่างเกียจคร้านพลางยิ้มสดใส
“ได้สิ งั้นนายสลับที่กับเธอ ฉันนั่งกับนายเอง”
“ไม่เอา นั่งข้างนายต้องมีความกล้าหาญมาก”
“งั้นตามเดิมก็โอเคแล้วนี่”
โจวซือเยวี่ยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ก้มหน้าทำโจทย์ต่อ
ติงเซี่ยนย้ายโต๊ะเสร็จ เธอก็ขอบคุณหลิวเสี่ยวเฟิงอีกครั้ง หลิวเสี่ยวเฟิงรีบโบกมือ หน้าแดงเดินจากไป
ข่งซาตี๋หยิบตุ๊กตาตัวเล็กออกมาจากกระเป๋านักเรียนแล้ววางบนโต๊ะติงเซี่ยน “เซี่ยนเซี่ยน อันนี้ฉันให้เธอ”
ติงเซี่ยนจัดหนังสือไปพลางหันไปมองด้วยความงุนงง “อะไรเหรอ”
ข่งซาตี๋มองโจวซือเยวี่ยอย่างลังเลและรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ตุ๊กตาที่เพื่อนร่วมโต๊ะเธอคีบได้ เขาให้ฉันเอาให้เธอ”
พอพูดจบก็รีบหันกลับไป
ติงเซี่ยนอึ้งไปทันที หันไปมองโจวซือเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ราวกับมองผี
คุณชายโจวมัวแต่ทำโจทย์ ไม่เงยหน้า เพียงแต่ยกมุมปากและพูดขึ้นมา “อย่าเกรงใจเลย ฉันก็คีบไปงั้นๆ”
สายตาของติงเซี่ยนมองไปที่ตุ๊กตาตัวนั้น “ให้ฉันทำไม”
คุณชายโจวไม่เงยหน้าเช่นเดิม ตามองโจทย์ มือไม่ยอมหยุดเขียน หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างจริงใจ
“อย่าคิดมากไปเลย ข่งซาตี๋ก็มีตัวนึง ซ่งอี๋จิ่นก็มีตัวนึงเหมือนกัน ฉันเลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เธอตัวนึง”
นายคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้เหรอ คนตำหนักสี่ตำหนักห้าต้องพากันรอนายพลิกป้ายก่อนเรียกตัวปรนนิบัติหรือยังไง
“นายแจกเยอะขนาดนั้น ไม่กลัวพวกเธอตีกันหรือไง”
คุณชายโจวหยุดเขียน เงยหน้ามองเธอ จากนั้นก็พ่นเสียงหัวเราะออกมา
ซ่งจื่อฉีที่อยู่ด้านหน้าอดไม่ได้ที่จะหันหลังมาพูด “ยายสัตว์ประหลาด เธอคิดอะไรอยู่น่ะ ของข่งซาตี๋น่ะ ฉันเป็นคนให้ ของอี๋จิ่น เจี่ยงเฉินให้ เติ้งหวั่นหวั่นอยากได้ แต่โจวซือเยวี่ยไม่ได้ให้”
ติงเซี่ยนหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
ผ่านไปสักพักเธอก็พูดเบาๆ “ทำไมนายไม่ให้เติ้งหวั่นหวั่น จริงๆ ฉันไม่เป็นไร…”
โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองเธอ “ไม่เอาหรือไง”
ฉันอยากได้
โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้ว ยื่นมือออกมาทำท่าจะเอาคืน “งั้นคืนฉันมา”
“เอาๆๆ!” ติงเซี่ยนรีบโถมตัวไปตะครุบตุ๊กตาไว้ แต่ปรากฏว่าดันไปจับมือเขาไว้ด้วย แถมยังกอดเอาไว้ที่ตรงหน้าอกอ่อนนุ่มของเธอพอดี แขนของผู้ชายที่เตะบอลเป็นประจำบึกบึนแข็งแรง เหมือนเธอกำลังกอดท่อนไม้ที่ร้อนระอุ
ทั้งแข็งทั้งร้อน ถึงขนาดสัมผัสเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบนแขนเขาได้
แขนเขาที่เธอเคยสังเกตในยามปกติจะเรียวยาวและสะอาดสะอ้าน แต่ผู้ชายก็คือผู้ชาย
ภาพทุกอย่างชะงักงัน ลมพัดจนหน้าต่างขยับไปมาเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด นอกหน้าต่างแทบจะไม่ได้ยินเสียงจักจั่นแล้ว ทั้งสองอึ้งและมองหน้ากันท่ามกลางห้องเรียนที่เสียงอึกทึก
ลมนอกหน้าต่างพัดโชย พากลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ลอยเข้ามา
ในเวลานั้นภายในห้องเรียนมีเสียงท่องหนังสือดังขึ้นมาแล้ว บรรดาเพื่อนนักเรียนเริ่มทบทวนด้วยตัวเองในช่วงเช้า ไม่มีใครสังเกตพวกเขา เธอกอดแขนเด็กหนุ่มเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูกอยู่หนึ่งนาที ขณะที่ซ่งจื่อฉีหันมาพูดโดยไม่ทันเอะใจแม้แต่น้อย
“ซือเยวี่ย หน้าประตูโรงเรียนมีร้านอาหารเปิดใหม่ร้านนึง วันนี้เที่ยงพวกเรา…” จากนั้นเขาก็เห็นภาพเบื้องหน้าที่น่าตกใจนี้ ซ่งจื่อฉีอ้าปากค้าง หลังจากสายตาสำรวจไปมาบนตัวพวกเขาทั้งคู่ก็พึมพำ “ฉันว่าฉันไปกินเองดีกว่าเนอะ” ว่าแล้วก็ปิดปากหันกลับไป
ในขณะเดียวกันติงเซี่ยนก็แทบจะสะบัดมือของโจวซือเยวี่ยทิ้ง เหมือนโยนมันร้อนไม่มีผิดเพี้ยน จนมือของเด็กหนุ่มสะบัดไปโดนโต๊ะเสียงดังปึก
โจวซือเยวี่ยเจ็บจนส่งเสียงร้อง ขมวดคิ้วแน่น สูดหายใจพลางกัดฟัน “เธอ!”
ติงเซี่ยนหันกลับไปนั่งตัวตรง ก้มหน้าเล็กน้อย และเอาตุ๊กตากลับไปวางบนโต๊ะเขาพร้อมทำหน้าจริงจังอธิบายกับเขาเสียงต่ำ
“ขอโทษนะ เมื่อกี้ตกใจไปหน่อย เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนให้ของขวัญฉัน ก็เลย…ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี ของนี่ นายลองไปคิดดูก่อนดีกว่านะ”
หญิงสาวย่อมมีจิตใจละเอียดอ่อน ประโยคเดียวก็อาจทำให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงหรือดำเนินการต่อไปได้
ในแง่หนึ่ง ติงเซี่ยนรู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองทำตัวตื่นเต้นเกินไป กลัวว่าโจวซือเยวี่ยจะเข้าใจผิด อีกแง่หนึ่ง เมื่อครู่โจวซือเยวี่ยดูมีท่าที ‘รู้สึกว่าตัดสินใจผิด’ เขาอาจอยากเอาไปให้เติ้งหวั่นหวั่นก็ได้
โจวซือเยวี่ยไม่เข้าใจความคิดของเด็กผู้หญิงพวกนี้เลยสักนิด และยิ่งไม่เข้าใจว่าแค่ตุ๊กตาเน่าๆ ตัวเดียวมีอะไรให้คิดมากมาย ให้ก็คือให้
ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้ว ถูมือตัวเองพร้อมกับยกขาเตะเก้าอี้ของซ่งจื่อฉี พอซ่งจื่อฉีหันมาก็ถูกยัดตุ๊กตาใส่หน้า พร้อมๆ กับเสียงรำคาญของคุณชายโจวดังตามมา
“ให้นายแล้วกัน”
ซ่งจื่อฉีรีบรับตุ๊กตามา มองโจวซือเยวี่ย แล้วหันมามองติงเซี่ยนด้วยสีหน้างุนงง
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มก้มหน้าอ่านหนังสือ ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ต้นไม้นอกห้องเรียนออกดอกหอมหมื่นลี้เต็มต้น ลมฤดูใบไม้ร่วงกับกลิ่นหอมพัดเข้ามา ลมเย็นๆ ให้ความรู้สึกเย็นชา ดอกหอมหมื่นลี้ที่งดงามน่าประทับใจ เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกหญิงสาวบ้างเลย
เหลือเวลาเพียงครึ่งเดือนกว่าก็จะถึงวันสอบวัดความรู้แล้ว
ติงเซี่ยนฟุบที่โต๊ะและถอนหายใจ คิ้วขมวดจนเป็นรูปเลขแปด* ด้วยความหมดหวัง คางเกยกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่เพิ่งทำเสร็จ ตาละห้อยมองคะแนนเก้าสิบเก้าคะแนนตัวสีแดง คิดหาหนทางไม่ออก
คะแนนเต็มของโจทย์ปี 2546 คือหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน ดังนั้นคะแนนเก้าสิบเก้าคะแนนนับว่าอยู่ในเกณฑ์ผ่าน
ติงเซี่ยนเรียนเก่งแค่บางวิชา วิชาคณิตศาสตร์ค่อนข้างอ่อน ตอนสอบเข้ามัธยมปลาย วิชาคณิตศาสตร์ทำคะแนนได้ปกติ จึงไม่ได้ฉุดคะแนนทั้งหมด แต่ก็ทำเอาทั้งช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนสมองแทบจะเละเป็นโจ๊ก ได้ยินว่าข้อสอบวัดความรู้ของห้องเรียนดีโหดร้ายมาก ขนาดสวี่เคอยังสอบได้แค่ร้อยคะแนนต้นๆ เท่านั้น
ติงเซี่ยนเอียงศีรษะชำเลืองมองข้างๆ ที่นั่งนั้นว่างเปล่า โจวซือเยวี่ยถูกครูเรียกไปห้องพักครู บนโต๊ะโล่งๆ มีปากกาวางทับกระดาษโจทย์คณิตศาสตร์แผ่นหนึ่งที่ทำเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ติงเซี่ยนอึ้ง ดะ…เดี๋ยวนะ “ตัวอย่างข้อสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกมัธยมศึกษาปีที่สี่ชุดที่หนึ่ง?”
ดวงตาทั้งสองไล่มองลงมาทีละข้อ
ตั้งแต่ข้อที่สามเป็นต้นไป ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่มีอยู่อย่างจำกัดในตอนนี้ของเธออ่านดูก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้หลายข้อล้วนเป็นเนื้อหาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน เจี่ยงเฉินไม่ได้หลอกเธอ เขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่จบแล้วจริงๆ
“ดูอะไรอยู่น่ะ” ข่งซาตี๋ไม่รู้มาจากไหน โถมตัวใส่ติงเซี่ยน กอดเธอพลางยิ้มอย่างร่าเริง เอาหัวติงเซี่ยนแนบหน้าอกอ่อนนุ่มของตัวเอง
ข่งซาตี๋ร่างกายสมบูรณ์มาก เพิ่งจะขึ้นมัธยมปีที่สี่ก็มีหน้าอกที่น่าภูมิใจ เวลาวิ่งตอนเรียนวิชาพลศึกษา หน้าอกก็จะแกว่งไปมาตามจังหวะฝีก้าว ดังนั้นจึงทำให้ติงเซี่ยนที่วิ่งข้างๆ เธอกลายเป็นเหมือนแผ่นไม้เคลื่อนที่ได้
ติงเซี่ยนดึงศีรษะตัวเองออกจากอ้อมแขนของเพื่อนสาว ขยับโต๊ะอีกครั้งพลางถอนหายใจ
“เธอว่าทำไมเราต้องเรียนวิชาเลข ทำเหมือนว่าอีกหน่อยซื้อกับข้าวก็ต้องใช้สมการเชิงฟังก์ชันยังไงยังงั้น”
ข่งซาตี๋กลับไปนั่งที่นั่งตัวเอง เอาคางเกยโต๊ะติงเซี่ยน ชำเลืองมองที่นั่งโจวซือเยวี่ยแล้วพูด
“ไม่รู้ แต่ฉันได้ยินซ่งจื่อฉีพูดนะ คนข้างๆ เธอน่ะกำลังเตรียมตัวแข่ง”
ติงเซี่ยนอึ้ง “แข่งอะไร”
“ก็แข่งเลขน่ะสิ เขาสอบเข้า ม.ปลาย ได้คะแนนวิชาเลขเต็ม ต้องถูกเล็งแน่นอน! เธอรู้จักสวี่เคอชั้น ม.หก มั้ย เขาก็ได้คะแนนวิชาเลขเต็มเหมือนกัน พอเข้ามาก็โดนครูหว่านล้อมให้ไปแข่ง แต่สวี่เคอแย่หน่อย เข้าร่วมการแข่งขันติดกันสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้อันดับดีๆ”
ขณะที่พูดอยู่ โจวซือเยวี่ยก็กลับมา ดึงเก้าอี้ข้างติงเซี่ยนออกมานั่ง
ข่งซาตี๋หันกลับไปอย่างรู้งาน
ซ่งจื่อฉีเห็นเขากลับมาแล้วก็เอาแขนไปสะกิด “ว่าไง”
โจวซือเยวี่ยหยิบปากกา ก้มหน้าดูโจทย์บนโต๊ะ ตวัดดินสอในมือเขียนคำตอบและพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“จะว่าอะไรได้”
ซ่งจื่อฉีมองโจทย์ของเขาแวบหนึ่ง “งั้นสรุปนายไปมั้ย”
โจวซือเยวี่ยยังคงก้มหน้ามองโจทย์ ทำโจทย์ข้อต่อไปสองสามข้ออย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็เลิกคิ้ว
“ไม่รู้”
ซ่งจื่อฉีบ่นออกมา “โธ่ นายลังเลอะไร โอกาสดีขนาดนี้ คนอื่นอยากไปยังไม่ได้ไป ดีไม่ดีอาจติดทีมชาติก็ได้นะ ได้เข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาโดยไม่ต้องสอบเลย แล้วค่อยแข่งให้ได้สักรางวัล ได้หน้าจะตาย” พอพูดจบก็มองติงเซี่ยน ใช้คางพยักพเยิดมาทางเธอเบาๆ “เธอว่ามั้ย ยายสัตว์ประหลาด”
ถูกเรียกชื่อกะทันหันแบบนี้ ทำให้ติงเซี่ยนที่ก้มหน้าอยู่ลนลานขึ้นมาทันที เธอส่งเสียง “หา” เงยหน้าขึ้นและพยักหน้าเหมือนคนเพิ่งรู้เรื่อง “อือ ใช่ ดีมากเลย”
โจวซือเยวี่ยมองโจทย์และหัวเราะหึๆ ไม่พูดไม่จา
หัวเราะบ้าอะไร ติงเซี่ยนตอบเขาเงียบๆ ในใจ
เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วก็น่าโมโหจริงๆ ขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเลือกชิงหวาหรือเป่ยต้า* ส่วนเธอได้แต่มองข้อสอบเก้าสิบเก้าคะแนนที่ไม่รู้ว่าผิดตรงไหนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
นายนี่มันโรคจิต เธอเสริมไปอีกประโยคเงียบๆ ในใจ
ทันใดนั้นโจทย์บนข้อสอบก็กลายเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาสะอาดสะอ้านแต่แฝงท่าทีเย้ยหยันของโจวซือเยวี่ย ติงเซี่ยนกัดฟัน ทำไมถึงน่ารำคาญขนาดนี้นะ! เธอใช้ปากกาทิ่มลงไปอย่างแรงจนข้อสอบขาดดังแควก
โจวซือเยวี่ยได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น กวาดสายตามาทางเธออย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็พอจะเข้าใจ เขาเลิกคิ้วยิ้มเล็กน้อย
“อ่อนวิชานี้ใช่มั้ยล่ะ เธอเลือกอ่อนวิชาได้แย่หน่อยนะ อีกหน่อยไม่ว่าสายวิทย์หรือสายศิลป์ก็หนีเลขไม่พ้น”
ติงเซี่ยนตอบกลับอย่างโมโห “อย่างน้อยวิชาเลขสายศิลป์ก็ง่าย”
โจวซือเยวี่ยส่ายหน้ายิ้ม “ข้อสอบนี้ก็ง่าย แต่เธอยังทำได้แค่นี้เลย ดูท่าทางสาหัสอยู่นะ”
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็ราวกับกลายร่างเป็นต้นหญ้าน้อยที่เหี่ยวเฉา แม้แต่เรี่ยวแรงจะโต้กลับก็ไม่มี สิ่งที่โจวซือเยวี่ยพูดมาคือความจริง เธอตกอยู่สถานการณ์ที่แสนสาหัสจริงๆ
ติงเซี่ยนค่อยๆ ติดรอยขาดบนกระดาษข้อสอบอย่างระมัดระวัง หยิบสก็อตเทปออกมาจากกล่องดินสอ ใช้ปากกัด ติดไปพลางโมโหตัวเองไปพลาง จากนั้นก็พูดขึ้น
“ฉันก็เป็นแค่ปลาเค็ม* ตัวหนึ่ง ไม่มีความฝันยิ่งใหญ่อะไร ยิ่งไม่เคยคิดจะเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาหรือเป่ยต้า เป้าหมายของฉันคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาต่างมณฑลก็พอแล้ว”
โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่แข็งขนาดนี้จะอ่อนขึ้นมาโดยพลัน เขาทนดูต่อไปไม่ไหว อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมา
“เข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาต่างมณฑล?”
ติงเซี่ยนติดกระดาษข้อสอบพร้อมกับพยักหน้า “ฉันอยากไปหางโจว” ห่างจากที่นี่ยิ่งไกลยิ่งดี
ขณะที่ติงเซี่ยนพูด สายตาเป็นประกาย ดูเหมือนว่าเธอจะชอบหางโจวจริงๆ
“นายเคยเห็นทะเลสาบซีหู** มั้ย เคยเห็นเจดีย์เหลยเฟิง*** มั้ย รู้จักสะพานต้วนเฉียว**** มั้ย”
โจวซือเยวี่ยจ้องเธอพลางยิ้มเยาะ กอดอกและพูดโดยไม่เข้าใจจิตใจเธอ “ดูเรื่องนางพญางูขาวมากไปหรือเปล่าเนี่ย!”
การสนทนาสิ้นสุดลง คุณชายน้อยไม่สนใจเธออีก
ติงเซี่ยนครุ่นคิดกับข้อสอบอยู่คนเดียว ข้อหลักๆ แทบจะผิดหมด เธอขีดฆ่าสิ่งที่คำนวณในกระดาษทดทิ้งและลองคำนวณใหม่ จู่ๆ ข้างหูก็มีเสียงดังขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ความจริงแล้ววิวของเทียนอันเหมิน***** ที่ปักกิ่งก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”
มือที่เขียนโจทย์ของติงเซี่ยนชะงัก เธอเงยหน้าเล็กน้อยและหันไปมองคนข้างๆ “ฮะ?”
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเหล่านี้โดยปกติแล้วคนแน่นมาก เธอเพิ่งย้ายมาไม่ถึงสองเดือน แถมงานที่บ้านก็เยอะ เยี่ยหวั่นเสียนจึงไม่ออกไปไหนง่ายๆ
ติงเซี่ยนพึมพำเบาๆ “เรียนหนังสือยังไม่รู้เรื่องเลย ยังจะไปดูวิวอะไรอีก”
“ข้างๆ มีคนเป็นๆ นั่งอยู่ทั้งคน ไม่รู้จักถาม?”
ติงเซี่ยนโต้กลับ “ชิ นายไม่เคยฟังครูสอน ถ้าฉันถามนาย นายจะรู้เหรอว่าฉันพูดอะไร”
โจวซือเยวี่ยคว้าสมุดบนโต๊ะไปเคาะหัวเธอเบาๆ ตามใจชอบ ท่าทางดูเป็นธรรมชาติมาก “ถึงไม่เรียนก็ยังเก่งกว่าเธอ”
ติงเซี่ยนใช้สายตาจ้องมองเขา ในใจกลับไม่ปฏิเสธ แถมยังรู้สึกว่าหวานหน่อยๆ
ประตูหลังห้องมีผู้ชายห้องอื่นที่รู้จักกับโจวซือเยวี่ยเดินผ่านมา เมื่อเห็นเขากำลังทะเลาะกับผู้หญิงก็ผิวปากและล้อพวกเขาสองสามคำตรงระเบียง
ติงเซี่ยนมองไปก็เห็นผู้ชายคนนั้นใช้สายตามีเลศนัยมองสำรวจพวกเขาไปมา เธอจึงรีบหันกลับมา ก้มหน้าแกล้งทำเป็นเปิดหนังสือ
โจวซือเยวี่ยพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเธอ
เพื่อนร่วมโต๊ะชายหญิงมัธยมปลายมักจะถูกคนอื่นล้อได้ง่าย โจวซือเยวี่ยเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ติงเซี่ยนนึกขึ้นได้ทันทีว่าแต่ก่อนตอนที่เขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับคนอื่นก็ถูกล้อแบบนี้ใช่มั้ยนะ
หรือว่าเฉพาะแค่เธอ
ขณะกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงโจวซือเยวี่ยลอยมาเข้าหู “เอาข้อสอบมานี่”
ฮะ? ข้อสอบอะไร
ติงเซี่ยนทำหน้าเด๋อด๋า มองมือยาวๆ ที่หยิบกระดาษข้อสอบซึ่งเพิ่งติดเสร็จไปจากตรงหน้าเธอ และวางลงที่กึ่งกลางระหว่างสองโต๊ะ พลิกเปิดไปที่หน้าหลังแล้วชี้ตำแหน่งที่ผิด ก่อนจะใช้ปากกาวงบนข้อสอบช่วยเธอวงข้อที่ผิด หลังจากนั้นก็เขียนขั้นตอนการคำนวณตรงพื้นที่ว่างข้างๆ
“เพราะตัวคูณร่วมน้อยของสอง สาม และห้าคือสามสิบ ถ้าทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากมีเส้นทแยงมุมของลูกบาศก์เท่ากับสามสิบ มีเส้นขอบซึ่งประกอบด้วยสอง สาม และห้าเป็นจำนวนเต็มบวก ดังนั้นทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีเส้นทแยงมุมของลูกบาศก์เท่ากับเก้าสิบ เส้นขอบซึ่งประกอบด้วยสอง สาม และห้าก็น่าจะนำไปคูณด้วยสามถึงจะได้ผลลัพธ์ออกมา เธอลองดูตัวเลือกในข้อสอบ และหาค่าที่คูณด้วยสาม…
และยังมีโจทย์ข้อนี้อีก เชื่อม AD และ BC และ CD ลบเส้นเสริมอื่นๆ บนแกน x และแกน y รูปสี่เหลี่ยม ABCD ก็จะเป็นแผนภาพไดอะแกรม คำนวณหาค่าโดยตรงได้เลย…”
หลายปีหลังจากนั้นติงเซี่ยนยังนึกถึงภาพในวันนี้ได้ดี
วัยรุ่นใจร้อน คว้าข้อสอบจากมือเธอไป ช่วยอธิบายโจทย์เลขซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดให้เธอฟัง ใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงสีเหลืองอ่อนนอกหน้าต่างปลิวร่วงลงมา อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้น ต้นกล้าภายในใจกำลังเข้าสู่อีกฤดูพร้อมกับอากาศภายนอกหน้าต่าง
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าตัวเองไม่พอใจอะไร เธอก็แค่อิจฉาเติ้งหวั่นหวั่นที่ชอบเขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย จึงได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะกล้าหาญขึ้นมาบ้าง
ไม่รู้ว่าติงเซี่ยนรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าโจวซือเยวี่ยตั้งใจลดความเร็วในการอธิบายโจทย์ให้เธอฟังช้าลงเป็นพิเศษ
สุดท้ายแล้วเพื่อนร่วมโต๊ะก็มีสิทธิพิเศษมากกว่า เธอคิดเช่นนี้แล้วก็ยิ้ม
จากนั้นก็โดนปากกาเคาะศีรษะหนึ่งที “ยิ้มบ้าอะไร รีบจดสิ”
“อ้อ” ติงเซี่ยนรีบเก็บรอยยิ้มและหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอย่างซื่อๆ แต่เธอผู้ซึ่งไม่ได้ฟังอะไรเลยก็ไม่รู้ว่าควรจะจดอะไรดี ปลายปากกาชะงักค้างอยู่กลางอากาศ แอบชำเลืองมองคนข้างๆ โจวซือเยวี่ยจึงเขกศีรษะเธอเป็นรางวัลอีกที
“เมื่อกี้ไม่ได้ฟังใช่มั้ย”
น้ำหนักมือนั้นแรงไม่ใช่น้อย เธอคลึงศีรษะและพยักหน้า “ฟังๆ”
โจวซือเยวี่ยยิ้มอย่างเย็นชา “อ้อ งั้นฉันพูดว่าอะไร”
ติงเซี่ยนพยายามเค้นสมอง แต่นึกได้เพียงประโยคท้ายสุด “นายบอกว่า…สี่เหลี่ยม ABCD ก็จะเป็นแผนภาพไดอะแกรม คำนวณหาค่าโดยตรงได้เลย…”
โจวซือเยวี่ยหัวเราะอย่างเสียดสี สีหน้ากลับมาเย็นชาอีกครั้ง “เธอเป็นปลาเค็มจริงๆ นั่นแหละ ความจำสามวินาที” พูดไปพร้อมกับเอนตัวไปข้างหลังพิงพนักเก้าอี้ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า หัวเราะเย้ยหยันเบาๆ “เธอสอบเข้ามาได้ยังไงกัน”
เมื่อเคยชินกับความเย็นชาของเขา เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ารับไม่ได้ ตอนนี้ติงเซี่ยนปรับตัวได้แล้ว ว่าแล้วเธอก็เล่าให้เขาฟังถึงประวัติการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานตั้งแต่ตอนแรกอย่างเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“นายรู้จักสวี่เคอมั้ย”
สวี่เคอ? โจวซือเยวี่ยส่ายศีรษะ
เวลาติงเซี่ยนพูดถึงสวี่เคอ สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ดวงตาดำขลับเป็นประกาย
“เพราะเขา ฉันถึงตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซาน ความจริงแล้วตอนฉันอยู่ประถม คะแนนไม่ค่อยดี ก็เหมือนกับที่นายพูดนั่นแหละ ความจำแย่มากเป็นพิเศษ เด็กคนอื่นท่องตัวอักษรยี่สิบหกตัวได้ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนฉันท่องอยู่เป็นเดือน แม่ชอบเอาฉันไปเปรียบกับสวี่เคอ พอเปรียบเทียบบ่อยๆ เข้าก็รู้สึกขัดแย้งในใจมาก เกลียดตัวเอง ทำไมคนอื่นเรียนได้ แต่ฉันเรียนไม่ได้ ต่อมาพอเจอสวี่เคอ เขาบอกฉันว่าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่คนอื่นทำได้แล้วเธอจะทำไม่ได้ การที่เธอทำไม่ได้เพราะเธอพยายามไม่มากพอ”
โจวซือเยวี่ยกอดอก ส่งเสียงฮึเบาๆ ออกมาทางจมูกอย่างไม่สนใจ
ติงเซี่ยนรู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่สนใจคำพูดสวยหรูที่ใช้ชี้แนะการดำเนินชีวิตแบบนี้ “นายอย่าเพิ่งทำท่าไม่เชื่อ สิ่งที่สวี่เคอพูดมีเหตุผลจริงๆ เพราะคำพูดของเขา ฉันเลยตัดสินใจพยายามเป็นสองเท่าของคนปกติ คนอื่นใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ฉันก็จะใช้เวลาสองชั่วโมง”
ติงเซี่ยนคนนี้นับว่ามีความอดทนเต็มร้อยจริงๆ เธอตัดสินใจทำอะไรแล้ว แม้ว่าจะชนกำแพง เธอก็ไม่หันหลังกลับ
แต่ปรากฏว่าโจวซือเยวี่ยพูดให้เธอหมดกำลังใจอย่างไม่ทันตั้งตัว “เพราะงั้นก็เลยอ่านหนังสือถึงตีสอง? เลขก็สอบได้คะแนนแค่นี้?”
น้ำเสียงเปิดเผยตรงไปตรงมาจนทำให้เธออยากจะหาหลุมมุดหนี เธอจึงพูดเบาๆ “ก็ไม่ได้ถึงตีสองทุกวัน บางครั้งง่วงเร็วก็นอนเร็ว ถ้ามีแรงก็นอนดึกหน่อย” เหมือนเห็นเขายิ้มเล็กน้อย ติงเซี่ยนก็พึมพำไม่หยุด เสริมไปอีก “นายคิดว่าทุกคนเขาเหมือนกับนายเหรอ อ่านรอบเดียวก็รู้เรื่อง”
โจวซือเยวี่ยมองติงเซี่ยนอย่างขบขัน ขณะที่มือทั้งสองยังล้วงกระเป๋าอยู่ “เธอเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับไอคิวมนุษย์หรือเปล่า หรือเธอคิดว่าไอคิวฉันสูงกว่าปกติ จะมีก็แค่บางคนที่ไอคิวสูงกว่ามาตรฐานคนทั่วไป ที่เหลือส่วนใหญ่ไอคิวจะอยู่ในระดับมาตรฐานทั้งนั้น ไม่แตกต่างกันมาก เธอเรียนได้ไม่ดีแบบนี้ ฉันบอกได้แค่ว่าเพราะเธอยังไม่พบวิธีเรียนที่ถูกต้อง”
ดูสิ คนอัจฉริยะคนนี้พูดซะจริงจัง ถ่อมตัวเหลือเกิน
โจวซือเยวี่ยพูดจบก็โน้มตัวยื่นมือไปหยิบสมุดจดบนโต๊ะเธอที่จดไว้เต็มหน้ากระดาษ จากนั้นก็โยนลงบนโต๊ะเธออีกครั้งแล้วเก็บมือกลับไป
“บอกเธอหลายครั้งแล้ว จดบันทึกต้องเลือกจดเฉพาะที่สำคัญ จดแบบนี้สอบได้ก็แปลกแล้ว”
ติงเซี่ยนจ้องอีกฝ่ายอยู่นานราวกับกำลังทบทวนคำพูดของเขา
โจวซือเยวี่ยถูกสายตาว่างเปล่าของเธอจ้องจนขนลุก “ทำไม”
ติงเซี่ยนคิดดูแล้วก็เม้มปาก จากนั้นก็ทำท่าคำนับเขา “จากนี้ไปต้องรบกวนให้นายช่วยแนะนำหน่อยนะ”
โจวซือเยวี่ยยิ้มส่งๆ อดไม่ได้ที่จะพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ “แต่ไอคิวเธอต่ำกว่ามาตรฐานคนทั่วไปจริงๆ พระเจ้าใจร้ายกับเธอมากอยู่นะ ปิดประตูไม่พอ ยังไม่เหลือไว้แม้แต่หน้าต่าง”
ติงเซี่ยนมองเขาอย่างงงๆ “นายหมายความว่ายังไง”
โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้ว กลับไปทำโจทย์ต่อ หันท้ายทอยให้เธอ ปล่อยให้เธอเข้าใจความหมายเอาเอง
พระอาทิตย์ใกล้ตก ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย
ผมหนาดกดำบนศีรษะส่องประกายท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามา ใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มหล่อเหลาน่ามอง
ไม่รู้ว่าในจังหวะนั้นติงเซี่ยนไปเอาความกล้ามาจากไหน เธอยื่นมือออกไปผลักศีรษะเขาพลางกัดฟันกรอด
“นายน่ะสิที่ทั้งน่าเกลียดทั้งโง่!”
เธอแค่ต้องการจะลูบศีรษะเขาเท่านั้น เหมือนที่คาดไว้ ผมเขานุ่มดีจริงๆ
คุณชายโจวโมโห “จะเอาใช่มั้ย”
ติงเซี่ยนหดศีรษะหลบไปที่มุมผนัง เอาหนังสือบังหน้าไว้และรีบซุกเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ไม่กล้า”
ในใจราวกับมีคนตัวเล็กๆ ถือธงโบกไปมาและตะโกนเชียร์ว่าเอาเลยๆ
อารมณ์ความรู้สึกในเวลานั้นบริสุทธิ์จริงๆ ความรักโลภโกรธหลงในตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริงทั้งหมด รวมถึงความมั่นใจและความรู้สึกต่ำต้อยล้วนแล้วแต่มีอยู่จริงทั้งสิ้น
เวลาเดินผ่านไป พวกเราไม่สามารถย้อนกลับไปได้ เวลาบอกกับเราว่าพวกเธอนั่นแหละที่เป็นเทพแห่งอนาคต
ติงเซี่ยนในเวลานั้นยอมรับแล้วว่าโจวซือเยวี่ยเป็นเทพ
เรื่องพวกวิธีการเรียนเช่นนี้ไม่ได้จำเป็นสำหรับเทพ ภายใต้การชี้นำของเทพ จู่ๆ ติงเซี่ยนก็รู้สึกว่าคณิตศาสตร์ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น อย่างน้อยหัวข้อที่เขาอธิบาย เธอก็ฟังรู้เรื่อง
เวลาโจวซือเยวี่ยอธิบายโจทย์ ไม่มีคำพูดไร้สาระ สั้นๆ ได้ใจความ ตรงประเด็น แถมยังช่วยชี้แนะประเด็นสำคัญให้เธอด้วย
แต่คุณชายโจวไม่มีความอดทนมากนัก โจทย์บางข้อใช้หลักการเดียวกัน เวลาติงเซี่ยนหยิบข้อสอบไปถามเขา เขาก็จะทำหน้าดุ
“สอนไปกี่ครั้งแล้ว”
ติงเซี่ยนยังคิดอย่างงงๆ ก็โจทย์ข้อนี้ฉันเพิ่งเคยทำนี่นา
แต่หลังจากที่เขาแยกแยะวิเคราะห์ให้เธอดู เธอก็พบว่ามันเป็นโจทย์ประยุกต์แบบเดียวกันกับที่เคยทำมาแล้วจริงๆ จึงรู้สึกเหมือนร่างแทบแหลก
ติงเซี่ยนถนัดทำโจทย์เรขาคณิตเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรูปทรงเรขาคณิตทึบแบบต่างๆ โจวซือเยวี่ยเคยพูดว่าความสามารถในการจินตนาการพื้นที่ของเธอไม่เลว เมื่อเจอเรขาคณิตทึบที่ค่อนข้างยาก แม้แต่เขาก็ยังต้องคิดหลายวินาที เธอกลับหาคำตอบได้ทันที
คุณชายโจวใช้สายตาชื่นชมซึ่งหาได้ยากมองเธอ ไม่เลวนี่
ในที่สุดติงเซี่ยนก็เรียกความมั่นใจกลับมาได้ ภายใต้การถูกกดดันรอบด้านจากโจวซือเยวี่ย
เด็กหนุ่มส่งสายตาถามเธอ ‘ไม่ได้ยากขนาดนั้นใช่มั้ยล่ะ’
ใช่ ไม่ได้ยากขนาดนั้น มีนายอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ยาก ติงเซี่ยนตอบในใจ
โดยไม่ทันรู้ตัว เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งสัปดาห์ก็จะสอบวัดความรู้แล้ว
พอสอบเสร็จครูหลิวเจียงก็จะจัดที่นั่งให้ใหม่ ตอนเปิดภาคเรียนครูหลิวเจียงเคยพูดไว้ว่าจะจัดที่นั่งตามคะแนน แต่ก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วจะจัดเรียงตามคะแนนเลย หรือจัดให้คะแนนสูงต่ำนั่งสลับกัน
แต่ไม่ว่าจะจัดแบบไหน ติงเซี่ยนก็รู้ดีว่ามีโอกาสน้อยมากที่เธอกับโจวซือเยวี่ยจะได้นั่งร่วมโต๊ะกันอีก
ติงเซี่ยนอารมณ์ไม่ค่อยดีติดต่อกันหลายวัน เธอฟุบอยู่บนโต๊ะอย่างหมดหวัง
คนที่เป็นโรคเดียวกันยังมีข่งซาตี๋อีกคน เด็กสาวทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ หลังจากมองหน้ากันก็ยิ้มแห้งๆ ข่งซาตี๋หันหน้ามาที่โต๊ะเธอแล้วชำเลืองมองข้างๆ
“เขาล่ะ”
ติงเซี่ยนถอนหายใจ “จะทำอะไร ก็ไปเตะบอลน่ะสิ”
ช่วงพักกลางวันคนในห้องเหลืออยู่น้อยมาก มีไม่กี่คนเท่านั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ไปปล่อยพลังข้างนอก และใช้เวลาเล็กๆ น้อยๆ นี้ไปนั่งมองสาวสวยห้องอื่น
ข่งซาตี๋เอียงหน้าแนบโต๊ะและถอนหายใจ “ซ่งจื่อฉีก็ด้วย เมื่อวานฉันคุยกับเขาเรื่องย้ายโต๊ะ เขาบอกว่าย้ายก็ย้ายสิ ปกติเธอก็ชอบพูดให้ฉันสลับที่นั่งกับติงเซี่ยนอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ มันจะเหมือนกันได้ยังไง ถ้าเขานั่งกับโจวซือเยวี่ย ฉันก็ยังได้นั่งหน้าเขา เธอว่าเขาโง่มั้ยนะ”
ติงเซี่ยนเปลี่ยนอิริยาบถ เอาหน้าแนบโต๊ะ ฟังเสียงลมใต้ลิ้นชักและพยักหน้าเล็กน้อย
“อาจจะ”
แต่ตรงนี้ยังมีอีกคนที่โง่กว่า
“หวังว่าครูหลิวเจียงจะรีบลืมเรื่องย้ายโต๊ะไปเร็วๆ” ข่งซาตี๋พนมมือหลับตาภาวนา
ติงเซี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่มีประโยชน์หรอก เมื่อวานครูหลิวเจียงเรียกหัวหน้าห้องมาคุยแล้ว ก็พูดเรื่องนี้นี่แหละ”
ข่งซาตี๋ส่งเสียงเศร้าและเอาหน้าแนบโต๊ะอีกครั้ง
“ทำอะไรของเธอ!”
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็รู้สึกว่าถูกตบศีรษะ เมื่อเธอลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะก็เห็นโจวซือเยวี่ยยืนถือลูกบาส ข้างหลังมีซ่งจื่อฉีตามมา
โจวซือเยวี่ยเพิ่งเล่นบาสเสร็จ เหงื่อท่วมทั้งตัว ใส่เสื้อกีฬาแขนกุดกับกางเกงกีฬาขาสั้นเสมอเข่าสีฟ้า ใส่รองเท้าบาสเกตบอล เห็นขอบสีขาวของถุงเท้า ดูเท่แบบวัยรุ่น
ผมหนานุ่มเปียกเหงื่อชุ่มตกลงมาที่หน้าผาก มีน้ำหยดลงมา เขาถือลูกบาสเดินเข้ามา แกล้งใช้มือลูบศีรษะเธออย่างไม่มีเหตุผล หลังจากนั้นก็ลากเก้าอี้ออกมานั่ง
ในเวลานั้นหัวสมองของติงเซี่ยนผุดขึ้นมาประโยคหนึ่ง ความบ้าพลังของเด็กหนุ่มวัยรุ่น
แต่เธอรีบดึงสติกลับมา หลบไปด้านข้างและบ่น “สกปรกจะแย่!”
เด็กหนุ่มเริ่มได้ใจ ความขี้แกล้งกำลังแผลงฤทธิ์เดช
โจวซือเยวี่ยยิ้มอย่างเกเรที่มุมปาก เขาโน้มตัวมาด้านหน้า แกล้งเอามือไปถูหน้าเธอ “สะอาดออกไม่ใช่เหรอ”
มือที่เปียกเหงื่อยังอุ่นอยู่ พอลูบที่แก้มเธอทำให้รู้สึกอบอุ่น รอบตัวมีแต่กลิ่นอายของเขา
กลิ่นแรงกว่าดอกต้นหอมหมื่นลี้นอกหน้าต่างเสียอีก จึงยากจะหลบเลี่ยง แวบเดียวก็ลอยเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอ
บางคนก็ไวต่อความรู้สึกตั้งแต่เกิด แค่สัมผัสเบาๆ เช่นนี้ ติงเซี่ยนก็ผงะไปข้างหลังอย่างแรงเหมือนเห็นผี กระดูกสันหลังพิงผนังสีเขียวที่เย็นยะเยือก ดวงตาเบิกกว้างเหมือนระฆัง ท่าทางราวกับกวางน้อยที่ตกใจ มองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก
โจวซือเยวี่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วหันไปโยนลูกบาสเข้าแป้นตาข่ายที่หลังห้องเป็นเส้นโค้งสวยงาม หลังจากนั้นก็หันกลับมา ชำเลืองมองเธอแล้วพูด
“โง่หรือเปล่า นี่มันน้ำ”
ติงเซี่ยนเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนคอและแก้มของเขายังมีหยดน้ำอยู่ มันค่อยๆ ไหลเข้าไปในเสื้อกีฬาตามสันคอของเขาพอดี
“อ้อ” ติงเซี่ยนขยับออกจากผนังแล้วลากเก้าอี้กลับมาตั้งที่เดิม
“บื้อ”
พูดจบเขาก็ไม่สนใจเธอ หยิบหนังสือออกมาเปิดและพลิกไปหน้าหนึ่ง อ่านไปพลางหยิบหนังสืออีกเล่มออกมาพัดไปพลาง ผมบนหน้าผากปลิวไปมาพร้อมกับลมเย็นๆ
ทั้งหมดล้วนเป็นท่าทางที่วัยรุ่นควรมี
ช่วงนี้ในห้องมีเรื่องมากมาย มีทั้งรับสมัครกรรมการห้อง ทั้งสมัครงานกีฬาสี หลังจากการสอบวัดความรู้ก็จะเป็นงานกีฬาสีสามวัน หลังจากนั้นก็เป็นวันหยุดวันชาติ
ข่งซาตี๋อยากสมัครเป็นคณะกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรม ส่วนซ่งจื่อฉีอยากสมัครเป็นกรรมการด้านกีฬา
ในช่วงมัธยมปลายใครๆ ก็อยากจะมีตำแหน่งในห้อง เพื่อทดสอบความสามารถในการเป็นผู้นำและการบริหารจัดการของตนเอง แต่ตำแหน่งหัวหน้าห้อง เลขาธิการกรรมการสมาพันธ์ยุวชนพรรคคอมมิวนิสต์จีน กรรมการด้านการศึกษา ตำแหน่งพวกนี้มีภาระหน้าที่ที่เยอะและซับซ้อน ดังนั้นกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรมกับด้านกีฬาจึงกลายเป็นตำแหน่งยอดนิยมในตอนนั้น
ซ่งจื่อฉีชวนให้โจวซือเยวี่ยสมัครเป็นกรรมการด้านกีฬากับเขา แต่โจวซือเยวี่ยหัวเราะเยาะกลับไป คิดไปคิดมาก็ถูก โจวซือเยวี่ยจะลงสมัครเป็นกรรมการห้องได้อย่างไร เขาไม่จำเป็นต้องทดสอบความสามารถในการเป็นผู้นำของตนเองเลยแม้แต่น้อย เขาก็เหมือนกับพ่อของเขา มีความเป็นผู้นำตั้งแต่กำเนิด แต่กลับไม่ชอบการผูกมัดพันธะใดๆ
ข่งซาตี๋เองก็ชวนติงเซี่ยนเช่นกัน “เซี่ยนเซี่ยน ฉันว่าเธอน่าจะลองไปสมัครเป็นกรรมการด้านการศึกษาดูนะ หรือเลขาธิการกรรมการสมาพันธ์ยุวชนพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือกรรมการด้านวินัยก็ได้” พูดจบโดยไม่รอคำตอบ เธอก็บอกให้ซ่งจื่อฉีเขียนใบสมัครให้ติงเซี่ยน
“ไม่เอา!” เสียงติงเซี่ยนทั้งดังทั้งแหลม เหมือนสุนัขตัวน้อยโดนเหยียบหาง ทำเอาโจวซือเยวี่ยที่อ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ตกใจ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเธอทีหนึ่ง
“ใครเหยียบหางเธอเข้าอีกล่ะ”
ติงเซี่ยนจึงได้สติกลับมา เธอเบาเสียงลงแล้วพูดกับข่งซาตี๋ “อย่าเขียนชื่อฉันเลย ฉันไม่อยากเป็นกรรมการห้อง”
แม้จะรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนที่เรียบง่ายแบบเหยียนผิง แต่เธอก็แค่อยากเรียนอย่างสงบ ไม่อยากจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไรติดตัวให้วุ่นวาย
ข่งซาตี๋ถูกตะโกนใส่จนอึ้งไป สมองทำงานช้าลง สักพักจึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา “อ้อๆๆ” และให้ซ่งจื่อฉีขีดฆ่าชื่อเพื่อนสาวทิ้ง
โจวซือเยวี่ยมองติงเซี่ยนเหมือนคิดอะไรอยู่
สาวน้อยความคิดและจิตใจละเอียดอ่อน เธอรู้สึกตัวก็หันกลับไปมองเขา สายตาทั้งคู่สบประสานกันกลางอากาศ และหันหน้าหนีพร้อมกันโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
บนแท่นบรรยายเสียงดังโหวกเหวก ทุกคนกำลังเลือกตั้งกรรมการห้อง
ซ่งจื่อฉีได้ตำแหน่งกรรมการด้านกีฬาด้วยคะแนนสูงมากอย่างสบายๆ เด็กหนุ่มบนแท่นบรรยายส่งสายตามาให้โจวซือเยวี่ย ไม่รู้ว่าทั้งสองคนตกลงอะไรบ้าๆ กันก่อนเลือกตั้ง
ด้วยความที่ตำแหน่งกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรมกับกีฬามักต้องทำงานร่วมกันมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากตำแหน่งกรรมการด้านกีฬาตกเป็นของซ่งจื่อฉีเรียบร้อยแล้ว ข่งซาตี๋ก็ยิ่งอยากได้ตำแหน่งกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรม
แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่เหมือนที่คาดการณ์ไว้
หยางฉุนจื่อที่ปกติเงียบๆ จู่ๆ ก็สมัครเป็นกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรม
หากบอกว่าโจวซือเยวี่ยเป็นเดือนประจำห้อง หยางฉุนจื่อก็น่าจะเป็นดาวประจำห้อง
ผู้หญิงคนนี้นับว่าเป็นโจวซือเยวี่ยในร่างผู้หญิง คะแนนสอบเข้ามัธยมปลายเจ็ดร้อยหนึ่งคะแนน ความสามารถในการเล่นเปียโนเกรดสิบ หน้าตาสะสวย ความจริงแล้วก็ไม่ถึงกับสวยเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากคิดรวมกับคุณสมบัติเหล่านี้ เธอก็น่าจะเป็นสาวสวยที่สุดในหมู่นักเรียนเรียนเก่ง
ติงเซี่ยนคิดมาตลอดว่าในห้องนี้คนที่สวยที่สุดคือข่งซาตี๋ แต่ยกเว้นต้องเป็นตอนที่ข่งซาตี๋ไม่พูด เพราะพอพูดแล้ว ท่าทีในการพูดไม่ได้ครึ่งหนึ่งของหยางฉุนจื่อเลย
“หยางฉุนจื่อกับข่งซาตี๋ นายเลือกใคร” ติงเซี่ยนถามโจวซือเยวี่ยที่กำลังตั้งใจทำโจทย์อยู่ข้างๆ
“เลือกอะไร” เห็นได้ชัดว่าโจวซือเยวี่ยไม่สนใจ เขามัวแต่ก้มหน้ามองโจทย์ใต้ปากกา
ติงเซี่ยนสูดหายใจลึกแล้วเคาะโต๊ะ “เลือกกรรมการห้องไง อย่างน้อยนายก็ต้องภูมิใจในพวกพ้องบ้างสิ”
โจวซือเยวี่ยขำแล้วมองเธอ “ถ้าเธอมีความภูมิใจในพวกพ้องมากขนาดนี้ ทำไมเธอไม่ลงสมัครล่ะ ถ้าเธอลงสมัคร ฉันเลือกเธอ”
“เลือกฉันทำบ้าอะไร!” กวางน้อยใจเต้นตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ ติงเซี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจและร้อนรน
“เพราะเธอโง่ไง”
“ตอนนี้คือให้เลือกระหว่างข่งซาตี๋กับหยางฉุนจื่อ”
เด็กหนุ่มคิดสักพักก่อนจะให้คำตอบ “หยางฉุนจื่อมั้ง”
ติงเซี่ยนเงียบทันที
ข่งซาตี๋คงไม่เสียใจเพราะโจวซือเยวี่ยไม่เลือกเธอ แต่ติงเซี่ยนกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเพราะโจวซือเยวี่ยเลือกหยางฉุนจื่อ
เวลานั้นแค่โจวซือเยวี่ยหันไปมองหยางฉุนจื่อแวบหนึ่ง ติงเซี่ยนก็จะก้มหน้าลงเงียบๆ
เธอเข้าใจความแตกต่างระหว่างเธอกับคนเหล่านี้ดี เธอรู้จักคนแบบโจวซือเยวี่ยดี เขาจะมาชอบคนอย่างเธอได้อย่างไร
บางทีเขากับเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้
บางทีสามปีหลังจากนี้เธอจะไปหางโจว เขาคงอยู่ที่ปักกิ่งต่อ
หลังจากนั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ก็เหมือนกับความฝันอันแสนหวานในวัยแรกแย้ม สุดท้ายกาลเวลาก็จะทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องไร้สาระ
ทันใดนั้นติงเซี่ยนก็เริ่มพิจารณาตัวเอง เธอเกือบลืมไปว่าตัวเองต้องทำอะไร ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เหมือนกับโจวซือเยวี่ย เขามีท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เขาจะทำตัวอิสระสบายๆ อย่างไรก็ได้ เป่ยต้ากับชิงหวากวักมือเรียกเขาอยู่แล้ว
ส่วนเธอคงไม่อาจเข้าไปอยู่ในชีวิตเขาได้
ของมันแน่นอนอยู่แล้ว
หลังจากทำความเข้าใจชัดเจนแล้ว ติงเซี่ยนก็มีแรงฮึดขึ้นมาในทันใด อดไม่ได้ที่จะใช้มือตบศีรษะตัวเอง
“เมื่อกี้เธอทำอะไรน่ะ!” โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งและล้ออย่างขำๆ “ปกติสมองก็ไม่ดีอยู่แล้ว ยังไปตีมันอีก ยังอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่มั้ย”
ติงเซี่ยนไม่เงยหน้า “สอบสิ สอบแน่”
“คราวนี้คิดดีหรือยังว่าจะสอบเข้าที่ไหน”
“หางโจวไง ไม่เคยเปลี่ยน”
โจวซือเยวี่ยส่ายหน้า “เด็กโง่ สอนไม่ได้จริงๆ”
“ต้องเป็นคนที่จะสอบเข้าชิงหวากับเป่ยต้าเท่านั้นเหรอถึงจะสอนได้”
โจวซือเยวี่ยเห็นติงเซี่ยนเอาจริงขึ้นมาก็รีบหุบยิ้มทันที เขาเปิดหนังสือต่อไปและพูดอย่างไม่สนใจ
“ฉันก็แค่พูดไปงั้น เธออยากสอบเข้าที่ไหนก็สอบเข้าที่นั่นแหละ ฉันไม่ขัดหรอก”
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
คุณชายโจวยังคงอ่านหนังสืออ่านนอกเวลาสบายๆ ของเขาเหมือนเดิม ติงเซี่ยนก็ยังคงต่อสู้กับวิชาคณิตศาสตร์ตัวดีอย่างเอาเป็นเอาตายไม่จบไม่สิ้น เลิกเรียนก็ยังคงจูงมือกับข่งซาตี๋ไปห้องน้ำเหมือนเดิม ด้วยรูปร่างหน้าตาของข่งซาตี๋จึงมักทำให้ผู้ชายห้องอื่นๆ สนใจ ขณะที่ติงเซี่ยนก็เหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่เดินข้างกายเธอ
ส่วนตำแหน่งกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรมของข่งซาตี๋ก็ถูกหยางฉุนจื่อตัดหน้าแย่งไปแล้ว
แม้ว่าข่งซาตี๋จะไม่เคยพูดอะไรต่อหน้าเธอ แต่ติงเซี่ยนก็รู้สึกได้ว่าข่งซาตี๋ไม่พอใจ แถมทำท่าเป็นศัตรูกับหยางฉุนจื่ออีกด้วย
ความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวช่างละเอียดอ่อน แค่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าสองคนนั้นไม่ถูกกัน
แต่สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับพวกผู้ชาย สองคนนี้จะตีกันอยู่แล้ว ทางนั้นยังเกาศีรษะงงๆ ถามอยู่เลยว่าพวกเธอทำอะไรกัน
แน่นอน หยางฉุนจื่อไม่ได้สนใจท่าทีที่เป็นศัตรูของข่งซาตี๋เลย เธอยังคงเป็นเทพธิดาแห่งสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ลอยไปลอยมา เวลาเจอกันระหว่างทางก็พยักหน้ายิ้มให้กัน หลังจากนั้นก็เดินจากไปราวกับเทพธิดาเหาะกลางอากาศ
ข่งซาตี๋ที่อยู่ทางด้านนี้เกือบจะกัดฟันตัวเองแตก จากนั้นก็พ่นออกมา “เสแสร้ง”
เสแสร้งที่ไหนกัน ติงเซี่ยนรู้สึกว่าหยางฉุนจื่อดูธรรมชาติมาก ธรรมชาติเสียจนเหมือนเทพธิดาที่ลอยลงมาจากบนฟ้า ดังนั้นจึงตบไหล่ข่งซาตี๋เบาๆ และปลอบโยน
“ความอิจฉาทำให้ไม่สวยนะ”
ข่งซาตี๋ตกใจรีบคลำหน้าตัวเอง “จริงเหรอ”
ติงเซี่ยนมองเงาหลังหยางฉุนจื่อแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “จริง”
ทันใดนั้นข่งซาตี๋กลับบีบไหล่เธอไว้และพูดอย่างจริงใจ “พูดตามตรง ฉันรู้สึกว่าถ้าเธอแต่งตัวสักหน่อยก็ไม่ได้ขี้เหร่ไปกว่ายายนั่นนะ” พูดจบก็พิจารณาใบหน้าเธอ “จริงนะ เธอก็แค่หน้าผากกว้างไปหน่อย ไปตัดหน้าม้าบังไว้หน่อยดีมั้ย สุดสัปดาห์นี้ไปตัดผมเป็นเพื่อนฉันนะ”
พูดง่ายๆ ก็คืออยากให้เธอไปเป็นเพื่อนตัดผม
“อยากให้ฉันไปเป็นเพื่อนตัดผมก็บอกมาตรงๆ เถอะ แต่สุดสัปดาห์นี้ฉันต้องติวหนังสือให้น้องชาย ออกมาไม่ได้”
ข่งซาตี๋กอดแขนเธอพลางอ้อนวอน “ทำไมชวนเธอทุกครั้งไม่ว่างตลอดเลย”
ติงเซี่ยนพูดเสียงเบา “ก็ไม่มีเวลาจริงๆ”
“โอเค” ข่งซาตี๋พูดอย่างหมดหวัง “งั้นฉันคงต้องไปกับเพื่อนเก่าแล้วล่ะ แต่ฉันพูดจริงๆ ความจริงแล้วเธอสวยมากนะ แค่หน้าผากกว้างไปหน่อยเลยดูเหมือนคนหน้าผากใหญ่ ถ้าปิดหน่อยจะสวยมาก”
ติงเซี่ยนจะกล้าตัดผมหน้าม้าได้อย่างไร แค่คิดยังไม่กล้าเลย เส้นผมบนศีรษะกระดิกเส้นเดียว แม่ก็เล่นงานเธอแล้ว
“หมอดูบอกว่าหน้าผากกว้างอีกหน่อยจะได้เป็นใหญ่เป็นโต ปิดไม่ได้”
ข่งซาตี๋ฟังแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เธอยังเชื่อเรื่องพวกนี้อีกเหรอ”
ทั้งสองคนกลับมาที่ห้องเรียน โจวซือเยวี่ยคุยเล่นกับซ่งจื่อฉี หลังพิงเก้าอี้สบายๆ เหมือนเคย
ติงเซี่ยนเพิ่งนั่งลงก็มีกระดาษส่งมาให้แผ่นหนึ่ง เธอจ้องดู…ใบลงสมัครกีฬาสี
“อะไร”
คุณชายโจวนั่งไขว่ห้าง “สมัครสิ”
ห้องสามมีผู้หญิงน้อย มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ละคนต้องลงแข่งสองรายการจึงจะครบจำนวน ติงเซี่ยนรู้ดีว่าไม่สามารถเป็นตัวถ่วงของห้องได้ เลยถือกระดาษใบสมัครคิดอยู่นาน และตัดสินใจเลือกกีฬาสองรายการที่คิดว่าพอจะเอาตัวรอดได้ นั่นก็คือกระโดดไกลกับกระโดดสูง
พอเขียนเสร็จก็เห็นหยางฉุนจื่อเดินมาตรงหน้า ยื่นกระดาษสองแผ่นให้โจวซือเยวี่ย
“กรอกกับเพื่อนร่วมโต๊ะนายหน่อย”
หลังจากนั้นติงเซี่ยนก็เห็นโจวซือเยวี่ยเอาขาที่ไขว่ห้างลงทันที
นี่คือความแตกต่าง
คุณชายน้อยคนนี้เคยรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าเธอที่ไหนกัน ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาจนจะถึงฟ้าอยู่แล้ว เขาก็ไม่เห็นจะชักกลับ
เมื่อจับสังเกตร่องรอยเหล่านี้ได้ก็พบต้นสายปลายเหตุทั้งหมด
ยังดีที่รู้ตัวเร็ว
ติงเซี่ยนได้สติกลับมาก็ก้มศีรษะลง
ลมพัดเบาๆ หน้าต่างขยับช้าๆ ข้างหูได้ยินเสียงตอบ “อือ” อย่างจริงจังแบบที่ไม่ค่อยเห็นนักของเด็กหนุ่มคนนี้ ดูเหมือนเขาพยายามลดท่าทีเล่นๆ ในยามปกติลง
หยางฉุนจื่อไม่พูดจามากความกับใคร แม้แต่โจวซือเยวี่ยก็ไม่ยกเว้น วางแบบฟอร์มลงบนโต๊ะเขาแล้วก็เดินจากไป กลับเป็นโจวซือเยวี่ยที่มองตามหลังเธอสักพัก หลังจากนั้นก็ยกมุมปากเหมือนเยาะเย้ยตัวเอง ยื่นแบบฟอร์มอีกแผ่นให้ติงเซี่ยน
ติงเซี่ยนรับมา ชำเลืองมองแวบหนึ่ง มันคือแบบฟอร์มรวบรวมข้อมูลความสามารถพิเศษ
เธอเกือบจะกรอกลงในตารางด้วยจิตใต้สำนึกว่าวาดรูป แต่พอคิดไปได้หนึ่งวินาทีก็ลบทิ้งและเขียนใหม่อย่างจริงจังว่าสเก็ตช์ภาพ
“ฉันว่าเธออยากหาคนทำบอร์ดกระดานข่าว” โจวซือเยวี่ยเขียนว่า ‘ไม่มี’ หลังจากนั้นก็ส่งเสียงฮึเบาๆ เมื่อเห็นความสามารถพิเศษของติงเซี่ยน
ติงเซี่ยนพับกระดาษอย่างระมัดระวัง “ฉันเต็มใจ”
ตอนอยู่เหยียนผิง เธอเป็นคนทำบอร์ดกระดานข่าวเป็นเวลาสามปี เรื่องเล็กน้อยแบบนี้สบายมากสำหรับเธอ แถมยังเป็นสิ่งเดียวที่เธอสนใจนอกเหนือจากการเรียนด้วย
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ วันรุ่งขึ้นหลังจากส่งแบบฟอร์มไปแล้ว เทพธิดาหยางฉุนจื่อก็มาหาติงเซี่ยนด้วยตัวเอง และขอให้เธอมาร่วมทำบอร์ดกระดานข่าวด้วยกัน
ติงเซี่ยนลังเลสักครู่ เธอก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องทำบอร์ดกระดานข่าว แต่ไม่เคยคิดว่าจะทำกับหยางฉุนจื่อ นอกจากนี้เรื่องการทำบอร์ดกระดานข่าวก็ไม่ใช่หน้าที่ของกรรมการด้านศิลปวัฒนธรรม
“ทำไม กลัวเหรอ” โจวซือเยวี่ยเลิกคิ้วมองเธอ
กลัวกับผีอะไร ติงเซี่ยนค้อนเขาแล้วจึงหันไปตอบหยางฉุนจื่อ “ได้”
เทพธิดายิ้มให้เธอ “ดี บอร์ดกระดานข่าวสัปดาห์แรกหัวข้อหลักคือกีฬาสี อาทิตย์หน้าจะมีการตรวจแล้ว ช่วงนี้อาจต้องรบกวนเธอเลิกเรียนแล้วอยู่ต่อนะ”
ติงเซี่ยนพยักหน้า
หลังจากหยางฉุนจื่อจากไป โจวซือเยวี่ยก็ก้มหน้าหัวเราะอย่างเย็นชา จู่ๆ ติงเซี่ยนก็หันไปพูด
“ตอนนี้นายอิจฉาฉันมากเลยใช่มั้ยล่ะ”
โจวซือเยวี่ยหันมามองเธอ สีหน้างุนงง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “อิจฉา…เธอ?”
ติงเซี่ยนพยักหน้า สายตาเคลื่อนไปที่แผ่นหลังของหยางฉุนจื่อ ความหมายก็คือ ‘ฉันได้ทำบอร์ดกระดานข่าวกับหยางฉุนจื่อ นายอิจฉาฉันมากเลยใช่มั้ย’
โจวซือเยวี่ยมองอยู่นานก็ไม่เข้าใจ สายตามองตามเธอไปสองสามวินาทีก็หันกลับมา จู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง
“หมายความว่ายังไง”
ติงเซี่ยนยิ้มค้าง รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่ามากจริงๆ
ทำไมต้องถามคำถามแบบนี้
เธอตัดสินใจไม่พูดต่อ แลบลิ้นและโบกมือตอบกลับไป “ไม่มีอะไรๆ ฉันว่าง รีบทำการบ้านเถอะ”
โจวซือเยวี่ยมองเธอสามวินาทีอย่างไม่เข้าใจ และ ‘เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก’ หลังจากนั้นก็พ่นออกมาคำหนึ่งอย่างเย็นชา
“บื้อ”
นายสิบื้อ นายบื้อมาก นายบื้อที่สุด ติงเซี่ยนตอบในใจ
ปรากฏว่าเด็กหนุ่มพลิกหน้าหนังสืออย่างสบายๆ สายตาจับจ้องไปที่หนังสือ หนังตาดูเหมือนขี้เกียจจะยกขึ้น
“มีอะไรก็พูดมา ชอบเก็บไว้แบบนี้ ไม่กลัวเก็บไว้จนบูดหรือไง”
“นายนั่นแหละบื้อ” ไม่เคยเห็นใครน่าด่าขนาดนี้
พูดจบก็ไม่สนใจเขา เปิดหนังสือแบบฝึกหัดเริ่มทำโจทย์
โจวซือเยวี่ยยกมุมปาก อารมณ์ดีขึ้น
ภายในห้องเรียนจู่ๆ ก็เกิดเสียงดัง ข้างหน้าต่างมีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านไป ข่งซาตี๋หันมาตบโต๊ะติงเซี่ยนด้วยความตื่นเต้น
“เดือนโรงเรียน เดือนโรงเรียน! รีบดูเดือนโรงเรียนเร็ว!”
เอ๊ะ มีเดือนโรงเรียนด้วยเหรอ
ติงเซี่ยนคิดมาตลอดว่าเดือนประจำโรงเรียนมัธยมเยี่ยนซานก็คือโจวซือเยวี่ย ดูท่าเธอน่าจะเป็นกบในกะลาจริงๆ จากนั้นก็มองออกไปด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น มีเด็กหนุ่มผอมสูงคนหนึ่งยืนคุยอยู่กับหยางฉุนจื่อที่ระเบียงด้านนอก
เดือนโรงเรียนรูปร่างหน้าตาสมเป็น ‘เดือนโรงเรียน’ จริงๆ
ย้อมผมสีแดง จอนโกนจนเกลี้ยงเกลา หน้าผากไว้ผมหน้าม้าหนาดก สำหรับติงเซี่ยนในนาทีนั้น นี่นับว่าทันสมัยมาก แต่เขาหน้าตาดูดีจริงๆ แทบจะใช้คำว่าสวยมาบรรยายได้เลย สวยกว่าผู้หญิงเสียอีก
นี่ๆๆ…ใครบอก
เธอยังชอบแบบสะอาด เท่ๆ และดูสง่าแบบโจวซือเยวี่ยมากกว่า
ส่วนเด็กเปรี้ยวๆ อย่างข่งซาตี๋ชอบคนหน้าตาแบบนี้ “เซี่ยนเซี่ยน เธอว่า…เธอว่าเขาเหมือนดาราเกาหลีมั้ย คนที่ดังมากๆ ช่วงนี้อะ”
เด็กสาวที่ไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์แบบติงเซี่ยน แค่ดาราในประเทศเธอยังรู้จักไม่ครบเลย จะไปรู้จักดาราเกาหลีได้อย่างไรกัน
จากนั้นข่งซาตี๋ก็ขมวดคิ้ว เอานิ้วชี้เคาะขมับเบาๆ ในที่สุดก็คิดออก “ฮยอนบิน! หล่อระเบิดไปเลยใช่มั้ย”
“ใช่ๆๆ หล่อสุดๆไปเลย” ติงเซี่ยนพูดผสมโรง “เขาอยู่ห้องไหนเหรอ ชื่ออะไร”
“ซย่าซือหาน ห้องแปดมั้ง ชื่อก็เพราะมากเลยเนอะ ใช่มั้ย”
ติงเซี่ยนพยักหน้าถี่เหมือนตำกระเทียม เห็นด้วยกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว “เพราะมากเลย”
ขณะที่พวกเธอพูดก็ได้ยินคำสองคำลอยมาเข้าหู…
ซ่งจื่อฉี “บ้าผู้ชาย”
โจวซือเยวี่ย “ซื่อบื้อ”
พวกเธอทั้งคู่ทำเป็นไม่ได้ยินและถกกันต่อไป
ติงเซี่ยนถาม “คะแนนเรียนเป็นยังไง” ที่จริงแล้วเธออยากจะถามว่าคะแนนดีกว่าโจวซือเยวี่ยไหม
“เป็นเด็กที่เข้ามาโดยอัตโนมัติเพราะเรียน ม.ต้น ที่นี่ คะแนนไม่ค่อยดี แต่ก็เป็นเดือนโรงเรียน เชิดหน้าโชว์หน่อยก็โอเคแล้ว เธอไม่รู้สึกเหรอว่าการเดินเคียงคู่เขามันเท่สุดๆ ไปเลย”
ติงเซี่ยนอยากบอกว่าไม่รู้สึก แต่เมื่อเธอมองโจวซือเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
ในจังหวะเดียวกันโจวซือเยวี่ยก็หัวเราะส่งเสียงออกมา “ถ้าซย่าซือหานรู้ว่าห้องสามมีพวกเธอสองคน เดาว่าครั้งหน้าคงไม่กล้ามาหาหยางฉุนจื่อแล้ว”
ชิ
สองคนที่ระเบียงคุยกันเสร็จ หยางฉุนจื่อก็กอดหนังสือกลับเข้ามา ซย่าซือหานที่กำลังจะไปก็มองมาที่ประตูด้านหลังและทักทายโจวซือเยวี่ยคำหนึ่ง หลังจากนั้นก็ก้าวยาวๆ เดินจากไป
ต่อมาติงเซี่ยนถึงรู้ว่าเพื่อนร่วมโต๊ะเธอคนนี้มีชื่อเสียงขนาดไหน
โจวซือเยวี่ยมีชื่อเสียงมากตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มัธยมต้นแล้ว เพื่อนเยอะ และเป็นเพื่อนกับ ‘คนทุกประเภท’ เพราะว่าเขาเก่งคณิตศาสตร์ และมักเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งระดับประเทศก็เลยรู้จักนักเรียนต่างโรงเรียนไม่น้อย
แทบจะทุกห้องต้องมีคนสองคนที่รู้จักเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจี่ยงเฉินและซ่งอี๋จิ่นซึ่งเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แม้แต่หยางฉุนจื่อกับซย่าซือหาน แต่ก่อนก็ล้วนเป็นเพื่อนนักเรียนร่วมห้องกับเขา
หลังซย่าซือหานจากไป จู่ๆ โจวซือเยวี่ยก็มองเธอและพูดขึ้นมา “ดูไม่ออกว่าเธอชอบแนวนี้?”
รอยยิ้มเขาสะดุดตาติงเซี่ยนมาก สาวน้อยพึมพำจากจิตใต้สำนึก “ไม่มีใครกำหนดว่าฉันต้องชอบแบบนายนี่นา…”
ในห้องเรียนมีเสียงอึกทึกครึกโครม เสียงพึมพำจึงดังมาไม่ถึงหู โจวซือเยวี่ยได้ยินไม่ชัด เขาจึงส่งเสียง “ฮะ” ออกมา
ติงเซี่ยนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เธอจึงมองเขาอย่างลนลาน “ไม่มีอะไร”
“ฉันรู้สึกว่าพักนี้เธอดูวิตกจริตแปลกๆ…” โจวซือเยวี่ยชำเลืองมองเธอ “ไม่ใช่เรียนจนเป็นบ้าไปแล้วหรอกนะ?”
ติงเซี่ยนไม่สนใจเขา เธอฟุบลงบนโต๊ะ
ภายในโรงเรียนมีเสียงประกาศช่วงกลางวันดังขึ้น เป็นเสียงผู้หญิงอ่อนหวานน่าฟังดังเข้าหู
“…มีลมอ่อน มีเมฆขาว มีเธอข้างกายฉัน
คอยรับฟังจิตใจที่มีความสุขและตื่นเต้นของฉัน
ความปรารถนาของฉันแท้จริงแล้วน้อยนิด แค่เพียงได้ใช้ชีวิตเช่นฤดูร้อนครั้งนั้น
แค่เพียงได้ผ่านอีกครั้ง เช่นนั้นอีกสักครั้ง”
บทกลอน ‘เดินเคียงข้างคุณ’ ของสีมู่หรง[1] ที่อ่านโดยผู้จัดรายการหญิงไพเราะน่าฟังมาก เสียงเหมือนนกนางแอ่นเกาะบนกิ่งไม้ เสียงนั้นดังไปทุกซอกทุกมุมในรั้วโรงเรียน ก้องกังวาน และเข้าหูเธออย่างต่อเนื่อง
ติงเซี่ยนฟังแล้วเคลิบเคลิ้มไปถึงหัวใจ แววตาเศร้าลง จู่ๆ ข้างหูก็ได้ยินเสียงคนข้างๆ พูดอย่างไม่เข้าใจอารมณ์ประเภทนี้
“ทำไมต้องอ่านอะไรพวกนี้ด้วย สู้อ่านสมการเลขก็ไม่ได้ ทั้งหนวกหู ทั้งเสียเวลา”
“…” นายไปตายกับคณิตศาสตร์ของนายเถอะไป!
ตั้งแต่ตัดสินใจเอาตัวออกมาจากวังวนแห่งการแอบรักข้างเดียว ช่วงเวลาร่วมโต๊ะเดียวกันที่เหลือเพียงหนึ่งสัปดาห์ทำให้ติงเซี่ยนทรมานมาก เพราะเธอควบคุมตัวเองไม่ได้ ผิวเผินแสร้งทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่มักอดที่จะชำเลืองมองเขาไม่ได้
มองแนวนอน แนวตั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าโจวซือเยวี่ยยิ่งมองยิ่งหล่อ ยิ่งมองยิ่งดูดี โดยเฉพาะตอนทำโจทย์
ท่าทางหมุนปากกาอย่างคล่องแคล่วนั้นทำให้เธออดจ้องมองไม่ได้ พอมองเสร็จก็รู้สึกวุ่นวายใจ
ตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในวังวนแล้วจริงๆ
ปีนขึ้นมาหนึ่งฟุตก็ดิ่งลงไปสามฟุต กลับกลายเป็นว่าตกลงไปลึกกว่าเดิม เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรง รำคาญตัวเอง และรำคาญเขาที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย
ดังนั้นจึงมีฉากต่อไป…
“นายน่ารำคาญจังเลย หยุดหมุนได้มั้ย!”
โจวซือเยวี่ยมองเธออย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจ ก้มหน้าทำโจทย์ต่อไป
ส่วนปากกาก็หยุดหมุนแล้ว
ส่วนใหญ่เวลาที่ผู้หญิงโมโหอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ผู้ชายล้วนนึกว่าคงถึงวันนั้นของเดือน โจวซือเยวี่ยก็เหมือนกัน ดังนั้นตอนที่ติงเซี่ยนตะโกนใส่เขาอย่างรำคาญ เขาก็ตอบเธออย่างอารมณ์ดีซึ่งหาได้น้อยครั้ง
“นี่? เป็นอะไรไปอีกล่ะ”
เสียงพูดของเขาเดิมทีก็น่าฟังอยู่แล้ว ยิ่งเสียงปลอบที่ขึ้นจมูกนิดๆ แบบนี้ก็ทำให้ติงเซี่ยนอึ้งไป
ตลกจริงๆ เขาเคยปลอบใครเมื่อไร มีครั้งไหนที่ไม่ซัดเธอจนเละบ้าง
จังหวะนั้นเธออยากจะเขย่าไหล่เขาเหมือนที่เอ่อร์คังกับจื่อเวย* ทำเหลือเกิน จากนั้นก็ตะโกนถามเขาเสียงดังๆ ว่า…‘สรุปนายชอบฉันมั้ย!!!’
แต่เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความกล้าหาญขนาดนั้น แค่เขาใช้สายตานิดเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวเธอเองแพ้ราบคาบ
เธอไม่กล้าถาม ยิ่งไปกว่านั้นก็กลัวที่จะรู้คำตอบด้วย ถึงขนาดมีบางครั้งที่เธอยังอยากจะให้การแอบรักข้างเดียวครั้งนี้จบลงสักที
ไม่ให้ใครรู้จนวันตาย
* เลขแปด ในภาษาจีนคือ 八
* เป่ยต้า หรือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน มีอัตราการแข่งขันสอบเข้าสูงมากพอๆ กับมหาวิทยาลัยชิงหวา
* ปลาเค็ม เปรียบเปรยถึงคนที่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก คนที่ไร้ความสามารถ หรือคนขี้แพ้
** ทะเลสาบซีหู คือสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองหางโจว เป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาด ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน เขื่อนดินเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับตำนานนางพญางูขาว เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่นางพญางูขาวกับ ‘สวี่เชียน’ สามีของนางใช้ชีวิตร่วมกัน
*** เจดีย์เหลยเฟิง คือเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมสูงห้าชั้น ตั้งอยู่บนยอดเขาเป่าซื่อซานริมทะเลสาบซีหู ตามตำนานนางพญางูขาวกล่าวว่า ‘ฝ่าไห่’ เจ้าอาวาสวัดจินซานไม่พอใจที่งูขาวกับมนุษย์จะครองรักกัน จึงเข้าขัดขวางโดยการจับนางพญางูขาวขังไว้ใต้ฐานเจดีย์แห่งนี้
**** สะพานต้วนเฉียว หรือสะพานขาด คือสถานที่ที่เชื่อกันว่านางพญางูขาวพบกับสวี่เชี่ยนเป็นครั้งแรกจนทั้งสองได้ครองรักกัน ในช่วงฤดูหนาวเมื่อมีหิมะตกลงมาจะมองไม่เห็นสะพานจนดูเหมือนสะพานขาด จึงเป็นที่มาของชื่อสะพานขาด
***** เทียนอันเหมิน คือจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เป็นสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของจีน
[1] สีมู่หรง (席慕蓉) นักเขียนและจิตรกรชาวจีน
* เอ่อร์คัง (尔康) กับจื่อเวย (紫薇) คือพระ-นางในละครโทรทัศน์เรื่ององค์หญิงกำมะลอ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมีนาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.