X
    Categories: Jamsaiทดลองอ่านพานพบฝ่าบาทในห้วงกาล

ทดลองอ่าน พานพบฝ่าบาทในห้วงกาล บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 36

บทที่ 3

จึกๆ… จึกๆๆๆ…

ฝ่ามือที่ทั้งเย็นและเล็กกำลังแตะแก้มของฉันอยู่

จึกๆ…

“ฮิๆ”

ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อย เหมือนเด็กน้อยคนนี้กำลังปลุกฉันที่นอนหลับลึกอยู่

“อิๆๆๆ”

พอฉันค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เด็กผู้ชายอายุสักสี่ห้าขวบที่สวมเสื้อผ้าไหมตัวยาวทับลงบนเสื้อหลายชั้น และสวมหมวกขนสัตว์ก็ทำตาโตแล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างตกใจ

ที่ด้านนอกหิมะกำลังตกอยู่…

ฉันมั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในยุคโชซอนแล้ว เสียงตะโกนของอายังคงดังก้องอยู่ในหู ฉันดึงผ้าห่มออกเพื่อที่จะลุกออกไปดูข้างนอก แต่แล้วฉันก็ต้องตกใจ เพราะร่างของฉันกำลังสวมชุดฮันบกสีขาว ฉันจำได้ว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนชุดฮันบกก่อนมาที่นี่นี่นา

แล้วที่นี่คือที่ไหน ไม่ใช่บ้านคนธรรมดาแน่นอน เพราะเป็นบ้านหลังคามุงกระเบื้อง แล้วเด็กน้อยคนเมื่อครู่คือใครกัน

ตอนนั้นเองใครสักคนก็เดินเข้ามา ดูจากการแต่งกายแล้วเหมือนซังกุงนางในเดินเข้ามานั่งบนเตียงตรงปลายเท้าของฉัน

“ตื่นแล้วรึ”

“เอ่อ…ค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นเก็บเครื่องนอน แล้วเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม”

“เครื่องนุ่งห่มหรือคะ”

ซังกุงตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยปาก นางลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดคำอื่นออกมาที่ไม่ใช่คำพูดที่นางอยากพูดในตอนแรก

“ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเจ้าเลย ดังนั้นเจ้าต้องเปลี่ยนมาใส่เครื่องนุ่งห่มของนางในก่อนที่คนอื่นๆ จะมาพบเจอเจ้า”

“ที่นี่คือวังหรือคะ”

“ที่นี่คือพระราชวังชั่วคราว”

ถ้าบอกว่าเป็นพระราชวังชั่วคราวก็เท่ากับว่านี่คือวังชั่วคราวที่พระราชาใช้เสด็จแปรพระราชฐานสินะ ถ้าพระราชาประทับอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นเพียงบ้านธรรมดาๆ ก็ยังถูกเรียกว่าวังอยู่ดี สิ่งก่อสร้างนี้มีโครงสร้างใกล้เคียงกับบ้านหลังคามุงกระเบื้องของขุนนางมากกว่าจะเป็นพระราชวังภายในวัง

ซังกุงหยิบเสื้อสีเขียวหยกกับกระโปรงสีฟ้าอมม่วงยื่นให้ฉัน แล้วยังมีเสื้อคลุมตัวนอกอีกหนึ่งตัวด้วย นี่เป็นชุดของซังกุงในสมัยโชซอนอย่างแท้จริง แต่ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนชุด ฉันอยากถามอะไรอีกสักอย่าง แน่นอนว่าตอนนี้ฉันอยู่ในโชซอน แต่ฉันมาฟื้นในวังนี้ได้อย่างไรกัน

“คือ… ฉันมาอยู่ที่นี่ได้…ยังไงคะ”

“รีบเปลี่ยนชุดก่อนเถิด ผู้ที่จะแจ้งเรื่องราวต่างๆ กับเจ้ากำลังมา” ซังกุงพูดพลางพับผ้าห่มที่ฉันใช้ห่มเมื่อครู่ พอฉันเปลี่ยนชุดเสร็จ ซังกุงก็พับผ้าห่มเสร็จเรียบร้อยพอดี

“สิ่งที่ข้าจะบอกไป เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจและจงปฏิบัติตาม” สีหน้าและน้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความหมายล้ำลึก

“แม้ที่นี่จะเป็นแค่พระราชวังชั่วคราว แต่พระราชา พระมเหสี องค์ชายรัชทายาทและพระชายา รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ล้วนประทับอยู่ที่แห่งนี้ เจ้าห้ามไปไหนมาไหนตามอำเภอใจโดยเด็ดขาด เจ้าจะออกจากห้องนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเท่านั้น และถึงแม้จะอยู่ในห้องนี้ก็ห้ามส่งเสียงดัง หากคนอื่นล่วงรู้ว่ามีสตรีอื่นอยู่ในนี้ เรื่องราวอาจลุกลามบานปลายไปได้ เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”

“แต่…ฉันไม่รู้นี่คะว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…”

“อ่ะแฮ่ม”

ตอนนั้นเองเสียงกระแอมของชายหนุ่มก็ดังมาจากด้านนอกของประตู ซังกุงจึงรีบลุกขึ้น “เชิญเพคะ”

ซังกุงส่งสายตามาทางฉันราวกับจะบอกให้ฉันลุกขึ้น ฉันจึงลุกขึ้นตามนาง ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มที่อายุประมาณยี่สิบเดินเข้ามาข้างใน เขาสวมหมวกขนสัตว์ที่ทำจากมาร์เทิน ซึ่งหมวกขนมาร์เทินถือเป็นของมีราคาที่แม้แต่ขุนนางธรรมดาๆ ในยุคโชซอนก็ไม่สามารถสวมได้ ที่นี่คือพระราชวัง ดังนั้นชายผู้นี้น่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์

แล้วซังกุงก็คลายความสงสัยของฉัน

“องค์ชายจองวอนเพคะ”

เขาคือเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งที่มีพระนามว่า ‘องค์ชายจองวอน’ ทันทีที่องค์ชายจองวอนรับคำทักทายจากซังกุง เขาก็มองมาทางฉัน ก่อนจะส่งสายตาไปทางซังกุง

“เจ้าออกไปได้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

“เพคะองค์ชาย”

ซังกุงถวายความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกไปจากห้อง ตอนนี้จึงเหลือแค่องค์ชายจองวอนกับฉัน สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลว่าจะพูดอะไรกับฉันดี หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก เขาก็เดินผ่านฉันไปนั่งที่เบาะที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้

“นั่งสิ”

ฉันนั่งลงตรงที่ไม่ไกลจากเขาด้วยท่านั่งสบายๆ แต่พอรู้สึกได้ถึงสายตาตำหนิของเขา ฉันจึงเปลี่ยนเป็นท่านั่งแบบหญิงยุคโชซอนแทน สี่ปีแล้วที่ไม่ได้นั่งท่าน่าอึดอัดที่ต้องประสานมือเอาไว้อย่างนอบน้อมเช่นนี้

“เจ้าคงสงสัยว่าสตรีอย่างเจ้าเข้ามาอยู่ในวังนี้ได้อย่างไร”

“ใครพาหม่อมฉันมาที่นี่หรือ…เพคะ”

เขามองหน้าฉันที่ถามแทรกขึ้นมา แต่แล้วเขาก็ยิ้มบางๆ ฉันเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้มาจากองค์ชายควังแฮ แล้วตอนนั้นเองสายตาของเขาก็เบนกลับมาที่ใบหน้าของฉันอีกครั้ง

“อาณาจักรนั้น อาณาจักรที่เจ้าอยู่ ดูเหมือนทุกคนจะเท่าเทียมกันหมด ไม่แบ่งชายหญิงและชนชั้นวรรณะสินะ”

“…” ฉันอึ้งงันกับคำพูดของเขา

‘อาณาจักรนั้น’ อย่างนั้นหรือ ‘อาณาจักรที่เจ้าอยู่’ อย่างนั้นหรือ คนคนนี้รู้ว่าฉันมาจากที่อื่นสินะ แล้วรู้ได้อย่างไรกัน

เขามองใบหน้าตกใจของฉัน แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าก็แค่สันนิษฐานเอาเท่านั้น… มันเป็นเรื่องจริงรึ”

“พระองค์มีหลักฐานอะไรถึงได้พูดเช่นนี้เพคะ”

คำว่า ‘องค์ชายจองวอน’ ก็บ่งบอกถึงสถานะอยู่แล้ว ฉันจึงถามด้วยคำพูดสุภาพที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ ซึ่งไม่เหมาะกับนิสัยของฉันเลย

“เมื่อเที่ยงของวันนี้ข้าออกไปล่าสัตว์ จู่ๆ สายลมแรงก็พัดมา และพอสายลมนั่นหายไป ข้าก็พบหญิงนางหนึ่งนอนหมดสติอยู่ พอข้าเห็นเช่นนั้น ข้าก็มั่นใจมาก เพราะข้าเคยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรจากคนคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้วว่าคนจากอาณาจักรนั้นจะมาพร้อมสายลม แล้วสายลมนั้นก็จะหายไป ดังนั้นข้าจึงสันนิษฐานว่า…”

“คนคนนั้น? ใครหรือเพคะ”

ถ้าไม่ใช่พ่อ คนที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็น่าจะเป็นคนเดียวเท่านั้น

“เรื่องของท่านนั้น ข้าคงไม่สามารถพูดตามอำเภอใจได้…”

“องค์ชายควังแฮใช่ไหมเพคะ”

คำว่า ‘องค์ชายควังแฮ’ ที่ออกมาจากปากของฉันทำให้เขาทำหน้าตกใจเล็กน้อย แสดงว่าใช่องค์ชายควังแฮแน่นอน

“ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหมเพคะ หม่อมฉันต้องพบเขาเพคะ ตอนนี้เลย”

องค์ชายจองวอนจ้องมองฉันที่เตรียมพร้อมจะออกจากห้องนี้เสมอเพียงแค่เขาบอกสถานที่ที่องค์ชายควังแฮอยู่ แต่เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ท่าทางของเขาดูสุขุมเยือกเย็นมากจนฉันต้องลดความตื่นเต้นลงไป

“ถ้าคนที่เจ้าต้องการพบไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้ ถ้าเจ้าไม่สามารถพบได้ เจ้าจะหายไปกับสายลมอีกครั้งหรือไม่”

ฉันไม่เข้าใจคำพูดขององค์ชายจองวอนเลย คนที่เล่าเรื่องฉันให้เขาฟัง และทำให้เขารู้เรื่องฉัน ไม่ใช่องค์ชายควังแฮเหรอ ถ้าไม่ใช่ หรือว่าฉันมาในยุคหลังจากที่องค์ชายควังแฮเสียชีวิตไปแล้ว

ไม่สิ ต้องไม่เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นเด็ดขาด ฉันจะต้องเจอพ่อให้ได้

“หม่อมฉันไม่ทราบหรอกนะเพคะว่าพระองค์เห็นอะไรตอนที่หม่อมฉันสลบอยู่ แต่จะไม่เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นอีกแน่นอนเพคะ ดังนั้นขอร้องเถอะนะเพคะ ถ้าคนที่เล่าเรื่องนั้นให้พระองค์ฟังคือองค์ชายควังแฮ ขอหม่อมฉันพบกับเขาตอนนี้เลยได้ไหมเพคะ”

“แล้วเจ้าจะไปเจอท่านนั้นเพื่อสิ่งใด”

“หมายถึงว่าทำไมต้องเจอใช่ไหมเพคะ เรื่องนั้นฉันต้องเจอกับเขาแล้วบอกเขาด้วยตนเอง”

ฉันต้องรบกวนเขา ทำยังไงก็ได้ให้ฉันอยู่ในวังได้ เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้จักฉัน น่าจะช่วยเหลือฉันได้ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่พระนางอินมกถูกถอดยศซึ่งเป็นช่วงที่พ่อปรากฏตัว ตอนนั้นเขาเป็นพระราชาแห่งโชซอน เพราะอย่างนั้นฉันจึงต้องการความช่วยเหลือจากเขา

“ถ้าข้าบอกว่าเป็นไปไม่ได้เล่า”

“อะไรนะเพคะ”

“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้”

“ทำไมล่ะเพคะ พระองค์คือองค์ชายจองวอน ซึ่งก็หมายความว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นการพาหม่อมฉันไปพบองค์ชายควังแฮก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงเกินไป ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันฝากไปทูลองค์ชายควังแฮได้ไหมเพคะว่าหม่อมฉันอยู่ที่นี่ หม่อมฉันมั่นใจว่าทันทีที่พระองค์ทราบ จะต้องเรียกหม่อมฉันเข้าไปพบแน่นอนเพคะ”

“เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจถึงเพียงนั้น”

“เพราะว่า…”

เพราะองค์ชายควังแฮเคยบอกว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่สิ อาจจะมีแค่ฉันคนเดียวก็ได้ที่คิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้คนที่สามารถช่วยเหลือฉันในโชซอนนี้ได้มีเพียงแค่องค์ชายควังแฮเท่านั้น

“เพราะว่า…ถ้าหม่อมฉันได้เจอกับองค์ชายก็จะรู้เองเพคะ”

ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อได้เจอองค์ชายควังแฮ แต่ว่าก็ต้องยืนกรานออกไปแบบนั้น องค์ชายจองวอนจึงถอนหายใจยาวกับการพูดจาดื้อดึงของฉัน

“ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ”

“หมายความว่าอย่างไรเพคะ”

“ก่อนอื่นที่แห่งนี้คือพระราชวังชั่วคราว สงครามเพิ่งสงบได้ไม่นาน พระราชาจึงต้องประทับอยู่ในพระราชวังอันคับแคบแห่งนี้ รวมถึงเชื้อพระวงศ์อีกมากมาย ตัวเจ้ายังไม่สามารถยืนยันสถานะของตนเองได้เลย แล้วเจ้าจะไปเข้าเฝ้าได้อย่างไรกัน…”

“เดี๋ยวนะเพคะ สงครามเพิ่งสงบได้ไม่นานหรือเพคะ”

ตอนที่องค์ชายควังแฮมาในยุคปัจจุบัน ที่โชซอนคือปี 1592 พ่อก็เสียชีวิตที่ฮเว-รยองในปีนี้เช่นกัน ตอนนั้นสงครามอิมจินกำลังร้อนระอุ แต่ตอนนี้องค์ชายจองวอนกำลังบอกว่าสงครามนั้นจบไปแล้ว ตอนนี้มันปีไหนแล้วล่ะ

“พวกทหารญี่ปุ่นเพิ่งถอนกำลังออกไปได้ไม่กี่ปี”

ในปี 1592 ที่เกิดสงครามอิมจิน องค์ชายควังแฮที่ดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทในตอนนั้นมีอายุสิบแปดปีเท่าฉัน แต่ถ้าอิงตามที่องค์ชายจองวอนบอกว่าทหารญี่ปุ่นเพิ่งถอนกำลังไปได้ไม่กี่ปี ปีในตอนนี้ก็จะราวๆ ปี 1599 เท่ากับว่าฉันจากกับองค์ชายควังแฮมาตั้งเจ็ดปี มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองปี แต่เวลาผ่านไปตั้งเจ็ดปี!

แต่ยังโชคดีที่ตอนนี้องค์ชายควังแฮยังเป็นแค่องค์ชายรัชทายาท เขาจะได้เป็นพระราชาในอีกเก้าปี วันที่ฉันสามารถพบกับพ่อได้ก็คือหลังจากที่องค์ชายควังแฮขึ้นครองราชย์แล้ว เท่ากับว่าหลังจากนี้อีกสิบปี เวลายังอีกยาวไกล แต่ปัญหาคือระหว่างนั้นฉันต้องอยู่ในวัง

แต่…นี่ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว องค์ชายควังแฮจะยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่า

“เจ้ายังสงสัยสิ่งใดอีกหรือไม่” องค์ชายจองวอนถามขึ้น

“เรื่องของหม่อมฉัน พระองค์ได้ยินเรื่องของหม่อมฉันจากองค์ชายควังแฮ…จริงๆ หรือเพคะ”

“ข้าได้ยินมาจาก ‘องค์ชายรัชทายาท’ จริงๆ”

พอเขาเน้นคำว่า ‘องค์ชายรัชทายาท’ ประสาทของฉันก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมานิดหน่อย จริงสิ เพราะสำหรับฉันแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเวลาผ่านมาเจ็ดปี ฉันยังจดจำภาพองค์ชายควังแฮที่อายุเท่ากับฉันได้ดีเมื่อเจ็ดปีก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะอายุเท่ากับฉัน แต่เขาก็คือองค์ชายรัชทายาท ผู้ซึ่งคนในยุคโชซอนไม่อาจเรียกขานได้ตามอำเภอใจ

“แล้วหม่อมฉันต้องทำอย่างไรถึงจะได้พบองค์ชายรัชทายาทเพคะ”

“ตอนนี้เป็นไปไม่ได้หรอก”

ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้! ฉันต้องฟังคำว่าไม่ได้ไปอีกสักกี่ครั้งกัน

“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันสามารถพบองค์รัชทายาททีหลังได้ไหมเพคะ”

“ต้องดูเวลาก่อน ข้าให้คำมั่นไม่ได้หรอก”

“พระองค์ช่วงเร่งให้หน่อยสิเพคะ ช่วยเร่งให้หน่อย”

“เจ้าจะวิงวอนไปถึงไหน”

ฉันเริ่มจะเกลียดคำพูดถามคำตอบคำขององค์ชายจองวอนแล้ว แม้จะอยากพูดจาหาเรื่องอย่างที่ใจคิดสักแค่ไหน แต่ที่นี่คือโชซอน และฉันก็ไม่สามารถกลับไปยังปัจจุบันได้ ไม่ใส่สิ ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ต่างหาก สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการได้เจอกับองค์ชายควังแฮเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดหรอกนะว่าเรื่องทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยการเจอกับเขา แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่าน่าจะแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นพระองค์พาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมเพคะ หากพระองค์พาหม่อมฉันมาที่นี่เพราะว่าเชื่อคำที่องค์ชายรัชทายาทเล่าให้ฟัง พระองค์ก็น่าจะทำให้หม่อมฉันได้พบกับองค์ชายรัชทายาทไม่ใช่หรือเพคะ”

หนึ่งในคำพูดของฉันคงจี้ใจดำเขา หรือไม่ก็คงไม่มีใครหน้าไหนเคยพูดจาแบบนี้กับเขามาก่อน เพราะวินาทีที่เขาฟังคำพูดของฉัน ใบหน้าของเขาพลันฉายแววสับสน เขาละสายตาจากฉันไปชั่วขณะ แล้วเพ่งมองนอกหน้าต่างที่ถูกปิดเอาไว้ ฉันรู้สึกเหมือนความเงียบนี้มันช่างยาวนานมาก

แต่แล้วเขาก็ตอบออกมาก่อนที่ฉันจะรู้สึกเบื่อมากไปกว่านี้

“ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องอธิบาย หากแต่เป็นเจ้าที่ต้องอธิบายให้ข้าฟัง”

“อธิบายหรือเพคะ”

“ตอนนี้เชื้อพระวงศ์ทั้งหมดรวมถึงพระราชาประทับอยู่ในพระราชวังชั่วคราวอันคับแคบแห่งนี้ เพราะการก่อสร้างพระราชวังใหม่ยังไม่เสร็จสิ้น และข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อใด เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”

“หมายความว่าในพระราชวังชั่วคราวนี้มีคนอยู่เต็มไปหมดเลยหรือเพคะ”

ดูเหมือนว่าคำพูดที่ฉันวิเคราะห์ออกมานั้นมีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำพูดขององค์ชายจองวอน เขาจึงได้ยกยิ้มราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ

“มีคำกล่าวว่า ‘คำพูดตอนกลางวันนกได้ยิน คำพูดตอนกลางคืนหนูได้ยิน’ แต่ตอนนี้คำพูดตอนกลางคืนนกก็ได้ยิน และคำพูดตอนกลางวันหนูก็ยังได้ยิน”

“หมายความว่าอย่างไรกันเพคะ”

“พูดง่ายๆ ก็คือภายในพระราชวังชั่วคราวอันคับแคบแห่งนี้มีคนในวังทั้งหมดพักอาศัยอยู่ ตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ไปจนถึงพวกข้าทาสบริวาร มันช่างวุ่นวายพอๆ กับร้านรวงตามท้องถนนเลยทีเดียว ข่าวลือจึงแพร่กระจายได้ง่ายในที่แห่งนี้ การที่เจ้าอยากจะพบองค์ชายรัชทายาท ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็เป็นไปไม่ได้ องค์ชายรัชทายาทกำลังถูกจับตามองจากทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกที่ต้องการอำนาจ”

หมายความว่ายังมีอำนาจอื่นที่คอยขัดขวางองค์ชายควังแฮอีกมาก หมายความว่าฉันไม่สามารถพบเขาได้เพราะต้องหลบหลีกสายตาจับผิดของคนเหล่านั้น แต่อะไรมันจะวุ่นวายขนาดนั้น ฉันก็แค่อยากเจอกับเขาแป๊บเดียวเอง

“ถ้าถึงเวลาข้าจะให้เจ้าพบกับองค์ชายรัชทายาทเอง ข้าให้คำมั่น แต่ระหว่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

เอาอีกแล้ว พูดว่าไม่ได้อีกแล้ว

“แต่หม่อมฉันรอจนถึงตอนนั้นไม่ได้หรอกเพคะ เพราะในโชซอนหม่อมฉันไม่มีที่ไปเลย แล้วตามคำพูดของพระองค์ คนในวังก็มีมาก ถ้าเกิดมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวหม่อมฉันจะทำอย่างไรล่ะเพคะ”

“เรื่องนั้นข้าคิดเอาไว้แล้ว”

“คิดเอาไว้แล้วหรือเพคะ”

“ลูกชายคนโตของข้าต้องการซังกุงพระพี่เลี้ยง เจ้าน่าจะอยู่ในวังนี้ในฐานะซังกุงพระพี่เลี้ยงได้”

“ซังกุงพระพี่เลี้ยงหรือเพคะ จะให้หม่อมฉันดูแลท่านชายน้อยหรือเพคะ”

“ใช่” เขาตอบห้วนๆ สั้นๆ

อะไรกัน ไม่ได้ตั้งใจจะพาฉันเข้ามาในวังเพื่อให้เจอองค์ชายควังแฮหรอกเหรอ ฟังๆ ดูแล้ว เหมือนพาฉันมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยงเด็กมากกว่า

จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงสงสัยเจตนาที่แท้จริงของคำพูดต่างๆ ที่เขาพูดกับฉัน

“ที่นี่คือตำหนักของลูกชายคนโตของข้า เจ้าสามารถพักอยู่ที่นี่กับลูกชายของข้าได้”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… เดี๋ยวนะเพคะ หรือว่าจะเป็นเด็กคนเมื่อครู่นี้…” ฉันนึกถึงเด็กผู้ชายที่ปลุกฉันอย่างขี้เล่นด้วยการเอามือมาแตะหน้าของฉัน

“ตอนนี้ลูกชายของข้ากำลังกินอาหารเช้าอยู่ สักประเดี๋ยวคงจะกลับเข้ามา เจ้าต้องดูแลเขาที่นี่ ห้ามออกไปที่อื่นเด็ดขาด และนับจากนี้ไปเรื่องอาหารการกินของลูกข้าก็เป็นหน้าที่ของซังกุงพระพี่เลี้ยง”

พอพูดจบ เขาก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูราวกับไม่อยากจะฟังคำพูดของฉันอีก แต่แล้วเขาก็หยุดแล้วหันกลับมามองฉัน

“เจ้าชื่อกระไร”

“คิมคยองมินเพคะ”

รอยยิ้มบางๆ ของเขาปรากฏขึ้นที่มุมปาก วินาทีนั้นฉันจึงเข้าใจว่านั่นคือรอยยิ้มขี้เล่นที่สามารถเห็นได้จากเพื่อนๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน

“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียกว่าคิมซังกุงสินะ” พอพูดจบ เขาก็เดินออกไปทันที

ซังกุง ฉันเนี่ยนะเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง ให้ฉันดูแลเด็กเล็กเนี่ยนะ

พูดได้คำเดียวว่าไม่เหมาะสมสุดๆ แต่ฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ ฉันไม่มีที่ไปจนกว่าจะได้เจอกับองค์ชายควังแฮ ดังนั้นนี่ถือเป็นการแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง ก็ที่นี่คือที่ไหนล่ะ ที่นี่คือพระราชวังเชียวนะ ถึงจะเป็นพระราชวังชั่วคราวก็เถอะ แต่องค์ชายควังแฮก็อยู่ที่นี่ตามคำพูดขององค์ชายจองวอน และที่นี่เป็นพระราชวังที่แคบมาก ดังนั้นอาจจะมีโอกาสได้พบกันมากขึ้นก็ได้

ถ้าเลี้ยงเด็กก็จะไปไหนมาไหนในวังได้ใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นอาจจะเจอกับองค์ชายควังแฮภายในวันนี้ก็ได้นะ

ขณะที่กำลังนึกถึงวิธีต่างๆ จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิด แล้วเด็กชายตัวน้อยที่ฉันเห็นเมื่อครู่ก็เดินจับมือของซังกุงสูงวัยเข้ามา ฉันจึงรีบลุกขึ้นเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของซังกุงสูงวัยคนนั้น

“เจ้าคือคิมซังกุงใช่หรือไม่” ซังกุงสูงวัยเอ่ยถาม ฉันจึงพยักหน้า ทันใดนั้นนางก็พูดกับฉันด้วยคำพูดเหมือนกับทนไม่ได้และรำคาญใจ

“เจ้าเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะมียศสูงไปกว่าข้าซึ่งเป็นซังกุงส่วนพระองค์ขององค์ชายจองวอนหรอกนะ”

“เอ่อ ขอโทษค่ะ”

ฉันที่ถูกซังกุงอายุมากกดขี่ได้แต่ก้มหัวตอบรับอย่างนอบน้อม แต่ดูเหมือนนางจะไม่ถูกใจคำพูดของฉัน เอาแต่จ้องมองด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แต่พอนางรู้ตัวว่าสายตาของเด็กน้อยกำลังมอง นางก็รีบเปลี่ยนสีหน้า

“ท่านชายน้อยเพคะ จากนี้ไปคิมซังกุงจะเป็นผู้ดูแลท่านชายน้อยนะเพคะ”

“แล้วยายล่ะ ยายจะไปไหนหรือ”

“หม่อมฉันมีงานอื่นต้องทำเพคะ”

“อย่างนั้นรึ” เสียงที่ออกมาจากปากเล็กๆ นั้นน่ารักเหนือความคาดหมาย แต่ปัญหาก็คือฉันไม่ค่อยชอบเด็กสักเท่าไหร่ แต่ดูๆ แล้วเด็กคนนี้น่าจะอายุประมาณสี่ห้าขวบ พอจะเดินเตาะแตะได้แล้ว คงไม่ต้องดูแลมากนัก

เด็กน้อยปล่อยมือจากซังกุงสูงวัยแล้วค่อยๆ เดินมานั่ง บางทีที่ตรงนั้นอาจจะเป็นที่นั่งที่เจ้าตัวคุ้นเคยก็ได้

“ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวนะเพคะ”

“อือ”

เด็กน้อยนั่งขัดสมาธิ แล้วเอามือข้างหนึ่งตบหน้าขาของตนเองก่อนจะกอดอก ราวกับกำลังเลียนแบบสิ่งที่ตนเองเคยเห็นมาก่อน ภาพนั้นทำให้ฉันขำจนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องกลืนเสียงหัวเราะลงคอเพราะสายตาของซังกุงสูงวัย

“ท่านชายน้อยยังเด็กนัก ถ้าหากเจ็บไข้จะเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าห้ามพาท่านชายน้อยออกไปเดินเล่นข้างนอกเด็ดขาด”

พอเตือนเสร็จ ซังกุงสูงวัยก็เดินออกไป ฉันจึงรีบเข้าไปนั่งข้างหน้าเด็กน้อย เด็กน้อยเริ่มสังเกตฉันด้วยดวงตากลมโตราวกับกำลังจะสอบสวนว่าฉันคือใคร ฉันจึงยิ้มหวานให้พลางคิดว่าฉันต้องทำความสนิทสนมกับเด็กน้อยอย่างไรดี

“ชื่ออะไรหรือจ๊ะ”

ทันใดนั้นใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังมองฉันอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่งุนงง ใช่แล้ว เด็กน้อยคงไม่คุ้นเคยกับคำพูดคำจาแบบนี้ โดยเฉพาะจากผู้ที่มียศศักดิ์น้อยกว่า

“ไม่รู้จักชื่อของตนเองหรือ”

“เอ่อ…รู้สิ”

“เช่นนั้นชื่ออะไรหรือจ๊ะ”

เด็กน้อยยังคงทำหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ พูดออกมา

“ท่านพ่อสอนว่าอย่าบอกชื่อตนเองออกไปง่ายๆ”

“ได้ๆ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว แต่ต่อไปหม่อมฉันต้องดูแลท่านชายน้อย ดังนั้นหม่อมฉันต้องรู้ชื่อเสียก่อนถึงจะดูแลท่านชายน้อยได้ดีไม่ใช่หรือ”

“คือ…” มือเล็กๆ กำแน่นแล้วยกขึ้นมาถูหน้าผากของตนเอง ดูท่าจะสับสนมากสินะ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วฉันน่าจะใช้คำราชาศัพท์ตั้งแต่แรกดีกว่า ที่นี่ก็คือโชซอน ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องทำตัวนอบน้อมกับเด็กน้อยคนนี้

“ชื่ออะไรจ๊ะ”

“จง”

“จงหรือ พยางค์เดียวเองหรือ”

“พยางค์เดียวคืออะไร”

“ชื่อคำเดียวหรือจ๊ะ”

“หมายถึงชื่อมีแค่คำเดียวรึ”

ฉันนี่มันโง่จริงๆ ดันพูดคำยากๆ กับเด็ก “ใช่จ้ะ ชื่อคำเดียว”

เพราะเป็นลูกชายขององค์ชายจองวอน ก็เท่ากับว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ และเชื้อพระวงศ์สายตรงส่วนใหญ่จะตั้งชื่อด้วยตัวอักษรตัวเดียว

ว่าแต่องค์ชายจองวอนที่เจอเมื่อครู่… ยังเด็กอยู่เลยนะ มีลูกชายแล้วเหรอเนี่ย

“อายุกี่ขวบแล้วจ๊ะ”

“ห้าขวบ”

“จากนี้ไปพี่สาวคนนี้จะเป็นคนดูแลจงนะ”

“พี่สาวรึ”

“ใช่ จงต้องอยู่กับพี่สาวคนนี้ไปอีกนานเลย”

“เจ้าชื่อพี่สาวรึ”

“ไม่ใช่ ชื่อของหม่อมฉันคือคยองมิน คิมคยองมิน เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าอยากเรียกหม่อมฉันให้เรียกว่าพี่สาวนะจ๊ะ เรียกแบบนี้ เข้าใจไหม”

“เอ่อ…” จงทำหน้าลำบากใจอีกครั้ง ดูจะไม่คุ้นเคยกับการสนทนากับฉัน

“ไหนลองเรียกสิ พี่สาว~ พี่สาว~” ฉันทำเสียงเล็กและลากเสียงยาวนำให้เขาพูดตาม

“พะ…พี่สาว”

“นั่นแหละ ถูกต้องจ้า” ฉันหยิกแก้มจงด้วยความเอ็นดู แต่แล้วก็ต้องเสียใจ เพราะการหยิกแก้มทำให้แววตาของจงดูหวาดกลัวมาก

“ขอโทษนะ เพราะเห็นว่าน่ารักก็เลยเผลอหยิกแก้ม จงน่ารักมากๆ!”

พอฉันมีสีหน้ากังวล จงก็ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ฉันรู้จักรอยยิ้มนี้ เพราะเมื่อครู่องค์ชายจองวอนก็ยิ้มแบบนี้

“แหะๆ”

เสียงหัวเราะที่น่าเอ็นดูทำให้ฉันหัวเราะตามไปด้วย

ซังกุงพระพี่เลี้ยงจะไม่สามารถกินข้าวได้หากเจ้านายยังกินไม่เสร็จ และต้องกินข้าวที่เหลือต่อจากเจ้านายเท่านั้น ทว่าในมื้อแรกของฉันที่นี่ ทันทีที่อาหารชาววังรสเลิศถูกยกมาวางตรงหน้า จงก็ร้องสั่งนางในห้องเครื่อง

“เอาข้าวเปล่ามาอีกหนึ่งถ้วย”

นางในยกข้าวเปล่ามาอีกหนึ่งถ้วยทันที แล้วจงก็ยื่นถ้วยข้าวเปล่าให้ฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นว่าเด็กคนนี้ฉลาดมาก ฉันรู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมาแล้วสิ

หลังจากนั้นสิบวัน หิมะก็หยุดตก วันแรกของปี 1600 ช่างสดใส ซึ่งพระเจ้าซอนโจให้จัดพิธีมังควอล-รเย ในวันนั้นฉันกับจงจึงต้องอยู่แต่ในห้อง ห้ามออกไปไหนโดยเด็ดขาด

และในวันนั้นเองฉันก็ได้รู้ความจริงที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นปีใหม่แท้ๆ แต่แม่ของจงกลับไม่ยอมมาหาจง ฉันได้ยินซังกุงส่วนพระองค์พูดว่าหลังจากคลอดลูกคนที่สาม สุขภาพร่างกายของนางก็ไม่ค่อยดี จึงได้ออกไปอยู่บ้านเดิม ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าตอนนี้องค์ชายจองวอนอาศัยอยู่คนเดียวลำพัง แต่องค์ชายจองวอนเองก็แทบไม่มาหาจงเหมือนกัน หรือเป็นเพราะเชื้อพระวงศ์มีงานต่างๆ มากมายต้องสะสางหลังจบสงครามกันนะ

แต่ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะยุ่งก็คงไม่เป็นไร เพราะจงเองก็ยุ่งทั้งวันเหมือนกัน หลังจากตื่นนอนก็กินข้าวเช้า อ่านหนังสือ จากนั้นกินข้าวเที่ยงแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็จะมีข้าราชการจากฮงมุนควันมาสอนหนังสือ ปกติแล้วบรรดาเชื้อพระวงศ์จะเรียนด้วยกันที่จงฮัก แต่จงยังเด็กเกินไป และหลังจบสงครามอิมจินก็ยังไม่มีการเปิดจงฮัก และคงไม่มีเชื้อพระวงศ์คนไหนอยากเรียนหนังสือท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บขนาดนี้ จึงไม่มีการเปิดจงฮักอย่างเป็นทางการ

และเพราะจงยังเด็กมาก ในวันหนึ่งข้าราชการจากฮงมุนควันจึงมาสอนจงเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น จงต้องท่องชอนจามุนประมาณครึ่งหนึ่งและต้องอธิบายความหมายไปด้วย ต้องทำการบ้านทุกวัน ต้องคัดลายมือตัวหนังสือที่เขียนผิดในแต่ละวัน แค่นี้ก็หมดช่วงบ่ายไปทั้งวันแล้ว แต่ละวันจงจึงดูเหนื่อยล้ามา บางวันฉันจึงต้องพาเขาออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกบ้าง

วันหนึ่งเป็นวันที่หิมะหยุดตกหลังจากตกมาหลายวัน ฉันจึงพาจงออกมาคัดลายมือที่นอกชาน

“จงจ๊ะ เมื่อสักครู่เหลือข้าวทิ้งใช่ไหม”

“กินไม่หมด”

“รู้ไหมจ๊ะว่าทำแบบนั้นมันไม่ดี”

“ก็มันเยอะเกินไป ข้ากินไม่หมด ต่อไปพี่สาวก็กินพร้อมกันสิ”

จริงเหรอ กินไม่หมดก็เลยชวนฉันกินข้าวด้วยเนี่ยนะ เด็กน้อยเอ๋ย

“จะคิดแบบนั้นไม่ได้นะ รู้ใช่ไหมจ๊ะว่าตอนนี้สงครามจบแล้ว”

จงนอนคัดลายมือพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

“พอสงครามจบลงแล้ว ราษฎรจะเป็นอย่างไรรู้ไหมจ๊ะ”

“ดีขึ้น”

“ดีอะไรกัน ราษฎรน่ะสูญเสียที่ดินก็เพราะสงครามนะจ๊ะ” ฉันต้องค่อยๆ อธิบายเพื่อให้เด็กอายุห้าขวบเข้าใจ

“อือ” จงยังคงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

“ถ้าอย่างนั้นราษฎรจะเป็นอย่างไรรู้ไหม”

“เสียใจสิ”

“ถูกต้อง ต้องเสียใจแน่นอนจ้ะ และถ้าไม่มีที่ดินก็จะไม่มีที่ให้ปลูกข้าว”

“ไม่ได้นะ ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่มีข้าวกิน”

“ใช่จ้ะ แล้วจงกินข้าวทุกวันไหม”

“กินทุกวัน กินเยอะด้วย”

“ราษฎรไม่มีข้าวกิน ส่วนจงมีข้าวกินทุกวัน แต่กลับกินไม่หมด มันเป็นเรื่องดีไหมจ๊ะ”

สีหน้าของจงดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ฉันอยู่กับจงมาเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว แค่ดูสีหน้าก็อ่านความในใจได้แล้ว ตอนนี้สีหน้าของจงกำลังแสดงออกว่าตนเองกำลังทำผิด

“ข้า…กินข้าวเหลือ…”

“ใช่จ้ะ”

“ข้าทำผิด”

“ทำไมถึงคิดว่าตนเองทำผิดล่ะจ๊ะ”

“ข้ากินทิ้งขว้าง แต่ราษฎรไม่มีข้าวกิน”

“ใช่จ้ะ ฉลาดจังเลย!” ฉันลูบหัวของจงที่วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างถูกต้องพร้อมทั้งชมไปด้วย จงจึงยิ้มกว้างออกมาได้ เด็กหนอเด็ก คงจะดีใจกับคำชมและการลูบหัวมากสินะ

“อ่ะแฮ่ม”

เสียงกระแอมที่ดังขึ้นทำให้ฉันกับจงหันไปมองพร้อมกัน องค์ชายจองวอนในชุดเต็มยศกำลังยืนอยู่ ทันทีที่เห็นองค์ชายจองวอน จงก็รีบลุกขึ้น ฉันจึงต้องรีบลุกขึ้นตามจงไปด้วย

“ท่านพ่อ” จงกุมมือเล็กๆ ไว้ข้างหน้าแล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม ส่วนฉันก็โค้งตัวทำความเคารพเช่นกัน

“ถวายบังคมเพคะองค์ชายจองวอน”

เขาเดินผ่านเข้าไปในห้องโดยไม่พูดอะไร จงคิดว่าตนเองต้องโดนดุแน่ๆ จึงได้จับมือของฉันแน่น

“ข้าจะโดนดุหรือไม่”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ท่านพ่อกับท่านอาจารย์เคยสั่งเอาไว้ว่าเวลาเรียนต้องนั่งให้เรียบร้อย แต่เมื่อครู่ข้านอนคัดลายมือ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไม่โดนดุหรอก แต่ถ้าโดนดุ ก็อย่าทำแบบนั้นอีกก็พอ”

“พี่สาวจะอยู่ข้างๆ ใช่หรือไม่”

“แน่นอน”

ตอนนั้นเององค์ชายจองวอนส่งสัญญาณให้เข้ามาในห้องด้วยการกระแอมขึ้นมาอีกครั้ง จงจึงปล่อยมือจากฉันแล้วเข้าไปในห้องด้านใน

จงเดินตรงไปนั่งที่ด้านข้างขององค์ชายจองวอนซึ่งนั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง จงดูเหมือนจะนั่งไม่ติดที่เพราะคิดว่าตนเองทำผิดที่นอนเขียนหนังสือพร้อมกับส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ฉันจึงอดคิดไม่ได้ว่าองค์ชายจองวอนคงจะเป็นพ่อที่เข้มงวดกับลูกมากเลยทีเดียว

“จง”

“ขอรับท่านพ่อ”

“เมื่อครู่เจ้ากำลังทำกระไรอยู่”

จงตอบคำถามขององค์ชายจองวอนเสียงดังฟังชัด “คัดลายมือขอรับ”

“คนจากฮงมุนควันบอกพ่อว่าเจ้าตั้งใจเรียนดีมาก”

ทันทีที่ได้รับคำชมแทนคำว่ากล่าวตักเตือน จงก็หายเครียดแล้วเงยหน้าขึ้น แต่ตอนนั้นเององค์ชายจองวอนที่ยิ้มให้จงก็เบนสายตามาทางฉัน

“แต่ดูเจ้าตอนนี้แล้ว พ่อว่าเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าใด”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ริมฝีปากของเขาก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้ม ใช่ องค์ชายจองวอนกำลังยิ้ม ฉันจึงไม่รู้ว่าใจของเขานั้นคิดอย่างไรกันแน่ กำลังชมหรือกำลังต่อว่า

“ข้าจำได้ว่าข้าบอกให้เจ้าเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง แต่ดูๆ ไปแล้วเจ้าตามติดจงราวกับเป็นอาจารย์”

คำชมในยุคโชซอนนี่มีวิธีพูดหลายแบบเหลือเกิน ตอนนี้องค์ชายจองวอนกำลังชมฉันอยู่

“เอ่อ…เพคะ”

“สตรีอย่างเจ้าได้เรียนหนังสือด้วยรึ”

เขาถามคำถามง่ายๆ แต่ฉันคิดว่าตอนนี้เขากำลังตัดสินฉันอยู่ว่าฉันนั้นอยู่ระดับไหน ฉันจึงลังเลนิดหน่อยว่าจะตอบอย่างไรดี

“หม่อมฉันเรียนมาหมดแล้วเพคะ ถ้าหากองค์ชายเน้นว่า ‘สตรีอย่างหม่อมฉัน’ หม่อมฉันก็ขอบอกว่าท่านพ่อของหม่อมฉันสอนแนฮุน หรือแม้กระทั่งคยูจุงโยรัม ท่านพ่อก็สอนให้เพคะ”

“เจ้าเรียนทั้งแนฮุนไปจนถึงคยูจุงโยรัมเลยรึ”

“เพคะ”

องค์ชายจองวอนทำหน้าตกใจไม่น้อย “ช่างน่าตกใจเสียจริง ข้าคิดว่าเจ้าคือสตรีที่มาจากต่างอาณาจักร แต่เจ้ากลับได้รับการอบรมเยี่ยงหญิงชาวโชซอน”

“หม่อมฉันเองก็เป็นคนโชซอนนะเพคะ แต่หม่อมฉันแค่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ไกลจากโชซอน”

“เช่นนั้นรึ… ความจริงท่านพี่เองก็บอกเช่นนั้น” เขาบ่นพึมพำอะไรบางอย่างคนเดียว แล้วจู่ๆ ก็หันขวับมามองฉันอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นข้าขอฝากจงไว้กับเจ้าด้วย”

“พระองค์เองก็น่าจะรับฟังคำขอร้องของหม่อมฉันบ้างนะเพคะ” ฉันกำลังหมายถึงเรื่องที่ฉันต้องการพบองค์ชายควังแฮ

สีหน้าขององค์ชายจองวอนดูหม่นลง เขารู้ตัวว่าจงนั่งอยู่ในนี้ด้วยจึงพูดกับฉันด้วยโทนเสียงต่ำอย่างระมัดระวัง “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่รึว่าตอนนี้ไม่ได้”

“ทราบเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันก็เลยรออยู่นี่อย่างไรเล่าเพคะ”

ฉันย้ำความในใจของฉันอีกครั้งกับองค์ชายจองวอน หากเป็นหญิงโชซอนจริงๆ คงไม่บังอาจพูดแบบนี้ ปกติหญิงโชซอนมักจะพูดจาอ้อมค้อม ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่บังอาจพูดจาแบบนี้กับพวกเชื้อพระวงศ์ซึ่งฉันเองก็รู้ดี หากแต่ตอนนี้เหมือนกับมีสะเก็ดไฟตกมาบนหลังเท้า ฉันจึงไม่สามารถรออยู่เฉยๆ ได้ แต่สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือรอคอยเพื่อให้ได้พบกับองค์ชายควังแฮอีกครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

“เอาไว้รอให้ถึงเวลาที่สมควรที่สุด แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าห้ามเดินไปไหนมาไหนในพระราชวังชั่วคราวตามอำเภอใจเด็ดขาด…”

“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะว่าต้องอยู่เฉยๆ ที่นี่ หม่อมฉันก็แค่อยากรู้ว่าหม่อมฉันต้องอยู่อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ และตอนนี้เขา ไม่ใช่สิ องค์ชายรัชทายาทกำลังตกอยู่ในอันตรายมากน้อยแค่ไหน”

องค์ชายควังแฮดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทสิบหกปีจึงจะขึ้นครองราชย์ โดยที่อาณาจักรหมิงก็ไม่ยอมรับการครองราชย์ของเขา เพราะเขาขึ้นครองราชย์โดยมีป้ายแขวนคอว่าเป็นพระโอรสจากสนม และเขายังไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมที่ต้องขึ้นครองราชย์หลังจากออกทุกข์ ทันทีที่พระเจ้าซอนโจสวรรคต วันรุ่งขึ้นองค์ชายควังแฮก็ประกอบพิธีราชาภิเษกเลย เนื่องด้วยกลัวตำแหน่งของตนเองจะสั่นคลอน

แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันจะได้พบกับพ่อก็เมื่อตอนที่เขาได้กลายเป็นพระราชาและกักขังพระนางอินมกที่วังคยองอุน

“หม่อมฉันสัญญาว่าจะรอวันนั้นอยู่เงียบๆ เพคะ”

“จริงรึ”

“จริงเพคะ” ฉันอยากจะเกี่ยวก้อยสัญญาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ในยุคโชซอนไม่มีการสัญญาด้วยท่าทางแบบนั้น องค์ชายจองวอนรับคำสัญญาของฉันแล้วถอนหายใจยาวออกมา

ตอนนั้นเองเสียงของซังกุงก็ดังมาจากด้านนอก

“องค์ชายจองวอนเพคะ หม่อมฉันยูซังกุงขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“เข้ามาได้”

“เพคะ”

ยูซังกุงคือซังกุงสูงวัยคนนั้นแน่ๆ พอนางรู้ว่าฉันปู ‘เบาะรองนั่ง’ ในตำแหน่งที่ใกล้กับจงรวมไปถึงองค์ชายจองวอนด้วย นางก็ซ่อนความไม่พอใจฉันเอาไว้แล้วเข้ามาในห้อง

“พระมเหสีตรัสว่าอยากพบท่านชายจงเพคะ”

“พระมเหสีรึ”

“เพคะ”

พระมเหสีในตอนนี้ก็คือพระมเหสีอึยอินสินะ พระนางไม่สามารถมีลูกได้ แต่ก็เลี้ยงองค์ชายสองพี่น้องซึ่งคือองค์ชายอิมแฮและองค์ชายควังแฮจนเติบใหญ่ นอกจากนั้นพระนางยังรับองค์ชายควังแฮเป็นโอรสบุญธรรม และสนับสนุนองค์ชายควังแฮในฐานะองค์ชายรัชทายาทด้วย สำหรับองค์ชายควังแฮแล้ว พระมเหสีอึยอินเปรียบเสมือนพระมารดาแท้ๆ แต่ถ้าฉันจำไม่ผิดพระนางจะสิ้นพระชนม์ภายในไม่กี่ปีนี้ และพระมเหสีอินมกซึ่งเป็นพระสนมจากตระกูลคิมก็จะขึ้นมาเป็นพระมเหสีองค์ที่สองของพระเจ้าซอนโจ

“เข้าใจแล้ว ข้าจะพาไปเข้าเฝ้าพระมเหสีเอง ยูซังกุงพาจงออกไปก่อน”

ตอนนั้นเองจงก็รีบลุกขึ้น แล้วมาแอบอยู่ด้านหลังฉัน “หม่อมฉันไม่ไป”

พระมเหสีอึยอินมีศักดิ์เป็นท่านย่าของจง แต่ดูท่าทางของจงในตอนนี้แล้วคงไม่ชอบท่านย่าสักเท่าไหร่

“จง”

“หม่อมฉันไม่ไป ไม่ไปนะขอรับท่านพ่อ”

แม้จะไม่รู้ถึงสาเหตุ แต่หากพระมเหสีเรียกหาก็ต้องไป ฉันอ่านความกังวลใจบนใบหน้าขององค์ชายจองวอนได้ จึงหันหลังไปจับมือของจงเอาไว้

“พระมเหสีรับสั่งให้หาไม่ใช่หรือเพคะ”

“ไม่เอา ข้าไม่อยากไป”

“ถ้าเช่นนั้นให้หม่อมฉันไปด้วยดีไหมเพคะ” ฉันแค่ลองถามดูเล่นๆ แต่จงกลับทำสายตาระยิบระยับ

“จริงรึ จะไปด้วยกันรึ”

“เพคะ ไปด้วยกัน”

ทันใดนั้นยูซังกุงก็พูดตำหนิออกมา “ซังกุงพระพี่เลี้ยงไม่สมควรเข้าไปในพระตำหนักที่พระมเหสีประทับอยู่”

คุณยายคนนี้ไม่รู้หรือไงว่าต้องกล่อมเด็กให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องฉันจะเข้าไปหรือไม่ได้เข้าไปนั้นมันไม่ใช่ปัญหา!

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ไป”

สุดท้ายจงก็ไม่ยอมไปและนั่งลงกับพื้นเพราะคำพูดของยูซังกุงแท้ๆ องค์ชายจองวอนจึงหันมาพูดกับฉัน “เช่นนั้นเจ้าก็ไปด้วย”

 

สายลมเย็นยะเยือกแห่งฤดูหนาวพัดผ่านมาหน้าตำหนักของพระมเหสีอึยอิน จริงสิ ฉันลืมไปเลยว่าปีใหม่ที่สดใสนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว พวกนางในที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักของพระมเหสีจึงใส่ปลอกแขนกันหนาวที่แขนทั้งสองข้าง และยังพันผ้าพันคอขนสัตว์อีกด้วย ฉันใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องพักอันแสนอบอุ่นต่างจากนางในพวกนี้ ฉันจึงไม่ได้สวมอะไรกันหนาวมาเลย

“เจ้ารอตรงนี้”

ยูซังกุงพูดกับฉันอย่างเย็นชาก่อนจะพาจงเข้าไปในตำหนักของพระมเหสี

จงแสดงสีหน้าออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่อยากเข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ดื้อดึงที่จะต้องให้ฉันเข้าไปด้วย ซึ่งวินาทีแรกที่มาถึงหน้าตำหนักพระมเหสีฉันก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมจงถึงไม่อยากมาที่นี่ นั่นเป็นเพราะกลิ่นยาสมุนไพรอันร้ายกาจลอยออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าไปเสียอีก ขนาดอยู่ข้างนอกยังได้กลิ่นฉุนถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเข้าไปข้างในกลิ่นจะแรงขนาดไหน คงเป็นเรื่องน่าสยองสำหรับเด็กตัวน้อยมากเลยทีเดียว

พระมเหสีป่วยหนักเหรอ

กลิ่นสมุนไพรนั้นแรงยิ่งกว่ากลิ่นที่ออกมาจากร้านสมุนไพรจีนที่เปิดมาเป็นสิบปีในตลาดที่ฉันเคยไปเสียอีก ฉันจึงล้มเลิกความคิดที่จะเดินเข้าไปใกล้ตำหนักและตัดสินใจทนหนาวเดินห่างออกมาจนไม่ได้กลิ่นนั้น คิดถึงที่พักอันแสนอบอุ่นของจงเหลือเกิน ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าที่นั่นไม่ต่างจากสวรรค์เลย

ระหว่างนั้นขันทีที่ยืนอยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาฉัน

“เจ้าคือซังกุงพระพี่เลี้ยงของตำหนักองค์ชายจองวอนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ มีอะไรหรือเจ้าคะ” ฉันถูมือไปมาเพื่อคลายหนาว

ขันทีคนนั้นคงจะสงสารที่เห็นฉันตัวสั่นท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ เขาจึงนำฉันไปทางอาคารขนาดเล็กที่ล้อมรอบตำหนักราวกับเป็นกำแพง พอฉันเดินตามไปก็พบว่ามีประตูเปิดอ้าเอาไว้อยู่ ขันทีเดินเข้าไปด้านในหลังประตูบานนั้น ภายในตกแต่งเหมือนครัวขนาดเล็ก และมีนางในหลายคนรวมกลุ่มพูดคุยกันอยู่ พอเห็นขันที พวกนางก็รีบลุกขึ้น

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”

“เอ่อ…ประทานโทษนะเจ้าคะ”

ขันทีจ้องมองพวกนางอีกครั้งก่อนจะหันมาหาฉันแล้วแนะนำฉันให้ทุกคนรู้จัก       “นี่คือซังกุงพระพี่เลี้ยงของท่านชายจง นางจะรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านชายจงจะเข้าเฝ้าพระมเหสีเสร็จ”

“เจ้าค่ะ”

ทันทีที่ขันทีพูดจบ ขอบตาของฉันก็มีน้ำตาแห่งความขอบคุณเอ่อขึ้นมา แม้ว่าในนี้จะไม่มีที่ให้นั่ง แต่ก็อบอุ่นราวกับห้องซาวน่า

ขันทีออกไปแล้วปิดประตูแง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่ง การพูดคุยของเหล่านางในจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งราวกับรอจังหวะอยู่ พวกนางที่น่าจะมีอายุประมาณสิบปีตอนกลางไปจนถึงตอนปลายเริ่มอยากรู้เรื่องของฉันที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก

“ท่านซังกุงเข้ามาอยู่ในวังนี้เมื่อไรหรือเจ้าคะ”

“โอ้โห ผิวพรรณดียิ่งนัก ทาหน้าด้วยอะไรหรือเจ้าคะ”

“ท่านซังกุงดูแลท่านชายจง แล้วท่านชายน้อยพระองค์อื่นๆ ไม่ได้ดูแลด้วยหรือเจ้าคะ”

“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วสิ องค์ชายจองวอนกับพระชายาทะเลาะกัน พระชายาของพระองค์จึงกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของตนเอง โดยพระชายาอ้างว่าเพราะในพระราชวังชั่วคราวนี้คนเยอะ”

ฉันเงี่ยหูฟังเรื่องเกี่ยวกับพระชายาขององค์ชายจองวอนซึ่งเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“องค์ชายจองวอนทะเลาะกับพระชายารึ”

ใบหน้าขององค์ชายจองวอนมองยังไงก็ดูห่างไกลจากคนหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งมาก จินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ

“นี่ไม่รู้หรือเจ้าคะ” จากนั้นพวกนางในก็เริ่มขุดเรื่องเก่ามาเล่าให้ฟัง พวกสตรีไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนก็มีพรสวรรค์ในการนินทาที่เป็นเลิศจริงๆ

“ความสัมพันธ์ไม่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเจ้าค่ะ อืม เรียกว่าสงครามย่อมๆ น่าจะเหมาะกว่าทะเลาะ พวกนางในที่อยู่ใกล้ๆ แทบเป็นบ้าตายกันเลยนะเจ้าคะ ฝ่าบาททรงอ้างว่าต้องซ่อมแซมตำหนักก็เลยจับทั้งสองท่านให้มาอยู่ในพระราชวังชั่วคราวด้วยกัน ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสองต้องอยู่ในที่พักแคบๆ ด้วยกันเจ้าค่ะ”

“และหลังจากพระชายาให้กำเนิดองค์ชายคนสุดท้อง พระชายาก็พาองค์ชายองค์อื่นๆ กลับไปอยู่บ้านบิดา โดยอ้างว่าต้องการพักฟื้นหลังคลอดเจ้าค่ะ”

“แล้วทำไมไม่พาท่านชายจงไปด้วยล่ะ”

“มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วสิเจ้าคะ!” หนึ่งในนางในขึ้นเสียงสูงราวกับต้องการจะอวดรู้

“เพราะท่านชายจงเป็นคนพิเศษมากเจ้าค่ะ เป็นหลานชายคนแรกของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทเรียกหาก็ต้องเข้าเฝ้าทันที จึงต้องอยู่ในวังเจ้าค่ะ”

“หลานชายคนแรกของฝ่าบาทรึ” เรื่องนี้ช่างคุ้นๆ ยังไงบอกไม่ถูก

‘เป็นหลานคนโตของฝ่าบาท…’ คำพูดนี้สะดุดหูเข้าอย่างจัง ถึงไม่รู้ว่าอะไร แต่มันต้องมีอะไรสักอย่างที่แอบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในความทรงจำของฉัน แต่แล้วฉันก็นึกออก ตามประวัติศาสตร์ที่ฉันรู้มา หลานชายคนแรกของพระเจ้าซอนโจก็คือพระเจ้าอินโจ และพระเจ้าอินโจในวัยเด็กนั้นได้รับความรักอย่างมากมายจากพระเจ้าซอนโจ!

ถ้าอย่างนั้นจงก็คือ… พระเจ้าอินโจในอนาคตอย่างนั้นเหรอ!

ทันทีที่รู้ว่าจงคือพระเจ้าอินโจ ความทรงจำที่เหลือก็เริ่มหลั่งไหลกันเข้ามา

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยงของจงซึ่งจะกลายเป็นพระเจ้าอินโจในวันข้างหน้าน่ะสิ

“ได้ยินมาว่าที่พระชายาไม่ชอบท่านชายจงเป็นเพราะท่านชายจงหน้าตาเหมือนองค์ชายชินซองที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”

องค์ชายชินซองคือพระโอรสของพระสนมอินบินแห่งตระกูลคิม เขาคือคนที่พระเจ้าซอนโจคิดจะให้เป็นองค์ชายรัชทายาทมากกว่าองค์ชายควังแฮในช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามอิมจิน เพราะพระเจ้าซอนโจรักองค์ชายชินซองมากกว่าองค์ชายควังแฮ แต่องค์ชายชินซองกลับล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ในปี 1592 ซึ่งเป็นปีที่สงครามอิมจินกำลังคุกรุ่น

พระสนมอินบินแห่งตระกูลคิมที่เป็นพระมารดาแท้ๆ ขององค์ชายชินซองกับองค์ชายจองวอนคือผู้หญิงที่ครอบครองความรักของพระเจ้าซอนโจหลังจากที่พระสนมกงบินที่เป็นพระมารดาขององค์ชายควังแฮสิ้นพระชนม์

แต่พระโอรสองค์โต… คือใครกัน หลังจากที่พระโอรสองค์โตของพระสนมอินบินสิ้นพระชนม์ องค์ชายชินซองซึ่งเป็นพระโอรสองค์รองก็เป็นตัวเก็งในตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท แสดงว่าพระเจ้าซอนโจนั้นโปรดปรานพระสนมอินบินมาก ถ้าองค์ชายชินซองไม่สิ้นพระชนม์ เขาต้องได้เป็นองค์ชายรัชทายาท ไม่ใช่องค์ชายควังแฮอย่างแน่นอน

“ท่านชายจงเหมือนองค์ชายชินซองมากรึ”

“พวกเราเองก็ไม่เคยเห็นองค์ชายชินซองหรอกเจ้าค่ะ เคยได้ยินซังกุงท่านอื่นๆ พูดถึง เดิมแล้วพระชายาขององค์ชายจองวอนจะต้องเป็นพระชายาขององค์ชายชินซอง แต่ฝ่าบาททรงรู้ว่าพระชายาเป็นบุตรีของเจ้ากรมกลาโหมจึงได้ให้องค์ชายจองวอนแต่งงานแทน นี่เป็นข่าวลือที่แพร่สะพัดภายในวังที่ทุกคนล้วนรับรู้เจ้าค่ะ”

“ถ้าเป็นเจ้ากรมกลาโหมก็ต้องเป็นพวกขุนนางฝ่ายซ้ายใช่ไหม”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ”

“เอ๊ะ แล้วทำไมความสัมพันธ์ของทั้งสองถึงไม่ดีล่ะ”

“ข้าก็ไม่ทราบได้ แต่พระชายาไม่ชอบองค์ชายจองวอนตั้งแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ”

“นี่ อย่าพูดจาเช่นนี้นะ จะมีใครเกลียดหนุ่มรูปงามอย่างองค์ชายจองวอนลงด้วยรึ และข้าเคยได้ยินมาว่าพระโอรสของพระสนมอินบินรูปงามทุกพระองค์”

“แต่กลับสิ้นพระชนม์ไปตั้งสองพระองค์ พวกเราจึงไม่มีโอกาสได้เห็น”

แล้วตอนนั้นเองนางในคนหนึ่งที่หันไปมองช่องว่างของประตูที่แง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า “องค์ชายรัชทายาท! องค์ชายรัชทายาทเสด็จ!”

รัชทายาทเหรอ องค์ชายควังแฮงั้นเหรอ!

เมื่อได้ยินว่าองค์ชายรัชทายาทปรากฏตัว พวกนางในที่นั่งล้อมวงอังไฟกันอยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นมา ฉันจึงลุกไปยืนอยู่กับพวกนางในเพื่อดูใบหน้าของเขาที่ไม่ได้เจอมาหลายเดือนผ่านช่องว่างของประตู

แต่แล้วฉันก็เกิดความสับสน เขาไม่ใช่องค์ชายควังแฮที่ฉันรู้จักอีกแล้ว ตามเวลาของที่นี่ฉันกับเขาจากกันได้แปดปีแล้ว องค์ชายควังแฮหนุ่มน้อยที่ฉันรู้จักหายไปแล้ว ตอนนี้เขาโตขึ้นและงามสง่ามากกว่าเมื่อแปดปีก่อน

“พระอาการของเสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

“เมื่อเช้าท่านหมอหลวงมาตรวจดูพระอาการแล้ว ดูเหมือนพระอาการจะไม่ค่อยดีขึ้นเลยเพคะ”

“เช่นนั้นรึ”

ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นคือองค์ชายควังแฮที่ฉันรู้จัก คาดไม่ถึงเลยว่าระยะเวลาแปดปีทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ในขณะที่ฉันยังเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายเดือนก่อนที่เจอกับเขาครั้งแรก ตอนนี้เขาน่าจะอายุยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปี

“ท่านลุง!” จงที่เข้าเฝ้าพระมเหสีเสร็จแล้วตะโกนเรียกองค์ชายควังแฮและเริ่มวิ่งเข้าไปหา

“ห้ามวิ่งนะเพคะ!” ยูซังกุงตั้งใจจะคว้าตัวจงเอาไว้ แต่สุดท้ายก็พลาด โชคดีที่จงกระโดดเข้าอ้อมกอดขององค์ชายควังแฮแล้วกอดเขาได้เสียก่อน

“ฮ่าๆๆๆ เจ้าสบายดีรึ”

“ขอรับ แล้วท่านลุงสบายดีหรือไม่ขอรับ”

แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับหลานนั้นดีมาก แต่หลังจากนี้ยี่สิบสามปี สองคนนี้จะสลับตำแหน่งพระราชากัน คนหนึ่งต้องคุกเข่าต่อหน้าพระราชาองค์ใหม่ ถึงขนาดที่ทำให้ลืมช่วงเวลาที่ดีต่อกันไปจนหมดสิ้น อำนาจช่างไม่เคยปรานีใครเลยจริงๆ

“จริงสิ เจ้าน่าจะมาเล่นในตำหนักข้าสักครั้งนะ”

“ท่านพ่อบอกว่าในวังมีคนมาก ห้ามไปไหนมาไหนตามอำเภอใจขอรับ”

“เช่นนั้นรึ”

จงจับมือขององค์ชายควังแฮแล้วเริ่มมองไปรอบๆ ฉันรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าจงต้องมองหาฉันอย่างแน่นอน องค์ชายควังแฮหันไปทางจงแล้วเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าหาใครรึ”

“พี่สาวขอรับ” จงตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

“พี่สาวรึ”

“พี่สาวมากับหม่อมฉันจนถึงที่นี่จริงๆ นะขอรับ…”

ทันทีที่จงเริ่มหาฉัน ยูซังกุงก็หันไปถามขันทีที่ยืนอยู่หน้าตำหนักพระมเหสี “ซังกุงพระพี่เลี้ยงไปไหน”

“ข้าเห็นว่าอากาศหนาวจึงให้ไปรอที่ห้องเตรียมสำรับขอรับ”

“ห้องเตรียมสำรับรึ” สายตาของยูซังกุงหันมาทางห้องเตรียมสำรับที่เปิดประตูแง้มเอาไว้ สายตาขององค์ชายควังแฮก็มองตามมาเช่นกัน แม้ประตูจะแง้มเอาไว้แค่นิดหน่อย แต่ฉันก็รีบหันหลังกลับเพราะกลัวจะเป็นที่เตะตาองค์ชายควังแฮ

“ท่านชายจงเรียกหาน่ะเจ้าค่ะ รีบออกไปสิเจ้าคะ”

“เอ่อ…คือว่า…”

ฉันอยากเจอองค์ชายควังแฮ เพราะฉันมีเรื่องจะพูดและขอร้องเขา แต่เขาเปลี่ยนไปเกินกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้ ฉันจึงไม่สามารถออกไปหาเขาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เขาได้เจอกับฉันนั้นเป็นเรื่องเมื่อแปดปีก่อน พอเห็นภาพเขาในตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะจำฉันไม่ได้ ไม่ใช่สิ บางทีเขาอาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันเลยก็ได้

แต่องค์ชายจองวอนรู้จักฉันก็เพราะเขาได้ยินเรื่องฉันจากองค์ชายควังแฮ คำพูดของเขาตีความหมายได้ว่าองค์ชายควังแฮยังจำฉันได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันควรวิ่งออกไปด้วยความยินดีหรือเปล่า ไม่สิ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ลานหน้าตำหนักของพระมเหสีเต็มไปด้วยนางใน รวมไปถึงยูซังกุงและจงที่อยู่ตรงนั้นด้วย บางทีฉันอาจจะโดนลากตัวไปตัดหัวข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้องค์ชายจองวอนจึงห้ามไม่ให้ฉันพบกับองค์ชายควังแฮ

ฉันรู้สึกว่าองค์ชายควังแฮในตอนนี้กลายเป็นคนแปลกหน้าของฉันไปโดยสิ้นเชิง

“พี่สาวอยู่ตรงนั้นรึ” จงที่ไม่รู้อะไรเลยมองตามมาที่ห้องเตรียมสำรับพลางถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

นางในที่อยู่ตรงหน้าพระตำหนักจึงพร้อมใจกันหันมามอง

ในห้องเตรียมสำรับไม่มีประตูบานอื่นให้ฉันหนีแล้วด้วย ถ้าเปิดประตูออกไปตอนนี้ก็ต้องเจอกับองค์ชายควังแฮแน่ๆ

ไม่รู้ทำไมฉันถึงอยากหนีเขา นั่นสิ ทำไมนะ กลัวว่าเขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักงั้นเหรอ หรือว่าเพราะฉันไม่คุ้นกับเขาที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่มีเค้าเมื่อก่อนเลย

สุดท้ายจงก็จับมือขององค์ชายควังแฮแล้วเดินมาทางห้องเตรียมสำหรับ ไม่มีใครสักคนห้ามองค์ชายควังแฮกับจงเลย พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางห้องเตรียมสำรับที่ฉันซ่อนตัวอยู่

“พี่สาวอยู่ที่นี่หรือไม่”

น้ำเสียงของจงนั้นน่ารักสมวัย แต่สำหรับฉันในตอนนี้มันเป็นเสียงที่น่ากลัวมาก หัวใจของฉันเต้นตึกตักรัวราวกับเด็กที่ถูกจับได้เวลาขโมยของ

ทันทีที่องค์ชายควังแฮกับจงเดินตรงมา นางในรอบตัวไม่ว่าใครก็ไม่กล้าขัดขวางพวกเขา

“ที่นี่รึ” องค์ชายควังแฮยืนอยู่ตรงหน้าห้องเตรียมสำรับ ถามขันทีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ทันใดนั้นขันทีก็ทำท่าจะเปิดประตู แต่องค์ชายควังแฮกลับขัดขวางการกระทำของเขา

“ข้าเปิดเอง”

ในขณะที่จงกำลังยิ้มหวานและองค์ชายควังแฮกำลังเอื้อมมือมาที่ประตู ใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ตอนนี้ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขาโดยมีเพียงประตูบานเดียวกั้นเอาไว้เท่านั้น

บทที่ 4

“ท่านพี่!”

ตอนนั้นเอง เสียงของใครสักคนก็ทำให้มือขององค์ชายควังแฮผละจากประตู องค์ชายจองวอนนั่นเอง เขาบอกว่าจะไปเข้าเฝ้าพระราชาแท้ๆ ทำไมถึงได้ปรากฏตัวหน้าตำหนักพระมเหสีแบบนี้

“ท่านพ่อ!” จงรีบปล่อยมือจากองค์ชายควังแฮ แล้ววิ่งไปหาองค์ชายจองวอนด้วยความดีใจ องค์ชายควังแฮเองก็หมุนตัวกลับแล้วเริ่มก้าวไปหาอย่างช้าๆ

“เฮ้อ…”

คำว่า ‘รอดตายแล้ว’ คงเหมาะกับสถานการณ์นี้มากที่สุด ฉันถึงกับทรุดลงกับพื้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ทันใดนั้นนางในที่อยู่รอบตัวต่างก็มองฉันด้วยแววตาสงสัย

“ท่านชายจงตามหา เหตุใดจึงไม่ออกไปล่ะเจ้าคะ”

ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะเปิดปากพูด จึงได้ใช้มือโบกตอบกลับไปแทนว่าให้อยู่เฉยๆ ก่อนจะหันไปมองช่องแง้มของประตูอีกครั้ง

“เมื่อครู่ข้าไปที่ตำหนักของเจ้ามา ซังกุงที่ตำหนักเจ้าบอกข้าว่า เสด็จพ่อรับสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้า”

“ขอรับ”

“ท่านพ่อ ท่านลุงมาขอรับ หม่อมฉันกับท่านลุงวิ่งมาจากทางโน้น ท่านลุงจูงมือหม่อมฉันด้วย ดีใจที่สุด!”

จงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้องค์ชายจองวอนฟังด้วยใบหน้าตื่นเต้น แต่ใบหน้าขององค์ชายจองวอนกลับบึ้งตึง ก่อนจะตวาดเสียงดัง

“ท่านลุงรึ! จง เจ้าต้องเรียกว่าองค์ชายรัชทายาท เหตุใดเจ้าไม่เรียกเช่นนั้น”

“ท่านพ่อ…”

เสียงตวาดที่ต่างจากปกติและไม่สมกับเป็นองค์ชายจองวอนทำให้จงหน้าเสีย แน่นอน องค์ชายจองวอนไม่ใช่คนที่จะทำเสียงดังอย่างนี้ ยิ่งต่อหน้าองค์ชายควังแฮซึ่งดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทว่าเวลานี้กลับตำหนิท่านชายน้อยอย่างเข้มงวดต่อหน้าองค์ชายควังแฮ

แต่องค์ชายควังแฮยิ้มอย่างใจกว้างก่อนจะเอ่ยกับองค์ชายจองวอน “เจ้าน่ะทำผิดทั้งที่ไม่รู้ตัว แล้วยังมาตำหนิจง น่าสงสารจงเสียจริง”

“ขอรับ?”

“ฮ่าๆๆๆ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้เรียกข้าว่า ‘ท่านพี่’ หรอกรึ”

“เอ่อ… ยกโทษให้ด้วยขอรับ”

“ข้ายกโทษให้ แต่ถึงอย่างไรเวลาที่เจ้าอยู่กับข้าสองคน ข้าก็อยากให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่เหมือนเมื่อก่อน”

องค์ชายจองวอนไม่ยอมตอบองค์ชายควังแฮ แต่ถ้าองค์ชายควังแฮพูดขนาดนั้น แสดงว่าเขาคงเรียกองค์ชายควังแฮว่า ‘องค์ชายรัชทายาท’ แทนการเรียกว่า ‘ท่านพี่’ มานานแล้ว

“เจ้ารีบร้อนวิ่งมายังตำหนักพระมเหสีอย่างนี้ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย มีเรื่องกระไรรึ หรือว่าเจ้ามาเข้าเฝ้าพระมเหสี”

“เอ่อ ไม่ใช่ขอรับ เมื่อครู่เสด็จพ่อบอกว่าอยากเจอองค์ชายรัชทายาท หม่อมฉันจึงมาที่นี่เพื่อแจ้งขอรับ”

“มีเรื่องด่วนรึ” สีหน้าองค์ชายควังแฮหม่นหมองลงทันที

“ไม่ใช่เรื่องด่วนหรอกขอรับ…”

“แต่ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องด่วน ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อตอนนี้เลย”

องค์ชายควังแฮออกจากตำหนักของพระมเหสีทันใด ส่วนจงก็แอบมององค์ชายจองวอน จงเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ดูท่าทางจะรู้แล้วว่าองค์ชายจองวอนก็ทำผิดเหมือนกับตน แต่องค์ชายจองวอนไม่ได้มองไปทางจงเลย เขาเดินตรงมายังห้องเตรียมสำรับที่ฉันอยู่ จากนั้นก็เปิดประตูด้วยตัวเอง พวกนางในที่อยู่ในนั้นเดินวนไปวนมาราวกับไม่รู้จะวางตัวอย่างไร ก่อนจะก้มหัวทำความเคารพแล้วถอยหลัง ทำให้ฉันยืนเด่นอยู่ข้างหน้าคนเดียว

“เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”

จงที่ถูกองค์ชายจองวอนตำหนิเมื่อตอนกลางวันกำลังนอนหลับปุ๋ย คงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปหมดแล้ว ฉันกลัวว่าจงจะเป็นหวัดเนื่องจากวันนี้ออกไปข้างนอก จึงห่มผ้าห่มให้มาปิดถึงคอ แม้ฉันจะไม่เคยมีลูก แต่ฉันกลับรู้สึกว่าตอนนี้กำลังเป็นแม่คน

ไม่นานจงก็กรนออกมาเบาๆ ท่าทางเขาคงหลับลึกพอสมควร ฉันลูบหัวจงพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ความคิดต่างๆ ที่ถูกโยนออกไปเพราะความไร้สติของฉันกลับมาอีกครั้งตอนจงหลับ ทันทีที่ยามค่ำคืนอันเงียบงันมาถึง ความคิดเหล่านั้นก็ถาโถมมาในหัวราวกับคลื่นซัดสาด

องค์ชายควังแฮ…ท่าทางของเขาไม่ใช่ภาพที่ฉันเห็นเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่ใช่เขาในความทรงจำของฉัน และไม่ใช่องค์ชายควังแฮที่อยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ด้วย เขาเป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรโชซอน เขาสูงศักดิ์มากจนทำให้หัวใจของฉันห่อเหี่ยว

สำหรับฉันนั้นเวลาผ่านไปไม่นาน แต่สำหรับเขาเวลาผ่านไปหลายปี

ระหว่างนั้นสงครามอิมจินเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ เขาต้องตระเวนไปทั่วอาณาจักร สิ่งเหล่านั้นอาจมีส่วนทำให้เขาโตขึ้น เพราะเขาคือผู้นำที่ได้รับการสนับสนุนในตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท

ฉันรู้เพียงเท่านี้ ในหนังสือประวัติศาสตร์อธิบายเพียงแค่ไม่กี่บรรทัด แต่ถ้าบุคลิกท่าทางของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนั้น แสดงว่าเขาต้องผ่านอะไรมากมายเลยทีเดียว ปัญหาก็คือในยุคนี้มีเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ฉันได้เจอกับพ่อ สุดท้ายฉันจะต้องเจอกับเขาอยู่ดี

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่เขาจากโชซอนมายังยุคปัจจุบัน ฉันอยู่ในสถานะดีกว่าเขา เพราะโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกประหลาดสำหรับเขานั้นก็คือโลกอันคุ้นเคยของฉัน ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาฉันคนเดียวเท่านั้น แต่ที่นี่คือโชซอน ฉันรู้ดีว่าโชคชะตาของสตรีที่อาศัยอยู่ในยุคโชซอนหลังจากสงครามอิมจินนั้นเป็นอย่างไร ฉันรู้ว่าโลกภายนอกวังของที่นี่อันตรายมากแค่ไหน

มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ฉันรู้จักที่โชซอนแห่งนี้ แล้วฉันก็ต้องอยู่ในวังนี้ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะซังกุงพระพี่เลี้ยงหรือแค่นางในฉันก็ไม่เกี่ยง ถ้าเพื่อได้พบกับพ่ออีกครั้งแล้ว ต่อให้จะต้องเป็นนางในไร้ชื่อไปจนวันตาย ฉันก็ยินยอม

“เฮ้อ…” ฉันถอนหายใจออกมา แต่แล้วจากการถอนหายใจก็กลายเป็นการหลั่งน้ำตา

องค์ชายควังแฮในตอนนี้ไม่ใช่องค์ชายควังแฮในตอนนั้น ถ้ามีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง ฉันต้องให้ความเคารพเขาให้มากในฐานะที่เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท

“อ่ะแฮ่ม”

ตอนนั้นเองฉันก็พลันได้ยินเสียงกระแอมขององค์ชายจองวอนมาจากด้านนอกประตู ฉันรีบเช็ดน้ำตาแล้วตอบออกไป

“เพคะ”

ทันทีที่ฉันตอบออกไป ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับความหนาวเหน็บที่พัดผ่านเข้ามา ฉันรีบลุกขึ้นไปจับๆ ห่มผ้าให้จงอีกครั้ง องค์ชายจองวอนเข้ามาข้างในและปิดประตู เขานั่งลงตรงหัวนอนของจงที่กำลังหลับอยู่ ฉันจึงนั่งใกล้ปลายเท้าของจง ห่างจากองค์ชายจองวอน

องค์ชายจองวอนมองใบหน้าของจงที่กำลังหลับอยู่ชั่วครู่ภายในห้องเงียบงัน ฉันเดาว่าเขาคงจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักพระมเหสีเมื่อตอนกลางวัน ตอนนั้นถ้าฉันเปิดประตูออกไปก่อนที่องค์ชายควังแฮจะเจอฉัน ฉันก็คงจะได้เจอกับองค์ชายควังแฮอีกครั้ง องค์ชายจองวอนคงอยากถามฉันว่าทำไมถึงปล่อยโอกาสที่จะทำให้ได้พบกับองค์ชายควังแฮไป

แล้วคำแรกที่เขาเอ่ยปากพูดก็เป็นสิ่งที่ฉันคาดเดาเอาไว้

“เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมออกไปพบองค์ชายรัชทายาท”

ฉันไม่สามารถบอกเหตุผลออกไปได้ว่าเป็นเพราะเหมือนถูกความสูงศักดิ์ขององค์ชายควังแฮที่ไม่ได้เจอมานานกดดันฉันซึ่งเป็นหญิงที่มาจากปัจจุบัน ไม่ใช่สิ เป็นหญิงมาจากอนาคต ไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีของเขาทางอ้อม สุดท้ายฉันก็หลบสายตาของเขาที่มองจ้องมา แล้วตัดสินใจตอบออกไป

“องค์ชายจองวอนสัญญากับหม่อมฉันแล้วนี่เพคะว่าเมื่อถึงเวลาจะทำให้หม่อมฉันได้เจอกับองค์ชายควังแฮ”

คำพูดที่ไม่ได้อยู่ในใจของฉันคงทำให้เขาสับสนไม่น้อย การที่ฉันไม่ออกไปปรากฏตัวต่อหน้าองค์ชายควังแฮ เป็นเพราะว่าฉันรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา

“จะให้ข้าเชื่อว่าเจ้ารักษาคำมั่น จึงไม่ปรากฏตัวต่อหน้าองค์ชายรัชทายาทรึ”

“คิดว่าหม่อมฉันจะไม่รักษาสัญญา ไม่ใช่สิ คำมั่น… หรือเพคะ”

“ไม่ใช่หรอก ข้าคิดว่าเจ้าจะรักษาคำมั่นอย่างแน่นอน…”

ตอนนั้นเขาพูดด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้นมาอีก แต่จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการแจ้งเตือน และใครสักคนก็เดินเข้ามาในห้อง นางไม่ได้พูดจาใดๆ ชุดของนางแตกต่างจากพวกนางในในวัง น่าจะเป็นคนสำคัญสักคน ฉันเอาแต่จ้องมองนางไม่วางตา

“หม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านพาซังกุงพระพี่เลี้ยงมาจากนอกวัง อีกทั้งนางยังอายุน้อยมาก ท่านจะให้ชายาของท่านคิดเช่นไรเพคะ”

ชายางั้นเหรอ

พระชายาขององค์ชายจองวอนก็คือภรรยาของเขาสินะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านางเป็นใครและลำบากใจว่าจะลุกออกไปจากห้องนี้ดีหรือไม่ แต่องค์ชายจองวอนไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองนางและไม่ยอมบอกให้ฉันออกไปข้างนอกห้องด้วย เขาเพียงแค่มองใบหน้าของจงที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกับไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

“แม้แต่ตอนนี้ท่านก็ไม่อยากมองใบหน้าชายาของท่านหรือเพคะ”

คำพูดตรงไปตรงมาของนางทำให้องค์ชายจองวอนเงยหน้าขึ้นมองภรรยาของตนเอง แต่สายตากลับเย็นชาราวกับกำลังมองคนไม่รู้จัก “นั่งสิ อากาศด้านนอกหนาวเหน็บนัก”

นางเข้ามานั่งใกล้เขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง บรรยากาศระหว่างสามีภรรยาที่มีลูกด้วยกันถึงสามคนช่างเย็นชาเหนือคำบรรยาย ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจคำพูดที่ได้ยินมาจากนางในในห้องเตรียมสำรับแล้ว

นางจ้องฉันสักพักก่อนจะหันไปมองใบหน้าจงที่กำลังหลับใหล

“ลูกไม่ได้ป่วยไข้ตรงไหนใช่หรือไม่เพคะ”

“ถ้าป่วยไข้ ข้าจะส่งข่าวไปบอกเอง” คำตอบนี้ช่างห้วนเสียเหลือเกิน

“ชายาของท่านคงไม่ได้ออกจากวังนานเกินไปใช่หรือไม่เพคะ”

ดูท่าทางนางพยายามจะผ่อนคลายบรรยากาศที่ตนเองสร้างเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงด้วย แต่คำตอบขององค์ชายจองวอนที่ส่งกลับไปก็ยังแข็งกระด้างเหมือนเดิม

ฉันที่อยู่ระหว่างสามีภรรยาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

“ครั้งนี้เจ้าจะพักที่นี่นานเท่าใด”

ใบหน้าของนางที่คลายลงมานิดหน่อยกลับมาแข็งกระด้างในพริบตา ก่อนนางจะลุกขึ้น และพูดกับองค์ชายจองวอนด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น

“พระมเหสีเรียกหม่อมฉันให้มาเข้าเฝ้าเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ที่นี่ไม่กี่วันแล้วจะกลับออกไป ท่านอย่ามาสนใจชายาผู้นี้ของท่านเลยเพคะ”

จากนั้นนางก็หุนหันออกไปนอกห้อง ทิ้งบรรยากาศอันตึงเครียดเอาไว้ให้ฉันกับองค์ชายจองวอน

ในตอนนั้นเององค์ชายจองวอนก็เอ่ยกับฉันทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่จง

“ขอโทษนะ แต่เจ้าออกไปอยู่ที่อื่นสักพัก ข้าจะอยู่ที่นี่กับจงเอง”

“เอ่อ…เพคะ”

ฉันรีบลุกขึ้นแล้วออกมาด้านนอก แม้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่อากาศยังหนาวเหน็บอยู่ ฉันเดินไปยังที่พักของยูซังกุง โชคดีเหลือเกินที่ยูซังกุงยังไม่นอน ทันทีที่นางฟังคำที่องค์ชายจองวอนบอก นางก็ถอนหายใจยาวออกมา บางทีนางอาจจะกำลังนึกถึงความสัมพันธ์ขององค์ชายจองวอนกับพระชายาอยู่ก็ได้ นางบอกว่ามีที่พักว่างอยู่ที่หนึ่ง ไม่มีใครใช้มานานแล้ว เวลาจะจุดไฟอาจจะใช้เวลาสักหน่อย ฉันจึงถามตำแหน่งที่พักแล้วบอกว่าจะไปที่นั่นเอง ซึ่งนางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

เมื่อฉันมาถึงที่พักชั่วคราวนั่น บ่าวสองคนก็วิ่งวุ่นจุดไฟให้ ฉันอยากจะช่วย แต่พอเห็นใบหน้าของพวกนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่าสีดำ ฉันก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ก่อนจะเดินออกมาข้างนอกโดยปล่อยให้พวกนางจุดไฟต่อไป

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกได้ถึงอิสระ ปกติในเวลากลางคืนฉันต้องคอยให้จงนอนหลับเสียก่อนแล้วจึงเข้านอนข้างๆ จง แต่คืนนี้จงนอนกับพ่อของเขา ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ถ้าจงตื่นมาตอนเช้า จงจะดีใจไหมที่พ่อมานอนข้างๆ ถ้าพ่อลูกได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศคงจะดีขึ้นมาไม่น้อย

ฉันเดินเรื่อยมาตามกำแพงที่ไม่รู้ว่ายาวไปถึงที่ไหน มือและเท้าเย็นขึ้นเรื่อยๆ แต่ฉันไม่อยากพลาดอิสระนี้ หิมะหยุดตกทำให้มองเห็นดวงจันทร์ที่กำลังส่องสว่าง ไร้เมฆบดบัง

ที่นี่กลายเป็นพระราชวังชั่วคราวเนื่องจากพระราชวังเดิมถูกเผาในช่วงสงครามอิมจิน เดิมเป็นที่ประทับขององค์ชายวอลซานพระเชษฐาในพระเจ้าซองจง และเมื่อพระเจ้าซอนโจเสด็จกลับจากการลี้ภัยที่นี่ก็กลายเป็นพระราชวังชั่วคราว ต่อมาเมื่อองค์ชายควังแฮได้ขึ้นครองราชย์ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชวังคยองอุน และหลังจากที่พระราชวังชังด็อก บูรณะเสร็จสมบูรณ์หลังจากถูกเผาในช่วงสงคราม ราชสำนักก็ถูกย้ายไปอยู่ที่นั่น ที่นี่จึงถูกใช้เป็นพระราชวังรองมาตลอด 270 ปีและถูกเปลี่ยนชื่อเป็นซอกุง ต่อมาพระเจ้าโกจง ทรงลี้ภัยและได้มาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นคยองอุนอีกครั้ง และก่อสร้างขยับขยายเพิ่มเติม หลังจากที่สละราชสมบัติให้พระราชโอรส พระเจ้าโกจงก็ประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ต่อ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นพระราชวังถ็อกซู ถึงแม้ลักษณะภายนอกจะเป็นแค่บ้านที่มีหลังคาต่ำกว่าพระราชวังทั่วไป แต่ที่นี่ก็ถูกเรียกว่า ‘วัง’ เช่นกัน

แม้จะอยู่ในวังเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถพบเจอกันได้ดั่งใจนึก เพราะยุคนี้คือยุคโชซอน

“ตายแล้ว! ตายแล้ว!”

ตอนนั้นเองเสียงของหญิงผู้หนึ่งก็ดังขึ้น ฉันเงยหน้ามองก็เห็นนางในคนหนึ่งกำลังเกาะกำแพงและมองข้ามกำแพงด้วยใบหน้าแดงก่ำ ฉันจึงแนบตัวชิดกำแพงแล้วมองตามสายตาของนางในทันที

ตรงข้ามกำแพงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก องค์ชายควังแฮกำลังยืนอยู่ เขาเดินไปเดินมาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างภายใต้แสงจันทร์ เขาคงไม่ได้ออกมาชมจันทร์ในคืนที่หนาวเหน็บขนาดนี้แน่นอน เพราะเขาเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น จมอยู่กับความคิดราวกับกำลังมีเรื่องลำบากใจอะไรอยู่

ตอนนี้เขาอยู่คนเดียว แต่ฉันก็ไม่กล้าพอที่จะเข้าไปหาและทักทายเขาเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน ไม่ใช่สิ การทักทายมันจำเป็นต้องใช้ความกล้าขนาดนั้นเชียวเหรอ

ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือเขายืนอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเสียทีเดียว นางในคนหนึ่งกำลังแอบมองดูเขาอยู่ไกลๆ ราวกับเป็นผู้ติดตามของเขาอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ฉันไม่กล้าออกไปหาเขา

“ทะ ท่าน!” พอเห็นฉัน นางในก็รีบทำความเคารพ

“เอ่อ คือว่า ไม่เป็นไร”

แค่ดูก็รู้ว่าใบหน้าของนางในคนนี้ไม่ได้แดงเพราะอากาศหนาว แต่แดงเพราะความเขินอาย

“ใครอยู่ตรงนั้น!”

ทันใดนั้นเองเสียงขององค์ชายควังแฮก็ดังขึ้น ทั้งฉันและนางในถึงกับสะดุ้งอย่างตกใจ คนที่มีสติก่อนคือฉัน ฉันรีบหมอบลงทันที พอนางในเห็นฉันทำแบบนั้นก็รีบทำตามจนเราหัวชนกัน

“เกิดเรื่องกระไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” เสียงชายอีกคนดังขึ้น น่าจะเป็นองครักษ์ขององค์ชายควังแฮ

“ข้าได้ยินเสียงบางอย่างจากทางโน้น”

“กระหม่อมจะไปตรวจดูพ่ะย่ะค่ะ”

ฉันกับนางในคนนั้นทำตาโตทันที เราพร้อมใจกันกลั้นหายใจ ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ ก่อนจะค่อยๆ หมอบเดินไปตามแนวกำแพงเพื่อที่จะได้ออกไปจากตรงนั้นให้ไวที่สุด

พอหมอบเดินมาได้สักพักก็เปลี่ยนไปเป็นวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว เราสองคนก็หยุดยืนหอบอยู่ด้วยกัน เธอคนนั้นดูเหนื่อยมากราวกับเพิ่งเคยวิ่งอย่างนี้เป็นครั้งแรก แล้วเราสองคนก็สบตากันก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆๆ / ฮ่าๆๆๆ”

เมื่อครู่เราพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความกลัว แต่ตอนนี้เรากลับหัวเราะได้แล้ว

“ท่านซังกุงวิ่งเก่งมากเลยเจ้าค่ะ”

“ท่านเองก็วิ่งเก่งเหมือนกันนะ”

“ท่งท่านอะไรเจ้าคะ อย่าพูดจาเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”

อายุของนางกับฉันดูไม่น่าจะแตกต่างกันมากสักเท่าไหร่ “อายุเท่าไหร่หรือ”

“สิบแปดปีเจ้าค่ะ”

“อายุน้อยกว่าข้าหนึ่งปี เช่นนั้นเรียกข้าแบบเป็นกันเองก็ได้นะ”

“แต่ท่านเป็นถึงซังกุง… ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะข้าไม่ได้เป็นซังกุงมาตั้งแต่แรก และข้าก็เป็นแค่ซังกุงพระพี่เลี้ยงน่ะ”

“ซังกุงพระพี่เลี้ยง…ของท่านชายจงน่ะหรือเจ้าคะ”

“ถูกต้อง”

“ข้าได้ยินมาว่าซังกุงพระพี่เลี้ยงของตำหนักองค์ชายจองวอนในครั้งนี้อายุน้อยมากเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่นึกว่าจะอายุมากกว่าข้าเพียงแค่หนึ่งปี…”

“เรียกข้าว่า ‘พี่สาว’ เฉยๆ ก็ได้นะ”

“พี่สาวหรือเจ้าคะ”

“ใช่ ไม่ต้องพูดเจ้าคะกับข้าด้วย เราอายุห่างกันแค่หนึ่งปี และตอนนี้มีเราอยู่แค่สองคน”

“จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกท่านว่า ‘พี่สาว’ นะเจ้าคะ…พี่สาว”

แค่เห็นนางยิ้ม ฉันก็อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว “ใช่แล้ว น้องสาว ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรล่ะ”

“ข้าชื่อลีมียองเจ้าค่ะ”

“เจ้าพักอยู่ที่ไหนหรือ ถ้าวันไหนอากาศดี เรามาเม้าท์กันใหม่ดีกว่านะ”

“เม้าท์? เม้าท์หรือเจ้าคะ”

“เอ่อ…หมายถึงถ้าวันไหนอากาศดี เรามาคุยกันใหม่ดีกว่า”

“ในวันที่อากาศดีจะยิ่งยากเจ้าค่ะ ตำหนักที่ข้าทำงานอยู่มักมีแขกเหรื่อมาไม่ขาดสาย ยุ่งมากเลยเจ้าค่ะ”

“มีแขกมาไม่ขาดเลย? หมายถึงแขกมาในพระราชวังชั่วคราวนี้น่ะหรือ เจ้าทำงานที่พระราชตำหนักของฝ่าบาทหรือไร”

“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ข้าเป็นผู้ช่วยนางในของตำหนักองค์ชายอิมแฮเจ้าค่ะ”

องค์ชายอิมแฮก็คือพี่ชายขององค์ชายควังแฮสินะ

“ตำหนักองค์ชายอิมแฮมีแขกมาเยอะเลยหรือ”

“องค์ชายอิมแฮเป็นโดเจโจสังกัดจงบูชีน่ะเจ้าค่ะ เลยมีเครือพระญาติในราชวงศ์มาเยี่ยมเยือนมากมาย”

จงบูชีคือหน่วยงานที่จัดทำสมุดบันทึกลำดับสายตระกูลของราชวงศ์และคอยดูแลบรรดาเชื้อพระวงศ์ ส่วนโดเจโจคือตำแหน่งที่สูงสุดภายในจงบูชี ในสมัยพระเจ้าซอนโจ องค์ชายอิมแฮรับตำแหน่งเป็นโดเจโจของจงบูชี เพราะอย่างนั้นเมื่อองค์ชายควังแฮเสวยราชสมบัติในวันข้างหน้า เขาที่เป็นถึงโดเจโจและเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันจึงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

“ตำหนักขององค์ชายอิมแฮอยู่ใกล้กับที่นี่หรือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ในเวลาดึกดื่นขนาดนี้” คำถามนี้ของฉันทำให้ใบหน้าของมียองแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“เพราะเวลานี้…ข้าจึงจะมีโอกาสเห็นองค์ชายรัชทายาทเจ้าค่ะ”

มียองตกหลุมรักองค์ชายควังแฮอย่างที่ฉันคิดจริงๆ เวลาผ่านไปแปดปี เขาที่เคยเป็นคนน่าเบื่อกลับกลายเป็นชายที่ป็อปปูล่าร์ที่สุดในวังไปแล้วเหรอเนี่ย

“ทั้งที่หนาวขนาดนี้เนี่ยนะ…”

“อากาศหนาวแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ความจริงองค์ชายรัชทายาทออกมาที่ลานหน้าตำหนักแทบทุกคืนเลยนะเจ้าคะ”

“แทบทุกคืนเลยหรือ”

“เจ้าค่ะ เคยเป็นหวัดเพราะออกมาแบบนี้ด้วยนะเจ้าคะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเสด็จออกมาแทบทุกคืนเลยเจ้าค่ะ”

ทั้งที่เคยเป็นหวัดยังออกมาอีก คงจะมีเรื่องอึดอัดใจมากเลยสินะ

มียองเงยหน้ามองดวงจันทร์แล้วพูดกับฉัน “ท่านซังกุงพระพี่เลี้ยงเจ้าคะ”

“บอกให้เรียกพี่สาวไงล่ะ”

“แหะๆ เจ้าค่ะ พี่สาว ตอนนี้ดึกมากแล้ว ข้าต้องไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ”

“จ้ะ มียอง”

แต่สุดท้ายนางก็ยังเอามือทั้งสองข้างกุมไว้ด้านหน้าแล้วโค้งเคารพฉันอย่างสุภาพก่อนจะเดินไป ถ้าฉันได้เจอนางอีกครั้งฉันจะต้องสอนวิธีโบกมือลาให้นางอย่างแน่นอน

เช้าวันต่อมา จงไม่รู้ว่าแม่มา จึงนั่งอ่านหนังสือเสียงดังกับฉันอยู่บนพื้นไม้ที่ทั้งเย็นและแคบเหมือนเช่นเคย

ตำหนักขององค์ชายจองวอน ตำหนักของพระชายาและตำหนักของจงนั้นมีเพียงแค่กำแพงเล็กๆ กั้นกลาง เสียงอ่านหนังสือของลูกชายลอยไปตามสายลมเย็นๆ แน่นอนว่าต้องไปถึงที่ตำหนักของพระชายาแน่นอน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่านางจะมาหาจงเลย

ตอนแรกฉันคิดแก้ตัวแทนนางเอาไว้ว่าอากาศคงหนาวมากจึงอยู่แต่ในห้องด้านในจนไม่ได้ยินเสียงของจง แต่พอช่วงบ่ายนางกลับออกมาเดินเล่นอยู่หน้าตำหนักอย่างเพลิดเพลินกับลูกชายสองคน พอจงเห็นนางก็รีบวิ่งเข้าไปหา หวังจะได้ใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่ แต่ทันทีที่นางเห็นจง นางกลับบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาท่องตำราหรอกรึ” เหมือนกับจะไล่จงกลับที่พักของตนเองกลายๆ ฉันเองที่เป็นแค่พี่เลี้ยงยังรู้สึกสงสารจงจับใจ แต่นางที่เป็นแม่แท้ๆ กลับไม่สงสารลูกบ้าง

สุดท้ายจงก็นั่งลงที่ไม้กระดานแล้วพยายามเรียกร้องความสนใจในแบบเด็กๆ นั่นก็คือเริ่มอ่านออกเสียงให้ดังยิ่งขึ้น บางทีสิ่งที่จงหวังอาจจะเป็นการที่แม่ผ่านมาแล้วชมว่า ‘อ่านหนังสือเก่งจังเลยลูก’ สักครั้งก็ได้

ฉันเข้าใจหัวใจเด็กน้อยอย่างจง จึงไม่ชวนกลับเข้าที่พักทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ และคอยเขี่ยไฟเพื่อทำให้จงรู้สึกอบอุ่น แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่แม้แต่จะเหลียวมองมาทางที่พักของจงเลย

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า นางหายเข้าไปในตำหนัก ส่วนจงก็เลิกอ่านหนังสือ การนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างนอกทั้งวันทำให้ปลายจมูกของจงแดงก่ำ จงไม่พูดอะไรเลย ไม่มีท่าทางขี้เล่นแม้แต่น้อย และท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูก็หายไปด้วย ฉันจึงลูบหัวปลอบโยนจงที่กำลังแอบมองไฟที่ส่องสว่างอยู่ในตำหนักของพระชายา

“เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”

คืนวันนั้น หลังจากจงหลับไปได้พักใหญ่ องค์ชายจองวอนจึงเดินเข้ามา ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนมาตลอดทั้งวัน ทันทีที่เห็นเขา ฉันก็เกิดอาการไม่พอใจทันที

“องค์ชายหายไปไหนมาทั้งวันเพคะ”

คำพูดแรกที่ทักทายกันกลับกลายเป็นคำพูดบ้าคลั่งเช่นนี้ องค์ชายจองวอนจึงมีสีหน้างงงวยกับท่าทางและคำพูดของฉัน มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเป็นเพียงแค่ซังกุงพระพี่เลี้ยง อีกทั้งยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่บังอาจทำนิสัยก้าวร้าวกับเชื้อพระวงศ์

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึ”

“มีสิเพคะ ท่านชายจงอยู่คนเดียวทั้งวันเลยนะเพคะ”

“เจ้าเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยง ไม่ได้อยู่กับจงหรอกรึ” เขาย้อนถามฉัน ฉันจึงยิ่งรู้สึกโมโห

“หม่อมฉันอยู่ด้วยตลอดทั้งวันเพคะ แต่ท่านชายจงไม่ได้เจอกับพ่อแม่เลย เอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันเลยเพคะ”

“ข้ามีงานต้องทำ”

ในสถานการณ์แบบนี้ องค์ชายจองวอนเลือกที่จะแก้ตัวออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแก้ตัวเลย

“แล้วพระชายาของพระองค์ยุ่งอยู่กับการใช้เวลากับโอรสทั้งสองพระองค์หรือเพคะ ถึงแม้ว่าท่านชายจงจะเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดแต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่น การที่พ่อแม่ไม่ใช้เวลาร่วมกับลูก มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเพคะ!”

แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าตำแหน่งซังกุงพระพี่เลี้ยงนั้นมีอำนาจอยู่ในระดับไหน แต่สิ่งที่ฉันแน่ใจคือมันไม่ใช่ตำแหน่งที่จะสามารถสั่งสอนเชื้อพระวงศ์ได้อย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย จงมีทั้งพ่อและแม่ แต่พ่อกับแม่ทะเลาะกันจนปล่อยให้ลูกต้องโดดเดี่ยว

องค์ชายจองวอนไม่พูดอะไรสักคำกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงของฉัน เขาทำท่าจะอ้าปากพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา พอเห็นองค์ชายจองวอนนิ่งเงียบฉันก็รู้สึกกลัวว่าจะถูกไล่ออกจากวัง แต่ที่ฉันพูดออกไปแบบนั้นเพราะฉันหวังดีต่อจงจริงๆ

“เอ่อ…ข้ารู้แล้ว” เขาตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนคำพูด และตอบออกมาเพียงแค่นี้ “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”

เขาจะพูดทั้งหมดเพียงแค่นี้จริงๆ หรือ องค์ชายจองวอนเข้าใจที่ฉันพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย

ฉันหันหลังให้องค์ชายจองวอนและกลับมายังที่พักของตัวเอง บ่าวจุดไฟเตรียมเอาไว้ให้ในห้องแล้ว แม้ภายในห้องจะอบอุ่น หากแต่รู้สึกว่างเปล่า แล้วจงที่ใช้ชีวิตคนเดียวในห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องของฉันล่ะ จะว่างเปล่าและเดียวดายแค่ไหน ฉันนึกภาพของจงที่เติบใหญ่กลายเป็นพระเจ้าอินโจไม่ออกเลย เพราะตอนนี้จงเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่น่ารัก จิตใจดี และเปลี่ยวเหงายิ่ง

“เฮ้อ…”

อะไรที่ทำให้สามีภรรยาคู่นั้นมีความสัมพันธ์ที่แย่แบบนี้ พระชายาขององค์ชายจองวอนรักองค์ชายชินซองผู้เป็นพี่ชายขององค์ชายจองวอนอย่างที่พวกนางในพูดจริงๆ เหรอ

ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“พี่สาวเจ้าคะ พี่สาว”

มียองนั่นเอง ฉันรีบเปิดประตูทันที มียองกำลังยืนอยู่พร้อมตะกร้าในมือ

“รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”

“ก็พี่สาวเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยงไม่ใช่หรือเจ้าคะ พระราชวังชั่วคราวคับแคบขนาดนี้ แค่ที่พักของซังกุงพระพี่เลี้ยงไม่ใช่เรื่องยากเลยเจ้าค่ะ”

ดูๆ ไปแล้วมียองเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดมากเลยทีเดียว

“แล้วนี่เอาอะไรมาด้วยล่ะ” ฉันมองตะกร้าที่นางถือมาแล้วถามขึ้น

“ดูสิเจ้าคะ” ทันทีที่นางเปิดฝาตะกร้าก็เผยให้เห็นอินจอลมี

“ไปเอามาจากไหน” ฉันรีบหยิบอินจอลมีขึ้นมาหนึ่งชิ้น

“แขกที่มาพบองค์ชายอิมแฮในวันนี้เอามาให้เจ้าค่ะ ของเหลือของเจ้านายก็จะกลายเป็นของนางใน ข้านึกถึงพี่สาวก็เลยเอามาฝากเจ้าค่ะ”

“ขอบใจนะ ข้าชอบสุดๆ เลย”

“สุดๆ หรือเจ้าคะ”

“ชอบสุดๆ… คือชอบจริงๆ ชอบมากๆ น่ะ ฮ่าๆ”

เวลาอยู่กับมียอง ฉันรู้สึกผ่อนคลาย จึงหลุดพูดภาษาปัจจุบันออกมาบ่อยๆ ฉันหัวเราะร่วนก่อนจะกัดอินจอลมีหนึ่งคำ แต่แป้งกลับแข็งมาก ดูเหมือนว่ามันจะถูกวางทิ้งเอาไว้ท่ามกลางอากาศเย็นเป็นเวลานาน พอเห็นสีหน้าของฉัน มียองก็รีบปิดฝาตะกร้าทันที

“อ้าว มันแข็งแล้วนี่เจ้าคะ เช่นนั้นอย่ากินเลยเจ้าค่ะ”

“มันต้องมีวิธีอื่นที่ทำให้กินได้สิ”

“อืม ถ้าเช่นนั้น ทำแบบนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ”

มียองวางตะกร้าที่ปิดเอาไว้ใกล้กับไฟภายในห้อง แล้วเอาผ้าห่มคลุมเอาไว้อีกที พอเห็นวิธีการอุ่นขนมแบบนี้ ฉันก็หัวเราะออกมา

“สักพักอินจอลมีคงนุ่มขึ้นสินะ”

“รออีกสักพักนะเจ้าคะ” มียองตอบยิ้มๆ

“ได้สิ แล้วมาที่นี่เวลานี้ได้ด้วยหรือ”

“วันนี้ไม่มีงานเจ้าค่ะ ดังนั้นระหว่างทางมาที่นี่ข้าจึงแวะไปแถวตำหนักองค์ชายรัชทายาทเพื่อจะแอบดูเจ้าค่ะ”

พอได้ยินคำว่า ‘องค์ชายรัชทายาท’ หูของฉันก็ผึ่งขึ้นมาทันที “แล้วอย่างไรต่อ”

“วันนี้ไม่พบเจ้าค่ะ มีวันที่ได้พบก็ย่อมมีวันที่ไม่ได้พบ”

“เหตุใดเจ้าจึงชอบเขา เอ๊ย! องค์ชายรัชทายาทล่ะ”

“ก็พระองค์รูปงามนี่เจ้าคะ”

เขาหล่อจริงๆ ทั้งเมื่อแปดปีก่อนและตอนนี้

“แล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหม”

“เมื่อก่อนองค์ชายอิมแฮดื่มน้ำจัณฑ์แล้วไล่ตีพวกนางในเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ! เรื่องจริงหรือ”

“เจ้าค่ะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าองค์ชายเกลียดอะไรข้า หรือเป็นเพราะข้าอยู่ใกล้ที่สุด ข้าจึงถูกองค์ชายอิมแฮทุบตีจนนึกว่าจะต้องตายเสียแล้ว”

“ไม่เป็นไรใช่ไหม แล้วตอนนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่หรือเปล่า”

“ตอนนี้ข้ารู้จักหลบหลีกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นพอองค์ชายรัชทายาททราบข่าวจึงได้รีบมาห้ามปรามองค์ชายอิมแฮ เพราะอย่างนั้นข้าจึงปลอดภัยน่ะเจ้าค่ะ”

“หลังจากนั้นก็เลยชอบหรือ”

“ก่อนหน้านั้นข้าชอบเพราะว่าองค์ชายรัชทายาทสง่าผ่าเผยและรูปงาม แต่หลังจากนั้นข้าชอบเพราะอุปนิสัยของท่านเจ้าค่ะ” มียองยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่แดงก่ำของตนเองพลางกล่าวต่อ “ท่านจะได้เป็นพระราชาไม่ใช่หรือเจ้าคะ หากท่านกลายเป็นพระราชา แม้ข้าจะต้องตาย ข้าก็ไม่เสียดายเจ้าค่ะ! แต่ว่าคงไปพูดพล่อยๆ แบบนี้ที่ไหนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าไม่เอาไปพูดที่ไหนหรอก”

เวลาพูดคุยกับมียอง ฉันรู้สึกอารมณ์ดีมาก

“อินจอลมีได้ที่แล้วเจ้าค่ะ”

มียองเอาผ้าห่มที่คลุมตะกร้าออก ก่อนจะหยิบอินจอลมีที่นุ่มนิ่มขึ้นมา แล้วเราสองคนก็กินไปคุยไปทั้งคืนจนเข้าสู่เช้าวันใหม่โดยไม่รู้ตัว

 

ผลจากการที่คุยกับมียองจนสว่างทำให้ฉันตื่นสาย

เวลาอาหารเช้าของจงต้องเริ่มขึ้นแล้วแน่ๆ ฉันรีบลุกจากที่นอน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งไปยังที่พักของจงทันที

องค์ชายจองวอนกับจงกำลังรับอาหารเช้าอยู่ด้วยกัน พอเห็นฉันวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา องค์ชายจองวอนก็มองอย่างตำหนิ

“เจ้ามีสหายด้วยรึ” น้ำเสียงนั้นเบามากราวกับเป็นการบ่นพึมพำ ไม่ใช่คำถาม

“ซังกุงพระพี่เลี้ยงมีสหายไม่ได้หรือเพคะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ยูซังกุงบอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่พักของเจ้าทั้งคืนจนนอนไม่หลับ”

ฉันได้แต่กัดฟันกรอดที่ยูซังกุงฟ้องเรื่องของฉันให้องค์ชายจองวอนฟัง แต่ระหว่างนั้นจงก็หันมายิ้มกว้างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสดใส “พี่สาวกินข้าวมาหรือยัง มานี่มา”

คำพูดนั้นของจงทำให้ฉันหน้าชา จงกับฉันมีสถานะเป็นนายกับบ่าว หากองค์ชายจองวอนรู้ว่าปกติจงเรียกฉันว่า ‘พี่สาว’ คงไม่ใช่เรื่องดี แต่ทั้งที่ได้ยินกับหู องค์ชายจองวอนกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เขายังกินอาหารต่อไปและพูดกับฉันอีกครั้ง

“เจ้ารีบร้อนมาเช่นนี้ ดูท่าน่าจะยังไม่ได้กินข้าวกระมัง”

“ยังเลยเพคะ แต่เอาไว้ก่อนก็ได้เพคะ”

ปกติฉันจะกินกับจง เพราะอย่างนั้นนางในห้องเครื่องจึงจัดข้าวเปล่ามาให้สองถ้วยเสมอ ซึ่งข้าวเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าขององค์ชายจองวอนถ้วยนั้นคงจะเป็นข้าวที่ถูกเตรียมไว้ให้ฉัน

ระหว่างนั้นเององค์ชายจองวอนก็หยิบห่อผ้าขึ้นมาวางแล้วแกะผ้าออก ภายในนั้นมีข้าว ตะเกียบและช้อน

“นั่น…”

“จงบอกให้เตรียมเอาไว้”

จงมองฉันพร้อมถามด้วยสายตาว่า ‘จงทำดีใช่หรือไม่ล่ะพี่สาว’ ก่อนจะยิ้มกว้าง ฉันจึงยิ้มกลับไปให้ แต่พอหันไปสบตากับองค์ชายจองวอน ฉันก็รีบหุบยิ้มทันที

“รีบมานั่งกินข้าวสิ”

“อะไรนะเพคะ”

ฉันคิดว่าตัวเองฟังผิด นั่นไม่ใช่แค่พ่อกับลูกชายธรรมดา แต่เป็นถึงองค์ชายจองวอนกับพระโอรสองค์โต จะให้ฉันกินข้าวพร้อมกับองค์ชายและพระโอรสเนี่ยนะ

“พี่สาว มาเร็วเข้าสิ” จงเอ่ยพลางกวักมือเรียก

ฉันไม่รู้ว่าฉันที่มีฐานะเป็นเพียงแค่ซังกุงพระพี่เลี้ยงควรจะเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับสองพ่อลูกผู้สูงส่งหรือไม่จึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างลังเล

พอเห็นดังนั้น องค์ชายจองวอนก็ขยับไปด้านข้างเล็กน้อย จงก็ขยับไปอีกฝั่งเช่นกัน สุดท้ายฉันจึงได้นั่งลงข้างๆ จงและตรงข้ามกับองค์ชายจองวอนพอดี

แม้ข้าว ตะเกียบและช้อนจะถูกวางอยู่ตรงหน้า แต่ฉันก็ไม่กล้าหยิบขึ้นมา ระหว่างนั้นเองจงผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรพลันพูดขึ้นมากลางวงว่า “พี่สาว ข้ากินเนื้อที่พี่สาวชอบหมดแล้วนะ”

ความจริงที่ฉันกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยกับจงได้ถูกเปิดเผยให้โลกรู้แล้ว จงเป็นเด็กที่ไม่เห็นแก่ตัวเรื่องการกิน พอรู้ว่าฉันชอบกินเนื้อจึงยกเนื้อให้ฉันกินอยู่เสมอ ทั้งที่จงเองก็ชอบกินเนื้อมากเช่นกัน

“อ้อ ดีแล้วจ้ะ เก่งมาก ต่อไปนี้จงทานเนื้อให้หมดเลยนะ”

ฉันพูดพลางลูบหัวของจง ระหว่างนั้นก็รู้สึกได้ถึงสายตาขององค์ชายจองวอนที่กำลังชำเลืองมอง ฉันจึงสะดุ้งก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นเพียงแค่นางในและมีความผิดฐานลูบหัวโอรสขององค์ชาย จึงรีบเอามือลงอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเรียกชื่อจงเฉยๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่”

องค์ชายจองวอนพูดกับฉันเรื่องเรียกชื่อ เขาคงไม่พอใจที่ฉันเรียกชื่อจงเฉยๆ เพราะแม้แต่ซังกุงส่วนพระองค์ยังต้องทำความเคารพจงเลย แล้วฉันที่เป็นเพียงซังกุงพระพี่เลี้ยงจึงไม่ควรจะเรียกชื่อจงแบบนี้

“คือว่า…”

“ตั้งแต่แรกเลยขอรับ จงคือจงตั้งแต่แรกเลยขอรับ”

จงพูดแทรกระหว่างองค์ชายจองวอนกับฉันขึ้นมาอีกครั้งราวกับต้องการโอ้อวด ทว่าใบหน้าขององค์ชายจองวอนเวลานี้ไม่ได้ดูเหมือนคนโกรธ เขาพูดกับฉันเหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก

“จงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง เป็นชื่อที่เสด็จพ่อของข้าตั้งให้ แต่ไม่ค่อยมีคนชอบชื่อนั้นสักเท่าไหร่ ทุกคนจึงไม่เรียกชื่อนั้นกัน”

“มีอีกชื่อหนึ่งด้วยหรือเพคะ”

การมีชื่ออีกชื่อให้เรียกเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคโชซอน

“ชอนยูน”

ตอนนั้นเองจงพูดขึ้นมา ความหมายของชื่อนี้คือทายาทผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ จงเป็นหลานชายคนโตที่พระเจ้าซอนโจนั้นรักมากจริงๆ และชื่อนี้ก็คือหลักฐานสำคัญ

“ถ้าเช่นนั้นต่อไปให้เรียกว่าชอนยูนดีไหมเพคะ”

“ข้าชอบชื่อจงมากกว่า”

คำพูดของจงทำให้องค์ชายจองวอนหันมามองจงแล้วเอ่ยว่า “ชอนยูนคือชื่อที่เสด็จปู่ของเจ้าตั้งให้ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด เจ้าห้ามบอกว่าเจ้าไม่ชอบชื่อนี้อย่างเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”

“ขอรับท่านพ่อ”

แม้น้ำเสียงจะเจือความไม่พอใจอยู่นิดหน่อย แต่จงก็ยังยิ้มและตอบรับ ดูท่าทางบรรยากาศการกินอาหารของสองพ่อลูกคงจะดีตั้งแต่ตอนฉันเข้ามาแล้ว

ถึงพ่อลูกจะคุยกันด้วยดี แต่ตอนนี้ฉันนี่แหละที่อึดอัดใจ ดูเหมือนว่าองค์ชายจองวอนจะอ่านใจฉันออกจึงกระแอมออกมาก่อนจะลุกขึ้น

แหม อายุมากกว่าฉันแค่สองปีเท่านั้นแหละ ทำเป็นเก๊ก

“หากกินข้าวเสร็จ เจ้าก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกกับจงด้วยล่ะ”

“ออกไปข้างนอกหรือเพคะ”

“วันนี้ข้ามีงานทั้งวัน ข้าจึงคิดว่าจะพาจงไปที่นั่นด้วย”

“หม่อมฉันก็ต้องไปด้วยหรือเพคะ”

วินาทีนั้นฉันนึกถึงคำพูดที่ฉันพูดกับเขาเมื่อวาน

‘แล้วพระชายาของพระองค์ยุ่งอยู่กับการใช้เวลากับโอรสทั้งสองพระองค์หรือเพคะ ถึงแม้ว่าท่านชายจงจะเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดแต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่น การที่พ่อแม่ไม่ใช้เวลาร่วมกับลูกมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะเพคะ!’

นี่เป็นเพราะที่ฉันพูดไปเมื่อวานงั้นเหรอ

แล้วสิ่งที่องค์ชายจองวอนพูดขึ้นต่อจากนั้นก็ยิ่งตอกย้ำข้อสันนิษฐานของฉัน

“ข้าเองก็คิดเหมือนกันว่าไม่ค่อยได้ใช้เวลากับจงสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นข้าจึงพยายามหาโอกาสให้มากขึ้น”

ฉันแน่ใจแล้วว่าฉันนี่แหละที่เป็นคนกระตุ้นเรื่องนี้กับองค์ชายจองวอน

 

จงดูสนุกสนานมาก คงไม่ได้ออกมาข้างนอกกับพ่อนานแล้ว ส่วนฉันเองที่นั่งเกี้ยวมากับจงก็เพิ่งได้ออกนอกวังครั้งแรกหลังจากมาโชซอนเหมือนกัน ส่วนองค์ชายจองวอนกำลังขี่ม้าตามหลังเกี้ยวของฉันกับจง

สงครามเพิ่งสิ้นสุดได้ไม่นาน ภายในเมืองหลวงจึงวุ่นวายมาก ทหารกระจายตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อคอยตรวจตราความปลอดภัย ฉันอยากเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกจึงเถียงกับจงเรื่องที่นั่ง เพราะถ้านั่งด้านขวาของเกี้ยวก็สามารถมองเห็นวิวภายนอกได้อย่างชัดเจน จงกับฉันต่างก็ไม่ยอมให้แก่กัน สุดท้ายจงจึงตะโกนเรียกชื่อของฉันออกมาเสียงดังจนองค์ชายจองวอนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหลังถึงกับขี่ม้ามาเทียบแล้วเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องกระไรขึ้น”

พอเห็นองค์ชายจองวอน จงก็นั่งนิ่ง แม้ว่าจงจะรักองค์ชายจองวอนผู้เป็นพ่อมากแค่ไหนแต่ก็กลัวมากเหมือนกัน จงใช้นิ้วมือเล็กๆ ปิดปากแล้วทำเสียง ‘ชู่ว’ ใบหน้าน่ารักนั้นเหมือนจะบอกว่าห้ามบอกพ่อเด็ดขาด สุดท้ายฉันจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เกิดเรื่องกระไรขึ้นกันแน่”

“ไม่มีอะไรเพคะ”

ทั้งที่บอกว่าไม่มีอะไร แต่ฉันก็ยังหัวเราะอยู่ จงจึงระเบิดเสียงหัวเราะตามไปด้วย องค์ชายจองวอนจึงไม่เซ้าซี้ถามต่อและบังคับม้ากลับที่เดิม ฉันจึงหันไปหยิกแก้มของจงด้วยความมันเขี้ยวแล้วกระซิบข้างหูเขา

“อยู่ทางซ้ายไปนะ ส่วนพี่จะอยู่ทางขวา”

สถานที่ที่องค์ชายบอกว่าเป็นที่ทำงานและพาพวกเรามานั้นคือพระราชวังชังด็อก แต่เป็นพระราชวังชังด็อกที่ถูกไฟไหม้และกำลังซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมอยู่ เขาคงจะมาดูงานในฐานะเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่างานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันก็ได้ เดินดูรอบๆ คอยสังเกตความคืบหน้า แต่นี่เป็นข้อแก้ตัวที่เหมาะเจาะสำหรับการหนีความสัมพันธ์อันแสนเย็นชาระหว่างสามีภรรยาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักอันคับแคบ

ระหว่างที่องค์ชายจองวอนพูดคุยกับข้าราชบริพารในหน่วยงานที่รับหน้าที่ก่อสร้างและซ่อมแซมพระราชวัง ฉันกลัวจงจะเบื่อ จึงขออนุญาตองค์ชายจองวอนเดินเล่นรอบๆ

“หม่อมฉันขออนุญาตไปเดินเล่นกับท่านชายจงนะเพคะ”

“ได้สิ”

ฉันทำความเคารพก่อนจะเดินออกมา ระหว่างนั้นมีข้าราชการคนหนึ่งเดินเข้าไปหาองค์ชายจองวอนพอดี ฉันจึงเงี่ยหูฟัง

“ยังจับแม่เสือของลูกเสือพวกนั้นไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

เสืองั้นเหรอ

พอลองรื้อฟื้นความทรงจำดู เคยได้ยินพ่อเล่าให้ฟังว่าหลังจากช่วงสงครามอิมจิน ก็มีเสือลงมาจากภูเขาทางเหนือกับภูเขาทางตะวันตก สุนัขของชาวบ้านจึงถูกเสือกินบ่อยๆ

“พี่สาว!” จงที่วิ่งไปทางสวนด้านหลังของพระราชวังชังด็อกหันมาโบกมือให้ฉัน เขาดูสนุกกับการวิ่งเล่นบนหิมะที่ยังไม่ละลาย

เด็กหนอเด็ก

แม้จะไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่การได้อยู่ด้วยกันในที่ทำงานก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไหร่

“เจ้าเด็กน้อย! มาให้พี่จับซะดีๆ”

จงปาหิมะใส่ฉันแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนจะวิ่งหนีฉันเข้าไปในสวนลึกจนลับสายตาฉัน จงยังเด็กมาก แค่ห่างจากสายตาฉันนิดเดียว ฉันก็หัวเสียแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าจงคงแกล้งซ่อนตัวแล้วจะโผล่มาตะโกนเรียกฉัน แต่แล้วก็เงียบไป ฉันใจคอไม่ดี รีบขว้างหิมะในมือทิ้งแล้วเริ่มตะโกนเรียก

“จง! จง!”

ดูเหมือนคนงานจะรวมตัวกันอยู่ตรงจุดก่อสร้างสำคัญๆ และหน้าประตูพระราชวังเท่านั้น บริเวณสวนด้านหลังจึงเงียบเชียบมาก แม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่อากาศเย็นยะเยือกกลับโอบล้อมรอบด้าน ตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของจงเลย มีเพียงเสียงร้องของพวกนกบนท้องฟ้าที่บินผ่านมาพอดี

“จง!”

ฉันใจเสียมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องเสือที่ได้ยินมาจากข้าราชการคนเมื่อครู่พลันผุดขึ้นมาในหัว

ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ฉันอาศัยอยู่ เสือคือสัตว์ป่าที่พบเห็นได้เฉพาะในสวนสัตว์เท่านั้น แต่ในยุคโชซอนนั้นแตกต่างกัน มีเสืออาศัยอยู่ในป่ามากมาย อีกทั้งเรื่องของเสือในพระราชวังชังด็อกที่เคยฟังจากพ่อก็คอยสะกิดใจฉันตลอด นั่นยิ่งทำให้ฉันตะโกนเรียกจงเสียงดังขึ้นไปอีก

“จง! จงอยู่ที่ไหน! จง!”

ฉันวิ่งวนพร้อมร้องเรียกจงอยู่นาน จนสักพักก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง

“ฮือ ฮือออ~ พี่สาว… พี่สาว…” เสียงนั้นเป็นเสียงของจงแน่ๆ ฉันจึงโล่งใจแล้วเดินไปทางต้นเสียง

“เจ้าเด็กนี่ พี่หาแทบแย่เลยนะ…” แต่แล้วร่างของฉันก็แข็งทื่อกับสิ่งที่ได้เห็น เสือตัวใหญ่กำลังคำรามพร้อมจ้องไปที่จงที่กำลังยืนร้องไห้จ้าอยู่

“ไม่…ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ไม่เป็นไร อยู่เฉยๆ ก่อนนะ จง”

ฉันเองก็กลัวมาก ใจหนึ่งก็อยากจะวิ่งหนีออกไป แต่ถ้าฉันที่เป็นผู้ใหญ่ยังกลัวมากขนาดนี้แล้วจงที่ยังเป็นเด็กน้อยจะกลัวมากขนาดไหน ก่อนอื่นฉันต้องพยายามทำให้จงวางใจเสียก่อน การทำเสียงดังต่อหน้าเสือที่มองแวบเดียวก็รู้ว่ากำลังเกรี้ยวกราดอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ และทั้งที่ฉันโผล่มา แต่เสือตัวนี้ก็ยังคงมองไปที่จงโดยไม่สนใจฉันแม้แต่น้อย

“พี่สาว… ฮือ… ข้ากลัว…”

“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ฟังพี่ให้ดีนะ พี่จะไปทางนั้น พอจงจับมือพี่ได้ก็รีบวิ่งทันทีเลยนะ เข้าใจไหมจ๊ะ”

“กลัว… พี่สาว ข้ากลัว…” ฉันไม่รู้เลยว่าเวลาเจอเสือต้องทำอย่างไรจริงๆ

“จง เมื่อครู่พี่บอกว่ายังไง พอพี่ไปแล้วจงต้องทำยังไงต่อจ๊ะ”

ฉันย้ำคำพูดอีกครั้งเพื่อให้จงใจเย็นมากที่สุด จงพยายามหยุดร้องไห้แล้วเริ่มท่องคำพูดของฉันช้าๆ

“ให้จับมือ…”

“แล้วอย่างไรต่อ”

“แล้วก็วะ วิ่ง…”

“ใช่จ้ะ ถูกต้อง พี่จะไปหาจงแล้วนะ แล้วจงก็จับมือพี่นะ…”

“แล้วก็วิ่ง…”

“ใช่จ้ะ จงเก่งจังเลย”

ฉันเริ่มเดินไปหาจงทั้งที่ขาของตัวเองก็สั่นเทา ทันทีที่จงเห็นฉันเดินเข้าไปใกล้ จงก็รีบวิ่งมาหาก่อนที่ฉันจะไปถึงตัวเขาราวกับทนไม่ได้ที่ต้องอยู่คนเดียวต่อไปอีกแล้ว

“พี่สาว!”

เขาอ้าแขนและโถมเข้าใส่อ้อมกอดของฉันโดยลืมคำพูดที่ฉันบอกให้วิ่งพร้อมกันไปจนหมดสิ้น วินาทีนั้นเองเสือก็คำรามออกมาเสียงดังและเริ่มจู่โจมเข้ามาทันที ฉันจับมือของจงแน่นแล้วพาวิ่งไปข้างหน้า แต่เด็กที่อายุยังไม่ถึงหกขวบดีกับการหนีเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่ยากจนเกินกำลัง สุดท้ายจงก็ล้มลงจนมือของเราต้องปล่อยจากกัน

“จง!/พี่สาว!”

แต่ฉันจะไม่ทิ้งจงเด็ดขาด เสือกำลังวิ่งพุ่งเข้าหาจงที่ล้มอยู่ ฉันรีบวิ่งเข้าไปเอาร่างของตนเองบังร่างของจงเอาไว้ เสี้ยววินาทีนั้นฉันพลันคิดว่าตัวเองต้องตายที่นี่แน่ๆ

“โอ๊ย!” ฉันกอดจงเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เสือทำอะไรจงได้ กรงเล็บของเสือตะปบเข้าที่ไหล่ซ้าย ฉันรู้สึกเหมือนเนื้อกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

“อา…” ลมหายใจเริ่มติดขัด น้ำตาเริ่มไหลริน เลือดสีแดงอุ่นทะลักออกมาจากแผลที่ไหล่ เจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้โฮออกมา แต่ทว่าไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปาก

“แง้!” จงร้องไห้จ้า เสือถอยห่างออกไปเล็กน้อย และทำท่าจะจู่โจมอีกครั้ง ฉันรู้สึกราวกับจะหมดสติ แต่ก็ต้องประคองสติเอาไว้เพื่อปกป้องจงให้รอดปลอดภัย แต่การเสียเลือดมากทำให้เปลือกตาของฉันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนภาพข้างหนาเริ่มเลือนราง และวินาทีที่เปลือกตาของฉันกำลังจะปิดลง

ฟิ้ว…อั่ก!

ลูกธนูดอกหนึ่งลอยมาปักที่หลังของเสือ จากนั้นก็มีอีกหลายดอกที่ลอยตามมา จนทั่วทั้งร่างของเสือเต็มไปด้วยลูกธนู สัญชาตญาณบอกฉันว่าต้องหนี ฉันจึงจับมือของจงที่กำลังร้องไห้เพื่อเตรียมวิ่งออกไปจากตรงนี้แต่แล้วน้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังมา

“อยู่นิ่งก่อน!”

องค์ชายจองวอนปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มทหารที่ถือธนูในมือ ฉันจึงรู้ได้ทันทีว่าลูกธนูที่ลอยมานั้นเป็นฝีมือการยิงของพวกเขา

ระหว่างนั้นเสือที่ได้รับบาดเจ็บก็วิ่งตรงไปที่องค์ชายจองวอน พวกทหารจึงพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง แต่องค์ชายจองวอนกลับมีสติและชักดาบออกมาจากด้านหลังทันที

“ท่านพ่อ!” จงร้องตะโกนลั่น

ถ้าใช้ดาบต่อสู้กับเสือ องค์ชายอาจได้รับบาดเจ็บได้ ฉันไม่อยากให้จงเห็นภาพแบบนั้น ฉันจึงกดหัวของจงให้หน้าแนบกับอกเอาไว้

ฉับ!

เสียงคมดาบสัมผัสกับเนื้อดังขึ้นพร้อมกับสติของฉันที่ดับวูบไป

 

“ฮือ… พี่สาว พี่สาว…” เสียงของจงดังแว่วเข้ามาในหู

“เจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”

“ฮือ… ท่านพ่อ พี่สาวจะตายหรือไม่ขอรับ”

“ยูซังกุง! รีบพาจงออกไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่เอา! ข้าจะอยู่ที่นี่ขอรับ ข้าจะอยู่ข้างๆ พี่สาว ฮือ…”

“ท่านหมอฮอ เหตุใดป่านนี้นางยังไม่ฟื้นอีกล่ะ ท่านบอกว่าถ้าฝังเข็มแล้วจะฟื้นมิใช่รึ”

“ใกล้จะฟื้นแล้ว รออีกสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงถอนหายใจขององค์ชายจองวอนดังขึ้นเป็นระยะ กลิ่นยาสมุนไพรตลบอบอวลจนแสบจมูกไปหมด สิ่งแรกที่ฉันเห็นหลังจากลืมตาก็คือชายชราหนวดขาว ฉันรู้ได้ทันทีว่าเขาคือหมอฮอจุนผู้ที่คอยดูแลพระราชามานาน เพราะฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อน แต่หมอหลวงของพระราชามาทำอะไรที่นี่ล่ะ

“ดูเหมือนนางจะได้สติแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นรึ”

ฉันพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น “โอ๊ย…”

ทันใดนั้นอาการเจ็บที่ไหล่ก็แล่นเข้ามา พอก้มลงมองก็เห็นไหล่ของตัวเองกำลังเปลือยอยู่ข้างหนึ่ง ฉันจึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิด ภาพนั้นทำให้องค์ชายจองวอนแกล้งกระแอมพร้อมเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ส่วนหมอฮอจุนก็รีบลุกขึ้นเพื่อนำสมุนไพรเก่าบนไหล่ของฉันออก แล้วนำสมุนไพรใหม่มาพอกแทน

“อย่าเพิ่งลุก เจ้าต้องนอนพักรักษาตัว”

“เอ่อ…เจ้าค่ะ” ฉันรับคำพร้อมกวาดตามองรอบห้อง องค์ชายจองวอน หมอฮอจุน หมอหญิง ยูซังกุง ผู้ช่วยนางในส่วนพระองค์ขององค์ชายจองวอน แล้วก็…จง!

“จง!”

“พี่สาว!”

ทันทีที่สบตากับฉัน จงก็ร้องไห้ออกมาดังลั่นจนองค์ชายจองวอนต้องรีบดุ

“ถ้าเจ้ายังไม่หยุดร้องไห้ ข้าจะให้เจ้าออกไปจากตรงนี้”

จงเงียบกริบทันที ส่วนฉันก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดให้สูงขึ้นอีก

“ท่านซังกุงฟื้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวกลับสำนักหมอหลวงก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่หมอฮอจุนลุกขึ้น หมอหญิงที่ด้านข้างก็เริ่มเก็บข้าวของ

“ขอบใจท่านมากที่มาถึงที่นี่”

“พ่ะย่ะค่ะ และแม้บาดแผลนั้นจะหายดีแล้ว แต่อาจจะทิ้งร่องรอยเอาไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดของหมอฮอจุนทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันจึงรีบหันไปหาจงทันที

“จง เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

ยูซังกุงกระแอมออกมาอย่างไม่พอใจที่ฉันเรียกชื่อจงเฉยๆ แต่ทว่าในสถานการณ์ตอนนี้ฉันสนใจเรื่องความปลอดภัยของจงมากกว่า

“ข้าไม่เป็นไร”

“แน่นะ”

ระหว่างนั้นหมอฮอจุนก็หันมาตอบแทนจง

“ท่านชายจงไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดเลยขอรับ เพราะฉะนั้นวางใจได้”

“อ๋อ เจ้าค่ะ”

คำยืนยันจากหมอฮอจุนทำให้ฉันวางใจในระดับหนึ่ง แต่แล้วอาการเจ็บไหล่ก็แล่นขึ้นมาอีกครั้งจนใบหน้าของฉันบูดเบี้ยว

“ข้าจะจ่ายยาระงับอาการปวดให้นะขอรับ ท่านต้องทานยาต่อเนื่องจนกว่าบาดแผลจะหายเป็นปกติ”

พอหมอฮอจุนเดินออกจากห้องไป นางในนำเสื้อมาคลุมให้ฉันตรงบาดแผลที่มีสมุนไพรพอกเอาไว้อยู่จึงทำให้มองไม่เห็นลักษณะของบาดแผล แต่จากคำพูดของหมอฮอจุน มันคงเป็นบาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อยทีเดียว ถ้าเป็นโลกปัจจุบันก็ศัลยกรรมตกแต่งแผลเป็นให้หายได้ แต่สำหรับยุคนี้ก็เลิกฝันไปได้เลย แต่นึกๆ ดูแล้ว ฉันคงไม่ใส่เสื้อสายเดี่ยวหรือใส่บิกินีในยุคนี้หรอก จะกังวลใจไปทำไม…

ระหว่างนั้นองค์ชายจองวอนก็หันไปออกคำสั่งกับยูซังกุง

“เจ้าพาจงไปหาพระชายา แล้วบอกว่าข้าจะให้จงพักที่นั่นสักระยะ”

“อะไรนะเพคะ!”

คำพูดขององค์ชายจองวอนทำให้ยูซังกุงถึงกับตกใจ ซึ่งฉันรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร ที่นี่คือที่พักของจง ไม่ว่าฉันจะบาดเจ็บสักแค่ไหน หากฟื้นแล้วฉันก็ต้องกลับไปพักรักษาตัวที่ห้องพักเล็กๆ ของฉัน แต่คำพูดขององค์ชายจองวอนเหมือนกำลังบอกว่าให้ฉันพักรักษาตัวที่นี่

“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ”

“แต่ว่าองค์ชายจองวอนเพคะ พระชายาคงไม่สามารถดูแลได้หรอกเพคะ ย้ายซังกุงพระพี่เลี้ยงไปพักรักษาตัวที่อื่นน่าจะเหมาะกว่านะเพคะ”

“ยูซังกุง! ข้าถามว่าเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ”

ทันทีที่องค์ชายจองวอนถามซ้ำ ยูซังกุงก็รีบก้มหัวและเดินมายืนข้างๆ จง แต่ดูท่าทางจงเองก็ไม่ได้อยากจะห่างฉันหรือคิดที่จะไปพักที่อื่นเลย

“ไปหาแม่เถอะนะจ๊ะ พอพี่ดีขึ้นพี่จะไปหาจงเอง”

จงทำท่าลำบากใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าแล้วจับมือของยูซังกุงเดินออกจากที่พักไป ตอนนี้นอกจากหมอหญิงคนหนึ่งที่คอยดูแลฉัน ในนี้ก็มีเพียงแค่องค์ชายจองวอนกับฉันเท่านั้น

หมอหญิงนั่งนิ่งราวกับก้อนหิน ไม่ส่งเสียงใดๆ องค์ชายจองวอนก็เอาแต่หันหน้าไปทางอื่น บรรยากาศจึงชวนอึดอัดมาก ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาคงสั่งฉันว่าไปพักได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่ยอมออกไปและเอาแต่นิ่งเงียบ ฉันจึงคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง

“ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้วหรือเพคะ” ฉันถามแบบนั้นเพราะด้านนอกของหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษดูมืดมิด

“ตะวันเพิ่งตกดินได้ไม่นานนัก”

แล้วความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ เขาไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเลยเหรอ หรือว่าเขากำลังจะไล่ฉันออกจากตำแหน่งซังกุงพระพี่เลี้ยง เพราะฉันดูแลจงได้ไม่ดีพอ ไม่ได้นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ต้องไปอยู่นอกวัง และก็จะไม่ได้เจอพ่อ

“คือ…เรื่องเมื่อกลางวัน…”

“ข้าขอโทษเจ้าด้วย เพราะจงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้” เขาขอโทษพร้อมกระแอมอย่างขัดเขิน “สภาพของเจ้าในตอนนี้คงดูแลจงไม่ได้สักระยะ”

ทั้งที่ฉันกังวลว่าเขาจะเลิกให้ฉันเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยงแล้วไล่ออกจากวัง แต่สักพักเขาก็พูดขึ้นมาราวกับรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่

“แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเพียงแค่ให้นางในคนอื่นดูแลจงไปก่อนก็เท่านั้น เจ้าพักรักษาตัวให้หายดีเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้น เมื่อหม่อมฉันหายดี หม่อมฉันจะได้ดูแลจงต่อใช่หรือไม่เพคะ”

สิ้นคำพูดของฉัน แววตาขององค์ชายจองวอนที่กำลังจ้องมองฉันก็เปลี่ยนไป ฉันจึงมองแววตานั้นเพื่ออยากรู้ถึงสาเหตุของอาการที่เปลี่ยนไป แต่ทว่าเขากลับเบือนหน้าหนี

“เท่าที่เจ้าต้องการ”

“จริงหรือเพคะ” พอได้ยินเช่นนั้นฉันก็ดีใจมาก “การที่หม่อมฉันได้อยู่กับจง… ทำให้ตอนนี้หม่อมฉันปรับตัวได้มากเลยเพคะ ทั้งหมดนี้หม่อมฉันต้องขอบพระทัยองค์ชายจองวอนด้วยนะเพคะ”

ฉันพูดพร้อมยิ้มกว้าง องค์ชายจองวอนจึงอมยิ้มบางๆ

“แต่เจ้าจะมีรอยแผลติดตัวนะ” สายตาของเขามองมาทางไหล่ของฉันที่มีเสื้อคลุมปิดทับอยู่

“ไม่เป็นไรเพคะ บาดเจ็บแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และอีกอย่าง อยู่ที่นี่หม่อมฉันคงไม่มีโอกาสเปลือยไหล่ไปไหนมาไหนได้หรอกเพคะ องค์ชายไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันหรอกเพคะ”

“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าต้องใส่ใจ”

เพียงแค่คำพูดคำเดียวของเขาก็ทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มกลับมาอึดอัดอีกครั้ง ฉันจึงยิ้มและพยายามทำลายบรรยากาศนั้นลง

“หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ แค่ไม่ตายก็ดีแล้วเพคะ”

“ถ้า…ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นกับเจ้า ข้าคง…”

บรรยากาศแปลกไปทุกที ขณะที่ฉันกำลังคิดหาคำพูดเพื่อทำลายบรรยากาศ จู่ๆ พระชายาขององค์ชายจองวอนก็เปิดประตูเข้ามา โดยมือของนางจูงจงมาด้วย พอเข้ามาในห้องได้ นางก็เหวี่ยงจงไปยังมุมหนึ่งของห้องแล้วแผดเสียงใส่ฉัน

“นางสตรีชั้นต่ำ! ไม่รู้จักความต่างของชนชั้น เจ้ากล้าเทียบชั้นเจ้านายเลยรึ เหตุใดถึงยังไม่รีบกลับไปยังที่ของเจ้าอีก”

“คือ…ข้า…”

“ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันแล้ว แม้เจ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยจง แต่เหตุใดต้องถึงขั้นตามหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมารักษาด้วย แล้วยังมาใช้เตียงของจงซึ่งเป็นเจ้านายอีก หรือนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ!”

“ชายา”

องค์ชายจองวอนเรียกนางด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น อาจจะเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือไม่ก็เป็นเพราะมีหมอหญิงและซังกุงอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่สายตาของพระชายากลับไม่ชายตามองไปทางองค์ชายจองวอนเลยแม้แต่น้อย สายตาโกรธแค้นของนางมุ่งตรงมาที่ฉันเพียงคนเดียว

“ข้าถามว่าเหตุใดเจ้ายังไม่ออกไปจากที่นี่อีก! หรือเจ้าอยากให้ข้าไล่เจ้าออกจากวังวันนี้เลย”

“พอเถอะ”

“ท่านคิดอะไรอยู่ถึงให้สตรีต่ำต้อยนางนี้พักอยู่ในห้องของจงเพคะ หม่อมฉันจะต้องไล่นางออกจากวังให้ได้ ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงทราบเรื่องนี้เพคะ”

“ชายา!”

สุดท้ายองค์ชายจองวอนก็ตะเบ็งเสียงออกมา ฉันจึงตกใจมาก แต่คนที่ตกใจยิ่งกว่าใครคือพระชายา ใบหน้าของนางดูตกใจมากราวกับไม่เคยถูกองค์ชายจองวอนขึ้นเสียงใส่เลยสักครั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าคนอย่างองค์ชายจองวอนจะขึ้นเสียงใส่ตัวเองในเรื่องแบบนี้

“การกระทำของเจ้าช่างไร้เกียรติสิ้นดี เจ้ารีบไปให้พ้นหน้าข้าเสียเดี๋ยวนี้”

พระชายานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยโต้แย้งอีกครั้ง “ในพระราชวังชั่วคราวแห่งนี้ฝ่าบาทก็ทรงประทับอยู่ด้วย หากหม่อมฉันเอาเรื่องนี้ไปทูลฝ่าบาทจะเป็นอย่างไรเพคะ”

“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ ข้าบอกให้เจ้าออกไป”

“นี่คือตำหนักของจง ไม่มีเหตุผลที่ข้าซึ่งเป็นแม่ของจงจะต้องออกไป ถ้ามีคนต้องออกไป น่าจะเป็นนางสตรีโสมมที่ไม่รู้จักเจียมตนนางนี้ต่างหากเพคะ”

“ชายา!”

และคนที่ตกใจมากกว่าใครก็คือจงที่เพิ่งเคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรกในชีวิต จงจึงแผดเสียงร้องไห้ออกมา

“ยังนั่งอยู่อีกหรือ! เตียงนั่นไม่ได้ถูกเตรียมเอาไว้ให้เจ้า รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”

ถ้าทำได้พระชายาคงจะวิ่งเข้ามากระชากฉันออกไปแล้ว และทันใดนั้นเองจงก็วิ่งมากอดฉันแน่น

“ไม่ได้นะขอรับ! ไม่ได้เด็ดขาด ฮือๆ พี่สาวจะต้องอยู่ที่นี่! อยู่กับข้า ฮือๆ ท่านแม่อย่าไล่พี่สาวไปเลยนะขอรับ ข้าไม่ให้พี่สาวไป… พี่สาวเจ็บอยู่ เจ็บเพราะข้า ทั้งหมดเป็นเพราะข้า ข้าไปเจอเสือแล้วพี่สาวเข้ามาช่วย ฮือ…”

การร้องไห้ของจงทำให้องค์ชายจองวอนยิ่งส่งสายตาเย็นชาไปให้พระชายา ซึ่งพระชายาเองก็จ้องมองฉันกับจงด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ฉันจึงรู้สึกสงสารจงจับใจที่ต้องมาฟังคำพูดอันแสนร้ายกาจของแม่ตัวเอง

แล้วคืนนั้นจงก็นอนจับมือกับฉันท่ามกลางกลิ่นตลบอบอวลจากยาสมุนไพรที่พอกอยู่บนหัวไหล่ของฉันจนหลับไป

 

วันรุ่งขึ้นพระชายาพาลูกชายสองคนยกเว้นจงออกจากพระราชวังชั่วคราว คงจะกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของนางอีกครั้ง องค์ชายจองวอนก็กลับไปคุมงานก่อสร้างพระราชวังต่อ ภายในตำหนักขององค์ชายจองวอนซึ่งอยู่ในพระราชวังชั่วคราวนี้จึงเงียบสงบเป็นปกติ

ช่วงที่ยังเจ็บอยู่ ฉันไม่สามารถดูแลจงได้ และการที่ฉันพักรักษาตัวอยู่ในห้องของจงคือ ‘การหมิ่นเกียรติเจ้านาย’ อย่างที่พระชายาบอกไว้ ดังนั้นฉันจึงย้ายกลับมาพักรักษาตัวในที่พักของตัวเอง แต่จงก็ยังตามมาขลุกอยู่กับฉันในที่พักแคบๆ ทั้งวัน ยกเว้นเวลาที่ต้องเรียนหนังสือเท่านั้น พอหลายวันเข้าจงก็ย้ายมากินนอนอยู่ในที่พักของฉัน โดยไม่ฟังคำคัดค้านของยูซังกุงเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นข้าราชการจากฮงมุนควันจึงต้องมาสอนหนังสือให้จงในที่พักของฉัน ส่วนฉันต้องออกไปรอข้างนอกในระหว่างที่จงเรียนหนังสือ

บาดแผลที่ไหล่ของฉันเริ่มแห้งและตกสะเก็ดแล้วเมื่อฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นมาเยือน ยูซังกุงก็กดดันให้ฉันกลับไปทำงานเพื่อจงจะได้กลับไปอยู่ที่ตำหนักของตัวเอง แต่ฉันขอเลื่อนออกไปก่อนเพราะฉันยังต้องพอกและกินยาสมุนไพรอยู่ ฉันไม่อยากให้กลิ่นสมุนไพรเหม็นคละคลุ้งที่ตำหนักของจง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะเจ้าคะ”

หลังจากที่จงหลับไปแล้ว มียองก็มาหาฉันเหมือนปกติ

“อะไรหรือ”

“ก็ท่านชายจงขององค์ชายจองวอนน่ะสิเจ้าคะ ทุกคนในวังรู้ดีว่าท่านชายจงเกลียดกลิ่นยาสมุนไพรมากถึงขนาดไม่อยากไปพระตำหนักของพระมเหสี แต่ท่านชายจงกลับมาอยู่ที่นี่ กินนอนที่นี่ ทั้งที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นยา”

ฉันรู้สึกดีที่จงชอบฉันมากถึงขนาดยอมทนดมกลิ่นยาสมุนไพรเพื่อมาอยู่กับฉัน

“ให้ข้าลองสัมผัสหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” มียองกระเถิบเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบถาม

“สัมผัสอะไรหรือ”

“ท่านชายจงค่ะ”

ฉันไม่รู้ว่ามียองคิดอะไรอยู่ แต่ฉันก็ขยับหนีเพื่อให้มียองได้เข้าใกล้จง แล้วมียองก็ค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปแตะที่หน้าผากของจงซึ่งกำลังหลับใหลอยู่

“อุ่นจังเลยเจ้าค่ะ”

“ร่างกายของคนเราก็อุ่นกันหมดนั่นแหละ”

“เด็กๆ นี่น่ารักหมดทุกคนเลยนะเจ้าคะ ถ้าข้ามีลูก ข้าจะมีความสุขสักเท่าไรกันนะ…”

คำพูดของมียองทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ใจ ถ้ามีลูก จะมีความสุขสักเท่าไรกัน… นางในทั่วไปจะต้องอาศัยอยู่อย่างเดียวดายไปตลอดชีวิตหากไม่ได้รับความกรุณาจากพระราชา

“ข้าอิจฉาพี่สาวมากเลยนะเจ้าคะที่ได้ดูแลท่านชายจง แม้จะไม่มีโอกาสได้มีลูกเป็นของตนเอง แต่แค่ได้เลี้ยงเด็กก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”

มียองแตะหน้าผากจงอีกครั้งด้วยความเอ็นดูพลางจ้องมองใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังหลับใหลราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ฉันมองมียองพลางหยิบส้มออกมายื่นให้

“กินนี่สิ”

“ฮวังคัม?! ไปเอามาจากไหนเจ้าคะ”

“องค์ชายจองวอนให้มาเมื่อตอนกลางวันน่ะ บอกให้ข้าเอามากินกับจง”

“ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูกาลของฮวังคัม ได้ยินมาว่าฝ่าบาทพระราชทานเฉพาะแค่องค์ชายรัชทายาทกับองค์ชายจองวอนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้องค์ชายอิมแฮโกรธมากเลยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นรึ”

“เจ้าค่ะ แม้จะเป็นเพียงแค่ฮวังคัมไม่กี่ลูก แต่ก็เป็นเรื่องของความโปรดปรานเจ้าค่ะ องค์ชายรัชทายาทคือคนที่จะได้เป็นพระราชาองค์ต่อไป ดังนั้นฝ่าบาทจึงต้องพระราชทานให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับองค์ชายจองวอนนั้นเพราะพระองค์เป็นพระโอรสของพระสนมอินบินผู้ที่ฝ่าบาทกำลังโปรดปรานมากกว่าใครๆ เจ้าค่ะ”

เพราะพี่ชายสองคนขององค์ชายจองวอนเสียชีวิตไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นลูกชายคนเดียวของพระเจ้าซอนโจกับพระสนมอินบิน

“แล้วฝ่าบาทโปรดปรานองค์ชายจองวอนไหม”

มียองมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะกระซิบกระซาบ “เรื่องนี้คนในวังต่างก็ทราบดีเจ้าค่ะว่าจริงๆ แล้วตำแหน่งขององค์ชายรัชทายาทนั้นต้องเป็นขององค์ชายชินซอง แต่เพราะองค์ชายชินซองสิ้นพระชนม์ในช่วงสงครามอิมจินเจ้าค่ะ”

องค์ชายชินซองคือโอรสคนที่สองของพระเจ้าซอนโจกับพระสนมอินบิน เขาเสียชีวิตในช่วงเกิดสงครามอิมจิน ส่วนองค์ชายอึยอันซึ่งเป็นพี่ชายคนโตนั้นก็สิ้นพระชนม์ตอนอายุเพียงแค่สิบสองปีเท่านั้น ซึ่งถ้าสองพระองค์นี้ไม่ได้สิ้นพระชนม์ องค์ชายควังแฮก็คงไม่ได้เป็นองค์ชายรัชทายาท นี่คือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ทุกคนรู้ดี แม้แต่เด็กวัยรุ่นอย่างฉันก็ยังรู้เลย

“หวานมากเลยเจ้าค่ะ! ตั้งแต่เกิดมาข้าเพิ่งเคยกินฮวังคัมเป็นครั้งแรก กลิ่นก็หอมมาก”

“เอาเปลือกมาทำเป็นชาก็อร่อยนะ เจ้าวางเปลือกเอาไว้ตรงนั้นแหละ เอาไว้ข้าจะทำชาให้”

“จริงหรือเจ้าคะ นางในอย่างข้ากินของล้ำค่าแบบนั้นได้หรือเจ้าคะ”

“ก็กำลังกินอยู่นี่ไง ฮ่าๆ”

“นั่นสิเจ้าคะ ฮ่าๆ”

แผลที่ไหล่ของฉันหายดีเมื่อสิ้นฤดูใบไม้ผลิ เหลือแต่รอยแผลเป็นเอาไว้อย่างที่หมอฮอจุนบอก แต่มันไม่ใช่รอยแผลเป็นที่ใหญ่มาก ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่

ฉันกลับไปทำงานที่ตำหนักของจงตามปกติ พอเข้าเดือนห้า จงก็เรียนจบไปอีกหนึ่งขั้น จึงได้รับของขวัญและคำชมเชยจากเสด็จปู่ แต่ในเดือนถัดมา พระมเหสีอึยอินก็ไม่สามารถเอาชนะโรคภัยที่รุมเร้ามาเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน พระนางจึงสวรรคต ณ พระราชวังชั่วคราวแห่งนี้

 

เมื่อพระมเหสีอึยอินแห่งพระเจ้าซอนโจสวรรคต ภายในพระราชวังจึงเข้าสู่พิธีการไว้ทุกข์ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีข่าวลือเกี่ยวกับความขัดแย้งกันระหว่างพระเจ้าซอนโจกับคณะทูตที่เดินทางไปยังอาณาจักรหมิง

นี่ก็ผ่านไปแปดปีแล้วหลังจากสงครามอิมจินสิ้นสุดลง ซึ่งทุกปีคณะทูตจะเดินทางไปยังอาณาจักรหมิงเพื่อขออนุญาตให้ ‘แต่งตั้งองค์ชายควังแฮเป็นองค์ชายรัชทายาท’ แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกปีด้วยเหตุผลที่ว่าองค์ชายควังแฮไม่ได้เป็นพระโอรสองค์โต ปีนี้ก็เช่นกัน เมื่อพระเจ้าซอนโจได้อ่านเนื้อความในเอกสารขออนุญาตแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทที่ส่งไปยังอาณาจักรหมิง พระองค์ก็ได้ตรัสกับคณะทูตอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง

“พวกเจ้าเอาแต่ให้ความสำคัญกับการแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาท เหตุใดพวกเจ้าไม่กล่าวถึงเรื่องการเลือกพระมเหสีองค์ใหม่ในเอกสารนี้ด้วยเล่า”

คำตรัสนี้ทำให้รู้โดยทั่วกันว่าพระเจ้าซอนโจมีความประสงค์ที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสใหม่อย่างเป็นทางการ และถือโอกาสนี้ออกคำสั่งคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสก่อนที่พิธีไว้ทุกข์สามปีให้แก่พระมเหสีอึยอินจะเสร็จสิ้นลง

 

“คัดเลือกคู่อภิเษกรึ”

“ใช่เจ้าค่ะ อย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ”

นี่คือคำพูดของมียองที่มาหาฉันที่กำลังใช้เวลาในช่วงกลางวันที่ร้อนอบอ้าวกับจง ช่วงที่ฉันหยุดงานและพักรักษาตัวนั้น มียองมาหาฉันบ่อยๆ จึงได้คุ้นเคยกับจงไปด้วย แม้ฉันจะหายดีและกลับมาทำงานที่ตำหนักของจงแล้ว มียองก็ยังมาหาฉันที่ตำหนักของจงอยู่เรื่อยๆ จนตอนนี้จงเริ่มไว้ใจและแบ่งของว่างให้มียองด้วย

“ได้ยินมาว่าตอนนี้คัดเลือกจนเหลือสามคนแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นพระมเหสีกันแน่”

จงกำลังตั้งใจเขียนหนังสือและเคี้ยวแมจักกวาอย่างเอร็ดอร่อย มียองจึงลดเสียงให้เบาลง

“ฝ่าบาทมีพระชนมายุมากแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงได้ทิ้งพระสนมที่ให้กำเนิดองค์ชายมากมาย แล้วเลือกพระมเหสีองค์ใหม่ที่อายุยังน้อยด้วยล่ะเจ้าคะ”

ผู้ชายทุกคนต่างก็อยากมีภรรยาที่สาวและสวยกันทั้งนั้น พระเจ้าซอนโจเองก็คงไม่แตกต่างไปจากผู้ชายทั่วไป

“หากพระมเหสีองค์ใหม่ให้ประสูติพระโอรสล่ะก็ สายลมแห่งเลือดได้พัดเข้ามาในวังแน่นอนเจ้าค่ะ”

“สายลมแห่งเลือดรึ”

จงละสายตาจากตัวหนังสือขึ้นมามองเราสองคน ฉันจึงขยิบตาส่งสัญญาณให้มียองระวังคำพูดก่อนจะยิ้มหวานให้จง

“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ จงเขียนเสร็จแล้วรึ ไหนขอดูหน่อยได้ไหม”

จงยื่นกระดาษให้ฉันอย่างภูมิใจ

 

‘สีทองน่ามองชวนนึกว่าทองแท้ แต่พอลองกินแล้วช่างหอมหวาน นี่คือฮวังคัม’

“เก่งจัง!” ฉันลูบหัวจงพร้อมเอ่ยถาม “อยากกินฮวังคัมรึ”

จงพยักหน้า

“ทำอย่างไรดีล่ะ นี่ไม่ใช่ฤดูกาลของฮวังคัมเสียด้วยสิ ต้องรออีกหลายเดือนเลย”

จงพยักหน้าอีกครั้งแล้วตั้งใจเขียนหนังสือต่อ ฉันจึงได้โอกาสหันไปมองมียองอีกครั้ง

“ระวังคำพูดคำจาหน่อย จงยังเด็กนัก หากจงนำคำที่เจ้าพูดไปพูดต่อจะทำอย่างไร”

“เจ้าค่ะ พี่สาวเองก็ต้องระวังเหมือนกันนะเจ้าคะ พี่สาวกับท่านชายจงอยู่ใกล้กันมากเกินไป บางทีอาจจะมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นก็ได้ แต่ว่าพี่สาวเจ้าคะ ถ้าพระมเหสีองค์ใหม่ประสูติพระโอรสขึ้นมา องค์ชายรัชทายาทควังแฮจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

ตามประวัติศาสตร์ องค์ชายควังแฮได้ปลดพระมเหสีอินมกซึ่งเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ของพระเจ้าซอนโจออกจากตำแหน่ง และฆ่าองค์ชายยองชังซึ่งเป็นพระโอรสของพระนางในขณะที่พระชันษาเท่ากับจงในตอนนี้ โดยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายยองชังที่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการก็คือประชวรจนสิ้นพระชนม์ แต่บางบันทึกก็กล่าวว่าองค์ชายยองชังถูกขังไว้ในห้องและสิ้นพระชนม์ในกองไฟ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง แต่ความจริงที่แน่นอนก็คือองค์ชายยองชังคือผู้ที่เกิดมาทำให้ราชบัลลังก์ขององค์ชายควังแฮสั่นคลอน

“ไม่รู้สิ… ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แม้จะสนิทกับมียองมากแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่สามารถเล่าเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นให้นางฟังได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลว่าร่างกายของฉันอาจจะเจ็บปวด แต่ถ้าฉันพูดเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตออกไปอย่างพล่อยๆ อาจทำให้ฉันโดนจำกัดขอบเขตการไปไหนมาไหนก็ได้

“เอ่อ นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

ทันทีที่มียองรีบลุกขึ้น จงก็เงยหน้าขึ้นมอง “จะไปไหนหรือ”

“วันนี้เป็นวันที่องค์ชายรัชทายาทจะเดินทางไปฮโยคยองจอนเจ้าค่ะ”

“วันนี้แล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ”

ฮโยคยองจอนคือชื่อของสถานที่ตั้งป้ายชื่อของผู้ล่วงลับ ซึ่งประดิษฐานป้ายชื่อของพระมเหสีอึยอินผู้ล่วงลับ องค์ชายควังแฮเป็นพระโอรสบุญธรรมของพระนาง ดังนั้นองค์ชายควังแฮจะต้องไปพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองปีเพื่อไว้ทุกข์ในฐานะผู้จัดการพระศพ

“ท่านลุงจะไปวันนี้แล้วหรือ” จงที่เงี่ยหูฟังอยู่เอ่ยถามขึ้น มียองจึงตอบ

“เจ้าค่ะ อีกชั่วครู่ทั้งองค์ชายอิมแฮและองค์ชายจองวอนก็จะออกไปส่งที่หน้าประตูใหญ่ของพระราชวังชั่วคราวด้วยเจ้าค่ะ”

“ข้าไปด้วย!” จงลุกพร้อมตะโกนขึ้น

ฉันลำบากใจอยู่ชั่วครู่ และก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมองค์ชายจองวอนถึงไม่บอกความจริงเรื่องจะไปส่งองค์ชายควังแฮวันนี้ จงชอบองค์ชายควังแฮมาก ถ้ารู้ว่าเขาจะออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง จงก็ต้องอยากไปส่งด้วยแน่นอน แต่ปัญหาคือถ้าฉันซึ่งเป็นซังกุงพระพี่เลี้ยงออกไปส่งพร้อมกับจง ฉันก็จะได้เจอองค์ชายควังแฮ ซึ่งองค์ชายจองวอนไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น

แต่ฉันก็ไม่ได้โกรธองค์ชายจองวอนที่ปิดบังเรื่องนี้เลย ครึ่งปีที่ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในยุคโชซอน ยิ่งเวลาผ่านไปแต่ละวัน ฉันยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างองค์ชายควังแฮกับฉัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หากองค์ชายจองวอนให้ฉันได้พบกับเขา แล้วเขาปฏิเสธความทรงจำในอดีต ฉันก็คงต้องอ้อนวอนองค์ชายควังแฮให้ฉันได้อยู่ในวังแห่งนี้จนกว่าจะได้พบกับพ่อ มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ฉันต้องรบกวนองค์ชายควังแฮ

“พี่สาว”

มียองเองก็คงอยากเห็นใบหน้าขององค์ชายควังแฮ บุรุษที่นางแอบรักอยู่ไกลๆ เหมือนกัน แต่ฉันนั้นต่างออกไป ฉันไม่สามารถจับจูงมือของจงและออกไปส่งองค์ชายควังแฮได้

“พี่สาวเจ้าคะ” มียองหยิกแก้มของจงเบาๆ ก่อนจะเรียกฉันอีกครั้ง

“ได้ เราไปกัน”

ฉันคิดเอาไว้ในใจว่าฉันจะให้จงออกไปหาองค์ชาย ส่วนฉันจะแอบซ่อนตัวอยู่ไกลๆ

 

มียองเดินล่วงหน้าไปที่ประตูใหญ่ของวัง ส่วนฉันแกล้งเปลี่ยนชุดให้จงอย่างช้าๆ ทั้งที่จงคอยกระตุ้นอยู่ตลอดว่าอยากรีบไป ดังนั้นกว่าที่ฉันกับจงไปถึงหน้าประตูวังก็สายไปเสียแล้ว องค์ชายควังแฮออกเดินทางไปแล้ว โดยมีองค์ชายอิมแฮกับองค์ชายจองวอนขี่ม้าออกไปส่ง

“ท่านลุงล่ะ”

จงเงยหน้าถามฉัน ในดวงตาของจงเต็มไปด้วยความเสียดาย ตอนนั้นเองมียองที่อยู่ท่ามกลางพวกนางในซึ่งใส่ชุดสีขาวเหมือนกันหมดจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครก็ปรากฏตัวขึ้นมา

“เพิ่งมาหรือเจ้าคะ”

นางถามจงกับฉันออกมาอย่างสุภาพราวกับรู้ว่ามีสายตาของพวกนางในที่อยู่รอบกายกำลังจับจ้องอยู่ ทันทีที่เห็นมียองจงก็เริ่มร้องไห้

“มียอง ท่านลุงล่ะ ท่านลุงอยู่ที่ใด”

“เพิ่งออกเดินทางไปเมื่อครู่เองเจ้าค่ะ”

“ฮือ…”

มียองนั่งคุกเข่าลง “แต่มีที่ที่เราจะได้เห็นองค์ชายรัชทายาทใกล้ๆ ได้ด้วย อยากลองไปหรือไม่เจ้าคะ”

“จริงหรือ จะได้เห็นท่านลุงจริงหรือ”

“เจ้าค่ะ เห็นทั้งองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายจองวอนเลยเจ้าค่ะ”

“ไปกัน! ข้าจะไป” จงรีบปล่อยมือจากฉันแล้วจับมือของมียองแทน “ที่นั่นคือที่ไหนหรือ”

“ก็ตรงหัวมุมกำแพงทางตะวันตกอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“องค์ชายขี่ม้าไปใช่หรือไม่”

“มีพวกทหารองครักษ์กับนางในไปด้วยมากมาย ขบวนจึงเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เจ้าค่ะ ถ้าเราไปตอนนี้อาจจะทันนะเจ้าคะ องค์ชายเจ้าคะ เรารีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

“อือ!”

มียองจับมือของจงแล้วเริ่มเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ขบวนที่ออกเดินทางนั้นมีคนร่วมขบวนจำนวนมากตามคำพูดของมียอง พวกเราจึงสามารถมองเห็นขบวนขององค์ชายควังแฮได้จากหัวมุมกำแพงทางตะวันตก

“นั่นอย่างไรเจ้าคะ! นั่นองค์ชายรัชทายาท แล้วก็องค์ชายจองวอนด้วยเจ้าค่ะ”

มียองดีใจที่ได้เห็นองค์ชายควังแฮ ส่วนจงนั้นดีใจแน่อยู่แล้วเพราะนั่นคือท่านลุงของเขา และยิ่งได้เห็นท่านพ่อก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ แต่ยิ่งเข้าไปใกล้กำแพง จงก็ยิ่งมองไม่เห็นเพราะกำแพงสูงกว่าตัวจงมาก มียองจึงอุ้มจงขึ้นไปนั่งบนกำแพงเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน

“ท่านลุง! ท่านลุงขอรับ!”

เสียงตะโกนของจงดังขึ้น ระยะห่างระหว่างกำแพงกับขบวนนั้นไม่ไกลกันมาก องค์ชายควังแฮ องค์ชายอิมแฮและองค์ชายจองวอนที่กำลังขี่ม้าเหยาะๆ อยู่จึงได้ยินและหันมามอง แต่เหล่าองค์ชายมองไม่เห็นฉันแน่นอนเพราะฉันยืนอยู่บนพื้นด้านหลังกำแพง

“จงรึ!” เสียงองค์ชายอิมแฮดังขึ้น

“เกรงใจท่านพี่เหลือเกิน ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจงถึงมาอยู่ตรงนี้ได้…” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนนี้คือน้ำเสียงขององค์ชายจองวอน

“เจ้าไม่ได้บอกจงว่าข้าจะออกเดินทางรึ”

นี่คือเสียงขององค์ชายควังแฮ ตอนนี้ระหว่างเรามีเพียงแค่กำแพงหินกั้นกลางเท่านั้น ครั้งที่แล้วมีเพียงแค่ประตูบานหนึ่งในพระตำหนักของพระมเหสีกั้นกลาง แต่ครั้งนี้ใกล้กว่ามาก ใกล้ถึงขนาดได้ยินน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขึ้นและดูเป็นผู้ใหญ่มาก

สำหรับฉันเวลาเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งปี แต่สำหรับเขาเวลาผ่านไปกว่าแปดปี มันเป็นเวลาที่นานมากจนทำให้ฉันรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างเราสองคน

“จง” เสียงขององค์ชายควังแฮใกล้มากขึ้นจนฉันตกใจ ดูเหมือนเขากำลังใกล้เข้ามาตรงกำแพงที่ฉันกำลังซ่อนตัวอยู่

“ท่านลุง!”

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าห้ามเกียจคร้านเล่าเรียนเด็ดขาด”

“ขอรับ!”

“พอได้แล้ว รีบกลับไปตำหนักของเจ้าได้แล้ว” เสียงตำหนิขององค์ชายจองวอนดังขึ้นจากที่ไม่ไกลมากนัก จงจึงทำหน้าสลดและค่อยๆ จับมือของมียองเพื่อลงมาจากกำแพง

“พี่สาว! พี่คยองมิน!”

พอลงมาถึงพื้น จงก็โบกมือพร้อมตะโกนมาทางฉันที่กำลังก้มตัวซ่อนอยู่

“คยองมินรึ”

ชื่อของฉันดังมาจากอีกฟากของกำแพงหิน เจ้าของเสียงนั้นคือองค์ชายควังแฮ หัวใจของฉันเริ่มเต้นรัว เขาอาจแค่เรียกชื่อของฉันตามเสียงเรียกของจง…หรือเขาอาจจำฉันได้

“ท่านพี่” เสียงขององค์ชายจองวอนดังขึ้น

“ท่านเสนาบดีทั้งสามกำลังคอยอยู่ รีบไปเถอะขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว”

จากนั้นเสียงฝีเท้าของม้าก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง

“เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้นล่ะองค์ชายรัชทายาท สีหน้าของท่านเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง” องค์ชายอิมแฮเอ่ยถามขึ้น

ทั้งที่องค์ชายควังแฮเป็นองค์รัชทายาทแท้ๆ แต่เขากลับตอบองค์ชายอิมแฮผู้เป็นพี่อย่างสุภาพนอบน้อมยิ่ง “ไม่มีอะไรหรอกขอรับท่านพี่”

หลังจากองค์ชายควังแฮออกเดินทางไปได้หลายเดือน ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง

ทั้งที่ผู้คนในวังคงยังสวมชุดไว้ทุกข์กันอยู่แท้ๆ แต่หญิงสาวสามคนที่จะต้องถูกเลือกในพระราชพิธีอภิเษกสมรสกลับเข้ามาอยู่ภายในวังแล้ว

ข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่าการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสในครั้งนี้ พวกครอบครัวชนชั้นสูงในโชซอนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงที่จะไม่ส่งลูกสาวเข้าคัดเลือก เนื่องจากการแต่งตั้งองค์ชายควังแฮเป็นองค์ชายรัชทายาทนั้นผ่านมาแล้วถึงสิบปี อีกทั้งการมาเป็นพระมเหสีองค์ใหม่ของกษัตริย์ที่ไม่รู้ว่าจะสวรรคตเมื่อไหร่นั้น ถึงจะคลอดพระโอรสหรือพระธิดาก็ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย และถึงแม้จะไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาก็ต้องชีวิตราวกับถูกจองจำอยู่ในวังตลอดไป พวกข้าราชบริพารระดับสูงส่วนใหญ่จึงไม่ยอมส่งบุตรสาวมาเด็ดขาด ส่วนพวกที่ปล่อยให้บุตรสาวของตนเข้าร่วมพิธีคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสนี้ก็หวังอำนาจทางการเมือง หวังให้ตำแหน่งหน้าที่ของตนขยับสูงขึ้น

ซึ่งพระมเหสีอินมกนั้นตามประวัติศาสตร์ก็มาจากหนึ่งในหญิงสาวสามคนนี้

“ปกติตระกูลคิมน่ะเป็นพระมเหสีไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ” มียองที่มาหาฉันในระหว่างที่องค์ชายอิมแฮออกไปล่าสัตว์กับเหล่าเชื้อพระวงศ์กล่าว

“ตระกูลคิมเป็นพระมเหสีไม่ได้หรือ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“ไม่ได้ถูกตราออกมาเป็นกฎหมายหรอกเจ้าค่ะ แต่มีความเชื่อว่าตระกูลคิมจะเป็นอันตรายต่อตระกูลลี ดังนั้นจึงไม่ให้ตระกูลคิมเป็นพระมเหสีเด็ดขาด ซึ่งสาเหตุที่พระสนมอินบินไม่ได้ขึ้นเป็นพระมเหสีก็เพราะอย่างนี้ล่ะเจ้าค่ะ”

คำพูดของมียองทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินจากพ่อเมื่อนานมาแล้ว

ในตระกูลลีของราชวงศ์โชซอนมีตัวอักษรของคำว่า ‘ต้นไม้’ อยู่ หากอ้างอิงตามธาตุหยินหยางแล้ว ตระกูลคิมจะมีตัวอักษรของคำว่า ‘ทอง’ ซึ่งเป็นอันตรายแก่ตระกูลลีที่มีตัวอักษรของคำว่า ‘ต้นไม้’ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่สร้างอาณาจักรโชซอนมา จึงไม่มีพระมเหสีที่มาจากตระกูลคิมเลยในประวัติศาสตร์ บรรดานักวิชาการต่างวิเคราะห์กันว่าหลังสงครามอิมจิน ความเชื่อถืองมงายของชาวโชซอนก็ค่อยๆ ลดลง พระนางอินมกแห่งตระกูลคิมจึงได้เป็นพระมเหสีแห่งโชซอน ซึ่งถือเป็นการทำลายความเชื่อและขนมธรรมเนียมโบราณไปโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระมเหสีอินมกได้ขึ้นเป็นพระมเหสีแล้ว ตำแหน่งของพระมเหสีแห่งโชซอนก็ล้วนมาจากตระกูลคิมแทบทั้งนั้น และตระกูลคิมก็เริ่มมีอำนาจทางการเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในราชสำนัก จนสุดท้ายโชซอนก็เข้าสู่เส้นทางแห่งการล่มสลาย

นี่คือผลของการทำลายขนบธรรมเนียมความเชื่ออย่างนั้นเหรอ

ทั้งพระสนมอินบินแม่แท้ๆ ขององค์ชายจองวอน และทั้งพระสนมกงบินแม่แท้ๆ ขององค์ชายควังแฮต่างก็นามสกุลคิมทั้งคู่ ดังนั้นข้าราชบริพารจึงไม่ยินยอมให้แต่งตั้งเป็นพระมเหสี ถ้าอย่างนั้นพระนางอินมกแห่งตระกูลคิมถูกเลือกเป็นพระมเหสีได้อย่างไรกัน

“ลองไปดูสักครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ที่ไหนล่ะ”

ครั้งนี้จงที่ช่างสังเกตอยู่แล้วรีบหันมาอย่างรวดเร็ว

“เมื่อพิธีคัดเลือกสิ้นสุดลง พวกนางก็จะพากันเดินออกมาเจ้าค่ะ เรามาพนันกันเจ้าค่ะ ว่าใครจะได้เป็น”

ต่อให้ไม่ได้เห็นหน้าของหญิงสาวทั้งสามคน ฉันก็ชนะใสๆ อยู่แล้วว่าต้องเป็นหญิงสาวแห่งตระกูลคิม มียองไม่มีทางชนะฉันได้อย่างเด็ดขาด เพราะนางคงไม่เลือกหญิงสาวจาก ‘ตระกูลคิม’ อย่างแน่นอน

“ไปหรือไม่เจ้าคะ ท่านชายจงก็อยากไปเหมือนกันนะเจ้าคะ”

คำพูดของมียองทำให้ฉันหันไปมองจงที่กำลังทำตาวิบวับเหมือนมียอง สองคนนี้เข้าขากันได้ดีเหลือเกิน

“ก็ได้ ไปดูก็ได้”

ทันทีที่ฉันตอบตกลง ทั้งมียองและจงก็ตบมือด้วยความดีใจ

“แล้วองค์ชายอิมแฮเข้ามาตอนนั้นพอดีเลยเจ้าค่ะ อุ๊ย!”

ขณะที่มียองกำลังเดินพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักขององค์ชายอิมแฮให้ฟัง อยู่ๆ มียองก็หยุดยืนอยู่กับที่ ฉันจึงหยุดเดินแล้วหันไปมองตามสายตาของมียอง องค์ชายควังแฮยืนอยู่ตรงนั้น เขากลับเข้าวังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงมาเดินอยู่หน้าตำหนักพระมเหสีที่ร้างผู้คนเช่นนี้

บางทีเขาอาจจะคิดถึงพระนางอึยอินที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ได้ แม้พระนางอึยอินจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรมด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่เขาก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้นพระนางยังเป็นคนที่คอยช่วยเหลือทำให้เขาดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทมาได้ยาวนานจนถึงตอนนี้

ทันใดนั้นเองจงก็รีบยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วตะโกน

“ท่านลุ…”

ฉันรีบเอามือปิดปากจงแล้วดันตัวเขาให้หมอบลง

“ชู่ว…เงียบก่อนจง”

จงทำตาโตแล้วมองฉันอย่างตกใจ มียองเองก็รีบหมอบตาม

“มีอะไรหรือเจ้าคะพี่สาว”

“เจ้าเองก็เงียบๆ ก่อนเถอะ”

ฉันค่อยๆ ลากจงไปที่ด้านข้างของกำแพงหินโดยมีมียองตามหลังมา

“ตอนนี้เรากำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่นะจง”

“อือ”

“จงห้ามให้ท่านลุงเห็นเด็ดขาด เข้าใจไหม”

“เพราะเหตุใดหรือ”

“มันคือการเล่นน่ะ จงเข้าใจใช่ไหม ถ้าจงพูดถือว่าแพ้นะ”

จงทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่จิตใจของเด็กสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ

อ๊ะ ใช่สิ ได้ยินมาว่าเมื่อวานมีส้มเข้ามาที่ห้องเครื่องนี่นา

“จงชอบฮวังคัมใช่ไหม ฮวังคัมน่ะ”

พอได้ยินคำว่า ‘ฮวังคัม’ ดวงตาของจงก็เป็นประกายระยิบระยับ พร้อมกับรีบพยักหน้าทั้งที่ถูกฉันปิดปากอยู่

“วันนี้พี่จะให้จงกินฮวังคัมเป็นของว่าง”

“อือ!” จงพยักหน้าอย่างแรง

“ถ้าอย่างนั้นจงต้องออกไปจากที่นี่เงียบๆ แล้วจงจะได้กินฮวังคัม”

“อือ!”

เมื่อจงพยักหน้ารับอีกครั้ง ฉันก็คลายมือที่ปิดปากของจงออก

“เหตุใดถึงทำอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ น่าจะให้ท่านชายจงออกไปทำความเคารพองค์รัชทายาทนะเจ้าคะ”

“พูดอะไรอย่างนั้น อยู่ตำหนักขององค์ชายอิมแฮไม่ใช่หรือ ถ้าองค์รัชทายาทรู้ว่าเรามาเกาะติดอยู่รอบๆ ตัว จง องค์รัชทายาทจะคิดอย่างไรเล่า”

“เอ่อ…นั่นสิเจ้าคะ ข้าไปตำหนักขององค์ชายจองวอนบ่อยเกินไป จนเกือบจะลืมตำหนักของตนเองไปแล้วเจ้าค่ะ”

แล้วเราสามคนก็ค่อยๆ ย่องออกไปอย่างเงียบๆ แต่ทันใดนั้นเอง

“ที่แห่งนี้คือพระตำหนักของพระมเหสี อุ๊ย! ตายจริง องค์ชายรัชทายาท!” เสียงของหญิงชราดังขึ้น

“พวกเจ้าเป็นซังกุงส่วนพระองค์ของเสด็จพ่อใช่หรือไม่”

“เพคะ”

“แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

“หม่อมฉัน…กำลังพาคุณหนูทั้งสามท่านที่จะเข้าร่วมพิธีคัดเลือกอภิเษกออกจากวังเพคะ”

ทันทีที่ซังกุงส่วนพระองค์พูดจบ ฉันก็หันหน้าไปมอง ที่ลานหน้าพระตำหนักนั้นมีซังกุงส่วนพระองค์ของพระเจ้าซอนโจ หญิงสาวสามคนและองค์ชายควังแฮยืนอยู่

“แต่ข้าว่าทางออกจากวังไม่ใช่ทางนี้”

“เอ่อ…ทั้งสามอยากรู้ว่าพระตำหนักของพระมเหสีอยู่ตรงไหนของวังเพคะ”

คำแก้ตัวของซังกุงส่วนพระองค์ยิ่งกระตุ้นโทสะขององค์ชายควังแฮ พระเจ้าซอนโจเป็นคนออกคำสั่งให้จัดพิธีคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสในขณะที่ยังไว้ทุกข์อยู่ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่หญิงสาวเหล่านี้จะต้องเข้าวังเพื่อเข้าพิธี แต่การที่หญิงสาวเหล่านี้จะเข้ามาชมพระตำหนักของพระมเหสีตามอำเภอใจนั้นทำให้องค์ชายควังแฮไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทันทีที่สีหน้าขององค์ชายบึ้งตึง ซังกุงส่วนพระองค์จึงรีบหมอบลง

“หม่อมฉันผิดไปแล้ว! หม่อมฉันสมควรตายเพคะ! องค์ชายรัชทายาท!”

แต่ไม่ว่าจะสมควรตายสักแค่ไหน องค์ชายรัชทายาทก็ไม่สามารถตำหนิหรือลงโทษซังกุงส่วนพระองค์ของพระราชาได้ องค์ชายควังแฮจึงได้แต่มองซังกุงส่วนพระองค์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ ส่วนหญิงสาวสามคนที่อยู่ด้านหลังซังกุงส่วนพระองค์ก็เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ฉันพยายามสังเกตใบหน้าของพวกนางแล้วเริ่มคาดเดาว่าใครกันจะได้เป็นพระมเหสีอินมกในวันข้างหน้า

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งหน้าอย่างพิถีพิถันราวกับผู้ใหญ่ ในสายตาของฉัน นางมีเสน่ห์เย้ายวนใจมาก และตอนนั้นเองนางก็ก้าวออกไปยืนตรงหน้าซังกุงส่วนพระองค์

“ทุกอย่างเป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ หม่อมฉันสมควรได้รับโทษเพคะ องค์ชายรัชทายาท”

คำพูดที่ประดิดประดอยนั่นทำฉันแน่ใจด้วยสัญชาตญาณว่านางต้องเป็นพระมเหสีอินมกในอนาคตอย่างแน่นอน

“รู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา” องค์ชายควังแฮถามกลับอย่างเย็นชา

“พวกหม่อมฉันทั้งหมดเพิ่งเคยเข้าวังเป็นครั้งแรกในวันนี้เพคะ สถานที่ทุกแห่งในนี้ช่างน่ามหัศจรรย์นัก พวกหม่อมฉันจึงแค่อยากดูรอบๆ เท่านั้นเพคะ ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินสิ่งใดเลย แต่การที่พวกหม่อมฉันเข้ามาในที่แห่งนี้และเกิดเรื่องขึ้น ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของท่านซังกุง แต่ผิดที่พวกหม่อมฉันต่างหากเพคะ”

ไม่รู้ว่าการยอมรับผิดของนาง หรือจิตใจอันกล้าหาญของนาง ที่ทำให้สีหน้าบึ้งตึงขององค์ชายค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“แต่ว่าการที่หม่อมฉันเข้ามาในพระตำหนักของพระมเหสีนั้น หม่อมฉันมีสาเหตุอื่นอีกเพคะ” ทว่าคำพูดของนางยังไม่จบ

“สาเหตุอันใดรึ”

“เพราะการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นด้วยคำสั่งของพระราชา ดังนั้นพวกหม่อมฉันจึงได้เข้าวังมาทั้งๆ ที่พิธีไว้ทุกข์ของพระมเหสีพระองค์เก่ายังไม่สิ้นสุด พวกหม่อมฉันรู้สึกผิดในหัวใจ ดังนั้นพวกหม่อมฉันจึงอยากมายังพระตำหนักของพระมเหสีที่ซึ่งจิตวิญญาณของพระองค์ยังคงดำรงอยู่เพื่อทำความเคารพพระองค์เพคะ”

ตอนนั้นเององค์ชายควังแฮถึงกับพูดอะไรไม่ออก คำพูดของนางคุมสถานการณ์ได้อย่างอยู่หมัด นางดูเหมือนเป็นคนมั่นใจและกล้าหาญ แต่ที่เปลือกตาของนางกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรงจนฉันที่อยู่ไกลๆ ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

อาจจะเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ การตั้งสติได้แล้วไม่ตัวสั่นนั่นสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก

“ซังกุงลุกขึ้นเถอะ แล้วรีบพาพวกนางออกไปจากที่นี่”

“ขอบพระทัยเพคะ”

ซังกุงรีบเดินนำพวกนางออกไป แต่หญิงสาวที่พูดจาฉะฉานคนนั้นกลับยังไม่ยอมเดินตามไป ทั้งที่ซังกุงกับหญิงสาวอีกสองคนเดินนำไปไกลแล้ว องค์ชายควังแฮที่เหลืออยู่กับนางสองคนจึงเอ่ยถาม

“เจ้ายังไม่ไปอีกรึ”

“หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา หม่อมฉันอยากจะกราบทูลให้องค์รัชทายาททราบอีกเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”

“เจ้ายังมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าอีก”

“คือว่า…หม่อมฉันคิดเอาไว้นานแล้วว่ามีเรื่องอยากกราบทูลเมื่อได้พบกับองค์ชายรัชทายาทเพคะ”

“เจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้ารึ ข้าไม่เคยรู้จักเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องอันใดถึงต้องคุยกับข้าด้วยเล่า”

“ถึงพระองค์จะจำเด็กน้อยคนนั้นไม่ได้ แต่เด็กน้อยคนนั้น…จำพระองค์ได้เสมอเพคะ”

“เจ้าน่ะรึ”

บรรยากาศแบบนี้…มันอะไรกันนะ

 

(ติดตามต่อในทดลองอ่านบทต่อไป)

 

หน้าที่แล้ว1 of 36

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: