บทที่ 1
บนถนนในวันแห่งการทำงานนั้นราวกับรังผึ้งเก่าที่ถูกฝูงผึ้งทิ้งร้าง ภายใต้แสงแดดสาดส่องในเดือนเมษายน ประตูร้านรวงสีดำมากมายถูกเปิดทิ้งไว้ตามหน้าที่ของมัน
กึกๆๆๆ เสียงรองเท้าส้นสูงสีแดงเหยียบลงบนพื้นหินแกรนิตดังก้องไปทั้งถนนที่แทบจะเรียกได้ว่าเงียบสงัดราวกับจะประกาศความงดงามและราคาอันแพงระยับของมัน เจ้าของรองเท้าส้นสูงคู่นี้มีช่วงขาเรียวยาว เธออยู่ในชุดเดรสที่ตัดเย็บอย่างประณีต เรียกสายตาอิจฉาจากสาววัยรุ่นหลายคน
กึก กึก กึก แครก… เสียงก้าวเดินเป็นจังหวะพลันเปลี่ยนไป ส้นสูงเรียวแหลมซึ่งทำจากโลหะเหยียบลงบนลูกคลื่นที่ยื่นออกมาตรงขอบทางเดินสำหรับผู้พิการทางสายตา ข้อเท้าพลันพลิกบิด ทำให้เจ้าของรองเท้าส้นสูงผู้งามสง่าหน้าคะมำ
จากประสบการณ์หกล้มบนรองเท้าส้นสูงที่มีมาอย่างโชกโชน เซียวเซียวจึงใช้กระเป๋าถือใบสวยรองแขนไว้อย่างไม่เสียดาย แล้วก็จบด้วยท่ายากอย่างการ ‘หน้าคว่ำคะมำลง’ โดยสมบูรณ์แบบ ทันทีที่ลุกขึ้นได้ก็หันมองซ้ายขวาอย่างรวดเร็วราวกับเป็นหัวขโมย
เด็กๆ สะดุดล้มเรียกว่า ‘สะดุดล้ม’ แต่คนอายุยี่สิบกว่าสะดุดล้มเรียกว่า ‘ซุ่มซ่าม’ น่ะสิ
เธอรีบจัดการเสื้อผ้าหน้าผมที่กระเซอะกระเซิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปัดฝุ่นที่กระเป๋าแล้วพลันเห็นว่าขอบกระเป๋ามีรอยถลอกเล็กๆ ทำเอาปวดใจจนกัดฟันกรอดในทันที
เซียวเซียวกระชากผ้าปิดปากบนใบหน้าลงมาอย่างหงุดหงิด ส้นสูงสิบเซนติเมตรครึ่งมันสูงเกินไปสำหรับเธอจริงๆ นั่นแหละ
“พี่สาวคะ เป็นอะไรไหมคะ”
เสียงเล็กๆ ใสๆ ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เซียวเซียวหันหลังไปมองก็เห็นเด็กสาวสองคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กนักเรียนมองเธอด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร” เซียวเซียวดึงผ้าปิดปากขึ้นอย่างเดิม เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอจึงรีบหยิบขึ้นมารับสายแล้วเดินห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
“เซียวเซียว นี่เธออยู่ที่ไหนแล้ว” เสียงของชายหนุ่มที่ดังมาจากปลายสายเป็นเสียงขึ้นจมูกซึ่งฟังดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“จะถึงแล้ว” เซียวเซียวตอบอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
“อ้อ ฉันลืมบอกเธอไปน่ะว่าวันนี้ฉันพาแฟนใหม่มาเจอเธอด้วย เธอคงไม่ถือสาใช่ไหม” น้ำเสียงเบิกบานนั้นเจือความสะใจเอาไว้อย่างปิดไม่มิด ตามด้วยเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ คนปลายสาย
เซียวเซียวรู้สึกว่าเสียงซึ่งดังอยู่ข้างหูนี้ช่างเหมือนกับเสียงแมวที่กำลังข่วนแผ่นเหล็กเหลือเกิน ทำเอาเธอเกือบจะเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งลงเดี๋ยวนี้
ผู้ชายที่อยู่ปลายสายนั้นก็คือแฟนเก่าของเธอเอง เพราะทั้งสองคนเลิกรากันผ่านทางโทรศัพท์ อีกฝ่ายจึงเอาแต่ดึงดันไม่ยอมท่าเดียว ยืนกรานว่าจะต้องพูดกันต่อหน้าให้ชัดเจน เซียวเซียวจำต้องรับปากยอมออกมาเจอเขา ไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะพาแฟนใหม่มาด้วยโดยไม่บอกกล่าว นี่มันคือการฉีกหน้าเธอชัดๆ
เซียวเซียวกำโทรศัพท์มือถือพลางกัดฟันแน่น รู้สึกไม่อยากไปขึ้นมาทันที “ฉัน…” แต่จู่ๆ คำปฏิเสธซึ่งมารออยู่ที่ริมฝีปากก็พลันหยุดชะงักลง เพราะเงาร่างหนึ่งที่หล่อเหลาราวกับกลุ่มดาวตกซึ่งเปล่งประกายกลางท้องฟ้ายามราตรีนำพาเอารัศมีที่ทำให้ไม่อาจละสายตาพุ่งเข้าสู่สายตาของเธอ
ชายหนุ่มเบื้องหน้าอยู่ในชุดสูทลำลองสบายๆ ในเวลาเกือบเที่ยงวันท่ามกลางแสงแดดแรงกล้า เขาถอดเสื้อนอกออกพาดไว้ที่แขน เสื้อเชิ้ตสีดำเรียบกริบห่อหุ้มไหล่กว้างขนาดห้าสิบเซนติเมตรอันสมบูรณ์แบบ เอวเล็กสะโพกสอบและช่วงขาเรียวยาว เขากำลังก้มหน้าคลำหากระเป๋าเงินก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าร้านชานม บุคลิกที่ดูเยือกเย็นช่างไม่เข้ากับร้านชานมราคาถูกที่มีโลโก้เป็นรูปการ์ตูนเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะไปถือสาอะไรได้”
เห็นชัดว่าคนปลายสายชะงักไป เซียวเซียวไม่สนใจเขาอีก เธอรีบวางสายแล้วเดินมุ่งตรงไปยังร้านชานมนั้นทันที
“คุณคะ จะขอรบกวนอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ” เซียวเซียวยืนขวางหน้าชายหนุ่มขณะที่เขากำลังจะจ่ายเงิน
“ไม่มีเศษเงิน” ชายหนุ่มไม่ได้เหลือบมามองเธอแม้แต่น้อย เขายื่นเงินสิบหยวนส่งให้เจ้าของร้านที่อยู่ด้านในผ่านช่องหน้าต่าง “ชาเขียวนมเพิ่มวุ้นมะพร้าว ไม่เย็นนะ”
เซียวเซียวนิ่งไปครู่ใหญ่ถึงได้สติว่าประโยค ‘ไม่มีเศษเงิน’ ที่เขาพูดกับเธอเป็นคำพูดที่ใช้ไล่ขอทาน!
“ฉันไม่ใช่ขอทานนะ!” เซียวเซียวรีบอธิบาย เก็บซ่อนความเคอะเขินในตอนแรกไปทันที ลูกธนูเมื่อยิงออกไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับ เธอจึงได้แต่ทำหน้าด้านพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะคะ ฉันรู้ว่ามันไม่ค่อยถูกต้องนัก…วันนี้ฉันต้องไปเจอแฟนเก่า แล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าเขาพาแฟนใหม่มาด้วย ฉันไปเจอเขาคนเดียวมันดูเสียหน้ามาก เลยคิดว่าจะขอร้องให้คุณช่วยฉันสักหน่อย ร้านอยู่ตรงด้านหน้านี้เอง รบกวนเวลาคุณสักสิบนาที แล้วฉันจะเลี้ยงชานมคุณหนึ่งอาทิตย์ โอเคไหมคะ”
เธอพูดรวดเดียวจบอย่างไม่มีสะดุด คนที่อยู่หน้าร้านชานมรวมทั้งเจ้าของร้านซึ่งถือเงินสิบหยวนต่างพากันยืนนิ่งจ้องมายังเธอเป็นตาเดียว เซียวเซียวกระตุกมุมปาก บรรยากาศดูเหมือนจะยิ่งกระอักกระอ่วนมากขึ้น…
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปมองต้นเสียงที่น่าหนวกหูนั้น หญิงสาวที่มีดวงตางดงามมาก ใบหน้าครึ่งล่างซ่อนอยู่ใต้ผ้าปิดปากสีดำ มองไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร สร้างความอยากรู้ให้เขาไม่น้อย
เมื่อครู่เซียวเซียวอยู่ทางด้านหลังจึงเห็นใบหน้าเขาแค่เพียงบางส่วน เธอถูกรูปร่างที่มีสัดส่วนทองคำดึงดูดเข้าเต็มเปา ตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าเต็มๆ ของเขาก็ถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ คนที่เห็นหนุ่มหล่อและสาวสวยในวงการแฟชั่นมาจนชินอย่างเธอยังอดชื่นชมใบหน้าของคนตรงหน้านี้ไม่ได้
แสงแดดสาดส่องผ่านหลังคาลาดเตี้ยลงมากระทบริมฝีปากบางสีอ่อนของชายหนุ่มที่เม้มจนเป็นเส้นตรงและแนวคางที่ดูเย็นชานั้น ช่างดูดีจนไม่อาจละสายตาไปได้
ชายหนุ่มเก็บกระเป๋าเงิน หันมาเผชิญหน้ากับเธอ แล้วพูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ให้ผมดูหน้าคุณได้ไหม”
เซียวเซียวไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยื่นข้อเรียกร้องแบบนี้ เธอที่กำลังชื่นชมความงดงามตรงหน้าอึ้งไปสามวินาทีถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ แล้วก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายได้ทันที เขาคงต้องการดูว่าใบหน้าแบบนี้จะควรค่าแก่การช่วยเหลือหรือเปล่าสินะ
เกรงว่าผู้ชายคนนี้คงต้องผิดหวังแล้ว เซียวเซียวแอบถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นเกี่ยวสายคล้องผ้าปิดปากตรงหูซ้าย กัดฟันแล้วดึงลงมา
“เฮ้ย!” เด็กน้อยที่กำลังดื่มชานมถึงกับร้องออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังแสดงกิริยาไม่สุภาพจึงรีบยกมือขึ้นปิดปาก
ใต้ผ้าปิดปากคือใบหน้าใหญ่ที่ไม่เข้ากับดวงตางดงามและรูปร่างสมส่วน แก้มบวมใหญ่เหมือนปลาทองอมน้ำ ดูน่าเกลียดและทึ่มทื่อเป็นอย่างมาก
เดิมทีควรจะเป็นฉากที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้พบหน้ากัน ไม่คิดว่าจะกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง ผู้คนต่างพากันละสายตา ไม่อาจทนดูต่อไปได้อีก
สายตาแปลกๆ จากคนแถวนั้นทำให้เซียวเซียวรู้สึกเสียความมั่นใจขึ้นมาจนต้องก้มหน้าลงและพยายามดึงผมยาวๆ มาบังแก้มที่บวมใหญ่ผิดปกตินั้น
“หนึ่งเดือน” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่เหนือศีรษะ
“เอ๋?” เซียวเซียวยังไม่ทันตั้งตัวจึงเงยหน้ามองด้วยความมึนงง เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าไม่เข้าท่านั้นก็ทำให้ช่างน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
“ค่าตอบแทนไง ชานมหนึ่งเดือน” ชายหนุ่มหยิบเงินสิบหยวนคืนมาจากเจ้าของร้านแล้วเก็บลงกระเป๋า ก่อนจะเดินไปยังร้านอาหารที่เซียวเซียวชี้อย่างสบายอารมณ์
“อ๋อ ได้เลย!” เมื่อการเจรจาที่แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จอยู่ๆ ก็สำเร็จขึ้นมา เซียวเซียวรู้สึกเหมือนรอบๆ ตัวพลันสว่างไสวขึ้นทันที เธอรีบควักเงินสามร้อยหยวนตบลงไปที่โต๊ะหลังหน้าต่าง “เถ้าแก่ ขอบัตรสำหรับชานมสามสิบแก้ว!”
เมื่อลาภก้อนใหญ่มาเยือนถึงประตู เจ้าของร้านชานมจึงรีบหยิบบัตรที่มีรูปเท้าแมวขึ้นมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วส่งให้เธอพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาหยี “ขอบคุณที่อุดหนุน”
เซียวเซียวรับบัตรมาแล้วเดินตามชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อสวมผ้าปิดปากอีกครั้ง เซียวเซียวก็กลับมาสงบนิ่ง “ฉันชื่อเซียวเซียว เป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้า ตอนนี้อายุยี่สิบสี่ คุณชื่ออะไร เรามาทำข้อตกลงกันก่อนเถอะ”
“จั่นหลิงจวิน อายุยี่สิบเจ็ด ส่วนอาชีพคุณคิดเอาเองแล้วกัน” ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหาร ยกข้อศอกงอขึ้นเล็กน้อย
เซียวเซียวจึงเดินไปคล้องแขนเขาแล้วยิ้มพร้อมกับผลักประตูร้านอาหารเข้าไป
ที่นี่เป็นร้านอาหารที่ผสมผสานระหว่างจีนและตะวันตกซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้
บนโต๊ะไม้สไตล์จีนจัดวางผ้าปูโต๊ะสไตล์ยุโรปอย่างไม่เข้ากันเลยสักนิด อีกทั้งข้างๆ ขวดบดพริกไทยยังมีขวดพริกป่นวางอยู่ ก็เหมือนเธอกับแฟนเก่าอย่างหานตงอวี่ที่ดูจะไม่มีวันเข้ากันได้เลยสักอย่าง
บนเบาะโซฟาท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ มีชายหนุ่มสวมเสื้อมีฮู้ดพิมพ์ลายกำลังเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่ หญิงสาวที่นั่งข้างๆ สวมชุดกระโปรงลูกไม้สีขาว กำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่เงียบๆ
“นี่ คนนั้นหรือเปล่า” หญิงสาวมองเห็นพวกเซียวเซียวกำลังเดินเข้ามาจึงรีบสะกิดถามชายหนุ่มข้างๆ
หานตงอวี่เงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาแล้วรีบยกมือขึ้นโอบแฟนใหม่โชว์ทันที ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นโบกไปมาเหมือนไม่ใส่ใจอะไร “ทางนี้!” พอเห็นเซียวเซียวที่มีผ้าปิดปากปกปิดใบหน้าก็เบะปากด้วยความเคยชิน “ไม่ได้เป็นดาราสักหน่อย ทำไมต้องสวมผ้าปิดปากด้วย”
“ยังไม่หายป่วย เป็นภูมิแพ้นิดหน่อย” เซียวเซียวตอบส่งๆ ไม่คิดจะปลดผ้าปิดปากออกแต่อย่างใด
เซียวเซียวคบกับหานตงอวี่มาสามปี ช่วงสองปีนี้หานตงอวี่ยังคงเรียนหนังสืออยู่ แต่เซียวเซียวออกมาทำงานแล้ว ตั้งแต่แฟนสาวเริ่มทำงาน เขาก็จะได้ยินเสียงบ่นและตัดพ้ออยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเพื่อนร่วมงาน เรื่องความก้าวหน้าในอนาคต ซึ่งทำให้คนที่ยังอยู่บนหอคอยงาช้างอย่างหานตงอวี่ไม่เข้าใจและเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ สองเดือนก่อนเซียวเซียวก็โทรมาบอกว่าเธอต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ต้องการให้เขามาเยี่ยมเธอ
อยู่ดีๆ ทำไมต้องไปนอนโรงพยาบาลกัน คิดว่าเป็นเพราะเธออยากจะเจอเขาก็เลยใช้มารยาเล็กๆ น้อยๆ เขาไม่ชอบนั่งรถและรู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไปจึงไม่ได้ไปหาเธอ ใครจะไปคิดว่าวันต่อมาก็ถูกบอกเลิกเสียแล้ว
หานตงอวี่รู้สึกเสียหน้า วันนี้เลยตั้งใจจะเรียกศักดิ์ศรีคืนมา แฟนคนใหม่ของเขามีการศึกษาสูงกว่าเซียวเซียว ฐานะทางครอบครัวก็ดีกว่าเซียวเซียว ที่สำคัญคือเป็นคนอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจคนอื่น
“นี่เธอไม่สบายจริงๆ เหรอ” หานตงอวี่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทั้งคู่บอกเลิกกันทางโทรศัพท์ สาเหตุก็เพราะระยะทางที่ห่างไกลทำให้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน เขาคิดมาตลอดว่าเธอไม่ได้เข้าโรงพยาบาลจริงๆ ขณะที่คิดจะเอ่ยปากถามต่อก็พลันสังเกตเห็นว่าเซียวเซียวคล้องแขนผู้ชายคนหนึ่งไว้ มุมปากที่เพิ่งจะยกยิ้มเมื่อครู่พลันคลายลง “เขาเป็นใคร”
ผู้ชายคนนี้สูงใหญ่ หล่อเหลา โดดเด่น ดูท่าทางเป็นคนมีเงินด้วย ที่สำคัญก็คือมีความภูมิฐานหนักแน่นที่ชายหนุ่มทั่วไปไม่มี ทำให้หานตงอวี่รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมาทันที
“แฟนฉันเอง” เซียวเซียวดึงจั่นหลิงจวินเดินเข้ามาใกล้แล้วโกหกหน้าตายออกไป “ทำไฟแนนซ์น่ะ เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการ”
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จัก” หานตงอวี่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับ ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างเบื่อหน่ายเพื่อจะจับมือกับจั่นหลิงจวิน
มือข้างหนึ่งของจั่นหลิงจวินมีเสื้อนอกพาดอยู่ อีกข้างก็ล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ ดูท่าทางแล้วไม่ต้องการจะจับมือด้วย “รีบพูดเถอะ ผมไม่มีเวลา เดี๋ยวต้องไปประชุมต่ออีก”
เซียวเซียวมองสีหน้าที่เขียวคล้ำลงในพริบตาของหานตงอวี่แล้วก็พยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง ก่อนจะเรียกให้จั่นหลิงจวินนั่งลงด้วยกัน จากนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงทักทายหญิงสาวในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวคนนั้น
หากเป็นไปตามที่หานตงอวี่ว่า การพบเจอกันครั้งนี้จะเป็นการเลิกกันอย่างเป็นทางการ พูดให้ชัดๆ เลยก็คือเป็นการเอาของขวัญที่เคยให้มาคืนให้แก่กัน
เซียวเซียวไม่รีรอรีบล้วงกระเป๋าเอากล่องเครื่องประดับและพัดเล็กๆ ออกมา ก่อนจะดันของทั้งหมดไปตรงหน้าหานตงอวี่ “ของที่ฉันเคยให้นาย นายไม่ต้องเอามาคืนหรอก นายเก็บไว้เถอะ”
“เซียวเซียว ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงได้เลิกกับฉัน” หานตงอวี่กำกล่องเครื่องประดับพลางมองเซียวเซียวด้วยแววตาฉงน พยายามไม่มองหน้าผู้ชายที่ดูเข้มแข็งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เธอ เขายังรู้สึกงุนงงและไม่อาจยอมรับได้
“ตอนที่ฉันป่วยหนักก็คิดว่าตัวเองคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ไม่อยากจะเป็นภาระของนาย” เซียวเซียวพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ฟังแล้วเหมือนพูดไปให้จบๆ ในเมื่อเลิกกันแล้วเธอก็ไม่อยากจะมานั่งกล่าวโทษอีกฝ่าย ให้จบแบบนี้ก็แล้วกัน
“…” หานตงอวี่ค่อยๆ เบะปากแล้วกลอกตาอย่างสุดแรงพลางโอบแฟนสาวคนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกครา ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังพอให้ได้ยินกันทุกคนว่า “ทำไมรู้สึกเหมือนกับอยู่ในซีรี่ส์เกาหลีเลยล่ะ”
“ฮ่าๆ” แฟนใหม่ของหานตงอวี่ก็หัวเราะไปกับคำพูดประชดแดกดันของเขาด้วย
จั่นหลิงจวินมองชายหญิงตรงหน้าที่กำลังหัวเราะด้วยสายตาเย็นชา
เซียวเซียวก้มหน้าลงแล้วรูดซิปกระเป๋า “สายมากแล้ว พวกฉันยังมีธุระที่ต้องทำอีก ไปก่อนล่ะนะ พวกนายก็เที่ยวให้สนุกแล้วกัน ไม่ได้มีโอกาสมาปักกิ่งบ่อยๆ”
ส่วนเรื่องที่ว่าแฟนใหม่ของหานตงอวี่มีข้อดีอะไรนั้นเธอไม่ได้สนใจอยากจะรู้ จึงดึงนักแสดงชั่วคราวอย่างจั่นหลิงจวินเดินออกมาจากร้านอย่างไม่แยแส
เสียงหัวเราะของหานตงอวี่เลือนหาย เขากัดฟันมองชายหญิงคู่นั้นเดินออกจากร้านอาหารไป เมื่อก่อนเวลาที่พวกเขาเดินด้วยกันเซียวเซียวจะไม่สวมรองเท้าส้นสูงเพราะต้องการรักษาหน้าเขา กลัวว่าเมื่อสวมรองเท้าส้นสูงจะทำให้เธอสูงกว่าเขา แต่ตอนนี้เซียวเซียวสวมรองเท้าส้นสูงสิบเซนติเมตรครึ่ง ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็ยังคงสูงกว่าเธออยู่ดี ดูแล้วช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
“ทำไมนายไม่แนะนำฉันให้ผู้หญิงคนนั้นรู้จัก” หญิงสาวในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวพูดอย่างไม่พอใจ
“ก็เค้าไม่ได้ถาม” หานตงอวี่พูดเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆ” เมื่อเดินมายังมุมถนน เซียวเซียวก็รีบปล่อยมือตัวเองจากแขนของชายหนุ่มแล้วใช้สองมือส่งบัตรร้านชานมให้เขา
จั่นหลิงจวินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นนิ้วขาวเรียวสองนิ้วออกไปคีบบัตรบางๆ ใบนั้นหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อ
ขณะที่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย เซียวเซียวก็อดยกมือขึ้นมากุมใบหน้านิ่มๆ บวมๆ ของตัวเองไม่ได้ จากนั้นก็ส่งข้อความวีแชตให้กับเพื่อนรัก
เสี่ยวเสี่ยวปู้ : วันนี้ฉันทำเรื่องใหญ่ที่สะเทือนแผ่นดินเลยล่ะ
เมื่อข้อความถูกส่งออกไป อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ต้าต้าเหยา : แกวางระเบิดบริษัทเหรอ
เสี่ยวเสี่ยวปู้ : เอ่อ…ฉันยังไม่คิดจะทำเรื่องแบบนั้นตอนนี้หรอก
เมื่อรู้สึกว่าพิมพ์ช้าไม่ทันใจ เซียวเซียวจึงส่งข้อความเสียงยาวๆ บอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวในวันนี้
ต้าต้าเหยา : คุณนายคะ ดิฉันกำลังประชุมค่ะ อีกสักพักฉันไปห้องน้ำแล้วค่อยฟังนะ
จนกระทั่งเซียวเซียวนั่งรถแท็กซี่แล้ว เพื่อนรักถึงได้ตอบกลับมา
ต้าต้าเหยา : นี่แกบ้าไปแล้วรึไงถึงได้ให้บัตรอะไรนั่นไป เอาวีแชตเขามาสิ แล้วค่อยโอนเงินให้เขาก็ได้
นั่นสิ โง่จริงๆ เลย
เซียวเซียวยกมือตบหน้าผากตัวเองทีหนึ่งเสียงดังเพียะก้องไปทั้งรถ ทำเอาคนขับแท็กซี่ตกใจจนต้องหันกลับมามอง
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แค่ตบยุงน่ะ” เซียวเซียวนวดหน้าผากที่แดงเถือกเบาๆ เจ็บจนเรียกสติได้ ฟองสีชมพูเต็มรถเมื่อครู่ถูกฝ่ามือของเธอตบหายไปหมดแล้ว ต่อให้ได้วีแชตมาแล้วอย่างไร ตอนนี้หน้าตาเธอเป็นแบบนี้ เพียงแค่คิดจะจีบหวังเป่าเฉียง ยังเหนื่อยเลย
เขตสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของปักกิ่งเป็นโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรองรับการติดต่อค้าขายกับทั่วโลกเมื่อหลายปีก่อน กล่าวกันว่าเป็นที่ฟูมฟักนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ตึกระฟ้าหลายตึกเปรียบเสมือนไข่ เมื่อเวลาผ่านไปสิบกว่าปี ตัวอ่อนในไข่ก็ทยอยฟักออกมาจากเปลือกไข่ กลายเป็น ‘ไก่เทคโนโลยี’ แต่ ‘ไก่นวัตกรรม’ นั้นแทบจะไม่มีเลย
ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน ‘ไก่นวัตกรรม’ จากไม่กี่บริษัทในเขตสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยี บริษัทออกแบบแอลวายจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตึกกระจกขนาดเล็กสูงหกชั้นออกแบบเป็นรูปตัวแซดซึ่งสิ้นเปลืองที่ดินอย่างมาก ผนังทั้งหมดเป็นกระจกสีเขียว และบนตึกก็ไม่มีป้ายโฆษณาแม้แต่ป้ายเดียว มีเพียงแผ่นไม้ที่แกะสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า ‘LY’ ตั้งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าประตูใหญ่เท่านั้น
ทัศนียภาพด้านนอกที่หรูหราและสง่างามนี้ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตึกใหญ่ๆ ดำๆ ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน แม้กระทั่งแม่บ้านที่ทำความสะอาดตึกนี้ก็ดูทันสมัยกว่าที่อื่นอย่างมาก
ในช่วงเวลาเร่งด่วนของเขตนวัตกรรม ร้านขายอาหารเช้าขนมพระจันทร์ ที่อยู่มุมถนนก็จะมีคนรุมล้อมกันจนแน่นขนัด
ซาลาเปาแผ่นรูปใบบัวที่นึ่งจนฟูนุ่มราดด้วยเต้าหู้เส้นซึ่งตุ๋นจนเข้าเนื้อ ตามด้วยไส้กรอกไต้หวันย่างที่กรอบนอกนุ่มในราดด้วยซอสงาเข้มข้น สัมผัสได้ถึงความหอมอร่อยตั้งแต่ได้กัดเข้าปากเป็นคำแรก และรสชาติที่แสนอร่อยนี้ก็ใช้เงินเพียงห้าหยวนเท่านั้น
“นั่นบริษัทอะไรน่ะ ดูเด่นสะดุดตามาก” พนักงานใหม่ที่กำลังกินโจ๊กธัญพืชกระซิบถามพนักงานที่อยู่มานานกว่า
“จะเป็นบริษัทอะไรไปได้ ก็แอลวายน่ะสิ” พนักงานเก่าบอกโดยที่ยังจ้องขนมซึ่งลุงคนขายขนมพระจันทร์กำลังราดซอสงาลงไป “ไม่เหมือนกับคนเขียนโค้ดอย่างพวกเราหรอก พวกนั้นน่ะเป็นพวกชนชั้นสูง ตอนเช้าก็ดื่มกาแฟบลูเมาน์เทน กลางวันก็กินสเต๊กเนื้อเซอร์ลอยน์ เวลาเดินก็เหมือนนางแบบที่เดินอยู่บนแคตวอล์กแฟชั่นวีก ฟู่ๆ” พูดพลางยื่นมือไปรับขนมพระจันทร์ แต่ลุงคนขายกลับอ้อมส่งให้หญิงสาวในชุดสูทสีรอยัลบลูที่อยู่ด้านข้าง
เซียวเซียวรับขนมพระจันทร์มาจากมือลุงคนขาย แกะถุงพลาสติกที่ห่อออกแล้วกัดกินคำใหญ่ราวกับอดข้าวมาสามวัน ลุงคนขายถึงกับมองตาค้าง “แม่หนู เอาน้ำเต้าหู้ด้วยไหม”
“เอ่อ ไม่ต้องค่ะ” เซียวเซียวเคี้ยวเต้าหู้คำโตแล้วตอบแบบขอไปที ก่อนจะกินไปพลางเดินตรงไปยังตึกกระจกเขียว
พนักงานใหม่เหล่ตามองรุ่นพี่ ไหนกาแฟบลูเมาน์เทน ไหนนางแบบแฟชั่นวีก ผู้หญิงคนนั้นไม่ต่างจากพวกเขาเลย มิหนำซ้ำยังสั่งไส้กรอกสองไม้ด้วย
ด้านหน้าของตึกกระจกเขียวคือสนามหญ้าที่มีแผ่นไม้วางคดเคี้ยวเพื่อใช้เป็นทางเดินเข้าไปในตึก หากนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบลงไปบนแผ่นไม้จนถึงหน้าประตูบริษัททั้งหมดก็หนึ่งร้อยแปดก้าว
เมื่อเดินไปถึงก้าวที่เก้าสิบสาม ขนมพระจันทร์ในมือก็ถูกกำจัดจนไม่เหลือหลอ เซียวเซียวนวดแก้มที่เริ่มปวดเพราะเคี้ยวเร็วไปหน่อยเบาๆ จากนั้นก็ใช้กระดาษเปียกเช็ดปากที่เลอะซอสงา แล้วเติมลิปสติกสีแดงสดโดยไม่ต้องดูกระจก เดินยืดอกยกไหล่ในระยะเจ็ดก้าวเปลี่ยนโฉมจากสภาพเหมือนคนใช้แรงงานเป็นพนักงานบริษัทที่แสนจะดูดี
“เซียวเซียว มาทำงานแล้วเหรอ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังก้องมาจากทางด้านหลัง ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร เธอเบี่ยงตัวเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลบมือที่ยื่นมาจับไหล่ได้ทัน
“ฉินย่าหนาน แกจะเบาเสียงไม่ได้เลยใช่ไหม อยากจะให้พี่ฟางหักเงินเพราะมารยาทไม่ดีรึไง” เซียวเซียวยื่นนิ้วออกมาหยิกเนื้อนิ่มๆ ของฉินย่าหนานเบาๆ พวกเธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบก็เข้ามาทำงานที่บริษัทนี้พร้อมกัน จึงสนิทกันมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น
“หักก็หักสิ ใครจะไปสนยายแม่มดแก่นั่นกันล่ะ ยังไงซะก็ไม่เคยได้เต็มจำนวนอยู่แล้ว”
ฉินย่าหนานคล้องแขนเซียวเซียวแล้วกระซิบเสียงเบา เธอเตี้ยกว่าเซียวเซียว เวลาจะพูดอะไรด้วยก็ต้องเงยหน้าขึ้น จังหวะที่ได้เห็นแก้มซึ่งบวมผิดปกติของเซียวเซียว ดวงตาที่ติดขนตาปลอมก็เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา
“เฮ้ย! หน้าแก…” เสียงอุทานที่ดังอย่างกับลำโพงแปดหลอดดังก้องไปทั้งล็อบบี้ พนักงานที่กำลังรอลิฟต์ต่างพากันหันมามองเป็นตาเดียว
เซียวเซียวหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอรีบลนลานสวมผ้าปิดปากพลางทำตาดุใส่ฉินย่าหนาน “นี่…”
“อาทิตย์ที่แล้วเจอกันยังไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้เลยนี่…” ฉินย่าหนานรีบลดเสียงให้เบาลงพร้อมกับยื่นมือไปลูบแก้มของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ดูกลุ้มใจจนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“ไม่เป็นไร อีกสักพักก็หาย” เซียวเซียวไม่อยากจะพูดอะไรมาก มองดูเวลาแล้วจึงรีบลากฉินย่าหนานให้เดินไปที่ห้องออกแบบอย่างรวดเร็ว
ห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีเป็นแผนกที่มีคนทำงานมากที่สุด ตั้งอยู่ชั้นสามตรงกลางของตึก
ทั้งสองก้าวเดินเข้าไปในห้องออกแบบอย่างรวดเร็ว เสียงบอกเวลาของนาฬิกาแขวนผนังก็ดังอย่างแม่นยำ “ขณะนี้เป็นเวลาเก้านาฬิกาตรง”
สายตาแหลมคมพุ่งมาจากหลังโต๊ะออกแบบ อากาศในตอนเช้าของต้นฤดูร้อนอบอุ่น แต่เซียวเซียวกลับรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง
ห้องออกแบบนี้กินพื้นที่ทั้งหมดของชั้น ไม่มีผนังปูนกั้น แสงแดดส่องผ่านทะลุกระจกเข้ามาทำให้ห้องทั้งห้องสว่างไสวและอบอุ่น โต๊ะออกแบบขนาดใหญ่ โต๊ะสำหรับตัดเย็บที่ดูเหมือนวางระเกะระกะแต่เป็นการวางแบบสลับกันไปมาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย ของประดับตกแต่งต่างๆ และกระดาษเขียนแบบที่วางกองปะปนกันอยู่บนโต๊ะสำหรับวางวัสดุอุปกรณ์ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ชวนให้จินตนาการในการออกแบบโลดแล่น
และด้านหลังของโต๊ะออกแบบยังมีโต๊ะทำงานสีดำที่ดูแปลกแยกกับทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์ แฟ้มเอกสาร กระบอกเสียบปากกา และแก้วน้ำ ซึ่งทั้งหมดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ตรงนั้นมีผู้หญิงสวมชุดเดรสรัดรูปสีดำอายุประมาณสี่สิบนั่งอยู่และกำลังมองพวกเธอด้วยสายตาเย็นชา “บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าต้องมาก่อนเวลาอย่างน้อยสิบนาที แต่พวกเธอสองคนยังมาตรงเวลาเป๊ะ”
ฉินย่าหนานสวนออกไปทันทีทั้งที่ยังหอบ “บริษัทมีกฎเข้างานตอนเก้าโมงเช้า ทำไมพวกเราต้องมาก่อนเวลาด้วย”
“ฉินย่าหนาน นี่มันอะไรกัน” ฟางเซี่ยงเฉียนเป็นหัวหน้าแผนกนี้ได้เพียงครึ่งปี เธอเน้นย้ำเรื่องกฎระเบียบอยู่ตลอดเวลา เธอจำเป็นต้องจัดการกับเด็กรุ่นใหม่ที่ควบคุมยากพวกนี้ ต้องมีสักคนสองคนที่ทำให้เธอปวดหัวสิน่า และดูท่าทางแล้วยายปากลำโพงฉินย่าหนานน่าจะเป็นคนที่จัดการยากที่สุด
เซียวเซียวรีบลากเพื่อนที่ตั้งท่าจะเข้าไปต่อล้อต่อเถียงออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง มองไปที่เด็กหนุ่มช่างทำแพตเทิร์นซึ่งขยิบตาให้เธอด้วยสายตาที่รู้กัน จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบโอเอสำหรับลาพัก ประกาศวันลาพักของปีนี้ปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ตอนนี้จนถึงสิ้นปีเธอไม่เหลือวันลาที่ได้รับเงินเดือนอีกแล้ว
ทางด้านฟางเซี่ยงเฉียนเมื่อได้รับจดหมายลาก็ปรายตามองเซียวเซียวที่สวมผ้าปิดปาก แล้วส่งข้อความทางช่องแชตส่วนตัวภายในแผนกให้กับเธอ
‘มานี่หน่อย’
เซียวเซียวปิดหน้าจอที่เพิ่งเปิดขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานสีดำ “พี่…เอ่อ…หัวหน้าเรียกฉันหรือคะ”
ระหว่างดีไซเนอร์ด้วยกันเองไม่สนใจมารยาทเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ พวกเขามักจะเรียกคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าว่า ‘พี่’ ฟางเซี่ยงเฉียนต้องแก้ไขอยู่นานถึงจะทำให้คนพวกนี้เรียกเธอว่า ‘หัวหน้า’ ได้ และยังเน้นย้ำว่าเธอเป็นผู้จัดการ ไม่ใช่เพียงหัวหน้าแผนก
ฟางเซี่ยงเฉียนขมวดคิ้วถลึงตามองเซียวเซียว ยายแจกันดอกไม้ นี่ถือว่าเป็นคนโปรดของครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ ทว่าตั้งแต่วันนี้ก็ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เมื่อคิดแล้วก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งขึ้น จึงพูดอย่างสบายๆ ว่า “ทางผู้บริหารแจ้งมาว่าช่วงนี้เธอไม่ต้องไปที่ห้องฟิตติ้ง”
ห้องฟิตติ้งของบริษัทแอลวายนั้นเป็นห้องฟิตติ้งสำหรับครีเอทีฟไดเร็กเตอร์โดยเฉพาะ
ผู้ที่ก่อตั้งบริษัทแอลวายได้ใช้รูปแบบบริษัทแฟชั่นเฮ้าส์ของฝรั่งเศสมาเป็นต้นแบบในการจัดตั้งบริษัท บริษัทจึงแบ่งระบบการจัดการออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการบริหารจัดการ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในการบริหารก็คือประธานกรรมการผู้บริหาร ซึ่งเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือซีอีโอนั่นเอง อีกส่วนก็คือการบริหารงานด้านการออกแบบ คนที่มีอำนาจและความรับผิดชอบสูงสุดคือครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ สำหรับบริษัทแฟชั่นเฮ้าส์ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์เป็นผู้ที่มีความสำคัญมากที่สุด เป็นผู้กำหนดอนาคตของบริษัทว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ดังนั้นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ในบริษัทแฟชั่นเฮ้าส์ทุกแห่งจะมีอำนาจล้นมือเลยทีเดียว
ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มีหน้าที่รับผิดชอบหลักก็คือกำหนดหัวข้อและผลิตชุดโอตกูตูร์ ในแต่ละซีซั่น ขั้นตอนการทำชุดโอตกูตูร์ออกมาจะต้องมีนางแบบฟิตติ้ง ถ้านางแบบฟิตติ้งมีความรู้เกี่ยวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายด้วยก็จะทำให้ตอนที่ลองชุดสามารถเสนอข้อคิดเห็นให้แก่ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ได้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการทำงานในช่วงการแก้ไขปรับปรุงไปได้มาก
สองปีที่ผ่านมาเซียวเซียวรับหน้าที่เป็นนางแบบฟิตติ้งมาโดยตลอด จึงมีโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูง พูดง่ายๆ ก็คือเป็น ‘คนโปรดของฮ่องเต้’ คนอื่นๆ จึงต้องให้ความเกรงใจอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินว่า ‘ไม่ต้องไปที่ห้องฟิตติ้ง’ ในหัวของเซียวเซียวถึงกับว่างเปล่า…
‘ฉันชื่อเซียวเซียว อายุยี่สิบสอง จบการศึกษาจากสถาบันการออกแบบเครื่องแต่งกายคิว เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดการออกแบบเครื่องแต่งกายระดับประเทศ’ ในตอนนั้นเซียวเซียวสวมรองเท้าส้นสูงที่ตัดใจซื้อมาด้วยราคาห้าร้อยหยวน ยืนอยู่ในห้องออกแบบที่มีแสงแดดระยิบระยับซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของบริษัทแอลวาย ขาของเซียวเซียวสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์รอบที่สามซึ่งเป็นรอบสุดท้าย แต่เป็นเพราะประธานกรรมการสัมภาษณ์คือสุภาพสตรีผมสีเงินที่เป็นไอดอลของเธอ อเดอลีน หลี่ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของบริษัทแอลวาย
อเดอลีนเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีน เธอมีสายเลือดทางตะวันตก จมูกโด่งมาก ดวงตาบุ๋มลึก ด้วยบุคลิกที่เข้มงวดจึงทำให้ดูเหมือนว่าเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก
‘แนวคิดในการออกแบบของเธอคืออะไร’ ภาษาจีนกลางที่ไม่ค่อยชัดเจนถูกเปล่งออกมาอย่างช้าๆ เผยความหยิ่งยโสของคนชั้นสูงออกมา
‘แนวคิด…’ เซียวเซียวตอบไม่ถูก มือที่ประสานกันอยู่ด้านหน้ามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เรื่องแนวคิดของการออกแบบที่ลึกซึ้งแบบนั้นมีแต่ดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงแล้วเท่านั้นถึงจะมี เธอที่เพิ่งจะออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน ‘ชีวิตดีไซเนอร์ของฉันเพิ่งจะเริ่มต้นและยังไม่มีสไตล์ที่ชัดเจน แม้ว่าจะขาดลักษณะเฉพาะตัวไปบ้าง แต่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแอลวายได้ค่ะ’
คำตอบแบบนี้แม้จะไม่มีจุดเด่นอะไรแต่ก็ไม่มีอะไรผิดเช่นกัน อย่างน้อยซีอีโอกับอาร์ตแอดไวเซอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พอใจในคำตอบ
แต่เห็นได้ชัดว่าอเดอลีนไม่พอใจ เธอกดมุมปากทั้งสองข้างจนเห็นร่องแก้มลึก ‘สิ่งที่สำคัญที่สุดของดีไซเนอร์ก็คือจิตวิญญาณ ถ้าต้องให้คนอื่นมาบอกว่าเธอควรจะทำอะไร เธอมันก็เป็นแค่ช่างฝีมือ ไม่ใช่ศิลปิน’
‘โอ้ อเดอลีนที่รัก แม่หนูนี่ยังเด็กอยู่เลยนะ จะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไง’ หลินซือหย่วนอาร์ตแอดไวเซอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดยิ้มๆ เท้าคางด้วยหลังมือทั้งสองข้าง ดวงตายิ้มๆ มองพิจารณาหญิงสาวที่สะดุดตาตรงหน้า ‘รูปร่างเธอดีมาก ไปช่วยฟิตติ้งชุดได้นะ’
หลินซือหย่วนเป็นชายวัยกลางคน เขามีผิวเนียนละเอียดราวกับเด็กสาวแรกรุ่นเพราะดูแลเป็นอย่างดี ท่าเท้าคางแบบนี้หากผู้ชายคนอื่นทำก็คงดูสาวมาก แต่เขากลับทำท่านี้ได้ดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะคำพูดประโยคนี้ของเขาจึงทำให้เซียวเซียวได้ทำงานในบริษัทแอลวายและยังได้ทำงานใกล้ชิดกับอเดอลีนในห้องฟิตติ้ง มีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิคมากมาย ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้สึกขอบคุณหลินซือหย่วนมาโดยตลอด
“แอดไวเซอร์พูดเองเหรอคะ” เซียวเซียวซักไซ้ต่ออย่างไม่อยากเชื่อ
ฟางเซี่ยงเฉียนมองเธอด้วยสายตาประหลาดแล้วยิ้มเย็นๆ “ถ้าไม่เชื่อเธอก็ไปถามเขาเองแล้วกัน แต่ก่อนจะไปเธอต้องจัดการงานให้เรียบร้อยก่อนนะ อีกสิบนาทีมีประชุม”
ขณะนี้เข้าสู่ช่วงปลายเดือนเมษายน เสื้อผ้าฤดูร้อนเข้าสู่ตลาดแล้ว เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวอยู่ในช่วงของการเตรียมการ อีกทั้งอยู่ในช่วงเริ่มออกแบบเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปีถัดไป
ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ได้กำหนดหัวข้อของการออกแบบไว้ว่า ‘ชีวิตใหม่’
“ก่อนหน้านี้เซียวเซียวลาป่วย จึงไม่รู้หัวข้อที่ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ประกาศออกมา เดี๋ยวพวกคุณส่งพาวเวอร์พ้อยต์ให้เธอด้วย ข้อมูลต่างๆ ฉันส่งอีเมลให้ทุกคนแล้ว แบบสเก็ตช์มีกำหนดส่งภายในหนึ่งเดือน แผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของเรายังไม่ได้กำหนดเฮดดีไซเนอร์สำหรับซีซั่นหน้า การคัดเลือกจะพิจารณาจากสภาพการณ์ของสินค้าใหม่ในซีซั่นนี้กับการออกแบบเบื้องต้นเป็นตัวตัดสิน พวกคุณต้องพยายามเข้าล่ะ” ขณะที่ฟางเซี่ยงเฉียนพูดไม่อนุญาตให้ใครเอ่ยขัดจังหวะเพราะเธอต้องการพูดรวดเดียวจบ
งานที่ห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีทำก็คือการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูปสตรี เป็นการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อผลิตเป็นจำนวนมากและกระจายไปตามร้านต่างๆ ทั่วประเทศ ส่วนห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีชั้นสูงจะดูแลเฉพาะชุดโอตกูตูร์และเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงที่ผลิตจำนวนไม่มากเท่านั้น
ในห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีชั้นสูงจะมีแต่ดีไซเนอร์ที่มีประสบการณ์ ส่วนนกหัดบินอย่างเซียวเซียวกับฉินย่าหนานที่เพิ่งจบการศึกษาได้ไม่นานก็ได้แต่ทำงานอย่างหนักในห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีเท่านั้น
เมื่อได้ยินว่าหัวข้อของซีซั่นถัดไปจะเปิดคัดเลือกเฮดดีไซเนอร์ ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันและเห็นแววตาตื่นเต้นของอีกฝ่าย
เฮดดีไซเนอร์ของแต่ละซีซั่นไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัว ตำแหน่งนี้ก็เหมือนกับเป็นหัวหน้าทีมเล็กๆ เมื่อกำหนดว่าเป็นใครแล้วก็จะยึดรูปแบบงานของคนคนนั้นเป็นหลัก คนอื่นๆ จะยึดรูปแบบของเฮดดีไซเนอร์ในการปรับแต่งชิ้นงานของตัวเองให้เข้ากับรูปแบบของเฮดดีไซเนอร์ และเฮดดีไซเนอร์จะได้รับเงินอินเซ็นทีฟ จากผลงานของตัวเองรวมกับผลงานของลูกทีม
หัวหน้าแผนกคนเก่าเป็นดีไซเนอร์ที่เริ่มมีชื่อเสียงบ้างแล้ว ผลงานของเขาก็ดูดีกว่าของพวกคนใหม่ๆ ตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์จึงเป็นของหัวหน้าแผนกมาตลอด แต่ฟางเซี่ยงเฉียนไม่ใช่คนในวงการออกแบบ เฮดดีไซเนอร์ครั้งนี้จึงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนได้แล้ว
“ซีซั่นนี้ชุดที่แกออกแบบก็ได้คำแนะนำจากไดเร็กเตอร์ตั้งหลายชุด แกได้ตำแหน่งแน่ๆ เลย” ฉินย่าหนานส่งพาวเวอร์พ้อยต์พลางอดที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาไม่ได้ จึงเรียกสายตาของเพื่อนร่วมงานหลายๆ คนให้หันมามอง
“อย่าพูดส่งเดชนะ ไดเร็กเตอร์จะมีเวลามาแนะนำเรื่องเสื้อผ้าสำเร็จรูปราคาถูกที่ไหนกันล่ะ” เซียวเซียวรีบออกตัว แบบเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นแบบที่เธอคิดจนหัวแทบจะระเบิดออกมา ไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากใครทั้งสิ้น แต่ถ้าคำพูดของฉินย่าหนานหลุดออกไป ความพยายามมุมานะของเธอก็อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ
“จะเป็นอะไรไปล่ะ แกอยู่ที่ห้องฟิตติ้งทุกวัน ได้รับการแนะนำนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นเรื่องปกติ พูดแบบนี้พวกเขาก็อิจฉาแย่น่ะสิ” ฉินย่าหนานไม่เข้าใจความกังวลใจของเซียวเซียวเลยสักนิด
เซียวเซียวได้ยินคำว่า ‘ห้องฟิตติ้ง’ หัวใจของเธอก็เหมือนถูกมีดกรีดจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ไม่อยากจะฟังฉินย่าหนานพร่ำเพ้ออีกจึงเดินปลีกตัวไปที่ห้องชงกาแฟ
เซียวเซียวหยิบแก้วน้ำร้อนมาอย่างเชื่องช้าแล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเมื่อเช้ายังไม่ได้กินยา เธอถอนหายใจเดินกลับไปที่ห้องออกแบบ ถือโอกาสที่ไม่มีใครสนใจหยิบยาออกมาแล้วห่อด้วยกระดาษทิชชูกำไว้ในมือก่อนจะเดินลงไปที่ห้องจัดแสดง
ตึกรูปตัวแซดนี้ชั้นหนึ่งและชั้นบนสุดจะมีพื้นที่กว้างที่สุด ชั้นหนึ่งเป็นห้องจัดแสดงเสื้อผ้าซึ่งเปิดให้บุคคลภายนอกได้เข้าชม รวมทั้งมีเครื่องขายของอัตโนมัติตั้งอยู่
เสียงตึ้งๆ และกริ๊งๆ ดังขึ้น ขวดน้ำแร่ตกลงมาพร้อมกับเงินทอน
เซียวเซียวโน้มตัวลงไปหยิบขวดน้ำแร่ เมื่อก้มศีรษะลงไปก็เห็นท่อนขายาวๆ ที่สวมรองเท้าคัชชูของกุชชี่รุ่นใหม่ล่าสุดอยู่ทางด้านหลัง จึงรีบยืดตัวขึ้นมาแล้วหันไปทักทาย “อาร์ตแอดไวเซอร์ มาซื้อกาแฟเหรอคะ”
หลินซือหย่วนยังยืนกอดอกอยู่ที่เดิมขณะมองหน้าเซียวเซียว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “คุณหายดีหรือยัง”
“ก็…หายแล้วค่ะ” เซียวเซียวตอบกลับไป ความจริงเธอยังไม่หายป่วย เธอต้องกินยาอีกนาน แต่เพราะไม่อยากให้ใครรู้จึงบอกกับเพื่อนร่วมงานว่าหายดีแล้ว
“อืม” หลินซือหย่วนพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปกดซื้อกาแฟกระป๋อง เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ผมได้ยินมาว่าช่วงนี้ผลงานของคุณถอยหลังลง คงไม่ใช่เป็นเพราะผมให้คุณไปทำงานที่ห้องฟิตติ้งก็เลยไม่ตั้งใจทำงานหรอกนะ สิ่งสำคัญที่สุดของดีไซเนอร์ก็คือผลงาน เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นแค่เปลือกเท่านั้น”
“ค่ะ” เซียวเซียวพยักหน้ารับอย่างกังวลใจ เธอไม่เคยเห็นหลินซือหย่วนพูดด้วยท่าทางกังวลแบบนี้มาก่อน นั่นทำให้เธอหวั่นใจอยู่บ้างจริงๆ
“คุณไม่ต้องไปที่ห้องฟิตติ้งเป็นการชั่วคราว ทำงานที่ตัวเองรับผิดชอบให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” หลินซือหย่วนพูดจบก็เดินกลับไปอย่างไม่เหลียวแล
เซียวเซียวกำขวดน้ำแร่ในมือแน่น ยืนนิ่งหน้าเครื่องขายของอัตโนมัติอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะหาลมหายใจของตัวเองเจอ ก่อนจะรีบเดินไปหลบอยู่ในห้องน้ำ กะพริบตาหลายครั้งเพื่อไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา และหันไปมองขวดน้ำแร่เย็นๆ แล้วรีบกินยาเข้าไป เป็นเพราะรีบร้อนเกินไปจึงทำให้ยาติดค้างอยู่ในลำคอ มันขมจนเธอเกือบจะอาเจียนออกมา ต้องบ้วนปากอยู่หลายครั้งอาการจึงค่อยดีขึ้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกแล้วเห็นใบหน้าที่บวมเป่งผิดรูป เธอก็ยิ้มเยาะตัวเอง
ติ๊ง! ยามนั้นเองเสียงเตือนข้อความของคิวคิว ในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เซียวเซียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเลื่อนหน้าจอดู เป็นข้อความในกลุ่มของบริษัท นี่เป็นคิวคิวกลุ่มที่ทุกคนตั้งขึ้นมากันเอง ไม่มีหัวหน้า ทุกคนสามารถใช้นามแฝงและใช้ที่นี่เป็นที่ระบายเรื่องต่างๆ ออกมา
นามแฝงมะเขือ : พวกเธอรู้หรือยัง ตอนนี้เซียวเซียวถูกเตะออกจากห้องฟิตติ้งแล้ว
นามแฝงถั่วฝักยาว : แหม มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอ ดูสารรูปแม่นั่นตอนนี้สิ เหมือนกับเสาไฟข้างทางเลย น้องหลินทนได้ก็ประหลาดแล้ว
นามแฝงมะเขือ : ฮ่าๆๆๆ เสาไฟข้างทาง เหมือนจริงๆ เดือนที่แล้วฉันแอบถ่ายมาได้รูปหนึ่ง
หลังจากประโยคนี้ก็ตามด้วยรูปด้านข้างของเซียวเซียว เป็นรูปที่เห็นร่างเพรียวบางซึ่งมีหัวโตๆ อยู่ข้างบน ดูแล้วเหมือนกับเสาไฟข้างทาง ช่างดู…ตลกมาก
นามแฝงถั่วฝักยาว : พวกเธอยังไม่เคยเห็น คราวที่แล้วน้องหลินเห็นหน้าแม่นั่นตรงๆ ยังไม่กล้าจะลืมตาดู แถมอาละวาดใส่ห้องออกแบบเสื้อชั้นสูงทั้งวันด้วย
แหมะๆ น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงมาบนหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้ข้อความที่พูดคุยกันพร่ามัวไปหมด
เธอช่างไร้เดียงสาจริงๆ ที่เคยคิดว่าหลินซือหย่วนเป็นคนอบอุ่น เขาที่ชื่นชอบและอยากอยู่ใกล้กับความสวยความงามขนาดนั้นจะพูดดีกับคนสวยเท่านั้นแหละ
โทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นมา เซียวเซียวมองเห็นชื่อ ‘เหยาเหยา’ ปรากฏที่หน้าจอ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกดรับสาย “เหยาเหยา…”
“เฮ้ย นี่แกเป็นอะไร ร้องไห้อยู่เหรอ” เหลียงจิ้งเหยาตกใจที่ได้ยินเสียงเพื่อนรักสูดน้ำมูก
“ฉันกลายเป็นคนขี้เหร่ พวกเขาพากันรังแกฉัน” เซียวเซียวฟ้องเพื่อนรักเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ
“บ้าเอ๊ย! พวกหมาลอบกัด…” เหลียงจิ้งเหยาไม่ถามที่มาที่ไปก็เปิดปากด่าทันที เมื่อด่าได้สักพักหนึ่งจึงคิดขึ้นได้ว่าต้องปลอบโยนอีกฝ่าย “เลิกงานแล้วฉันจะพาแกไปกินของอร่อยนะ ฉันมีของดีจะให้”
เซียวเซียวอดทนรอจนถึงเวลาเลิกงาน รถสปอร์ตสีแดงคันเล็กที่ดูโฉบเฉี่ยวของเพื่อนรักก็มาจอดตรงหน้าตึกบริษัทแอลวายตรงเวลา
หลังถึงร้านอาหารและอาหารเริ่มเสิร์ฟแล้ว เซียวเซียวก็โอบจานสปาเกตตี้ก้มหน้ากินโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาสักนิด
“ค่อยๆ กิน ไม่มีใครมาแย่งแกกินสักหน่อย” เหลียงจิ้งเหยามองไปที่เซียวเซียวอย่างกลุ้มๆ “ทำไมถึงได้หิวอย่างนี้” พอรับรู้ถึงสายตาของโต๊ะข้างๆ ที่มองมา เธอก็ตวัดสายตาดุๆ กลับไปทันที หน้าตาสวยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเหมือนจะถามว่า ‘มองอะไร ไม่เคยเห็นคนกินสปาเกตตี้รึไง’ ทำให้อีกฝ่ายตกใจรีบก้มหน้าลงไม่กล้าหันมามองอีก
“ทำไงได้ กินยานั่นแล้วทำให้ฉันหิวมาก ของเข้าปากยังเคี้ยวไม่ทันเลย” เซียวเซียวกลืนอาหารลงไปแล้วพูดต่อ “ว่าแต่แกมีอะไรจะให้ฉัน”
เหลียงจิ้งเหยาส่งสัญญาณเรียกบริกรมาเติมน้ำผสมมะนาวให้กับเธอ ก่อนจะหยิบบัตรสีดำเคลือบทองออกมาจากกระเป๋าและยื่นไปตรงหน้าเซียวเซียว
“อะไร” เซียวเซียวกินสปาเกตตี้จนหมด เช็ดปากแล้วยื่นมือออกไปรับ บนบัตรมีอักษรตัวใหญ่คำว่า ‘ซังอวี๋’ ด้านหลังมีที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์เรียงเป็นแถว
‘ซังอวี๋ลู่ลงท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง’
นี่…สโมสรคนแก่หรือ
เหลียงจิ้งเหยายิ้มอย่างมีเลศนัย “นี่คือสิ่งที่แกต้องการมากที่สุดในตอนนี้”
“หล่อรวยสูง?” เซียวเซียวหยอกกลับทันที ก่อนยกน้ำผสมมะนาวขึ้นดื่มเสียงดังอึกๆ
“ถูกต้อง” ไม่คิดว่าเหลียงจิ้งเหยาจะพยักหน้ายอมรับอย่างจริงจัง
“ฟู่…” น้ำเย็นพุ่งออกจากปากเซียวเซียวรดใส่หัวเหลียงจิ้งเหยาจนเปียก เซียวเซียวได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วยื่นมือไปเช็ดผมให้อีกฝ่าย “อย่าล้อเล่นสิ สารรูปฉันตอนนี้จะมีคนหล่อรวยสูงที่ไหนหันมามอง”
เหลียงจิ้งเหยาได้ยินคำพูดนี้ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ปัดมือเพื่อนที่ช่วยเช็ดน้ำออกแล้วจัดการเช็ดผมเอง “ทำไมล่ะ ที่หน้าแกบวมก็แค่ชั่วคราวนี่ แล้วอีกอย่างรูปร่างแกน่ะดีจะตาย หน้าที่การงานก็ดี ไม่มีไอ้บ้าอย่างหานตงอวี่สักคนก็ยังมีคนที่ดีรอแกอยู่อีกนะ”
“แกไม่เข้าใจหรอก” เซียวเซียวส่ายหน้า หลุบตาลงมองใบหน้าบวมๆ ของตัวเอง หน้าบวมเสียจนแก้มสูงกว่าจมูกแล้ว “ใครจะอยากได้เมียที่ต้องกินยาทั้งปีทั้งชาติ พวกผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้หรอก ต้องรังเกียจฉันแน่ๆ คงคิดว่ามันจะต้องถ่ายทอดสู่รุ่นลูกอะไรแบบนั้น พวกที่ดีพร้อมฉันไม่คิดจะยุ่งด้วยหรอก แต่ถ้าให้คว้าใครมาก็ได้ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉันก็คงได้แต่มีชีวิตแบบนี้ไปวันๆ…”
น้ำเสียงของเซียวเซียวไม่ได้หมดอาลัยตายอยาก แต่ราบเรียบเหมือนกับพูดว่า ‘วันนี้จะกินบะหมี่’ อย่างไรอย่างนั้น
เหลียงจิ้งเหยากัดเล็บตัวเองอย่างกดดัน รู้สึกลึกๆ ว่าอาการของเพื่อนรักในตอนนี้อยู่ในช่วงอันตรายมาก เธอยังจำที่ลูกพี่ลูกน้องเคยพูดได้ว่าเมื่อคนยอมปล่อยวางก็จะเลิกตามหาความสุข ต่อมาก็จะปล่อยปละละเลยตัวเอง ในหัวพลันมีภาพเซียวเซียวที่อ้วนถึงสองร้อยกิโลกรัมกำลังกินทุกอย่างที่ขวางหน้า เธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
“ถ้าฉันหาแฟนแบบที่แกต้องการได้ล่ะ” เหลียงจิ้งเหยากดบัตรสีดำเคลือบทองนั่นไว้ แหวนเพชรบนนิ้วชี้ส่องประกายล้อแสงไฟในร้านอาหารดูยั่วยวนน่าหลงใหล “แกอยากได้แบบไหน”
คนที่มองโลกในแง่ร้ายปล่อยปละละเลยตัวเองก็ควรจะพูดว่า ‘ขอให้เขาดีกับฉันก็พอ ไม่ต้องการอะไรอย่างอื่นอีก’ อะไรแบบนี้ เหลียงจิ้งเหยาจ้องตาเซียวเซียวอย่างลุ้นๆ อยากจะรู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในขั้นที่ยังช่วยได้หรือไม่
“ก็ต้องอยากได้คนที่หล่อ อบอุ่นอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ ให้เกียรติกัน” เซียวเซียวยกมือขึ้นมานับ สุดท้ายก็อดที่จะเพิ่มเติมอีกประโยคไม่ได้ “จะดีมากถ้าหล่อเหมือนกับคนหล่อที่ร้านชานมนั่น”
“…” เหลียงจิ้งเหยาถึงกับชะงักไป ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี อย่างน้อยดูแล้วอีกฝ่ายก็ยังมีโอกาสรักษาได้…มั้ง
“ในเมื่อแกพูดออกมาแบบนี้” เซียวเซียวยื่นมือออกไปทำท่าเหมือนทวงหนี้ “เร็ว สั่งทำให้ฉันสักคน”
เพียะ! เหลียงจิ้งเหยาตบบัตรลงไปที่มือของเธอแล้วพูดด้วยเสียงของผู้ประกาศในเกมคอมพิวเตอร์ “ผู้กล้าหญิง ท่านจงนำบัตรนี้ไปตามที่อยู่ แล้วท่านจะได้พบกับสิ่งที่ท่านต้องการ”
เซียวเซียวก้มหน้ามองที่อยู่บนบัตร
‘ที่อยู่ : เลขที่ 23 ถนนตงอวี๋
ท่านจะได้พบกับสิ่งที่ท่านต้องการ’
คำโฆษณาแบบนี้ใครจะไปเชื่อ!
วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนที่ไม่เชื่อคำโฆษณาอย่างเซียวเซียวก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูอาคารเลขที่ยี่สิบสาม ถนนตงอวี๋
ถนนตงอวี๋เป็นย่านที่พักอาศัยของพวกคนรวยในปักกิ่งที่เงียบสงบซึ่งมีอยู่น้อยมาก สองข้างทางมีต้นอู๋ถงฝรั่งเศสที่สูงใหญ่ให้ร่มเงาอยู่ ทำให้รู้สึกเหมือนกับอยู่บ้านเดี่ยวแถวชานเมือง
เซียวเซียวไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่ขณะที่เดินมากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก หลังจากเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงหลายชั้นก็เห็นโลโก้กากบาทสีขาวบนหัวใจสีแดงของโรงพยาบาลเหรินหมินที่กำลังส่องสว่างอยู่ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่เพียงสองกิโลเมตร ที่แท้ก็อยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้รู้สึกคุ้นๆ
อาคารเลขที่ยี่สิบสามเป็นอาคารขนาดเล็กรูปแบบตะวันตกสูงสามชั้น ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดใหญ่ ดูเหมือนสโมสรของพวกไฮโซ หลังประตูรั้วเหล็กดัดสีดำมีต้นไม้สีเขียวเต็มสวน ทางเดินในสวนก็ตกแต่งอย่างเรียบร้อยงดงาม ไม่มีส่วนเกินอะไรออกมาให้รกหูรกตา แล้วยังมีทางสำหรับคนพิการอีกด้วย
ชายหนุ่มในชุดเรียบร้อยยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าประตู “ยินดีต้อนรับเข้าสู่สโมสรซังอวี๋ ไม่ทราบว่าคุณมีบัตรสมาชิกหรือบัตรเชิญหรือไม่ครับ”
ที่นี่คือสโมสรซังอวี๋จริงๆ ด้วย
เซียวเซียวกวาดตามองต้นไม้ใหญ่สองต้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ท่ามกลางพุ่มไม้ดอกไม้ประดับเตี้ยๆ มีต้นซังขนาดใหญ่กับต้นอวี๋เก่าแก่สูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่
“อันนี้ใช้ได้ไหมคะ” เซียวเซียวหยิบบัตรสีดำเคลือบทองออกมา
“นี่เป็นบัตรเชิญครับ เชิญเข้าไปด้านในได้เลยครับ” พนักงานยิ้มพร้อมกับก้มตัวลงแล้วเปิดประตูให้กับเธอ
เซียวเซียวเดินเข้าไปด้านในอย่างงงงัน ประตูกระจกอัตโนมัติเปิดออก เผยให้เห็นเคาน์เตอร์ที่ตกแต่งอย่างสวยงามเหมือนกับสถานเสริมความงาม
หญิงสาวในชุดแส็กสีชมพูยิ้มกว้างจนเห็นฟันและลักยิ้มทั้งสองข้าง เอ่ยทักทายด้วยเสียงอันหวานฉ่ำ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณได้นัดหมายไว้หรือเปล่าคะ”
“มีเพื่อนให้บัตรเชิญฉันมา” เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เซียวเซียวถึงได้ส่งบัตรในมือไปให้ เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการเดินเข้าสถานเสริมความงามเป็นครั้งแรก เธอไม่รู้เลยว่าที่นี่คือสถานที่อะไรจึงได้แต่รอด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แต่นั่นกลับทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นแขกประจำ
“ค่ะ อยากทราบว่าคุณต้องการรูปแบบไหนคะ” หญิงสาวหน้าเคาน์เตอร์ก้มศีรษะหยิบแบบฟอร์มขึ้นมา
นี่มัน…สั่งทำแฟนได้จริงๆ เหรอเนี่ย
เพื่อนรักไม่ได้หลอกเธอจริงๆ ด้วย เซียวเซียวอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบบอกโดยไม่ต้องคิดว่า “เอ่อ…ต้องการแบบหล่อ สูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นต์ขึ้นไป อบอุ่นอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจคน” ส่วนเรื่องให้เกียรติกันนั้นเธอยังรู้สึกเกรงใจอยู่จึงไม่ได้พูดออกไป คิดว่าผู้ชายที่อ่อนโยนก็คงไม่ขาดคุณสมบัติข้อนี้แน่นอน
มือของหญิงสาวที่ถือแบบฟอร์มชะงักไป ก่อนเธอจะเงยหน้าขึ้นมองเซียวเซียวอย่างงงๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากประสบการณ์ที่เจอลูกค้าแปลกประหลาดมาหลายปี เธอจึงยังสามารถนิ่งและยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้ “ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
หญิงสาวรับบัตรเชิญนั้นมาแล้วถามชื่อสกุล อายุ หมายเลขบัตรประชาชนของเซียวเซียว นิ้วมือเนียนขาวอมชมพูเคาะบนคีย์บอร์ดด้วยความคล่องแคล่ว ก่อนจะพิมพ์แบบฟอร์มหลายแผ่นออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นใส่ลงในแฟ้มเอกสารใสพร้อมกับบัตรสีดำพิมพ์รูปต้นไม้สีทองซึ่งมีแถบแม่เหล็กติดอยู่ส่งให้เซียวเซียว
“เดินตรงไปนะคะ ขวามือห้องรับรองหมายเลขหนึ่งค่ะ”
ถัดจากเคาน์เตอร์เข้ามาก็เป็นล็อบบี้ที่โอ่โถง หน้าต่างบานใหญ่ที่ยาวจรดพื้นมีแสงสว่างส่องผ่านเข้ามา พรมสีฟ้าขนสั้น กลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ ที่ลอยมาทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
สโมสรสำหรับการดูตัวตกแต่งได้อย่างหรูหราขนาดนี้ ค่าบริการคงจะสูงมาก…
เมื่อผลักประตูห้องรับรองหมายเลขหนึ่งเข้าไป เซียวเซียวก็ชะงัก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นห้องทำงาน นี่เป็นห้องที่ปลอดโปร่งและเงียบสงบมาก พื้นปูด้วยพรมสีฟ้าเหมือนกับด้านนอก ด้านหลังโต๊ะทำงานไม้ที่ขัดจนขึ้นเงามีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีดำนั่งอยู่ นิ้วมือเรียวยาวกำลังจับปากกาหมึกซึมสีทองเขียนอะไรสักอย่างบนเอกสารอย่างรวดเร็ว
“แม้ว่าเราจะไม่มีกฎในการขานหมายเลข แต่ครั้งหน้าขอให้คุณช่วยเคาะประตูก่อนด้วย” ชายหนุ่มยังคงก้มหน้าทำงานต่อ แต่เสียงทุ้มต่ำน่าฟังที่ดังขึ้นทำให้เซียวเซียวย้อนคิดไปถึงเมื่อสองวันก่อนที่ถนนคนเดิน
“คุณจั่น!” เซียวเซียวร้องเรียกออกมาอย่างคาดไม่ถึง
บทที่ 2
ในที่สุดเขาก็หยุดเขียน ชายหนุ่มเสียบปิดปลอกปากกาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้เองที่เธอรู้สึกว่าอยู่ๆ ในห้องก็พลันสว่างไสวขึ้นมาทันที เขาคือหนุ่มหล่อที่เจอหน้าร้านชานมท่ามกลางแสงแดดจ้าเมื่อสองวันก่อน ชายหนุ่มที่ช่วยเธอไว้
จั่นหลิงจวินเองก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน เขาผายมือเชิญเธอนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างของโต๊ะทำงานพร้อมพูดว่า “เชิญนั่ง”
เซียวเซียวรู้สึกว่าการจัดวางเก้าอี้ที่นี่ดูแปลกๆ เก้าอี้รับแขกในห้องทำงานไม่ได้วางอยู่ด้านหน้าของโต๊ะทำงานหรอกเหรอ ทำไมถึงวางไว้ด้านข้าง ดูแล้วเหมือนการวางเก้าอี้ในห้องตรวจตามโรงพยาบาล แต่…อาจจะเป็นเพราะต้องการเพิ่มความสนิทสนมก็เป็นได้
“เราสองคนชะตาต้องกันจริงๆ” พอมองใบหน้าอันหล่อเหลาของจั่นหลิงจวิน เซียวเซียวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย จึงพยายามจะหาเรื่องคุย
จั่นหลิงจวินรับแฟ้มเอกสารมาจากมือเธอ ก่อนจะดึงแบบฟอร์มนั้นออกดู แล้วเอาแถบแม่เหล็กสีดำเสียบไปที่ช่องด้านข้างของคอมพิวเตอร์ เริ่มต้นกรอกข้อมูลต่างๆ ลงไปโดยไม่สนใจที่จะพูดคุยเลยแม้แต่น้อย
เดดแอร์…
เกิดความเงียบขึ้นอย่างยาวนาน เซียวเซียวจัดผมอย่างเขินๆ เธอดึงผมที่ตั้งใจม้วนเมื่อตอนเช้ามาปิดแก้มบวมๆ
“ประชากรที่อยู่ที่นี่สิบสามล้านคน เจ็ดล้านคนคือคนเดินทางไปมา ในสามวันเจอกันสองครั้งก็ถือว่าชะตาต้องกันได้” จั่นหลิงจวินวางเอกสารต่างๆ ลงบนโต๊ะแล้วเปิดปลอกปากกาอีกครั้ง ขณะที่เซียวเซียวคิดว่าเขาจะไม่พูดอะไร แต่อยู่ๆ เขาก็ตอบรับขึ้นมา
“จริงด้วย ฉัน…” เซียวเซียวยิ้มออกมา ขณะที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรต่อแต่พูดไม่ออก ทันใดนั้นใบหน้าหล่อๆ ก็ยื่นเข้ามาใกล้โดยที่ไม่ให้สัญญาณเตือนล่วงหน้า ก่อนจะหยุดห่างจากเธอเพียงห้าสิบเซนติเมตร
เมื่อมีของสวยๆ งามๆ เข้ามาใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัวราวกับพลัดหลงเข้าไปในป่าดอกท้อที่งดงามเช่นนี้ เซียวเซียวก็รู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย ทั้งสองอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากจนสามารถมองเห็นเส้นขนเล็กๆ บนใบหน้าของอีกฝ่ายได้
เซียวเซียวรู้สึกเหมือนมีใครกำลังบีบหัวใจของเธออยู่ มันพร้อมที่จะระเบิดได้ตลอดเวลา ช่างน่า…ตื่นเต้นอะไรขนาดนี้
“ใบหน้ารูปพระจันทร์ ผมก็ดกมาก คุณกินยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ อยู่รึเปล่า” จั่นหลิงจวินพิจารณาอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งแล้วก้มหน้ามองเอกสารก่อนจะเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“อืม ใช่ค่ะ” เพราะในหัวยังคิดเรื่องอื่นอยู่เซียวเซียวจึงตอบอย่างเหม่อๆ
“ชื่ออะไร กินมานานเท่าไหร่แล้ว” จั่นหลิงจวินถามต่อ น้ำเสียงช่างเหมือนกับหมอที่รักษาเซียวเซียว
“เมทิลเพรดนิโซโลน กินได้สองเดือนแล้ว” เซียวเซียวตอบเหมือนเป็นนักเรียนที่ถูกคุณครูซักถาม เมื่อพูดจบถึงได้รู้สึกว่ามันแปลกๆ “คุณถามเรื่องพวกนี้ทำไมกัน”
จั่นหลิงจวินมองเธอด้วยสายตาประหลาด “ผมเป็นหมอ”
“อ้อ เป็นหมอก็ดีนะ” เซียวเซียวตาลุกวาว อาชีพนี้ยังอวดได้อีกด้วย “บริการที่นี่ดีจริงๆ ฉันบอกว่าอยากได้แบบหล่อ แล้วยังหาอาชีพที่ดีให้อีกด้วย”
มือที่กำลังพิมพ์ของจั่นหลิงจวินชะงักไป ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ใครแนะนำคุณมา”
“เพื่อนสนิทฉันเอง เธอแซ่เหลียง” เซียวเซียวคิดว่าต้องกรอกลงในแบบฟอร์ม เธอรู้ว่าสโมสรระดับสูงบางแห่งต้องมีคนแนะนำเข้ามาและต้องเขียนชื่อแซ่ของคนแนะนำด้วย
จั่นหลิงจวินไม่พูดอะไร เขาก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต่อโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “โรคไขข้อหรือโรคเอสแอลอี”
“เอสแอลอี…” แม้เธอจะปรับสภาพจิตใจและยอมรับความเป็นจริงนี้มาได้สองเดือนแล้ว แต่เมื่อพูดชื่อนี้ออกมาทีไรเซียวเซียวก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่ดี เหมือนกับว่าคำคำนี้ไม่ควรจะมาเกี่ยวพันกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“คุณพอใจผมกับที่นี่ไหม” จั่นหลิงจวินถามขึ้นพร้อมกับยื่นแถบแม่เหล็กคืนให้เซียวเซียว
“อืม พอใจนะ พอใจสิ” เธอจะไม่พอใจกับความงามตรงหน้าได้อย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นไปที่เคาน์เตอร์ทำบัตรสมาชิกก่อน ครั้งหน้าเราค่อยคุยกันอย่างละเอียดอีกที” จั่นหลิงจวินลุกขึ้นยืนเพื่อส่งแขก
ทำ…ทำบัตรเหรอ
เซียวเซียวอ้าปากค้างเมื่อถูกจั่นหลิงจวินเชิญออกมายังบริเวณที่ใช้รับแขก
นี่…ทำไมต้องทำบัตรอีก ที่นี่มันที่ไหนกันแน่!
ในหัวเซียวเซียวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เมื่อเดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็รีบเข้ามาดูแลเธออย่างกระตือรือร้น “ต้องการทำบัตรรายเดือน บัตรรายปี หรือบัตรรายครั้งคะ”
“อะไรนะ มีบัตรรายครั้งด้วยเหรอ” เซียวเซียวงุนงงเป็นอันมาก ความรู้สึกบอกกับเธอว่าที่นี่ไม่ใช่สโมสรนัดดูตัว แต่เป็นโฮสต์คลับ
“ใช่ค่ะ บัตรรายครั้งจะไม่มีกำหนดระยะเวลา คุณสามารถนัดหมายและมาได้ตลอดเวลา บัตรรายเดือนเป็นบัตรไม่จำกัดจำนวนครั้ง ภายในหนึ่งเดือนจะมาที่นี่ทุกวันก็ได้ บัตรรายปีก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ว่าถึงแม้จะซื้อแบบรายปีก็ไม่มีโปรโมชั่นอะไรนะคะ ราคาเดียวกับบัตรรายเดือนสิบสองใบ ดิฉันขอเสนอให้ลองทำบัตรรายเดือนดูก่อนค่ะ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์แนะนำอย่างตรงไปตรงมาและยังบอกว่าบัตรรายเดือนสามารถมาใช้บริการเครื่องดื่ม ของว่าง และเครื่องออกกำลังกายได้ฟรี เป็นบัตรที่คุ้มค่าที่สุด
ถ้าอย่างนั้นก็ทำบัตรสำหรับเดือนหน้าก็แล้วกัน ยังไงก็แกล้งทำเป็นมาออกกำลังกายได้ บัตรรายครั้งมันแพงเกินไป…
เดี๋ยวนะ! ทำไมต้องซื้อบัตรรายเดือนของโฮสต์คลับด้วยล่ะ
เซียวเซียวกำบัตรเครดิตไว้ในมือแล้วคิดทบทวนอย่างรอบคอบ ก่อนหันกลับไปมองประตูห้องรับรองหมายเลขหนึ่งที่ปิดสนิท ตรงหน้ามีภาพใบหน้าจั่นหลิงจวินที่หล่อวัวตายควายล้มลอยขึ้นมา
อายุก็ยังน้อย ทำไมมาทำงานแบบนี้นะ
เซียวเซียวสลดใจที่คนสมัยนี้เดินทางผิด สังคมเสื่อมทราม ก่อนที่เธอจะตัดใจรูดบัตรเครดิตห้าพันหยวนสำหรับการทำบัตรรายเดือน
“นี่บัตรของคุณค่ะ โปรดเก็บรักษาไว้ให้ดีนะคะ และนี่เป็นเบอร์ติดต่อนักบำบัดของคุณ สามารถส่งข้อความถึงนักบำบัดได้ในเวลาทำการ บัตรรายเดือนมีบริการนอกสถานที่ให้ด้วยนะคะ จำกัดเดือนละหนึ่งครั้ง แต่ค่าบริการนอกสถานที่ราคาค่อนข้างสูง ดิฉันไม่แนะนำให้ใช้ค่ะ แต่เมื่อเลื่อนระดับเป็นบัตรวีไอพีแล้ว จะมีบริการนอกสถานที่ฟรีเดือนละสามครั้งค่ะ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์อธิบายอย่างเต็มที่ “ดิฉันชื่อเถียนเถียน หากคุณต้องการนัดหมายนักบำบัดก็โทรมาที่เคาน์เตอร์ได้นะคะ”
มีบริการนอกสถานที่ด้วย นี่มันต่ำทรามเกินไปแล้วนะ
เซียวเซียวไม่อยากจะฟังอีกแล้ว เธอจึงตอบรับแบบส่งๆ ไป จากนั้นก็สวมผ้าปิดปาก เอามือกุมแก้มและเตรียมตัวจากไป
เมื่อเดินออกจากประตูก็หันซ้ายหันขวาอย่างระแวง ทำเหมือนกับเป็นขโมยรีบเดินจากไป ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมาสถานที่แบบนี้ เธอจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร
“คุณหมอจั่นคะ คนไข้ที่มาใหม่อยู่ระดับไหนคะ ต้องใช้นักบำบัดท่านอื่นช่วยไหมคะ” เถียนเถียนยิ้มถามเมื่อเห็นจั่นหลิงจวินเดินออกมาจากห้อง
“ระดับอีน่ะ ไม่ต้องใช้นักบำบัดคนอื่นหรอก” จั่นหลิงจวินเอาแบบฟอร์มที่อยู่ในมือวางคืนไปที่หน้าเคาน์เตอร์ “นัดครั้งหน้าเตือนให้เธอเอาบันทึกผู้ป่วยมาด้วย”
“ได้ค่ะ”
เมื่อกลับถึงบ้านเซียวเซียวก็นอนหงายอยู่บนเตียงพลางยกแถบแม่เหล็กสีดำในมือขึ้นมอง
นี่ก็คือแถบแม่เหล็กที่จั่นหลิงจวินเสียบเข้าไปในคอมพิวเตอร์นั่นเอง แล้วมันก็กลายเป็นบัตรสมาชิกของเธอ เซียวเซียวไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าจะมีวันหนึ่งที่เธอต้องจ่ายเงินกับเรื่องพวกนี้ นี่มันบ้าไปแล้ว!
ในเวลานั้นเองเสียงวิดีโอคอลล์ของเธอก็ดังขึ้น หลังจากเซียวเซียวกดรับ เสียงหนึ่งก็ดึงความสนใจของเธอไปจากบัตรสมาชิกนั่นจนหมด
“เซียวเซียว! มาช่วยฉันดูหน่อยเร็ว ตัวไหนสวย” เหลียงจิ้งเหยาวิดีโอคอลล์มาหาเธอเพื่อให้เธอดูชุดกระโปรงสองชุด ชุดหนึ่งสีดำมีลูกปัด อีกชุดหนึ่งเป็นสีขาวเปิดไหล่
“สีดำสิ ฉันบอกแกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไหล่กว้างๆ อย่างแกไม่ควรจะสวมชุดที่เปิดไหล่” เซียวเซียวพูดจบก็ลุกขึ้นมาเทน้ำดื่ม นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน แล้วก็ทำงานไปด้วยคุยไปด้วย อาทิตย์ที่แล้วเธอลาป่วยทำให้มีงานค้างอยู่ไม่น้อย เธอต้องทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์ของซีซั่นหน้าให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ออกแบบให้ดี
“แต่ฉันไม่ชอบลูกปัดอ่ะ” เหลียงจิ้งเหยาเบะปากแล้วเอาชุดสีขาวส่งให้พนักงานในร้าน
“งั้นแกก็ดูตัวอื่นสิ แต่ถ้าชอบตัวนั้นจริงๆ ก็ซื้อกลับมาก่อน เดี๋ยวฉันแก้ให้” เซียวเซียวตอบไปง่ายๆ พร้อมเปิดพาวเวอร์พ้อยต์ขึ้นมา
คอนเซ็ปต์ของซีซั่นหน้าก็คือชีวิตใหม่ องค์ประกอบหลักของชุดโอตกูตูร์คือใบเหอฮวน กับดอกซานซู่ สีก็จะเป็นสีอ่อนดูเรียบง่ายและงามสง่า เสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงสามารถดึงรูปที่ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ออกแบบทั้งสองแบบมาใช้ได้เลย แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปธรรมดาต้องเปลี่ยนแปลงเสียก่อน
เสื้อผ้าสำเร็จรูปทั่วไปของบริษัทแอลวายไม่ได้ใช้แบรนด์แอลวาย แต่จะใช้แบรนด์ที่ชื่อว่า ‘แอลวายเอสอาร์’ เซียวเซียวก้มหน้ามองดูกระดาษที่วาดรูปใบเหอฮวนกับดอกซานซู่ ใบเหอฮวนดูจะง่ายหน่อย สีเขียวสดใสออกแบบโดยใช้ลายเส้นสีเขียวและสีขาวสลับกันในรูปแบบต่างๆ แต่สำหรับดอกซานซู่ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
ดอกซานซู่เป็นดอกไม้ที่ไม่ค่อยสวยนัก ดูเหมือนลูกสนแห้งๆ ที่วางอยู่บนกระดาษ ซึ่งก็น่าเกลียดจะแย่อยู่แล้ว หากพิมพ์ลงไปบนผ้าพื้นสีอ่อนๆ มันจะทำให้ดูแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
“เอ้อ วันนี้แกไปที่ซังอวี๋แล้วใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง” ในที่สุดเหลียงจิ้งเหยาก็ตัดสินใจซื้อชุดได้ แล้วเอาถุงขึ้นมาสะพายที่ไหล่ก่อนจะเดินออกไปช็อปปิ้งร้านอื่นต่อ
“ไปแล้ว ฮิๆ ฉันจะเล่าอะไรให้แกฟัง…” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เซียวเซียวก็รู้สึกกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เธอยกมือฉีกรูปวาด ขอบกระดาษบางคมบาดโดนนิ้วจนเลือดไหลออกมาซิบๆ
“เฮ้ย! โดนบาดเลย” เหลียงจิ้งเหยานิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดไปด้วย
“ไม่เป็นไร” เซียวเซียวดูดนิ้วที่โดนบาดก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ออกมาปิดแผล ผลจากการกินยาจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นทำให้ผิวหนังของเธอบอบบางมาก โดนกระดาษบาดแบบนี้บ่อยกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า จนตอนนี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว “ฉันจะบอกอะไรแกให้ ฉันเจอหนุ่มชานมนั่นแล้ว”
“จริงเหรอ” เหลียงจิ้งเหยาหยุดยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์จิวเวลรี่ หลังจากตั้งสติได้ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง “อย่าบอกนะว่าหนุ่มชานมของแกแซ่จั่น”
“ถูกต้อง” เซียวเซียวตอบด้วยความประหลาดใจ แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “แม่เหลียงจิ้งเหยาคนดี กล้าไปสโมสรแบบนั้นด้วย ฉันก็เข้าใจผิดคิดว่าแกเป็นคนปกติดีซะอีก”
“หา?!” เหลียงจิ้งเหยาร้องอย่างงงๆ ไปสโมสรสำหรับฟื้นฟูสุขภาพมันผิดปกติตรงไหนกัน
“โอ๊ย! น่าขายหน้าจริงๆ แต่ฉันไม่อาจต้านทานความหล่อเหลาที่ยั่วยวนแบบนั้นได้ เลยซื้อบัตรแบบรายเดือนไปแล้ว” เซียวเซียวหยิบบัตรขึ้นมาแนบที่หน้าใหญ่ๆ ของตัวเองแล้วทำปากยื่นน้อยๆ “เฮ้อ ยังไงซะตอนนี้ฉันก็ไม่ได้อยากจะหาแฟนอยู่แล้ว ไม่มีที่ใช้เงินด้วย ก็ใช้ที่นี่แล้วกัน แต่ว่าดับฝันเล็กๆ ของฉันเลยนะ ตอนแรกยังคิดว่าเขาเป็นซีอีโอเอาแต่ใจ ไม่คิดว่าจะมาทำอาชีพพิเศษขายรอยยิ้มแบบนี้”
“เฮ้ย! ไม่ใช่ นั่นมัน…” เหลียงจิ้งเหยารู้สึกว่าเรื่องมันแปลกๆ จึงรีบร้อนจะอธิบาย แต่เซียวเซียวก็วางสายไปแล้ว บอกว่าไม่คุยกับเธอแล้ว จะไปตั้งใจทำงาน ปล่อยให้เธอยืนอยู่กลางห้างโดนลมแอร์พัดแรงจนผมยุ่งอยู่คนเดียว
“คุณผู้หญิงคะ จะรับอะไรดีคะ” พนักงานหน้าเคาน์เตอร์เอ่ยปากถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง
เหลียงจิ้งเหยาได้แต่ยืนอึ้งอ้าปากค้าง “เอาสร้อยข้อมือมาสักเส้น ฉันจะให้เพื่อนรักเป็นการไถ่โทษ”
รอให้เซียวเซียวรู้ความจริงต้องตีเธอตายแน่ๆ ตอนนี้ในสมองของเธอมีแต่คำพูดว่า ‘ไม่คิดว่าจะมาทำอาชีพพิเศษขายรอยยิ้มแบบนี้’ วนไปวนมา
เหลียงจิ้งเหยาค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ฮ่าๆๆๆๆๆ” ทำเอาพนักงานที่กำลังหันไปหยิบของตกใจจนเกือบจะสะดุดล้ม
เซียวเซียวนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานจนกระทั่งดึกดื่น เธออ้าปากหาวแล้วหันไปมองด้านข้างซึ่งมีบัตรที่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ให้เธอมาวางอยู่ บนนั้นมีหมายเลขโทรศัพท์และวีแชตของจั่นหลิงจวิน
เพิ่มเพื่อนหรือไม่เพิ่มดีนะ…
เพิ่มสิ ไหนๆ ก็จ่ายเงินไปแล้ว
เซียวเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วบันทึกเบอร์โทรศัพท์ลงไป จากนั้นก็ค้นหาในวีแชต ขึ้นชื่อว่า ‘จั่นหลิงจวินเอส’ รูปโพรไฟล์เป็นแก้วชานม น่าจะเป็นวีแชตสำหรับทำงาน จึงเพิ่มเพื่อนได้ทันที ไม่ต้องรอการกดยอมรับ
เมื่อเพิ่มเพื่อนเรียบร้อยแล้วเซียวเซียวก็เริ่มเปิดดูรายชื่อเพื่อนและข้อมูลต่างๆ ของหนุ่มชานม ในฐานะที่เป็นหนุ่มโฮสต์ที่ผ่านมาตรฐาน ในอัลบั้มรูปน่าจะมีรูปลับเฉพาะที่หล่อๆ อยู่ไม่น้อยสินะ
เซียวเซียวรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนไม่ดี อดที่จะรังเกียจตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจห้ามใจไม่เปิดอัลบั้มดู
‘เข้านอนก่อนสี่ทุ่มดีกับสุขภาพอย่างไรบ้าง’
‘ช่วงวัยที่เหมาะกับการออกกำลังกายด้วยไท้เก๊ก’
‘การใช้และการดูแลรักษาอวัยวะเทียม’
ฮ่าๆๆๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย!
เซียวเซียวแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ไม่มีรูปหล่อๆ สักรูป มีแต่เรื่องของการดูแลสุขภาพทั้งหมด อ่านดูแล้วก็รู้สึกเซ็งชีวิตขึ้นมาเลย
เขาเป็นหมอจริงๆ?! แต่เป็นหมอเงินเดือนดีไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องมาทำงานพิเศษแบบนี้ด้วย
เซียวเซียวกลิ้งไปมาบนเตียง ขยับข้อนิ้วที่เริ่มปวด จากนั้นก็กดส่งข้อความไป
เสี่ยวเสี่ยวปู้ : ฮัลโหล ฉันเซียวเซียวนะ เราเพิ่งเจอกันเมื่อตอนบ่าย
รออย่างสงบอยู่สักสิบนาทีก็ไม่เห็นว่ามีการตอบกลับ เซียวเซียวกัดริมฝีปาก อยากจะส่งไปอีกประโยค ‘หลับหรือยัง’ อะไรแบบนี้ แต่ก็ดูเหมือนเสแสร้งเกินไป คิดแล้วจึงปิดหน้าจอก่อนจะนอนหลับไป
ทว่าวันอาทิตย์ทั้งวันจั่นหลิงจวินก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเอาเซียวเซียวรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
หมอนี่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย!
แล้วก็ถึงวันจันทร์ที่ต้องไปทำงาน เซียวเซียวกินอาหารเช้าไปพร้อมกับวิ่งเข้าออกห้องออกแบบไปหยิบงานที่ทำไว้เมื่อคืน เมื่อคืนเธอทำงานข้ามคืนแล้ววันนี้ก็ตื่นสาย เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ขบวนรถก็เพิ่งออกไป ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วนที่ทุกคนจะเข้างาน เมื่อพลาดรถไฟขบวนนี้ไปแล้วก็เหมือนกับพลาดทุกอย่างบนโลกนี้เลย เซียวเซียวมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้า ฟางเซี่ยงเฉียนคงยืนเท้าเอวรอเธออยู่ตรงหน้าประตูห้องออกแบบแล้ว
หัวหน้าแผนกคนก่อนไม่ได้บังคับพวกเธอ การทำงานก็เป็นการทำงานแบบยืดหยุ่น ขอเพียงทำงานของตัวเองให้เสร็จก็พอ
แต่นั่นไม่ใช่วิธีการทำงานกับฟางเซี่ยงเฉียน เธอยังถึงขั้นเสนอให้ซีอีโอติดตั้งเครื่องตอกบัตรเข้าออกงานด้วยซ้ำ ทำเอาคนในห้องออกแบบบ่นอย่างไม่พอใจ
คนที่ทำงานออกแบบต้องอาศัยความรู้สึกและอารมณ์ หากทำแบบนี้ก็เหมือนต้องเข้าเรียนเลิกเรียนแบบเด็กประถม เซียวเซียวจึงรู้สึกแย่มาก เธอกลัวครูตั้งแต่เด็กๆ อุตส่าห์ได้ออกมาทำงานแล้วแต่ยังต้องมาเจอกับฝันร้ายแบบนี้อีก ขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของบริษัทแอลวาย ฉับพลันเธอก็เกิดความรู้สึกว่าเป็นไงเป็นกัน พร้อมรับทุกสถานการณ์
ตึ๊ง! ยามนั้นเองเสียงเตือนข้อความเข้าของวีแชตพลันดังขึ้น เซียวเซียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เมื่อเห็นคำว่า ‘จั่นหลิงจวินเอส’ โดดขึ้นมาก็ทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อครู่หายไปหมด
จั่นหลิงจวินเอส : ไม่ตอบข้อความนอกเวลาทำงาน อีกอย่างคุณนอนดึกไปนะ
เซียวเซียวเผยรอยยิ้มขึ้นขณะก้มหน้าพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเสี่ยวปู้ : แล้วตอนไหนเป็นเวลาทำงานของคุณ
จั่นหลิงจวินเอส : วันจันทร์ พุธ พฤหัส เสาร์ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสองทุ่ม
เซียวเซียวเดินออกจากลิฟต์ก็เห็นฟางเซี่ยงเฉียนยืนอยู่หน้าห้องออกแบบพลางมองมาที่เธอด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำให้เซียวเซียวคิดไปถึงวันที่อาการกำเริบ เธอมีไข้สูงจนตัวสั่น แม้แต่มือที่ถือปากกาก็สั่นเทา
‘หัวหน้าคะ ฉันรู้สึกว่าไข้จะขึ้นอีกแล้ว ขอเลิกงานก่อนเวลาได้ไหมคะ’
‘ไม่ได้ เธอต้องส่งมอบงานให้เสร็จ พรุ่งนี้เธอจะไปนอนโรงพยาบาลแล้วไม่ใช่เหรอ อยู่รอบหนึ่งก็ครึ่งเดือน ถ้าไม่ส่งมอบงานให้เรียบร้อยแล้วพวกเราจะทำงานต่อกันยังไง’
เซียวเซียวที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ๆ ก็หยุดยืนนิ่ง พิมพ์ข้อความส่งออกไป ทำราวกับไม่เห็นว่าที่หน้าประตูมีฟางเซี่ยงเฉียนยืนหน้าถมึงทึงอยู่
เสี่ยวเสี่ยวปู้ : ทำงานถึงสองทุ่มเหรอ งั้นฉันเลิกงานแล้วจะไปหาคุณนะ
จั่นหลิงจวินเอส : คุณมาแล้วอย่าลืมเอาบันทึกผู้ป่วยมาด้วย
บันทึกผู้ป่วย?
เอ๋?
เซียวเซียวกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ชอบกล
เซียวเซียวยังไม่ทันเข้าใจความหมายของจั่นหลิงจวิน ฟางเซี่ยงเฉียนก็พุ่งมาหาด้วยความโมโห ขัดจังหวะความคิดของเธอ
“เก้าโมงเจ็ดนาที ท่าทางดีไซเนอร์ของเราอย่างคุณเซียวจะใหญ่โตขึ้นทุกวัน แม้กระทั่งจะมาให้ตรงเวลาก็ทำไม่ได้แล้ว”
ฟางเซี่ยงเฉียนทำงานที่บริษัทนี้มาครึ่งปี สิ่งที่ขัดหูขัดตามากที่สุดก็คือเซียวเซียว อีกฝ่ายถือว่าตัวเองสวย เป็นคนโปรดของอาร์ตแอดไวเซอร์ มาสายเป็นประจำยังไม่พอ เวลาทำงานทำได้แค่ครึ่งเดียวก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน อ้างว่าไปช่วยงานที่ห้องฟิตติ้ง ซ้ำยังไม่เห็นหัวเธอ แล้วก็ช่างบอบบางอ่อนแอเสียเหลือเกิน เข้มงวดขึ้นมาหน่อยก็ถึงกับล้มป่วย
ฟางเซี่ยงเฉียนกดเสียงต่ำ หากวัดกันตามระดับเสียงแล้วควรจะจัดว่าเป็นเสียงเมซโซโซปราโน เหมือนกับว่ามีโอ่งอยู่ที่ท้องน้อย ทันทีที่เปล่งเสียงออกมาจะได้ยินกันทั้งชั้น ทุกคนในห้องออกแบบต่างพากันชะโงกหน้าออกมาดู สายตาหลายคู่กำลังจ้องมองฟางเซี่ยงเฉียนที่เดินวนรอบตัวเซียวเซียว เหมือนกับเด็กประถมที่กำลังโดนคุณครูตำหนิแล้วเพื่อนๆ ก็ออกมาดูแต่ไม่ได้ช่วยอะไรสักอย่าง
เซียวเซียวฟังฟางเซี่ยงเฉียนตำหนิด้วยเสียงเย็นๆ จนในที่สุดความอดทนก็หมดลง เพราะคนที่ไม่เข้าใจรูปแบบงานแล้วยังจะมาควบคุมทำให้ครึ่งปีมานี้เธอต้องทำงานที่ไร้ประโยชน์ไม่น้อย ตอนดึกต้องสเก็ตช์รูปและทำรูปออกมา ตอนเช้าต้องเบียดอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อมาทำงานให้ทันเวลา ซ้ำยังต้องเจอฟางเซี่ยงเฉียนที่จ้องจับผิดตลอดเวลา ทุกวันนี้เธอต้องอยู่กับความเครียดจนไม่อาจแบกรับไว้ได้ถึงทำให้ล้มป่วย
‘สาเหตุของโรคนี้ไม่ชัดเจน ไม่มีคำอธิบายที่แน่นอน แต่โดยรวมสามารถพูดได้ว่าภูมิคุ้มกันต้านทานโรคในร่างกายมีความเกี่ยวข้องกับความเหนื่อยล้าและแรงกดดัน คุณทำงานหนักจนเกินไป ต้องรู้จักปล่อยวางซะบ้าง ชีวิตสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด’
คำพูดของคุณหมอที่รักษาเธอดังขึ้นในหู
ใช่ ชีวิตสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด…ฉันเกือบจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว ยังจะต้องกลัวคุณอีกเหรอ
ช่วงเวลาที่เดินออกมาจากลิฟต์ ในหัวของเซียวเซียวมีความคิดอยู่เพียงเรื่องเดียวจึงไม่ได้ตกใจอะไร จากนั้นก็ส่งข้อความหาโฮสต์อย่างสบายใจ เธออดทนมามากเกินพอแล้ว
เซียวเซียวค่อยๆ เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองฟางเซี่ยงเฉียนด้วยสายตาเย็นชา “พี่ฟาง นี่ก็ครึ่งปีแล้วนะ ฉันคิดว่าคุณยังคงไม่เข้าใจ ที่นี่คือห้องออกแบบ ไม่ใช่แผนกการเงิน ตอนที่เข้าบริษัทมาอเดอลีนเคยพูดไว้ว่า ‘นี่เป็นอาชีพที่อิสระและใช้ความรู้สึก’ ไม่ใช่อาชีพที่ต้องตอกบัตรเข้างาน คุณอยากจะหักเงินก็หักเถอะ แต่จะบอกอะไรให้รู้ เงินเดือนของดีไซเนอร์ไม่มีเบี้ยขยันหรอกนะ”
เมื่อเซียวเซียวพูดจบ ชั้นสามทั้งชั้นก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
ฟางเซี่ยงเฉียนยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไม่ใช่เพราะตกใจแต่เป็นเพราะโกรธมาก
เรื่องน่าโมโหมากที่สุดก็คือกระต่ายที่เคยจะดุด่าอย่างไรก็ได้ วันนี้กลับย้อนมากัดคนเข้าให้เสียแล้ว ทำให้คนที่ยโสโอหังชอบเห็นคนอื่นเจ็บปวดเกิดความรู้สึกว่าอำนาจของตนกำลังถูกท้าทาย ในสายตาของฟางเซี่ยงเฉียน แม้ว่าเซียวเซียวจะเป็นแจกันดอกไม้ที่มีแบ็กดี แต่อย่างไรเสียก็ยังข่มไว้ได้สบายๆ จึงไม่คิดว่าหญิงสาวหน้าบางแบบนั้นจะลุกขึ้นมาตอบโต้อะไรเธอได้
เซียวเซียวไม่สนใจสายตาของฟางเซี่ยงเฉียนที่จ้องมองเธอด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เธอเดินอ้อมฟางเซี่ยงเฉียนเข้าไปในห้องออกแบบทันที
“เซียวเซียว สุดยอดเลยอ่ะ” จ้าวเหอผิงดีไซเนอร์ที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดกระซิบกับเธอพร้อมกับส่งสายตาและยกนิ้วโป้งให้เธอด้วย
คนอื่นๆ ในห้องออกแบบก็มองเธอด้วยสายตาชื่นชมราวกับเธอเป็นผู้กล้า รวมทั้งผู้ช่วยสองคนที่ถึงกับปรบมือให้เธอเบาๆ
คนที่ทำงานออกแบบจะรู้สึกว่าตัวเองคือศิลปิน เป็นคนหน้าบางไม่ค่อยกล้าจะแตกหักกับใครง่ายๆ ทุกคนในห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีอดทนโดยไม่พูดอะไรมานานมากแล้ว วันนี้เมื่อเซียวเซียวพูดออกมาจึงทำให้ทุกคนสะใจเป็นอย่างมาก
“ดี ดีมาก ส่วนเรื่องเบี้ยขยันของเธอ ฉันจะต้องไปปรึกษากับผู้อำนวยการแน่นอน” ในที่สุดฟางเซี่ยงเฉียนก็ได้สติกลับมา เธอพูดเสียงดังคอเกร็งแข็งแล้วหันหลังเดินไป เดาได้ว่าน่าจะไปฟ้องผู้อำนวยการ
“ฮ่าๆๆๆ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว ทุกคนในห้องก็พากันหัวเราะอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้
“เซียวเซียว แกนี่สุดยอดจริงๆ ฉันอยากจะฉีกหน้ายายนั่นมาตั้งนานแล้ว” ฉินย่าหนานตบไหล่เซียวเซียวอย่างแรงแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างมีความสุข
จ้าวเหอผิงลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยืนในตำแหน่งที่ฟางเซี่ยงเฉียนยืนอยู่เมื่อครู่ มือข้างหนึ่งเท้าเอว ส่วนอีกข้างก็ชี้นิ้วโดยยื่นนิ้วชี้และนิ้วก้อยออกมา บีบเสียงให้แหบๆ “ฉันจะต้องไปปรึกษากับผู้อำนวยการแน่นอน” ผู้ชายอายุเกือบสี่สิบทำท่าทางนี้ออกมาแล้วช่างดูพิลึกอย่างบอกไม่ถูก
“น่าเกลียดจริงๆ” ฉินย่าหนานหัวเราะเสียงดังพร้อมเดินมาผลักเขาเบาๆ
ทุกคนพากันหัวเราะ แรงกดดันที่เกิดจากฟางเซี่ยงเฉียนในครึ่งปีมานี้สลายไปจนหมดสิ้น
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ พรุ่งนี้เรานัดกันมาสาย เก้าโมงครึ่งเจอกันที่ร้านขนมพระจันทร์ ผมเลี้ยงขนมพวกคุณดีไหม” จ้าวเหอผิงเสนอขึ้นอย่างไม่กลัวว่าเรื่องจะบานปลาย
“ฉันว่าดีนะ ถึงตอนนั้นหน้าตาของพี่ฟางคงน่าดูไม่ใช่น้อย” ฉินย่าหนานรีบสนับสนุนทันที
ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน เซียวเซียวก็กลับมานั่งในที่ของเธอ
หยางเซี่ยวช่างทําแพตเทิร์นที่อยู่ด้านหลังถามเธอยิ้มๆ ว่า “เซียวเซียว จะไม่ไปอธิบายให้ผู้อำนวยการฟังหน่อยเหรอ”
ผู้อำนวยการในที่นี้หมายถึงผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลและการเงิน ซึ่งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ทุกด้านของพนักงานทุกคนในฝ่ายออกแบบ
“ฟางเซี่ยงเฉียนเป็นคนของเขา นายคิดว่าเขาจะฟังฉันไหมล่ะ” เซียวเซียวพูดยิ้มๆ กับช่างทำแพตเทิร์นราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศที่คาดเดาได้อยู่แล้ว “ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็โดนไล่ออก กลัวซะเมื่อไหร่”
“เซียวเซียว ฉันรู้สึกว่าเธอต่างจากเมื่อก่อน” หยางเซี่ยวเอียงคอมองเธอ
“งั้นเหรอ” เซียวเซียวยิ้มตาหยี จากนั้นก็ก้มหน้าส่งข้อความวีแชตไปหาเพื่อนรัก
เสี่ยวเสี่ยวปู้ : ฉันเพิ่งจะฉีกหน้าหัวหน้าแผนกไป ฉันทนกับยายนั่นมานานมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะยายนั่นคอยจับผิดขนาดนี้ ฉันคงไม่ต้องรับแรงกดดันมากแบบนั้น นึกถึงตอนที่ฉันไข้ขึ้นสูงแล้วยายนั่นไม่ให้ฉันไปหาหมอ คิดแล้วยังโมโหไม่หาย ตอนนี้ยายนั่นวิ่งไปฟ้องผู้อำนวยการแล้ว
หลังจากนั้นก็ตามด้วยสติ๊กเกอร์ร้องไห้งอแง ท่าทางงอแงเอาแต่ใจแบบนี้มีแต่เหลียงจิ้งเหยาที่ได้เห็น
เมื่อกดปุ่มส่งออกไป สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นข้อความแชตก่อนหน้า ข้อความก่อนหน้านี้คือ…
‘คุณมาแล้วอย่าลืมเอาบันทึกผู้ป่วยมาด้วย’
บันทึกผู้ป่วย…เดี๋ยวนะ…
เซียวเซียวรีบมองไปยังชื่อของคนที่เธอส่งข้อความไปให้ นั่นก็คือ…‘จั่นหลิงจวินเอส’
โอ๊ยๆๆๆ ส่งผิดแล้ว
เซียวเซียวลนลานพยายามจะยกเลิกการส่งข้อความ กดไปสองครั้งก็ยังกดผิด ตามองดูเวลาที่ผ่านไปแล้วสองนาที ในที่สุดก็หาคำสั่งยกเลิกการส่งข้อความเจอ มองเห็นตัวอักษรสีเทาเล็กๆ คำว่า ‘ยกเลิกการส่งข้อความ’ เซียวเซียวก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วอ่านข้อความที่พูดคุยกับจั่นหลิงจวินอีกที
เธอสะดุดตากับคำว่า ‘บันทึกผู้ป่วย’ ทำให้คิดไปถึงความสงสัยที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า
ต่อให้เขาเป็นคนที่มีจิตวิญญาณของความเป็นหมอ แต่คงไม่ถึงขนาดที่ว่าคุยกันไปด้วยแล้วยังจะตรวจรักษาเพิ่มเข้าไปอีกหรอกนะ เมื่อนิ่งขึ้นแล้ว รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอละเลยไปในหลายวันนี้ก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง ตอนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่ชื่อเถียนเถียนส่งบัตรให้เธอได้พูดกับเธอว่าจั่นหลิงจวินเป็นนักบำบัด
เดิมทีเธอคิดว่านักบำบัดก็คือคำเรียกแทนพวกที่เป็นหมอนวดอะไรแบบนั้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ค่อยถูกต้อง เซียวเซียวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปโทรศัพท์หาเหลียงจิ้งเหยา
“เหยาเหยา สโมสรซังอวี๋เป็นสถานที่อะไรกันแน่”
เหลียงจิ้งเหยาที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่สำลักน้ำเต้าหู้ไอแค่กๆ อยู่สองสามที “เป็นสโมสรสำหรับการฟื้นฟูสุขภาพน่ะสิ”
‘สโมสรสำหรับการฟื้นฟูสุขภาพ’ ชื่อก็บอกความหมายอยู่แล้วว่าคือสถานพยาบาลสำหรับการฟื้นฟูและการรักษา
นี่แปลว่าจั่นหลิงจวินเป็นหมอจริงๆ สินะ เขาไม่ใช่ผู้ชายในโฮสต์คลับ…
เซียวเซียวรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านหน้าไป จากนั้นก็เหมือนกับโดนสายฟ้าฟาดจนหูอื้อตาลาย ก่อนที่สายฟ้าจะผ่าเธอให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงแล้วปลิวไปพร้อมสายลม…
“เหลียงจิ้งเหยา ตอนเย็นมาเจอกันหน่อยนะ”
“ฉันผิดไปแล้ว ไม่ใช่สิ แกไม่ให้โอกาสฉันได้อธิบายต่างหาก” เหลียงจิ้งเหยาตัดพ้อก่อนจะโดนเพื่อนรักตัดสายไป
เซียวเซียวยกมือทั้งสองขึ้นกุมใบหน้า รู้สึกอับอายอย่างมาก โชคดีแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้พูดอะไรเป็นการหยอกเย้าจั่นหลิงจวิน ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธอก็คงไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรเลยจริงๆ
เมื่อออกจากหน้าแชตก็เห็นข้อความใหม่เข้ามา
จั่นหลิงจวินเอส : แรงกดดันและความโกรธเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ คำแนะนำส่วนตัวก็คือลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ
สุดท้ายก็เห็นจนได้สินะ!
เธอจ่ายเงินเพื่อจ้างหนุ่มโฮสต์คลับแต่กลับกลายเป็นได้หนุ่มหล่อเพอร์เฟ็กต์ที่เลิศเลอจนไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้ เซียวเซียวถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ ไม่กล้าส่งข้อความเรื่อยเปื่อยไปอีกแล้ว มือถือยาสำหรับวันนี้แล้วก็เดินลงไปที่ชั้นหนึ่งเพื่อซื้อน้ำแร่ที่ห้องจัดแสดง คงเป็นเพราะตื่นเต้นจนเกินไปจึงกดไปสองครั้งติดกันทำให้ได้น้ำแร่มาสองขวด
เซียวเซียวมองขวดน้ำแร่ในมือพลางถอนหายใจ ก่อนจะถือน้ำแร่สองขวดหลบเข้าไปหลังราวแขวนเสื้อผ้าเพื่อกินยา
“เลื่อนงานแถลงข่าวเกี่ยวกับชุดฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวออกไปอีกสองอาทิตย์ เสื้อผ้าสำเร็จรูปฤดูหนาวที่ออกแบบมาไม่มีจิตวิญญาณแม้แต่น้อย เอาของแบบนี้ออกมาได้ยังไง” เสียงพูดค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา นี่เป็นเสียงของครีเอทีฟไดเร็กเตอร์อย่างอเดอลีนที่เข้มงวดไม่ผิดแน่นอน
“ได้ ตามที่คุณต้องการเลย” น้ำเสียงที่ทำเป็นเล่นไม่จริงจังดังขึ้น ได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงของโจวไท่หรานซีอีโอของบริษัท “งั้นคุณคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ”
เมื่อทั้งสองเดินไปไกลแล้วเซียวเซียวก็โผล่หน้าออกมาจากราวแขวนเสื้อผ้า จ้องมองด้านหลังของอเดอลีนที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ความคิดมุทะลุบางอย่างผุดขึ้นมาจากประโยคที่จั่นหลิงจวินทิ้งค้างไว้ ‘ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ’ เธอไม่มีข้อได้เปรียบเรื่องที่มีคนเมตตาเอ็นดูแล้ว หากต้องการจะอยู่ต่อก็ต้องพึ่งตัวเองให้ได้
“เซียวเซียว ผมเห็นหัวหน้าของคุณเดินไปที่ห้องของผู้อำนวยการน่ะ หน้าตาเหมือนกับโกรธใครมาเป็นสิบปี” เสี่ยวจางแผนกการตลาดที่เจอกันในลิฟต์ทักขึ้น
“งั้นเหรอ” เซียวเซียวทำท่าไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อมองหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเสี่ยวจางก็รู้ว่าเขาคงเพิ่งกลับมาจากออกไปหาลูกค้า จึงส่งน้ำแร่อีกขวดที่ยังไม่ได้เปิดให้กับเขา “ท่าทางข้างนอกอากาศร้อนมากสินะ”
เสี่ยวจางรับขวดน้ำแร่มาด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วดื่มรวดเดียวครึ่งขวด “เข้าฤดูร้อนแล้ว อากาศร้อนเป็นบ้าเลย น้ำขวดนี้มาได้จังหวะเหมาะจริงๆ ขอบคุณนะเซียวเซียว มีเรื่องอะไรแวะไปหาผมที่ชั้นห้าได้นะ”
เสี่ยวจางเพิ่งมาทำงานที่บริษัทได้ไม่ถึงปีแต่เป็นคนฉลาดมีไหวพริบ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดจึงให้ความสำคัญกับเขามาก ปกติเขาเป็นคนที่ให้ความเป็นกันเองกับทุกคนอยู่แล้ว แต่กลับไม่ค่อยจะมาทักทายกับพวกดีไซเนอร์สักเท่าไร ทว่าเมื่อได้รับความเป็นมิตรจากเซียวเซียวเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็ดูเป็นกันเองขึ้นมาก
จากนั้นเซียวเซียวก็บอกลาเสี่ยวจางและเดินกลับไปที่ห้องออกแบบ เธอวางมือทั้งสองลงบนคีย์บอร์ด หัวใจเต้นเร็วขึ้นมาหนึ่งจังหวะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตัดสินใจตอบโต้คนอื่น ความเครียดนี้ไม่ต่างอะไรกับการยืนอยู่บนหน้าผากระโดดบันจี้จัมพ์ แต่ถ้าเธอไม่ทำ วันข้างหน้าก็จะยิ่งลำบากไปกว่านี้อีก
เซียวเซียวสูดหายใจเข้าลึกแล้วเรียบเรียงเขียนจดหมายลาออกส่งไปทางอีเมลให้ผู้อำนวยการ แล้วก็ซีซีถึงซีอีโอ ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ และอาร์ตแอดไวเซอร์
‘ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ไม่อาจเป็นดีไซเนอร์ที่เคารพในอาชีพได้ มักจะมาทำงานสายและเป็นภาระให้กับผู้อื่น ขณะที่ไข้ขึ้นสูงสามสิบเก้าองศา ไม่สามารถจะส่งมอบงานให้เสร็จ คิดเพียงแต่จะไปโรงพยาบาลเท่านั้น และเนื่องจากเมื่อคืนสเก็ตช์รูปจนข้ามคืนจึงไม่อาจมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาทำงานสิบนาทีได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะดิฉันไม่สามารถจัดการเวลาได้ดีพอ รู้สึกละอายแก่ใจเป็นอย่างมาก สำหรับคำสั่งสอนของหัวหน้าดิฉันจะระลึกไว้ในใจ ดิฉันขอน้อมรับการลงโทษในทุกกรณี’
ขณะที่อเดอลีนกำลังโมโหเรื่องเสื้อผ้าฤดูหนาวอยู่ที่ชั้นบนของห้องออกแบบ เธอก็หันกลับมาเห็นอีเมลฉบับนั้น
“ไข้ขึ้นสูงแล้วยังทำงานต่อ? ต้องมาทำงานก่อนเวลาสิบนาที? โอ้มายก็อด! ที่นี่เป็นบริษัทแฟชั่นเฮ้าส์หรือเป็นคุกกันแน่ มิน่าล่ะงานของซีซั่นใหม่ถึงได้ออกมาดูไม่ได้”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 พ.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.