บทที่ 4
ชีอิ้งไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก
น่าจะเป็นเพราะคนที่ลอบโจมตีเห็นว่าอยู่ๆ มีคนพุ่งเข้ามาจึงลังเลที่จะลงมือ อวี๋จั๋วถอนใจอย่างโล่งอก เก็บยาที่หมอจ่ายให้ลงในกระเป๋านักเรียน ระหว่างทางกลับบ้านก็แวะไปร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้อเครื่องเขียนใหม่ให้ชีอิ้งถือไว้เพื่อกลบเกลื่อนความผิด
เรื่องนี้จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ เล็กก็ไม่เล็ก แต่ขืนอวี๋เฉิงที่มีนิสัยชอบปกป้องลูกหลานรู้เข้า จะต้องไปก่อกวนที่โรงเรียนจนหาทางลงไม่ได้อย่างแน่นอน
อวี๋จั๋วครุ่นคิดจมจ่อม เรื่องระหว่างคนวัยเดียวกัน อย่าให้ผู้ใหญ่เข้ามามีเอี่ยวจะดีกว่า
เขากับชีอิ้งตกลงกันเป็นเสียงเดียว ถ้าถึงเวลาถูกจับได้ว่าบาดเจ็บก็จะบอกไปว่าชนอะไรเข้าโดยไม่ทันระวัง
เมื่อกลับถึงบ้าน อาหารเย็นก็ทำเสร็จแล้ว
รสปากของชีอิ้งเหมือนกับเจ้าของร่างเดิมทุกประการ แม้แต่อาหารที่ชอบก็เหมือนกัน ตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วน้าสะใภ้จะทำอาหารที่เธอชอบให้กินทุกวัน ทำให้ชีอิ้งซาบซึ้งอย่างยิ่ง
อวี๋เฉิงถามเรื่องที่โรงเรียนสองสามคำ เช่น มีนักเรียนเกเรมารังแกอิ้งอิ้งไหม มีคนกีดกันหรือแบนอิ้งอิ้งหรือไม่ มีนักเรียนเห็นว่าอิ้งอิ้งไม่ได้ยินและพูดไม่ได้เลยหัวเราะเยาะหรือเปล่า
อวี๋จั๋วกลอกตา “ทุกคนงานยุ่งกันทั้งนั้นโอเคไหม พ่อนึกว่าเด็ก ม.ปลาย สมัยนี้เขาการบ้านน้อยเหรอไง”
อวี๋เฉิงนึกถึงเด็กเกเรขี่รถมอเตอร์ไซค์คนนั้นที่เขาเห็นตรงประตูโรงเรียนเมื่อเช้าก็ยังคงเคลือบแคลงใจกับคำพูดของอวี๋จั๋ว
กินข้าวเสร็จชีอิ้งก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง เธอนั่งก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆ อยู่หน้าโต๊ะ อวี๋เฉิงยืนมองหลานสาวอยู่ตรงประตู มองแล้วมองอีก จากนั้นก็หันมามองอวี๋จั๋วที่นอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาแล้วจึงเดินไปเตะเขาหนึ่งที
“ไปดูทีซิว่าพี่สาวแกเขียนอะไร”
อวี๋จั๋วนึกรำคาญ “พ่อจะสนทำไมว่าคนอื่นเขียนอะไร อาจจะทำการบ้านก็ได้”
อวี๋เฉิงค้อนลูกชาย “เธอเรียนก็ไม่ได้ยิน ยังจะเขียนการบ้านอะไร! ไปดู!!”
อวี๋จั๋วสู้มาจนถึงช่วงที่กำลังดุเดือดจึงรำคาญสุดจะทน “แล้วถ้ากำลังเขียนไดอารี่ล่ะ รู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของเด็กบ้างไหม”
อวี๋เฉิงบิดหูเขา “คุณหมอบอกว่ายังไงลืมแล้วเหรอ จะประมาทเพราะว่าเธอทำตัวสงบเสงี่ยมดูสบายๆไม่ได้! ช่วงนี้เธอดูปกติเกินไปแล้ว พ่อไม่วางใจ ถ้าเกิดกำลังเขียนไดอารี่อยู่จริงๆ ก็ดีสิ ในเวลาไม่ปกติแบบนี้ จะส่วนตัวหรือเปล่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ!”
อวี๋จั๋วปล่อยให้ตัวละครของตนเองตายไประหว่างที่ถูกกวน ทิ้งให้โทรศัพท์มือถือร่วงหล่นจากมือแล้วเดินเข้าไปในห้องชีอิ้งอย่างไม่เต็มใจภายใต้สายตาของอวี๋เฉิง
เธอไม่ได้ยิน เขาจึงไม่จำเป็นต้องเดินเสียงเบา อวี๋จั๋วมีรูปร่างสูง อายุเพิ่งจะสิบหกปีแต่ตัวยืดขึ้นไปถึงร้อยแปดสิบเซนติเมตรแล้ว เมื่อเดินไปถึงด้านหลังของชีอิ้งมองข้ามศีรษะไปก็เห็นสมุดโน้ตที่อยู่บนโต๊ะได้พอดี
ชีอิ้งไม่รู้สึกตัวว่าข้างหลังมีคน เธอยังคงตั้งใจเขียน
อวี๋จั๋วมองดูแวบหนึ่งก็หันเดินออกมา อวี๋เฉิงถาม “เป็นไงบ้าง มองเห็นไหม”
เขาเกาศีรษะ “เห็นแล้ว เธอเหมือนจะ…เขียนนิยายอยู่”
“เขียนนิยาย?”
อวี๋จั๋วลังเล “แม่ทัพ สนามรบอะไรเนี่ยแหละ เป็นนิยายย้อนยุค”
อวี๋เฉิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เขียนนิยายก็ดี เบี่ยงเบนความสนใจได้ พัฒนาความชอบส่วนตัว”
ในห้องนอน ชีอิ้งที่เขียนไดอารี่เป็นครั้งแรกปิดสมุดลงแล้วเคลื่อนสายตาไปมองดูแสงจันทร์ซึ่งทอดตัวอยู่นอกหน้าต่าง มุมปากหยักยกขึ้นโดยไร้เสียง
ดีจังเลยที่เธอได้พบกับท่านแม่ทัพของเธออีกครั้ง
แม้ว่าในชาตินี้ท่านแม่ทัพจะไม่รู้จักเธอก็ไม่เป็นไร ครั้งนี้เปลี่ยนให้เธอเป็นฝ่ายรู้จักเขาบ้างก็ได้
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังกินอาหารเช้าเสร็จ อวี๋เฉิงก็ขับรถไปส่งอวี๋จั๋วและชีอิ้งที่โรงเรียนตามปกติ ชีอิ้งที่เดิมต่อต้านการไปโรงเรียนอยู่ลึกๆ ครั้งนี้กลับเดินเข้าประตูโรงเรียนไปอย่างมีความสุข
พอเข้าไปในห้องเรียนก็พบว่าเพื่อนในห้องต่างมองเธอด้วยสายตาสนใจ ชีอิ้งไม่ทราบสาเหตุ เพิ่งจะนั่งลงเยวี่ยหลีก็ถืออาหารเช้ากระวีกระวาดวิ่งเข้ามา พอเห็นชีอิ้ง ดวงตาอีกฝ่ายก็ถลนแล้วรีบวิ่งมาหยุดอยู่ข้างๆ เธอ พูดอะไรบางอย่างรัวเร็วยาวเป็นพืด
พูดอยู่นานถึงนึกได้ว่าชีอิ้งไม่ได้ยิน เยวี่ยหลีตบหน้าผากแล้วหยิบสมุดการบ้านขึ้นมาเขียนข้อความ
‘อิ้งอิ้ง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม! เธอไปหาเรื่องจี้รั่งได้ยังไง!’
‘ฉันไม่เป็นไร ทำไมเหรอ’
ชีอิ้งเขียนตอบกลับไปด้วยสีหน้างุนงง
เยวี่ยหลีไม่ชอบใจที่เขียนช้า มองซ้ายมองขวาไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นครูอยู่แถวนี้จึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ
เยวี่ยหลี : ‘เมื่อวานตอนเลิกเรียนรถพยาบาลขับมาถึงประตูโรงเรียน! นักเรียนตั้งหลายคนเห็นเธอโดนจี้รั่งทำร้าย!
ชีอิ้ง : ‘…’
เธอเตรียมจะพิมพ์ตอบกลับ แต่หลิวชิ่งหวากลับก้าวเข้ามาในห้องเรียนอย่างรวดเร็ว เยวี่ยหลีเก็บโทรศัพท์มือถือทันที หลิวชิ่งหวาเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างหน้าชีอิ้งแล้วมองเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าบอกให้เธอตามตนไปที่ห้องทำงาน
รอจนชีอิ้งออกไปแล้ว นักเรียนชายจำนวนหนึ่งในห้องก็เริ่มซุบซิบนินทากัน “นักเรียนใหม่เพิ่งมาได้วันเดียวเอง คนห้องเก้าไม่ใช่คนดีจริงๆ!”
“ใช่! รังแกคนหูหนวกนับเป็นอะไรได้!”
“ปกติจี้รั่งวางอำนาจบาตรใหญ่ก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมถึงลงมือกับนักเรียนพิเศษล่ะ!”
“เรื่องแดงไปถึงครูใหญ่โน่นแล้ว ดูซิว่าครั้งนี้เขายังจะพูดอะไรได้อีก”
“เทอมที่แล้วตอนเขาซ้อมรุ่นพี่ปีสามจนเข้าโรงพยาบาล ฉันยังนึกว่าเขาจะโดนไล่ออก แต่ปรากฏว่าดันไม่มีเรื่องบ้าอะไรเกิดขึ้นเลย คราวนี้จะต้องหนีไม่พ้น นั่นเป็นลูกของผู้พลีชีพเชียวนะ!”
นักเรียนหญิงที่แอบชอบจี้รั่งมีไม่น้อย ในห้องสองเองก็มีเช่นกัน และพวกเธอก็สวนขึ้นทันควัน “เรื่องเป็นยังไงกันแน่ก็ยังไม่รู้ แต่ที่ผ่านมาจี้รั่งไม่ทำร้ายผู้หญิง”
“ผู้ชายปากมากยกกลุ่มกล้าด่าแค่ในห้อง ถ้าเก่งกล้านักก็ไปพูดต่อหน้าจี้รั่งสิ”
นักเรียนในห้องทะเลาะกันจนหาทางลงไม่ได้ ส่วนในห้องทำงานของหลิวชิ่งหวา ชีอิ้งก็ได้เข้าใจจากครูแล้วว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่นานผู้อำนวยการการศึกษาและครูใหญ่ก็เร่งตามมา
ทั้งที่บอกไว้ว่าจะให้สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นเป็นมิตรแก่บุตรธิดาของผู้พลีชีพ แต่เพิ่งจะเปิดเทอมวันแรกก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ผู้อำนวยการการศึกษาโมโหจะตายอยู่แล้ว “ผมบอกแล้ว! เก็บจี้รั่งนั่นไว้มีแต่จะเป็นภัย! ควรจะไล่เขาออกตั้งแต่เทอมที่แล้ว เป็นตัวปัญหาของโรงเรียนมัธยมหมายเลขหนึ่งของเราจริงๆ เลย!”
พูดพลางเดินมาจนถึงห้องทำงาน จากนั้นก็ได้แต่สงวนถ้อยคำแล้วหันมาสนใจชีอิ้ง
ชีอิ้งจับปากกาเขียนข้อความลงบนสมุดว่า
‘จี้รั่งไม่ได้ทำร้ายหนู เป็นเรื่องที่เล่าต่อกันผิดๆ’
ผู้อำนวยการการศึกษาเขียนตัวอักษรด้วยลายมือวิจิตรตระการตา ชีอิ้งอ่านอยู่นานถึงเข้าใจ
‘นักเรียนชีอิ้ง เธอไม่ต้องกลัว พูดความจริงออกมา! โรงเรียนเราไม่มีทางเก็บเขาเอาไว้เด็ดขาด!’
ขณะที่ชีอิ้งกำลังจะเขียนอธิบายเรื่องทั้งหมด หลิวเหยาครูประจำชั้นห้องเก้าก็พาตัวจี้รั่งเข้ามา
หลิวเหยาปกติแล้วไม่ค่อยยุ่งกับจี้รั่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยยุ่งด้วยมาก่อนเลย แต่เพราะรู้ว่ายุ่งไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรจี้รั่งก็ยังคงมีสีหน้าท่าทางไม่สนใจไยดีต่อสิ่งใดอยู่เสมอ ทำให้นึกสงสัยว่าเด็กหนุ่มฟังคำพูดของเขาไม่เข้าหัวเลยแม้แต่คำเดียว
ภายหลังจึงค่อยๆ คร้านที่จะสนใจจี้รั่งแล้ว ขอเพียงเด็กหนุ่มไม่ก่อเรื่อง หลิวเหยาก็จะหลับตาข้างลืมตาข้าง
ทว่าครั้งนี้ดันไปรังแกนักเรียนพิเศษเข้าเสียได้!
หลิวเหยาต่อว่าเขามาตลอดทาง แต่จี้รั่งยังคงท่าทีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเอาไว้
เมื่อเข้าไปในห้องทำงานเห็นชีอิ้งที่นั่งอยู่ในนั้นท่าทางว่าง่ายดูน่ารักน่าเอ็นดู มุมปากก็ยกขึ้นคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน
ผู้อำนวยการการศึกษาโมโหจนแทบจะกระโดด “แกยืนขึ้นมา!”
จี้รั่งไม่เพียงไม่ยืนขึ้น แต่ยังยกขานั่งไขว่ห้าง ดูจากท่าทางแล้วเหมือนเขาอยากจะจุดบุหรี่ด้วยซ้ำ
สีหน้าของบรรดาครูทั้งหลายดูไม่ดีนัก ครูใหญ่มองเขาแวบหนึ่งด้วยแววตาซับซ้อนก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหนักอึ้ง “จี้รั่ง เรื่องครั้งนี้เป็นมายังไงกันแน่ พวกครูอยู่กันพร้อมหน้า อธิบายที”
จี้รั่งที่แม้แต่เปลือกตายังคร้านจะเลิกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “มีอะไรต้องอธิบายอีก ไม่ใช่ว่าพวกคุณตัดสินว่าผมทำร้ายคนไปแล้วเหรอ จะลงโทษยังไงก็รีบว่ามา”
ผู้อำนวยการการศึกษากำลังจะด่าอีกรอบ ครูใหญ่ก็ยื่นมือไปห้ามเขาแล้วเอ่ยต่อ “ครูรู้ว่าเธอไม่ใช่เด็กแบบนั้น ถึงจะใจร้อนไปบ้าง แต่ไม่ใช่คนไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก…”
ยังพูดไม่ทันจบ เสื้อของครูใหญ่ก็ถูกดึง
ครูใหญ่หันกลับมาเห็นชีอิ้งยืนอยู่ข้างหลัง ยื่นมือส่งสมุดเล่มหนึ่งมาให้ บนนั้นเขียนข้อความไว้อยู่ย่อหน้าหนึ่ง
บรรดาครูทั้งหลายต่างก้มหน้าลงอ่าน
รอจนอ่านเสร็จ สีหน้าโมโหดุเดือดเมื่อครู่นี้พลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อน
บนใบหน้าครูใหญ่ปรากฏรอยยิ้ม หันมามองจี้รั่ง “ครูว่าแล้ว เธอไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ทำไมถึงไม่ยอมอธิบายกับครูในเรื่องดีงามกล้าหาญเพื่อความถูกต้องนี้ล่ะ”
“…”
จี้รั่งนิ่งอึ้ง
เขาทำอะไรลงไปงั้นเหรอ ทำไมถึงไปเกี่ยวข้องกับการทำเรื่องกล้าหาญเพื่อความถูกต้องได้ล่ะ
ครูใหญ่พูดต่อ “นักเรียนเกเรนอกโรงเรียนมารังแกนักเรียนชีอิ้ง เธอเห็นแล้วช่วยเหลือนับว่าเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ทางที่ดีอย่าใช้วิธีรุนแรงในการแก้ไขเลย เลี่ยงไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บเถอะ เธอรู้จักเรียกรถพยาบาลก็ควรจะรู้จักเรียกตำรวจ แต่ครั้งนี้เธอปกป้องนักเรียนชีอิ้ง โรงเรียนแยกแยะการให้รางวัลกับการลงโทษออกจากกันชัดเจน จะเพิ่มแต้มให้เธอแล้วกัน”
“…” จี้รั่งยังคงพูดไม่ออก
ใครอยากได้แต้มเพิ่มกัน!
เขามองชีอิ้งอย่างสุดจะทน ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับรอยยิ้มหวานหยดของเด็กสาว สีหน้าก็พลันชะงักค้าง ลอบด่าในใจไปคำหนึ่งแล้วหลุบตาลง
เรื่องราวคลี่คลายแล้ว ชีอิ้งและจี้รั่งต่างคนต่างกลับห้องเรียนของตัวเอง ห้องสองกับห้องเก้าตั้งอยู่ต้นทางกับปลายทาง หลังขึ้นบันไดแล้วต้องแยกย้ายกันไปทางซ้ายทางขวาของระเบียง
ขณะที่ขึ้นบันได ชีอิ้งเดินอยู่ข้างหลังเขาอย่างว่าง่าย
เป็นเวลาคาบทบทวน* รอบเช้าพอดี ระเบียงตึกจึงไม่มีคนเลยสักคน ฝีเท้าที่ก้าวขึ้นบันไดของจี้รั่งหยุดชะงัก แล้วหันกลับไป
ชีอิ้งยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเด็กหนุ่มสองขั้นบันได เธอเงยหน้าขึ้น ในดวงตาของเขาสะท้อนรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ
เขามองลงมาจากข้างบน จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ฉันไปช่วยเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชีอิ้งไม่ได้ยิน ทำเพียงเม้มมุมปาก ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
สายตาแบบนั้นอีกแล้ว
จี้รั่งหัวใจเต้นช้าลงครึ่งจังหวะ หุบยิ้ม แล้วขู่เธออย่างดุร้ายเย็นชา “ห้ามยิ้มให้ฉันอีกนะ! ห้ามตามฉันมาด้วย ได้ยินไหม?!”
ชีอิ้งกะพริบตา
จี้รั่งหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ชีอิ้งโบกมือให้แผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยท่าทีน่าเอ็นดู
เมื่อกลับไปถึงห้องเรียน พอเดินเข้าไป เสียงอ่านหนังสือรอบเช้าก็เบาลง ชีอิ้งไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นจุดสนใจของคนอื่น แต่เมื่อนึกถึงคำเล่าลือนั้นแล้วเธอก็รวบรวมความกล้าเดินไปที่แท่นบรรยายและหยิบชอล์กขึ้นมา
เสียงอ่านหนังสือรอบเช้าหายไปสิ้นเชิง ทุกคนต่างจ้องมองเธออย่างประหลาดใจ
ชีอิ้งค่อยๆ ลากมือเขียนตัวอักษรลงทีละขีดๆ
‘จี้รั่งไม่ได้ทำร้ายฉัน เมื่อวานนี้เจอนักเรียนโรงเรียนอื่นแล้วเขาช่วยฉันไว้’
เธอหันไปมองเพื่อนนักเรียนในชั้น เม้มมุมปากยกยิ้มขึ้น ก่อนจะหยิบแปรงลบกระดานมาลบข้อความนั้นออกไป พอเดินไปนั่งที่ เยวี่ยหลีที่ตื่นเต้นจนใบหูแดงไปหมดแล้วก็เขียนข้อความลงกระดาษส่งมาถามเธอ
‘อิ้งอิ้ง เธอรู้จักกับจี้รั่งมาก่อนเหรอ’
ชีอิ้งส่ายศีรษะ เยวี่ยหลีไม่แน่ใจจึงเขียนถามต่อ
‘นึกไม่ถึงว่าเขาจะช่วยเธอ! แต่ไหนแต่ไรจี้รั่งไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น แถมยังดุมากๆ หรือเป็นเพราะว่าเธอสวย’
‘ไม่ใช่ เขาเป็นคนดี’
ชีอิ้งเขียนตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจัง
ท่านแม่ทัพของเธอคือคนที่ดีที่สุดในโลกหล้า!
เขายอมเสี่ยงอันตรายบุกค่ายของศัตรูที่ชายแดน เพียงเพื่อช่วยชาวบ้านผู้อพยพที่ถูกศัตรูจับไว้ออกมา
เขาจะนำกระโจมของตนเองออกมาให้พลทหารที่ได้รับบาดเจ็บอยู่อาศัย จะนำเงินเดือนทหารของตนเองมาเลี้ยงอาหารดีๆ ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
เขารบทัพจับศึกมาทั้งชีวิต คุณงามความดีลึกดุจสายน้ำสูงส่งดั่งภูผา หลังจากตายแล้วนำศพกลับมาที่เมืองหลวงก็เป็นที่ต้อนรับของประชาชนถ้วนหน้า
มาตอนนี้เปลี่ยนเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองสงบสุข ท่านแม่ทัพของเธอไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่าศัตรูอีกต่อไป คนบนโลกเหมือนจะเข้าใจเขาผิดไปมาก แต่เธอรู้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้เปลี่ยนไป
วีรบุรุษของเธอ ไม่ว่าตัวจะอยู่ที่ไหน แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป ก็ไม่มีทางสูญเสียจิตใจที่บริสุทธิ์เมื่อแรกเริ่มได้!
เชิงอรรถ
* คาบทบทวน โรงเรียนในจีนจะมีคาบให้นักเรียนอ่านหนังสือเองในทุกเช้าและเย็น ก่อนและหลังเลิกเรียน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 มิ.ย. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.