X
    Categories: Master of My Own ขอโทษที ฉันไม่ใช่เลขาคุณแล้วWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Master of My Own ขอโทษที ฉันไม่ใช่เลขาคุณแล้ว บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3 พวกปากอย่างใจอย่าง

อาคารแผนกผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสียเหออยู่ที่เขตตงตันซึ่งใกล้กับบริษัทมาก หลังเลิกงานตอนเย็นหนิงเหมิงก็เดินไปที่โรงพยาบาล ไปเยี่ยมถังเจิ้งวั่งกับครอบครัวทั้งสามคนที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

เมื่อหนิงเหมิงได้พบกับถังเจิ้งวั่ง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่สบตากันนั้นอีกฝ่ายถึงกับตัวสั่น

ท่าทางเหมือนกับลูกแกะถูกสังเวย ช่างเหมือนกับหยางไป๋เหลาที่เจอถูกหวงซื่อเหริน* ไล่ล่าล้อมไว้

หนิงเหมิงรีบแสดงความห่วงใยบอกวัตถุประสงค์ที่มาพร้อมกับวางผลไม้ลง

“ได้ยินว่าคุณกับครอบครัวพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ประธานลู่ให้ฉันรีบมาเยี่ยมค่ะ ตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง”

ถังเจิ้งวั่งดวงตาแดงก่ำขึ้น “เราสองตายายไม่เป็นไร แต่ลูกชายผมสิ…สมองกระทบกระเทือน ตอนนี้ยังอยู่ในไอซียู!”

หนิงเหมิงเศร้าใจ เพียงแต่สีหน้าเธอยังสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคนที่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่สูง สูงถึงขนาดที่ถ้ามีใครกล้ามาเรียกเธอเป็นแม่ เธอก็กล้าที่จะทำเรื่องรับเลี้ยงคนคนนั้นได้เลย

เมื่อได้เห็นความรักที่มีต่อลูกชายของถังเจิ้งวั่ง หนิงเหมิงรู้สึกปวดใจจนเหมือนจะบีบคั้นตัวเองออกมาเป็นน้ำมะนาวให้ได้***

“ประธานถัง ตอนนี้ติดขัดเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” หนิงเหมิงเอ่ยถามถังเจิ้งวั่ง

ริมฝีปากของถังเจิ้งวั่งขยับอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าพูดออกมา “เรื่องติดขัดในครอบครัวผมก็พอจะจัดการได้ แต่เรื่องธุรกิจนี่สิ…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดต่อ “สถานการณ์ครอบครัวผมในตอนนี้ พูดกันจริงๆ ก็ทำให้ออเดอร์ใหญ่ๆ ของบริษัทต้องสะดุด เงินหมุนไม่ทันชั่วคราว ผมรู้ ระยะเวลาลงทุนของพวกคุณถึงกำหนดแล้ว แต่สถานการณ์ตอนนี้จริงๆ ก็คือ…อย่างนี้ได้ไหม เลขาฯ หนิง รบกวนคุณช่วยผมคุยกับประธานลู่หน่อย ขอเวลาให้ผมสามเดือน ผมจะทำให้บริษัทกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมเข้าใจ คำพูดแบบนี้ก็เหมือนกับเป็นการตีเช็คเปล่า แต่ขอให้พวกคุณเชื่อใจผม…”

ถังเจิ้งวั่งยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนรน เกือบจะคว้ามีดมากรีดหัวใจออกมาให้หนิงเหมิงดูถึงความจริงใจอยู่แล้ว

หนิงเหมิงขัดเขาพร้อมกับแจ้งให้ชัดเจน “ประธานถัง ฉันไม่ได้มาทวงหนี้ ฉันเอาเงินมาให้คุณค่ะ”

ถังเจิ้งวั่งชะงักไปครู่หนึ่ง

หนิงเหมิงพูดต่อไปว่า “จริงๆ แล้วประธานลู่เชื่อมั่นในบริษัทของคุณมาก แล้วก็ยินดีที่จะให้เวลาคุณเพิ่มอีกหน่อย รอให้สถานการณ์ในบริษัทดีขึ้นแล้วหาจังหวะถอนทุนออก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนของคุณ ประธานลู่ยินดีจะให้คุณกู้เงินมาเพิ่มทุนเพื่อทำให้เกิดสภาพคล่องก่อน”

ถังเจิ้งวั่งได้ยินคำพูดนี้เข้าก็ถึงกับน้ำตาไหลทันที

“ขอบคุณ! ขอบคุณประธานลู่ ขอบคุณเลขาฯ หนิง! ขอบคุณ! ได้มาเจอนักลงทุนดีๆ อย่างพวกคุณ ผมยินดี…ยินดีทุ่มเทสุดชีวิต!” เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา พูดกับหนิงเหมิงด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เลขาฯ หนิง คุณต้องบอกประธานลู่นะครับ ต่อไปไม่ว่าประธานลู่จะลงทุนกับผมหรือไม่ ต่อไปถ้าเขาต้องการให้ผมช่วยอะไร ผมยินดีบุกน้ำลุยไฟไปช่วยเขาอย่างไม่รีรอ”

 

ตอนที่หนิงเหมิงออกมาจากโรงพยาบาลก็ดึกแล้ว เธอกินบะหมี่ง่ายๆ ที่ร้านหย่งเหอต้าหวังแล้วก็ไปขึ้นรถเมล์

พอดีแถวสุดท้ายมีที่นั่งว่าง หนิงเหมิงเดินเข้าไปนั่งศีรษะพิงกับขอบหน้าต่าง ในระหว่างที่รถเมล์ขับๆ หยุดๆ โดยใช้ความเร็วเหมือนกับคลานนั้น นอกหน้าต่างก็มีภาพรถติดที่เกิดขึ้นทุกวัน

แถวนี้ดูเหมือนจะไม่มีเวลาไหนที่รถไม่ติดเลย

ทุกครั้งที่มีคู่ค้าจะมาเจรจาโปรเจ็กต์ พวกเขาต่างก็อดที่จะตัดพ้อกับเธอไม่ได้ ‘แถวหวังฝูจิ่งรถติดมากจริงๆ ฉันมาก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมงยังเกือบจะมาสาย!’

แต่ทุกครั้งพวกเขาก็จะพูดถึงด้วยความอิจฉา ‘มิน่าล่ะ ที่นี่คือใจกลางของปักกิ่งสินะ สามารถเปิดบริษัทที่นี่ได้ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่เจ๋งสุดๆ ทั้งนั้น! สามารถมาทำงานที่นี่ได้ก็จะต้องเป็นคนเก่งระดับโลกจริงๆ น่ะสิ เหมือนกับ ผอ. หนิง!’

หนิงเหมิงที่พิงหน้าต่างอยู่ก็ยิ้มอ่อนๆ ออกมา ช่างเป็นความเข้าใจผิดที่โหดร้ายจริงๆ

ความหรูหราอลังการ ความสามารถพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ เธอไม่ใช่ ผอ. หนิง เธอเป็นแค่เลขานุการเท่านั้นเอง

นอกหน้าต่าง รถมายบัค* คันหนึ่งโฉบผ่านไป หนิงเหมิงเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อมองดูทะเบียนรถให้ชัด เมื่อเห็นว่าไม่ใช่รถของลู่จี้หมิง เธอก็พิงศีรษะกับหน้าต่างอีกครั้งแล้วหัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา

บ้าไปแล้ว ทำงานจนหลอน แค่เห็นรถมายบัคก็รู้สึกว่าลู่จี้หมิงมา รู้สึกว่าอีกสักพักก็จะต้องประลองปัญญากับผู้ป่วยโรคบอสซินโดรมอีกแล้ว

ขณะที่รถขับๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง หนิงเหมิงมองไปทางด้านนอกเห็นไฟถนนสีเหลืองส้มพลางคิดว่าลู่จี้หมิงเป็นคนอย่างไรกันแน่

ถ้านิสัยปากอย่างใจอย่างสามารถจัดอันดับได้ หมอนี่จะต้องเป็นผู้แข่งขันอันดับหนึ่งแน่นอน ปากคมยิ่งกว่ามีดหมอซ้ำยังทิ่มแทงคนได้ด้วย ส่วนใจกลับอ่อนเป็นเต้าหู้เละๆ ดูเหมือนไอ้งี่เง่าที่ดูแลเอาใจยาก แต่ถ้าค่อยๆ พิจารณาอย่างละเอียดก็จะรู้สึกว่าเขาก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

หนิงเหมิงรีบคว่ำบทสรุปที่ว่า ‘ลู่จี้หมิงก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง’ อย่างเข่นเขี้ยว

หลังจากที่หนิงเหมิงกลับถึงบ้าน เธออ่านหนังสือด้านธุรกิจสักพักแล้วค่อยไปอาบน้ำ เวลาก็ผ่านไปเกือบห้าทุ่มแล้ว

เธอปิดไฟเตรียมตัวจะเข้านอน

ขณะที่เกือบจะหลับไปแล้ว เสียงเรียกเข้ามือถือที่แสบหูก็กรีดร้องดังขึ้น

หนิงเหมิงหยิบมือถือขึ้นมา เห็นสายเรียกเข้าเป็นหมายเลขของลู่จี้หมิง

ใจเธอพลันกระตุกขึ้นมา อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ารถมายบัคที่เห็นตอนนั่งรถเมล์เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

แล้วก็…

หลังจากรับโทรศัพท์ เสียงที่ลอดผ่านมากลับไม่ใช่เสียงของลู่จี้หมิง “ฮัลโหลมะนาวน้อย ผมเป็นเพื่อนซี้เจ้านายคุณนะ เราเคยเจอกันด้วย ตอนนี้เจ้านายคุณดื่มจนเมาแล้ว ขับรถไม่ได้แล้วล่ะ เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ให้คุณนะ คุณรีบมารับหน่อย แล้วช่วยมาจ่ายเงินแทนเขาด้วย!”

ไม่รอให้หนิงเหมิงปฏิเสธ โทรศัพท์ก็ตัดสายไปทันที แล้วก็มีข้อความที่แสนกระแทกตาทะลุเข้ามาในกล่องข้อความ

หนิงเหมิงมองดูข้อความที่ส่งมาก็ถึงกับกัดฟันหายใจแรงๆ

เมื่อครู่เธอยังคิดว่าเขาเป็นคนดี เฮอะ! ดีบ้าอะไร! คนเลว!

หญิงสาวผุดลุกขึ้นจากกองผ้าห่ม จากนั้นก็ออกจากบ้านไปเรียกแท็กซี่เพื่อไปผับแถวซานหยวนหลี่

เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปตลอดทาง เกลียดตัวเองที่ทำไมถึงไม่ยอมปฏิเสธให้เด็ดขาด

ทำไมถึงปฏิเสธไม่ได้ นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ละครั้งก็ทำให้เธอรู้จักเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวของเขาเกือบจะครบหมดแล้ว

หนิงเหมิงคิดว่าอาจเป็นเพราะตอนลู่จี้หมิงเรียกเธอให้ทำแบบนี้ครั้งแรก เธอก็ไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาด มีบางเรื่องไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาดในครั้งแรก ต่อไปก็อย่าได้คิดจะเปิดปากปฏิเสธอีก

ตั้งแต่ครั้งแรกที่จะต้องไปลากตัวใครบางคนมาส่งกลับบ้านตอนดึก เธอสปอยล์นิสัยเสียของเจ้านายจนทำได้อย่างมั่นใจขึ้นทุกวัน ทำให้เขาคิดว่านอกจากเวลาทำงานที่สามารถเรียกใช้เธอได้แล้ว เลิกงานเขาก็ยังเรียกใช้เธอต่อได้อีก อะไรนิดอะไรหน่อยก็ค่อยขึ้นเงินเดือนให้เธอ ข้อเรียกร้องที่เกินไปทุกอย่างก็กลายเป็นหน้าที่ของเธอ

หนิงเหมิงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในใจก็อยากจะพ่นไฟ

อาการบอสซินโดรมกำเริบก็เพราะมีลูกน้องที่เชื่อฟังคอยส่งเสริม

เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าตัวเองจะเป็นเลขาฯ แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เดิมเธอก็ไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่นัก สามปีนี้เป็นเลขาฯ ให้กับลู่จี้หมิง บุคลิกที่เป็นคนตามน้ำทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจและล้ำเส้นได้

ตอนนี้เธอแทบไม่รู้จะพูดคำว่า ‘ไม่’ ได้อย่างไรแล้ว

หนิงเหมิงรีบไปถึงหน้าร้านบาร์เหล้า เมื่อเดินเข้าไปข้างใน ด้านหลังมีลำแสงสองเส้นสว่างจ้าขึ้น ตามด้วยเสียงบีบแตรดังสนั่น

เธอหันกลับไปมองก็เห็นรถมายบัคของลู่จี้หมิง

หญิงสาวหันกลับเดินไปตามแสงที่ส่องสว่างมา เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ประหลาดใจที่เห็นว่าในรถไม่ได้มีเพียงลู่จี้หมิงเพียงคนเดียว

ยังมีเพื่อนเสเพลที่นุ่งกางเกงผ้าแพร* ของเขาอีกสองคนด้วย

หนิงเหมิงยืนอยู่นอกรถได้ยินเสียงลู่จี้หมิงที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับขยับปากพูดกับเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังทั้งสองคน

“พวกนายไม่ต้องเรียกรถแล้ว เดี๋ยวให้เลขาฯ ฉันไปส่งที่บ้านพวกนายทีละคน เธอขับรถเก่งมาก ฉันน่ะออกเงินส่งเธอไปเรียนขับรถเลยนะ!” ขณะที่เขาพูดประโยคนี้ ท่าทางที่แสดงออกมันเหมือนเด็กที่น่าจับฟาดจริงๆ

หนิงเหมิงอยากจะตีขวดแก้วให้แตกแล้วเอาไปแทงไอ้ขี้เมานี่จริงๆ พูดเหมือนกับเลี้ยงดูเธออย่างนั้น ที่จริงเธอก็แค่เบิกค่าเรียนโรงเรียนสอนขับรถของตงฟางสือซ่าง* เท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง

ทั้งสองคนหันมาเห็นหนิงเหมิงก็ทักทายเธอ

“ไง มะนาวน้อย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นนะเนี่ย”

เมื่อได้ยินคำว่าสวย หัวใจหนิงเหมิงก็สั่นขึ้นมา

“แว่นตาใหม่ใช่ไหม สวยจริงๆ นะ”

หัวใจหนิงเหมิงหยุดเต้น แล้วก็ผุดมีดขึ้นมาเป็นร้อยเล่ม เธออยากจะจับหนุ่มเสเพลสองคนนี้โยนเข้าไปให้โดนแทงจนพรุนเหมือนกระชอน แต่ใบหน้าเธอก็เผยรอยยิ้มที่ตรงข้ามกับใจ

“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”

หนิงเหมิงเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งที่ฝั่งคนขับ

ลู่จี้หมิงยื่นหน้าเข้ามาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “มา หนิงเหมิง คุณช่วยไปส่งหนุ่มหล่อสองคนหน่อย อย่าให้เสียทีที่คนเขาชมคุณนะ”

หนิงเหมิง “…”

นั่นเค้าชมว่าฉันสวยหรือไง ชมแว่นตาสวยต่างหาก!!

หนิงเหมิงได้แต่ยิ้มกัดฟันไปตลอดทางที่ส่งคุณชายเสเพลกลับบ้านทีละคน

ในรถเหลือแค่หนิงเหมิงกับลู่จี้หมิงสองคนเท่านั้น

หญิงสาวเหยียบคันเร่งขับรถมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้าน ลู่จี้หมิงนั่งอยู่ข้างคนขับพลางฮัมเพลงเสียงเพี้ยนๆ ไป

หนิงเหมิงค่อยๆ เลื่อนหน้าต่างรถขึ้น

ลู่จี้หมิงหยุดร้องเพลงแล้วหันมาถามเธอ “ปิดหน้าต่างทำไม”

เธอเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง “…ยังจำได้ไหม คราวที่แล้วที่คุณร้องเพลง เราโดนตำรวจเรียก เขาบอกว่ามีคนแจ้งว่ามีการฆ่าหมูกลางดึกเสียงดังรบกวนชาวบ้าน”

ลู่จี้หมิงตบเข่า “ใครแม่งตลกจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ!”

“…”

แอลกอฮอล์ดึงบุคลิกที่สองของเขาออกมาแล้ว

ถือโอกาสที่ลู่จี้หมิงไม่อาละวาด หนิงเหมิงอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ “บอสคะ นี่ก็ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว คุณไม่คิดจะเรียกพนักงานขับรถแทนหรือคะ ยังไงซะฉันก็เป็นผู้หญิงนะคะ”

ลู่จี้หมิงตบเข่าอีกที “งั้นค่าเรียนขับรถที่ผมให้คุณเบิกก็เสียเปล่าน่ะสิ” เขาชะงักไปนิดแล้วก็พูดต่ออีก “จะพูดอีกที ผมจะไปเชื่อใจพวกพนักงานขับรถแทนได้ยังไง ผมทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้ ถ้าถูกจี้ปล้นล่วงละเมิดทางเพศจะทำยังไง คุณกับพนักงานขับรถแทนไม่เหมือนกัน ถ้าพูดถึงการไว้ตัว คุณสู้ผมไม่ได้หรอก!”

“…”

“เป็นยังไง ผมเชื่อใจคุณมากกว่าคนอื่น คุณภูมิใจไหม”

หนิงเหมิงอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ

ภูมิใจบ้าอะไร ประสาท!

เธออยากจะปลดเข็มขัดนิรภัยของลู่จี้หมิงแล้วเบรกแรงจริงๆ ให้เป็นภาพเขากระเด็นออกจากกระจกหน้าอย่างงดงาม

 

หนิงเหมิงใช้ความพยายามอย่างมากในการแบกลู่จี้หมิงเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขา

ระหว่างทางจากหน้าประตูใหญ่ไปยังห้องนอนของลู่จี้หมิง หนิงเหมิงถือโอกาสที่ชายหนุ่มดื่มเหล้าแล้วพูดง่ายนี้เรียกร้องผลประโยชน์ให้กับตัวเอง

“พรุ่งนี้คุณต้องให้ฉันเบิกค่าแท็กซี่วันนี้นะคะ”

“ไม่มีปัญหา”

“ครั้งหน้าเรียกพนักงานขับรถแทนนะคะ ให้ผู้หญิงอย่างฉันออกมารับคุณกลางดึก คุณไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรกับฉันหรือคะ”

“งั้นผมจะลองคิดดูนะ”

หนิงเหมิงครุ่นคิด “ขึ้นเงินเดือน”

ลู่จี้หมิงตอบอย่างไม่ลังเล “สบายมาก”

หนิงเหมิงรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว

“ฉันอยากจะไปอยู่แผนกโปรเจ็กต์ลงทุน ไปทำโปรเจ็กต์”

ลู่จี้หมิงตอบอย่างง่ายๆ “โอเค…” แล้วก็รีบเปลี่ยนคำพูด “เดี๋ยวนะ! อย่ามาถือโอกาสตอนที่ผมเมาเรียกร้องในสิ่งที่ไร้เหตุผล ผมรู้ตัวอยู่หรอกนะ เรื่องนี้ไม่ได้ ฝันไปเถอะ คุณไม่ใช่พวกที่จะทำโปรเจ็กต์ได้

หัวใจหนิงเหมิงดิ่งวูบ ปิดปากไม่พูดอะไรอีก

หยั่งเชิงดูแล้วล้มเหลว แล้วยังเป็นตอนที่ลู่จี้หมิงพูดง่ายด้วย ถ้าเขามีสติเต็มร้อยล่ะก็ เธออยากจะเปลี่ยนตำแหน่งแบบนี้จะต้องถูกเขาย้อนจนรับไม่ได้แน่นอน

เธอประคองลู่จี้หมิงไปถึงเตียงนอนแล้วโยนเขาลงไปบนเตียง

ลู่จี้หมิงล้มตัวลงไปแล้วก็เริ่มกรนครอกๆ ท่าทางของเขาในตอนนี้เหมือนกับเจ้าโง่ที่ไร้สมองยังไงยังงั้น

หนิงเหมิงยั้งใจไว้ไม่อยู่ถีบไปที่ขาของบอสหนุ่มที่ห้อยอยู่ข้างเตียง

ถือดีอะไรมาดูถูกฉัน หาว่าฉันไม่เหมาะจะทำโปรเจ็กต์งั้นเหรอ!

ลู่จี้หมิงที่โดนถีบก็ยังคงนิ่งสนิท

ดังนั้นหญิงสาวจึงอดที่จะถีบเขาไปอีกทีไม่ได้

มีเงินแล้วใหญ่นักหรือไง หล่อแล้วเจ๋งนักหรือไง เมาแล้วก็เป็นไอ้บ้าที่สูงเมตรแปดสิบห้า!

พอเธอหายโมโหก็ถีบเขาไปอีกที…

ทว่าคราวนี้ขาของเธอกลับถูกขาลู่จี้หมิงหนีบเอาไว้แน่น หนิงเหมิงซวนเซไปด้านหน้าแล้วล้มลงไปข้างเตียง

ลู่จี้หมิงเด้งขึ้นมาเหมือนผีดิบแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ

เมื่อมองผ่านเลนส์แว่นเห็นสายตาที่เลื่อนลอยของเขา ดวงตาที่ดึงดูดคู่นั้นทำให้หนิงเหมิงลืมหายใจไปเลย

เขาคงยังไม่สร่างเมาใช่ไหม ถ้าเกิดเขารู้ว่ามีคนถือโอกาสทำร้ายเขาตอนเมา ไม่รู้ว่าเขาคิดจะแก้แค้นหรือเปล่า

ขณะที่หนิงเหมิงกำลังใช้ความคิดคาดเดาอยู่นั้น ลู่จี้หมิงก็เอ่ยขึ้น

“นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณกลับคนเดียวไม่ปลอดภัย ลงไปข้างล่างหาห้องนอนสักห้องนะ”

พูดจบก็นอนหงายท้องลงไปทันที ขาสองข้างคลายออก แล้วก็กรนครอกหลับเป็นตายไปเลย

หนิงเหมิงถอนหายใจยาวเบาที่สุดจนแทบจะไม่มีเสียง

เธอลุกขึ้นยืน ครั้งนี้ไม่ได้ถีบเขาอีก เพียงแต่ค้อมตัวลงช่วยเขาถอดรองเท้าและห่มผ้าให้

หลังจากที่ยืนขึ้นหนิงเหมิงก็ถอนหายใจด้วยใจที่สับสน

เขาก็เป็นคนแบบนี้ มักจะทำคนโมโหจนทนไม่ไหว แล้วก็จะยื่นลูกอมหวานๆ ให้

จริงๆ เลย หงุดหงิดชะมัด

บทที่ 4 ตัวหาเรื่อง

หนิงเหมิงกำลังนั่งรถกลับบ้าน เธอไม่ได้ค้างอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่แตกต่างกับชาวบ้านหลังนั้น

เมื่อกลับถึงบ้านก็ตีสองกว่าแล้ว เพราะขี้เกียจจะล้างหน้าล้างตาอีกรอบหนิงเหมิงจึงพุ่งไปที่เตียงนอน หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายไปเลยเช่นกัน

แม้ว่าครั้งนี้จะนอนหลับลึกมาก เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นถึงสามครั้งหนิงเหมิงถึงได้ยิน แต่เมื่อเธอลุกขึ้นมาส่องกระจกก็ยังเห็นดวงตาดำคล้ำทั้งสองข้าง

เธอทำตัวให้กระฉับกระเฉงแล้วรีบไปบริษัท

ไม่นานนักลู่จี้หมิงก็มาถึง ขณะที่เขาเดินผ่านโต๊ะทำงานของหนิงเหมิง เธอก็ได้กลิ่นเหล้าที่ยังหลงเหลือจากการดื่มเมื่อคืน

โดยปกติถ้าเป็นเจ้าของบริษัทคนอื่น คืนก่อนดื่มหนักแล้วล่ะก็ วันรุ่งขึ้นจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกวัน ยังไงซะบริษัทก็เป็นของตัวเอง ใครจะมากล้าว่า

แต่ลู่จี้หมิงไม่ใช่คนเช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะดื่มมากขนาดไหน วันรุ่งขึ้นต่อให้ต้องนอนบนเปลหามไปเขาก็จะต้องมาทำงานให้ได้

ลู่จี้หมิงเคยบอกว่า ‘ฉันดื่มเยอะขนาดไหนก็ยังไม่ต้องพัก! ดูว่าใครดื่มหนักแล้วจะยังกล้าขอลาพักอีกไหม’

หนิงเหมิงซูฮกให้กับการกระทำที่ไม่ต้องการให้คนอื่นทำ ตัวเองก็เลยต้องลำบากไปด้วยของเขาจริงๆ

ลู่จี้หมิงเข้ามาในห้องทำงานไม่ถึงนาทีก็โทรเรียกหนิงเหมิงเข้าไป

“เข้ามา!”

เพียงสองคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทำให้หนิงเหมิงถึงกับสะดุ้ง

คุณชายน่าจะมีเรื่องที่ไม่พอใจและกำลังต้องการหาเรื่องแน่ๆ

หนิงเหมิงเข้ามาในห้องทำงาน ลู่จี้หมิงมองเธอพร้อมกับใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะไปด้วย จังหวะของเสียงที่ดังออกมาแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง

เสียงพูดที่เป็นทางการอย่างมากของลู่จี้หมิงดังขึ้น

“ผมจำได้ว่าเมื่อคืนก่อนที่จะหลับไป ผมบอกให้คุณไปหาห้องนอนที่ชั้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ แล้วคุณไปไหน ทำไมคุณถึงหนีออกไปล่ะ บอกผมก่อนแล้วหรือยัง ทำให้ผมต้องมาหาพนักงานขับรถแทนตอนเช้าอีก”

หนิงเหมิงได้ยินเข้าก็ชะงัก เขาไม่พอใจกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้? ดูท่าทางอาการบอสซินโดรมของเจ้านายคนนี้จะเพิ่มระดับขึ้นอีกแล้ว

เธอจึงได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ

ฉันเป็นเลขาฯ ของคุณ ไม่ใช่แม่ของคุณนะลูกพี่! คุณโตขนาดนี้แล้ว จะมาเข้าห้องน้ำแล้วยกก้นรอให้คนอื่นมาเช็ดได้ยังไง นี่คุณบ้าไปแล้วสินะ!

แต่หน้าตาของเธอยังคงนอบน้อมเป็นปกติ

“ประธานลู่ คืออย่างนี้นะคะ เมื่อคืนฉันรีบออกจากบ้านจึงลืมปิดหัววาล์วแก๊ส เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ต้องกลับไปค่ะ”

ลู่จี้หมิงร้องเหอะออกมา แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป

เขาเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีโดยถามขึ้นว่า “เมื่อวานคุณไปเยี่ยมคุณถังหรือยัง”

“ไปหลังเลิกงานแล้วค่ะ” หนิงเหมิงรายงานสิ่งที่เธอพบเห็นเมื่อไปถึงโรงพยาบาล

ลู่จี้หมิงฟังเรื่องราวทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าถังเจิ้งวั่งรู้สึกขอบคุณเขาจนแทบจะควักเอาหัวใจออกมาให้ เขาก็เผยรอยยิ้มสะใจสุดๆ ออกมา

หนิงเหมิงพยายามจะไม่กลอกตามองบน เขาสามารถแสดงท่าทีเอาดีเข้าตัวได้อย่างไม่คิดจะปิดบังเลย คนรวยช่างหน้าไม่อายจริงๆ

ฟังลู่จี้หมิงบ่นเรื่องลำดับการประชุมของวันนี้กับรอเขาเซ็นชื่อประทับตราในเอกสารหลายฉบับแล้ว หนิงเหมิงก็ถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังอารมณ์ดีหยิบเอาใบเสร็จค่าแท็กซี่สองใบออกจากกระเป๋าเสื้อ

“นี่เป็นใบเสร็จค่าแท็กซี่ที่ไปรับคุณเมื่อคืนกับตอนที่ฉันนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เมื่อวานคุณบอกว่าวันนี้ให้ฉันเอาใบเสร็จมาเบิกได้เลยไม่ต้องเข้าโอเอ*” หนิงเหมิงครุ่นคิด เมื่อได้จังหวะเหมาะก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ที่จริงเงินแค่นี้ไม่เบิกก็ไม่เป็นไร”

ประโยคนี้ปลุกยีนดื้อดึงของลู่จี้หมิงขึ้นมาได้สำเร็จ เขาเคาะโต๊ะอย่างแรง “คุณพูดแบบนี้ผมก็ต้องเบิกให้คุณให้ได้ เหยียนหวังเหยียไม่ติดหนี้ผีกระจอก** หรอก?!”

เขาหยิบใบเสร็จค่าแท็กซี่มามองดูแล้วก็ถามขึ้นว่า “แค่สองใบนี้เหรอ เมื่อวานคุณไปโรงพยาบาลไม่ได้เรียกแท็กซี่กลับบ้าน?”

หนิงเหมิงดันแว่นตาแล้วตอบไปว่า “เปล่าค่ะ ฉันนั่งรถเมล์กลับ”

ลู่จี้หมิงถามทันที “ทำไมถึงไม่เรียกแท็กซี่”

“ก็ช่วยบริษัทประหยัดเงิน ปกติถ้าไม่ต้องเรียกแท็กซี่ได้ ฉันก็จะพยายามไม่เรียกแท็กซี่ค่ะ”

ลู่จี้หมิงร้อง “เฮอะ” ออกมา “ถ้าคุณไม่นั่งแท็กซี่เพราะต้องการช่วยบริษัทประหยัดเงิน ผมจะกินใบเสร็จสองใบนี้เข้าไปตอนนี้เลย” เขาพูดเสียงเข้ม “พูดความจริง!”

“ต้องแปะใบเสร็จแล้วก็ทำเรื่องขอเบิกตามโอเอ ขั้นตอนมันยุ่งยากน่ะค่ะ”

ลู่จี้หมิงร้อง “เฮอะ” ออกมาอีก รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความประชดประชันเล็กๆ กลับทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด “ทำไมล่ะ นี่กำลังจะบอกผมให้จัดรถให้คุณอีกคันล่ะสิ”

หนิงเหมิงรู้ว่าพฤติกรรมจับผิดแบบเอาสีข้างเข้าถูของลู่จี้หมิงเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเธอขัดคำสั่ง ไม่ยอมพักอยู่ที่บ้านของเขาทำให้เขาต้องลำบากเรียกพนักงานขับรถแทนในตอนเช้า เขาไม่พอใจ

เธอรู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์เช่นนี้ของบอสหนุ่มอย่างไร แค่จะยอมทำตามอย่างเดียวไม่ได้ ยิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งกระตุ้นให้เขามีอาการบอสซินโดรมกำเริบหนักเข้าไปอีก

เธอจะต้องขัดบ้างแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น

ดังนั้นหนิงเหมิงจึงดันแว่นตาแล้วพูดขึ้น “คุณเป็นเจ้านาย ฉันเป็นแค่พนักงาน คุณต้องการจะทำแบบนี้ ฉันก็ไม่กล้าปฏิเสธหรอกค่ะ”

ลู่จี้หมิงพูดอย่างเอาเรื่องขึ้นมา “อ้อ! ก็ได้ งั้นผมยกเจ้ามายบัคคันนั้นให้เลย คุณพอใจไหม”

หนิงเหมิงรู้ว่าเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว ถ้ายังเถียงต่อไป เขาจะต้องยัดเยียดเจ้ามายบัคคันนั้นให้เธอจริงๆ แน่

เธอขับเจ้าตัวโตนั่นไม่ไหวหรอก

“บอสคะ อย่าเลยค่ะ” หนิงเหมิงยิ้มแล้วก็ได้แต่ยิ้มกับยิ้ม “คุณก็รู้เงินเดือนของฉัน เจ้ามายบัคของคุณเหยียบไปทีน้ำมันก็หมดไปเป็นแกลลอน ฉันดูแลไม่ไหวหรอกค่ะ!”

ลู่จี้หมิงยิ้มเย็น “นี่กำลังจะบอกผมว่าให้ผมขึ้นเงินเดือนใช่ไหม”

หนิงเหมิงตอบกลับไปอย่างนอบน้อม “คุณเป็นเจ้านาย จะขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่ก็แล้วแต่คุณค่ะ!”

ลู่จี้หมิงยกมือขึ้นชี้ไปทางประตู “ออกไปเลย!”

ทันทีที่หนิงเหมิงออกมาจากห้องทำงานเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งตัว บางครั้งเธอก็อยากทำตามใจชอบ ไม่ต้องระวังว่าจะตะคอกใส่ลู่จี้หมิง ให้เขาที่สูงส่งนักได้สัมผัสว่าการถูกตะคอกเป็นอย่างไร

เป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะย้อนทำประชดประชันกับเขาได้อย่างคนที่เท่าเทียมกันนะ

 

ตอนเย็นเลิกงานหนิงเหมิงกลับถึงบ้านก็รีบวิดีโอคอลล์หาโหยวฉีเพื่อระบายความอึดอัดใจ

โหยวฉีต้องมองหน้าหนิงเหมิงแล้วเอ่ยถามขึ้น “ทำไมฉันถึงเห็นขอบตาแกดำ ไม่ได้ปรับกล้องให้ดีหรือว่าแกแต่งคอสเพลย์เป็นหมีแพนด้ากันแน่?”

หนิงเหมิงคลึงใบหน้า เสียงพูดระบายความอัดอั้นเต็มไปด้วยความสลดและความโกรธเกรี้ยว

“อย่าพูดเลย! นี่ก็เป็นเพราะเจ้านายดื้อเป็นลาก่อเรื่องขึ้นทั้งนั้น!”

หนิงเหมิงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง

โหยวฉีหัวเราะเหอะๆ แล้วก็มองค้อนใส่ “เจ้าของที่ดินในสังคมศักดินาสามารถขู่เข็ญชาวนาได้ เพราะชาวนาส่วนใหญ่ได้แต่ทำตามไม่รู้จักขัดขืน ชาวนาต้องการจะเปลี่ยนเป็นนายก็ต้องกบฏ ส่วนแก ไม่ได้เรื่อง แกต้องรู้จักกบฏ เรียนรู้ที่จะกบฏ รู้จักพูดคำว่าไม่”

หนิงเหมิงแก้ตัวไปว่า “แต่ชาวนากบฏสำเร็จก็จะได้เป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนฉันกบฏแล้วบริษัทก็ไม่ได้เป็นของฉัน แล้วฉันก็จะตกงานด้วยเหตุนี้ ดังนั้นที่แกเปรียบเทียบอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง”

โหยวฉียื่นหน้าเข้ามาใกล้กล้อง รอยยิ้มที่งดงามไร้ที่ติเผยความโหดเหี้ยมออกมา “แกปากดีกับฉัน แล้วแกปากดีกับเจ้านายสัญชาติลาดื้อของแกไหม”

หนิงเหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ล้อเล่นน่ะ! ฉันยืดอกบอกกับแกได้เลย ไม่กล้า แล้วยังไงล่ะ!”

โหยวฉีร้องเหอะออกมา “แกน่ะพวกตีสองหน้า”

หนิงเหมิงหัวเราะตามน้ำ “ฉันมาใช้ชีวิตอยู่ในปักกิ่งมันไม่ง่ายเลยนะ จะมาดันทุรังเป็นอริกับเงินได้ยังไง แกว่าไหม ยังไงเขาก็เป็นคนจ่ายเงินเดือนฉันนะ”

โหยวฉีไม่สนใจฟังคำอธิบายดันทุรังที่เธอบอก อยู่ๆ ก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นมา “อาเหมิง แกรู้ไหมว่าทำไมแกถึงเป็นพวกตีสองหน้าแบบนี้”

หนิงเหมิงชี้ไปที่ปลายจมูกตัวเองแล้วถามขึ้น “ฉันเป็นพวกตีสองหน้างั้นเหรอ อย่างฉันเรียกว่ารู้จักผ่อนปรนหรอก”

โหยวฉีหัวเราะเหอะๆ “หึ! หาคำพูดดีๆ มาแก้ตัวให้ตัวเองนะ แกไม่ใช่พวกตีสองหน้างั้นเหรอ ในใจอยากจะเอามีดไปแทงคนเขาจะแย่ แต่หน้าก็ต้องยิ้มอ่อนโยนไว้”

หนิงเหมิงเท้าคางทำท่าครุ่นคิดจริงจัง “แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้ด่าฉันว่าสารเลว”

โหยวฉีร้องเชอะ ใบหน้าอันงดงามเผยความดูถูกออกมา “ถ้าจะสารเลวนอกจากต้องยิ้มอย่างงดงามแล้ว ใจต้องคิดจะเอาความคิดชั่วๆ ไปใส่ร้ายให้กับคนอื่น แกไม่มีฝีมือในการใส่ร้ายคนอื่น ฉันถึงบอกว่าแกยังไม่สารเลวไง” โหยวฉีหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างแทงใจดำว่า “แกรู้สึกต่ำต้อย”

หนิงเหมิงชะงักอยู่หน้ากล้อง

โหยวฉีพูดกับเพื่อน “อาเหมิง เพราะแกรู้สึกต่ำต้อย ดังนั้นแกถึงไม่กล้าที่จะตอบโต้กลับ สุดท้ายก็กลายเป็นพวกตีสองหน้าแบบหลบๆ ซ่อนๆ แกต้องมั่นใจในตัวเองหน่อย! แกไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลยจริงๆ นะ! แม้ว่าแกจะไม่ได้สวยบาดตาบาดใจอย่างฉัน แต่แกก็สวยละมุนนะ! เพียงแต่แกจัดการตัวเองไม่ค่อยถูก ชอบแต่งตัวเป็นหัวหน้าสาวแก่เท่านั้นเอง”

หลังจากฟังความคิดเห็นของโหยวฉีแล้ว หนิงเหมิงอยากจะหาหลุมเงียบๆ กระโดดลงไปจริงๆ ไม่อยากฟังคำพูดแทงใจอะไรอีกแล้ว

วิธีปลอบใจของโหยวฉีฟังแล้วไม่ค่อยเหมือนกำลังปลอบใจคนเท่าไหร่…

หนิงเหมิงยังดันทุรังคิดว่าตัวเองไม่ได้ฝืนยิ้มพูดกับโหยวฉี “แกนี่นิสัยไม่ดีจริงๆ! มีเวลาว่างไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องจิตวิทยาทำไม ทำเอาฉันเหมือนถูกจับแก้ผ้าอยู่กลางถนน”

เมื่อปิดวิดีโอคอลล์แล้วหนิงเหมิงก็นอนแผ่หลาอยู่บนเตียง

เธอรู้สึกอับอายอยู่สักหน่อย เพราะคิดว่าความรู้สึกต้อยต่ำนี้เป็นความลับ เธอเก็บซ่อนมันไว้เป็นอย่างดี ไม่มีใครจะรู้ได้ แต่สุดท้ายโหยวฉีก็รู้และพูดออกมาอีกด้วย

ถูกต้อง เธอรู้สึกต่ำต้อย รู้สึกว่าการมีชีวิตในปักกิ่งของตัวเองนั้นต้อยต่ำยิ่งกว่าต้นหญ้า คนอื่นรูดการ์ดซื้อกระเป๋าในห้างบนถนนจินหรงโดยไม่ต้องกะพริบตา เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปดูราคา แม้ว่าจะได้พบเจอกับคนรวยอยู่ทุกวัน แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นเป็นสิ่งที่เรียกว่าระยะห่างระหว่างความรวยกับความจนกั้นกลางระหว่างเธอกับคนรวย ไม่ว่าเธอพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถข้ามกำแพงนี้ไปได้ เธอเป็นแค่คนที่ทำงานการเงินที่ให้บริการเบ็ดเตล็ดกับคนมีเงินเท่านั้นเอง

กับลู่จี้หมิงเธอรู้สึกชัดเจนว่าตัวเธอกับเขาไม่ใช่คนบนโลกใบเดียวกัน แม้ตอนนี้จะเป็นยุคสังคมนิยม ระหว่างคนไม่ควรจะมีเรื่องชนชั้นมาเป็นตัวแบ่งแยก แต่ความรวยกับความจนก็แบ่งแยกคนเป็นหลายระดับอย่างเงียบๆ คนรวยอย่างลู่จี้หมิงมีชีวิตอยู่บนยอดพีระมิด

ส่วนเธอก็อยู่ชั้นล่างสุด ต้องพยายามอย่างหนักที่จะมีชีวิตอยู่ใต้พีระมิดนั่น

เธออยากจะปีนขึ้นไป อยากจะเป็นคนในระดับที่สูงขึ้น

ดังนั้นเธอจึงไม่อยากทำงานเลขาฯ อีกต่อไป เธออยากจะทำโปรเจ็กต์ลงทุน เป็นคนที่สามารถสร้างเงินสร้างความร่ำรวยขึ้นมาได้ ทำงานที่สามารถเลื่อนระดับสูงขึ้นได้

แต่เมื่อคิดถึงคืนก่อนที่ใช้โอกาสตอนลู่จี้หมิงเมา ท่าทางของเขาหลังจากเธอพูดว่าอยากจะไปทำโปรเจ็กต์ลงทุนนั้นทำให้หนิงเหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา

ถ้าลู่จี้หมิงยืนยันไม่ให้เธอย้ายตำแหน่งไปทำโปรเจ็กต์ลงทุน ตอนนั้นเธอจะโมโหแล้วลาออกเลยไหม แต่ถ้าลาออกแล้วไปสมัครงานกับบริษัทเงินทุนอื่น คนอื่นจะให้โอกาสเธอไปทำโปรเจ็กต์ลงทุนหรือเปล่า เพราะประสบการณ์สามปีที่เธอมีตั้งแต่เรียนจบมาก็มีแค่งานด้านเลขานุการเท่านั้นเอง

หนิงเหมิงจ้องมองเพดานแล้วถอนหายใจ เธอหลับตาลงแล้วก็เริ่มง่วงขึ้นมา

แต่เธอไม่อยากจะเป็นคนตีสองหน้าที่ถูกคนสูงกว่ากดเอาไว้ คิดว่าจะต้องมีสักวันที่เธอจะเชิดหน้าขึ้น ลู่จี้หมิงพูดออกมาหนึ่งประโยค เธอจะโต้เขากลับไปอย่างไม่ต้องเกรงกลัว

หนิงเหมิงคิดอย่างสะลึมสะลือก่อนที่จะหลับไป

ความรู้สึกที่อยากจะเถียงก็เถียงได้ มันจะเป็นความสะใจขนาดไหนกันนะ

 

วันรุ่งขึ้นไปทำงาน หนิงเหมิงต้อนรับแขกที่มาเยือนคณะหนึ่ง พวกเขามาหาลู่จี้หมิงเพื่อเจรจาพูดคุยเรื่องสัญญาการเตรียมความพร้อมก่อนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์

บุคคลสำคัญที่มาก็คือสองสุภาพสตรี ส่วนคนอื่นๆ ก็คือผู้ช่วยที่พวกเธอพามาด้วย

สุภาพสตรีคนหนึ่งคือสืออิง อายุประมาณสี่สิบ เป็นนักลงทุนที่มีความสามารถ เป็นผู้รับรองตรวจสอบหญิงชุดแรกที่ทำการประเมินไอพีโอ* ในประเทศ

ส่วนสุภาพสตรีอายุยี่สิบกว่าอีกคนหนึ่งหนิงเหมิงรู้จัก เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของลู่จี้หมิง ชื่อสวี่ซือเถียน ทุกครั้งที่หญิงสาวมาที่บริษัทก็สามารถเรียกสายตาของทุกคนให้จ้องมองไปที่เธอได้

เพราะว่าเธอสวยจริงๆ

 

เชิงอรรถ

* หยางไป๋เหลาและหวงซื่อเหริน เป็นตัวละครจากเรื่องไป๋เหมาหนี่ว์ (สาวผมขาว) หยางไป๋เหลาเป็นชาวนาที่เช่าที่ของหวงซื่อเหริน หวงซื่อเหรินเป็นเจ้าของที่ดินที่นิสัยร้ายกาจ รังแกผู้ที่ตกยาก ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงลิ่วให้หยางไป๋เหลาติดหนี้เป็นจำนวนมาก เพื่อจะให้หยางไป๋เหลาเอาตัวลูกสาวที่ชื่อสี่เอ๋อร์มาขัดดอก แต่สี่เอ๋อร์หนีขึ้นไปอยู่บนภูเขาเพื่อหลบหนีจากการคุกคามของหวงซื่อเหริน เธอใช้ชีวิตอยู่ในป่าจนผมเธอเปลี่ยนเป็นสีขาว ต่อมาภายหลังหวงซื่อเหรินถูกหวังต้าชุน หนุ่มที่รักใคร่กับสี่เอ๋อร์ตั้งแต่เด็กแก้แค้น และรับตัวสี่เอ๋อร์ลงจากภูเขา ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข

*** หนิงเหมิง พ้องเสียงกับคำว่ามะนาวในภาษาจีนกลาง

* มายบัค (Maybach) เป็นรถยนต์หรูสัญชาติเยอรมนี

* กางเกงผ้าแพร เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงผู้ชายที่เป็นลูกหลานคนมีฐานะ ในสมัยโบราณกางเกงของผู้ชายชนชั้นสูงจะทำจากไหมหรือผ้าแพร จึงมีคำเปรียบเปรยว่าลูกหลานกางเกงแพร

* ตงฟางสือซ่าง เป็นโรงเรียนสอนขับรถที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งมีสาขาอยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ

* OA ย่อมาจาก Office Automation หมายถึงระบบสำนักงานอัตโนมัติ

** เหยียนหวังเหยียไม่ติดหนี้ผีกระจอก เป็นการเปรียบเปรย หมายถึงคนที่มีเงินเยอะแล้วจะมาค้างเงินคนที่มีน้อยกว่าได้อย่างไร เหยียนหวังเหยียคือพญายมเมื่อเทียบกับผีกระจอกแล้ว พญายมก็มีฐานะและสมบัติมากกว่าผีกระจอก จึงไม่มีทางที่จะค้างเงินหรือติดหนี้บุญคุณกับผีกระจอก

* IPO ย่อมาจาก Initial Public Offering เป็นการเปิดขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทเอกชนสู่สาธารณชน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บริษัทหาทุนเพื่อขยายกิจการ หรือเพื่อกระจายการถือครองหุ้นให้ประชาชนทั่วไป โดยนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 มิ.. 65  เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: