X
    Categories: Sweet Sunbae... จูบนี้สีชมพูWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Sweet Sunbae… จูบนี้สีชมพู บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 20

 บทที่ 1

ตัดใจไม่ได้แล้ว รักข้างเดียวครั้งนี้

ฮยอนซึงยกแก้วเบียร์ขึ้นจรดริมฝีปาก ลอบสังเกตซงอาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กัน เธอกำลังคุยอย่างออกรสกับคนอื่นๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

โอเค ดูอารมณ์ดี แต่เบียร์นั่น

ข้างหน้าเธอคือเบียร์สดปริมาณห้าร้อยซีซีแก้วที่สอง ซงอาไม่ใช่พวกคออ่อน ตอนนี้เธอจึงยังมีสติสัมปชัญญะเกือบเป็นปกติ

งั้นวันนี้ได้มั้ยนะ

ฮยอนซึงคิดจะสารภาพความในใจกับซงอาวันนี้ เขาเข้ามาทำงานให้ทีมโฆษณาในบริษัทแฟชั่นแนวหน้าของเกาหลีได้เจ็ดเดือนแล้ว ระหว่างนั้นความรู้สึกที่มีต่อซงอาก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ทีแรกเขาไม่ได้คิดกับเธอแบบชายหนุ่มหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ ซงอาอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี หน้าสวย ปากนิดจมูกหน่อย จึงดูเด็กกว่าเขามาก และการพยายามวางท่าเป็นรุ่นพี่ดูแลน้องๆ ก็ทำให้เธอยิ่งดู ‘น่ารัก’ เข้าไปอีก แม้เขาจะยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาด แต่ใจก็เปิดรับเธอเข้ามาแล้วทีละน้อย

‘ว้าว! สุดยอด!’

ฮยอนซึงไม่เหมือนพนักงานเข้าใหม่ ทุกครั้งที่เขาทำงานตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จหมดในรวดเดียว ซงอาจะตกใจตาโต และฮยอนซึงก็จะเผลอยิ้ม

‘คุณฮยอนซึงเก่งมาก! คุณฮยอนซึงสุดยอด!’

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รอยยิ้มกว้างเผยฟันขาวเป็นระเบียบกับท่าทางชูนิ้วโป้งแบบนั้นทำให้ใจเขาเต้นรัว เธอดูเท่จริงๆ ทั้งที่ตัวก็เล็กแค่นี้ กลับมีไฟลุกโชนและพลังเหลือล้นที่ไม่รู้มาจากไหน แม้รูปร่างที่มีส่วนโค้งเว้าแบบหญิงสาวของเธอจะดูห่างไกลจากคำว่าเท่อยู่มาก แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่รวมทั้งความเท่และความน่ารักหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเอาไว้ในคนคนเดียว

“ขอไปห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ”

พอซงอาดูโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นยืน ฮยอนซึงก็ดันเก้าอี้ไปข้างหลังเงียบๆ เขากะจะไปรอตรงหน้าห้องน้ำแล้วค่อยพาเธอออกไปข้างนอก…

อะไรน่ะ

หญิงสาวผลักประตูร้านเหล้าแล้วเดินออกไป

ไปสูดอากาศรึเปล่านะ ห้องน้ำอยู่ข้างในไม่ใช่เหรอ

ฮยอนซึงตัดสินใจเดินตามเธอไป ครั้นเปิดประตูออกไปยังทางเท้าก็เห็นเธอกำลังหันรีหันขวาง

มองหาอะไรอยู่นะ

“รุ่น…!”

ฮยอนซึงอ้าปากจะเสนอความช่วยเหลือ แต่อยู่ๆ ซงอาก็ยิ้มกว้างแล้ววิ่งไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นใครบางคนที่รวบเอวเธอเข้าไปกอดก็ทำเขาอึ้งจนหน้าเหวอ

หัวหน้า…?

เป็นแจชินไม่ผิดแน่ มองอีกกี่ครั้งก็ใช่หัวหน้าคนที่บอกว่าจะมากินเลี้ยงกับทีมช้าหน่อยเพราะติดประชุม แจชินห่อตัวซงอาไว้ด้วยเสื้อโค้ตพร้อมยิ้มอ่อนโยน ส่วนซงอานั้นยิ้มให้ชายหนุ่มกว้างยิ่งกว่า มีเพียงฮยอนซึงที่ไม่อาจเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าได้

อะไรกัน หรือว่าสองคน

แจชินนั้นเขาไม่รู้ แต่ซงอาบอกว่าที่ผ่านมาเธอไม่มีแฟน แล้วตอนนี้…

“แปลว่ารุ่นพี่โกหก ส่วนแฟนของหัวหน้าก็คือรุ่นพี่ งั้น…แอบคบกันเหรอ”

จังหวะนั้นแจชินเริ่มหันมองไปรอบๆ ฮยอนซึงจึงรีบซ่อนตัว สองคนนั้นออกเดินไปที่ไหนสักแห่ง ฮยอนซึงลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะตัดสินใจตามหลังไปเงียบๆ เมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าก็ยังอยากเช็กให้แน่ใจกว่านี้อีก กระทั่งพบทั้งคู่เดินเลี้ยวเข้าไปในซอยเพื่อแลกจูบกัน ฮยอนซึงถึงเพิ่งนึกเสียใจกับความคิดของตัวเอง

“เฮ้อ…”

ฮยอนซึงเอนศีรษะพิงกำแพงแล้วแหงนมองท้องฟ้าดำมืด มีเพียงความรู้สึกสิ้นหวังรายล้อม ในแผนสารภาพรักของเขาวันนี้ไม่ได้มีเหตุการณ์นี้รวมอยู่ด้วย ผลลัพธ์ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย

ร้านชุดแต่งงาน ‘ฮารา’ ย่านชองดัมดง

ฮยอนซึงฝากให้พนักงานรับจอดรถนำรถเขาไปจอด จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในร้าน พื้นที่สามชั้นตลอดทั้งอาคารเป็นของร้านฮาราทั้งหมด ที่นี่จำหน่ายเฉพาะชุดแต่งงานแบบสั่งตัดเท่านั้น นับเป็นร้านในฝันของเหล่าเจ้าสาวก็ว่าได้ ขั้นตอนการผลิตจะเริ่มตั้งแต่การออกแบบซึ่งใช้เวลาถึงสองเดือน และการรอเพื่อสั่งตัดซึ่งใช้เวลาต่ออีกหกเดือน กระนั้นลูกค้าก็ยังเนืองแน่น กลุ่มลูกค้าหลักย่อมเป็นพวกดารานักแสดง ผู้มียศตำแหน่งในแวดวงการเมือง ทายาทตระกูลใหญ่ และบุคคลมีชื่อเสียงต่างๆ

“มาแล้วเหรอคะ”

“ครับ” ฮยอนซึงตอบรับคำทักทายของผู้จัดการร้านแบบสบายๆ

ภายในร้านเป็นสีขาวล้วน เพดานสูงเทียบเท่ากับชั้นสองจึงให้ความรู้สึกโอ่โถง ตรงกลางพื้นที่ชั้นหนึ่งมีการจัดแสดงชุดแต่งงานเอาไว้ โดยรอบนั้นเป็นห้องให้คำปรึกษา ส่วนชั้นสองเป็นห้องลองชุดกับพื้นที่ห้องท่านประธาน และชั้นสามเป็นห้องสำหรับตัดเย็บชุด

“ท่านประธานอยู่ข้างบนค่ะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

ฮยอนซึงเดินขึ้นบันไดเวียนเพื่อไปยังห้องประธานที่ชั้นสอง จีซึงซึ่งเป็นประธานของร้านนี้คือพี่สาวคนโตที่แก่กว่าเขาสิบปี ส่วนพี่สาวคนรองที่แก่กว่าเขาแปดปีนั้นเป็นนักร้องโอเปร่า

ฮยอนซึงเคาะประตูพร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน จีซึงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานส่งยิ้มแห้งๆ ต้อนรับเขา พี่สาวน้องชายบ้านนี้สนิทสนมกันมากทีเดียว

“มาแล้วเหรอ”

“สุดสัปดาห์เวลาทองทีไร เป็นต้องเรียกมาที่ร้านให้ได้เลยนะ”

“เพราะเป็นสุดสัปดาห์เวลาทองนี่แหละ ไม่งั้นน้องชายสุดหล่อของพี่ก็เอาแต่ขลุกอยู่ในบ้านน่ะสิ”

จีซึงลุกจากโต๊ะเดินมาหาน้องชายพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย สำรวจไปทั่วตัวเขา

“ทำไม มีอะไร”

“ปัญหาอยู่ตรงไหนหนอ วันอากาศดี๊ดีแบบนี้ น้องชายยังอุตส่าห์มาช่วยงานพี่สาวได้”

“พี่เป็นคนสั่งเองนะ”

จีซึงยืนกอดอก กวาดตามองชายหนุ่มโดยไม่สนใจที่เขาพูด

“มองผ่านๆ ยังหล่อ ฝ้ากระก็ไม่มี ตัวก็สูง นี่เกินร้อยแปดสิบใช่มั้ย”

“จะกรอกประวัติให้ผมรึไง”

“ไหล่อาจจะกว้างเหมือนนักเลงแต่ก็สมส่วนดี ใต้เสื้อนี่ต้องเป็นกล้ามแน่นๆ แน่”

“จะจับถอดชุดแล้วใช้ผมเป็นแบบสินะ”

“รูปร่างภายนอกไม่มีจุดไหนให้ตำหนิ…” จีซึงพร่ำพูดต่อพลางจ้องหน้าฮยอนซึงเขม็ง “หรือปัญหาจะอยู่ที่นิสัย?”

“หึ”

ฮยอนซึงแค่นหัวเราะเบาๆ ผ่านจมูก จีซึงยังคงเคร่งเครียด

“มีมุมที่เย็นชาอยู่บ้างแหละ แต่เท่าที่สังเกตก็เป็นเฉพาะเวลาทำตัวกับพี่ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงของตัวเองก็คงหวานกว่านี้ มนุษยสัมพันธ์ดีเข้ากับคนง่าย ไม่เหนียมอายกับผู้หญิง นิสัยก็พอกล้อมแกล้ม น่าจะดึงดูดสาวๆ รุ่นราวคราวเดียวกันสบายๆ เลยนี่นา” จีซึงใคร่ครวญชั่วขณะก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ “หรือว่าเธอเป็นพวกตายด้าน!”

“หา?”

ข้อสรุปของจีซึงทำเอาฮยอนซึงอึ้งจนไปต่อไม่ถูก ฝ่ายจีซึงนั้นจริงจังมาก น้องชายเธอควรจะกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาให้สมกับที่เป็นหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดไม่ใช่หรือ แต่นี่ชักจะเข้าขั้นน่าเป็นห่วงเสียแล้วเพราะเขาไม่มีสาวข้างกายแม้แต่คนเดียว จีซึงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าน้องชายเคยมีแฟนเมื่อไหร่

“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมไม่คิดจะมีแฟนสักที จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เถอะ ไม่เห็นคบใครเลย”

“ให้คบผู้ชายได้เหรอ”

“จริงๆ ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นหรอก แต่แล้วไง ถ้าเธอต้องการ”

คำตอบเท่ๆ ของพี่สาวทำเอาฮยอนซึงหัวเราะอย่างไม่อยากเชื่อ อันที่จริงเขารู้ตัวว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

“เท่จัง”

ฮยอนซึงนั่งลงบนโซฟา จีซึงเดินเข้ามาหาแล้วยกมือเท้ากับพนักโซฟาฝั่งตรงข้าม

“ทำไมไม่คบใครเลยล่ะ หรือว่าคบอยู่ แต่ไม่พามาเจอพี่”

“ยุคนี้จะเปิดตัวว่าคบทีละสองคนอย่างพี่ก็ลำบากอยู่นะ”

“จริงอ้ะ มีแฟนแล้วจริงๆ แต่ไม่พามาเจอหรอกเหรอเนี่ย”

จีซึงตาเป็นประกาย ฮยอนซึงจึงรีบพูดเป็นการดับไฟก่อนที่ความคาดหวังจะลุกโชติช่วงไปมากกว่านี้

“เปล่าซะหน่อย มีผู้หญิงมาชอบผมเยอะแยะ แต่ผู้หญิงที่ผมชอบกลับไม่สนใจผมแม้แต่ปลายเล็บ มัวตกหลุมรักชายอื่นอยู่”

“อุ๊ยตาย แอบรักเขาข้างเดียว”

ฮยอนซึงได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มสั้นๆ ช่างเป็นคำที่ไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย ทว่าถึงจะไม่เหมาะ แต่ก็นับว่าถูกต้อง

“อื้ม รักข้างเดียว เอาตรงๆ คือเคยรักข้างเดียว”

เพราะฮยอนซึงดันไปเห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างซงอากับแจชินเมื่อวานเข้า เขาจึงหมายมั่นจะตัดใจทันที แม้เสียดายก็ไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงกับใคร อีกอย่างคือตอนนี้ซงอาก็ดูมีความสุขดี

“เคยรักข้างเดียว? เป็นอดีตไปแล้วนี่ ยังไม่ลองทำอะไรก็จะยอมแพ้ไปเฉยๆ เหรอ”

“ก็บอกแล้วไงว่าเขามีแฟนแล้ว ผมเองก็ไม่รู้มาก่อน จู่ๆ เรื่องก็เป็นแบบนี้”

ฮยอนซึงรู้สึกขมในปาก ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา

ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่ารุ่นพี่มีแฟนแล้ว เราจะยังชอบมั้ยนะ

เขาได้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดนาน

ก็คงลองพยายามดูล่ะมั้ง ช่วยไม่ได้แฮะ

สำหรับเขา ซงอาเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์มากๆ โดยเฉพาะเมื่อเธอยิ้มกว้างสดใสตอนทาลิปสติกสีชมพูที่เข้ากันดีเหลือเกินกับผิวขาวๆ นั้น ฮยอนซึงถึงกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นโครมครามเวลาที่ได้เห็นเธอ

“จะฝากอะไรไปให้พี่รองก็เอามาเร็วๆ”

ฮยอนซึงเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน ผลักความคิดถึงซงอาออกไป ถ้าอยู่บ้านเขาคงเอาแต่คิดถึงเธอแน่ๆ จึงตั้งใจออกมาข้างนอก ทว่าพอออกมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน คงต้องรีบย้ายสถานที่ สมองจะได้โล่งๆ

“นัดบอดให้มั้ย”

“ฝากบอกพี่รองว่า ‘นัดบอดให้มั้ย’ เหรอ พี่เขยคงชอบใจน่าดู”

“อย่าไปบอกแบบนั้นเข้าจริงๆ นะ” จีซึงอมยิ้มพลางยื่นถุงกระดาษให้น้องชาย “ว่าแต่…ผู้หญิงแบบไหนกันนะ ถึงกับทำให้น้องพี่รักข้างเดียวได้ มีรูปมั้ย”

“จะดูรูปผู้หญิงที่ผมตัดใจไปแล้วทำไม อีกอย่างก็ไม่มีรูปอยู่แล้วด้วย”

ฮยอนซึงรับถุงกระดาษมาถือ รีบออกจากห้องเพราะเกรงว่าพี่สาวจะรั้งตนไว้คุยต่อ

“เรายังไม่ได้ดื่มชากันสักถ้วยเลยนะ” จีซึงตามมาติดๆ

“ตอนคุยกับลูกค้าก็ต้องดื่มชาอยู่แล้วทั้งวันทั้งคืนยังจะชวนอีก ถ้าว่างนักล่ะก็ หาเวลาไปกินข้าวกับพี่รองบ้างล่ะ ยังไงเดี๋ยวผมจัดการนัดให้”

ฮยอนซึงตัดบทเพื่อให้พี่สาวเลิกตามเขาสักที ขณะลงบันไดนั้นเอง สายตาก็ดันไปเห็นใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ

“เป็นอะไรไป”

จู่ๆ ฮยอนซึงก็หยุดเดินกะทันหัน จีซึงที่อยู่ด้านหลังพลันสงสัย

“ขอเวลาเดี๋ยว”

ฮยอนซึงก้าวถอยไปหลบเพื่อไม่ให้มองเห็นจากด้านล่าง ที่ชั้นหนึ่งผู้จัดการร้านกำลังออกไปส่งคู่รักซึ่งเพิ่งคุยรายละเอียดและรับคำปรึกษาเสร็จ เขามองตามร่างคนสองคนผ่านผนังกรุกระจกใสทั้งบาน

…โดยเฉพาะฝ่ายชาย

ฮยอนซึงเฝ้าดูทั้งคู่รับรถที่ฝากไว้กับพนักงานรับจอดรถ ก้าวขึ้นนั่งเรียบร้อยจนกระทั่งขับออกไป จากนั้นตัวเขาก็รีบร้อนลงมาหาผู้จัดการร้านยังชั้นล่าง

“สองคนเมื่อกี้เป็นใครครับ ที่เพิ่งออกไปน่ะ”

“คะ?” ผู้จัดการร้านงงงวย แต่ก็ตอบฮยอนซึงโดยไว “เป็นลูกค้าที่มารับคำปรึกษาค่ะ”

“มาสั่งตัดชุดแต่งงานจริงๆ สินะ เจ้าบ่าวชื่ออีแจชินใช่มั้ยครับ”

“ทำไม เธอรู้จักด้วยเหรอ” จีซึงที่เพิ่งลงบันไดตามมาถามแทรกขึ้น

ฮยอนซึงเอาแต่จ้องผู้จัดการร้าน อีกฝ่ายจึงรับเอกสารจากพนักงานที่ให้คำปรึกษาคู่รักเมื่อครู่มาอ่าน

“ค่ะ เจ้าบ่าวชื่อคุณอีแจชิน เจ้าสาวชื่อคุณโคฮโยจู วางแผนจะแต่งงานกันที่โรงแรมคริสตัลในวันวาเลนไทน์ปีหน้าค่ะ”

“เหอะ”

ฮยอนซึงพ่นหัวเราะออกมาด้วยความคับข้อง งงไปหมดกับสิ่งที่ได้ยิน

เจ้าบ่าวน่ะรู้จัก แต่ชื่อเจ้าสาวมันยังไง แล้วรุ่นพี่ซงอาคืออะไร

ฮยอนซึงมองออกไปด้านนอกอีกครั้ง เขาเข้าใจสถานการณ์ได้ทันที พอแจชินหายลับสายตาไป สีหน้าของฮยอนซึงก็แข็งกร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว

“ทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ”

จีซึงอึดอัดจนต้องถามซ้ำ ครู่หนึ่งให้หลังฮยอนซึงก็คล้ายตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

“พี่ ผมตัดใจไม่ได้แล้วล่ะ รักข้างเดียวครั้งนี้น่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากด้านข้าง ฮยอนซึงก็รีบเหล่มองทันที เขาเฝ้าดูซงอาเปิดซิปกระเป๋าใบเล็กบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร วันนี้เธอก็ยังหยิบลิปสติกสีชมพูที่ทำให้เขาใจสั่นออกมาโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าแฟนตัวเองเป็นคนพรรค์ไหน ริมฝีปากเธออวบอิ่มเป็นกระจับสวย พอเคลือบด้วยสีชมพูแล้วยิ่งดูน่าหลงใหลจนอยากเข้าไปขบเม้มเสียเดี๋ยวนี้

โธ่เว้ย!

ฮยอนซึงบีบเม้าส์ในมือแรงขึ้น แค่นึกภาพริมฝีปากเธอกระซิบบอกรักไอ้ขยะนั่นต่อหน้า เขาก็โมโหจนแทบทนไม่ได้ หากซงอาทาลิปสติกแท่งนั้นก็หมายความว่าเธอกำลังจะแอบไปหาแจชิน นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ฮยอนซึงค้นพบจากการจับสังเกตเธอกับแจชินอย่างใกล้ชิดมาตลอดสองสัปดาห์ ซงอาที่ทาลิปสติกสีนั้นดูไม่สวยในสายตาของฮยอนซึงอีกต่อไป และเขาทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ไหวแล้ว

“รุ่นพี่”

ซงอาปิดปลอกลิปสติก หันมามองตามเสียงเรียก

“หืม?” เธอส่งเสียงเป็นเชิงถามอย่างใสซื่อ

ฮยอนซึงทำหน้าสดใส ยื่นมือไปที่ริมฝีปากของเธอ

“อย่าทาลิปสติกนี้เลยครับ”

มือเขาเฉี่ยวผ่านริมฝีปากไปจับคางเธอเบาๆ ประกายสีชมพูซึ่งเคยก่อกวนจิตใจเขาเลือนไปเล็กน้อย เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ซงอาตาเบิกโพลง ชั่วครู่ให้หลังริมฝีปากเปื้อนๆ ก็เผยอขึ้น

“ทำอะไรน่ะ”

ฮยอนซึงยังคงแตะคางเธออยู่โดยไม่พูดอะไร ทำเพียงเลื่อนสายตาออกจากริมฝีปาก ครั้นเห็นสายตาอึ้งงันแกมต่อว่าของหญิงสาว เขาก็ยิ่งอยากดื้อรั้นกว่าเก่า

ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าผู้ชายที่คบอยู่เป็นคนแบบไหน เด็กโง่ชัดๆ

ฮยอนซึงดึงมือกลับ ตอบห้วนๆ

“มันไม่ค่อยสวยน่ะ”

“หา?”

คำตอบที่ได้รับสร้างความประหลาดใจแก่ซงอาก็จริง ทว่ายังมีสิ่งอื่นที่ทำให้เธอโมโหมากกว่านั้น

ฮยอนซึงสบตาเธอตรงๆ

พูดหรือไม่พูดดี

วันนี้เขายังคงคิดไม่ตก ตัดสินใจไม่ได้ว่าซงอาควรฟังจากปากของแจชิน หรือเขาจะเป็นคนบอกเองดี ใจจริงเขาอยากจะรีบบอกให้เร็วที่สุด แต่การที่เขามีส่วนรับรู้โศกนาฏกรรมนี้ด้วยอาจยิ่งทำให้เธอเจ็บปวด ฮยอนซึงจึงพูดอะไรไม่ออก ถ้าซงอารู้ความจริงเข้า เจ้าตัวคงปรารถนาจะเก็บมันเอาไว้เงียบๆ

แจชินคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมจนป่านนี้ก็ยังไม่บอกไม่กล่าวเธอ

ฮยอนซึงคาดว่าซงอาต้องเป็นฝ่ายถูกทิ้งแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเธอควรจะระแคะระคายมาตั้งนานแล้วด้วย หลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าแจชินยังไม่ได้พูดอะไรเลยก็คือลิปสติกประกายสีชมพูที่เปรอะเลือนเพราะมือฮยอนซึงนั่นเอง

กะคบกับรุ่นพี่เล่นๆ ไปถึงตอนร่อนการ์ดเลยหรือไง คงไม่คิดจะหลอกกันจนวันแต่งงานหรอกนะ

ซงอาที่มองฮยอนซึงอย่างตระหนกเพิ่งรู้สึกตัวเอาตอนนี้ว่าเขาหยาบคาย

“ไม่ค่อยสวยเหรอ อะไรไม่สวย ลิปสติกไม่สวย หรือว่าฉันที่ทาลิปสติกไม่สวยกันแน่”

ฮยอนซึงชะงัก ก่อนจะหันมาตอบทื่อๆ

“ทั้งสองอย่างครับ”

“ทั้งสองอย่าง?”

“รุ่นพี่ที่ทาลิปสติกสีนี้ออกจะสวยน้อยกว่าเก่าด้วยซ้ำ”

“หา? จริงๆ เลยเจ้าเด็กนี่!”

ซงอาโมโหในที่สุด ไม่เข้าใจเลยว่าฮยอนซึงซึ่งปกติมีความเป็นผู้ใหญ่มาตลอด ทำไมจู่ๆ ก็ทำตัวเหมือนเด็กขี้แกล้ง ขณะที่เธอตั้งท่าจะจับเก้าอี้เขาหมุน แจชินก็เดินผ่านด้านหลังทั้งคู่ไป

“ผมขอตัวขึ้นไปประชุมชั้นบนนะครับ”

ซงอามองแจชินแล้วดึงทิชชูเปียกมาเช็ดรอบๆ ริมฝีปาก ก่อนจะลุกขึ้นพลางขู่ฮยอนซึงเสียงเบา

“อีกเดี๋ยวขอคุยด้วยหน่อยนะ!”

ซงอาไล่ตามแจชินอย่างระมัดระวังไปยังบันไดหนีไฟแทนที่จะเป็นลิฟต์ และฮยอนซึงก็มองตามเธอไปด้วยสายตาไม่พอใจ

ได้ครับ อีกเดี๋ยวคุยกัน

“หัวหน้าคะ”

แจชินได้ยินซงอาเรียกก็หยุดเดินเมื่อขึ้นไปได้ครึ่งชั้น ซงอามองรอบๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีคนแล้วจึงรีบขึ้นไปยืนดักหน้าเขา

“ว่าไง มีเรื่องจะพูดเหรอ”

“เปล่าค่ะ ก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ ที่รักแบบนี้”

ซงอาใช้สองแขนกอดเอวแจชิน จุมพิตริมฝีปากเขาเบาๆ แจชินเพียงยิ้มบางกับความขี้อ้อนของเธอ

“วันนี้วันศุกร์ ช่วงเย็นจะทำอะไรคะ”

“อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกเหรอว่าเย็นนี้มีนัดเลี้ยงรวมรุ่นมหา’ลัย”

“เลี้ยงรวมรุ่น? ไม่ได้ไปมาอาทิตย์ที่แล้วเหรอคะ”

คิ้วแจชินกระตุกเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่เพราะเป็นชั่วเสี้ยววินาทีสั้นๆ ซงอาจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ

“อาทิตย์ที่แล้วเลี้ยงรวมศิษย์เก่าทั้งหมด ของวันนี้เป็นเลี้ยงรวมเฉพาะรุ่นน่ะ ใกล้สิ้นปีแล้วงานเลี้ยงโน่นนี่เลยเยอะไปหมด”

“ทำไมช่วงนี้ยุ่งจังคะ ทั้งวันธรรมดา วันหยุด ไม่ได้เห็นหน้ากันเลย”

ซงอาทำปากยื่นเหมือนจะร้องไห้ แจชินตบไหล่เธอเบาๆ อย่างนุ่มนวล

“ขอโทษนะ มันเป็นช่วงสิ้นปีน่ะ เธอก็เข้าใจฉันหน่อย”

“เศร้าแต่ก็ต้องเข้าใจสินะคะ การรักษาคอนเน็กชั่นสำคัญกับหัวหน้าของเรานี่”

“อืม ขอบใจนะ”

พอแจชินหอมแก้มซงอาเท่านั้น เธอก็ยิ้มแฉ่งหน้าบาน

“ว่าแต่เลี้ยงรวมรุ่นขอฉันไปด้วยไม่ได้เหรอคะ เราคบกันมาตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่เคยเจอเพื่อนๆ ของคุณเลยสักครั้ง”

“จากนี้จะค่อยๆ พาไปเจอนะ วันนี้คงไม่เหมาะเพราะมีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน ไว้ครั้งหน้านัดกันสบายๆ เมื่อไหร่ค่อยไปดีกว่า ตอนนี้เพื่อนฉันก็กลับเกาหลีกันมาเยอะแล้ว”

“จริงนะ?”

“อืม”

ซงอาหัวเราะร่า ดีใจที่ได้รับอนุญาตเป็นครั้งแรกในรอบสามปี เธอกอดเอวเขาแน่นขึ้น จริงๆ แล้วอยากจะจูบแบบดูดดื่ม แต่หากเริ่มแล้วคงไม่ได้หยุดง่ายๆ จึงต้องพับความโลภนั้นไว้ก่อน

“สุดสัปดาห์ล่ะคะ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ว่างเหรอ”

“ขอดูสถานการณ์ก่อนแล้วจะโทรหานะ วันนี้ยังไงคงดื่มหนักแน่ๆ”

“โอเคค่ะ ฉันไปหาแถวๆ บ้านคุณได้นะคะ แค่โทรมาก็พอ หรือถ้าที่รักดื่มกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาที่บ้านฉันก็ได้ เดี๋ยวฉันต้มซุปแก้เมาค้างให้เองค่ะ”

“ไม่ต้องรอหรอก ขอดูก่อนนะ”

“อื้ม”

ครั้นแจชินบอกว่าต้องไปแล้ว ซงอาก็ก้าวถอยหลังอย่างเสียดาย แต่ยังไม่วายช่วยจัดเนกไทที่ผูกเรียบร้อยดีอยู่แล้วให้เข้าที่อีกครั้ง

“รู้ใช่มั้ยคะว่าฉันรักคุณ”

“อืม ฉันก็เหมือนกัน”

แจชินหอมแก้มเธออีกครั้งก่อนจะขึ้นบันไดไป ซงอารอจนเขาเดินลับสายตาจึงเลิกมอง ขณะลงบันไดมาหนึ่งขั้นเธอก็ตัวแข็งค้าง

เจ้าเด็กนี่มาได้ยังไง!

ฮยอนซึงยืนกอดอกพิงกรอบประตู สายตาจดจ้องขึ้นมาที่เธอด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง

จะเห็นรึเปล่านะ ถูกจับได้แล้วงั้นเหรอ

เธอไม่แน่ใจว่าเขาเห็นหรือได้ยินตั้งแต่ตอนไหน ซงอาซึ่งตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้วได้แต่นิ่งงัน

ไม่รู้แหละ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อน พอเห็นแล้วต่อให้รู้ก็คงปิดปากเงียบให้เองล่ะมั้ง

เรื่องของคนระดับเจ้านายแถมยังเกี่ยวข้องกับหัวหน้าอีก พนักงานใหม่แค่ปีเดียวคงไม่กล้าเอาไปพูดง่ายๆ หรอก แถมฮยอนซึงยังเป็นคนรักษามารยาทในที่ทำงานอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดด้วย แต่ยังเร็วไปที่จะฟันธง ก็เมื่อครู่เขาเพิ่งจะทำลิปสติกเธอเปื้อนด้วยเหตุผลแปลกๆ ไม่ใช่หรือ

ซงอาสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินลงบันไดหลังจากเริ่มรวบรวมสติได้บ้าง เธอก้าวขาสั่นๆ มาจนกระทั่งถึงหน้าประตูบันไดหนีไฟ ฮยอนซึงยังคงจ้องเขม็งจนร่างเธอแทบทะลุ

กลัวแล้วนะ มองอะไรขนาดนั้น

ซงอายื่นมือไปที่ประตู ตั้งใจไม่มองชายหนุ่ม ทว่าทันทีที่เขาขยับตัวมาด้านข้าง เธอกลับสะดุ้งตัวโยน รีบเก็บมือไม้

จะบ้าตาย เป็นอะไรของเขาเนี่ย

เธอไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ จึงได้แต่กัดริมฝีปากย้ำๆ ทั้งที่ยังก้มหน้า แต่แล้วเสียงของฮยอนซึงก็ลอยมาเข้าหู

“เย็นนี้ว่างมั้ยครับ”

“ยะ…เย็นนี้?”

เธอเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา จากนั้นก็รีบหลบตา อาจเพราะมีชนักติดหลังเลยไม่สบายใจเอามากๆ แม้เป็นเพียงแวบเดียวเธอก็รู้สึกได้ว่าเขาน่าจะกำลังโกรธ

อะไรกันเนี่ย

ซงอาพยายามลดความตึงเครียดลง ถามกลับโดยไม่ยอมสบตา

“หมายถึงวันนี้เหรอ”

“ครับ เย็นวันนี้ ว่างมั้ยครับ”

“อืม…” ซงอารู้สึกถึงลางไม่ดี เธอไม่ควรตอบเป็นอันขาดว่าเย็นนี้ว่าง “ไม่รู้ว่านายมีเรื่องอะไร แต่คงไม่สะดวก เพราะฉันมีนัดแล้ว”

“รุ่นพี่ถูกหัวหน้าที่คิดเองเออเองว่าเป็นแฟนเท ผมได้ยินหมดแล้วครับ”

หา?

ซงอามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด ท่าทางเขาจะเลือกเห็นและได้ยินเฉพาะประเด็นสำคัญมากๆ เสียด้วย

โอ๊ย ทำไงดี ให้ตายเถอะ!

“ฟะ…แฟนเฟินที่ไหนกัน ถูกเทอะไร ใครยะที่ถูกเทน่ะ!”

ซงอาเชิดคางหันหน้ามาสบตากับเขาตรงๆ ต่างจากเมื่อครู่ แต่ฮยอนซึงไม่นำพา จ้องเธอเขม็งอย่างน่ากลัวยิ่งกว่าเก่า

“ถูกเทแล้วแน่นอนครับ รุ่นพี่ แม้จะเทียบไม่ได้เลยกับการถูกเทในอนาคตก็ตาม”

“หา?”

เหมือนมีความหมายแฝงอะไรบางอย่าง ซงอารู้สึกตงิดๆ จึงจ้องฮยอนซึงเพื่อขอคำอธิบาย แต่ดูท่าทางเขาไม่คิดจะใจดีบอกสิ่งใดทั้งสิ้น

“ยังไงก็แล้วแต่ สรุปว่างใช่มั้ยครับ”

“ไม่ว่าง ไม่มีเวลาให้นายหรอก”

ซงอาคลับคล้ายว่าตนอาจคล้อยตามฮยอนซึงโดยไร้สาเหตุ เลยปัดปฏิเสธอย่างเด็ดขาดพร้อมสะบัดหน้าหนี ไม่รู้เขาหวังอะไร ฮยอนซึงคงใช้เรื่องนี้มาเป็นจุดอ่อนนัดพบเธอเพื่อเอ่ยปากร้องขอบางสิ่งแน่ แม้จะรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน แต่เขาก็ดูไม่น่าใช่พวกผู้ชายหน้าไม่อายหรือใจแคบเสียหน่อย

“ไม่ว่างก็ต้องทำให้ว่างครับ เลิกงานแล้วเจอกันที่ทางม้าลายหน้าบริษัทนะ ผมขอพูดชัดๆ ว่ารุ่นพี่ควรมา”

“หา? นี่นาย!”

ฮยอนซึงเอ่ยแกมสั่งโดยไม่เปิดโอกาสให้ซงอาได้โต้แย้ง จากนั้นก็กลับหลังหัน เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในดื้อๆ ซงอามองประตูที่ปิดลงอย่างน่าขัน อึ้งจนพูดไม่ออก

“อะไรของเขา อายุยังน้อย ประสบการณ์ก็ยังด้อย กล้ามาออกคำสั่งขู่กันได้ยังไง”

ปกติฮยอนซึงทั้งสุภาพกับรุ่นพี่ ทั้งว่านอนสอนง่ายดีมาก ซงอาเลยยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ แถมแววตาตอนกล่าวสั่งประโยคสุดท้ายยังดูเหมือนสงสารเธอเสียด้วย

“อายุห่างกันแค่ปีเดียวก็จริง แต่ประสบการณ์การทำงานห่างกันสามปีนะยะ!” ซงอาตะโกนไล่หลังใส่ประตูที่ปิดสนิท “ช่างเถอะ! ทำไมต้องไป ทำไมฉันต้องเจอเจ้าเด็กนั่นด้วย”

ซงอาจับลูกบิดประตู คิดจะเมินเฉยเสีย ทว่าสิ่งที่เขาพูดไว้ดันทำให้เธอสับสนขึ้นมาอีก

ถูกเทแล้วแน่นอนครับ รุ่นพี่ แม้จะเทียบไม่ได้เลยกับการถูกเทในอนาคตก็ตาม

“หมายความว่ายังไงน่ะ เหมือนจะไม่ได้พูดมั่วไปเรื่อยซะด้วยสิ…”

ปกติซงอาจะไม่เก็บอะไรมาคิดเล็กคิดน้อยให้ปวดหัวง่ายๆ แต่ตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ส่ายหน้าแรงๆ

กังวลทำไม ไร้สาระน่า ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเป็นทุกข์ซะหน่อย

ซงอาทำใจให้สงบอีกครั้ง

“ใช่ ไม่ต้องสนใจ ไม่ไปเด็ดขาด”

เธอพึมพำย้ำกับตัวเองพลางหมุนลูกบิดประตูสุดแรง เมื่อเวลาผ่านไปความกังวลอันไร้สาระก็จะถูกลืมเลือนไปเอง

“ขอตัวกลับก่อนนะคะ ขอให้มีความสุขกับวันหยุดค่ะ”

ซงอารีบลุกขึ้นทันทีที่ถึงเวลาเลิกงาน เธอรู้สึกว่าฮยอนซึงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กำลังจับจ้องเธออยู่ เธอตั้งใจเมินเฉย ก้าวฉับๆ ออกจากออฟฟิศไป

หากจะนับให้ชัดเจน เธอกับแจชินแอบคบกันในบริษัทมาได้สองปีสิบเดือนแล้ว ตอนนั้นแจชินเป็นรองหัวหน้าและซงอาเพิ่งจะเข้ามาทำงานใหม่ๆ เขาเป็นฝ่ายจีบเธอก่อน ตั้งแต่สมัยที่เธอยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ซงอาตกหลุมรักความอ่อนโยนและความมีน้ำใจของเขาทันทีโดยไม่คิดเล่นตัว เธอไม่ใช่พวกเล่นตัวหรือคิดคำนวณเก่งอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องร้อนใจหรือเครียดกว่านี้มาก

‘บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ได้ เวลาชอบใครต้องหัดเก็บอาการไว้บ้าง แสดงความรู้สึกออกมาหมดรวดเดียวแล้วจะไปต่อยังไง ความเร้าใจก็มีแต่ลดลงเท่านั้นเอง’

ยามเธอต้องการทำอะไรตรงกับใจแต่ไม่อาจแสดงออกโต้งๆ ได้ เพื่อนๆ จะอึดอัดคับข้องใจแทนเธอ ทว่าเจ้าตัวไม่ใส่ใจ ชอบก็บอกว่าชอบ เธอเล่นแง่ไม่เป็น คำนวณไม่ได้ หากรักเธอที่เป็นเช่นนั้น เธอก็พร้อมจะแน่ใจว่านั่นคือรักแท้ ด้วยเหตุนี้แจชินจึงเป็นคนที่ดีมากสำหรับซงอา เมื่อเขาจีบ เธอก็โอนอ่อนทันที แจชินไม่เคยดูถูกหรือหัวเราะเยาะเธอเลยสักครั้ง ผ่านมาเกือบสามปีแล้วเขายังอ่อนโยนและอ่อนหวานกับเธอดังเดิม แม้จะรู้สึกเศร้าที่ไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ได้เพราะแอบคบกันลับๆ แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่เธอดีมากจนทดแทนเรื่องดังกล่าวได้ทั้งหมด หลักฐานคือเธอไม่เคยต้องเหงาเลยแม้แต่ครั้งเดียวเมื่อมีเขาเคียงข้าง

ซงอาลงมายังล็อบบี้ของบริษัทแล้วรีบตรงไปที่ประตูทางออก แต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงสั่นในเสื้อโค้ตจนต้องหยุดเดิน ฮยอนซึงโทรมาจริงตามที่เธอคาดเอาไว้

“คิดว่าฉันบ้าเหรอถึงจะรับสายน่ะ หึ ตลก”

ซงอากดตัดสายก่อนออกเดินต่อ แอบเสียดายที่ต้องกลับบ้านเร็วในเย็นวันศุกร์ แต่ก็ดี นานๆ ทีจะได้มีโอกาสทำความสะอาดบ้าน เตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อแจชินจะมาด้วย

ต้องไปซูเปอร์ฯ ซื้อวัตถุดิบต้มซุปแก้เมาค้างหน่อยล่ะ

หญิงสาวคิดพลางผลักประตูหมุน โทรศัพท์ในเสื้อโค้ตสั่นอีกครั้งสั้นๆ พอพ้นจากประตูหมุนเธอก็หยิบมากดดู เป็นข้อความเสียงจากฮยอนซึง

แล้วจะเสียใจนะครับ

คำพูดสั้นๆ ที่ไม่อธิบายอะไรเลยทำให้ซงอาคิ้วขมวด ตอนนี้ดูทรงแล้วฮยอนซึงน่าจะเป็นคนที่รู้จักใช้จิตวิทยาไม่หยอก น้ำเสียงเขาแทรกซอนทะลุความกังวลใจที่เธอพยายามกดให้สงบเข้ามาจนได้ ซงอาหน้าบึ้งในที่สุด

“ต้องการอะไรเนี่ย ทำแบบนี้ทำไม”

คงจะดีเสียกว่าหากฮยอนซึงเจตนาจับจุดอ่อนมากลั่นแกล้งเธอ แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิดในทีแรก เธอจึงรู้สึกหวาดหวั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าตามเขาไป เธออาจต้องทุกข์ใจ ไม่สิ อาจต้องเจอสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตก็เป็นได้

“ช่างมัน เสียใจก็เสียใจ ตามแชฮยอนซึงไปแล้วเสียใจ หรือไม่ตามไปแล้วเสียใจ ยังไงผลก็เหมือนกัน”

ซงอาบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่าย ส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดเรื่องเขาทิ้ง จากนั้นก็ออกเดินต่อ

ส่วนผสมซุปแก้เมาค้างมีอะไรบ้างนะ ใช้ปลาอลาสก้าพอลล็อกที่ที่รักชอบน่าจะดีเนอะ

ซงอาพยายามอย่างหนักที่จะใช้สมองอันสับสนมาคิดเรื่องอื่นจนไร้พื้นที่ว่าง

 

ปี๊น!

ซงอาที่ยืนอยู่หน้าทางม้าลายหันมองตามเสียงแตร รถยนต์สีกรมท่าหม่นปรากฏสู่สายตา ฮยอนซึงในตำแหน่งคนขับสบตาเธอแล้วบุ้ยใบ้เป็นเชิงให้เธอขึ้นรถ แต่ซงอาที่สองมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตกลับไม่ยอมขยับเขยื้อน ทำเพียงจ้องมองเขานิ่ง ในเมื่อไปก็เสียใจ ไม่ไปก็เสียใจ เธอจึงเลือกอย่างหลัง ทว่าสุดท้ายเท้าสองข้างดันพาเธอมาอยู่ตรงนี้ ซงอาสัมผัสได้ถึงลางร้ายอันน่าสะพรึงกลัว เธอใช่แมลงเม่าที่พร้อมกระโจนเข้ากองไฟเสียที่ไหน แล้วทำไมเท้าเจ้ากรรมถึงไม่คิดแม้แต่จะวิ่งหนี

“คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยครับ”

ซงอานั่งลงข้างฮยอนซึง จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยตามที่เขาสั่งอย่างใจเย็น

“ขู่ฉันแบบนี้ ถ้าเรื่องมันไม่เป็นเรื่องล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ คอยดูเถอะ”

เธอเหลือบมองชายหนุ่ม หวังลึกๆ ให้เป็นแบบนั้นเสียยังดีกว่า แต่เขายังคงนิ่งเฉยแม้จะถูกเธอมองด้วยสายตาพิฆาตเต็มที่

“อยู่คังนัมเหมือนกัน ถ้ารถไม่ติดก็สิบนาที ถ้ารถติดก็ประมาณสามสิบนาทีถึงครับ”

“จะไปไหน”

“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้ครับ ระหว่างทางคิดถึงเรื่องมีความสุขเอาไว้ก็ดีนะครับ เพราะช่วงเวลาแบบนั้นอาจจะหายไปเลยสักพักใหญ่ๆ”

คำพูดแฝงความหมายบางอย่างหลุดออกมาอีกครั้ง คิ้วของซงอาขมวดเข้าหากันเบาๆ ฮยอนซึงมองอย่างเฉยเมยก่อนกลับไปจ้องถนนข้างหน้า แล้วออกรถตามสัญญาณไฟที่เปลี่ยนสี เขาเองก็คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร ครั้นเห็นซงอาหลงแจชินหัวปักหัวปำ เขาก็ตัดสินใจได้ว่าตัวเองทนดูเธอต้มซุปแก้เมาค้างโดยไม่สำเหนียกถึงธาตุแท้ของผู้ชายที่ทำเป็นยุ่งทุกสุดสัปดาห์ไม่ไหวอีกต่อไป

ต่อให้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็เหอะ แต่ไม่เอะใจขนาดนี้มันออกจะเกินไปแล้ว

แถมแจชินยังบอกด้วยว่าอีกไม่นานจะพาเธอไปพบเพื่อนๆ แสดงว่าตั้งใจจะหลอกซงอาไปจนถึงที่สุด เขาคงปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ พฤติกรรมแจชินชี้ชัดว่ากำลังเล่นกับหัวใจซงอาอย่างไร้คุณธรรม ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดจนน่าขยะแขยง

สกปรก แบบนี้ยังนับเป็นคนเหรอ

อาจเพราะเป็นเดือนธันวาคม หนำซ้ำยังเป็นวันศุกร์ ถนนจึงแทบจะกลายเป็นลานจอดรถ ในเมื่อรถขยับไปไหนไม่ได้ ฮยอนซึงจึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็น

“คบกับหัวหน้าอีแจชินมานานเท่าไหร่แล้วครับ”

แทนที่จะคิดเรื่องดีๆ ซงอากลับหน้านิ่วคิ้วขมวดหันมาทางเขา

“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่”

“ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นครับ รุ่นพี่อาจจะอยากให้เป็นแบบนั้นยิ่งกว่าผมอีก”

ฮยอนซึงมองตอบเธอ

“พูดมาตรงๆ ซิ ไม่พอใจอะไรฉันใช่มั้ย ทนไม่ไหวจนต้องแก้แค้นตอนนี้เลยหรือไง”

เธอยิงคำถามใส่เขาโดยไม่คิดปิดบังความขุ่นเคือง

“เปล่าครับ ไม่เกี่ยวเลย”

“แล้วทำแบบนี้ทำไม”

“เพราะชอบครับ” ฮยอนซึงตอบโดยไม่ลังเลสักนิด

“หา?”

ดูเธอเหมือนไม่เข้าใจ เขาจึงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง

“เพราะผมชอบรุ่นพี่”

ประหนึ่งเพิ่งได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน ซงอาตัวแข็ง อ้าปากค้างไปแล้ว

“ฮะ…”

ครู่ใหญ่ให้หลังซงอาถึงได้หลุดหัวเราะแห้งๆ ออกมา ฮยอนซึงมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งเฉยก่อนจะหันกลับไปมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง รถค่อยๆ ขยับทีละนิด

“นี่คือการสารภาพรักใช่มั้ย”

“พูดขนาดนี้ ยังไม่เข้าใจก็ซื่อบื้อแล้วครับ”

“เอ๊ะ!”

ฮยอนซึงไม่สนใจความโมโหของเธอ เขามองสถานการณ์โดยรอบแล้วขับแทรกเข้าไปยังเลนข้างๆ เนื่องจากใช้เวลานานกว่าที่คิดเลยต้องรีบหน่อย เขาจำเป็นต้องไปให้ถึงก่อนอีกฝ่ายเพื่อคอยจังหวะ ฮยอนซึงรู้ดีเลยทีเดียวว่าสาเหตุที่เย็นวันนี้แจชินไม่ว่างเพราะมีนัดกับผู้หญิงที่ชื่อฮโยจูเพื่อตรวจดูแบบชุดแต่งงานด้วยกันที่ร้านพี่สาวเขานั่นเอง ฮยอนซึงวางแผนให้ซงอาได้เห็นภาพนั้นกับตา แม้จะเป็นวิธีที่โหดร้ายไปหน่อยก็ตาม ไม่อย่างนั้นซงอาซึ่งเชื่อมั่นในตัวแจชินเอามากๆ คงไม่ยอมเชื่อง่ายๆ แน่

“ผมถามว่าคบกับอีแจชินมานานเท่าไหร่แล้วครับ คงมากกว่าหกเดือนใช่มั้ย”

จากที่ตรวจสอบมา แจชินจองตัดชุดที่ร้านพี่สาวเขาตั้งแต่สี่เดือนก่อน ลองคำนวณคร่าวๆ จนถึงวันงาน อย่างน้อยน่าจะต้องคุยเรื่องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นมาไม่ต่ำกว่าหกเดือน ซึ่งก็หมายความว่าแจชินหลอกซงอาที่คบกันอยู่แต่เดิมมาไม่ต่ำกว่าหกเดือนแล้ว อีกทั้งพอคบกันก็ไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานในทันทีอีก เป็นไปได้สูงว่าทั้งคู่คบกันมานานยิ่งกว่านั้นมาก

“เคยพูดเรื่องแต่งงานกันบ้างรึเปล่าครับ”

“นายจะอยากรู้ไปทำไม”

“ผมแค่อยากรู้ว่าเขาชั่วขนาดไหนน่ะครับ ถ้าเคยคุยว่าจะแต่งงานกับทั้งสองฝ่ายก็ต้องถือว่าชั่วล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นปน”

“สองฝ่าย?”

น้ำเสียงของซงอาโลดสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าเข้าใจคำใบ้ จุดนี้หากเขายังพูดอะไรต่อ เธออาจไม่ยอมไปด้วยแล้ว ฮยอนซึงเลยตั้งใจหยุด

“เคยมองผมในฐานะชายหนุ่มบ้างมั้ยครับ สักครั้งหนึ่ง”

“ทำไมฉันต้องมองอย่างงั้นด้วย พูดอะไรไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย”

“เท่าที่ดูมันก็เกี่ยวกันนะครับ ผมเพิ่งพูดอยู่ปาวๆ ตอนเราเริ่มคุยกันว่าผมชอบรุ่นพี่”

ฮยอนซึงเหล่มองซงอา จากนั้นก็หันกลับไปมองถนนข้างหน้า

“ฮะ…” ซงอาพูดไม่ออก ได้แต่หัวเราะอย่างตะลึง “พอเลย แล้วตอนนี้จะไปไหน บอกให้รู้ก่อนสิ แล้วค่อยพาไป”

“เกือบถึงแล้วครับ เร็วกว่าที่คิด”

เมื่อผ่านช่วงรถติดมาได้ก็สบายขึ้น เหลือแค่กลับรถหนึ่งครั้ง เลี้ยวเข้าไปตรงลานจอดริมถนนก็จะถึงหน้าตึกพอดี ขณะหยุดรถรอสัญญาณไฟ ฮยอนซึงก็หันไปจ้องซงอาอีก

“ผมขออธิบายเกริ่นไว้ก่อนนะครับ”

“จะพยายามอธิบายให้ฉันฟังทำไม”

“ผมว่าการเป็นฝ่ายทิ้งซะเองดีกว่าถูกทิ้งครับ แล้วก็ขายหน้าต่อหน้าผมก็ยังดีกว่าดูน่าสมเพชต่อจากนี้นะ”

“จะพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันไปถึงไหน”

“ผมชอบรุ่นพี่ เกี่ยวกันหรือยังครับ”

“เอ๊ะ!”

ฮยอนซึงมองข้ามความโกรธของซงอาอีกครั้ง แล้วกลับรถตามสัญญาณไฟแล้วจอดที่หน้าร้านฮารา

“ลงได้ครับ”

“ที่นี่ที่ไหน”

ซงอามองออกไปนอกรถ เมื่อสังเกตตึกตรงหน้า ตาก็เบิกกว้างขึ้นเพราะเป็นสถานที่ที่คาดไม่ถึง

“ฮารา?”

ซงอาเองก็รู้จักที่นี่ดี ผู้หญิงที่อยากแต่งงานทุกคนไม่มีทางไม่รู้จักฮารา แม้แจชินจะไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานกับเธอเลย ทว่ายิ่งคบกับเขานานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งใฝ่ฝันถึงการแต่งงานมากขึ้นทุกที และการสวมชุดแต่งงานของฮาราคือส่วนหนึ่งในความใฝ่ฝันนั้น

“ลงได้แล้วมั้งครับ”

เผลอพริบตาเดียวฮยอนซึงก็ลงมาเปิดประตูรถให้เธอ ซงอาไม่รู้เหตุผลแต่ก็ยอมลงจากรถ

“มาที่นี่ทำไม คงไม่ใช่ว่าบอกชอบฉันเสร็จก็พามาลองชุดแต่งงานทันทีหรอกนะ”

“ไหนๆ มาแล้ว เลือกแบบเอาไว้หน่อยก็ไม่เลวนะครับ”

ซงอาขมวดคิ้ว หันหลังกลับเพราะรู้สึกเหมือนชายหนุ่มจะทำตามที่พูดจริงๆ แต่ฮยอนซึงคว้าข้อมือเธอแล้วดึงตัวเอาไว้เสียก่อน

“ของผมเองครับ”

“หา?”

“นี่คือหนึ่งในเสน่ห์ของผู้ชายเลยนะ รุ่นพี่เป็นประเภทไม่สนคนรวยสินะครับ”

ฮยอนซึงเป่าสติซงอาจนหลุดลอยด้วยการพูดสิ่งที่ไม่เกี่ยวโยงอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว กระนั้นก็ยังพาเธอเดินเข้าไปในร้าน เมื่อเข้ามาแล้ว แม้เธอไม่ยินยอมก็ยังถูกบรรดาชุดแต่งงานตรงหน้าดึงความสนใจไปสิ้น ถึงขนาดคิดออกแค่อย่างเดียวว่าสวยเหลือเกิน สวยจนอยากลองจริงๆ

“มาแล้วเหรอคะ”

น้ำเสียงนุ่มนวลเรียกให้ซงอาหันมองด้านข้าง ผู้จัดการร้านยิ้มแย้มทักทายซงอาเบาๆ ก่อนย้ายสายตาไปที่ฮยอนซึง

“มาแล้วใช่มั้ยครับ” ฮยอนซึงถาม

“ยังค่ะ เหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนถึงเวลานัด”

“ช่วยจัดของว่างไปให้ที่ห้องประธานหน่อยนะครับ เอาเป็นแซนด์วิชก็ได้”

“ได้เลยค่ะ”

เมื่อคุยกับผู้จัดการร้านเรียบร้อย ฮยอนซึงก็จูงข้อมือซงอาพาเดินขึ้นบันได

“นี่ ทำอะไรน่ะ จะขึ้นไปทำไม”

ซงอาร้องถามอย่างตระหนก เขาดูคล้ายกำลังโกรธอย่างไรบอกไม่ถูก แต่เธอก็ไม่อาจหยุดย่างก้าวของอีกฝ่ายได้

เป็นอะไรของเขานะ บ้าจริง

ฮยอนซึงเดินขึ้นไปยังชั้นสองโดยไม่ลังเล เขาจัดการเปิดประตูห้องประธานอย่างมั่นอกมั่นใจ ซงอาถูกลากเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว เธอยืนงงอยู่กลางห้อง มัวแต่ขัดขืนไม่สมัครใจเลยไม่ได้ชื่นชมสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

“ที่นี่เป็นของนายจริงเหรอ ทำสองอาชีพรึไง”

ห้องประธานว่างเปล่า ซงอาหันซ้ายหันขวา อ่านป้ายชื่อบนโต๊ะ

“อะไรน่ะ ประธานชื่อแชจีซึงต่างหาก”

เธอเพิ่งคิดได้ว่าท่านประธานของฮาราเป็นผู้หญิง ด้วยความที่ทำงานให้ทีมโฆษณา ซงอาจึงรู้ข้อมูลในวงการแฟชั่นมากพอตัว

“ว่าแต่ เดี๋ยวนะ…แชจีซึง แชฮยอนซึง?”

ซงอามองป้ายชื่อสลับกับหน้าฮยอนซึงพลางเบิกตาโต

“เป็นอะไรกัน หรือว่าคนในครอบครัว?”

“ใช่จะไม่มีไหวพริบนี่นา แล้วทำไมเรื่องอื่นถึงได้หัวช้าขนาดนั้นล่ะครับ”

“หา? หัวช้า?”

ครั้นฮยอนซึงมองมาอย่างสงสารอีกหน ซงอาก็อารมณ์ขุ่นมัวหนักกว่าเก่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอ้อระเหยซักไซ้ว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่เสียด้วยสิ เธอสะบัดมือชายหนุ่มออกเป็นอันดับแรก

“อะไรของนาย พูดจาประหลาดๆ แล้วที่ลากฉันมานี่ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่”

“พามาเพราะมีอะไรจะให้ดูครับ”

“แล้วมันคืออะไรล่ะ ทำงานก็ดี แก้ปัญหาให้คนอื่นก็เก่ง แต่ดันพูดจาให้คนฟังต้องอึดอัดแทบตาย”

“เพราะผมไม่อยากให้เจ็บปวด ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ทำเพื่อจะสร้างบาดแผลให้รุ่นพี่นะครับ”

ฮยอนซึงตอบทันที สายตาที่เคยมองอย่างสงสารเปลี่ยนเป็นเศร้าลึก คำพูดในวันนี้วิ่งผ่านสมองซงอาตามลำดับ เธอหวั่นใจขึ้นมาอีกหน

ถูกเทแล้วแน่นอนครับ รุ่นพี่ แม้จะเทียบไม่ได้เลยกับการถูกเทในอนาคตก็ตาม

ระหว่างทางคิดถึงเรื่องมีความสุขเอาไว้ก็ดีนะครับ เพราะช่วงเวลาแบบนั้นอาจจะหายไปเลยสักพักใหญ่ๆ

ผมแค่อยากรู้ว่าเขาชั่วขนาดไหนน่ะครับ ถ้าเคยคุยว่าจะแต่งงานกับทั้งสองฝ่ายก็ต้องถือว่าชั่วล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นปน

หรือว่า

ลางสังหรณ์ทำให้ซงอาเผลอกำกระเป๋าแน่น

อยากหนี!

ซงอาหันไปทางประตูทันที

“ไม่ได้นะครับ”

ฮยอนซึงรีบยืนขวางหน้า ตอนนั้นเองเสียงก๊อกๆ ก็ดังขึ้น ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาพร้อมแซนด์วิชและน้ำผลไม้

“วางไว้บนโต๊ะเลยครับ”

ทันทีที่ผู้จัดการร้านกลับออกไป ฮยอนซึงก็ดึงข้อมือซงอาพาไปที่โต๊ะ

“กินรองท้องไว้เถอะครับ อีกเดี๋ยวรุ่นพี่อาจจะกินไม่ลงแล้ว”

ซงอาไม่ยอมนั่ง ไม่หยิบอะไรบนโต๊ะขึ้นมาทั้งนั้น เธอหลุบตามองของกินครู่หนึ่งก่อนจ้องหน้าเขา

“ฉันไม่ดู ไม่อยากเห็น”

ซงอารู้ตัวในที่สุด แต่ฮยอนซึงยังถอยไม่ได้ในตอนนี้

“ผมรู้ครับว่ามันยากและโหดร้าย แต่ยังไงก็จำเป็นต้องดูครับ ต่อให้รุ่นพี่เห็นแล้วพยายามทำใจไม่เชื่อก็ต้องดู เมื่อตาจดจำ ใจก็จะปฏิเสธท่าเดียวไม่ได้อีก”

สองคนจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้นประหนึ่งเล่นสงครามประสาท คงเป็นเรื่องยากเกินรับไหวเพราะแววตาของซงอาเริ่มสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม เห็นดังนั้นฮยอนซึงเลยมองเธอด้วยสายตาเด็ดขาดยิ่งขึ้น

เสียงเอะอะคล้ายดังแว่วมาจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูห้องท่านประธาน

“ครับผม”

พอฮยอนซึงขานรับ ผู้จัดการร้านก็เดินเข้ามาส่งสัญญาณทางสายตา ฮยอนซึงพยักหน้าแทนคำตอบ พอผู้จัดการร้านออกจากห้อง เขาก็ดึงข้อมือหญิงสาวเบาๆ พาไปตรงผนังกรุกระจกที่ติดมู่ลี่บังสายตาไว้ จากตรงนี้สามารถมองผ่านช่องว่างระหว่างมู่ลี่ออกไปเห็นใครก็ตามที่กำลังวัดตัวและลองชุดที่ด้านนอกได้อย่างทั่วถึง

หัวหน้า…!

ซงอาหันหลังกลับทันทีที่เห็นแจชินอยู่กับฮโยจู อยากรีบไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ แต่ฮยอนซึงขวางเธอเอาไว้ ขยับไปทางไหนก็ไม่ได้

“หลีก” เธอกล่าวเสียงเย็นโดยไม่มองเขา

“ต้องดูครับ อย่าหนี”

ในที่สุดไฟในแววตาของซงอาก็ลุกโชน แต่ไม่ว่าจะจ้องอย่างโกรธแค้นเพียงใดฮยอนซึงก็ยังคงแน่วแน่

“บอกว่าชอบฉันใช่มั้ย เลยจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างฉันกับหัวหน้าสินะ คิดเหรอว่าฉันจะหันไปหานาย”

“ผมไม่ใช่พวกเลวหรือกากเดนถึงขนาดสร้างความทุกข์ให้ผู้อื่นเพียงเพราะความพอใจของตัวเองหรอกนะครับ”

“ขอพูดชัดๆ เลยนะ ต่อให้เลิกกับหัวหน้า ฉันก็ไม่หันไปหานายเด็ดขาด ถึงนายจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำเลว แต่สำหรับฉัน นายทั้งเลวทั้งใจร้ายมาก”

ซงอาผลักฮยอนซึงไปด้านข้าง ก้าวเดินอย่างที่ใจสั่ง แต่ขากลับอ่อนแรงซวนเซเกือบล้มลง

“รุ่นพี่!”

ฮยอนซึงยื่นมือออกไปรวบตัวหญิงสาวไว้ได้ในพริบตา ซงอาไม่มีกระทั่งโอกาสจะสะบัดตัวออก ชายหนุ่มหมุนตัวกลับท่าเดิมโดยยังมีเธอในอ้อมกอด เธอมองข้ามบ่าของฮยอนซึงซึ่งหันหลังเข้าหากระจก ภาพแจชินกับผู้หญิงอีกคนปรากฏชัดเจน ทั้งคู่กุมมือกันนั่งอยู่บนโซฟากำลังเลือกดูอะไรบางอย่าง เธอหลับตาแน่นกับสิ่งที่เห็น ภาพนั้นช่างอ่อนหวานเสียจนน่าขนลุก

เหมือนเดาความรู้สึกเธอได้ จังหวะนั้นคำพูดทารุณแต่น้ำเสียงใจดีของฮยอนซึงก็แทรกเข้ามาในโสตประสาท

“จากนี้ดูให้ดีนะครับ”

ไม่

“ดูให้ดีว่าผู้ชายที่รุ่นพี่เคยกระซิบบอกรักจากปากนั้นเป็นคนพรรค์ไหน”

ไม่ ไม่มีทาง

ซงอาหลับตาแน่นกว่าเดิม พลิกหน้าเข้าหาต้นคอฮยอนซึงซึ่งยังคงเอ่ยอย่างโหดร้าย

“เคราะห์ดีแค่ไหนแล้วที่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ของรุ่นพี่”

พอสักที ขอร้องล่ะ

“วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ครับ วันจัดพิธีแต่งงาน ผมรู้มาว่าชื่อของเจ้าสาวที่จะยืนเคียงข้างอีแจชินคือโคฮโยจูู ไม่ใช่ยุนซงอา”

สิบสี่กุมภาพันธ์เหรอ

ซงอาลืมตาทันที เอนตัวเงยหน้าขึ้นมองฮยอนซึง ดวงตาสั่นสะท้านรุนแรงดั่งเรือกระดาษที่ถูกสาดซัดอย่างไร้ทิศทางกลางพายุคลื่น

“ทำไมเหรอครับ”

“เมื่อกี้บอกว่าสิบสี่…กุมภาพันธ์ใช่มั้ย เขาจะแต่งงานวันนั้น…จริงๆ เหรอ”

ซงอาพยายามถามจนจบประโยคทั้งที่เสียงสั่นเครือ แววตาค่อยๆ ลุกโชนด้วยความโกรธทีละน้อย ฮยอนซึงมองเธอเงียบๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

“เป็นวันที่มีความหมายกับรุ่นพี่ด้วยเหมือนกันเหรอครับ”

ซงอามองข้ามไหล่ฮยอนซึงไปยังแจชินแทนคำตอบ มือสองข้างที่จับบ่าชายหนุ่มไว้เตรียมผลักเขาออกเปลี่ยนเป็นจิกแรงขึ้น

จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นวันที่สิบสี่กุมภาจริงน่ะเหรอ ได้ยังไง ทำได้ยังไง

วันนั้นคือวันที่เธอและแจชินตัดสินใจคบกัน แจชินเป็นฝ่ายสารภาพรักกับเธอก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ เธอตอบรับรักเขาด้วยของขวัญวันวาเลนไทน์ แล้วแบบนี้เขาจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นในวันนั้นได้อย่างไร

สติของซงอาเริ่มเลือนรางเพราะรู้สึกผิดคาด เหมือนถูกหักหลัง เธอหลับตาลงพิงไหล่ของฮยอนซึง

“หยุดดูเถอะครับถ้าไม่ไหว เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว”

“ไม่ ยังไม่พอเลยสักนิด”

ซงอาพิงไหล่เขา กล่าวพึมพำ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอก็มองผ่านกระจกไปที่แจชินแล้วย้ายสายตาไปหยุดที่ผู้หญิงคนนั้นซึ่งกำลังยืนตรงเพื่อวัดสัดส่วน น่าเจ็บใจที่ซงอาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ชื่อโคฮโยจูใช่มั้ย”

“ครับ”

ผู้หญิงที่ชื่อโคฮโยจูเป็นนางแบบมืออาชีพ ช่วงฤดูหนาวปีที่แล้วคนที่มาเป็นนางแบบตัวรองให้นิตยสารแบรนด์กระเป๋าคอลเล็กชั่นสปริง/ซัมเมอร์ของบริษัทซงอาก็คือผู้หญิงคนนี้ เธอกับทีมแบรนด์ร่วมกันเลือกฮโยจูโดยตรง ทั้งยังเป็นฝ่ายดำเนินเรื่องการถ่ายทำอีก เธอจึงยิ่งรู้จักอีกฝ่ายดี กล่าวคือเธอเป็นคนประเคนผู้หญิงคนใหม่ให้แจชินด้วยมือของตัวเอง

“สองคนคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว”

“ผมไม่รู้ลึกขนาดนั้นหรอกครับ แต่คำนวณดูแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่าหกเดือน อาจจะไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานหลังจากคบกันในทันทีก็ได้ ถ้างั้น…อย่างน้อยๆ ก็น่าจะสักหนึ่งปีมั้งครับ”

แจชินนั้นใช่ว่าจะปรากฏตัวที่กองถ่ายเป็นประจำทุกครั้ง ยกเว้นกองถ่ายของซงอาที่เขาไปเยี่ยมไม่เคยขาด เป็นไปได้ว่าทั้งสองคนมีความรู้สึกบางอย่างต่อกันตั้งแต่สมัยถ่ายทำครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อน

เดี๋ยวนะ งั้นงานถ่ายทำหน้าร้อนครั้งโน้น เขาไม่ได้ไปหาฉัน แต่ไปหาผู้หญิงคนนั้นหรอกเหรอ

นางแบบโฆษณาคอลเล็กชั่นฟอล/วินเทอร์ในกองถ่ายฤดูร้อนที่ผ่านมาก็เป็นฮโยจู และตอนนั้นแจชินก็แวะมาที่กองถ่าย แต่ทันทีที่จบงานเขาบอกว่าเพื่อนขอนัดเจอด่วนเลยรีบกลับก่อน เพื่อนที่ว่านั่นคงเป็นฮโยจู หากใช่ตอนนั้นล่ะก็ ทั้งคู่น่าจะกำลังคบกันอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์

แจชินถือสัญชาติอเมริกัน เขาเล่าว่าตัวเองเรียนที่โน่นมาตลอดจนกระทั่งถึงระดับมหาวิทยาลัย เพื่อนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนอก อีกทั้งบริษัทที่เคยทำงานส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ของเกาหลีด้วย เพื่อนๆ ที่บินมาเกาหลีเพราะเรื่องงานมักขอนัดเจอเขาแบบไม่บอกล่วงหน้า ซงอาจึงไม่เคยสงสัย เชื่อเขาทุกครั้งที่กล่าวอ้างว่าเพื่อนติดต่อมากะทันหัน เธอยิ่งไม่คิดมากเรื่องที่เขาไม่เคยแนะนำเพื่อนคนไหนให้ได้รู้จักเลยสักหนด้วยเหตุผลเดียวกัน ในเมื่อตารางเวลาไม่ตรงกันก็ยากที่จะเจอ เธอคิดเพียงว่าไว้คุยเรื่องแต่งงานจริงจังเมื่อไหร่ค่อยนัดกันอย่างเป็นทางการก็ได้

หรือว่าตอนครบรอบสองปี วาเลนไทน์ปีนี้ก็ด้วย

วันนั้นแจชินก็อ้างเพื่อน เพิ่งจะได้กินแค่ข้าวเย็นเขาก็รีบร้อนกลับ เป็นไปได้ว่าแจชินมีซัมธิงกับฮโยจู หรือไม่ก็คบกันแล้วเรียบร้อย ไม่ว่ามองอย่างไรเขาคงปันใจให้ผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นอน เป็นอย่างที่ฮยอนซึงบอกไม่มีผิด เธอถูกแจชินหลอกมานานเหลือเกิน

“ฮะ…”

สิ่งที่แจชินพูดนั้นไม่รู้อะไรบ้างที่จริงและอะไรบ้างที่โกหก ความทรงจำที่มีร่วมกับเขาผุดขึ้นมาทีละเรื่องสองเรื่อง ซงอาได้แต่ถอนหายใจอย่างอดสู จู่ๆ ก็สับสนขึ้นมา ที่เขาบอกชอบเธอครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนคล้ายเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

“ไอ้ชั่ว ถ้าจะทำแบบนี้ บอกเลิกกันซะยังดีกว่า”

เกือบปีมาแล้วที่เขาจับปลาสองมือ แต่ซงอากลับพูดไม่ออกเพราะไม่เห็นเค้าลางใดๆ ที่แจชินจะแยกทางกับเธอ เหนือไปกว่านั้นเหลือเวลาเพียงสองเดือนนิดๆ ก่อนที่เขาจะเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ทว่าเขายังคงไม่บอกอะไรเธอแม้แต่คำเดียว ที่ผ่านมาซงอาคิดว่าเธอได้รับความเอาใจใส่จากเขามากมาย ถึงตอนนี้จึงรู้ว่าไม่ใช่ เธอไม่ได้รับกระทั่งการเหลียวแลแม้สักนิดเลยต่างหาก ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงที่เขาเก็บเอาไว้หลอกเล่นจนสาแก่ใจ แล้วเฉดทิ้งเมื่อไม่ต้องการ

“ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง!”

ต้องไม่ใช่แบบนี้ เธอควรปรากฏตัวต่อหน้าแจชินเดี๋ยวนี้เลย อยากรู้นักว่าปากที่เพิ่งบอกรักเธอไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะพูดว่าอะไร อยากเห็นด้วยสองตาตัวเองด้วยว่าเขาจะมองหน้าผู้หญิงทั้งสองคนอย่างไร ซงอาพยายามผลักฮยอนซึงออก แต่เขากลับยิ่งกอดแน่นห้ามเธอไว้

“ทำไมดื้อขนาดนี้ครับ ออกไปแล้วจะทำยังไงต่อ”

เขาดุเธอ แต่ซงอาเองก็ไม่ยอมแพ้

“นี่เรียกว่าดื้อเหรอ เห็นแบบนั้นแล้วจะให้นั่งเขียนบทสวยๆ มีวิจารณญาณ ซ้อมบทเสร็จค่อยออกไปปรากฏตัวรึไงหา!”

“ไม่ใช่ยังงั้น ผมหมายถึงว่าควรวางแผนแก้แค้นให้ดีๆ ก่อนสิครับ โดนมาขนาดนี้ คิดว่าแค่การจิกทึ้งผม กรีดร้องจนพอใจจะทำให้อีแจชินทุกข์ร้อนได้สักกี่มากน้อยครับ ไม่แน่ผู้ชายหน้าด้านแบบนั้นอาจจะตอบว่ายังงี้ก็ดี เสร็จแล้วก็ทำท่าโล่งใจซะมากกว่า”

ความดึงดันของซงอาลดลงหนึ่งระดับ ฮยอนซึงพูดถูก พอจินตนาการถึงแจชินที่น่าจะเอ่ยปากว่ายังงี้ก็ดีแล้ว หรือไม่ก็หันไปอธิบายสถานการณ์ให้ฮโยจูฟังแค่ฝ่ายเดียว ซงอาก็รู้สึกสะพรึงจนปากสั่น เธอกัดปากย้ำๆ หลับตาลง ปรับลมหายใจ ก่อนจะลืมตาใหม่อีกหน แล้วจ้องแจชินผ่านบ่าฮยอนซึง

ไม่รู้แจชินมีความสุขอะไรนักหนาถึงได้ยิ้มไม่หุบ น้ำตาซงอาแทบร่วงพรูแต่ยังฝืนกลั้นเอาไว้อย่างยากลำบาก สายตามองที่แจชิน ปากก็ขยับถามฮยอนซึง

“งั้นให้ทำยังไง จะให้ฉันจัดการยังไงล่ะ”

“จะทำตามที่ผมบอกเหรอครับ”

“พูดมาก่อน”

“งั้น…”

ซงอาแหงนมองฮยอนซึงที่จงใจเว้นจังหวะ เขาสบตาเธอครู่หนึ่ง

“ใช้ผมสิครับ”

ซงอาขมวดคิ้ว จ้องหน้าชายหนุ่มเหมือนไม่เข้าใจความหมาย

“ใช้นายเนี่ยนะ” เธอเปิดปากถามในที่สุด

“ตอนนี้รุ่นพี่ยังไม่ถูกทิ้งก็ชิงทิ้งเขาก่อนสิครับ ไหนๆ ขายหน้าต่อหน้าผมไปแล้ว ต่อจากนี้ก็อย่าให้ดูน่าสมเพชอีกเลยครับ”

“พูดแค่เนื้อๆ พอ”

“บอกไปว่าคบซ้อนกับผมอยู่ แต่เหนื่อยกับการจับปลาสองมือแล้ว เลยอยากเป็นฝ่ายขอเลิกก่อน ทำเป็นไม่รู้ว่าอีแจชินมีโลกสองใบ”

“ทำไมต้องทำเป็นไม่รู้ด้วย”

“ก็ถ้ารุ่นพี่จะจับปลาสองมือเพราะรู้ว่าอีแจชินเองก็จับปลาสองมือ เขาจะคิดว่ารุ่นพี่ทำเพราะอยากแก้แค้น มันต้องไม่ใช่แบบนั้น เหตุผลคือรุ่นพี่หวั่นไหวเพราะเจอผู้ชายที่มีเสน่ห์กว่า แค่บอกว่าเลือกผู้ชายอีกคน เขาก็จะเสียหน้าอย่างรุนแรงจนแทบคลั่ง รุ่นพี่ก็รู้นี่ครับว่าอีแจชินเป็นคนรักศักดิ์ศรีจะตาย”

อย่างที่ฮยอนซึงบอก แจชินเป็นผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นที่สุด เขาเกิดและเติบโตบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาในฐานะลูกชายผู้บริหารสาขาประจำบริษัทของพวกเขา แจชินเล่าอยู่เสมอว่าเขาต้องกัดฟันเอาชนะการถูกเหยียดเชื้อชาติเพื่อไม่ให้กลายเป็นผู้แพ้

“วิธีนี้จะขยี้ศักดิ์ศรีของอีแจชินได้มากกว่าวิธีไหนๆ ครับ ถ้าเกิดรู้ว่าตัวเองเป็นแค่หนึ่งในปลาสองตัวคงได้โมโหจนแทบเสียสติ ยังไงเขาก็ไม่คิดถึงความผิดของตัวเองอยู่แล้วแม้แต่นิดเดียว”

การเอาคืนแจชินด้วยวิธีนี้ซงอาเองก็มองว่าไม่เลว ปัญหาคือในหัวเธอมีเพียงคำว่า ‘แต่’ เต็มไปหมด ความจริงแม้ได้เห็นภาพจะจะคาตาก็ยังไม่อยากเชื่อ เธอทิ้งความฝันและความหวังสุดท้ายไม่ลง ซงอารู้สึกละอายที่คิดแบบนี้จึงหลุบสายตาลงหลบเลี่ยงฮยอนซึง

“ไม่เอา ไม่อยากเป็นคนประเภทเดียวกัน”

“ไม่เห็นจะเหมือนกันตรงไหนเลย รุ่นพี่โกหกเพื่อปกป้องตัวเองแค่นั้น”

“ฉันไม่อยากโกหก”

“แล้วจะไปขอเลิกยังไงครับ บอกเขาว่ารู้ความจริงทั้งหมดแล้วเหรอ คงไม่ได้คิดว่าพูดแบบนั้นแล้วอีแจชินจะทิ้งผู้หญิงอีกคนมาเลือกรุ่นพี่ใช่มั้ยครับ”

ซงอาพูดไม่ออกอีกหนเพราะถูกแทงใจดำ ฮยอนซึงเสียงแข็งขึ้นเพราะรู้ทัน

“เห็นแบบนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมเชื่อเหรอครับ คิดว่าตอนนี้อีแจชินไม่ได้มากับคนรักที่กำลังจะแต่งงานกัน แต่มาช่วยน้องสาวเลือกชุดหรือไง ออกไปเช็กให้แน่ๆ สักครั้งมั้ยล่ะครับ”

ฮยอนซึงโมโหเพราะความหวังลมๆ แล้งๆ ของซงอา เขาคว้าข้อมือเธอตั้งท่าจะบุกออกไปเดี๋ยวนี้ ซงอาสะบัดมือชายหนุ่มออกอย่างแรงเพราะกลัวการเผชิญหน้ากับแจชินต่างจากทีแรก

“ปล่อยนะ! นายเป็นใคร มีสิทธิ์อะไร”

คำว่าสิทธิ์ทำให้ฮยอนซึงชะงัก มันคือความจริง ช่วยไม่ได้ที่หัวใจเขาจะเจ็บจี๊ด แต่นี่ไม่ใช่เวลาให้เขามาแสดงออกถึงความปวดร้าวส่วนตัว ฮยอนซึงคลายแรงบีบที่มือหลังจากรู้ว่าเผลอพลั้งไป พยายามสบตาเธออย่างเป็นปกติที่สุด

“ผมรู้ ผมแค่ชอบรุ่นพี่ ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้ ขอโทษครับที่ล้ำเส้น”

“เพราะฉะนั้นอย่าเข้ามายุ่งอีก ไม่ได้รู้สึกขอบคุณหรอกนะ”

ซงอาถอนสายตาเย็นชาออกจากฮยอนซึง หันหน้าไปทางประตู มือจับลูกบิดแต่กลับไม่ยอมขยับเขยื้อน เธอหันมองแจชินผ่านช่องมู่ลี่อีกครั้งด้วยหยาดน้ำเอ่อคลอเต็มสองตา ทว่าภาพที่แจชินจุมพิตหน้าผากฮโยจูก็ทำให้น้ำตาร่วงลงอาบแก้มเป็นสาย สติของซงอาค่อยๆ หลุดลอย

“รุ่นพี่!”

 

ฮยอนซึงนึกว่าซงอาเป็นคนใจแข็งจึงได้เลือกวิธีโหดร้าย เนื่องด้วยเวลาเจอปัญหาระหว่างทำงานเธอมักเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญไม่มีหวั่นไหว แต่ตอนนี้เขาชักเสียใจที่ตัดสินเธอไปแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะถึงขนาดเป็นลมล้มพับ ไม่ว่าเธอจะเชื่อหรือไม่ เขาน่าจะใช้วิธีค่อยๆ อธิบายเอามากกว่า

“ผมขอโทษ”

ฮยอนซึงเฝ้าสังเกตอาการของหญิงสาวที่นอนพักอยู่บนโซฟาในห้องประธาน ก่อนจะออกมาข้างนอกเพื่อสงบสติอารมณ์ จีซึงคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี เห็นเขาเข้าจึงเดินมาหา

“ฟื้นแล้วเหรอ”

“ยัง”

ซงอาสลบไปเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

“ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาลเหรอ”

“สถานการณ์เมื่อกี้ไม่สะดวก”

แจชินยังอยู่ด้านนอก ฮยอนซึงเลยพาซงอาออกไปไม่ได้ เธอยังหายใจเป็นปกติ นับว่าอาการไม่ฉุกเฉินถึงขนาดนั้น

“คงตกใจมากจริงๆ พี่บอกแล้วว่าวิธีนี้แรงเกินไป”

ฮยอนซึงจำต้องเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้พี่สาวฟังเพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเธอ แม้จีซึงจะคัดค้านวิธีที่เขาจะใช้ในวันนี้อย่างไร จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจ

“นั่นสิ ผมน่าจะฟังพี่”

ฮยอนซึงยิ้มอย่างหดหู่ เขาดูเศร้าใจ จีซึงยิ้มบาง มองน้องชายนิ่งนาน

“ชอบเค้ามากเลยสินะ”

“ตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน”

ฮยอนซึงมองไปทางห้องประธานที่ซงอานอนพักอยู่อีกครั้ง พอเธอหมดสติ เขาก็ปิดมู่ลี่จนทึบสนิททำให้มองสภาพด้านในไม่เห็น

“ว่าแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเลย สงสัยจะถูกเกลียดซะก่อน ผมคงติดอยู่ในความทรงจำที่น่าหวาดกลัวไปตลอดกาล เธอต้องเกลียดผมด้วยแน่”

หากทำเป็นไม่รู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบจะดีกว่าไหมนะ จากนั้นค่อยหาทางแทรกซึมเข้าไปแบบเนียนๆ ตอนเธอเจ็บปวด บางทีการอยู่เคียงข้างเธอเหมือนคนไม่รู้อะไรเลยอาจเป็นวิธีที่ถูกต้องกว่าก็ได้ แต่ต่อให้ฮยอนซึงย้อนเวลากลับไปใหม่ เขาก็คงเลือกวิธีนี้อีก เพราะทนเห็นซงอาเจ็บปวดโดยไม่ทำอะไรไม่ได้

“ตอนนี้คงเป็นตามนั้นแหละ แต่สักวันผู้หญิงคนนั้นจะมองเห็นความจริงใจของเธอได้เอง”

อื้ม ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ช่างเถอะพี่ ขอแค่วันนั้นมาถึงผมแน่ๆ ก็พอ

ฮยอนซึงภาวนาพลางถอนสายตาจากห้องประธาน

“ฉะนั้นก็เข้มแข็งเข้าไว้ ทำไมดูอ่อนแอขนาดนี้ล่ะ ปวกเปียกแบบนี้ต่อไปจะเดินอย่างมั่นคงบนทางที่ขรุขระได้ยังไง หรือจะยอมแพ้ทั้งยังงี้?”

“ไม่ ไม่มีทาง เธออาจจะเป็นผู้หญิงซื่อบื้อ แต่ความน่ารักมีเยอะกว่านั้นมาก”

รอยยิ้มของฮยอนซึงบ่งบอกว่ายังคงมีใจให้ซงอาเหมือนเดิม จีซึงตบไหล่เขาเบาๆ ให้กำลังใจ

“พี่ ผมขอร้องอะไรอย่างนึงสิ”

“ขอร้องเหรอ อะไร”

“ปฏิเสธลูกค้าเมื่อกี้ให้ผมได้มั้ย ผมไม่อยากให้คู่นั้นได้ใส่ชุดแต่งงานที่พี่ตัด พี่ช่วยหาเหตุผลเหมาะๆ ปฏิเสธเขาหน่อยเถอะ”

“คงถูกร้องเรียนหนักมากแน่ ดูถือตัวสุดๆ ทั้งคู่เลย”

“เรื่องเขามาตื๊อหรืออะไรทีหลังผมอาจจะช่วยไม่ได้ แต่ค่าละเมิดสัญญาที่พี่ต้องจ่าย ผมจะจ่ายให้เอง ขอร้องล่ะ”

ฮยอนซึงมองพี่สาวอย่างจริงจังเป็นที่สุด ไม่นานมุมปากของอีกฝ่ายก็แย้มขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”

“ขอบคุณนะพี่”

“เรื่องค่าละเมิดสัญญาช่างมัน น้องพี่จะมีแฟนสักคน แค่นี้ช่วยไม่ได้ได้ไง”

ระหว่างที่สองพี่น้องยิ้มให้กำลังใจและขอบคุณกันและกัน เสียงเปิดประตูก็ดังมาจากทางห้องประธาน ทั้งฮยอนซึงและจีซึงหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ครั้นซงอาเดินออกมา ฮยอนซึงก็รีบเข้าไปประคอง

“โอเครึเปล่าครับ”

“อืม โอเค” แต่สีหน้าของเธอยังคงไร้สีเลือด

“ไปโรงพยาบาลมั้ย”

“ไม่เอา กลับไปพักที่บ้านน่าจะดีขึ้น” ซงอาแกะมือฮยอนซึงออกอย่างเย็นชา เดินเข้าไปหาจีซึงแล้วก้มศีรษะให้อย่างสุภาพ “ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันเสียมารยาท”

“ไม่เลยค่ะ ไว้ครั้งหน้าเราค่อยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกันอีกที ตอนนี้คุณกลับไปก่อนดีกว่า พักเยอะๆ นะคะ”

“ขอบคุณค่ะ”

ซงอาโค้งให้จีซึงอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปที่บันได ฮยอนซึงลาพี่สาวด้วยสายตาก่อนตามไปอยู่ข้างซงอาทันที เขาแย่งกระเป๋าจากเธอที่กำลังเกาะราวบันไดมาถือไว้เอง

“ขี่หลังผมมั้ยครับ”

“พอเลย”

“หรือจะให้อุ้มไปก็ได้”

“เอาไว้ทำให้แฟนนายวันหลังเถอะ”

ซงอาไม่ยอมมองชายหนุ่ม เอาแต่เกาะราวบันไดหนึบเดินลงไปทีละขั้น เธอคงโกรธมากถึงขนาดที่ฮยอนซึงสัมผัสความเกลียดชังได้ชัดเจน

“อย่างน้อยก็ขึ้นรถเถอะครับ ผมพาไปส่งที่บ้านเอง”

พ้นจากตัวอาคารมาก็เห็นฮยอนซึงเปิดประตูรถรออยู่ก่อนแล้ว ซงอาคิดจะปฏิเสธแต่กลับยอมทำตามง่ายๆ เธอเหนื่อยมากจริงๆ จนไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรทั้งสิ้น ฮยอนซึงรีบนั่งประจำที่คนขับ

“บ้านอยู่ไหนครับ”

หญิงสาวเอานิ้วจิ้มเนวิเกชั่นด้วยตัวเองแทนคำตอบ เธอเอนศีรษะพิงเบาะ หันไปทางกระจกรถเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก ใช่ว่าฮยอนซึงดูไม่ออก แต่ก็ยังคงเอ่ยปากถาม

“เกลียดผมรึเปล่า”

“ก็ไม่ได้รู้สึกขอบคุณหรอก ขอทีเถอะ ปล่อยฉันไว้เฉยๆ ได้มั้ย”

ซงอาเอี้ยวตัวเข้าหากระจกรถมากขึ้น ฮยอนซึงมีอะไรอยากพูดอีกมากมาย ทว่ายอมทำตามที่เธอขอก่อนน่าจะดีกว่า เขาจึงเหยียบคันเร่งออกรถเงียบๆ

อพาร์ตเมนต์ของเธออยู่ในย่านคังนัมเหมือนกันจึงจัดว่าไม่ไกลนัก รถก็ไม่ติด ใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็ถึงที่หมาย ซงอาตั้งท่าจะก้าวลงจากรถทันที เรื่องอื่นฮยอนซึงยังไม่พูดคงไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดให้ได้

“จะทำยังไงต่อครับ” ฮยอนซึงคว้าแขนเธอไว้

“ไม่รู้ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก”

ซงอาแกะมืออีกฝ่ายโดยไม่มองหน้า มือจับที่เปิดประตูรถอีกหน ฮยอนซึงรีบร้อนลงจากรถแล้วเข้าไปยืนขวางหน้าเธอ

“ยังไม่รู้อีกเหรอครับ สำหรับอีแจชิน รุ่นพี่คือผู้หญิงที่จบกันไปแล้ว ต่อให้รั้งไว้ก็ไม่มีโอกาสกลับมาเหมือนเดิมหรอกครับ”

“หุบปาก!”

ซงอามองชายหนุ่มตาเขียวปั้ดแล้วเดินเลี่ยงออกด้านข้าง เธอตรงไปยังทางเข้าอพาร์ตเมนต์ โดยมีฮยอนซึงเดินตามมาติดๆ

“จะร้องไห้เหรอครับ หรือจะกินเหล้า? หรือทั้งสองอย่าง?”

“บอกให้หุบปาก อย่ามายุ่งกับฉัน!”

“ไม่ครับ”

ซงอาหยุดเดินเพราะคำตอบอันแน่วแน่ของเขา ฮยอนซึงใช้สายตาเศร้าลึกมองเธอที่กำลังตาเขียวหนักกว่าเก่าเป็นเชิงปลอบประโลม

“ผมเป็นห่วง ให้อยู่เป็นเพื่อนมั้ยครับ”

“ทำไมต้องอยู่ นายเป็นใคร”

ซงอาเพิ่งนึกออกว่าเขาสารภาพรักกับเธอแล้ว

“ฉันยังไม่ได้ตอบนายสินะ ฉันไม่สนใจนายแม้แต่ปลายเล็บ ไม่มองนายเป็นชายหนุ่มด้วย ต่อจากนี้ก็คงเหมือนกัน”

“เข้าใจแล้วครับ เรื่องนั้นผมจะค่อยๆ เปลี่ยนให้เอง”

ซงอาหน้าบูด ไม่ถูกใจคำตอบของอีกฝ่าย เธอเกลียดเขาถึงขนาดอยากเอาความแค้นที่มีต่อแจชินมาระบายใส่เขาให้หมดเลยทีเดียว

“เห็นฉันง่ายนักเหรอ เพราะโง่เง่าที่ถูกสวมเขาแถมยังถูกทิ้งด้วยใช่มั้ย”

ฮยอนซึงหน้าตึง คราวนี้เขาเป็นฝ่ายไม่พอใจคำตอบของเธอบ้าง

“ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ คนที่ถูกทิ้งไม่ใช่รุ่นพี่ แต่คืออีแจชินต่างหาก ลองเอาไปคิดดูครับ ใช้ผมให้เป็นประโยชน์ ผมเล่นละครเก่งนะ”

“ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่”

ซงอาปฏิเสธอย่างเย็นชา แล้วหันหลังกลับเพื่อออกเดิน คราวนี้ฮยอนซึงไม่ตามไปแล้ว

“จะร้องไห้หรือกินเหล้าก็อย่าให้เยอะเกินไปนะครับ”

เธอเดินเข้าตึกโดยไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด แต่ฮยอนซึงยังไม่ยอมแพ้ เขาตะโกนเสียงดังก่อนประตูจะปิด

“ถ้าต้องการความช่วยเหลือต้องโทรหาผมนะครับรุ่นพี่! ผมจะรอ!”

 

เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว ซงอาก็หลับตานิ่ง ยืนเอนพิงประตู ก่อนจะทรุดลงนั่งบนพื้นแทบจะทันที เธอยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่ฮยอนซึงให้ดูนั้นเธอเห็นเต็มสองตา ภาพยังคงชัดเจน แต่สมองกลับไม่ยอมรับ หรือพูดให้ถูกคือเธอยอมรับมันไม่ได้

สิบสี่กุมภาพันธ์

ซงอานึกภาพวันจัดพิธีแต่งงานของแจชิน คิดถึงตอนที่เขามาสารภาพรักกับเธอเมื่อสามปีก่อน คิดถึงรอยยิ้มกว้างดั่งได้โลกทั้งใบมาครอบครองของแจชินที่มีให้เธอยามเธอรับรักเขา แต่คนที่เคยยิ้มแบบนั้นกลับ…

จู่ๆ ซงอาก็โมโหจัด กำมือแน่นอย่างเดือดดาล

ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง! ทั้งที่บอกกันมาตลอดว่ารักมากขนาดนั้นแท้ๆ!

เธอคิดว่าต้องไปเจอแจชินให้ได้ จะเป็นฝ่ายทิ้งเองหรือถูกทิ้งเธอไม่สน ต้องได้จี้ถามเขาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอถึงจะสบายใจขึ้น

ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”

ทว่าโทรหาแจชินเท่าไหร่ก็ได้ยินแต่ประโยคเดิม ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็เช่นกัน

ทำอะไรอยู่เนี่ย

เพียงคิดว่าเขาคงกำลังคุยเรื่องชุดแต่งงานและมีช่วงเวลาแสนสุขกับผู้หญิงคนนั้น ซงอาก็บีบโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้น

ผู้หญิงคนนั้นรู้มั้ยว่าเขาคบกับฉันอยู่

แปลว่าอีกไม่นานเขามาจะบอกเลิกฉันสินะ

แล้วฉันเป็นใครสำหรับผู้ชายคนนั้น

ซงอายิ่งรู้สึกเดือดดาลหนักยามตระหนักได้ในสิ่งที่เมื่อครู่คิดไม่ถึง ไม่นานน้ำตาก็ไหลอาบแก้มเป็นสาย

“คนต่ำช้า ไอ้ขยะสารเลว!”

ซงอาปาดน้ำตาทิ้งอย่างหมายมั่น ไม่อยากนั่งจมจ่อมร้องไห้เหมือนคนโง่อีกต่อไป

“พอ ฉันจะไม่มัวทุกข์ทรมานเพราะไอ้ขยะสารเลวแบบนั้นแล้ว!”

ซงอาเป็นประเภทถ้าได้ตกหลุมรักใครสักคนเข้าจะทุ่มสุดตัวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็จริง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรักที่จบลงกลับไม่ตีโพยตีพายเหมือนโลกทั้งใบล่มสลาย แม้จะอึดอัดจนข้างในแทบระเบิดเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตกก็ยังสู้ตัดสินใจไม่ออกไปตามหาแจชิน ไม่ยอมทำตัวมุทะลุแบบคนบ้า ไม่ร้องไห้อ้อนวอนเขาด้วย ถึงจะยังรับไม่ได้ก็ใช่ว่าเธอไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเวลานี้

สิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับซงอาในตอนนี้คือการคลายความตึงเครียดที่สะสมอยู่อย่างหนักหน่วงจนถึงปลายเส้นผมทิ้งไปให้หมดต่างหาก ว่าแล้วเธอก็โยนเสื้อโค้ตลงบนเตียง จัดการโทรหาร้านขาหมูเจ้าประจำ ความเครียดย่อมแก้ได้ด้วยการกินของเผ็ดให้ท้องแตกถึงจะดีที่สุด

“เอาขาหมูไฟลุกจานใหญ่สุด เผ็ดที่สุดแค่ไหน ขอเผ็ดกว่านั้นอีกสองเท่าค่ะ”

“กินเผ็ดขนาดนั้นเดี๋ยวเป็นเรื่องนะครับ ไหวแน่เหรอครับ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ รบกวนส่งด่วนเลยนะคะ ต่อให้เป็นเรื่องก็เอาอยู่ ทำให้เผ็ดๆ ก็พอค่ะ”

“ยังงั้นเกิดเป็นอะไรไป กรุณาอย่าต่อว่าทางร้านทีหลังนะครับ”

“ค่ะ ไม่ต่อว่าแน่นอน ตามนั้นนะคะ”

ซงอาเดินกุมท้องออกมาจากห้องน้ำ ไม่มีแรงแม้แต่จะไปให้ถึงเตียง จึงทรุดนั่งลงกับพื้นดื้อๆ เธอถ่ายท้องนับครั้งไม่ถ้วนจนอ่อนเปลี้ยเพลียร่าง กระนั้นก็ยังปวดท้องไม่หายจนเกือบสิ้นชีพอยู่รอมร่อ แค่ระดับเผ็ดธรรมดายังกินไปร้องไห้ไป แต่นี่ริจะกินเผ็ดขึ้นสองเท่าเลยแทบเรียกได้ว่ากินไปคร่ำครวญไปทีเดียว เคราะห์ดีที่ความเครียดนับว่าคลายลงไปบ้างแล้ว กระนั้นเพียงไม่นานท้องก็เริ่มส่งสัญญาณขึ้นมาอีก เนื่องจากเธอปล่อยให้ท้องว่างตั้งแต่หลังมื้อกลางวัน พอกรอกของเผ็ดเข้าไปมากๆ ท้องไส้จึงได้ปั่นป่วนหนัก ปวดเสียจนคล้ายถูกใครบิด เหงื่อเย็นๆ ไหลท่วม ท่าทางไม่ได้ดีขึ้นเลยทั้งที่ก็เข้าออกห้องน้ำไม่หยุด

“อ๊ะ! โอ๊ย!”

ซงอานอนกุมท้องร้องโอดโอยอยู่กับพื้น ขืนยังเป็นแบบนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ อย่างน้อยเธอต้องไปโรงพยาบาล หญิงสาวคลานไปควานหาโทรศัพท์ที่เตียง

หัวหน้า

อาการหนักขนาดนี้แล้ว คนที่เธอนึกถึงกลับมีเพียงแจชิน ความทรมานทั้งหมดเป็นเพราะแจชินแต่ก็ยังอยากให้เขามาหา ขณะนี้ห้าทุ่มกว่า โทรไปครั้งแรกเขาไม่รับสาย คงอยู่กับฮโยจูสินะ เมื่อคิดว่าสองคนนั้นทำอะไรกันอยู่ถึงได้ไม่ว่าง เธอก็ยิ่งปวดท้อง

“โอ๊ยยย!”

ซงอาอดกลั้น ลองโทรหาแจชินเป็นครั้งที่สองแต่ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม คราวนี้เธอน้ำตาไหลพราก นึกว่าน้ำตาไหลหมดตัวแล้วเสียอีกตั้งแต่ตอนที่กินขาหมู ความคิดแวบขึ้นมาว่ามันไหลได้แบบนี้แถมยังไหลไม่หยุด แปลว่าต้องเป็นน้ำตาเลือดแน่

หัวหน้า ได้โปรด

ซงอาโทรหาแจชินเป็นครั้งที่สาม อันที่จริงโทร 119* น่าจะเร็วกว่า แต่มันคือความอวดดีล้วนๆ แม้ถูกนอกใจก็ยังอยากย้ำให้แน่ชัดเป็นครั้งสุดท้ายว่าเขาไม่ได้คบเธอเล่นๆ ยังคงหวังให้เขายืนยันว่าเธอคือคนที่เขารักและเป็นห่วงอย่างแท้จริง แม้ไม่คิดจะแต่งงานด้วย

“ฮัลโหล”

เสียงสัญญาณการโทรครั้งที่สามเกือบตัดลง ในที่สุดก็ได้ยินแจชินตอบกลับมาจากปลายสาย ซงอาดีใจได้ครู่เดียวก็ต้องกัดฟันต่อสู้กับความปวดอีกรอบ

“หัวหน้า…”

“เป็นอะไรรึเปล่า”

น้ำเสียงผิดปกติของเธอทำเอาแจชินตกใจ ซงอายังอุตส่าห์หลงคิดว่าดีเหลือเกินที่เขาเป็นห่วง

“ฉันไม่สบาย…มากค่ะ ช่วย…พาไปโรงพยาบาลหน่อย โอ๊ย…”

อาการปวดท้องรุนแรงขึ้น ซงอาที่เอนตัวพิงเตียงอยู่ทรุดฮวบลงบนพื้น รู้สึกราวกำลังถูกคนกะซวกเข้าไปในท้องแล้วเอามือจับเครื่องในบิดไปมากะทันหัน

“ไม่สบายมากเลยเหรอ…”

“เหมือนจะ…ตาย”

ซงอาเพิ่งสำเหนียกถึงความลังเลในน้ำเสียงของเขา ยามที่ถามกลับมาว่าไม่สบายมากเลยเหรอฟังดูเหมือนรำคาญมากกว่าจะเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด

คนเลว

ซงอาลบความรู้สึกดีใจเมื่อครู่ทิ้งไปทันที น้ำตาเป็นสายเลือดรินไหลลงมาอีก

“ฉันยังไปตอนนี้ไม่ได้ กำลังคุยเรื่องสำคัญกับเพื่อนๆ อยู่ กินเหล้าเข้าไปแล้วด้วย”

ซงอาที่ทนทรมานกับความเจ็บปวดแทบไม่ไหวปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือ คำพูดอันน่าสะอิดสะเอียนของแจชินยังดังต่อเนื่องออกมาจากโทรศัพท์บนพื้น

“เรียกใครให้เอามั้ย หรือจะให้โทรหนึ่งหนึ่งเก้า?”

ไอ้คนต่ำช้า

ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เธอควรยอมรับให้ได้เสียทีว่าตัวตนของเธอไม่ได้สำคัญสำหรับแจชิน เป็นเพียงคนที่เขาจะโทรตาม 119 ให้แทนที่จะรีบมาหา ทั้งที่บอกไปว่าไม่สบายมากแทบตายก็ตาม

“เอายังไงดี”

เสียงชวนอาเจียนของแจชินดังออกมาจากโทรศัพท์บนพื้นอีกครั้ง ซงอาร้องไห้อย่างหนัก เหงื่อเย็นๆ ไหลโซมกายจนเปียกโชก กระนั้นก็ยังกัดฟันกดวางสาย

“อา! โอ๊ย!”

อาการปวดท้องหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ สติของซงอาจวนเจียนจะดับอยู่รอมร่อ

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ”

ฮยอนซึงเป็นห่วงซงอา เธอไม่รับโทรศัพท์สักครั้งเดียว เขาเลยแจ้นมาหาเธอที่อพาร์ตเมนต์จนได้

“คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกมั้ง”

เขาเชื่อว่าซงอาคงไม่เลือกทำอะไรสิ้นคิดเป็นอันขาด แต่จิตใจเธออ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้มาก ฮยอนซึงจึงอดพะวงไม่ได้

“เมื่อกี้ตอนถามที่อยู่น่าจะขอเลขห้องเอาไว้ด้วย”

ฮยอนซึงยืนอยู่ด้านนอกแหงนมองตึกอพาร์ตเมนต์ เขากะจะลองคุ้ยตู้จดหมายดูสักตั้งเลยเดินเข้ามาด้านใน ครั้นเห็นยามรักษาความปลอดภัยเท้าก็เปลี่ยนทิศ เอาเป็นว่าถามยามน่าจะดีกว่าค้นตู้จดหมายให้ดูมีพิรุธ

“ขอโทษนะครับ”

“ครับ มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”

“ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้รึเปล่าครับว่าลูกบ้านที่ชื่อยุนซงอาอยู่ห้องหมายเลขอะไร”

คำถามฟังดูน่าสงสัย สีหน้ายามเริ่มระแวดระวังมากขึ้น ฮยอนซึงยิ้มอย่างเป็นมิตร รีบอธิบายเหตุผล

“รู้จักกันน่ะครับ แต่โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ผมต้องพบเธอเสียด้วยสิ”

“ติดต่อไม่ได้แสดงว่าไม่อยากพบคุณ เรื่องห้องคงบอกให้ทราบไม่ได้ ถ้าต้องการพบจริงๆ ก็ลองโทรไปเรื่อยๆ ดูนะครับ”

ยามโบกมือปฏิเสธอย่างเด็ดขาด น่าจะมองฮยอนซึงในทางร้ายไปเรียบร้อยแล้ว

“ผมไม่ใช่บุคคลน่าสงสัยนะครับ ต้องพบให้ได้ แต่ติดต่อไม่ได้จริงๆ ครับ”

“งั้นแจ้งตำรวจดีมั้ยครับ”

ครั้นยามยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา ฮยอนซึงก็จำต้องถอยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เขาอยากลองค้นตู้จดหมาย ทว่าถูกสองตาจับจ้องขนาดนี้คงทำอะไรไม่ได้แน่

“ทำยังไงดี”

ฮยอนซึงออกมาตั้งหลักที่ด้านนอกอาคาร ในเมื่อไม่มีวิธีอื่นก็คงได้แต่ลองโทรไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะรับสาย

“อ๊ะ!”

ขณะเตรียมจะกดปุ่มโทรออกนั้นเอง ชื่อของซงอาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ฮยอนซึงตกใจไปชั่วครู่กว่าจะสำเหนียกได้ว่านี่คือสายเรียกเข้าจากซงอา เขารีบกดรับทันที

“รุ่นพี่!”

“โอย…”

เสียงปลายสายเบาจนแทบไม่ได้ยิน เท่านี้ก็เพียงพอให้ฮยอนซึงรู้แล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

“บอกแค่เบอร์ห้องก็พอครับ”

“ฮะ…ห้องแปดศูนย์…หนึ่ง”

“โอเคครับ รอเดี๋ยว จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

ฮยอนซึงวางสายก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในอาคารแล้วตรงไปยังลิฟต์ ยามซึ่งคอยจับตาดูเขาอยู่เบิกตาโตแล้ววิ่งไล่ตามหลังมา

“จะไปไหนครับ!”

“ห้องแปดศูนย์หนึ่งครับลุง!”

“ได้รับอนุญาตแล้วแน่นะ?”

“มาด้วยกันเลยมั้ยครับ!”

ฮยอนซึงและยามรักษาความปลอดภัยผู้มากด้วยจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพขึ้นลิฟต์มาพร้อมกัน ยามจ้องเขาอย่างสงสัย ส่วนเขานั้นเอาแต่เป็นห่วงซงอาเสียจนไม่ทันสังเกต เมื่อก้าวพ้นลิฟต์เขาก็ออกวิ่งมาตามทางเดินก่อนจะหยุดยืนที่หน้าห้องแปดศูนย์หนึ่ง

ติ๊งต่อง…ติ๊งต่อง

เสียงกริ่งฟังดูกระวนกระวายไม่ต่างจากใจเขา ฮยอนซึงไม่เสียเวลารอให้เธอออกมา จัดการใช้กำปั้นทุบไปที่ประตูห้องทันที

ปังๆ!

“รุ่นพี่! ผมเองครับ! แชฮยอนซึง! เปิดประตูหน่อยครับ!”

ปังๆๆ! ติ๊งต่อง…ติ๊งต่อง

ไหนจะทุบประตู ไหนจะกดกริ่ง หน้าประตูบ้านของซงอาวุ่นวายพอๆ กับใจของฮยอนซึง ครั้นไม่มีสัญญาณว่ามีคนอยู่ทั้งที่เสียงดังเอะอะขนาดนี้ ยามก็ถามแทรกขึ้นมา

“ติดต่อก่อนเข้ามาแน่รึเปล่าครับ ทำไมไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านในเลย”

“มีกุญแจฉุกเฉินมั้ยครับ เปิดประตูนี่แล้วเข้าไปเลยไม่ได้เหรอ”

“อะไรของคุณ ไม่ได้ครับ! ไม่ได้เด็ดขาด ออกมานี่เลยครับ!”

ด้วยเข้าใจว่าฮยอนซึงโกหก ยามจึงหมายจะดึงตัวเขาออกมาแต่กลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะฮยอนซึงตัวสูงใหญ่กว่ามาก ลากได้ง่ายดายเสียที่ไหน ฉับพลันนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นห้ามทัพระหว่างทั้งคู่

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด

ฮยอนซึงสลัดหลุดจากเงื้อมมือยาม เขาคว้าบานประตูเปิดผลัวะ ซงอาล้มพับอยู่บนพื้นหน้าประตูนั่นเอง

“รุ่นพี่!”

ซงอาเหงื่อโซมกายแทบไม่ได้สติ ฮยอนซึงอุ้มเธอขึ้นมาอย่างไม่รีรอ

“ลิฟต์! ลุงครับ ลิฟต์!”

“อะ…เอ้อ ได้ๆ!”

ยามตกใจพอๆ กับฮยอนซึง รีบวิ่งแจ้นไปยังลิฟต์ก่อนใคร ฮยอนซึงที่อุ้มซงอาไว้แน่นจ้ำอ้าวตามมา

“รออีกนิดเดียวครับรุ่นพี่ ผมจะรีบพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

สิ้นคำพูดเขา ซงอาก็จวนเจียนจะหมดสติ ตาที่หรี่มองฮยอนซึงค่อยๆ หลับลง

ขอร้องล่ะ รุ่นพี่

ฮยอนซึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก หากเกิดอะไรขึ้นกับซงอาเข้าจริงๆ เขาคงทนรับไม่ไหวแน่นอน

 

“กระเพาะหดเกร็งจากความเครียดน่ะ ไม่ได้เฉียบพลันถึงตาย น้องภรรยาไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้”

เมื่อได้ยินที่พี่เขยใหญ่พูด ใบหน้าเคร่งเครียดของฮยอนซึงก็คลายลงเล็กน้อย เมื่อครู่อาการของซงอาค่อนข้างย่ำแย่ แต่เพราะได้รับการรักษาฉุกเฉินเบื้องต้นจึงหลับไปด้วยสีหน้าที่สบายขึ้น

“ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ต้องออกมากลางดึกแบบนี้ เพราะผมแท้ๆ”

พี่เขยใหญ่เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เขารีบวิ่งโร่ออกมาทั้งๆ ที่กำลังนอนอยู่เพราะได้รับโทรศัพท์จากฮยอนซึง

“ไว้เลี้ยงเหล้าพี่ทีหลังแล้วกัน ว่าแต่สาวสวยคนนี้แน่เลยใช่มั้ย คนที่พี่สาวเราเล่าให้ฟังคร่าวๆ”

“ตอนผมเลี้ยงเหล้าจะอธิบายให้ฟังอีกทีนะครับ”

“อื้ม ได้ จัดไป”

พี่เขยใหญ่ตบแขนฮยอนซึงเบาๆ ก่อนหันไปตรวจอาการซงอาอีกครั้ง

“อย่าให้กินอาหารรสจัดนะ คงต้องงดสักพักใหญ่เลยล่ะ ดูทรงแล้วน่าจะชอบกินคลายเครียด ถ้าตามใจปากเรื่อยๆ ก็จะเป็นแบบนี้อีก นิสัยนี้เตือนให้แก้หน่อยก็ดี”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“อืม งั้นพี่ไปก่อนนะ คุยกับหมอเจ้าของไข้ไว้ให้แล้ว เดี๋ยวคงดูแลต่อให้เอง”

“ครับ”

พี่เขยใหญ่กล่าวตัดบทพลางเดินออกจากห้องฉุกเฉิน ฮยอนซึงมองซงอาที่หลับอยู่อย่างเป็นห่วง เธอร้องไห้ไปมากขนาดไหนกันตาถึงได้ปูดบวมขนาดนี้ โชคดีที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเข้าไปด้วย ไม่อย่างนั้นเรื่องคงใหญ่กว่านี้อีก โชคดีจริงๆ

“ป่วยมาเยอะแล้ว จากนี้ห้ามป่วยอีกนะครับ ตอบแทนผมด้วยล่ะ เพราะคงไม่มีใครอุตส่าห์มาให้รางวัลความดีงามของผมถึงนี่แน่”

ฮยอนซึงกุมมือซงอาไว้ข้างหนึ่ง เฝ้าอยู่ข้างๆ เธอไม่ห่าง ผ่านไปราวสองสามชั่วโมงหญิงสาวก็รู้สึกตัว

“ฟื้นแล้วเหรอครับ”

“อยู่โรงพยาบาลสินะ…”

ซงอาขยับริมฝีปากที่แห้งผากอย่างยากเย็น ฮยอนซึงพยักหน้าแทนคำตอบ

“กระเพาะหดเกร็งจากความเครียดน่ะครับ คุณหมอบอกว่าให้ระวัง งดอาหารรสจัดสักพักใหญ่ๆ”

“อืม ว่าแต่ทำไมมาเร็วจัง”

“ทั้งที่เกิดเรื่องขนาดนั้น แต่จำทุกอย่างได้หมดเลยเหรอครับ”

“นั่นสิ”

ตอนฮยอนซึงมาถึงนั้นซงอาใกล้หมดสติแล้วก็จริง แต่ยังได้ยินชัดเจนที่เขาบอกว่าจะพาเธอมาโรงพยาบาล อาจเพราะเห็นสายตาเปี่ยมล้นด้วยความห่วงใยของเขา เธอที่ฝืนประคองสติไว้อย่างยากเย็นถึงได้คลายใจลง

“รุ่นพี่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ซะจนผมเป็นห่วง เลยมารออยู่หน้าอพาร์ตเมนต์น่ะครับ จะว่าไปทำไมถึงไม่รับสายเลยล่ะ ดูแล้วน่าจะทรมานอยู่นานเอาการ เกลียดผมยังไงก็น่าจะรับๆ ให้สิ้นเรื่องนะครับ”

“ก็ไม่รู้ว่าจะมา ฉันบล็อกเบอร์นายไว้”

“บล็อกเหรอครับ” ฮยอนซึงอึ้งไป เพราะไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าเหตุผลจะเป็นเช่นนี้ “ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ”

“ขอบใจนะ ถึงยังไงนายก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”

“เพราะไม่รู้น่ะสิ ถึงได้ช่วย”

“งั้นก็ดีแล้วที่ฉันเพิ่งบอก”

ซงอายิ้มอย่างอ่อนล้าพลางหลุบตาลงต่ำ มองมือของฮยอนซึงที่กุมมือเธอแน่นไม่ปล่อย พอคิดได้ว่านี่ไม่ใช่มือของแจชินที่เธอโหยหา น้ำตาก็เอ่อนอง แม้ภาพสุดท้ายจะชัดเจนในความทรงจำว่าเป็นฮยอนซึง แต่เธอก็ยังแอบหวังว่าเมื่อลืมตาขึ้นคนที่อยู่ข้างๆ จะเป็นแจชิน ทั้งที่โดนทำร้ายขนาดนี้ก็ยังตัดใจไม่ได้อยู่นั่น

“โง่จัง”

“ใครครับ ผมเหรอ”

“ไม่ใช่นาย ฉันต่างหาก ปล่อยมือซะทีสิ”

“ต้องปล่อยด้วยเหรอครับ”

“ไม่อยากปล่อยก็ตามใจ”

ซงอายันตัวขึ้นนั่ง ฮยอนซึงยื่นมือไปช่วยประคอง เท่ากับปล่อยมือเธอโดยอัตโนมัติ

“ฉันจะกลับบ้าน”

ได้ยินเธอบอกแบบนั้นฮยอนซึงก็หันไปเช็กขวดน้ำเกลือทันที ใกล้หมดแล้ว น่าจะถอดสายออกได้โดยไม่มีปัญหา เขาจึงรีบเป็นธุระทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาลให้

“จะขี่หลังหรือให้อุ้มครับ”

“ไม่มีตัวเลือกให้เดินเองบ้างรึไง”

“รุ่นพี่ไม่มีรองเท้าเพราะผมเป็นคนอุ้มมา เมื่อกี้อุ้มแล้ว งั้นขากลับขี่หลังมั้ยล่ะครับ”

ฮยอนซึงถอดเสื้อตัวนอกที่สวมอยู่คลุมให้ซงอาก่อน จากนั้นย่อตัวลงนั่งหันหลังให้เธอ

อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เขาอุ้มแหละน่า ซงอาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยอมขึ้นหลังชายหนุ่ม

“ทำไมตัวเบาขนาดนี้ แอบไดเอ็ตไม่ให้ผมรู้เหรอ”

“ฉันอยากทำก็ทำ ต้องแอบนายด้วยรึไง ไปเร็วๆ เถอะ น่าอายจะแย่”

“อายอะไรครับ ผมชอบออก วนรอบโรงพยาบาลสักรอบค่อยกลับดีมั้ย”

“งั้นปล่อยฉันลง”

ซงอาขยับตัวตั้งท่าจะลงจริงๆ ฮยอนซึงรีบห้ามโดยการยึดขาเธอไว้แน่นกว่าเดิม

“โอเคๆ ยอมแล้วครับ เห็นแบบนี้โหดไม่ใช่เล่น เหมือนจะโหดเฉพาะกับผมซะด้วย”

“ใครใช้ให้นายโชว์แต่ด้านไร้สาระให้ฉันเห็นล่ะ เดี๋ยวโหด เดี๋ยวอ่อนโยน เดี๋ยวเผด็จการ เดี๋ยวเจ้าเล่ห์ จะบอกให้นะว่าฉันไม่สนใจนายจริงๆ ไม่ต้องมาโชว์อะไรที่เสียเวลาเปล่าอีก”

“บังคับกันได้ด้วยเหรอครับ ชอบไปแล้ว แถมสารภาพรักไปแล้วด้วย”

ซงอาไม่ตอบเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ฮยอนซึงแอบยิ้มเงียบๆ แทนที่จะเศร้าเพราะถูกเธอเมิน กลับเอ็นดูและรู้สึกขอบคุณที่เธอยังคุยกับเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจจริงเขาอยากเดินไปเรื่อยๆ แบบนี้จนสุดขอบโลกเสียด้วยซ้ำ ทว่าพริบตาเดียวก็ถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินแล้ว

“อย่าหวังเลยครับ”

ฮยอนซึงนั่งประจำที่คนขับ สบตากับซงอาที่นั่งอยู่บนเบาะด้านข้าง

“ผมพูดจากใจจริงนะครับที่บอกว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนใจรุ่นพี่ อย่าหวังเลยว่าผมจะยอมแพ้ง่ายๆ ผมรู้ดีว่าผมกลายเป็นคนเลวในสายตารุ่นพี่ไปแล้ว แต่ผมยอมแพ้ไม่ได้หรอกครับ”

“นายเองนั่นแหละที่อย่าหวังเลย ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงง่ายๆ ก็ไม่มองผู้ชายอายุอ่อนกว่าหรอกนะ”

“งั้นผมจะทำลายกฎนั้นเอง ไหนครับ ไม่เห็นจะง่ายเลย ใครมันบอกว่ารุ่นพี่ง่าย”

ฮยอนซึงมองซงอานิ่งๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือพาดไปบนไหล่ขวาของเธอ ซงอาขมวดคิ้วเบาๆ

“จะไม่ตกใจสักหน่อยเลยเหรอครับ”

“ผู้ชายอ่อนกว่าไม่ถือเป็นชายหนุ่มหรอกนะ”

“โอ้โห ยากมาก ยากเกินไปแล้ว”

ฮยอนซึงจงใจตอบสนองแบบโอเวอร์เกินจริง เขาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ซงอาก่อน แล้วค่อยคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเอง

“ลองคิดดูหรือยังครับ”

“คิดอะไร”

“เรื่องใช้ประโยชน์จากผมไง ผู้ชายแบบนั้นต่อให้อ้อนวอนจนเขากลับมาก็จะเป็นแบบเดิมอีกอยู่ดี อย่าทำอะไรโง่ๆ เลยครับ ทรยศแล้วทิ้งซะ อีแจชินหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนั้น รับประกันว่าต้องบ้าคลั่งแน่”

ฮยอนซึงส่งสายตาเชิญชวนซงอาให้เข้าร่วมแผน แต่เธอกลับหันมองทางข้างหน้าแทน

“พาฉันไปส่งบ้านเถอะ”

“ไปบ้านผมมั้ยครับ ผมจะต้มโจ๊ก แล้วก็คอยเฝ้าไข้ให้ด้วย”

“ไว้วันหลัง…”

“ทำให้แฟนนายเถอะ เหรอครับ” ฮยอนซึงพูดขัด

“รู้แล้วก็อย่าให้ต้องเปลืองน้ำลายพูดบ่อยๆ ได้มั้ย”

ซงอาผินหน้าไปทางกระจกรถพลางหลับตาลงเป็นนัยว่าไม่อยากพูดกับเขาอีก

รอยยิ้มพาดผ่านริมฝีปากของฮยอนซึงเงียบๆ แวบหนึ่ง

“ก็ได้ครับ ไว้เป็นแฟนกันแล้วผมจะทำให้นะ วันนี้ผมเสียสละให้ก่อน”

ฮยอนซึงมองหญิงสาวที่นิ่วหน้าเล็กน้อยเหมือนหงุดหงิด เขายิ้มอีกครั้งแล้วออกรถ

ด้วยความที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกล ครู่เดียวก็มาถึงอพาร์ตเมนต์ของซงอา คราวนี้พอเขาออกตัวว่าอยากอุ้มก็อุ้มเธอมาส่งจนถึงที่ตามอำเภอใจ ซงอาคร้านที่จะแย้งจึงปล่อยเลยตามเลย อย่างไรก็ถือว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ แค่นี้ปล่อยตามใจสักหน่อยคงไม่เป็นไร

“กลับไปได้แล้ว ไว้วันหลังจะตอบแทนให้”

“ช่วยปลดบล็อกเบอร์ด้วยสิครับ ปลดให้เห็น แล้วผมจะกลับ”

เมื่อคำนึงถึงหน้าที่การงาน แน่นอนว่าคงปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ได้ ซงอาทิ้งให้ฮยอนซึงยืนรอตรงหน้าห้อง ตัวเองเดินเข้ามาด้านในเพื่อเก็บโทรศัพท์บนพื้น ทว่าพอเปิดหน้าจอก็เห็นแจ้งเตือนข้อความเข้าทันที เป็นข้อความจากแจชิน เธอไม่ได้อยากอ่านเพราะกลัวต้องเห็นคำพูดที่สร้างความเจ็บปวด แต่แล้วความคาดหวังกลับมีมากกว่า

 

เรียก 119 รึยัง ไม่เป็นไรมากใช่มั้ย ขอโทษที่ไปไม่ได้นะ สถานการณ์ไม่เอื้อให้ปลีกตัวเลย ไว้พรุ่งนี้จะโทรหา

ซงอาอ่านข้อความบนหน้าจอเหมือนจะให้สลักลึกลงในสมองทีละตัว มือบีบโทรศัพท์แน่นจนเกือบพัง

คนต่ำช้า ถ้าจะไม่สนใจก็เมินให้ถึงที่สุดสิ

แต่เขาไม่ทำ ดันมาบริหารเสน่ห์กับเธอด้วยวิธีแบบนี้ ซงอาหงุดหงิดหัวเสียกับทัศนคติของแจชิน ดูท่าเขาไม่คิดจะปล่อยใครเลยจนนาทีสุดท้าย ซ้ำร้ายยังจับเธอซึ่งเป็นหนึ่งในปลาสองตัวไว้แน่นราวกับตั้งใจเลาะลิ้มชิมเนื้อหวานให้หมดเกลี้ยงเสียก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความเลวทราม

“ไอ้ชั่ว”

“ครับ? ว่าไงนะครับ”

ฮยอนซึงได้ยินเธอพึมพำก็ตอบรับด้วยการเข้ามายืนในบ้าน กำลังสงสัยทีเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเธอไม่ยอมออกมาเสียที

“เป็นอะไรไปครับ” ครั้นเข้ามาใกล้เขาก็สัมผัสได้ว่าซงอามีท่าทีแปลกไป “เกิดอะไรขึ้น”

“จริงใช่มั้ย”

“หมายถึงอะไรครับ”

ซงอามองมาทางฮยอนซึงด้วยสายตาดุเดือด เขาตกใจกับท่าทางไม่คุ้นตาที่เธอแสดงออก แต่ก็สบตาเธออย่างนิ่งเฉยเหมือนไม่มีความผิดปกติใด

“ถ้าทำตามที่นายบอก จะปั่นหัวอีแจชินได้จริงๆ ใช่มั้ย”

“เรื่องนั้น…”

ฮยอนซึงอ้ำอึ้ง มองโทรศัพท์ในมือสลับกับใบหน้าเธอ เริ่มเดาได้รางๆ แล้วว่าแจชินน่าจะจุดชนวนระเบิดทำลายล้างอันน่าขนลุกของซงอาเข้าให้แล้ว เขาหยุดสายตาไว้ที่ซงอา จากนั้นก็พูดอย่างเชื่อมั่นมากกว่าครั้งไหนๆ

“ลองดูสักครั้งมั้ยล่ะครับ”

 

บ่ายวันต่อมา ก่อนออกจากบ้านซงอาบรรจงแต่งหน้าแต่งตัวให้ดูสวยกว่าทุกวัน แม้เรี่ยวแรงจะยังไม่ค่อยมี แต่เธอก็กัดฟันสู้ อยากให้เรื่องจบโดยเร็ว ลึกๆ ในใจยังหลงเหลือเยื่อใย ทว่าจำเป็นต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อก้าวออกมาจากอพาร์ตเมนต์เธอก็พบฮยอนซึงจอดรถยืนรออยู่ก่อนแล้วพร้อมรอยยิ้ม เธอจึงเดินเข้าไปหา

“บอกว่าให้ไปเจอกันที่นั่นเลยไง”

“วันนี้อากาศหนาว ยังโดนลมเย็นมากๆ ไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

เขาสังเกตเห็นคอโล่งๆ ของซงอาจึงคลายผ้าพันคอจากเสื้อไหมพรมคอเต่าของตัวเองแล้วนำไปพันให้เธอ ซงอาขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ ฮยอนซึงทำเพียงยิ้มและจัดผ้าพันคอให้เข้าที่

“กินอะไรรึยังครับ”

“เรียบร้อย ต้องขอบคุณโจ๊กจากร้านสะดวกซื้อที่นายซื้อไว้ให้”

ช่วงเช้ามืดร้านโจ๊กยังไม่เปิด ฮยอนซึงจำใจซื้อโจ๊กจากร้านสะดวกซื้อไปให้เธออย่างช่วยไม่ได้

“แค่นั้นพอเหรอครับ นี่บ่ายแล้วนะ”

“ไม่เป็นไร กินไม่ค่อยลง”

“โอเคครับ ขึ้นรถเถอะ ที่เหลือค่อยคุยกันระหว่างทาง”

ฮยอนซึงโอบหลังซงอาอย่างเป็นธรรมชาติ พาเธอไปที่รถแล้วเปิดประตูให้

ซงอากำลังจะนั่งลงตรงเบาะข้างคนขับแต่กลับชะงักมองชายหนุ่มก่อน

“มองอะไรขนาดนั้นครับ สายตารุ่นพี่ทำหัวใจผมบีบรัดนะ ผมเป็นผู้ชายอ่อนไหวซะด้วย”

เขาล้อเล่นเพื่อให้เธออารมณ์ดีขึ้นสักนิด ทว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยแม้แต่น้อย เธอรอให้รอยยิ้มของเขาหุบลงก่อนจะเอ่ยปาก

“ฉันไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากนาย ขอจัดการเองแล้วกัน”

“พูดถึงอะไรครับ อย่าบอกนะว่าจะยกโทษให้อีแจชิน”

เห็นเขาหน้าตึง เธอก็รีบพูดเสริม

“เปล่า ไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นหรอก”

“งั้น?”

“ถ้าอยากจะปั่นหัวคนคนนั้นไม่จำเป็นถึงขนาดต้องมาใช้นายก็ได้ แค่ฉันบอกว่ามีผู้ชายคนอื่นก็พอแล้ว”

“คิดว่าอีแจชินจะเชื่อง่ายๆ เหรอ”

“ไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉันเองก็ไม่เชื่อความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมือนกัน”

ซงอาฝืนพูดมันออกมาทั้งที่เจ็บปวด พูดจบก็ก้าวขึ้นรถ ส่วนฮยอนซึงนั้นแม้มีอะไรอยากพูดอีกมากมาย แต่เขาคงทำได้เพียงเก็บเอาไว้ก่อน

จริงอยู่ว่ามันอาจจะยาก แต่ขอให้เจ็บแค่นิดเดียวพอนะครับ ถ้าผมเป็นพลาสเตอร์ปิดแผลให้ได้ก็ยิ่งดี

ฮยอนซึงยืนข้างกระจกรถ มองเธอด้วยแววตาบ่งบอกความสงสาร ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่คนขับ ใจทำได้เพียงภาวนาให้วันนี้ความทรมานของเธอสิ้นสุดลงเสียที

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 เม.. 65  เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 20

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: