X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 เล่ม 3 บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 5

งูตัวน้อยสีเขียวตัวกว้างเท่านิ้วมือและยาวครึ่งฉื่อพลันกระโจนเข้าในอ้อมแขนของโม่อีเหริน จากนั้นก็เลื้อยขึ้นบนบ่านางอย่างรวดเร็ว

ก่อนจะเอาหัวถูไถข้างแก้มโม่อีเหรินไม่ยอมหยุด

โม่อีเหรินยังไม่ทันได้พูดอะไร ทั้งตัวคนก็ถูกอุ้มขึ้นมา กลิ่นอายเย็นยะเยือกพุ่งมาตรงหน้านางอย่างกะทันหัน

“อีเหริน เที่ยวเล่นมีความสุขหรือไม่”

“เอ่อ…มี…ไม่ๆ ไม่มีความสุข” เดิมทีนางจะพยักหน้า แต่ความตระหนักต่ออันตรายพลันทำงาน โม่อีเหรินจึงเปลี่ยนจากพยักหน้าเป็นส่ายหน้าทันควัน มิหนำซ้ำยังส่ายเสียแรงยิ่ง

“ไม่มีความสุข แต่ยังวิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอด?”

“เรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นเพราะถูกส่งตัว มิใช่เรื่องที่ข้าควบคุมได้” ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของความสามารถในการส่งตัวอันพิลึกพิลั่นนี้

“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่เดินผ่านของแปลกๆ ไปแล้วตรงมาหาข้าล่ะ”

“ข้ามเขาสมบัติไม่อาจกลับมามือเปล่า” โม่อีเหรินตอบอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ อุตส่าห์มีสมบัติให้เอา ไม่เอาก็เสียของเปล่า

“เช่นนั้นที่เมื่อวานเจ้าวิ่งไปวิ่งมาทั่วป่าก็เพื่อสมบัติ?”

“ก็ใช่น่ะสิ!” เมื่อวานนางได้มาเยอะมากจริงๆ

โป๊ก!

“โอ๊ย!” โม่อีเหรินถูกเขกศีรษะ จึงทำสีหน้าเจ็บใจ

“แค่เอาสมบัติอย่างเดียว?”

“ยังมีแกล้งคนของตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงด้วย” พูดจบโม่อีเหรินก็มองเขาด้วยความเจ็บใจต่อ “จิงหง ท่านเขกศีรษะข้า”

“เจ้าวิ่งไปทั่วป่าผู้เดียว คนของตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงเยอะถึงเพียงนั้น เจ้านึกว่าข้าไม่ห่วงหรือไร” ไป่หลี่จิงหงมองนาง

“ถึงเป็นห่วงก็ห้ามเขกศีรษะข้า เดี๋ยวข้าก็โง่หรอก” นางเอา ‘เหตุผล’ เข้าสู้

“หากเจ้าโง่ลงได้สักนิดจริงๆ ข้าคงจะห่วงน้อยกว่านี้ได้” ไป่หลี่จิงหงทั้งฉิวทั้งขัน

นี่คือประเด็นสำคัญอย่างนั้นหรือ

“รับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่เขกศีรษะข้า นี่เป็นความรุนแรงในครอบครัว ข้าจะฟ้องร้อง!” นางเถียงต่อ

“ความรุนแรงในครอบครัว?”

“ก็คือคนในครอบครัวใช้กำลังทำร้ายกัน” โม่อีเหรินเผลอยกคำศัพท์ในสมัยปัจจุบันมาใช้เสียได้ นางลอบแลบลิ้น ก่อนจะพยายามเถียงอีกด้วยท่าทีโมโหฮึดฮัด “ท่านห้ามรังแกข้าเพียงเพราะว่าท่านตาไม่ได้อยู่ที่นี่”

ไป่หลี่จิงหงมองนางด้วยความอ่อนอกอ่อนใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะช่วยนวดศีรษะนางตรงจุดที่เขาเขกไปเมื่อครู่ก่อนนี้

เดิมทีอยากจะตีก้นนางสักป้าบเพื่อให้นางเข็ดไม่กล้าทำให้คนเป็นห่วงเยี่ยงนี้อีก หากแต่…เขาทำไม่ลง ยังคงทำได้แค่ปลอบนาง

“ไม่เจ็บแล้ว” คราวนี้โม่อีเหรินถึงยิ้มออก นางเอื้อมมือกอดเขาไว้แล้วก็เอาหน้าถูไถกับหน้าอกเขา “จิงหง ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว”

“เสี่ยวทุนก็เป็นห่วงมากเหมือนกัน” เสี่ยวทุนฝืนเบียดตัวออกมา

“อืม ทำให้เสี่ยวทุนต้องเป็นห่วงแล้วเช่นกัน” นางลูบหัวมัน

“แฮะๆ…” เสี่ยวทุนดีใจ หรี่ตาลงถูไถท่านแม่ต่อ ไม่ได้เห็นท่านแม่มาตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน คิดถึงท่านแม่ยิ่งนัก

“รู้ว่าข้าต้องเป็นห่วงก็ดี ต่อไปไม่อนุญาตให้วิ่งวุ่นเช่นนี้คนเดียวแล้ว” ไป่หลี่จิงหงตบหลังนางเบาๆ

เขารู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าพอจากดินแดนเทพยุทธ์มายังดินแดนแรกนภา โม่อีเหรินทำให้เขาเป็นห่วงเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ไป่หลี่จิงหงรู้เช่นกันว่าโม่อีเหรินมีพลังแก่นแท้ไม่ธรรมดา แต่ดินแดนแรกนภาไม่เหมือนกับดินแดนเทพยุทธ์ ที่นี่มีผู้ที่พลังยุทธ์สูงส่งกว่าพวกเขาอยู่มากมาย

มิใช่ว่าต้องเกรงกลัวผู้ที่ร้ายกาจกว่าตนเอง แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมอันไม่คุ้นเคยเยี่ยงนี้ รอบคอบระมัดระวังเอาไว้หน่อยอย่างไรก็เป็นเรื่องดี

“เรื่องนี้…แต่ว่าอุตส่าห์มีโอกาสทวงหนี้แค้นที่ดีถึงเพียงนี้ทั้งที…” โม่อีเหรินยังจดจำไม่ลืม นางต้องการทวงหนี้ให้ไป่หลี่จิงหง

“ความปลอดภัยของเจ้าสำคัญกว่า คนพวกนั้นไม่มีค่าพอให้เจ้าเสี่ยงอันตราย”

ต่อให้คนทั้งสกุลไป่หลี่ทั้งตระกูลรวมกัน ก็ยังไม่สำคัญเท่าโม่อีเหรินคนเดียวในใจของเขา

“ไม่อันตรายเสียหน่อย ท่านดูนี่สิ” โม่อีเหรินคว้าตัวเสี่ยวเถิงขึ้นมา “เสี่ยวเถิง ทักทายสิ”

“คู่หมั้นของเจ้านาย ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อว่าเสี่ยวเถิง” เสี่ยวเถิงกล่าวทักทาย

“นี่คือ…เถาวัลย์เฉาพันลี้?”

“คู่หมั้นของเจ้านายร้ายกาจยิ่งนัก!” อีกฝ่ายดูแวบเดียวก็มองตัวจริงของมันออกแล้ว

“มันยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายแล้ว?”

“อื้ม” โม่อีเหรินพยักหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องของเสี่ยวเถิงให้ฟังอย่างคร่าวๆ

ไป่หลี่จิงหงไม่รู้แล้วว่าควรพูดอะไร

ผู้อื่นอยากได้สัตว์วิเศษสักตัวพืชวิเศษสักต้นยังยาก แต่โม่อีเหรินกลับมีสัตว์วิเศษและพืชวิเศษเป็นฝ่ายติดตามนางไม่ยอมห่างแทน

โม่อีเหรินมีโชคเช่นนี้ดียิ่ง หากแต่การที่สัตว์วิเศษพืชวิเศษเหล่านี้ติดโม่อีเหรินมากเกินไป บางครั้งก็เป็นเรื่องที่น่าคับอกคับใจมาก

“เจ้า ลงมา” เสี่ยวทุนพลันเลื้อยไปอยู่บนหัวเขี้ยวเงิน ก่อนจะพูดกับเสี่ยวเถิง

เสี่ยวเถิงมองเจ้านายปราดหนึ่ง ก่อนจะมองงูน้อยตัวนั้น พิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็ยอมลงไป

เสี่ยวทุนพูดกับท่านแม่อย่างเฉลียวฉลาดน่ารักว่า “ท่านแม่ พวกเราต้องบ่มเพาะสายสัมพันธ์กันหน่อย ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าได้ช่วยท่านพ่อหาของขวัญจำนวนมากมามอบให้ท่านด้วย ล้วนอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่รับของขวัญก่อน”

พอพูดจบ เสี่ยวทุน เขี้ยวเงิน เสี่ยวเถิงก็ขยับไปด้านข้างแล้ว

เขี้ยวเงินบอกว่าแม้เถาวัลย์น้อยนี้จะเฉลียวฉลาดน่ารัก แต่ก็ติดจะซุกซน จำเป็นต้อง ‘อบรมสั่งสอนให้ดี’ แน่นอนว่าเสี่ยวทุนต้องเหมางานนี้ไปทำ

ส่วนท่านแม่นั้น…แน่นอนว่าต้องไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ

ท่านพ่ออยู่กับท่านแม่ เช่นนี้ท่านแม่ก็จะเบิกบานใจแล้ว

“บ่มเพาะสายสัมพันธ์?” ไฉนโม่อีเหรินถึงได้รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูทะแม่งๆ

“ต่อไปภายหน้าล้วนต้องติดตามเจ้า ทำความคุ้นเคยกันหน่อยก็เป็นการสมควร” ไป่หลี่จิงหงกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นยิ่ง

“ก็จริง” โม่อีเหรินพยักหน้า ก่อนจะจูงไป่หลี่จิงหงไปหาที่โล่งๆ แล้วนั่งลง “ไป่หลี่จิงหง เมื่อก่อนเสี่ยวเถิงเคยได้ยินว่าในแดนสมบัติมีสถานที่ที่แปลกประหลาดยิ่งอยู่แห่งหนึ่ง สัตว์วิเศษในแดนสมบัติล้วนเข้าไปไม่ได้ และไม่รู้ด้วยว่าอยู่ที่ใด”

ไป่หลี่จิงหงครุ่นคิด คาดเดาว่านี่เกี่ยวข้องกับความลับที่อาจารย์พูดถึงหรือไม่

“มิหนำซ้ำคนตระกูลไป่หลี่ก็ประหลาดมากเช่นกัน ดูเหมือนว่าล้วนกำลังรีบรุดไปที่แห่งหนึ่ง…อ๊ะ แล้วก็เสี่ยวเถิง…ดูดขาข้างหนึ่งของไป่หลี่จิงเทาจนแห้งไปแล้ว”

นี่มิใช่เจตนาของนางเป็นอันขาด ทั้งหมดเป็นเพราะไป่หลี่จิงเทายั่วโมโหเสี่ยวเถิงเองล้วนๆ

“เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยิน” ไป่หลี่จิงหงบอก

ขณะอยู่ที่ทุ่งน้ำแข็ง เขาเคยพบไป่หลี่จิงไห่ เนื่องจากไป่หลี่จิงหงซ่อนตัวได้ทันเวลาจึงมิได้เจอหน้ากัน ทว่าเขาได้ยินอีกฝ่ายคุยกับคนที่ข้างกาย หากดูจากทิศทาง ล้วนชี้ไปยังสถานที่แห่งเดียวกัน

ส่วนเรื่องขาของไป่หลี่จิงเทา…อยากได้สมบัติอย่างไรก็ต้องเสี่ยงอันตราย ยังรักษาชีวิตไว้ได้ก็แสดงว่าเขามีโชคไม่เลวแล้ว

“จิงหง คงไม่ใช่ว่าอาจารย์ของท่านก็มอบหมายภารกิจให้ไปที่นั่นเช่นกันกระมัง”

แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าต้องไปที่ใดกันแน่…

“เปล่า แต่เรื่องที่แดนสมบัติมีความลับน่าจะไม่ผิดแน่”

อีกอย่างคือตระกูลไป่หลี่รู้ได้อย่างไร

นอกจากตระกูลเสวียนหมิงที่ร่วมมือกับตระกูลไป่หลี่อย่างเห็นได้ชัด ตระกูลอื่นอีกสามตระกูลรู้เรื่องนี้หรือไม่

“ความลับอย่างนั้นหรือ…” โม่อีเหรินกลอกตา ไม่ไปสอดเท้าร่วมวงสักนิดก็น่าเสียดายเกินไปจริงๆ

มิหนำซ้ำตระกูลไป่หลี่ยังไป อย่างน้อยนางก็ต้องไปสร้างความเสียหาย

“ไม่รีบ พวกเราหาคนอื่นๆ กันก่อน” นางไม่ต้องพูดมาก ไป่หลี่จิงหงก็รู้ว่านางตั้งใจจะไปร่วมวงครื้นเครง…หรือไม่ก็ควรบอกว่าไปสร้างความเสียหาย

โม่อีเหรินโมโหตระกูลไป่หลี่มากเพียงไร และที่นางโมโหถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะเขา

ทั้งๆ ที่ดูเป็นเรื่องไม่ดี แต่กลับเป็นเหตุผลที่ทำให้ในใจเขาทั้งปวดแปลบทั้งหวานล้ำถึงเพียงนี้

ไป่หลี่จิงหงโอบโม่อีเหรินไว้อย่างอดไม่อยู่ รู้สึกว่านางมาแล้ว ช่างดีโดยแท้

“จะหาใครก่อน” โม่อีเหรินถาม

เรื่องติดต่อกับคนอื่นๆ ล้วนมอบให้เป็นหน้าที่ของไป่หลี่จิงหง นางไม่ได้ถามอะไรตั้งแต่แรก เนื่องจากนางต้องการตามหาแค่ไป่หลี่จิงหง หาไป่หลี่จิงหงเจอก็พอแล้ว

“ไม่รีบ พวกเราเดินดูไปเรื่อยๆ ก่อน บางทีอาจจะยังสามารถหาสุดยอดของวิเศษเจอได้จำนวนหนึ่ง รอจนเหลือเวลาสิบวัน พวกเราค่อยรุดไปพื้นที่ใจกลาง”

แม้จะไม่รู้ว่าคนของตระกูลไป่หลี่ไปรวมตัวกันที่นั่นเพราะอะไร แต่แดนสมบัติเคยปรากฏตัวขึ้นในโลกหลายครั้ง ดูจากบันทึกสำรวจแดนในครั้งต่างๆ ไป่หลี่จิงหงก็พอจะรู้ตำแหน่งทิศทางและสภาพภูมิประเทศของแดนสมบัติได้เลาๆ หากต้องการตามประกบใครก็มิใช่เรื่องยากเย็นนัก

“ได้เลย” เอาตามที่ไป่หลี่จิงหงว่า “อ๊ะ จริงสิ” โม่อีเหรินแบมือ กล่องหยกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือนาง “สิ่งนี้ท่านเก็บไว้ให้ดี”

“คืออะไร”

โม่อีเหรินมีของดีอะไรก็แบ่งให้เขาทั้งสิ้น ดังนั้นไป่หลี่จิงหงจึงรับมาเปิดดูอย่างไม่ลังเลเสียเท่าไร

“หญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณ”

มือของไป่หลี่จิงหงสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย

“พอข้ามาถึงก็ถูกส่งตัวไปที่ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง แล้วก็หาสิ่งนี้เจอโดยบังเอิญ มีสิ่งนี้แล้ว พวกเราก็คิดหาวิธีกลับไปดินแดนเทพยุทธ์ภายในร้อยปี เช่นนี้ก็สามารถช่วยท่านพ่อของท่านได้แล้ว” โม่อีเหรินมองเขาอย่างเฝ้ารอดูว่าไป่หลี่จิงหงจะดีใจหรือไม่

ท่าทีของไป่หลี่จิงหงคือเก็บกล่องหยกลงเรียบร้อยแล้วก็กอดโม่อีเหรินไว้ จุมพิตนางเนิ่นนานอย่างดุเดือดแต่ก็มิได้ทำให้นางเจ็บ

โม่อีเหรินเกือบจะหายใจไม่ออก

“อีเหริน ขอบคุณ” ไป่หลี่จิงหงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า เขาขอบคุณที่นางใส่ใจต่อความวิตกกังวลของเขาเสมอมา

“ไม่ต้องขอบคุณ ท่านคือไป่หลี่จิงหงนี่นา” เสียงของโม่อีเหรินก็แผ่วเบา เนื่องจากยังหายใจได้ไม่เต็มปอด ทว่านางยังไม่ลืมสำทับอีกคำ “ไป่หลี่จิงหงของข้า”

ไป่หลี่จิงหงเป็นคนของนาง ดังนั้นความวิตกกังวลของเขาจึงเป็นเรื่องที่นางต้องช่วยคลี่คลาย

ภาพนี้ สองสัตว์หนึ่งพืชต่างมองเห็นแล้ว

เสี่ยวทุนคว้าโอกาสสอนหนึ่งพืชทันที “เวลาพรรค์นี้ พวกเราต้องเงียบกันหน่อย อย่าไปเอะอะรบกวนท่านพ่อกับท่านแม่”

ทั้งๆ ที่เสี่ยวทุนมีเสียงเป็นเด็กชายนุ่มนิ่มอ่อนวัย แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเป็นคนแก่กร้านโลก ฟังดูเป็นเด็กแก่แดดแท้ๆ

หากแต่เสี่ยวเถิงกลับพยักหน้าอย่างจริงจังยิ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”

นี่ก็เป็นเสียงเด็กหญิงนุ่มนิ่มอ่อนวัยกำลังทำตัวแก่แดดเช่นกัน

ส่วนเขี้ยวเงินกลับมองไปที่ไกลๆ มันรู้สึกได้ว่าตรงนั้นมีของบางอย่างที่ดึงดูดมันยิ่ง ทว่ามีบางอย่างกำลังมาเช่นกัน…

เป็นลมกระโชก!

“โม่อีเหริน มีลมกระโชก!” เขี้ยวเงินก้าวไปบังข้างหน้าทันที

ลมกระโชกลูกนี้ทั้งเร็วทั้งแรงทั้งมหึมา พลานุภาพมากกว่าลูกก่อนอย่างน้อยสิบเท่า ขอบเขตก็มากกว่าเช่นกัน

เขี้ยวเงินตั้งสมาธิจดจ่อ เสี่ยวทุนขดตัวจ้องเขม็งอยู่บนหัวเขี้ยวเงิน เสี่ยวเถิงขยายตัวอยู่ข้างเท้าเขี้ยวเงิน

“จิงหง ขุดโพรงลงไป!” โม่อีเหรินพูดพลางซัดไอกระบี่ไปที่ด้านล่าง

ไป่หลี่จิงหงช่วยซัดไอดาบลงไปเพิ่ม

ลมแรงจู่โจมมาแล้ว

“เข้าไปให้หมด!”

พอพูดจบ โม่อีเหรินก็กอดสามตัวนั้นไว้ ก่อนดึงไป่หลี่จิงหงกระโดดเข้าไปด้วยกัน

เขี้ยวเงินกับเสี่ยวเถิงหดร่างลงแล้วเกาะตัวโม่อีเหรินไว้ทันที ไป่หลี่จิงหงเองก็กอดนางกลับแล้วตะโกนสั่งเสี่ยวทุน

“บังปากโพรงไว้!”

เสี่ยวทุนเดิมทีก็ไม่ได้ขยายร่าง จึงไม่ต้องหดร่างลง พร้อมกับที่มันกลับไปขดตัวบนข้อมือท่านแม่ก็ได้ยินคำสั่งจากท่านพ่อ มันจึงพ่นฟองอากาศลูกหนึ่งไปบังปากโพรงไว้ทันที

ฟิ้ว…

เวลาเดียวกันลมกระโชกก็กวาดผ่านจุดที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่นี้

ฟองอากาศมีอาการสั่นสะเทือนเป็นรูปคลื่นได้ครู่หนึ่งก็หายไป

เสียงลมก็หายไปแล้วเช่นกัน

“ลมผ่านไปแล้ว” เขี้ยวเงินพูดขึ้น

ไป่หลี่จิงหงอุ้มโม่อีเหรินกระโดดขึ้นด้านบนเพียงคนเดียว ทว่าก็มีเจ้าสามตัวที่ ‘เกาะเกี่ยว’ อยู่บนตัวโม่อีเหรินติดสอยห้อยตามขึ้นมาด้วย สองคนสองสัตว์หนึ่งพืชกลับมายืนบนพื้นดินอีกครั้ง

บนพื้นดินเลี่ยนเตียนโล่งไปอีกแถบหนึ่ง

คราวนี้โม่อีเหรินรู้แล้วว่าเหตุใดพืชเขียวถึงขึ้นอยู่เสมอหน้าดิน เพราะว่าถ้ามันกล้าโผล่หัวขึ้นมา จะต้องถูกลมกระโชกที่พัดมาบั่นคอทิ้งนั่นเอง

“โม่อีเหริน ไปทางนั้น!” เขี้ยวเงินรีบพูด

“ทางนั้น?”

ครั้นมองไป อืม ยังคงเป็นผนังผาที่เลี่ยนเตียน

“ข้ารู้สึกว่าตรงนั้นเหมือนจะมีบางอย่าง ข้าอยากไปดูสักหน่อย” เขี้ยวเงินกล่าวอย่างจริงจังระมัดระวัง

“ไปด้วยกัน” โม่อีเหรินว่า ก่อนเดินหน้ามองไปทางไป่หลี่จิงหง

ไป่หลี่จิงหงไม่มีวางท่า เขากอดเอวนางไว้แล้วเคลื่อนกายไปในทันใด

แม้จะไม่ได้เร็วเหมือนการเคลื่อนที่ในพริบตาของโม่อีเหริน แต่ไป่หลี่จิงหงในตอนนี้สามารถไปได้สิบลี้ในหนึ่งก้าว หลังสิบกว่าก้าวก็มาถึงเบื้องหน้าผนังผานั้นแล้ว

เขี้ยวเงินกระโดดลงจากบ่าของโม่อีเหรินแทบจะทันที

ขณะเข้ามาใกล้ตรงนี้ มันก็ได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่งแล้ว ยิ่งใกล้ก็ยิ่งอบอวล

เขี้ยวเงินบินขึ้นด้านบนชิดผนังผา ดมดูอย่างละเอียด

โม่อีเหรินมองดูรอยแตกระหว่างผนังผาแล้วก็พลันคิดได้ “หรือว่าจะเป็น…ผลศิลาวายุ!”

“ผลศิลาวายุ?”

“ผลไม้พิเศษที่จะมีเฉพาะในแถบลมกระโชก เป็นผลไม้วิเศษที่มีฤทธิ์บำรุงมหาศาลต่อสัตว์วิเศษชนิดที่บินได้”

แม้ว่าเขี้ยวเงินจะเป็นหมาป่า แต่มันก็เป็นหมาป่าวายุปีกเงิน นับว่าเป็นสัตว์วิเศษชนิดบินได้เช่นกัน มิน่ามันถึงสนองตอบต่อผลศิลาวายุได้ดีเป็นพิเศษ

“โม่อีเหริน เจ้านี่ ข้าอยากได้” เขี้ยวเงินหยุดอยู่ระหว่างรอยแตกแห่งหนึ่งพลางบอกกับโม่อีเหริน

“จิงหง ข้าจะขึ้นไปประเดี๋ยวหนึ่ง” โม่อีเหรินเงยหน้าพูดกับเขา

“ข้าไปกับเจ้า” ไป่หลี่จิงหงพานางเหินกายขึ้นไปโดยไม่รีรอ ตั้งแต่ที่กอดเอวนางไว้เมื่อครู่นี้ เขาก็ยังไม่ได้ปล่อยมือออก

“จิงหง ข้าไปเองได้” แนบชิดติดกันถึงเพียงนี้…ชวนกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย…

“ถ้าเกิดเจ้าไปแตะถูกอะไรแล้วถูกส่งตัวไปอีกเล่า” ไป่หลี่จิงหงพูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงานยิ่ง

“…” มีเหตุผล

แดนสมบัติที่ในสายตาโม่อีเหรินเห็นว่า ‘กวนประสาทอยู่หน่อยๆ’ แห่งนี้ดูเหมือนว่าจุดกระตุ้นการส่งตัวจะล้วนพิลึกพิลั่นยิ่ง จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือ อยู่ติดๆ กันไว้ อย่างน้อยก็อาจถูกส่งตัวไปด้วยกัน จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะพลัดจากกัน

ครั้นคิดได้เช่นนี้ โม่อีเหรินก็ยินดียิ่งที่จะ…ถูกกระเตงไปเหมือนเป็นห่อผ้า

หลังเหินกายขึ้นมาถึงข้างเขี้ยวเงินแล้ว โม่อีเหรินก็มองรอยแตกนั้น ผลไม้สีน้ำตาลแดงผลหนึ่งขึ้นอยู่ระหว่างรอยแตก

โม่อีเหรินใช้พลังวิเศษเด็ดลงมายื่นให้เขี้ยวเงิน

สาเหตุที่ไม่ต้องใช้ที่ตักยาขุดเป็นเพราะผลศิลาวายุจำเป็นต้องอยู่ในสภาพพื้นที่พิเศษถึงสามารถเติบโตได้ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากลมกระโชกพันปี เป็นหมื่นปีถึงสามารถออกผล นั่นมิใช่พืชที่แค่ปลูกก็จะเติบโตได้

ทว่ามีแค่ผลเดียวก็พอให้เขี้ยวเงินกินแล้ว

“โม่อีเหรินเก็บไว้ให้ข้าก่อน” เขี้ยวเงินบอก

“เจ้าไม่กินตอนนี้หรือ”

“การสกัดผลศิลาวายุต้องใช้เวลา รอออกจากแดนสมบัติแล้วข้าค่อยกิน” อันที่จริงเป็นเพราะเขี้ยวเงินไม่วางใจในความปลอดภัยของโม่อีเหริน เวลาพรรค์นี้ไม่อาจนอนหลับฝึกบำเพ็ญได้ จะต้องคุ้มครองโม่อีเหริน

“เขี้ยวเงิน ไม่ต้องห่วงข้าถึงเพียงนั้น” โม่อีเหรินคว้าตัวเขี้ยวเงินมากอด ฝังหน้าลงกับขนสีเงินอันอ่อนนุ่มของมัน

เขี้ยวเงินห่วงนางเกินไปจนเสียเวลาการฝึกบำเพ็ญของตนเอง เช่นนี้ไม่ดีเลย

“แค่กินช้าหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เสียเวลาหรอก” เขี้ยวเงินเองก็ใช้หัวถูไถนางทีหนึ่ง

มันยังอยากอยู่กับโม่อีเหรินตลอดไป ดังนั้นมันไม่มีทางละเลยการฝึกบำเพ็ญแน่ มิเช่นนั้นพลังยุทธ์ก็จะแตกต่างกันเกินไป จะไล่ตามโม่อีเหรินไม่ทัน

มิหนำซ้ำมันยังอยากปกป้องโม่อีเหรินอีกด้วย พลังแก่นแท้ย่อมจะแย่เกินไปไม่ได้

แม้ปกติเขี้ยวเงินจะดูเหมือนนอนหลับอยู่บนบ่าโม่อีเหริน แต่อันที่จริงมันกำลังฝึกบำเพ็ญ

“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะเก็บไว้ก่อน” โม่อีเหรินเก็บผลศิลาวายุลงแหวนพู่สวรรค์

“ยังมีอีกสองผล”

โม่อีเหรินเด็ดผลศิลาวายุมาได้อีกสองผลโดยมีเขี้ยวเงินชี้บอก

ต่อจากนั้นลมกระโชกก็พัดมาอีก

คราวนี้ก็เหมือนกับคราวแรกที่พวกโม่อีเหรินได้เจอ พวกนางถึงไม่ได้หลบ

เขี้ยวเงินกระพือปีกทีเดียว กลุ่มลมกระโชกก็แหว่งไปมุมหนึ่ง

โม่อีเหรินที่ถูกไป่หลี่จิงหงกอดไว้ก็พาเขาฝึกบาทาเงามายาที่มีวิวัฒนาการแล้วของตนเองด้วยเสียเลย ต่อให้ลมกระโชกบ้าคลั่งเพียงไรก็มีวิถีโคจรของมัน โม่อีเหรินลองหาวิถีเหล่านั้นออกมา

ด้านเสี่ยวเถิงก็ยึดเกาะพื้นดินไว้ ฝืนต้านลมกระโชกที่พัดผ่านไป…มันไม่ได้ถูกกดจนแบนติดพื้น

ข้าชนะ!

“จิงหง ลมกระโชกนี้น่าสนใจยิ่ง” โม่อีเหรินเพิ่งค้นพบเรื่องนี้ได้เพียงนิดเดียว ลมก็พัดจบแล้ว

“เช่นนั้นก็อยู่อีกหน่อย ระหว่างนั้นก็ฝึกบำเพ็ญไปด้วย”

ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงอยู่ที่นี่ต่ออีกวัน เขี้ยวเงินกับเสี่ยวเถิงต่างมีรูปแบบการฝึกบำเพ็ญของตนเอง…แม้จะดูเหมือนการเล่นสนุกก็ตามที

โม่อีเหรินกับไป่หลี่จิงหงเองก็หาวิถีโคจรของลมกระโชก ใช้พลังปฐมต้านลม ใช้ความเร็วหลบลม และอื่นๆ

คนทั้งสองไม่ยอมแยกจากกัน ตอนแรกๆ ยังถึงขนาดทำให้ตนเองมือไม้พันกันไปหมดเลยทีเดียว ทว่าหลังจากลองได้ไม่กี่ครั้งก็เริ่มจะรู้ใจกันดี

โม่อีเหรินจะเคลื่อนที่ไปตามวิถีลม เดินเร็วยิ่งกว่าลม หรือไม่ก็หาทิศทางการโคจร แล้วผลุบตัวหลบพลังทำลายล้างของลมกระโชก

ส่วนไป่หลี่จิงหงจะอาศัยวิถีของลมฝึกใช้พลังปฐมส่งไอดาบออกมาฟาดฟันลมกระโชกทั้งด้วยอานุภาพอหังการสะท้านฟ้าสะเทือนดินและเพียงกระจ้อยร่อยแทบไม่สังเกตเห็น

เหล่านี้ล้วนเป็นการทำความเข้าใจต่อดาบของไป่หลี่จิงหง

เสี่ยวทุนเห็นทุกคน ‘เล่นกันสนุกสนาน’ ก็หาที่ให้ตนเองบ้าง

หากแต่พลังของเสี่ยวทุนทรงอานุภาพเกินไป

ไม่ว่าแค่ฟาดหาง เอาหัวโหม่ง หรืออ้าปากเป่า ลมกระโชกก็สลายตัวแล้ว

ไป่หลี่จิงหง โม่อีเหริน เขี้ยวเงิน และเสี่ยวเถิงต่างมองมันเงียบๆ

เสี่ยวทุนเบื่อแล้ว จึงบิดตัวแล้วกลับไปขดตัวอยู่บนข้อมือของโม่อีเหรินอีกครั้ง

ฮึ ไม่ให้เล่นด้วย นอนก็ได้!

หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป ไป่หลี่จิงหงที่ ‘เล่น’ จนหมดสิ้นภาพลักษณ์กับโม่อีเหริน เขี้ยวเงิน เสี่ยวเถิงก็เข้าไปในแหวนพู่สวรรค์ หลังพักเอาแรงเสร็จก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางใต้ด้วยการนำของไป่หลี่จิงหง

เดินผ่านทุ่งน้ำแข็ง ตะลุยผ่านป่าไม้ กระโดดข้ามป่าหิน เล่นกับลมกระโชกแล้ว ถัดไปก็ไปเล่นกับไฟแล้วกัน

 

ขณะไป่หลี่จิงหงกับโม่อีเหรินค่อยๆ ออกมาไกลจากหุบเขาที่เลี่ยนเตียนนั้นแล้วมุ่งหน้าไปอีกราวร้อยลี้ ไอร้อนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาปะทะหน้า

ทางใต้สุดของแดนสมบัติเป็นพื้นที่แห้งแล้ง มองไปทางใดก็เห็นแต่สภาพแห้งเหือด

ไม่มีแม่น้ำ ไม่มีแหล่งน้ำ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆ แม้แต่ผืนดินก็ล้วนแห้งผาก มีรอยแตกระแหงเต็มทุกพื้นที่

อากาศอบอ้าวไม่มีลม

ห่างกันแค่หนึ่งร้อยลี้ ลมเมื่อครู่นี้แรงจนสามารถหอบคนลอยอีกทั้งบดทับวัตถุบนพื้นจนแบนราบได้ แต่ที่นี่กลับเป็นบริเวณที่ไม่มีลมโดยสิ้นเชิง มีเพียงอุณหภูมิที่สูงขึ้นและความรกร้างที่มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมองไปไกลขึ้น

ยิ่งไกล สภาพผืนดินก็ยิ่งเหมือนผืนดินแดงอันแห้งแล้ง ดูเหมือนกำลังถูกไฟเผา ซ้ำบนหน้าดินยังมีฝุ่นควันพ่นออกมาน้อยๆ

หากพรรณนาในแบบของโม่อีเหริน นี่ก็คือการเอาดินมาย่างบนไฟ

ดินไม่อาจส่งเสียงเดือดปุดๆ ได้ ทำได้เพียงพ่นควันออกมา…เนื่องจากอุณหภูมิสูงเกินไป ดินจึงกลายเป็นฝุ่นผงลอยขึ้นมา

ในสถานที่ที่พื้นดินถูกเผาจนเกรียมขึ้นๆ ยังมีคนสองคนจูงมือกันเดินหน้าไปช้าๆ ทีละก้าว ประหนึ่งว่านี่เป็นการเดินเล่นในสวนดอกไม้ของเรือนตนเอง

“จิงหง ร้อนหรือไม่”

“เจ้าเล่า”

“ไม่ร้อน ข้ามีชุดปีกสวรรค์” มิหนำซ้ำนางก็ใช้พลังปฐมครอบไว้เป็นชั้นบางๆ รอบตัวจนติดเป็นนิสัยแล้ว

นี่เป็นการคุ้มครองตนเอง และเป็นการฝึกควบคุมญาณวิเศษกับพลังปฐมประจำวันด้วยเช่นกัน

“ข้าก็ไม่ร้อน” เสื้อผ้าของไป่หลี่จิงหงหลอมขึ้นจากใยแมงมุมเพลิงพันปี ทนความร้อนได้ดีเป็นพิเศษ

“เจ้านาย ร้อนยิ่งนัก” หากมีลิ้น ตอนนี้เสี่ยวเถิงจะต้องแลบลิ้นหอบแฮกๆ ไม่หยุดเหมือนที่สุนัขทำเพื่อระบายความร้อนอย่างแน่นอน

“อย่างนั้นเจ้าเข้าไปอยู่ในแหวน”

ต่อให้เป็นพืชวิเศษ ไฟก็ยังเป็นศัตรูตามธรรมชาติอยู่ดี เสี่ยวเถิงกลัวความร้อนก็เป็นเรื่องปกติ

“ไม่เป็นไร ข้าทนได้ เพียงแต่ร้อนนิดหน่อยเท่านั้น”

หากยังเป็นเถาวัลย์พันลี้อาจจะรับไม่ไหว สภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่เหมาะกับการเติบโตของพืช นับประสาอะไรกับเถาวัลย์พันลี้ที่ต้องการน้ำปริมาณมาก แต่เมื่อวิวัฒนาการกลายเป็นเถาวัลย์เฉาพันลี้ เงื่อนไขการเติบโตก็หลุดพ้นจากธรรมชาติแล้ว ต่อให้เผชิญกับเชื้อไฟอัศจรรย์ มันก็ยังต้านทานได้พอสมควร

ซ้ำเสี่ยวเถิงยังได้ดูดเลือดของโม่อีเหรินทำให้มีวิวัฒนาการถึงที่สุดแล้ว มันสามารถจุดเพลิงไฟสวรรค์สีม่วงได้เต็มเสาหงส์ เป็นจักรพรรดินีแห่งไฟ โดยทั่วไปไม่มีเชื้อไฟอัศจรรย์อะไรทำอันตรายถึงชีวิตเสี่ยวเถิงได้แล้ว

ยกเว้นจะจับมันมาหลอมสกัดเป็นเวลานาน

“เขี้ยวเงิน เจ้าเล่า” โม่อีเหรินถาม หางตาเหลือบเห็น…เสี่ยวทุนนอนหลับอุตุโดยไม่แยแสต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแม้แต่น้อย

“ยังพอไหว” แม้จะร้อนนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อมัน “ไหนๆ พวกเราก็มากันแล้ว จะต้องไปดูให้ได้ว่ามีของอะไรอยู่”

หากกล่าวว่าเข้าแดนสมบัติไม่อาจออกมามือเปล่า เช่นนั้นในเมื่อถูกทำให้ร้อนแล้ว ก็ยิ่งไม่อาจมาเสียเที่ยว

จะดีที่สุดหากยังสามารถหาของดีที่ทำให้โม่อีเหรินดีใจมาได้มากขึ้นอีกหน่อย…เพื่อทำให้โม่อีเหรินดีใจ เหล่าสัตว์วิเศษพืชวิเศษที่ข้างกายโม่อีเหรินจึงพร้อมใจกัน ‘ก้าวย่างอาดๆ’ เข้าสู่เส้นทาง ‘ละโมบโลภมาก’ ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่หันหลังกลับ

ด้วยเหตุนี้สองคนสองสัตว์หนึ่งพืชจึงมองข้ามอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้วมุ่งหน้าไปกันต่อ

จวบจนเดินมาถึงจุดที่ดินที่เป็นสีน้ำตาลเทาแต่เดิมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มปนเทา โม่อีเหรินก็จับไป่หลี่จิงหงไว้พลางสำแดงวิชาลอยกลางเวหา ก้าวเดินอยู่เหนือพื้นหนึ่งฉื่อ

เดินเอื่อยเฉื่อยไปเยี่ยงนี้ชักน่าเบื่อแล้ว โม่อีเหรินจึงตัดสินใจหาความสนุกเล็กน้อย…พร้อมกับฝึกบำเพ็ญไปด้วย

“จิงหง พวกเราวิ่งไปบนเขาทางด้านนั้นกันดีหรือไม่”

บนเขาทางด้านนั้น…เป็นยอดเขาสีส้มอมแดงลูกหนึ่ง

ไป่หลี่จิงหงเข้าใจความหมายของนางแทบจะทันที จึงคลี่ยิ้มออกมาทำให้สีหน้าดูนุ่มนวลขึ้น “ได้”

“อย่างนั้นก็เริ่มเลย!”

คนทั้งสองยังจับมือกันไม่ปล่อย ไป่หลี่จิงหงสำแดงฝีมือก่อน เขาปล่อยพลังปฐมขุมหนึ่งออกไปข้างหน้า กลิ่นอายเย็นยะเยือกปกคลุมเป็นบริเวณหนึ่งจั้งโดยรอบทันที

คนทั้งสองเดินหน้าไปหนึ่งจั้ง

จากนั้นไป่หลี่จิงหงก็ใช้ปราณเย็นอัดรวมเป็นคมดาบ ก่อนที่จะจูงโม่อีเหรินเหยียบขึ้นดาบน้ำแข็ง แล้วขี่มันเหาะไป

คราวนี้เดินหน้าไปสิบจั้งเลยทีเดียว

แล้วไป่หลี่จิงหงก็เสกดาบน้ำแข็งออกมาใหม่และเดินหน้าไปอีก…จนกระทั่งเดินหน้ามาได้เป็นระยะร้อยกว่าจั้ง โม่อีเหรินก็หยิบน้ำผลไม้วิเศษถ้วยหนึ่งออกมาป้อนไป่หลี่จิงหง ไป่หลี่จิงหงถึงได้หยุดลง

“จิงหง นี่เป็นการฝึกบำเพ็ญ ไม่ต้องทุ่มแรงสุดชีวิตถึงเพียงนั้นก็ได้กระมัง”

ใช้พลังปฐมจนหมดเกลี้ยงเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง

“ข้ามีเหลือเก็บไว้นิดหน่อย” ไป่หลี่จิงหงดื่มน้ำผลไม้วิเศษหมด ก็รู้สึกว่าไอวิเศษอันอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งได้แทรกซึมไปทั่วทั้งร่าง “หลังจากเลื่อนขั้น ข้ายังไม่รู้ขีดจำกัดต่ำสุดของตนเอง นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบ”

เขาจำต้องเข้าใจพลังแก่นแท้ของตนเองดี ถึงจะสามารถทำการตัดสินใจที่ดีที่สุดออกมาได้ในเวลาที่ประสบกับอันตรายตลอดจนขณะต่อสู้กับผู้อื่น

โม่อีเหรินมองค้อนเขา ต่อให้เขาอยากรู้ขีดจำกัดของตนเองก็ไม่เห็นต้องทรมานตนเองถึงเพียงนี้ ใช้ปราณอัดรวมเป็นดาบในสถานที่แห้งแล้งพรรค์นี้ นั่นเป็นการสิ้นเปลืองพลังปฐมเป็นทวีคูณ แต่ได้ผลน้อยลงเป็นครึ่ง

“ข้ารู้ขอบเขต” ไป่หลี่จิงหงรั้งตัวนางมาโน้มหน้าจุมพิต

โม่อีเหรินถลึงตาใส่เขาอีกที ทว่าหายโมโหแล้ว กลับกลายเป็นเอื้อมมือกอดเอวเขาไว้แทน

“ถ้าบอกให้ท่านอย่าฝึกบำเพ็ญอย่างเอาเป็นเอาตายถึงเพียงนี้ ท่านจะต้องไม่ฟังอย่างแน่นอน” โม่อีเหรินย่นจมูก

บุรุษไม่มีทางฟังที่สตรีพูดโดยสิ้นเชิง…หรือต่อให้ฟังก็จะทำตัวหน้าไหว้หลังหลอกอยู่ดี ฉะนั้นไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรมากแล้ว เพราะนั่นจะเป็นการทำให้ตนเองเจ็บจี๊ดที่ใจ

ดังนั้นโม่อีเหรินจึงได้แต่เปลี่ยนวิธีการ

นำญาณวิเศษแทรกเข้าไปในแหวนพู่สวรรค์ จากนั้นก็ใช้มันควบคุมวัตถุ เทแบ่งน้ำผลไม้วิเศษที่บ่มได้ที่แล้วลงใส่ขวดหยกหลายขวด ก่อนจะนำออกมาให้ไป่หลี่จิงหงพกติดตัว

“ฝึกเหนื่อยแล้วก็ดื่มได้ มันมีสรรพคุณใกล้เคียงกับยาลูกกลอนเสริมพลัง แต่ออกฤทธิ์อ่อนโยนกว่า ต่อให้ไม่ฝึกบำเพ็ญ ร่างกายก็ยังจะดูดซับอย่างช้าๆ ได้เอง”

ผลไม้วิเศษในแหวนพู่สวรรค์มีหลายชนิด ว่างๆ นางต้องบ่มออกมาอีกสักสองสามรสชาติ วิธีการบ่มนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นมาจากในคลังเก็บตำราของตระกูลเฟิ่ง

ไป่หลี่จิงหงรับไว้อย่างทั้งฉิวทั้งซึ้งใจ

“วางใจได้ ข้าไม่มีทางเป็นอะไรหรอก” แม้จะตามไขว่คว้าพลังแก่นแท้ ฝึกบำเพ็ญโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น แต่เขายังคงมีขีดจำกัดในใจตนเอง

โม่อีเหรินก็คือขีดจำกัดของเขา

เรื่องที่จะทำนางเศร้าเสียใจ ทำให้นางต้องเป็นกังวล เขาไม่มีทางทำแน่นอน

“ท่านเป็นอะไรมาหลายครั้งพอแล้ว” ไม่พูดประโยคนั้นยังดี พอเขาพูดขึ้นมา โม่อีเหรินก็ถลึงตามองเขาไม่หยุด

เป็นใครที่เล่นหายตัวมาอยู่อีกดินแดนหนึ่ง และทำให้นางต้องตามหาอย่างลำบากลำบน…เอ่อ…ถึงจะหาคนพบได้อย่างราบรื่นยิ่ง แต่ก็ยังลำบากมากอยู่ดี

“ไม่มีครั้งหน้าแล้ว”

เรื่องหายตัวไปจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว

“ท่านรับรอง?”

“ข้ารับรอง”

“…ก่อนข้ามาดินแดนแรกนภา ท่านตาได้ย้ำกับข้าอีกครั้งว่าคำรับรองของบุรุษไม่อาจเชื่อได้”

แน่นอนว่าอันที่จริงประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ…นางห้ามถูกหลอกแต่งงาน!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 เม.. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: