X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 เล่ม 3 บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 4

เนื่องจากการเฆี่ยนตีอย่างโหดเหี้ยม ซากแห้งจึงกลายเป็นผุยผงในพริบตา

ฟู่…

เมื่อลมหอบหนึ่งพัดมาก็ฟุ้งกระจาย

หากแต่เถาวัลย์ยังคงฟาดไม่หยุด…จนเสื้อผ้าของซากแห้งไม่เหลือซาก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เหมือนว่าระบายแค้นจบแล้ว ถึงได้เลื้อยกลับไปที่ก้อนหิน

และหลังจากฟาดเสร็จ สีแดงเลือดของเถาวัลย์พันลี้ก็หายไป เปลี่ยนกลับมาเป็นสีเขียวอมเหลืองตามเดิม

ไอวิเศษบนตัวของสี่คนนั้นเพียงพอให้เถาวัลย์พันลี้กินอิ่มแค่หนึ่งมื้อเท่านั้น พอย่อยแล้วก็หมดไป สีจึงเปลี่ยนกลับมา

เวลานี้เองโม่อีเหรินที่หลบอยู่ด้านหนึ่งก็มองเขี้ยวเงินปราดหนึ่งอย่างเงียบๆ

เถาวัลย์พันลี้โหดร้ายมากจริงๆ

โหดร้ายยิ่งนัก

เขี้ยวเงินเองก็เห็นด้วยอย่างเงียบๆ

ทว่ายังคงต้องเอาน้ำนมวิเศษ ดังนั้นโม่อีเหรินจึงเดินออกมา

ครั้นเถาวัลย์มองเห็นโม่อีเหริน ก็เลื้อยบิดมาถึงเบื้องหน้าโม่อีเหริน ซ้ำยังถูซ้ายถูขวากับมือของโม่อีเหริน แสดงความเป็นมิตรและการออดอ้อน

ท่าทางน่ารักน่าชังนี้ อันที่จริงเป็นคนละเถากับที่มีท่าทางโหดร้ายกระหายเลือดเมื่อครู่นี้กระมัง

เขี้ยวเงินเหยียดหยามที่มันพยายามทำตัวน่ารัก จึงยื่นเท้าหน้าไปสะกิดมัน

เถาวัลย์นั้นยังบิดตัวแสร้งทำหลบเลี่ยงด้วยความขวยเขินอีกด้วย

ขวยเขิน? โม่อีเหรินหน้าดำทะมึน

เขี้ยวเงินทนเล่นต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่านี่เป็นการลดเชาวน์ปัญญาของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงเก็บเท้าหน้ากลับมา ก่อนบินไปทาง ‘ผงมนุษย์’

เก็บพวกชุดวิเศษ กระเป๋าวิเศษอะไรกลับไปด้วยทั้งหมด หลังโม่อีเหรินดูแล้ว ที่มีประโยชน์ก็เก็บไว้ ที่ไม่มีประโยชน์ก็นำไปขายแลกหินวิเศษ

นี่เป็นการรับรู้ที่สัตว์ทั้งสองพัฒนาออกมาร่วมกันหลังจากเสี่ยวทุนปล้นคนตระกูลไป่หลี่ อีกทั้งยังถือโอกาสเดินเล่นทั่วคลังสมบัติของผู้อื่นและกวาดข้าวของกลับมาจำนวนมาก แล้วโม่อีเหรินชมเชยเป็นการใหญ่เมื่อคราวก่อน

การรับรู้นั้นก็คือ…ทุกอย่างที่เป็นของมีค่า ห้ามผ่านเลยไปเป็นอันขาด

เมื่อนำกลับมา โม่อีเหรินจะยินดียิ่ง

โม่อีเหรินยินดี พวกมันก็ดีใจ

เพราะฉะนั้นงานนี้จะต้องส่งเสริมให้รุ่งเรืองให้ได้

เมื่อได้พบเซิ่นคราวหน้าก็ต้องห้ามลืมบอกมันด้วย

ด้วยเหตุนี้ขณะที่โม่อีเหรินไม่รู้ตัว เสี่ยวทุนกับเขี้ยวเงินก็ได้เผลอเกิดแนวโน้ม…ที่จะกลายเป็นโจรแล้ว

ด้านเถาวัลย์พันลี้กำลังม้วนพันมือนาง…นี่เป็นถิ่นของเสี่ยวทุน

โชคดีที่ตอนนี้เสี่ยวทุนไม่อยู่ มิเช่นนั้นจะต้องเกิดการแข่งหวดเถาปะทะฟาดหางขึ้นตรงนี้อย่างแน่นอน

ใครจะเป็นฝ่ายชนะ ขณะนี้ยังไม่อาจรู้ได้

ทว่าเถาวัลย์พันลี้ดึงมือนางไปหาน้ำนมวิเศษ แล้วชี้มันแสดงความหมายว่า…มอบให้ท่าน

เหตุใดเถาวัลย์พันลี้ถึงเป็นมิตรต่อโม่อีเหรินถึงเพียงนี้

เดิมทีขณะโม่อีเหรินกับเขี้ยวเงินปรากฏตัวในตอนแรก เถาวัลย์พันลี้อยากจะโจมตียิ่ง แต่ไม่รู้เพราะอะไรมันกลับรู้สึกว่าบนตัวโม่อีเหรินให้ความรู้สึกที่มันชอบอย่างมาก แต่ก็มีกลิ่นอายที่ทำให้มันเกรงกลัวโดยสัญชาตญาณด้วยเช่นกัน ทำให้มันไม่กล้าบังอาจทำอะไร

ต่อมาโม่อีเหรินนำดินสีเขียวออกมาเล็กน้อย เถาวัลย์พันลี้ก็กลืนลงไปทันที

แค่ดินเขียวหยิบมือเล็กๆ ก็ทำให้เถาวัลย์พันลี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หรือที่เรียกว่า ‘วิวัฒนาการ’ ได้ทันที

หลังจากนั้นคนน่ารำคาญก็มาถึง เถาวัลย์พันลี้เข้าสู่สภาวะต่อสู้ในทันใด จนกระทั่งสู้ชนะถึงได้กลับมาอยู่เบื้องหน้าโม่อีเหริน แสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายเพื่อเอาใจ

เถาวัลย์พันลี้ที่เกิดสติปัญญาขึ้นมาเล็กน้อยแล้วคิดโดยสัญชาตญาณว่าติดตามนางมีเนื้อให้กิน…อา ไม่ใช่สิ ต้องเป็นติดตามนาง ‘มีดินให้กิน’ ต่างหาก

“เจ้าไม่ต้องการหรือ” โม่อีเหรินถาม

พอมองดูดีๆ น้ำนมวิเศษนี้ถึงกับมีอายุร่วมหมื่นปี แม้เถาวัลย์พันลี้จะไม่อาจกินหรือใช้มันได้โดยตรง แต่การที่มีน้ำนมวิเศษอยู่ ไอวิเศษโดยรอบก็จะเต็มเปี่ยมกว่าที่อื่น มีผลดีต่อเถาวัลย์พันลี้

เถาวัลย์พันลี้บิดตัวใส่โม่อีเหรินอีกครั้ง ยังคงชี้น้ำนมวิเศษอีกทั้งดึงมือนาง

“ก็ได้ ขอบใจ” โม่อีเหรินพูดกับมัน จากนั้นก็มองก้อนหินก้อนนั้น นึกคิดเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปแตะ เก็บหินทั้งก้อนเข้าไปไว้ในแหวนพู่สวรรค์

ก้อนหินหายไป เถาวัลย์พันลี้ที่เดิมทีเกาะอยู่บนนั้นก็ตกลงพื้นทันที

จากที่มีความสูงระดับมือโม่อีเหริน เถาวัลย์กลับลดไปอยู่แค่ระดับเข่าในชั่วพริบตา ซ้ำยังบิดตัวไปมา ท่าทางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เตี้ยลง

ทว่าไม่เป็นไร มันสามารถยืดตัวให้สูงขึ้นมาถึงมือโม่อีเหรินเพื่อจะถูไถต่อได้

เวลานี้เองเขี้ยวเงินก็บินกลับมา

“ข้าจะไปแล้ว” โม่อีเหรินพูดกับเถาวัลย์พันลี้

เถาวัลย์พันลี้ชะงักงันอยู่บนมือโม่อีเหริน

โม่อีเหรินลูบมัน “เจ้าต้องระวัง ซ่อนตัวให้ดี อย่าออกมาให้เห็นส่งเดช มิเช่นนั้นเกิดเจอกับคนที่มีเชื้อไฟอัศจรรย์เข้า เจ้าจะเสียเปรียบยิ่ง เข้าใจหรือไม่”

ไป่หลี่จิงเทานับว่าดวงยังไม่ถึงฆาต ถูกไป่หลี่จิงหลันช่วยไว้ได้พอดีในขณะหน้าสิ่วหน้าขวาน และในตัวของไป่หลี่จิงหลันก็มีเชื้อไฟอัศจรรย์…เปลวเพลิงสีส้มนั้นคืออัคนีส้มกระมัง!

เถาวัลย์พันลี้ในตอนนี้ยังไม่มีความสามารถพอจะต่อกรกับเชื้อไฟอัศจรรย์ เว้นแต่ว่ามันจะมีวิวัฒนาการอีกครั้ง

ประหนึ่งรู้ว่านางจะไปแล้ว เถาวัลย์พันลี้จึงม้วนพันมือนางไว้ ดึงนางไว้ไม่ยอมปล่อย

“ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ไปตลอดได้ ยังต้องไปตามหาคนอีก เจ้าเป็นเด็กดี ปล่อยข้าเถอะ”

เถาวัลย์พันลี้บิดตัว ดึงนาง แล้วก็บิดตัวอีก โม่อีเหรินดึงมันออก มันไม่กล้าพันรัดอีก แต่พอโม่อีเหรินก้าวเดินหนึ่งก้าว มันก็ตามนางมาติดๆ พอนางวิ่งสองก้าว มันก็ตามนางต่ออย่างไม่ลดละ

โม่อีเหรินจึงหยุดลง มองมันอย่างจนใจอยู่เล็กน้อย นางสามารถฟังที่เหล่าสัตว์วิเศษพูดเข้าใจ แต่นางไม่เข้าใจที่พืชพูด นางเพียงแค่เดาออกอย่างกล้อมแกล้มว่าเถาวัลย์พันลี้ไม่อยากให้นางไป แต่นางไม่ไปไม่ได้นี่นา นางไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่ตอนที่แดนสมบัติปิดลง

มิหนำซ้ำนางยังต้องไปหาไป่หลี่จิงหงกับเสี่ยวทุนด้วย นี่เป็นเรื่องใหญ่

ร่างของเถาวัลย์พันลี้บิดแล้วบิดอีก ทั้งยังขยับมาขยับไปเหมือนว่าเป็นกังวลทำอะไรไม่ถูก ผลคือเกือบจะมัดตนเองเป็นปมแล้ว สุดท้ายมันก็เลื้อยมาเกาะมือของโม่อีเหรินไว้ ก่อนจะเจาะนิ้วของโม่อีเหรินแล้วดูดเลือดไปหยดหนึ่งเสียเลย…

โม่อีเหรินตะลึงงัน

เขี้ยวเงินพุ่งตัวมาทันที ครั้นจะซัดดาบวายุออกไป…ตัวกลับถูกโม่อีเหรินคว้าไปกอด

“เดี๋ยวก่อนเขี้ยวเงิน มันไม่ได้จะโจมตีข้า”

เขี้ยวเงินมองดูดีๆ…แค่เลือดหยดเดียวเท่านั้น

เขี้ยวเงินหรี่ตาลง คราวนี้ถึงได้รั้งรอดูทีท่าก่อน

เถาวัลย์พันลี้พลันเริ่มบิดตัวอย่างรุนแรง ถอยหลังออกห่างจากโม่อีเหรินเล็กน้อย แล้วถึงส่งเสียงร้องไห้เหมือนเด็กทารกออกมา

“แงๆ…”

บนตัวของเถาวัลย์พันลี้มีแสงเพลิงสีม่วงอ่อนปรากฏขึ้นมา

“แงๆๆ…”

เถาวัลย์พันลี้ยังไม่หยุดร้อง เหมือนว่าถูกไฟเผาผลาญ ผิวสีเขียวบนตัวของมันเริ่มกะเทาะออกทีละนิด ต่อจากนั้นใบสีเขียวบนตัวมันก็ค่อยๆ แห้งเหี่ยว อีกทั้งค่อยๆ มียอดอ่อนงอกขึ้นมาใหม่

ดูเหมือนเชื่องช้า อันที่จริงกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

จากนั้นก็มีภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันปรากฏซ้ำอีกสองครั้ง เสียงร้องไห้ถึงค่อยๆ เบาลงแล้วเงียบไป

การเปลี่ยนแปลงของเถาวัลย์พันลี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

ตัวเถาที่ปรากฏขึ้นใหม่มีขนาดเรียวขึ้น ผิวชั้นนอกเกลี้ยงเกลาและมีสีเขียวสดราวกับมีรัศมีแสงสีม่วงอ่อนฉาบอยู่ชั้นหนึ่ง ดูไปแล้วทั้งงดงามทั้งชุ่มฉ่ำมันเงา

แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเถาวัลย์ที่ดูเหี่ยวแห้งมอมแมมก่อนหน้านี้

ทว่าท่ามกลางกิ่งเถาสีเขียวดูเหมือนจะมีแกนกลางสีดำอยู่เส้นหนึ่ง เส้นเล็กยิ่ง หากไม่ใช่เพราะโม่อีเหรินมองดูอย่างละเอียด ก็มองออกได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ

เถาวัลย์พันลี้ดีใจมาก

“เจ้า เจ้านาย…” เสียงเล็กๆ อ้อแอ้เหมือนทารกหญิงพลันดังขึ้นในอากาศ

โม่อีเหรินนิ่งงันไป

เถาวัลย์พันลี้คืบคลานมาตรงหน้านาง

“เจ้านาย ข้าน่ามองหรือไม่” มันเอ่ยพลางหมุนตัวให้ดูอีกด้วย

“…” โม่อีเหรินพูดไม่ออก เถาวัลย์ต้นหนึ่งถามนางว่ามันน่ามองหรือไม่ นางจะตอบอย่างไรดี

“เจ้านายๆ ข้าไปกับท่านได้แล้ว อย่าทิ้งข้าเอาไว้” เถาวัลย์พูดต่อ

หากไม่ได้ยินเสียง ไม่ว่าใครก็จะมองเห็นเพียงเถาวัลย์ต้นหนึ่งบิดไปบิดมาเหมือนกำลังวางท่ายั่วยวน

เขี้ยวเงินยกเท้าหน้าขึ้นมา พินิจพิจารณาว่ามันสามารถใช้เท้าเหยียบได้หรือไม่

“เจ้ามีวิวัฒนาการอีกแล้ว?” โม่อีเหรินได้สติกลับมาในที่สุด นางคาดเดาโดยดูจากความเปลี่ยนแปลงของเถาวัลย์

“ใช่แล้ว ข้าร้ายกาจขึ้นแล้ว” เถาวัลย์ภูมิอกภูมิใจยิ่ง ก่อนจะสำทับอย่างกระดากใจอีกว่า “แต่ว่าความงามได้มาจากเจ้านายล้วนๆ ขอบคุณเจ้านาย…”

โม่อีเหรินทำสีหน้าสนเท่ห์

เถาวัลย์พันลี้จึงเริ่มเล่าเรื่องของตนเองให้นางฟัง

ที่แท้มันก็ไม่ใช่ ‘เถาวัลย์พันลี้’ แต่กลายเป็น ‘เถาวัลย์เฉาพันลี้’ แล้ว

แม้จะต่างกันแค่คำเดียว แต่หากกล่าวถึงสติปัญญา กล่าวถึงพลังโจมตีและพลังป้องกัน กล่าวถึงความสามารถในการเติบโต นั่นกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

เถาวัลย์พันลี้เป็นพืชพื้นถิ่น ขึ้นอยู่ในสถานที่ที่มีไอวิเศษเข้มข้น เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงมาเป็นพันปีก็จะค่อยๆ เกิดสติปัญญา สำหรับพืชพรรณแล้ว พลังโจมตีของมันไม่นับว่าแก่กล้า แต่พลังป้องกันยังนับว่าไม่เลว มันมีความอ่อนโยนตามนิสัยธรรมชาติของพืชและความได้เปรียบของพืชประเภทเถาวัลย์ มันไม่โจมตีส่งเดช และขณะเดียวกันกิ่งเถาก็งอกใหม่ได้

สำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดของมันคือเมล็ดสามารถใช้ทำยาได้ เป็นสมุนไพรวิเศษที่มีฤทธิ์ช่วยฟื้นฟูพลังวิเศษและรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างดีเยี่ยม

ทว่าเถาวัลย์เฉาพันลี้คือเถาวัลย์พันลี้ที่กลายพันธุ์ไปหลังจากมีวิวัฒนาการ การกลายพันธุ์ทำนองนี้มีความเป็นไปได้ต่ำมาก และก็พบเห็นได้น้อยมากเช่นกัน

กล่าวง่ายๆ ก็คือเมื่อกลายพันธุ์เป็นเถาวัลย์เฉาพันลี้ นิสัยจะเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นดุร้าย ไม่เพียงเปลี่ยนจากกินพืชมากินเนื้อ ยังจะเป็นฝ่ายหาเนื้อมาแปรสภาพเป็นพลังงานของตนเองเพื่อเร่งการเติบโตให้เร็วขึ้นอีกด้วย

เมล็ดพันธุ์ของเถาวัลย์เฉาพันลี้สามารถใช้ทำยาได้เหมือนกัน…แต่เป็นยาพิษ ยาพิษที่ใส่เมล็ดเถาวัลย์เฉาพันลี้ลงไปเสริม ยามหลอมออกมาจะได้พิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงขึ้นอีกเท่าทวี

เถาวัลย์เฉาพันลี้ต้นนี้เริ่มมีวิวัฒนาการเนื่องจากกินดินสีเขียวอันมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมเข้าไป ต่อจากนั้นก็ดูดเลือดเป็นอาหารอีกทันที…เลือดเนื้อที่เปี่ยมด้วยไอวิเศษของผู้ฝึกบำเพ็ญก็เป็นของบำรุงชั้นเยี่ยมสำหรับสัตว์วิเศษและพืชวิเศษเช่นกัน

ทว่ามันเพิ่งจะมีวิวัฒนาการก็ดูดพลังคนไปสี่คน จากนั้นยังดูดเลือดของโม่อีเหรินไปอีกหยดหนึ่ง เถาวัลย์ทั้งต้นเท่ากับได้ผ่านการชำระชีพจรเปลี่ยนไขกระดูกอย่างไรอย่างนั้น

เถาวัลย์บอกกับนางว่า “เลือดของเจ้านายเป็นของดี ต้องระวังอย่าให้ถูกสิ่งอื่นกินเข้า”

“…” โม่อีเหรินไม่อยากกลายเป็นพระถังซัมจั๋งที่ทุกผู้ทุกคนจ้องจะกินแม้แต่นิดเดียว

สรุปคือพูดถึงมาตรงนี้ เถาวัลย์เองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน รู้เพียงว่าเลือดของเจ้านายร้อนจนแผดเผามันทั้งตัว แล้วเลือดของเจ้านายก็ทำให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แผดเผา แล้วฟื้นคืนชีพ แผดเผาอีก จนในที่สุดก็หยุดที่ฟื้นคืนชีพ…แล้วมันก็กลายมามีสภาพเยี่ยงนี้

มันรู้เพียงว่าพลังชีวิตของมันในตอนนี้ไม่ธรรมดา ต่อให้ถูกฟันเป็นร้อยแปดท่อน ก็สามารถคืนชีพได้ในชั่วพริบตา

นอกจากนี้พิษของมันก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน สามารถฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย

มันยินดีและภาคภูมิใจยิ่ง รู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์มาก

โม่อีเหรินฟังแล้วก็หมดคำจะกล่าว

นี่คือประวัติวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์อันเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนของเถาวัลย์ต้นหนึ่ง?

มิหนำซ้ำนิสัยก็เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเป็นโหดร้ายทารุณจริงๆ เอะอะก็พูดเรื่องฆ่าฟัน!

“เจ้านาย พวกเรามีพันธสัญญากันแล้ว! ท่านจะทิ้งข้าไว้ไม่ได้” เถาวัลย์เฉาพันลี้ยังไม่ลืมความตั้งใจเดิมที่ทำให้มันดูดเลือดไปหยดหนึ่ง

โม่อีเหรินมองมัน

มิใช่นางดูถูกพืช แต่นางไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าจะพาเถาวัลย์ที่ ‘ขดตัวแล้วก็ยังเป็นก้อนใหญ่’ เช่นนี้เดินทางไปด้วย!

“เจ้านายๆ อย่าทิ้งข้าไว้…” พอเห็นเจ้านายยังไม่ตอบ มันก็เริ่มแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร

“…” เห็นทีจะไม่ใช่แค่นิสัยเปลี่ยนเป็นโหดร้าย แต่ยังเจ้าเล่ห์ขึ้นด้วย

โม่อีเหรินมองมันโดยตลอด มองจนมันเริ่มไม่กล้าพูดอะไรอีก และก็ค่อยๆ ไม่กล้าบิดตัวส่งเดช กิ่งเถาที่เดิมทียืดตรงแหน็วบัดนี้กำลังงอลง

“เจ้านาย…” เถาวัลย์เฉาพันลี้ทำอะไรไม่ถูกยิ่ง

“เหตุใดต้องยอมรับข้าเป็นเจ้านาย”

“เจ้านายดีต่อข้า มิหนำซ้ำอยู่ที่นี่ก็โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่ง…” เรื่องที่มีวิวัฒนาการเป็นเถาวัลย์เฉาพันลี้เป็นเรื่องบังเอิญอย่างจริงแท้แน่นอน มันเพียงแค่อยากจะติดตามนาง

“เจ้าอยากติดตามโม่อีเหรินก็ต้องเชื่อฟังโม่อีเหริน ไม่มีคำสั่งก็ห้ามเคลื่อนไหวส่งเดช และก็ห้ามเผยสภาพเถาวัลย์เฉาพันลี้ตามอำเภอใจ ทำได้หรือไม่” เขี้ยวเงินถาม

“ข้าจะเชื่อฟังเจ้านายอย่างว่านอนสอนง่าย” เถาวัลย์เฉาพันลี้ตอบทันที

โม่อีเหรินสามารถรับรู้ความจริงใจของเถาวัลย์เฉาพันลี้ได้จากการสื่อสนองผ่านพันธสัญญานายบ่าว

แม้มันจะโหดร้ายอยู่สักนิด เจ้าเล่ห์อยู่สักหน่อย แต่ธาตุแท้ยังคงใสซื่อบริสุทธิ์ มิหนำซ้ำมันเป็นฝ่ายยอมรับเจ้านายเอง จึงมีสัญชาตญาณเชื่อฟังและจงรักภักดีต่อโม่อีเหริน

“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราไปด้วยกัน” โม่อีเหรินตัดสินใจรับมันไว้ ทว่ายังมีปัญหาที่ต้องแก้อยู่ “หากแต่เจ้าตัวโตปานนี้ ข้าจะพาเจ้าไปด้วยได้อย่างไร”

“เจ้านายโปรดรอสักครู่”

พูดจบ เถาวัลย์เฉาพันลี้ก็พลันเริ่มตัวเล็กลง ตัวหดจนกลายเป็นของสีเขียวอ่อนที่มีลักษณะเหมือนแถบไหมเส้นหนึ่ง ซ้ำยังออกมาจากร่างจริงด้วย

ร่างจริงมีขนาดเล็ก สูงเพียงราวหนึ่งฉื่อ แต่รากของมันเป็นสีดำ แทงลงในดินก้อนหนึ่ง ตัวเถากลายเป็นสีม่วง ใบเป็นสีเขียว…เป็นรูปลักษณ์ที่พิลึกสิ้นดี

ส่วนกิ่งก้านใบอะไรที่โอบพันอยู่บนต้นไม้ก็ถูกตัดขาดจากร่างไปหมดแล้ว

“เจ้านาย ได้โปรดเก็บสิ่งนี้เอาไว้ด้วย” แถบไหมดันร่างหลักไปทางโม่อีเหริน

“เจ้าทำเช่นนี้ไม่เป็นไรหรือ”

“เจ้านาย นี่เป็นความสามารถอันเป็นพรสวรรค์ของข้า ข้าสามารถแยกร่างได้นับไม่ถ้วน ขอเพียงร่างหลักยังอยู่ ก็ยังสามารถคืนชีพได้เสมอ ไม่ว่าจะแปลงเป็นกี่ร่าง ความสามารถของแต่ละร่างก็ล้วนไม่ต่างกัน มิหนำซ้ำยังสามารถเปลี่ยนขนาดเปลี่ยนรูปร่างเปลี่ยนสีได้อีกด้วย” แถบไหมพูดอย่างร่าเริง

“เช่นนั้นพวกนั้น…” เถาวัลย์ถูกตัดขาดไปตั้งมากถึงเพียงนั้น?

“นั่นเป็นลูกหลานของข้า”

“…” ลูก…หลาน?!

ก็ได้ พืชแค่มีเมล็ดพันธุ์ก็สามารถงอกออกมาได้ตลอด พืชต้นหนึ่งสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้จำนวนมากยิ่ง ต้องเยือกเย็นเข้าไว้

จะว่าไปแล้ว ความสามารถแปลงร่างและแยกร่างได้นี้ก็ไม่เลวอย่างยิ่ง

“พวกมันยังเล็กเกินไป ทิ้งไว้ที่นี่ให้ค่อยๆ เติบโต หากมีความจำเป็นค่อยเรียกพวกมันออกมาช่วย”

ช่วย? โม่อีเหรินสีหน้าเปล่งประกาย

“เช่นนั้นตอนนี้เจ้ารู้ได้หรือไม่ว่าในป่านี้มีคนอยู่เท่าไร”

“เจ้านาย ช่วยตั้งชื่อให้ข้าก่อนได้หรือไม่” แถบไหมร้องขออย่างขวยเขินอยู่เล็กน้อย

“เสี่ยวเถิง” โม่อีเหรินพูดอย่างรวดเร็วฉับไว

แถบไหม…เสี่ยวเถิงดีใจแล้ว

“เจ้านายรอประเดี๋ยว เสี่ยวเถิงจะถามดูเดี๋ยวนี้” เสี่ยวเถิงบิดตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยรายงาน “มีมากยิ่ง ทว่าล้วนกระจัดกระจายกัน บ้างกำลังเก็บหญ้าวิเศษ บ้างกำลังสู้กับสัตว์วิเศษ บ้างกำลังหาเส้นทาง บ้างเจอคนอื่นแล้วต่อสู้กัน อีกทั้งบ้างก็รวมตัวเดินไปด้วยกัน”

“เช่นนั้นมีคนที่แต่งกายเหมือนกับสี่คนนั้นหรือเหมือนกับคนที่หนีไปเมื่อครู่นี้บ้างหรือไม่”

“มี” เสี่ยวเถิงตอบเสร็จก็เสริมอีกว่า “เจ้านาย อันที่จริงหญ้าวิเศษที่พวกเขาขุดได้ตอนนี้ล้วนไม่นับว่าดีนัก หากเจ้านายอยากได้หญ้าวิเศษชั้นดี เสี่ยวเถิงสามารถนำทางได้”

ในป่าเขาแห่งนี้ มันนับได้ว่าเป็นลูกพี่ใหญ่เชียวนะ

ต่อให้มีพืชที่มีสติปัญญาอยู่อีก ก็ไม่มีที่อยู่มานานกว่ามัน

“เรื่องหญ้าวิเศษเอาไว้ทีหลัง พวกเราไปแกล้งคนกันก่อน” โม่อีเหรินเก็บร่างจริงของเสี่ยวเถิง ตั้งใจวางมันไว้ด้วยกันกับก้อนหินโดยเฉพาะ ซ้ำญาณวิเศษยังมองเห็น ‘เสี่ยวเถิง’ ยืดร่างพันก้อนหินไว้รอบแล้วรอบเล่าด้วยความเบิกบานใจ จากนั้นก็…นอนหลับ

“แกล้งคน?” เสี่ยวเถิงฉงนสงสัย มันจัดแจงกระโดดขึ้นบ่าซ้ายของโม่อีเหรินแล้วผูกตนเองเป็นปมรูปหูกระต่าย…ปลอมตัวเป็นเครื่องประดับ

“ไม่ว่าดีหรือไม่ ขอเพียงเป็นของล้ำค่าก็จะไม่ยอมให้พวกเขาได้ไป” โม่อีเหรินพูดพร้อมยิ้มตาหยี

หลังถามทิศทางจากเสี่ยวเถิงแล้ว ก็เริ่มออกสร้างความเสียหายโดยไล่ตั้งแต่บริเวณใกล้ๆ

พร้อมกันนั้นยังถือโอกาสบอกเสี่ยวทุนด้วยว่านางจะเล่นสนุกอยู่ในป่าเสียหน่อยแล้วถึงค่อยไปสมทบกับมัน ให้มันคุ้มครองท่านพ่อให้ดี

ด้วยเหตุนี้เสี่ยวทุนจึงมองเห็นภูเขาน้ำแข็งบนหน้าของท่านพ่อมีชั้นน้ำแข็งหนาขึ้นอีกร้อยเท่า…ทว่านางไม่ได้เห็น

 

เวลาต่อมาจวบจนตกกลางคืน คนของตระกูลไป่หลี่และตระกูลเสวียนหมิงต่างก็เคราะห์ร้ายไปตามๆ กัน

อุตส่าห์ได้เจอรังราชินีผึ้ง มิหนำซ้ำเหล่าผึ้งวิเศษก็ไม่อยู่ในรัง เป็นโอกาสชั้นเยี่ยมที่จะเก็บนมผึ้งวิเศษ…ผลคือจู่ๆ เหล่าผึ้งวิเศษก็กลับมา คนในที่นั้นถูกต่อยจนทั้งหัวปูดบวม ได้แต่หนีเอาชีวิตรอดไว้ก่อน

บังเอิญพบผลเพลิงชาด แม้จะมีสัตว์วิเศษเฝ้าพิทักษ์อยู่ แต่ล่อให้พ้นทางก็ใช้ได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำเนินไปได้อย่างราบรื่นยิ่ง…แต่ใครเลยจะรู้ว่าสัตว์วิเศษที่เฝ้าพิทักษ์จะมีอยู่ถึงสองตัว ผู้ที่อยากเก็บผลไม้ถูกสัตว์วิเศษพ่นไฟทั้งสองตัววิ่งกวดในทันที

ซ้ำพอโชคดีได้เจอสัตว์วิเศษสองตัวกำลังต่อสู้กันอยู่พอดิบพอดี คิดจะฉวยโอกาสลอบเด็ดหญ้าวิเศษ ผลกลับกลายเป็นถูกสัตว์วิเศษทั้งสองพบเห็นเข้า จึงถูกกระทืบแบนคาที่…พวกด้านข้างที่ยังจดจ้องอยู่จึงรีบเผ่นหนีไป

อีกทั้งพอจับปลาวิเศษอยู่ริมแม่น้ำก็กลับถูกจระเข้วิเศษจับเป็นอาหารเสียเอง

ไม่ง่ายเลยกว่าจะฆ่ามังกรน้ำพันปีที่บาดเจ็บสาหัสตัวหนึ่งจนตายได้แล้วคิดจะเก็บเอามาเป็นวัตถุดิบ ผลคือเจอกับอริเก่าของมังกรน้ำพันปีที่ตั้งใจมาแก้แค้น จึงถูกฆ่าตายเพราะฝ่ายนั้นคิดว่าเป็นพวกเดียวกับศัตรู

มีบางคนพักผ่อนอยู่ในป่า กลับโชคร้ายได้เจอกับแมงมุมหน้ามนุษย์ ผลคือได้ลงไปอยู่ในท้องของมัน

ไหนจะยังมีคนตระกูลไป่หลี่ที่ปะกับคนจากภาคีผู้ฝึกตนจึงต้องการจะแย่งชิงหญ้าวิเศษ ตระกูลเสวียนหมิงมาช่วยเสริมทัพ สู้กันไปสู้กันมากลับหลงเข้าไปในอาณาเขตเถาวัลย์พิษพอดี ทุกคนจึงล้วนถูกเถาวัลย์พิษไล่กวด

และยังมีคนที่บังเอิญได้สุดยอดของวิเศษมา แต่กลับถูกคนเห็นเข้า ด้วยเหตุนี้จึงถูกฆ่าชิงของไป…

เหตุการณ์ต่างๆ นานาเกิดขึ้นในป่าแถบนี้อย่างไม่ขาดสาย ทำเอาทั้งคนทั้งสัตว์วิ่งวุ่นชุลมุนไปหมด

จวบจนตกกลางคืน คนกับสัตว์วิเศษแยกย้ายกันไปหาที่นอน ในป่าถึงนับว่าค่อนข้างสงบลงได้ในที่สุด

โม่อีเหรินเองก็หายตัวเข้าไปในแหวนพู่สวรรค์อย่างเงียบๆ

สรุปสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมาในวันนี้…

เข้ามาแดนสมบัติวันแรก ผู้ที่ถูกส่งตัวมาในป่าแถบนี้เริ่มแรกแทบจะอยู่ลำพังคนเดียวทั้งสิ้น ต่อมาถึงได้เจอกับคนอื่น

บ้างเป็นสหายทำให้รวมกลุ่มกันได้พอดี บ้างเป็นศัตรูจึงได้ต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย และก็มีบ้างที่คิดจะรอฉกฉวยประโยชน์ แต่กลับถูกคนข้างหลังลอบโจมตี

“เจ้านาย เก็บเกี่ยวมาได้เยอะยิ่งนัก”

ข้อมูลข่าวกรองที่โม่อีเหรินได้ตลอดทั้งวันนี้ล้วนอาศัยเสี่ยวเถิงทั้งสิ้น

ดอกผลที่ได้ตลอดทั้งวันนี้ก็ล้วนอาศัยเสี่ยวเถิงทั้งสิ้นเช่นกัน

ดังนั้นทุกคนจึงล้วนไม่ได้สุดยอดของวิเศษติดไม้ติดมือ แต่โม่อีเหรินกลับได้ไปอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำเสี่ยวเถิงยังเกี่ยวกระเป๋าวิเศษมาได้อีกไม่น้อย

โม่อีเหรินค้นพบว่าพอมีเสี่ยวเถิง ยามต้องการร่วมมือ ‘ก่อคดี’ กับพืชที่มีสติปัญญารวมถึงผึ้งวิเศษและแมงมุมหน้ามนุษย์ก็ทำได้สะดวกเป็นพิเศษ

หวังว่านี่จะไม่ทำให้ทุกคนเสียคน เพี้ยง!

“เจ้าทำได้ดีมาก” เขี้ยวเงินชมมัน

ตลอดทั้งวันนี้พวกมันล้วนเคลื่อนไหวอยู่ในที่ลับ บางครั้งก็รอฉกฉวยประโยชน์ต่ออีกทอดไม่ได้จริงๆ แต่พอมีเสี่ยวเถิง อยากจะแยกแยะทิศทาง อยากจะสอดแนมศัตรู อยากจะติดต่อกับสัตว์วิเศษที่อยู่ไกลออกไปอย่างพวกผึ้งวิเศษก็ทำได้สะดวกเหลือเกินจริงๆ

“แฮะๆ” ได้รับคำชมแล้ว! เสี่ยวเถิงบิดตัวไปมาด้วยความดีใจ

“เสี่ยวเถิงร้ายกาจยิ่ง” โม่อีเหรินชมมันเช่นกัน

“เจ้านายร้ายกาจยิ่งกว่า” วิธีการมาจากความคิดของเจ้านาย มันเพิ่งเคยเห็นปรากฏการณ์ทั้งคนทั้งสัตว์วิ่งวุ่นชุลมุนโกลาหลเป็นครั้งแรก สนุกมากจริงๆ “เจ้านาย พรุ่งนี้พวกเราจะเล่นต่อหรือไม่”

“พรุ่งนี้อาจจะต้องเปลี่ยนสถานที่” โม่อีเหรินคิดไปพลางหยิบสิ่งของในกระเป๋าวิเศษออกมาแยกประเภทไปพลาง

วันนี้ไม่ได้พบเห็นไป่หลี่จิงหลันกับไป่หลี่จิงเทาอีกเลย เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะออกไปจากป่าผืนนี้แล้ว

มิหนำซ้ำคนตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงที่อยู่ในป่า นางก็ได้จัดการแกล้งไปเกือบครบทุกคนแล้ว

“เสี่ยวเถิง เจ้ารู้สภาพการณ์ของสถานที่อื่นๆ ในแดนสมบัติหรือไม่”

“ข้าไม่เคยออกจากป่า จึงค่อนข้างรู้เฉพาะสภาพการณ์ในป่า ทว่าข้าเคยได้ยินสัตว์วิเศษตัวอื่นบอกว่าในที่แห่งนี้ยังมีทะเล มีทุ่งน้ำแข็ง และก็มีภูเขาไฟกับทะเลทรายอยู่ด้วย ซ้ำยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ลึกลับยิ่ง พวกข้าล้วนเข้าไปไม่ได้” เสี่ยวเถิงตอบอย่างซื่อตรง

“สถานที่ลึกลับอยู่ที่ใด”

“ไม่รู้” เสี่ยวเถิงส่ายลำตัว

“ไม่เป็นไร พวกเราค่อยๆ สืบดูได้” อันที่จริงเป็นการแอบฟังมากกว่าสืบ

โม่อีเหรินคาดเดาในใจ ไม่รู้ว่าการไปสมทบกันที่ไป่หลี่จิงหลิวพูดผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียงจะเกี่ยวข้องกับที่นั่นหรือไม่

ดูพวกเขามีความเข้าใจต่อแดนสมบัติมากกว่าพวกไป่หลี่จิงหงมาก เพราะอะไรกันนะ

โม่อีเหรินคิดแล้วก็ยังคิดไม่ออก จึงตัดสินใจพักผ่อนเอาแรงก่อน

วันนี้ยุ่งมามากแล้ว!

ด้วยเหตุนี้โม่อีเหรินจึงนอนหลับสนิทอยู่ในแหวนพู่สวรรค์ด้วยความวางใจ

 

ทว่าอีกด้านหนึ่ง ไป่หลี่จิงหงกับเสี่ยวทุนมิได้สบายเช่นนี้

ไป่หลี่จิงหงที่ถูกส่งตัวมายังทุ่งน้ำแข็งรวบรวมพืชวิเศษหายากที่ขึ้นอยู่ในทุ่งน้ำแข็ง พร้อมกับแวะขุดพวกหยกผลึกเย็นโดยที่มีเสี่ยวทุนคอยชี้บอกมาตลอดทาง

เดินบนทุ่งน้ำแข็ง แม้ไป่หลี่จิงหงกับเสี่ยวทุนจะพยายามหลบเลี่ยงกลุ่มคนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังมีบางเวลาที่ถูกคนมาเจอเข้า

หากอีกฝ่ายไม่รู้กาลเทศะ ไป่หลี่จิงหงย่อมจะปล้นคนที่คิดจะมาปล้นเขากลับไปอย่างไม่เกรงใจ

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บหรือพิการ เขาก็ยังคงเก็บพวกกระเป๋าวิเศษของอีกฝ่ายมาทั้งหมดภายใต้การร้องขอจากเสี่ยวทุน

“ท่านแม่จะต้องดีใจมาก”

เสี่ยวทุนแค่พูดประโยคนี้ ไป่หลี่จิงหงก็ ‘ทำงานเก็บรวบรวม’ ต่อไม่หยุดแล้ว

ทว่าเขาเองก็ข้องใจมากเช่นกันว่าไฉนโม่อีเหรินถึงได้เลี้ยงเสี่ยวทุนจนมีนิสัยละโมบเยี่ยงนี้

สัตว์วิเศษตัวหนึ่งรักสมบัติถึงเพียงนี้…ทั้งยังมิใช่มังกรที่ชอบของแวววาวตามในตำนาน เช่นนี้จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ

ทว่าเสี่ยวทุนเอาโม่อีเหรินมาอ้างแทบจะทุกคำ ในเมื่อเป็นการทำเพื่อโม่อีเหริน จะดูละโมบสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

เดิมทีที่ไป่หลี่จิงหงเข้ามาในแดนสมบัตินั้นนับว่ารับคำสั่งอาจารย์มาค้นหาพืชวิเศษที่รักษาเขาได้กลับไปหลอมทำยา แต่ตอนนี้เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลแล้ว

อีกประการหนึ่ง อาจารย์ยังบอกด้วยว่าแดนสมบัติอาจจะมีความลับอื่นอยู่อีก หากมีโอกาสก็ให้สืบดู

ทว่าจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็น…ตามจับคู่หมั้นตัวน้อยผู้นั้นของเขาที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนมาชอบแอบหนีไปเล่นสนุกลับหลังเขาให้ได้

ส่วนเสี่ยวทุนนั้นนอกจาก ‘คุม’ ท่านพ่อค้นหาของดีไปฝากท่านแม่แล้ว ตัวมันเองยังมุดโพรงไปจับพวกแมงมุมวิเศษ ไหมน้ำแข็งวิเศษ แล้วเผลอไปค้นพบไขน้ำแข็งนิลที่ยิ่งพลาดไปไม่ได้เข้า จึงนำน้ำแข็งนิลมาด้วยทั้งก้อน

ขอแค่เป็นของดีที่มองเห็นหรือสื่อสนองได้ ก็ล้วนไม่ปล่อยผ่านไปทั้งสิ้น

ก่อนตกกลางคืน ทั้งสองยังคงอยู่ในทุ่งน้ำแข็ง จึงได้แต่ขุดโพรงน้ำแข็งไว้ซ่อนตัวและฝึกบำเพ็ญชั่วคราว

วันพรุ่งค่อยไปตามจับว่าที่ภรรยาที่ ‘จำได้แค่เรื่องเที่ยวเล่นโดยที่โยนว่าที่สามีทิ้งไว้ข้างๆ’ ผู้นั้นของเขาต่อ!

โม่อีเหรินที่ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าตนเองถูกไม่พอใจเข้าแล้วจู่ๆ ก็ส่งเสียงฮัดเช้ยขึ้นมาตอนเช้ามืด ตื่นขึ้นมาบนเตียงอันอ่อนนุ่มภายในเรือนไผ่

เสี่ยวเถิงเอาตัวพันต้นแขนซ้ายนาง เขี้ยวเงินเองก็ขึ้นมานั่งบนบ่านางเช่นกัน

หนึ่งคนหนึ่งสัตว์หนึ่งพืชออกมาจากแหวนพู่สวรรค์อย่างเงียบเชียบ ชิงเดินออกจากป่าก่อนที่คนทั้งหลายจะปรากฏตัว

ก่อนไปเสี่ยวเถิงก็ยังนำทางไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างเร้นลับจำนวนหนึ่ง ทำให้เก็บพืชวิเศษหายากมาได้อีกไม่น้อย ทำให้โม่อีเหรินดีใจยิ่ง

การจะเดินออกจากป่ามิใช่เรื่องยากเย็น ทว่าหลังออกมา สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือหุบเขาที่มีก้อนหินทั้งน้อยใหญ่ตั้งอยู่

โม่อีเหรินกระโดดไปบนหินก้อนที่ค่อนข้างสูง สำรวจดูทั้งหุบเขา

“นี่แทบจะเป็นป่าหินทั้งผืนเลย”

มีสูงมีต่ำ มีใหญ่มีเล็ก มีก้อนหินรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดสารพัดแบบรวมตัวกันเป็นอาณาบริเวณเหมือนกับต้นไม้ในป่าไม้

มิหนำซ้ำนอกจากป่าหินก็มองไม่ออกเลยว่าข้างนอกป่ามีอะไรอยู่

นี่คงมิใช่เป็นค่ายกล หรือเป็นสถานที่อย่างทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาเหมือนที่แรกที่นางมาถึงซึ่งต้องอาศัยการส่งตัวเพื่อที่จะออกไปกระมัง

โม่อีเหรินเหงื่อตกแล้ว ได้แต่เริ่มสำรวจดู

หินที่นี่มิได้เป็นสีเทาทึมๆ ทุกก้อน บางก้อนมีสีแดง บางก้อนเกลี้ยงเกลาเหมือนหยก บางก้อนเป็นสีขาว และบางก้อนยังมีสีเหลืองเหมือนกับทอง

แวบแรกที่มองเห็นให้ความรู้สึกแปลกแตกต่างเป็นอย่างมาก ตรงกับคำพรรณนาที่ว่า ‘หินแปลกหินประหลาด’

แต่เมื่อมองดูดีๆ ก้อนหินที่มีขนาดแตกต่างกันนี้กลับดูเหมือนจะมีระเบียบท่ามกลางความยุ่งเหยิง

นางค้นพบว่าไม่ว่าจะไปในทิศทางใด ก้อนหินทุกก้อนที่เก้าจะมีสีสันเสมอ มีเพียงก้อนที่อยู่ค่อนไปตรงใจกลางที่มีสีเทาปกติ มิหนำซ้ำยังก้อนเล็กเป็นพิเศษด้วย

โม่อีเหรินมองดูอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ที่ใต้เท้าก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว

นางกระโดดข้ามหินทุกก้อนที่ดูสวยงามและมีสีสัน ระยะห่างของแต่ละก้าวสั้นบ้างยาวบ้าง จนกระทั่งมาถึงก้าวที่เก้า ก็มาหยุดอยู่เหนือก้อนหินที่ภายนอกเป็นสีเทาทึมๆ สูงเพียงหนึ่งฉื่อครึ่งก้อนหนึ่งพอดี

โม่อีเหรินมิได้เหยียบลงไป กลับใช้มือเก็บหินก้อนนั้นขึ้นมา แล้วถึงเหยียบลงบนตำแหน่งของมัน…เหมือนเหยียบอากาศ?!

ในป่าหิน โม่อีเหรินหายตัวไปแล้ว แต่ป่าหินยังคงดูเหมือนเดิม ก้อนหินมีไม่มากแต่ก็ไม่น้อย

 

โม่อีเหรินวิงเวียนตาลายอีกครั้งแล้ว

มิหนำซ้ำยังกำลังอยู่ระหว่างตกลงด้านล่าง

ไม่เพียงแค่นั้น ลมยังแรงเป็นพิเศษด้วย

เขี้ยวเงินจับโม่อีเหรินไว้เพื่อไม่ให้หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ถูกลมพัดปลิว ทั้งยังใช้พลังลมชะลอความเร็วที่ตกลงด้านล่าง จากนั้นก็หยุดอยู่ตรงกลาง

ด้านบนเป็นฟ้าครามเมฆขาว ด้านล่างเป็นหุบเขาสีเขียวที่ดูเลี่ยนเตียน

ตรงส่วนสีเขียวคือพืชพรรณ แต่พวกมันกลับขึ้นอยู่เสมอหน้าดินอย่างน่าประหลาด

โม่อีเหรินประคองตัวตกลงจากฟ้าอย่างระมัดระวัง กลับพลันมีลมแรงหอบหนึ่งพัดมา ก่อให้เกิดลมกระโชกแรง

“โม่อีเหริน!” เขี้ยวเงินเปลี่ยนกลับร่างเดิมทันที ขณะให้โม่อีเหรินนั่งบนหลังได้แล้ว ปีกทั้งสองที่อยู่บนหลังก็กางออกก่อนจะกระพือ

ลมกระโชกแรงนั้นจึงถูกมันพัดจนเบนทิศทางไป

ซวบ…

ลมนั้นกวาดผนังผาตรงกลางค่อนไปทางขวาจนเตียนไปทั้งแถบ

โม่อีเหรินยื่นมือไปแตะตรงจุดที่เลี่ยนเตียนนั้น

เรียบลื่นเกลี้ยงเกลา ราวกับถูกเฉือนด้วยดาบด้วยกระบี่อย่างไรอย่างนั้น

ที่แท้สภาพเลี่ยนเตียนของหุบเขาก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง

ลมนี้รุนแรงยิ่งนัก

“เสี่ยวเถิง รู้หรือไม่ว่านี่เป็นสถานที่อะไร” โม่อีเหรินถาม

เสี่ยวเถิงยืดร่างไปเกี่ยวต้นไม้ที่เหลือแต่ลำต้นบนผนังผาไว้พลางสื่อสารกับมันทันที

“เจ้านาย ที่นี่คือหุบเขากังเฟิง ทุกๆ ชั่วยามจะมีลมกระโชกแรงแบบเมื่อครู่นี้พัดมาหนึ่งครั้ง หากเดินไปทางใต้จะเจอกับภูเขาไฟ”

“ภูเขาไฟ?” โม่อีเหรินก้มมองจี้กิเลนตัวเมียในทันใด

เอ่อ…จี้กิเลนตัวผู้กำลังอยู่ทางเหนือ

ข้าแล่นไปทั่ว…ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าข้าถูกส่งตัวไปทั่วทิศทางแล้ว!

‘ท่านแม่ ท่านหนีไปที่ใดแล้ว!’ เสี่ยวทุนถ่ายทอดเสียงมาตามคาด

หุบเขากังเฟิง

ทางนั้นชะงักไปชั่วครู่ แล้วถึงถ่ายทอดเสียงมาอีกว่า ‘ท่านแม่ ท่านวิ่งเรื่อยเปื่อยไปทั่ว ไม่น่ารัก!’

โม่อีเหรินร้อนตัวเล็กน้อย เอ่อ..เจ้ากับไป่หลี่จิงหงอยู่ที่ใด

‘พวกข้าอยู่ในที่แห่งหนึ่งที่มีแต่หิน’ เสี่ยวทุนตอบ ซ้ำยังถือโอกาสถาม ‘ท่านแม่ ก้อนหินมีสารพัดสีสัน มีทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก เละเทะเกะกะไปหมด มีหินชนิดใดที่ท่านชอบหรือไม่ หรือว่าชนิดใดค่อนข้างมีค่า’

เสี่ยวทุนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดอีกว่า ‘เดิมทีข้าคิดจะเรียกท่านพ่อมาขนหินเหล่านี้ไปให้หมด แต่ท่านพ่อบอกว่าพวกเราสองคนขนได้ไม่หมด มิหนำซ้ำท่านแม่ก็ไม่รู้หนีไปที่ใดอีกแล้ว ไม่ยอมมาหาพวกข้า พวกข้าต้องหาท่านแม่ให้พบก่อน’ ดังนั้นเสี่ยวทุนจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะขนก้อนหินเหล่านี้ไปทั้งหมด

ป่าหิน? คงมิใช่เป็นที่ที่ข้าอยู่เมื่อครู่นี้กระมัง

คิดถึงว่าเสี่ยวทุนตั้งใจจะขนหินเหล่านั้นไปทั้งหมด…โม่อีเหรินก็เหงื่อตก

ต่อให้ยัดลงในพื้นที่วิเศษแล้วจะไม่รู้สึกหนัก แต่ลำพังแค่จำนวนของหินเหล่านั้นกับพื้นที่ว่างที่ต้องใช้…แหวนงำของของไป่หลี่จิงหงต้องแน่นจนระเบิดแน่!

‘ท่านแม่ เอาสีทอง สีขาว สีเขียว หรือว่าสีเทาดี’ ท่านแม่ไม่ตอบ เสี่ยวทุนจึงถามอีกครั้ง

ประเดี๋ยวก่อน เสี่ยวทุน เจ้ากับไป่หลี่จิงหงได้เหยียบบนก้อนหินหรือยัง โม่อีเหรินถาม

‘กำลังเหยียบอยู่บนก้อนที่สูงที่สุด’ น้ำเสียงของเสี่ยวทุนฟังดูภาคภูมิใจยิ่ง

แค่ขึ้นไปอยู่บนก้อนสูงได้ก็ควรค่าแก่การภาคภูมิใจแล้วหรือ โม่อีเหรินไม่เข้าใจ

ก็ได้ นั่นไม่สำคัญ โม่อีเหรินถามต่อ ถ้าไม่ดูขนาดใหญ่เล็ก ดูเพียงจำนวน พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าไม่ว่ามองไปทิศทางใด ก้อนหินทุกเก้าก้อนจะล้วนมีสีสัน

‘จริงด้วย! ท่านพ่อบอกว่าใช่’ ฟังคำของท่านพ่อแล้ว เสี่ยวทุนถึงตอบกลับไป

ตามปกติเสี่ยวทุนจะไม่รับหน้าที่นับจำนวน

เช่นนั้นเจ้าบอกท่านพ่อว่า…โม่อีเหรินสอนให้มันหาหินก้อนตรงกลางนั้น

‘หาเจอแล้ว แต่มิใช่สีเทา เป็นหินก้อนใหญ่ขนาดสามฉื่อที่มีสีเหมือนโลหะ!’ นี่แน่นอนว่าเป็นท่านพ่อหาเจออีกเช่นกัน เสี่ยวทุนเพียงรับหน้าที่ถ่ายทอดความ

เสี่ยวทุน เมื่อครู่นี้ข้าก็ผ่านป่าหินเช่นนั้นเหมือนกัน จากนั้นข้าหาหินก้อนนั้นที่อยู่ตรงกลางเจอถึงได้ถูกส่งตัวมาที่นี่ แต่ว่าที่พวกเจ้าหาเจอกับที่ข้าหาเจอ ไม่รู้ว่าจะใช่ป่าหินแห่งเดียวกันหรือไม่ ไม่รู้เช่นกันว่าจะถูกส่งตัวมาที่เดียวกับข้าหรือไม่…

ยังพูดไม่ทันจบ โม่อีเหรินก็ค้นพบว่าขาดการติดต่อกับเสี่ยวทุนไปอย่างฉับพลัน…ก่อนจะมีบางอย่างปรากฏตัว

“ท่านแม่! หาท่านเจอแล้ว!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 เม.. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: