X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 เล่ม 3 บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 3

ภาคีผู้ฝึกตน ภายในกระโจมของไป่หลี่จิงหง

บุรุษสี่คนกวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยงในเวลาเพียงไม่นานอย่างฉับไว แต่มิได้มีท่าทางหยาบช้าตะกละตะกลาม

หลังจากมาตั้งค่ายพักแรมกันที่ทะเลสาบจงโยว หลิงเซ่าจวิน หลงชิงเหยา และโม่อีเหรินก็คุ้นเคยกันมากขึ้น ต่อมาเวลาโม่อีเหรินเตรียมอาหารวิเศษจึงเตรียมเผื่อพวกเขาด้วย

เวลานั้นหลิงเซ่าจวินยังทอดถอนใจด้วยว่า ‘ที่แท้โม่อีเหรินก็ไม่ได้ใจแคบจริงๆ’

‘อันที่จริงข้าสามารถใจแคบได้มากกว่านี้อีก’ โม่อีเหรินกล่าวด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง

‘ไม่ต้องแล้ว เช่นนี้ดียิ่ง’ หลิงเซ่าจวินถอนคำพูดทันควัน

‘โม่อีเหรินน่ารักยิ่งนัก’ หลงชิงเหยาเองก็พูดอย่างเป็นธรรมชาติ

‘น่ารักยิ่งนัก’ ชิงอู๋หยาที่มีฐานะเป็นองครักษ์เออออคล้อยตามทุกคำพูดของหลงชิงเหยา

‘ขอบคุณ’ โม่อีเหรินเอนอิงอยู่ในอ้อมแขนของไป่หลี่จิงหงพลางยิ้มตาหยี

ทว่าอาหารวิเศษมีเพียงหนึ่งมื้อต่อวัน เนื่องจากใครบางคนทนให้คู่หมั้นของตนเหน็ดเหนื่อยเกินไปไม่ลง

โม่อีเหรินไม่ได้เข้าร่วมวงชิงอาหาร แต่หยิบผลไม้วิเศษลูกหนึ่งมากัด ดูดน้ำที่อยู่ด้านในทีละน้อย ทางหนึ่งก็ยังคงคุยกับเสี่ยวทุน

เมื่อครู่ก่อนที่จะจากมา นางได้ทิ้งเสี่ยวทุนไว้ให้แอบฟังอย่างเงียบๆ

จำต้องกล่าวว่าพรสวรรค์นี้ของเสี่ยวทุนมีประโยชน์มากจริงๆ

‘…ท่านแม่ จะให้ข้าตามไปหาโอกาสกัดคนผู้นั้นสักทีหรือไม่’ หลังรายงานเสร็จสิ้น เสี่ยวทุนก็ขอคำสั่งด้วยท่าทางจริงจังยิ่ง

อย่านึกว่ามันอยู่บนข้อมือของท่านแม่แล้วจะไม่เห็นสายตาน่ารำคาญนั่น

ไม่ต้องแล้ว มีโอกาสพวกเราค่อยเล่นงานเขากลับ โม่อีเหรินไม่รีบ

‘อ้อ…’ ระบายแค้นแทนท่านแม่ไม่ได้ เสี่ยวทุนก็ผิดหวังอยู่เล็กๆ

ในทะเลสาบมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่

‘ไม่มี’ เสี่ยวทุนลังเลเล็กน้อย ‘แต่ว่าท่านแม่ ข้ามีความรู้สึกที่แปลกยิ่งอยู่ตลอด เหมือนว่ามีบางสิ่งกำลังจะโผล่ออกมา รู้สึกมาตั้งแต่เข้าใกล้ทะเลสาบแล้ว’

ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเช่นนี้อยู่หรือ

‘ประเดี๋ยวมี ประเดี๋ยวไม่มี’ ตัวเสี่ยวทุนเองก็ไม่เข้าใจ

โม่อีเหรินสะกิดใจ

เสี่ยวทุนสามารถมองข้ามครอบพลังใดๆ ก็ตาม ทว่ากลับความรู้สึกไวต่อความผันผวนของครอบพลังอย่างมาก นี่จะใช่เป็น…ความผันผวนจากทางเข้าแดนสมบัติหรือไม่

เสี่ยวทุน เจ้าคอยจับตาดูอยู่ริมทะเลสาบสักหน่อย หากมีความเคลื่อนไหวอะไรให้บอกข้าทันที

‘ได้เลย’

หลังจบการสื่อสารผ่านญาณวิเศษกับเสี่ยวทุนแล้วก็ได้ยินหลิงเซ่าจวินพูดว่า “แดนสมบัติไม่ปรากฏเสียที มีคนร้อนใจยิ่งกว่าพวกเราอีก”

“พวกเราไม่ร้อนใจหรือ” หลงชิงเหยาถามอย่างแปลกใจ

“ไม่”

“เพราะอะไร”

“รออีกไม่นาน พวกเราก็จะมีของอร่อยให้กินแล้ว” อาหารวิเศษฝีมือโม่อีเหรินกินอย่างไรก็ไม่เบื่อ

“อย่างนี้โม่อีเหรินจะลำบากมากหรือไม่” แม้ว่าเขาเองจะอยากกินอีกสักหลายมื้อก็ตามที…

“เอาวัตถุดิบกับหินวิเศษมา” ไป่หลี่จิงหงเอ่ยขึ้น

“ใช้หญ้าวิเศษเป็นของตอบแทนก็ได้เหมือนกัน” โม่อีเหรินกล่าวเสริม

หลิงเซ่าจวินมองคนทั้งสองอย่างหมดคำพูด “ไป่หลี่จิงหง ท่านขัดสนหินวิเศษถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

“อีเหรินชอบ”

“…” ก็ได้ เขาถามผิดคนแล้ว “โม่อีเหริน ท่านขัดสนหินวิเศษถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

“ไม่ได้ขัดสนมาก แต่มีมากไว้ก็ดี ข้ายังมีของอีกหลายอย่างที่อยากซื้อ มิหนำซ้ำยังต้องซื้ออาหารว่างมาเลี้ยงสัตว์ตัวน้อยของข้าอีกด้วย” นางลูบหัวเขี้ยวเงินพลางเอ่ย

“วู้…” เขี้ยวเงินส่งเสียงร้องอย่างให้ความร่วมมือยิ่ง

“…” ไม่พูดก็ยังดี พอนางพูดที หลิงเซ่าจวินยิ่งหมดคำจะกล่าวไปใหญ่ ทว่าเขาก็มองเขี้ยวเงินโดยตลอดด้วยความสงสัยใคร่รู้ “โม่อีเหริน สัตว์ตัวน้อยนี้เป็นสัตว์วิเศษกระมัง”

“ใช่แล้ว”

“เป็นสัตว์วิเศษชนิดใด”

“หมาป่า”

“หมาป่า?!”

ตัวแค่นี้ ดูอย่างไรก็เหมือนลูกสุนัขมากกว่า

คงเพราะสายตาสงสัยของหลิงเซ่าจวินแสดงชัดเกินไป เขี้ยวเงินจึงถลึงตาใส่เขา ก่อนจะหันหน้าหนีเพื่อไม่ให้ยิ่งมองเขาแล้วยิ่งโมโห

“…” เขาถูกสัตว์ตัวน้อยตัวหนึ่งเหยียดหยามเข้าแล้ว

หลงชิงเหยาเองก็สังเกตดูเขี้ยวเงินอย่างละเอียดเช่นกัน มองดูทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง

“เป็นหมาป่า” หลงชิงเหยาประกาศความมั่นใจนี้ออกมาทันที

“ท่านรู้ได้อย่างไร” หลิงเซ่าจวินมองไม่ออก

“มีเพียงหมาป่าที่มีขนสีเงิน” หลงชิงเหยาทำสีหน้าท่าทางมั่นใจ

“…” หลิงเซ่าจวินแทบหงายหลัง

มีวิธีการจำแนกชนิดสัตว์วิเศษโดยอาศัยสีขนด้วยหรือ!

โม่อีเหรินลูบหลังเขี้ยวเงินเบาๆ เพื่อไม่ให้มันโมโหจนพ่นพายุหมุนใส่สองคนนี้ จากนั้นก็ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เขี้ยวเงินอย่าโมโห จะดีจะชั่วเขาก็อายุมากกว่าพวกเรา พวกเราไม่อาจบอกว่าเขาเห็นโลกมาน้อยได้ มีโอกาสค่อยให้พวกเขายลโฉมรูปลักษณ์อันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของเจ้า ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างไปเลย”

เขี้ยวเงินคิดแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล จึงหายโมโหในที่สุด

“คือว่า…โม่อีเหริน ข้าไม่ได้ไม่เชื่อเสียหน่อย” อย่าเสี้ยมสอนให้สัตว์ตัวน้อยเห็นข้าเป็นศัตรูสิ

“อย่างนั้นหรือ” โม่อีเหรินมองเขาอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

หลิงเซ่าจวินเปลี่ยนเรื่องพูดทันควัน “จริงสิโม่อีเหริน ข้าเห็นท่านทำเป็นทุกอย่าง แม้แต่ของที่ทำได้ยากขนาดชาวิเศษ ท่านก็ยังทำได้อย่างชำนิชำนาญ ท่านไปเรียนมาจากที่ใดกันแน่”

“ท่านตาสอน และอ่านตำรา”

“เช่นนั้น…” หลิงเซ่าจวินยังอยากจะถามอีก โม่อีเหรินกลับพลันร้องห้าม

“ประเดี๋ยวก่อน”

เสียงของเสี่ยวทุนปรากฏขึ้นในห้วงสมองของโม่อีเหริน

‘ท่านแม่ ท่านแม่! มีบางอย่างจะปรากฏตัวแล้ว ที่บนผิวทะเลสาบด้านเหนือห่างจากตำแหน่งเมื่อครู่ครึ่งลี้ ท่านแม่รีบมาเร็วเข้า!’

ทะเลสาบจงโยวเกิดความผิดปกติ ภาคีผู้ฝึกตนรุดมาถึงเป็นกลุ่มแรก ตามมาด้วยตระกูลเฟิ่ง ตระกูลหลง จากนั้นก็เป็นตระกูลไป่หลี่ ตระกูลเสวียนหมิง ตระกูลไป๋ ตลอดจนคนอื่นๆ

คนทั้งหลายต่างจับตามองผิวทะเลสาบ

บนผิวทะเลสาบสีอมเขียวมีระลอกคลื่นปรากฏน้อยๆ เคลื่อนที่อย่างแช่มช้าอ่อนโยนราวกับเป็นชนชั้นสูงผู้สง่างามผู้หนึ่ง

ระลอกคลื่นยังคงความเบาไว้ตลอด มิได้รุนแรงขึ้นและก็มิได้หยุดลง

จับตามองอยู่นานเท่าไรก็สุดรู้ เหล่าคลื่นบนผิวทะเลสาบกระจายออกเป็นระลอกๆ ในสายตาของคนทั้งหลายกลับคล้ายว่าเห็นภาพซ้อน

“ข้าตาลายแล้วอย่างนั้นหรือ” มองนานจนตาล้าแล้ว?!

“ดูเหมือนจะไม่ใช่”

ถ้าหากตาของพวกเขาล้าง่ายๆ เช่นนี้ ที่ฝึกบำเพ็ญมาคงเป็นเรื่องโกหกกระมัง

“พวกท่านดูดีๆ ระลอกคลื่นกลายเป็นซ้อนกันหลายชั้น!”

“บนผิวน้ำตรงกลางทะเลสาบ…ดูเหมือนยังมีทะเลสาบอยู่อีก”

“นี่คือ…”

“หรือว่าจะเป็น…”

“แดนสมบัติแรกนภา?!”

ครั้นคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา คนทั้งหลายก็ยิ่งมองไปที่ตรงกลางทะเลสาบด้วยสายตาเร่งร้อนกว่าเดิมทันที

หากแต่ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ผิวทะเลสาบก็ยังคงอยู่ในสภาพเช่นนั้น

ระลอกคลื่นบนผิวทะเลสาบยังคงกระเพื่อมอย่างเอื่อยๆ ภาพซ้อนบนผิวทะเลสาบก็เหมือนเป็นบานกระจกที่สะท้อนภาพระลอกคลื่นออกมา ซ้อนทับอยู่เหนือผิวทะเลสาบหนึ่งจั้ง บานกระจกไม่ใหญ่ เพียงราวหกฉื่อเจี้ยนฟางเท่านั้น

บนผิวทะเลสาบมีไอน้ำรวมตัวเป็นหมอกบางๆ อยู่แต่เดิม ทำให้บานกระจกยิ่งดูเป็นภาพลวงตามิใช่ของจริง แต่กลับทำให้ปรากฏการณ์นี้ดูน่าตราตรึงยิ่งกว่าเดิม

ประดุจหมอก ประดุจควัน ประดุจฝัน ประหนึ่งมายา เนิ่นนานมิเปลี่ยนแปร…

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่มีครั้งใดที่แดนสมบัติแรกนภาปรากฏขึ้นในสภาพเช่นนี้

ไม่เพียงไม่ชัดเจน มองไม่ออกว่าทางเข้าอยู่ตรงที่ใด แม้แต่ใช่แดนสมบัติจริงหรือไม่ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้

“เช่นนี้…นับเป็นอะไร” นั่นใช่แดนสมบัติแรกนภาจริงๆ หรือ

โม่อีเหรินที่มองดูปรากฏการณ์ประหลาดบนผิวทะเลสาบอยู่เช่นเดียวกันเกิดความรู้สึกน่าพิศวงชนิดหนึ่งขึ้นมา ดูเหมือนว่าควรเข้าไปใกล้กว่านี้อีกหน่อย

‘ท่านแม่ พุ่งเข้าไป!’ เสี่ยวทุนตะโกนบอก มันกลับมาอยู่บนมือท่านแม่ตั้งแต่ท่านแม่กับท่านพ่อมาถึงแล้ว

พุ่งเข้าไปในนั้น?

‘อื้ม ข้ารู้สึกได้ว่าด้านหลังนั้นมีบางอย่างอยู่’

โม่อีเหรินจับจูงไป่หลี่จิงหงทันที

ไป่หลี่จิงหงก้มหน้าลงก็มองเห็นโม่อีเหรินให้เสี่ยวทุนเลื้อยมาอยู่บนข้อมือเขา

โม่อีเหรินยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะถ่ายทอดเสียงอย่างเงียบเชียบ “หากพวกเราพลัดกัน ท่านพาเสี่ยวทุนไปด้วย พวกเราก็จะหากันเจอเร็วขึ้น”

แม้จี้คู่รูปกิเลนจะสามารถสื่อสนองกันและกันได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ไม่สะดวกเท่านางกับเสี่ยวทุนสื่อสารกันโดยตรง

มิหนำซ้ำหากที่ที่ไป่หลี่จิงหงไปมีของดีอยู่ ถึงเสี่ยวทุนกับเขาจะไม่รู้ว่าคืออะไร อย่างน้อยเสี่ยวทุนก็ยังสัมผัสได้ว่าดีหรือไม่ดี

ต้องรวบรวมเอามา งานล่าสมบัตินี้มอบให้เสี่ยวทุนแล้ว

และยังมีอีกจุดหนึ่งคือไป่หลี่จิงหงทำให้นางไม่อาจวางใจได้ มีเสี่ยวทุนอยู่ ต่อให้มีใครคิดจะลอบสังหารไป่หลี่จิงหง ก็ไม่มีทางทำสำเร็จเป็นอันขาด

“นั่นคือทางเข้า?” ไป่หลี่จิงหงถ่ายทอดเสียงถามกลับมาเช่นกัน

“อาจจะใช่ เสี่ยวทุนรู้สึกได้แค่ว่าข้างในมีบางอย่างอยู่”

“ใช่แดนสมบัติหรือไม่ ลองดูก็รู้แล้ว” ด้านไป่หลี่จิงหลิวเตรียมส่งคนเข้าไปดู

โม่อีเหรินเก็บเขี้ยวเงินเข้าแหวนพู่สวรรค์ ก่อนจะจูงไป่หลี่จิงหงเดินขึ้นหน้า

ไป่หลี่จิงหงเองก็ส่งสัญญาณให้หลิงเซ่าจวินกับหลงชิงเหยาเตรียมตัวให้พร้อม

“ไป!” ไป่หลี่จิงหงตะโกน

จากนั้นไป่หลี่จิงหงและโม่อีเหรินก็กระโดดไปบนผิวน้ำพร้อมกัน ทั้งคู่โอบกอดกันไว้แน่นและพุ่งเข้าไปในบานกระจกบนผิวทะเลสาบ

บานกระจกพลันบิดเบี้ยวเล็กน้อย แล้วคนทั้งสองก็หายตัวไป

หลิงเซ่าจวิน หลงชิงเหยา และชิงอู๋หยาที่ด้านหลังพาคนตามไปทันที

ชั่วพริบตาเดียวคนของภาคีผู้ฝึกตนก็หายลับไปในบานกระจกทั้งหมด

ไป่หลี่จิงหลิวทั้งโกรธทั้งตกใจ ถูกชิงตัดหน้าไปแล้ว!

“พวกเราไป!”

หากแต่ตระกูลเฟิ่งกับตระกูลหลงเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่า

คนสามฝ่ายจากสองสามด้านแทบจะพุ่งตัวเข้าปะทะกันบนผิวทะเลสาบ คนที่ด้านหลังนึกว่าคนทั้งสามฝ่ายจะเริ่มตีกัน ผลคือ…ใครจะไปทำเรื่องโง่เง่าถึงเพียงนั้นกันเล่า

เวลานี้การเข้าแดนสมบัติต่างหากที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ด้วยเหตุนี้คนทั้งสามฝ่ายจึงต่างเจ้าเบียดข้า ข้าเบียดเจ้า ผู้มีพลังยุทธ์สูงสามารถกระแทกผู้อื่นให้พ้นทางได้ ผู้มีพลังยุทธ์ต่ำถูกกระแทกออกแล้วก็ต้องวิ่งไล่ตามเข้าไป

หากโม่อีเหรินมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จะต้องพูดว่า ‘หมดท่าสิ้นดี’ อย่างแน่นอน

ทว่าคนที่ยังไม่ได้เข้าไปไม่มีใครมีแก่ใจมาคิดเช่นนั้น สกุลเสวียนหมิงกับสกุลไป๋ก็พุ่งตัวตามหลังคนจากสามฝ่ายไปเช่นกัน

ที่ด้านหลังมีผู้ฝึกตนไร้สังกัดโขยงหนึ่งตามไปอีก

ซ้ำยังมีคนจับปลาในน้ำขุ่น พุ่งตัวปะปนไปกับขบวนของกลุ่มอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะหลังจากมีคนค้นพบว่า…

“บานกระจกเล็กลงเรื่อยๆ แล้ว!”

“ไม่ได้การ รีบพุ่งเข้าไปเร็ว!”

“ไปๆๆๆๆ”

ครั้นเข้าไปกันครบแปดร้อยสิบคน บานกระจกก็หายวับไปในฉับพลัน คนที่แปดร้อยสิบเอ็ดพุ่งมาเจออากาศ…ตัวถลำเลยไปและตกลงในทะเลสาบ

บานกระจกหายวับไปไม่เหลือร่องรอย ประหนึ่งว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

บนผิวทะเลสาบยังคงมีหมอกบางๆ ลอยฟุ้งเช่นเดิม

สี่ด้านทะเลสาบจงโยวในจุดที่ไกลออกไป ผู้ที่มีพลังยุทธ์ลึกล้ำไม่อาจหยั่งไม่กี่คนมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วก็มีท่าทีต่างๆ กันไป

บ้างเลิกคิ้ว บ้างขมวดคิ้ว บ้างยิ้ม บ้างเห็นใจยิ่ง

สรุปคือคราวนี้มีคนเข้าแดนสมบัติเต็มจำนวนแล้ว ผู้ที่ผิดหวังเชิญรอไปอีกแปดสิบเอ็ดปีแล้วกัน

 

หลังบานกระจก ไอน้ำลอยอบอวล ชื้นเสียจนคล้ายว่าจะให้เสื้อผ้าชื้นไปด้วย ต่อจากนั้นก็มีแสงจ้าสาดมาอีก เกิดความรู้สึกไร้น้ำหนัก ก่อนที่โม่อีเหรินจะตกลงบนพื้นหญ้าแห่งหนึ่ง

โม่อีเหรินมองไปรอบๆ ทันที

ไป่หลี่จิงหงหายไปแล้ว คิดว่าคงจะถูกแดนสมบัติจับแยกกันแล้ว

โม่อีเหรินมิได้ตื่นตระหนกเสียเท่าไร นางร้องเรียกในใจขึ้นก่อน เสี่ยวทุน

รออยู่ครู่หนึ่งถึงจะมีการตอบกลับจากเสี่ยวทุน ‘ท่านแม่’

เจ้ากับไป่หลี่จิงหงยังดีอยู่หรือไม่

‘ท่านพ่อกับข้าล้วนสบายดี เพียงแต่…ที่นี่เย็นยิ่งนัก! ท่านแม่อยู่ที่ใด’

บนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ยังไม่รู้เลยว่าเป็นที่ใด

โม่อีเหรินตอบพลางตรวจดูจี้กิเลนตัวเมีย การสนองตอบ…ค่อนไปทางเหนือ

ประโยคต่อมาของเสี่ยวทุนเป็นตามที่คิด ‘ท่านพ่อบอกว่าท่านแม่อยู่ค่อนไปทางใต้’

ส่วนระยะห่างที่แน่นอนนั้น…ไม่รู้

‘ท่านพ่อบอกว่าท่านแม่อยู่คนเดียวต้องระวัง ปล่อยเขี้ยวเงินออกมา พวกข้าจะมุ่งหน้าไปหาท่านแม่’

พวกเจ้าก็ต้องระวังเช่นกัน

‘แน่นอน’

พอรู้ว่าเสี่ยวทุนกับไป่หลี่จิงหงไม่เป็นอะไร โม่อีเหรินก็วางใจแล้ว ทว่านางยังไม่รีบยืนขึ้นตอนนี้ กลับพลิกแผ่นหญ้าออก ตรวจดูดินที่ข้างใต้

สีดินเป็นสีน้ำตาลเข้ม อุดมสมบูรณ์ยิ่ง รอบๆ น่าจะไม่ได้มีแต่ทุ่งหญ้าผืนนี้

โม่อีเหรินยืนขึ้น แล้วปล่อยเขี้ยวเงินออกมา

“นี่คือที่ใด” เขี้ยวเงินถามด้วยความสงสัย

“ข้างในแดนสมบัติแรกนภา” โม่อีเหรินบอกเล่าสถานการณ์ให้เขี้ยวเงินฟังเล็กน้อย

เขี้ยวเงินเอ่ยรับรองทันที “โม่อีเหรินไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่าน”

“ข้าก็จะปกป้องเจ้าเช่นกัน” โม่อีเหรินยิ้มพลางออกเดินไปข้างหน้า

เขี้ยวเงินนั่งอยู่บนบ่าโม่อีเหริน มองเห็นว่ารอบข้างล้วนมีแต่หญ้า มองดูด้านบนก็เป็นท้องฟ้าที่มีสีออกขาว เขี้ยวเงินรู้สึกโดยสัญชาตญาณของสัตว์วิเศษว่าสถานที่แห่งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล

ด้านโม่อีเหรินนั้นแตกตื่นดีใจที่ได้ค้นพบหญ้าวิเศษชั้นดีอย่างหญ้าหวนคืนและหญ้าหยินนิลเป็นจำนวนมากอยู่ตามรายทาง หยิบที่ตักยาอันเล็กออกมาทำการเก็บและย้ายที่ปลูกทันที

จากนั้นก็เดินหน้าต่อ

หนึ่งชั่วยามให้หลัง นางยังคงอยู่บนทุ่งหญ้าอันสุดลูกหูลูกตานี้

“ในแดนสมบัติก็มีค่ายกลลวงตาเหมือนกันหรือ…” โม่อีเหรินหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะเอ่ยพึมพำ

เวลานี้นางคิดถึงเสี่ยวทุนเป็นพิเศษ ก้อนหินน้อยก้อนนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน ทว่าตอนนี้พึ่งตนเองไปก่อนแล้วกัน

โม่อีเหรินมองรอบข้างอย่างละเอียด ค้นพบว่าหญ้าที่เห็นล้วนมีลักษณะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว มิหนำซ้ำนอกจากหญ้าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย

โม่อีเหรินเดินต่อไปอีกหน่อย พื้นดินที่เท้าเหยียบก็พลันมีจุดหนึ่งที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ

“เอ๊ะ?” โม่อีเหรินนั่งลง แหวกหญ้าออก…

ดินที่ด้านล่างของหญ้าหาใช่ดินสีน้ำตาลเข้มเหมือนที่เห็นเมื่อครู่นี้ไม่ แต่เป็นหินสีเขียว…ไม่สิ แม้จะดูเหมือนก้อนหิน แต่หาใช่ก้อนหินไม่

โม่อีเหรินยื่นมือไปกดดู มันอ่อนนุ่ม มีความเหนียวของดิน ทั้งยังละเอียดราวกับผงแป้ง เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ราวกับเป็นทรายเนื้อละเอียดสีเขียวก้อนหนึ่ง ดูโดยรวมแล้วกลับเหมือนหน้าหินสีเขียว

นี่คืออะไรกัน

เขี้ยวเงินเองก็ดมมันด้วยความสงสัย ซ้ำยังยื่นกรงเล็บไปแตะมันเล็กน้อย “โม่อีเหริน ดินนี้มีไอวิเศษ!”

โม่อีเหรินงันไป ก่อนจะกำดินเขียวขึ้นมากำหนึ่งและใช้พลังปฐมสัมผัสดู

ไอวิเศษอันเข้มข้นอัดแน่นกลุ่มหนึ่งซึมตามฝ่ามือเข้ามาในร่างกายนาง

แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็แปลกประหลาดยิ่ง

โม่อีเหรินมองดูดินก้อนนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง พลันมองเห็นที่ใต้หญ้าแต่ละพุ่มมีหญ้าต้นเล็กๆ ที่สีเหมือนไม้ซ่อนอยู่หนึ่งต้น ดูไม่สะดุดตาอย่างที่สุด เหมือนสีของหญ้าที่เหี่ยวแห้งแล้วอย่างยิ่ง หากแต่…

เป็นหญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณ!

หญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณถึงกับขึ้นอยู่ในสถานที่เช่นนี้?!

โม่อีเหรินค้นหาบริเวณรอบๆ อย่างละเอียดอีกครั้งทันที

บนดินเขียวก้อนเล็กๆ ขนาดราวห้าผิงฟางหมี่ก็หาเจอถึงห้าต้นแล้ว

หรือว่าดินก้อนนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพาะเลี้ยงหญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณ

อืม ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ดินนี้ก็ควรค่าแก่การศึกษายิ่ง

โม่อีเหรินตัดสินใจเก็บดินสีเขียวก้อนนี้กับดินสีน้ำตาลที่อยู่ติดกัน ตลอดจนหญ้าที่ขึ้นอยู่ไปทั้งหมด

ทว่านางใช้ที่ตักยาขุดหญ้าพลังชีวิตชำระวิญญาณออกมาสามต้น แล้วเก็บพวกมันลงในกล่องหยกพิเศษแยกกันก่อน เช่นนี้ถ้าขณะย้ายดินเกิดปัญหาอะไรก็ไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องจากมีหญ้าวิเศษสำหรับช่วยท่านพ่อของไป่หลี่จิงหงแล้ว

ต่อจากนั้นนางถึงค่อยวัดดูความลึกที่รากของหญ้าฝังลงดิน หลังรู้คร่าวๆ แล้วโม่อีเหรินก็นึกคิด

พื้นดินขนาดราวสิบลี่ฟางหมี่ทั้งก้อนหายวับไปกับตา โม่อีเหรินเองก็พลันหายตัวไปจากทุ่งหญ้าผืนนี้ด้วยเช่นกัน

นี่คือ…การส่งตัว?

หลังจากหายวิงเวียนตาลาย โม่อีเหรินก็รีบก้มหน้าลงมองจี้กิเลนตัวเมียตรงหน้าอกเป็นอันดับแรก

ทิศทางที่มีการสนองตอบยังคงเป็นทางเหนือ ทว่าเบนไปจากเดิมหน่อยๆ

ยังดีที่ไม่ได้ถูกส่งไปไกลเกินไป เขี้ยวเงินเองก็ยังเกาะอยู่บนบ่านางอย่างดี มิได้พลัดไป

คราวนี้โม่อีเหรินถึงค่อยวางใจลงได้เล็กน้อย เริ่มตรวจดูรอบข้าง ค้นพบว่านี่เป็นป่าเขียวชอุ่มผืนหนึ่ง

และนาง…ก็กำลังอยู่ภายในโพรงต้นไม้

…ปลายทางของการส่งตัวช่างพิลึกกึกกือโดยแท้!

มีกลางท้องฟ้า มีทุ่งหญ้า คราวนี้เป็นโพรงต้นไม้ ซ้ำไป่หลี่จิงหงยังถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่มีแต่หิมะน้ำแข็งอีก

โม่อีเหรินสะทกสะท้อนใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะคลานออกมาจากโพรงต้นไม้ แล้วมองดูรอบๆ…

มีคน!

โม่อีเหรินหลบเข้าหลังต้นไม้ อำพรางกลิ่นอาย พร้อมทั้งเปลี่ยนสีของชุดปีกสวรรค์อีกเล็กน้อยในทันใด

…ขอบคุณท่านตากับท่านตาเหยี่ยน!

เงาร่างที่คุ้นเคยสายหนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของโม่อีเหรินอย่างเชื่องช้า

ผู้มาฝีเท้าเบายิ่ง ดูคล้ายเดินเหินปกติ แต่สีหน้ากลับระมัดระวังยิ่ง ญาณวิเศษกับสายตาคอยสอดส่องรอบข้างไม่หยุด ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่กำอยู่ในมือมีเสียงลอดออกมา ‘จิงเทา เจ้าอยู่ที่ใด’

“น่าจะ…ทางตะวันตก รอบๆ มีแต่ต้นไม้ ขณะนี้ยังไม่เจอผู้ใด”

‘มีเจ้าแค่คนเดียว?’

“อืม”

‘เมื่อก่อนล้วนแต่ถูกส่งตัวไปที่เดียวกันสามคนห้าคน คราวนี้เห็นทีทุกคนคงจะถูกส่งไปคนละที่กันหมด มิหนำซ้ำยังล้วนอยู่เพียงลำพังอีกด้วย…’

“จิงหลิว จะมาสมทบกันก่อนหรือไม่” สภาพการณ์คราวนี้ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยจริงๆ

‘เจ้าอยู่ค่อนข้างไกลจากข้า แต่อยู่ใกล้กับคนตระกูลเสวียนหมิงมากกว่า เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะอยู่ในป่าแห่งเดียวกับเจ้า เจ้าอยู่คนเดียวต้องระวังหน่อย ให้เดินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเรื่อยๆ ถ้าเจอคนตระกูลเสวียนหมิงก็ให้เคลื่อนไหวด้วยกัน แต่ถ้าเจอกับคนอื่นๆ…ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ จัดการตามที่พวกเราได้หารือกันไว้ได้เลย’

“ข้ารู้แล้ว” ไป่หลี่จิงเทาเก็บยันต์ถ่ายทอดเสียงลง จากนั้นก็ออกเดินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

เขี้ยวเงิน ระวังอย่าเผลอส่งเสียงออกมา พวกเราจะเล่นสะกดรอยตามกันแล้ว โม่อีเหรินถ่ายทอดเสียงบอก

เขี้ยวเงินพยักหน้า

โม่อีเหรินเดินตามหลังไป่หลี่จิงเทาไปโดยรักษาระยะห่างไว้ช่วงหนึ่ง

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ไป่หลี่จิงเทาก็ได้เจอกับคนตระกูลเสวียนหมิงสี่คนที่เร่งรีบเดินมาด้วยท่าทางลนลาน

“คุณชายสี่?!”

ในห้าคนจากตระกูลไป่หลี่ ไป่หลี่จิงเทาอยู่ในลำดับที่สี่ คนที่รู้จักกันดีจึงจะเรียกขานด้วยลำดับอย่างให้เกียรติ

“พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง” แต่ละคนหน้าตามอมแมม ซ้ำชุดวิเศษก็เสียหาย ดูสภาพทุลักทุเลโดยแท้

“พวกข้าเจอเข้ากับเถาวัลย์พันลี้”

“พวกท่านไปแหย่เถาวัลย์พันลี้เข้า?”

“มิใช่ พวกข้าสี่คนถูกส่งตัวไปคนละที่กัน แต่อยู่ใกล้กันมาก ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะอยู่ในอาณาเขตของเถาวัลย์พันลี้ พอพวกข้าเริ่มเก็บหญ้าวิเศษก็ถูกโจมตีแล้ว” คนตระกูลเสวียนหมิงตอบ

ถูกโจมตี พวกเขาได้แต่หนีเอาชีวิตรอด

แม้การโจมตีจากเถาวัลย์พันลี้จะไม่ถึงขั้นเอาชีวิตในทันที แต่เถาวัลย์พันลี้เถาหนึ่งสามารถเลื้อยออกมาได้อย่างน้อยก็เป็นพันลี้ ยิ่งมีชีวิตอยู่มานานก็ยิ่งมีอาณาเขตใหญ่ อยากจะเอาชีวิตรอดก็ยิ่งยากลำบาก

อาวุธมีคมธรรมดาทำอะไรเถาวัลย์พันลี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นอาวุธเวท

นอกจากนี้เถาวัลย์พันลี้ยังมีความทนทานต่อการโจมตีด้วยไฟอยู่ระดับหนึ่ง และก็มิใช่สิ่งที่ใช้ไฟเผาก็สามารถทำให้ตายได้

เว้นแต่ว่าเป้าหมายการโจมตีจะตายลง มิเช่นนั้นเถาวัลย์พันลี้ก็จะไม่หยุดโจมตี

“พวกข้าสี่คนลำบากมากกว่าจะหนีออกมาได้ ทว่า…”

“ทว่าอะไร”

“ไม่ทราบว่าคุณชายสี่มีวิธีรับมือกับเถาวัลย์พันลี้หรือไม่”

“พวกท่านคิดจะทำอะไร” เพิ่งจะหนีออกมาได้ ตอนนี้ยังคิดจะกลับไปอีก?

“พวกข้า…” คนตระกูลเสวียนหมิงพิจารณาเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจตอบตามตรง “ขณะพวกข้าถูกโจมตีได้มองเห็นหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ตรงส่วนรากของเถาวัลย์พันลี้ ในหินก้อนใหญ่ดูเหมือนจะมี…น้ำนมวิเศษ เนื่องจากอยู่ห่างเกินไป พวกข้าจึงไม่อาจแน่ใจในอายุ”

“น้ำนมวิเศษ? มีมากหรือ” ไป่หลี่จิงเทาชักจะสนใจแล้ว

น้ำนมวิเศษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างน้อยต้องมีอายุร้อยปีขึ้นไป ไอวิเศษและความบริสุทธิ์ที่แฝงอยู่ในน้ำนมวิเศษไม่ว่าจะนำมาสกัดเพื่อยกระดับพลังยุทธ์หรือนำมาใช้รักษาอาการบาดเจ็บก็ล้วนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่อาจได้มาครอบครอง

“มีอย่างน้อยห้าหยด”

“อืม…” ควรค่าแก่การกลับไปเสี่ยง

น่าเสียดายที่เขาไม่มีเชื้อไฟอัศจรรย์ มิเช่นนั้นเขาก็ไม่กลัวเถาวัลย์พันลี้แล้ว ทว่าเขามีอาวุธเวท มีชุดวิเศษป้องกันกาย ยันไว้หนึ่งเค่อน่าจะไม่มีปัญหา

“เวลาหนึ่งเค่อ ท่านรับหน้าที่ไปนำน้ำนมวิเศษมา พวกท่านสามคนกับข้าเบี่ยงเบนความสนใจของเถาวัลย์พันลี้ หลังครบหนึ่งเค่อ พวกเราต้องล่าถอยทันที ทำได้หรือไม่”

“ได้” คนตระกูลเสวียนหมิงทั้งสี่ต่างตอบตกลง

“เช่นนั้นเถาวัลย์พันลี้อยู่ที่ใด”

“ทางนี้ เชิญคุณชายสี่ตามพวกข้ามา” คนตระกูลเสวียนหมิงพาไป่หลี่จิงเทาเดินกลับไปทางเดิมทันที

โม่อีเหรินกับเขี้ยวเงินสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตามไปอย่างเงียบเชียบ

น้ำนมวิเศษเป็นของดี หากมีอายุพันปีขึ้นไปก็ยิ่งดีไปใหญ่ อีกทั้งทางที่ดีขอให้มีหลายๆ หยด จะได้ให้ไป่หลี่จิงหง ท่านตา และพี่ใหญ่พี่เล็กด้วย

ส่วนเถาวัลย์พันลี้…ก็เป็นของดีเหมือนกัน

เถาวัลย์พันลี้ที่ยังไม่มี ‘วิวัฒนาการ’ ใช้อาวุธเวทก็เล่นงานได้แล้ว ทว่าถ้าเป็นเถาวัลย์พันลี้ที่มีวิวัฒนาการแล้ว กลับมีเพียงครอบครองเชื้อไฟอัศจรรย์หรือไม่ก็อาวุธวิเศษชนิดพิเศษถึงจะมีหนทางล่าถอยออกมาได้อย่างครบสามสิบสอง

“เงื่อนไขที่เถาวัลย์พันลี้จะมีวิวัฒนาการ…” หาได้ไม่ง่ายเลย…

“โม่อีเหริน ดินสีเขียวที่พิลึกพิลั่นนั่น?” เขี้ยวเงินพูดขึ้น

“ดินสีเขียว?” ให้ปลูกเถาวัลย์พันลี้ไว้ในนั้นอย่างนั้นหรือ

โม่อีเหรินถูกความคิดของตนเองทำให้อึ้งงันไป

เขี้ยวเงินกลับกระเหี้ยนกระหือรือ

“โม่อีเหริน พวกเราไปหาเถาวัลย์นั่นกันก่อน! ไปทางนี้เร็วกว่า! บินไป”

เขี้ยวเงินบอกทาง โม่อีเหรินได้แต่ต้อง…บินไปแล้ว

 

“คุณชายสี่ มาถึงแล้ว เดินไปอีกหน่อยก็จะอยู่ในอาณาเขตของเถาวัลย์พันลี้” คนตระกูลเสวียนหมิงหยุดฝีเท้า มองรอบๆ อย่างระวังตัวแจ

ไป่หลี่จิงเทาเองก็มองสำรวจดูเช่นกัน

ต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น กิ่งใบงอกงาม ยิ่งบนกิ่งและลำต้นของต้นไม้ที่เห็นอยู่ถัดไปทางด้านหน้ายิ่งมีเถาวัลย์เลื้อยพันอยู่อย่างเห็นได้ชัด

ดูคล้ายธรรมดา อันที่จริงกลับล้วนเป็นเถาของเถาวัลย์พันลี้

นี่แสดงว่าตั้งแต่ตรงนี้ไปจะเป็นอาณาเขตของเถาวัลย์พันลี้แล้ว ก็เหมือนกับการที่สัตว์วิเศษทิ้งกลิ่นอายไว้ในเขตแดนที่อยู่เพื่อไม่ให้มีใครบุกรุกเข้าไปตามอำเภอใจ

“ตรงนี้ห่างจากก้อนหินที่พวกท่านบอกมากหรือไม่ สามารถไปถึงได้ในหนึ่งเค่อหรือไม่”

คนตระกูลเสวียนหมิงสบตากันแวบหนึ่ง “น่าจะได้ ทว่าต้องห้ามถูกเถาวัลย์พันลี้พันตัว”

“เช่นนั้นก็ทำตามแผน พวกท่านสามคนคุ้มกันเขาเดินไปก่อน ข้าจะเตรียมพร้อมอยู่ข้างหลัง หากเจอกับการโจมตี พวกท่านก็สู้พลางหนีพลาง ข้าจะลองขวางเถาวัลย์พันลี้เอาไว้”

เดิมทีไป่หลี่จิงเทาเดินนำหน้าจะเป็นการดีที่สุด เขาสามารถใช้อาวุธเวทสู้ให้เถาวัลย์พันลี้ถอยไปได้ จากนั้นก็หนีนำไปก่อน ให้คนทั้งสี่ตามหลังเขา เช่นนี้จะเร็วกว่า

หากแต่แม้ตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงจะเป็นพันธมิตรกัน ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถฝากข้างหลังไว้กับอีกฝ่ายได้ นั่นเป็นการกระทำอันรนหาที่ตาย

ไป่หลี่จิงเทาพูดอะไร อีกสี่คนก็ให้ความร่วมมือ จะอย่างไรเขาก็มีพลังยุทธ์สูง ฐานะก็สูง สี่คนจากตระกูลเสวียนหมิงเป็นแค่ลูกหลานสายรองของตระกูล ไม่นับว่าเป็นบุคคลใหญ่โตอะไร ดังนั้นคนทั้งสี่จึงมิได้พูดอะไรให้มากความ เดินนำเข้าอาณาเขตของเถาวัลย์พันลี้ตามคำบอกของไป่หลี่จิงเทา

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้ทำสัญญากันก่อน แต่ถ้าครั้งนี้สามารถเอาน้ำนมวิเศษมาได้อย่างราบรื่น ไป่หลี่จิงเทาก็คงจะต้องให้พวกเขาด้วย มิเช่นนั้นพวกเขากลับไปพูดเรื่องนี้ที่ตระกูล ไป่หลี่จิงเทาก็ไม่ได้ประโยชน์เสียเท่าไร

คนทั้งสี่คิดเช่นนี้ จึงเดินนำหน้าด้วยความเร็วสูงสุดอย่างวางใจยิ่ง ทางหนึ่งก็ยังไม่ลืมระวังเถาวัลย์พันลี้ไปด้วย

ผลคือปลอดภัยมาตลอดทาง

แม้เถาวัลย์พันลี้จะมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้โจมตีพวกเขา

แม้ทั้งสี่คนจากตระกูลเสวียนหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รู้สึกเช่นกันว่าครั้งนี้โชคดียิ่ง ไม่ถูกโจมตีก็ดีแล้ว

อดใจปล่อยหญ้าวิเศษตามทางไป หินที่ถูกเถาวัลย์พันลี้พันรอบก็อยู่ตรงหน้า…

ขณะไป่หลี่จิงเทามองเห็นก้อนหิน กลับหยุดลงอย่างฉับพลัน

เถาวัลย์พันลี้ที่เห็นมาตลอดทางนี้ล้วนเป็นสีเขียว แต่เหตุใดที่พันก้อนหินอยู่กลับมีสภาพแห้งเหี่ยว…ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แห้งเหี่ยว มันเปลี่ยนสีไปต่างหาก

“รีบไป!” ไป่หลี่จิงเทาตัดสินใจอย่างเฉียบขาด เขาตะโกนลั่นขึ้นมา แล้วตนเองก็วิ่งตะบึงนำหน้าออกจากที่นี่

หากแต่เถาวัลย์พันลี้ล้อมอยู่ด้านหลังพวกเขา อาวุธเวทในมือไป่หลี่จิงเทาถูกปาออกไปทันที

ตูม!

แม้เถาวัลย์พันลี้จะถูกระเบิดทำให้ต้องผงะถอยไปเล็กน้อย แต่ก็หาได้ล่าถอยไม่ กลับเลื้อยสวบสาบมารวมตัวกัน เห็นได้ชัดว่ามากขึ้นทุกที ล้อมซ้ายขวาหน้าหลังเอาไว้หมดแล้ว

“คุณชายสี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”

สี่คนจากตระกูลเสวียนหมิงและไป่หลี่จิงเทาหันหลังชนกัน

“เถาวัลย์พันลี้มีวิวัฒนาการแล้ว” ไป่หลี่จิงเทามีสีหน้าเคร่งเครียด

“วิวัฒนาการ?!” คนทั้งสี่อึ้งงัน

แม้จะจำแนกวิวัฒนาการไม่ออก แต่พวกเขากลับรู้ดีว่าเถาวัลย์พันลี้หลังจากมีวิวัฒนาการจะกระหายเลือดขึ้น อันตรายมากกว่าก่อนมีวิวัฒนาการเป็นร้อยเท่า หรือถึงขนาดมากกว่านั้นอีก

คนทั้งสี่ต่างหน้าซีด

“นำอาวุธเวทที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกท่านออกมา หากสามารถแยกกันหนีไปคนละทางได้ก็หนี หนีออกไปได้แล้วให้พยายามมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ” พร้อมกับที่พูด ไป่หลี่จิงเทาก็โจมตีเถาวัลย์พันลี้ที่พุ่งเข้าหาจนผงะถอยไปอีกครั้ง

“รีบหนี!”

ไป่หลี่จิงเทาตะโกนบอกอีกครั้ง ก่อนคนทั้งห้าจะพุ่งตัวออกข้างนอกพร้อมกัน

ทว่าเถาวัลย์พันลี้หลังมีวิวัฒนาการกลับมีพลังโจมตีและความแข็งแกร่งต่างจากก่อนหน้านี้เป็นคนละเรื่อง

การโจมตีของสี่คนจากตระกูลเสวียนหมิงไม่อาจทำให้เถาวัลย์พันลี้ถอยไปได้โดยสิ้นเชิง จึงถูกพันรัดแทบจะทันที

“อ๊าก! ช่วยด้วย…”

แม้อาวุธเวทของไป่หลี่จิงเทาจะสามารถทำให้เถาวัลย์พันลี้ผงะถอยไปได้ แต่กลับไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆ ให้แก่มันได้เลย ซ้ำพอถูกโจมตีมาจนต้องถอย เถาวัลย์พันลี้กลับยิ่งตอบโต้เขารุนแรงขึ้นกว่าเดิม

หากมิใช่ชุดวิเศษบนตัวเขามีพลังป้องกันมากพอ กอปรกับหลบหลีกได้เหมาะสม ไป่หลี่จิงเทาคงถูกเถาวัลย์พันลี้ทำให้บาดเจ็บไปนานแล้ว

ทว่าตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว เพื่อรักษาชีวิตไว้ ไป่หลี่จิงเทาจึงไม่แอบซ่อนอีก นำอสนีม่วงออกมาโยนใส่เถาวัลย์พันลี้

ตูม!

“ซี้ด…”

เถาวัลย์พันลี้ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าไป่หลี่จิงเทาส่งเสียงร้องประหลาดออกมา เถานับไม่ถ้วนถูกระเบิดกระจุย ไป่หลี่จิงเทาฉวยโอกาสหนี

เนื่องจากถูกระเบิด เถาวัลย์พันลี้จึงคลั่งขึ้นมาแล้ว มันยื่นเถานับไม่ถ้วนออกไปกลางอากาศในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันก็กระชากต้นไม้ลงมา ไป่หลี่จิงเทาเพิ่งจะเหินกายหนีได้เพียงหนึ่งจั้งก็ถูกเถาหนึ่งพันข้อเท้า

เถาหนึ่งทำสำเร็จ เถาอื่นๆ ก็ตามมาพันไว้ทันที

เวลาเดียวกันนี้เถาที่รัดคนทั้งสี่จากตระกูลเสวียนหมิงไว้อยู่ก็แทงเข้าไปในร่างของพวกเขา ดูดร่างพวกเขาจนแห้งในพริบตา

แม้แต่จะกรีดร้องก็ยังไม่ทัน คนทั้งสี่จากตระกูลเสวียนหมิงกลายเป็นซากแห้งคาที่ ส่วนเถาที่ล้อมรอบพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง

ไป่หลี่จิงเทาตกใจ เหวี่ยงอาวุธเวทบนมือออกไปทันที เถาวัลย์ถูกโจมตีจนผงะถอยไปอีกครั้ง

ไป่หลี่จิงเทาลุกขึ้นออกวิ่งตะบึงอีกครั้ง เถาวัลย์สีแดงไล่ตามไปติดๆ ไป่หลี่จิงเทาสู้พลางหนีพลาง

ถึงแม้จะหนีมาได้อีกสองสามก้าว แต่ยังคงหนีมิพ้นอาณาเขตของเถาวัลย์พันลี้ อสนีม่วงก็ดันมีแค่หนึ่งเดียว ไป่หลี่จิงเทาฝืนรักษาความเยือกเย็นไว้ท่ามกลางความสับสนหวาดหวั่น เมื่อค้นพบว่าอาวุธเวททำได้เพียงโจมตีให้เถาวัลย์พันลี้ผงะถอย แต่ไม่อาจทำลายมันได้ เขาจึงเปลี่ยนมาเริ่มโยนยันต์อัคคี ยันต์อสนีทั้งหมดที่มีในตัวใส่มันแทน

ยันต์อัคคีและยันต์อสนีช่วยชิงเวลาพักหายใจมาให้ไป่หลี่จิงเทาได้เล็กน้อย พร้อมทั้งยังทำให้เถาวัลย์สีแดงโจมตีได้ช้าลง

ไป่หลี่จิงเทาดีใจ อาศัยจังหวะทำท่าจะเหินกายจากไปอีกครั้ง กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีปลายเถาวัลย์เถาหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใต้พื้น ทะลุผ่านชุดวิเศษ แทงเข้าที่ขาซ้ายของเขา

“อึก!”

ไป่หลี่จิงเทาเจ็บปวด รู้สึกเพียงว่าขาซ้ายเหมือนถูกอะไรดูดไป เจ็บปวดรวดร้าวจนทำให้เขาต้องร้องลั่นออกมาอย่างสุดกลั้น

“อ๊าก!”

เขาต้องตายแล้วอย่างนั้นหรือ เขาไม่ยอม!

ในช่วงเวลาคับขัน เปลวเพลิงสีส้มสายหนึ่งก็ลอยมาเผากิ่งเถานั้นอย่างรวดเร็ว

เงาคนสายหนึ่งลอยมาพร้อมกัน ใช้มือข้างหนึ่งช้อนตัวไป่หลี่จิงเทาขึ้นมา วางเปลวเพลิงสีส้มไว้ใต้เท้า แล้วขี่อัคคีหนีไปอย่างฉับไว!

เถาวัลย์พันลี้อยากไล่ตามเพียงไรก็ติดที่ความร้อนของเปลวเพลิง ทำได้เพียงมองเหยื่อหนีไป ‘ตาปริบๆ’

ไม่มีอาหารแล้ว…

เถาวัลย์พันลี้เลื้อยกรูสวบสาบกลับไปยังบริเวณก้อนหิน มองเห็นซากแห้งทั้งสี่ที่อยู่บนพื้นก็เฆี่ยนตีไม่ยั้งราวกับระบายความโกรธแค้นก็มิปาน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 เม.. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: