X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง ภาค 2 เล่ม 3 บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 2

นี่จะต้องเป็นจุดอ่อนของหมอโอสถที่พิศวาสโอสถทุกคนเป็นแน่แท้

ไม่ว่าเป็นการใช้หมดหรือไม่ แต่การไม่มีตัวยาดีๆ ก็เป็นเรื่องน่าปวดใจยิ่ง

“ชิงเหยา หากทองดำถูกใช้หมดโดยที่ท่านไม่แม้แต่จะได้เห็น จะปวดใจหรือไม่” หลิงเซ่าจวินกางพัดดังพึ่บ โบกพัดด้วยท่าทางสง่างาม

เขาขาดบัวน้ำแข็งเก้ากลีบที่จะหลอมยาลูกกลอนลี้มรณะไป ส่วนหลงชิงเหยาก็อยากได้ทองดำมาหลอมทำอาวุธวิเศษใหม่

“ปวดใจสิ” หลงชิงเหยาตอบโดยไม่มีลังเล เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์หัวเราะเยาะผู้อื่น

เช่นนั้นดื่มชาต่อดีกว่า…

หลงชิงเหยาหยิบกาน้ำชามารินเองอีกถ้วย

โม่อีเหรินไม่ได้ห้าม

ดีเหลือเกิน

หลงชิงเหยาส่งยิ้มซาบซึ้งใจอย่างใหญ่หลวงให้โม่อีเหริน…โม่อีเหรินช่างเป็นคนดี

จากนั้นเขาก็ดื่มชาลงไป

“ท่านหลอมออกมาได้กี่เม็ด” ไม่มีวัตถุดิบตัวยา หลิงเซ่าจวินจึงเปลี่ยนเป้าหมายมามอง…ยาลูกกลอน

“แค่สองเม็ด” นี่เป็นจำนวนหลอมสำเร็จที่ชวนให้คนอยากถอนหายใจเหลือหลาย

นับตั้งแต่โม่อีเหรินเริ่มหลอมโอสถเป็นต้นมา นี่เป็นจำนวนที่ต่ำที่สุดที่เคยทำได้

แต่โชคยังดีที่มิได้พูดคำนี้ออกมา มิเช่นนั้นหลิงเซ่าจวินจะต้องจับนางมาตีก้นเป็นแน่

“เช่นนั้นน่าจะยังเหลืออีกเม็ดกระมัง” หลิงเซ่าจวินมีสีหน้าคาดหวังยิ่ง

“ข้าไม่มีแล้ว” โม่อีเหรินมองเขาอย่างเสียใจ

“กินไปหมดแล้วทั้งสองเม็ด?!”

“กินไปแค่เม็ดเดียว”

“อย่างนั้นอีกเม็ดเล่า”

“ให้จิงหงไปแล้ว”

“…” หลิงเซ่าจวินรู้สึกอย่างสุดซึ้งว่าตนเองถูกปั่นหัวเข้าแล้ว จึงมองโม่อีเหรินปราดหนึ่งด้วยความเจ็บใจ

โม่อีเหรินประคองลูกสนจานนั้นพลางขยับไปแอบหัวเราะอยู่ด้านหลังไป่หลี่จิงหง นางพูดความจริงทุกอย่างนะ

ห้ามไปถือสาหาความเด็กน้อยผู้หนึ่ง…โดยเฉพาะเด็กที่เป็นคู่หมั้นของสหายสนิท

หายใจลึกๆ หายใจลึกๆ

ย้ายเป้าหมาย!

“ไป่หลี่จิงหง ขอข้ายืมดูยาลูกกลอนที” หากไม่ให้ยืมก็ไม่ใช่สหายที่ดี

ไป่หลี่จิงหงเองก็ไม่ทำลีลา แบมือขวาออก ขวดยาสีขาวก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือ

หลิงเซ่าจวินหยิบขวดยามา ก่อนจะหยิบผ้าที่ทอขึ้นจากไหมหิมะผืนหนึ่งมาปูบนโต๊ะ แล้วถึงเทยาออกมาอย่างระมัดระวัง

หลงชิงเหยาเองก็ขยับไปดูด้วย

เป็นยาลูกกลอนที่ภายนอกมีสีดำแกมน้ำเงิน แทบไม่ต่างจากยาลูกกลอนทั่วไป จุดที่พิเศษคือต้องมองดูดีๆ ถึงจะเห็นลวดลายสีม่วง ลวดลายนี้เองที่ทำให้ยาเม็ดนี้มีกลิ่นอายของพลังชีวิตอยู่เต็มเปี่ยม

หากอาจารย์ทราบว่ามียาที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ปรากฏขึ้น ต่อให้กำลังปิดด่านกักตัวอยู่ก็คงจะหยุดกลางคันแล้วปรี่มาหาทันที

“โม่อีเหริน ข้าถามเยี่ยงนี้อาจจะเสียมารยาทไปหน่อย ทว่าข้าอยากรู้มากจริงๆ ว่าลวดลายสีม่วงนี้คืออะไร” สีหน้าของหลิงเซ่าจวินดูระมัดระวังและจริงจังยิ่ง

การสอบถามหมอโอสถถึงตำรับยาหรือตัวยาที่ใช้หลอมโอสถ อันที่จริงเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก และก็เป็นเรื่องละเมิดข้อต้องห้ามเช่นกัน โดยเฉพาะตำรับยานี้ยังมาจากการศึกษาค้นคว้าส่วนตัว นั่นยิ่งเป็นความลับใหญ่

ทว่าหลิงเซ่าจวินสงสัยมากจริงๆ อีกทั้งด้วยความที่มีมิตรภาพกับไป่หลี่จิงหงไม่ธรรมดา โม่อีเหรินเองเขาก็เคยได้พบหน้าสองสามหนแล้ว ดูจากท่าทีที่โม่อีเหรินมีต่อพวกเขาก็รู้ได้ว่าโม่อีเหรินเห็นพวกเขาเป็นสหาย ดังนั้นนี่จึงนับเป็นการที่สหายสอบถามส่วนตัว โม่อีเหรินจะตอบหรือไม่ก็ย่อมได้ และจะไม่กระทบต่อไมตรีเช่นกัน

ถึงโม่อีเหรินจะไม่ตอบ หลิงเซ่าจวินก็ย่อมจะไม่ผูกใจเจ็บด้วยเหตุนี้…เขาไม่ได้ไร้การอบรมถึงเพียงนั้น

สิ่งที่คิดไม่ถึงคือโม่อีเหรินกลับตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่ง

“หลักๆ คือหญ้าโลหิตหงส์ นอกจากนี้ยังมีตัวยารองอีกชนิดหนึ่งที่ยังไม่อาจบอกท่านได้”

“หญ้าโลหิตหงส์?!” หลิงเซ่าจวินตาเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง

นี่เป็นสมุนไพรที่มีเฉพาะในตระกูลเฟิ่งเชียวนะ ตอนแรกเขายังเคยขอจากเฟิ่งไหวซิน แต่ผลคือเนื่องจากตระกูลเฟิ่งเองยังมีเก็บไว้ใช้ไม่พอ เขาจึงขอมาไม่ได้ ทว่าเฟิ่งไหวซินได้รับปากเขาแล้วว่าเมื่อหญ้าโลหิตหงส์โตเต็มที่ในคราวหน้า จะขอมาให้เขาก่อนคนอื่น

“ใช้หญ้าโลหิตหงส์…เพื่อแก้พิษหยาดน้ำตาเทพยุทธ์?” หลิงเซ่าจวินคิดถึงจุดนี้ได้ทันที

“หญ้าโลหิตหงส์ไม่ใช่พิษหรอกหรือ” หลงชิงเหยาถามด้วยความข้องใจ

“หญ้าโลหิตหงส์มีสองประเภท หญ้าพิษกับหญ้าแก้พิษจะขึ้นอยู่ด้วยกัน หยาดน้ำตาเทพยุทธ์ทำมาจากหญ้าโลหิตหงส์ ยาแก้ก็ต้องใช้หญ้าโลหิตหงส์ถึงจะหลอมได้” หลิงเซ่าจวินอธิบายจบ ถึงค่อยหันมาหาโม่อีเหรินด้วยท่าทางตรึกตรองอยู่บ้าง “หากแต่ข้าได้ยินหมอโอสถของตระกูลเฟิ่งบอกว่าหญ้าโลหิตหงส์หลอมได้ยากมาก”

“อืม ยุ่งยากยิ่ง” โม่อีเหรินพยักหน้าอย่างผ่าเผย ปล่อยให้เขาเดาตามสบาย “ทว่ายาเม็ดนี้มิได้เป็นแค่ยาแก้พิษหยาดน้ำตาเทพยุทธ์อย่างเดียวแล้ว มันยังมีฤทธิ์ของยาลูกกลอนลี้มรณะอีกทั้งฤทธิ์แก้พิษอยู่ด้วย โดยเฉพาะพิษที่มุ่งเอาชีวิต มันจะมีฤทธิ์หักล้างดีเป็นพิเศษ”

หลิงเซ่าจวินเข้าใจในทันใด

“ดังนั้นยาเม็ดนี้ ไม่ว่าบาดเจ็บสาหัสหรือถูกพิษจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก็ล้วนช่วยได้ทั้งสิ้นหรือ”

“ถูกต้อง” โม่อีเหรินพยักหน้า

สายตาของหลิงเซ่าจวินที่มองยาเม็ดนั้นมีแววกระตือรือร้นสุดขีดอีกครั้งแล้ว

“ยาเหลือเพียงเม็ดเดียว แต่ท่านก็มอบให้ไป่หลี่จิงหงไปทั้งอย่างนี้หรือ” แม้คู่หมั้นจะสำคัญมาก แต่ยานี้เป็นยาช่วยชีวิต โม่อีเหรินไม่อยากเก็บไว้เผื่อต้องใช้หรือไร

“จิงหงต้องการมันมากกว่าข้า” โม่อีเหรินกล่าวด้วยท่าทางจริงจังยิ่ง

“…” สีหน้าท่าทางที่จริงจังถึงเพียงนี้ทำให้คนไม่อาจคิดโยงวาจานี้เข้ากับคำพลอดรักได้จริงๆ

หากแต่หลิงเซ่าจวินยังคงรู้สึกว่า…ถูกทำให้ตาร้อนเข้าแล้ว

“เหตุใดไป่หลี่จิงหงถึงต้องการมันมากกว่า” หลงชิงเหยาไม่เข้าใจ

“เขาหลอมโอสถไม่เป็น แต่ข้าเป็น เขาแก้พิษไม่เป็น แต่ข้าเป็น แม้จิงหงจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่ความจริงคือจิงหงได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งยังถูกพิษในขณะที่ข้าไม่อยู่ข้างกายเขา ดังนั้นมอบยาให้เขา ข้าจะวางใจมากกว่า” นางถอนหายใจ ที่สำคัญที่สุดคือแม้ยาเม็ดนี้จะมหัศจรรย์มากสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับโม่อีเหรินแล้ว มันมีประโยชน์ไม่มากเลยจริงๆ

“…” นี่ไป่หลี่จิงหงถูกหมั่นไส้เข้าแล้วหรือ

หลิงเซ่าจวินมองไป ค้นพบว่าไป่หลี่จิงหงที่ถูกหมั่นไส้…ยังคงแกะเปลือกลูกสนต่อไปโดยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

พฤติกรรมตามอกตามใจโดยไม่รู้ตัวพรรค์นี้ก็คือการสาดความหวานอย่างไม่ปิดบังนั่นเอง

นางไม่คิดถึงหัวอกของบุรุษผู้เดียวดายอย่างพวกเขาสามคนสักนิดเลย

“ยา” ไป่หลี่จิงหงเอ่ยปาก

หลิงเซ่าจวินสะดุ้งเล็กน้อย

ไม่เท่าเทียม! ไม่เท่าเทียมเกินไปแล้ว!

เวลาไป่หลี่จิงหงคุยกับโม่อีเหรินไม่เพียงแต่พูดครบจบประโยค ยังมีน้ำอดน้ำทนมากอีกด้วย แต่กับพวกเขากลับเงียบขรึมราวว่ากลัวทองจะร่วงจากปาก

หลิงเซ่าจวินเพิ่งคิดจะระเบิดโทสะ โม่อีเหรินกลับเอ่ยถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่ารายชื่ออิสระของผู้ที่จะเข้าแดนสมบัตินั้นคัดเลือกกันที่ใด”

“ท่านถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใด…ท่านต้องการชิงที่นั่งเข้าแดนสมบัติ?!” หลิงเซ่าจวินประหลาดใจ

“ถูกต้อง” นางอุตส่าห์มาแล้ว แน่นอนว่าต้องเข้าไป

“ให้ไป่หลี่จิงหงพาท่านเข้าไปมิใช่หมดเรื่องแล้วหรือไร” ไยต้องทำเรื่องยุ่งยากปานนั้น

“ข้ามิใช่คนของภาคีผู้ฝึกตน ทำเช่นนั้นจะเป็นการนำพาปัญหามาให้จิงหง” สีหน้าท่าทางของโม่อีเหรินดูจริงจังยิ่ง

“อาศัยฐานะของพวกข้าสามคน ไม่ว่าผู้ใดอยากได้ที่นั่งอีกสักที่ก็ไม่มีทางจะมีใครกล้าพูดอะไร” ฐานะประมุขหอน้อยมิใช่เอาไว้เรียกกันเล่นๆ

“หากแต่คงจะมีคนด่าจิงหงเป็นแน่ มิหนำซ้ำคนอย่าง…เอ่อ…” โม่อีเหรินพยายามย้อนรำลึก “เว่ย…เว่ย…เว่ยเซียง คนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา อีกทั้งคิดว่าตนเองแน่อย่างเว่ยเซียงจะต้องยังมีอีกอย่างแน่นอน”

“เรื่องของเว่ยเซียง ท่านไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ” หลิงเซ่าจวินไม่เห็นเป็นเช่นนั้น

คนพรรค์นั้นมีอยู่ทุกแห่งหน อาจจะวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังหรือทำลายชื่อเสียงของพวกเขา แต่แล้วอย่างไรเล่า ถ้าพวกเขายังใส่ใจแม้แต่คนพรรค์นี้ เช่นนั้นทิ้งตำแหน่งประมุขหอน้อยไปยังจะอิสระเสียกว่า

“อย่าคิดฟุ้งซ่าน” ไป่หลี่จิงหงตบศีรษะนางเบาๆ ทีหนึ่ง เขาเคยบอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก แต่โม่อีเหรินไม่ฟัง

“แต่ว่าข้าอยากไปดูผู้อื่นชิงที่นั่งกัน…”

ที่แท้นี่ก็คือประเด็นสำคัญกระมัง

“ไปดูน่ะได้ แต่ไปแย่งชิงนั้นไม่ต้องแล้ว” ไป่หลี่จิงหงเอ่ย

“ท่านจะพาข้าไปหรือ”

“อืม พาเจ้าไป”

“อย่างนั้นก็ได้”

หลิงเซ่าจวินและหลงชิงเหยาถึงกับพูดไม่ออก

นี่เป็นรูปแบบการเล่นของทั้งสองคน พวกเขาถูกเมินอีกแล้วใช่หรือไม่

“หืม?” ชิงอู๋หยาพลันลุกขึ้นยืน

หลงชิงเหยามองไปทันที

“เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยมาแล้ว” ชิงอู๋หยายืนพูดอยู่ข้างประตู

“เวลานี้?”

หลิงเซ่าจวินขมวดคิ้ว คืนยาที่เก็บลงขวดเรียบร้อยให้ไป่หลี่จิงหง

โม่อีเหรินเองก็เก็บชาวิเศษและถ้วยชาลงจนเกลี้ยง เปลี่ยนมาวางชาที่หอสุรามีให้แทน

ชิงอู๋หยาถึงค่อยเปิดประตู เชิญให้สองคนที่เดินมาถึงหน้าประตูเข้ามาได้พอดิบพอดี

เมื่อมองเห็นไป่หลี่จิงหง คนทั้งสองก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครั้นมองเห็นหลงชิงเหยา หลงชิงเหยี่ยก็ยิ้มออกมาในทันใด

“ชิงเหยา ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”

“อืม” หลงชิงเหยาลากชิงอู๋หยาไปนั่งฝั่งเดียวกัน

โม่อีเหรินกับไป่หลี่จิงหงก็นั่งกันฝั่งหนึ่ง หลิงเซ่าจวินก็นั่งอีกฝั่งหนึ่ง เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยจึงได้แต่นั่งลงที่ฝั่งสุดท้ายด้วยกันสองคน

“พวกข้าเตรียมจะออกเดินทางแล้ว พวกท่านเล่า” เฟิ่งไหวซินไม่พูดนอกเรื่อง มุ่งตรงเข้าประเด็นทันที

“ตอนนี้?” หลิงเซ่าจวินเลิกคิ้วถาม

“อืม ทางทะเลสาบจงโยวส่งข่าวมาว่าสองวันมานี้ผิวทะเลสาบไม่สงบมาตลอด ทางเข้าแดนสมบัติเป็นไปได้ว่าจะปรากฏขึ้นก่อนเวลา”

“อีกอย่างไม่กี่วันมานี้คนของตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงก็พบหน้ากันบ่อยครั้ง ตระกูลไป่หลี่ยังเคยนัดพบคนสกุลไป๋อีกด้วย เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะทำข้อตกลงกัน” หลงชิงเหยี่ยพูดต่อจากเฟิ่งไหวซิน

ห้าตระกูลใหญ่เองก็มีแบ่งเป็นแข็งแกร่งและอ่อนแอ ผิวเผินดูเหมือนไปมาหาสู่กันมานาน แต่ตอนนี้มีคลื่นใต้น้ำโหมซัด เป็นปฏิปักษ์กันอย่างเงียบๆ

การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเริ่มมาตั้งแต่ยาของตระกูลเฟิ่งค่อยๆ ลงน้อยลง

“หลังเข้าแดนสมบัติ เป็นไปได้มากว่าจะกระจายกันไปอยู่คนละที่ การที่พวกเขาจะหาพันธมิตรก็มิได้แปลกอะไร” เฟิ่งไหวซินไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

ตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิงมีมิตรภาพต่อกันดีเสมอมา มิหนำซ้ำยังต่างมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ส่วนตระกูลเฟิ่งกับตระกูลหลงก็มีไมตรีต่อกันดีกว่าตระกูลอื่นๆ เล็กน้อย มีเพียงตระกูลไป๋ที่มีทิศทางไม่แน่ชัด มิได้คบค้าสมาคมกับตระกูลใดเป็นพิเศษ

“ข้ารู้” หลงชิงเหยี่ยท่าทางระมัดระวังจริงจังยิ่ง “เพียงแต่คนของพวกเขาที่มามีพลังแก่นแท้โดยเฉลี่ยอยู่ขั้นลูกกลอนปราณทองขึ้นไป อายุอยู่ระหว่างสามถึงห้าร้อยปีแทบจะทุกคน การแย่งชิงหลังจากเข้าแดนสมบัติในครั้งนี้อาจจะอันตรายยิ่งว่าเมื่อก่อน”

เวลาเช่นนี้การหาพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็น อย่าว่าแต่ตระกูลไป่หลี่กับตระกูลเสวียนหมิง กลุ่มอำนาจสามกลุ่มในที่นี้ก็ต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดจา

หากแต่คนที่พวกเขาส่งออกมา มีอยู่ครึ่งที่ออกมาหาประสบการณ์เป็นหลัก พลังแก่นแท้โดยเฉลี่ยไม่ถึงขั้นลูกกลอนปราณทอง คนเช่นนี้ปะทะกับสกุลไป่หลี่และสกุลเสวียนหมิง ผลลัพธ์ก็น่าวิตกเหลือประมาณ

ทว่าถ้าจะเปลี่ยนคนเอาตอนนี้ก็เหลวไหลเกินไป

“ระหว่างเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ การประสบกับอันตรายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเราต้องระมัดระวังตัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกจนกลัวหัวหดไปทุกสิ่งก่อนล่วงหน้า หลังเข้าไปในแดนสมบัติ หากคนของพวกเราสามฝ่ายได้พบกันก็พยายามอย่าพลัดจากกันอีก ให้ดูแลกันและกัน ถ้ากลางทางได้เจอกับคนสกุลไป่หลี่และสกุลเสวียนหมิง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง รักษาชีวิตไว้ก่อน ยามที่พลังแก่นแท้ไม่เพียงพอยิ่งต้องถอยเป็นหลัก อย่าฝืนสู้” หลิงเซ่าจวินกล่าว

แม้สมบัติในแดนสมบัติจะน่าดึงดูด แต่แดนสมบัติแรกนภาก็เป็นเพียงด่านหาประสบการณ์ด่านหนึ่งในเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ ยามมีโอกาสต้องช่วงชิง แต่ยามที่เห็นชัดว่าสู้ไม่ไหวกลับยังคงเอาชีวิตเข้าแลก นั่นเป็นการกระทำอันโง่เขลา

นอกจากนี้ก็ต้องพยายามเตรียมยาสำหรับช่วยชีวิตไปให้มากเท่าที่จะทำได้

พอคิดถึงจุดนี้ หลิงเซ่าจวินก็กล่าวเตือนขึ้นอีก “หากเป็นไปได้ ทางที่ดีก็เตรียมยาแก้พิษไปด้วยจำนวนหนึ่ง พวกท่านได้เห็นท่าทางของไป่หลี่เยียนในวันนั้นแล้ว คนของตระกูลไป่หลี่เป็นไปได้มากเช่นกันว่าจะใช้พิษ”

เฟิ่งไหวซินกับหลงชิงเหยี่ยได้ยินแล้วก็หน้าดำไปทันที

“คนของตระกูลไป่หลี่คิดจะทำอะไรกันแน่” หลงชิงเหยี่ยพูดอย่างเข่นเขี้ยว

“ไม่รู้” เฟิ่งไหวซินกอดกระบี่พลางเอ่ยตอบตรงๆ

การใช้สมองเล่นเล่ห์เพทุบายไม่ใช่จุดแข็งของเขามาแต่ไหนแต่ไร สามารถสืบข่าวแล้วมารายงานได้ทันเวลาก็เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

“อย่างนั้นก็เอาตามนี้ พวกเราแยกย้ายกันไปเตรียมตัวออกเดินทาง ไปถึงแถวทะเลสาบจงโยวแล้วค่อยดูจังหวะอีกที” หลิงเซ่าจวินกับคนทั้งสองแลกเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว

“ตกลง” เฟิ่งไหวซินและหลงชิงเหยี่ยกล่าวลาแล้วออกไปทันที

แม้จะร่วมมือกัน ทว่าจะอย่างไรพวกเขาก็เป็นตัวแทนของสามฝ่าย กระทำการใดแค่มีแนวทางคร่าวๆ ก็พอ ส่วนรายละเอียดนั้นเป็นเรื่องของแต่ละฝ่ายเอง

เวลานี้ไป่หลี่จิงหงถึงเพิ่งเอ่ยปาก “ตัวประกันเล่า”

“ยังถูกขังไว้ที่คอกม้า” หลิงเซ่าจวินตอบพลางไม่ลืมถลึงตาใส่เขา

โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้ให้เขา แล้วตนเองก็หายตัวไปสิบวัน นี่ยังมีคุณธรรมน้ำมิตรอยู่หรือไม่

“ท่าทีของตระกูลไป่หลี่?”

“ไม่มี” หลิงเซ่าจวินเดาว่าอีกฝ่ายคงอยากถ่วงเวลาไปจนกว่าแดนสมบัติจะเปิดออก พวกเขายื่นเงื่อนไขไปก็ไม่มีความหมาย ตระกูลนี้คล้ายว่าไม่คิดจะจ่ายหินวิเศษ ไม่ห่วงแม้แต่น้อยว่าพวกเขาจะลงมือรุนแรงกับตัวประกัน

“บอกให้ตระกูลไป่หลี่ตอบกลับภายในหนึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้น…ทางเหนือยังขาดคนขุดเหมืองอยู่มาก” ไป่หลี่จิงหงกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

หลิงเซ่าจวินหลุดหัวเราะพรืดออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว”

ไป่หลี่จิงหงไม่มีความผูกพันใดๆ ต่อไป่หลี่เยียนที่เป็นมารดาแล้วจริงๆ

“ชิงเหยา ให้คนของพวกท่านเตรียมตัวด้วยสักหน่อย รอทางตระกูลไป่หลี่ตัดสินใจได้แล้ว พวกเราจะออกเดินทาง”

“ได้”

 

เว่ยจิ่งพาตัวเว่ยเซียงกลับไปส่งยังหอลงทัณฑ์ แล้วเปลี่ยนเป็นพาตัวเว่ยเฟิงกลับมาแทนด้วยคำสั่งที่ส่งมาจากอิงอู๋จี๋

ขณะเดียวกันอิงอู๋จี๋ที่รู้ว่าลูกศิษย์ของตนมีคู่หมั้นโผล่มาแล้ว จึงสั่งให้เว่ยจิ่งมาถ่ายทอดคำพูดเป็นพิเศษว่า ‘พาคนกลับมา’

การพาโม่อีเหรินกลับไปพบอาจารย์เป็นเรื่องที่แน่นอน ทว่ายังไม่ใช่ตอนนี้

ในจำนวนรายชื่อเข้าแดนสมบัติหนึ่งร้อยสิบรายชื่อ หอโอสถ หอหลอมประดิษฐ์ หอลงทัณฑ์ได้ไปหอละสามสิบ ที่เหลืออีกยี่สิบมีไว้ให้คนที่อีกสามหอส่งมาหนุนช่วยและหาประสบการณ์ ทั้งหมดมีหลิงเซ่าจวินเป็นผู้กำกับดูแล

ตระกูลไป่หลี่ตอบกลับมาแล้ว พวกเขาเลือกจ่ายหินวิเศษ

มิเช่นนั้นจะมองดูพวกไป่หลี่เยียนกับไป่หลี่จ้งถูกส่งไปขุดเหมืองหรือไร ตระกูลไป่หลี่เสียคนระดับนี้ไปไม่ไหว

ที่น่าแปลกคือไป่หลี่เยียนกับไป่หลี่จ้งเป็นคนของสายตระกูลที่สามของตระกูลไป่หลี่ แต่ผู้ที่จ่ายหินวิเศษกลับเป็นคนของสายที่สี่กับห้า

ขณะไป่หลี่เยียนกับไป่หลี่จ้งจากไป สีหน้าดูไม่น่ามองอย่างยิ่ง

หลิงเซ่าจวินตั้งข้อสันนิษฐานทันที “ภายในตระกูลไป่หลี่ก็ไม่ค่อยสงบเหมือนกัน…”

ทว่านี่เป็นเรื่องของพวกเขา

หินวิเศษที่ได้มาจากการไถ่คนคืน โม่อีเหรินมิได้เก็บไว้ผู้เดียว แต่แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ให้นาง ไป่หลี่จิงหง หลิงเซ่าจวินคนละส่วน อีกส่วนที่เหลือมอบให้ศิษย์ของภาคีที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้น

ก่อนฟ้ามืด คนของภาคีผู้ฝึกตนก็ได้หาสถานที่ตั้งค่ายพักแรมข้างทะเลสาบจงโยว

คราวนี้ผู้ที่ควรมาล้วนมากันครบแล้ว มิหนำซ้ำต่างฝ่ายต่างก็สร้างปราการป้องกันกันอย่างชัดเจน

ฝ่ายที่ยึดครองพื้นที่กว้างที่สุดริมทะเลสาบคือตระกูลไป่หลี่และตระกูลเสวียนหมิง ส่วนค่ายพักแรมของตระกูลไป๋ ตระกูลเฟิ่ง ตระกูลหลง และภาคีผู้ฝึกตนมีขนาดพื้นที่ไม่ต่างกันมาก ทว่าไม่เน้นความกว้าง แต่เน้นตั้งค่ายเป็นแนวยาวออกมาทางตรงข้ามกับทะเลสาบจงโยวแทน

นอกจากนี้ก็ยังมีเขตค่ายพักแรมตั้งกระจัดกระจายอีกจำนวนหนึ่ง ผู้ที่อยากจับปลาในน้ำขุ่นน่าจะมีเยอะมากเช่นกัน

ในเวลาพรรค์นี้ การลาดตระเวนตรวจตราค่ายพักแรมของตนเองยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

หลังจากคนทั้งหมดมารวมตัวกันที่ทะเลสาบจงโยวครบก็ผ่านมาห้าวันแล้ว แต่ทะเลสาบกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย คนทั้งหลายที่เดิมทียังรอคอยอย่างมีความอดทนจึงค่อยๆ เริ่มหมดความอดทนกันแล้ว

“มิใช่บอกว่าบนทะเลสาบมีความเคลื่อนไหว เป็นไปได้ว่าจะเป็นทางเข้าหรือไร ไฉนป่านนี้ยังไม่มีอะไรโผล่มาอีกเล่า”

“เป็นแค่ความเป็นไปได้นี่นา อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“แดนสมบัติก็เป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษของฟ้าดิน วิ่งไปวิ่งมาได้เช่นกัน นอกจากรอ พวกเรายังจะทำอะไรได้อีก”

แดนสมบัติ ตามหลักแล้วสมควรจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นทำเลที่ตั้งที่แน่นอน ทว่านับตั้งแต่แดนสมบัติแรกนภาปรากฏขึ้นบนโลกกลับไม่เคยปรากฏตัวในสถานที่เดียวกันติดต่อกันเลย ดังนั้นจึงมีคนเดาว่าแดนสมบัติอันที่จริงเป็นสิ่งมีชีวิต

หากแต่ในสิ่งมีชีวิตเป็นไปไม่ได้ที่จะยังบรรจุสิ่งมีชีวิตเข้าไปได้อีก นี่มิใช่การตั้งครรภ์เสียหน่อย

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนคาดว่าแดนสมบัติอาจจะเป็นสมบัติอย่างหนึ่งหรือไม่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษของฟ้าดิน ตัวของมันมีจิตสำนึก ถึงได้กระโดดย้ายถิ่นไปทั่วเช่นนี้

แต่ไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาแบบใดก็ล้วนไม่มีหลักฐาน ด้วยเหตุนี้ตอนหลังทุกคนจึงไม่สนใจแล้ว

สรุปคือขณะแดนสมบัติปรากฏตัว ใครอยากได้สมบัติหรือสัตว์วิเศษหรือสุดยอดของวิเศษก็ต้องรีบหน่อย

“แดนสมบัติแรกนภาปรากฏในสถานที่ไม่แน่นอน และไม่รู้เช่นกันว่าจะเป็นที่ใด เช่นนั้นทุกคนรู้ได้อย่างไร” จุดนี้โม่อีเหรินข้องใจมาตลอดตั้งแต่ได้ยินว่ามีแดนสมบัติแล้ว

“รู้จากข่าวที่อาณาจักรสัตว์ส่งมา” หลิงเซ่าจวินตอบเสียงค่อย

“อาณาจักรสัตว์?” แดนสมบัติแรกนภามีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรสัตว์หรือ

โม่อีเหรินนึกถึงจิ้งจอกบางตัว นกบางตัว หูเตียวบางตัว รวมไปถึงจอมตะกละบางตัว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

“ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด หากแต่ได้ยินว่าก่อนที่แดนสมบัติแรกนภาจะปรากฏขึ้น ราชาของอาณาจักรสัตว์จะสัมผัสได้ แม้อาณาจักรสัตว์จะไม่เข้าไปในแดนสมบัติ ทว่าก็สามารถใช้ข่าวนี้แลกผลประโยชน์ได้”

ดังนั้นทุกๆ แปดสิบเอ็ดปี หกกลุ่มอำนาจใหญ่ต้องการเข้าแดนสมบัติไปล่าสมบัติ อาณาจักรสัตว์จะขายข่าวให้แก่หกกลุ่มอำนาจใหญ่ ด้วยเหตุนี้ถึงแดนสมบัติจะยังไม่ได้เปิดออก แต่กระเป๋าเงินของอาณาจักรสัตว์กลับตุงไปก่อนแล้ว

เหมือนอย่างข่าวในครั้งนี้ ภาคีผู้ฝึกตนก็ใช้ยาปริมาณไม่น้อยแลกมา

“อาณาจักรสัตว์นั่นได้บอกหรือไม่ว่าแดนสมบัติจะปรากฏวันใด” แดนสมบัติมีความเกี่ยวข้องกับราชาอาณาจักรสัตว์หรือ

“รู้เพียงสถานที่และเวลาโดยคร่าว แต่เท่านี้ก็เพียงพออย่างยิ่งแล้ว” หลิงเซ่าจวินยิ้มพลางตอบ

ส่วนสภาพการณ์โดยละเอียดนั้น แน่นอนว่ายังต้องมาดูในสถานที่จริงก่อนค่อยตัดสิน

เนื่องจากทะเลสาบจงโยวไม่มีความเคลื่อนไหวโดยตลอด พวกเขาห้าคนจึงไปสังเกตการณ์ที่ข้างทะเลสาบทุกวัน

คนของกลุ่มอำนาจอื่นก็ไม่ต่างจากพวกเขาเช่นกัน

มาถึงเวลานี้ แต่ละกลุ่มอำนาจล้วนไม่มีการสัมผัสติดต่อกันอย่างสนิทสนมเกินพอดี มิเช่นนั้นก็จะดูชัดเจนเกินไป ทว่าขณะเดินไปเดินมาก็ยังคงทักทายถามไถ่พร้อมกับสืบความลับของกันและกันไปด้วยเล็กน้อย

เหมือนอย่างยามนี้ คนกลุ่มหนึ่งก็กำลังเดินมาทางพวกเขาแล้ว

หลิงเซ่าจวินมองเห็นคนเหล่านั้นก็พูดกับโม่อีเหรินเสียงค่อยทันที “เพียงพอนเหลืองมาแล้ว”

“พวกเขาเป็นใคร” โม่อีเหรินเหลือบมองพวกนั้นปราดหนึ่ง

“ห้าอัจฉริยะในรุ่นนี้ของตระกูลไป่หลี่ เป็นผู้สืบทอดจากห้าสายตระกูล ไป่หลี่จิงหลิว ไป่หลี่จิงหลัน ไป่หลี่จิงไห่ ไป่หลี่จิงเทา และไป่หลี่จิงเหอ ไป่หลี่เยียนเป็นคนของสายที่สาม” หลิงเซ่าจวินตอบอย่างสั้นกระชับจบ ห้าคนนั้นก็เดินมาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว

“ประมุขหอน้อยหลิง ประมุขหอน้อยหลง ไม่ได้พบกันเสียนาน”

พอเปิดปากพูดก็ทำเป็นมองข้ามไป่หลี่จิงหงกับชิงอู๋หยาไปแล้ว ส่วนโม่อีเหรินน้อย ตอนนี้มีคนรู้จักเพียงไม่กี่คน ทว่าในคนที่มายังมีคนมองนางอยู่หลายอึดใจ

โม่อีเหรินหรี่ตาลงน้อยๆ สายตานี้ชวนให้คนรำคาญใจเป็นพิเศษ นางขยับไปยืนด้านหลังไป่หลี่จิงหง ตัดสินใจจะสังเกตการณ์ก่อน ทว่าได้เตรียมผงพิษไว้พร้อมแล้ว

ดวงตาสีเงินของเขี้ยวเงินที่อยู่บนบ่าโม่อีเหรินก็ตรึงอยู่ที่คนพวกนั้นอย่างเงียบๆ เช่นกัน

“คุณชายจิงหลิว ไม่ได้พบกันเสียนานเลย” หลิงเซ่าจวินเองก็เห็นสายตาของพวกเขา จึงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างแนบเนียน อาศัยการทักทายปราศรัยบังโม่อีเหรินเอาไว้

“จิงหลัน ไม่ได้พบกันเสียนาน” หลงชิงเหยาเป็นฝ่ายกล่าวทักทายคนผู้เดียวที่มีมิตรภาพต่อกันจากในบรรดาคนที่มา

“ชิงเหยา เซ่าจวิน อู๋หยา” ไป่หลี่จิงหลันยิ้มให้พวกเขา จากนั้นก็มองไปยังไป่หลี่จิงหง แล้วพยักหน้าให้ทีหนึ่ง

แม้จะไม่รู้จัก แต่ดูจากลักษณะภายนอกของไป่หลี่จิงหง รวมถึงการที่เดินเคียงมากับหลิงเซ่าจวินและหลงชิงเหยา ไป่หลี่จิงหลันก็เดาได้แล้วว่าเขาเป็นผู้ใด

เพียงแต่ทั้งสองไม่เคยได้พบหน้ากัน จึงไม่เหมาะที่จะแสดงท่าทีสนิทสนมเกินไป มิหนำซ้ำตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามิใช่โอกาสที่ดีในการทำความรู้จักกัน

แต่กระนั้นก็เห็นชัดว่ามีคนไม่รู้จักกาลเทศะ จงใจถามขึ้นว่า “ท่านนี้คือ?”

“ประมุขหอน้อยแห่งหอลงทัณฑ์ของภาคีผู้ฝึกตนเรา ไป่หลี่จิงหง” หลิงเซ่าจวินกล่าวแนะนำอย่างผ่าเผย

เน้นว่าเป็น ‘ประมุขหอน้อยแห่งหอลงทัณฑ์ของภาคีผู้ฝึกตนเรา’ เป็นพิเศษ มิใช่คนของสกุลไป่หลี่ ฉะนั้นจงระวังวาจาท่าทีสักหน่อย

ทว่าการเน้นเพียงระดับนี้เห็นได้ชัดว่าขู่คนไม่รู้กาลเทศะไม่ได้

“คือคนที่จับตัวอาหญิงเยียนไว้แล้วเรียกค่าไถ่จากพวกข้า?!”

“คุณชายจิงเหอคิดว่าพวกข้าเรียกราคาต่ำเกินไปกระนั้นหรือ” หลิงเซ่าจวินแสร้งทำเป็นถอนหายใจ “อันที่จริงข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น…”

“ข้าได้พูดว่าท่านเรียกราคาต่ำเสียที่ใด!”

“อา…มิใช่หรอกหรือ” หลิงเซ่าจวินทำท่าทางงันไปเล็กน้อย “ข้ายังอุตส่าห์นึกว่าจะอย่างไรก็อยู่ร่วมดินแดนตอนกลางเหมือนกัน คงไม่ดีหากจะทำให้พวกท่านสิ้นเปลือง ด้วยเหตุนี้จึงแสดงน้ำใจรับแค่ราคามิตรภาพ…”

“ลำพังแค่ไป่หลี่เยียนกับไป่หลี่จ้งก็เรียกตั้งหมื่นก้อนหินวิเศษคุณภาพสูง ยังจะบอกว่าเป็น ‘ราคามิตรภาพ’ เหตุใดท่านไม่มาปล้นกันเสียเลยเล่า!” ไป่หลี่จิงเหอหวิดจะเต้นเร่าๆ ให้เขาดูแล้ว

“คุณชายจิงเหอพูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน ข้ามิใช่โจรเสียหน่อย จะปล้นผู้อื่นได้อย่างไร”

“เช่นนั้นท่านยังจะเรียกค่าไถ่จากพวกข้าอีก?”

“นั่นเป็นค่าทำขวัญและค่ารักษาอาการบาดเจ็บ” หลิงเซ่าจวินพูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน “ฮูหยินกับผู้ดูแลของตระกูลท่านมาแหกปากโวยวายใส่คนของภาคีผู้ฝึกตนไม่พอ ยังวางยาพิษทำร้ายคนอีกด้วย ข้าไม่ได้ขอคำอธิบายจากประมุขตระกูลท่าน เพียงแต่ขอให้ตระกูลท่านจ่ายหินวิเศษมาให้พวกข้าซื้อยาแก้พิษสักนิดสักหน่อย นี่ถือว่าเกินไปหรือไร”

“เรื่องนี้…”

“หากเหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นที่ตระกูลของท่าน ตระกูลท่านจะเลิกแล้วกันไปเพียงเท่านี้หรือไร”

“เรื่องนี้…”

“มิหนำซ้ำคนของตระกูลท่านวางยาพิษ แล้วยังเผลอไปทำให้คนของตระกูลเฟิ่งและตระกูลหลงถูกพิษไปด้วย หากมิใช่ข้าช่วยแก้พิษอีกทั้งช่วยเกลี้ยกล่อม เกรงว่าตระกูลท่านคงไม่ได้เผชิญหน้ากับแค่ภาคีผู้ฝึกตน แต่เป็นภาคีผู้ฝึกตนรวมถึงตระกูลเฟิ่งและตระกูลหลงร่วมกันถามหาความรับผิดชอบแล้ว”

“เรื่องนี้…” ยามนี้มาดร้อนรุ่มพลุ่งพล่านของไป่หลี่จิงเหอหายไปสิ้นแล้ว

อันที่จริงมีการเกลี้ยกล่อมเสียที่ใด ความจริงคือการฉวยโอกาสค้ากำไรต่างหาก

“พฤติการณ์ของนางมีจุดที่เสียมารยาทไป แต่จำนวนหินวิเศษที่ประมุขหอน้อยหลิงเรียกก็ไม่น้อยเช่นกัน” ไป่หลี่จิงเทากล่าว

“ยาแก้พิษเดิมทีก็ไม่ได้ราคาถูกมิใช่หรือ” หลิงเซ่าจวินตอบยิ้มๆ

ถึงภาคีผู้ฝึกตนจะหลอมได้เองแล้วอย่างไร แพงก็คือแพง นี่เป็นความจริง

“น้องเทา น้องเหอ พอได้แล้ว เรื่องนี้เป็นพวกเราเสียมารยาท ไม่อาจตำหนิประมุขหอน้อยหลิง” ไป่หลี่จิงหลิวเพิ่งเอ่ยห้ามเอาตอนนี้

หากอยากห้ามจริงๆ ก็ควรจะห้ามตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว มิใช่รอจนเถียงไม่ชนะแล้วค่อยห้าม

โม่อีเหรินไม่เห็นด้วย ขณะเดียวกันก็มองดูท่าทีของห้าคนนี้อยู่ในสายตา

ดูเหมือนเป็นอย่างที่หลิงเซ่าจวินสันนิษฐาน ภายในสกุลไป่หลี่ก็ไม่ค่อยสงบเช่นกัน

การทักทายปราศรัยพรรค์นี้น่าเบื่อเหลือเกิน โม่อีเหรินมองท้องฟ้าปราดหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ “จิงหง พวกเรากลับไปกินมื้อกลางวันกัน”

“อืม”

แม้เสียงจะเบายิ่ง แต่ไม่กี่คนในที่นี้ล้วนมีพลังยุทธ์ไม่ต่ำ ระยะห่างแค่นี้ต่อให้พูดเบาเพียงไรก็ยังได้ยินอยู่ดี

ไป่หลี่จิงหลิวจึงถือโอกาสถาม “แม่นางท่านนี้ดูไม่คุ้นหน้าเสียเลย ไฉนจึงไม่เคยได้พบมาก่อน”

สายตาน่ารำคาญนี้มาอีกแล้ว โม่อีเหรินมองเขาปราดหนึ่ง แล้วจับแขนของไป่หลี่จิงหงโดยไม่ปริปาก

ท่านตาบอกว่า ‘พูดกับคนน่ารำคาญไปก็เสียเวลา ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปพูดด้วย หากยังไม่รู้กาลเทศะอีก หาโอกาสสั่งสอนสักยกก็พอแล้ว ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ’

ด้วยเหตุนี้ไป่หลี่จิงหลิวจึงได้รับเกียรติถูกโม่อีเหรินจดจำเอาไว้แล้ว

ทว่าท่าทีของไป่หลี่จิงหงนั้นตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขามองเมินอย่างตรงไปตรงมา แล้วจูงโม่อีเหรินหมุนตัวเดินจากไป

“…” คนทั้งห้าจากตระกูลไป่หลี่เบิกตาโพลง ท่าทีตอบสนองดูชอบกลยิ่ง

แต่ในจำนวนนั้น ไป่หลี่จิงหลันกลับยิ้มออกมา

ด้านไป่หลี่จิงหลิวก็ไต่ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่ก็คือวิธีการต้อนรับแขกของภาคีผู้ฝึกตนหรือ”

“มิใช่ นี่เป็นศิษย์สืบทอดคำสอนของอาจารย์ การแสดงออกของไป่หลี่จิงหงเป็นเพียงการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอาจารย์อาอิง มิได้มีเจตนามุ่งเป้าไปที่ท่าน” หลิงเซ่าจวินกล่าวพร้อมกับยิ้มตาหยี

เขาจำได้ว่ามีปีหนึ่งอาจารย์อาอิงเคยตบโต๊ะเดินหนีคนไปต่อหน้าต่อตาประมุขตระกูลไป่หลี่ ดังนั้นการที่ไป่หลี่จิงหงหันหลังเดินหนีไปเช่นนี้จึงไม่นับเป็นอะไรจริงๆ

หากแต่ไป่หลี่จิงหลิวได้ยินแล้วกลับหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม

“ได้ยินว่าประมุขหอน้อยแห่งหอลงทัณฑ์เป็นคนตระกูลไป่หลี่ของพวกข้า”

“กระนั้นหรือ” หลิงเซ่าจวินทำท่าทางประหลาดใจเหมือนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“ไป่หลี่เยียนเป็นมารดาของเขากระมัง” ยังจะทำไขสืออีก?

“เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยินไป่หลี่จิงหงพูดถึง” สีหน้าท่าทางของหลิงเซ่าจวินดูใสซื่อบริสุทธิ์จนไม่อาจใสซื่อบริสุทธิ์ไปกว่านี้ได้แล้ว

ที่ว่าไป่หลี่จิงหงไม่เคยพูดนั้นเป็นความจริง จริงแท้ยิ่งกว่าทองเสียอีก

ส่วนเรื่องว่าผู้อื่นเคยพูดนั้น…เจ้าตัวยังไม่เคยพูด ผู้อื่นพูดจะนับเป็นอะไรเล่า

เวลานี้เองยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งก็พลันลอยมาหาหลิงเซ่าจวิน เสียงเยียบเย็นสั้นกระชับของไป่หลี่จิงหงดังมาจากด้านใน “กินมื้อกลางวัน กลับมา”

“จะกลับเดี๋ยวนี้” หลิงเซ่าจวินตอบกลับทันที จากนั้นก็ฉีกยันต์ถ่ายทอดเสียง แล้วกล่าวกับคนทั้งห้าด้วยสีหน้าขอลุแก่โทษ “ขออภัยด้วย หากไม่มีธุระอื่นแล้ว พวกข้าขอตัวไปก่อน”

“เชิญตามสบาย” ไป่หลี่จิงหลิวกล่าวพลางมองคนทั้งสามจากไปพร้อมกันด้วยสีหน้าบึ้งตึง

เวลานี้ไป่หลี่จิงไห่ถึงได้เอ่ยปากพูดอย่างติดจะเยาะเย้ย “ผลคือท่านถามไม่ได้คำตอบอะไรทั้งสิ้น”

“เจ้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน” ไป่หลี่จิงหลิวปรายตามองเขา

“หลิงเซ่าจวินผู้นั้นน่าชังเกินไปแล้ว!” ไป่หลี่จิงเหอยังคงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

“ไป่หลี่จิงหงเองก็ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด” ไป่หลี่จิงเทาแสยะยิ้มพลางมองไปยังไป่หลี่จิงหลัน “จิงหลัน เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

“พลังแก่นแท้ของพวกเขาล้วนไม่เลว”

นี่เป็นประเด็นสำคัญที่เขาถามหรือ

“ข้ากลับไปกินมื้อกลางวันก่อนล่ะ” ไป่หลี่จิงหลันพยักหน้าให้พวกเขา แล้วกลับไปก่อน

ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นลูกกลอนปราณทองแล้วอันที่จริงไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสมอไป ทว่านี่เป็นข้ออ้างที่ดี

วันนี้ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว ไป่หลี่จิงหง…ญาติผู้น้องไม่เลวเลย

“ไป่หลี่จิงหลันผู้นี้ยังนับเป็นคนของสกุลไป่หลี่เราอยู่หรือไม่” ไป่หลี่จิงเทาไม่พอใจอยู่บ้าง

“อย่างไรก็ดีกว่าพวกเจ้าที่ร้องเอ็ดตะโรมาเป็นครึ่งวัน ซ้ำยังถูกคนค่อนขอดกลับมามากนัก”

“ไป่หลี่จิงไห่ เจ้า…”

“พอได้แล้ว!” ไป่หลี่จิงหลิวตวาด “คนนอกยังไม่ทันทำอะไร พวกเราก็อย่าชิงตีกันขึ้นมาก่อน แดนสมบัติเปิดออกครานี้เป็นการทดสอบที่ตระกูลมีต่อพวกเรา อย่าได้ทำพังเชียว”

สามคนที่เดิมทียังอยากจะทะเลาะต่างเงียบลงแทบจะทันที

ตระกูลไป่หลี่สายตรงทั้งห้าสาย บัดนี้มีไป่หลี่จิงหลิวบุตรชายของประมุขตระกูลเป็นผู้นำ พวกเขาจึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานเกินไป

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีที่ข้างกายไป่หลี่จิงหงเป็นใคร” ไป่หลี่จิงหลิวถามขึ้น

“แค่สตรีนางหนึ่งเท่านั้น” ไป่หลี่จิงเหอทำน้ำเสียงเหยียดหยัน

“แค่สตรีนางหนึ่ง แต่กลับเดินอยู่กับประมุขหอน้อยถึงสามคน ไม่เพียงแค่ไป่หลี่จิงหง แม้แต่หลิงเซ่าจวินก็ยังให้การปกป้องเป็นพิเศษ ลำพังดูจากจุดนี้ พวกเราก็ไม่อาจมองข้ามนางได้แล้วกระมัง”

แม้ไป่หลี่จิงหลิวจะคิดถึงแต่ตนเอง ทว่าเขายังคงสังเกตสังกาได้ละเอียดยิ่ง

“นาง…” ไป่หลี่จิงไห่คิดเล็กน้อย “หรือว่าจะเป็นนาง!”

ไป่หลี่จิงเทาเองก็นึกได้แล้วเช่นกัน

“นางคือสตรีที่ไป่หลี่จิงหงชอบ”

ตอนนั้นหลังจากไป่หลี่เยียนกลับมาก็เคยบริภาษถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

“ชื่อว่า ‘โม่อีเหริน’ ” ไป่หลี่จิงไห่รู้ลึกยิ่งกว่า

จะอย่างไรสตรีที่พวกเขาเสียองครักษ์ไปหลายคน แต่ผลกลับยังไม่สามารถบรรลุภารกิจ ซ้ำคราวก่อนยังทำให้ไป่หลี่เยียนได้รับความอับอายอย่างหนักก็มีเพียงคนเดียว

ขณะไป่หลี่เยียนอยู่ในสายตระกูลที่สาม พอคิดถึงความอับอายขึ้นมาทีไรก็เป็นต้องด่ากราดด้วยความแค้นเคืองทีนั้น ทำให้คนไม่อยากจดจำก็ยังยากจริงๆ

“เป็นนางนี่เอง” ไป่หลี่จิงหลิวจำไว้แล้ว

“ตอนนี้จะเอาอย่างไรต่อ” ไป่หลี่จิงไห่เอ่ยถาม

แดนสมบัติยังไม่มีความเคลื่อนไหวเสียที เดิมทีพวกเขาคิดจะหยั่งท่าทีของภาคีผู้ฝึกตนเสียหน่อย แต่ตอนนี้กลับถามไม่ได้คำตอบเลยสักอย่าง

“พวกเขาน่าจะไม่รู้สาเหตุที่แดนสมบัติยังไม่เปิดออกเช่นกัน อย่างนั้นพวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ” ไป่หลี่จิงหลิวกล่าว

“อืม” คนทั้งสามต่างพยักหน้าเห็นด้วย

ครั้นคนจากไปกันหมดแล้ว เสี่ยวทุนที่ซ่อนตัวมาตลอดถึงได้โผล่ส่วนหนึ่งออกมาจากในพุ่มไม้ จากนั้นก็ซ่อนตัวอีกครั้ง แล้วถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่ให้ท่านแม่ฟัง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 เม.. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: