X
    Categories: The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปนWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน The Spanish Love Deception แผนลวงสู่ห้วงรักแบบฉบับสเปน บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 1

“ผมจะเป็นคู่เดตไปงานแต่งให้คุณเอง”

ถ้อยคำที่ฉันไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวว่าจะได้ยินออกมาจากน้ำเสียงนุ่มลึกนั้นดังมาเข้าหูฉัน ไม่แม้แต่จะอยู่ในความฝันที่บ้าบอที่สุด และเชื่อเถอะ ฉันมีจินตนาการแจ่มแจ้งมาก

ฉันหรี่ตาลงมองกาแฟของตัวเอง พยายามมองหาวี่แววของสารมีพิษใดก็ตามที่อาจลอยอยู่ อย่างน้อยนั่นก็อาจจะช่วยอธิบายได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ แต่ก็ไม่มี

ไม่มีอะไรเลย มีแค่อเมริกาโนที่เหลืออยู่ก้นแก้วของฉัน

“ผมไปให้ก็ได้ถ้าคุณต้องการใครสักคนขนาดนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ฉันเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้างกว่าเดิม ฉันอ้าปาก แต่แล้วก็หุบปากฉับอีก

“โรซี…” ฉันหยุดพูดไป ก่อนกระซิบเสียงแผ่วค่อย “เขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ เหรอ เธอเห็นเขาหรือเปล่า หรือมีคนใส่ยาลงไปในกาแฟฉันโดยที่ฉันไม่ทันสังเกต”

โรซีเป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานของฉันในอินเทค บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมในนิวยอร์ก ที่ที่เราได้มาเจอกันและทำงานด้วยกัน เธอพยักหน้าช้าๆ ฉันมองดูลอนผมหยิกสีเข้มของเธอกระเด้งไปตามการเคลื่อนไหวนั้น สีหน้าไม่อยากเชื่อทำให้เครื่องหน้าอันอ่อนโยนของโรซีบิดเบี้ยว เธอลดเสียงลง

“ไม่อะ เขาอยู่ตรงนั้นเลย” เธอชะโงกศีรษะผ่านเลยฉันไปอย่างรวดเร็วแล้วทักอย่างสดใส “หวัดดี อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” ก่อนจะหันเหความสนใจกลับมาที่หน้าของฉันอีกครั้ง “ข้างหลังเธอเลย”

ริมฝีปากฉันเผยอค้างพลางจ้องมองเพื่อนอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เรายืนกันอยู่ที่สุดโถงทางเดินชั้นสิบเอ็ดของสำนักงานใหญ่บริษัทอินเทค ห้องทำงานของเราค่อนข้างใกล้กัน ดังนั้นทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาในตึกที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงแมนฮัตตันใกล้เซ็นทรัลปาร์กแห่งนี้ก็ตรงดิ่งมายังห้องทำงานของเธอทันที

แผนของฉันคือการคว้าตัวโรซีแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้แบบมีที่วางแขนบุนวมซึ่งเป็นที่นั่งรอของลูกค้าที่ปกติในเวลาเช้าขนาดนี้จะไม่มีใครมานั่ง แต่เรายังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น ฉันก็ทิ้งระเบิดก่อนแล้ว สถานการณ์ของฉันมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนต้องการความสนใจจากโรซีด่วนจี๋มากขนาดนั้นเลยล่ะ แต่แล้ว…แต่แล้วเขาก็โผล่มาจากไหนไม่รู้

“ผมต้องพูดเป็นครั้งที่สามไหม” คำถามของเขาส่งคลื่นความรู้สึกไม่อยากเชื่อไปทั่วร่างฉันอีกระลอก ทำเอาเลือดในเส้นเลือดของฉันจับตัวเป็นน้ำแข็ง

เขาจะไม่พูด ไม่ใช่เพราะพูดไม่ได้ แต่เพราะสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่นั้นไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ไม่ใช่ในโลกของเรา โลกที่เรา…

“เอาล่ะ ก็ได้” เขาถอนหายใจ “คุณพาผมไปได้” เขาหยุดแล้วส่งคลื่นอารมณ์เย็นยะเยือกนั้นไปทั่วร่างฉันอีก “ไปงานแต่งพี่สาวของคุณ”

กระดูกสันหลังของฉันตั้งตรง ไหล่เกร็งขึ้น

ฉันถึงขั้นรู้สึกได้ด้วยซ้ำว่าเสื้อซาตินที่ฉันเหน็บชายไว้ในกางเกงสแล็กส์สีน้ำตาลอ่อนยืดขึ้นเพราะท่าทีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้น

ฉันพาเขาไปด้วยได้

ไปงานแต่งพี่สาวของฉัน ในฐานะคู่เดตของฉันงั้นเรอะ

ฉันกะพริบตา ถ้อยคำของเขาสะท้อนก้องอยู่ในหัว

แต่แล้วอะไรบางอย่างก็หลุดผลัวะข้างในตัวฉัน ความบ้าบอไร้เหตุผลของอะไรก็ตามที่สิ่งนี้เป็น มุกตลกร้ายงี่เง่าอะไรก็ตามที่ผู้ชายคนนี้ซึ่งฉันรู้ดีว่าไว้ใจไม่ได้กำลังพยายามเล่นอยู่ ทำให้เสียงหัวเราะพรืดดันผ่านลำคอฉันขึ้นมา ก่อนจะไปถึงริมฝีปาก แล้วพุ่งพรวดออกจากร่างฉันด้วยเสียงอันดังและรวดเร็ว ราวกับมันรีบร้อนที่จะออกมาให้ได้

เสียงฮึดฮัดดังมาจากทางด้านหลังฉัน “มีอะไรตลกนักเหรอ” เสียงเขาเย็นชาขึ้น “ผมพูดจริงนะ”

ฉันกัดปากห้ามเสียงหัวเราะอีกระลอก ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่แม้แต่วินาทีเดียว

“โอกาสที่เขา…” ฉันบอกโรซี “…จะพูดจริงน่ะ เท่ากับโอกาสที่คริส อีวานส์จะโผล่มาจากไหนไม่รู้แล้วสารภาพรักนิรันดร์กับฉันเลย” ฉันทำทีเป็นมองซ้ายมองขวา “โอกาสนั้นมันไม่มีอยู่จริงยังไงล่ะ เออ โรซี เธอกำลังพูดถึงอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ…คุณเฟรนเกิลใช่ไหม”

ไม่มีคุณเฟรนเกิลอะไรนั่นหรอก

“ลิน่า” โรซีพูดพร้อมยิ้มยิงฟันดูจอมปลอมแบบที่ฉันรู้ว่าเธอจะทำก็ต่อเมื่อไม่อยากหยาบคาย “เขาดูจริงจังนะ” เธอพูดลอดรอยยิ้มน่าขนลุกนั่นพลางใช้สายตาสำรวจผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัน “ใช่เลย ฉันว่าเขาน่าจะจริงจังนะ”

“ไม่อะ ไม่มีทาง” ฉันส่ายหน้า ยังคงไม่ยอมหันไปรับรู้ว่าเพื่อนของฉันอาจพูดถูกก็เป็นได้

ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางที่แอรอน แบล็กฟอร์ด เพื่อนร่วมงานและศัตรูคู่อาฆาตไม้เบื่อไม้เมาของฉันจะพยายามมาเสนออะไรทำนองนั้น ไม่-มี-ทาง

เสียงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดดังมาจากข้างหลังฉัน “นี่มันชักจะซ้ำซากแล้วนะ คาตาลิน่า”

เขาเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นเสียงพ่นลมหายใจก็ดังออกมาจากริมฝีปากของเขา หนนี้นานกว่าเดิมมาก แต่ฉันก็ยังไม่หันไป ยังคงปักหลักมั่นคง

“การทำเป็นเมินผมไม่ได้ทำให้ผมหายไปหรอกนะ คุณก็รู้”

ฉันรู้ “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่พยายามต่อไปนี่” ฉันพึมพำเบาๆ

โรซีส่งสายตาดุใส่ฉันก่อนจะชะโงกหน้าผ่านฉันไปอีกครั้ง เธอยังคงฉีกยิ้มยิงฟันอยู่ “ขอโทษนะ แอรอน เราไม่ได้เมินคุณหรอกค่ะ” รอยยิ้มของเธอแลดูเกร็ง “เรากำลัง…ถกเรื่องบางอย่างกันอยู่น่ะ”

“แต่เรากำลังเมินเขาอยู่นะ เธอไม่จำเป็นต้องรักษาความรู้สึกเขาหรอก เพราะเขาไม่เคยมี”

“ขอบคุณ โรซี”

แอรอนบอกเพื่อนของฉัน แววเย็นชาตามปกติหายไปจากน้ำเสียงเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาจะทำตัวดีกับใครหรอกนะ การทำตัวเป็นมิตรไม่ใช่นิสัยของแอรอน ฉันไม่คิดว่าเขาจะสามารถทำตัวให้ดูเป็นมิตรได้ด้วยซ้ำ แต่เขามักจะ…ดูโหดน้อยลงหน่อยเวลาคุยกับโรซี อันเป็นอัธยาศัยที่เขาไม่เคยทำกับฉันเลย

“คุณคิดว่าจะบอกให้คาตาลิน่าหันมาได้ไหม ผมจะขอบคุณมากถ้าได้พูดต่อหน้าเธอ ไม่ใช่หลังหัวแบบนี้” น้ำเสียงของเขาลดระดับกลับลงไปที่ติดลบศูนย์องศาอีกครั้ง “แน่นอนว่าถ้านี่ไม่ใช่มุกตลกอีกมุกของเธอที่ผมดูจะไม่มีวันเข้าใจได้เลย แถมยังไม่คิดว่ามันตลกอะไรด้วย”

ความร้อนแผ่ไปทั่วร่างของฉัน อีกทั้งยังลามขึ้นมาถึงใบหน้า

“แน่นอนค่ะ” โรซีตอบรับ “ฉันคิดว่า…ฉันคิดว่าทำได้นะ” สายตาของเธอตวัดจากข้างหลังกลับมาที่หน้าฉัน ก่อนเลิกคิ้วขึ้น “ลิน่า แบบว่า เอ่อ แอรอนอยากให้เธอหันไปแน่ะ ถ้านี่ไม่ใช่มุกตลกอีกมุกที่…”

“ขอบใจ โรซี ฉันได้ยินแล้ว” ฉันกัดฟันตอบ รู้สึกได้ว่าแก้มร้อนผ่าวและยังคงไม่ยอมหันไปหาเขา เพราะนั่นจะหมายความว่าฉันยอมให้เขาชนะเกมอะไรก็ตามที่เขากำลังเล่นอยู่นี้ อีกอย่างเขาเพิ่งบอกว่าฉันไม่ตลกเลย เขาเนี่ยนะ

“ช่วยบอกแอรอนทีว่าฉันไม่คิดว่าคนเราจะหัวเราะกับมุกตลกได้หรอก ถ้าคนคนนั้นเป็นพวกไร้อารมณ์ขัน อย่าว่าแต่เข้าใจมุกเลย ถ้าเธอช่วยบอกเขาได้ก็จะดีมาก ขอบใจจ้ะ”

โรซีเกาศีรษะพลางมองฉันอย่างวิงวอน ดูราวกับเธอกำลังขอร้องฉันด้วยสายตาว่าอย่าให้เธอต้องทำแบบนี้เลย

ฉันถลึงตาใส่เธอ ไม่สนใจคำอ้อนวอนนั้นและขอร้องให้เธอเล่นไปตามน้ำ

โรซีถอนหายใจ แล้วชะโงกอ้อมฉันไปอีกครั้ง “แอรอน” เธอพูด รอยยิ้มเสแสร้งยิ่งฉีกกว้างขึ้นอีก “ลิน่าคิดว่า…”

“ผมได้ยินแล้ว โรซี ขอบคุณ”

ฉันคุ้นชินกับเขา คุ้นชินกับสิ่งนี้ คุ้นชินเสียจนฉันสังเกตได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยของเขา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาได้สับสวิตช์เปลี่ยนมาเป็นเสียงที่เขาใช้กับฉันเท่านั้น เสียงที่กระด้างเย็นชาพอกัน หากแต่ตอนนี้มันมีทั้งความรังเกียจและเหินห่างเพิ่มมาอีกชั้นด้วย เสียงที่อีกไม่ช้าจะตามมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ฉันไม่ต้องหันไปมองเขาก็รู้ พอเป็นเรื่องของฉันและเรื่อง…ระหว่างเรา เขาจะมีสีหน้าแบบนั้นเสมอเพราะอะไรสักอย่าง

“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคำพูดของผมสื่อไปถึงคาตาลิน่าที่อยู่ข้างล่างนั่นชัดเจนดี แต่ถ้าคุณจะช่วยบอกเธอให้ทีว่าผมมีงานต้องทำและไม่สามารถเล่นต่อด้วยได้ ผมก็จะขอบคุณมากครับ”

ข้างล่างนั่นเรอะ ไอ้ยักษ์ใหญ่งี่เง่า

ฉันขนาดตัวตามมาตรฐานย่ะ แน่ล่ะว่ามาตรฐานสำหรับคนสเปน แต่ยังไงก็ตามมาตรฐานอยู่ดี ฉันสูงห้าฟุตสาม…เกือบสี่นิ้ว ขอบใจมาก

นัยน์ตาสีเขียวของโรซีกลับมาจับจ้องฉัน “คือแอรอนมีงานต้องทำ แล้วเขาก็จะขอบคุณมาก…”

“ถ้า…” ฉันหยุดตัวเองเมื่อได้ยินเสียงแหลมสั่นๆ นั้น ฉันกระแอมและลองอีกที “ถ้าเขายุ่งนักล่ะก็ ช่วยกรุณาบอกเขาทีว่าเชิญทิ้งฉันไว้ตามสบายเลย เขาจะกลับไปที่ห้องทำงานของเขา และทำกิจกรรมตามประสาคนบ้างานอะไรก็ตามที่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหยุดทำเพื่อมาสอดเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยได้ตามสบาย”

ฉันมองปากของเพื่อนเผยอออก แต่ชายหนุ่มด้านหลังฉันพูดขึ้นก่อนที่เสียงจะทันได้เล็ดลอดออกจากริมฝีปากเธอ

“งั้นคุณก็ได้ยินที่ผมพูดสินะ ข้อเสนอของผมน่ะ ก็ดี”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ฉันแอบกระซิบสบถ

“แล้วคำตอบล่ะว่าไง”

ใบหน้าของโรซีปรากฏอาการช็อกอีกรอบ สายตาของฉันยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอ และฉันก็นึกภาพออกเลยว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มของฉันกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความหงุดหงิดที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น

คำตอบของฉันงั้นเรอะ นี่เขากำลังพยายามทำบ้าอะไรอยู่ไม่ทราบ นี่เป็นวิธีปั่นหัวฉัน ปั่นสติฉัน ที่เขาคิดค้นขึ้นมาใหม่หรืออย่างไร

“ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” ฉันโกหก “เธอบอกเขาแบบนั้นด้วยล่ะ”

โรซีทัดลอนผมหยิกไว้หลังใบหู สายตาของเธอตวัดไปทางแอรอนแวบหนึ่งก่อนจะเบนกลับมาหาฉัน

“ฉันคิดว่าเขากำลังพูดถึงตอนที่เขาเสนอตัวเป็นคู่เดตไปงานแต่งงานของพี่สาวเธอน่ะ” เธออธิบายเสียงเบา “แบบว่าหลังจากที่เธอบอกฉันว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วและตอนนี้เธอจำเป็นต้องหาใครสักคน…หรือใครก็ได้ ฉันคิดว่าเธอพูดงั้นนะ คนที่จะไปสเปนกับเธอและไปร่วมงานแต่งนั่น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงจะต้องตายอย่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดและ…”

“ฉันว่าฉันเข้าใจแล้วล่ะ” ฉันละล่ำละลัก พลันรู้สึกได้ว่าหน้าร้อนผ่าวอีกครั้งเมื่อตระหนักได้ว่าแอรอนได้ยินทั้งหมดนั้น “ขอบใจ โรซี เธอหยุดทวนได้แล้ว” ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ตายอย่างช้าๆ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดนั่นในตอนนี้เลย

“ผมคิดว่าคุณใช้คำว่าอับจนหนทางนะ” แอรอนเสริม

หูของฉันก็ร้อนผ่าวด้วยเช่นกันเมื่อได้ยินคำนั้น อาจถึงขั้นแผ่รังสีแดงก่ำวาบขึ้นมาห้าเฉดเลย

“ฉันเปล่า” ฉันกระซิบออกมา “ฉันไม่ได้ใช้คำนั้นเสียหน่อย”

“เธอ…เหมือนจะใช้คำนั้นนะ ที่รัก” เพื่อนรักของฉัน…ไม่สิ ตอนนี้เป็นอดีตเพื่อนรักแล้วยืนยัน

ฉันหรี่ตาพลางขยับปากพูดแบบไร้เสียงว่า ‘บ้าอะไรเนี่ย คนทรยศ’

แต่ทั้งสองคนพูดถูก

“ก็ได้ ฉันพูดแล้วไง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอับจนหนทางขนาดนั้นเสียหน่อย”

“คนสิ้นไร้ไม้ตอกที่แท้จริงเท่านั้นแหละถึงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้ามันจะช่วยให้คุณนอนหลับสนิทได้ คาตาลิน่า”

ฉันพึมพำสาปแช่งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ในเช้าวันนี้พลางหลับตาลงครู่สั้นๆ

“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย แบล็กฟอร์ด แต่ฉันไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก โอเคไหม แล้วฉันก็นอนหลับสนิทดีย่ะ ไม่สิ จริงๆ แล้วไม่เคยหลับสบายขนาดนี้มาก่อนเลย”

ก็แค่เพิ่มเรื่องโกหกเข้าไปในคลังเรื่องโกหกคำโตที่ฉันพกไปไหนมาไหนด้วยอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป ว่าไหม ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฉันเพิ่งปฏิเสธไป แท้จริงแล้วฉันอับจนและไร้ซึ่งหนทางที่จะหาใครสักคนมาเป็นคู่เดตไปงานแต่งนั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะ…

“แหงล่ะ”

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ จากถ้อยคำบ้าๆ ทั้งหมดที่แอรอน แบล็กฟอร์ดพูดใส่หลังศีรษะฉันในเช้าวันนี้ คำนั้นกลับเป็นคำที่ทำให้ฉันเลิกแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรเลย

คำว่า ‘แหงล่ะ’ ฟังดูทั้งหยามขี้หน้า เบื่อหน่าย เหมือนกับว่าพูดไปอย่างนั้น และมันช่างสมกับเป็นแอรอนเสียจริง

แหงล่ะ

เลือดของฉันเดือดปุด

ปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำสองพยางค์นั้นพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยอัตโนมัติ ซึ่งถ้าหากออกจากปากคนอื่นคงจะไร้ความหมาย ฉันไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหมุนตัวจนกระทั่งสายเกินไป

ด้วยความที่เขาตัวสูงผิดธรรมชาติ ฉันจึงเผชิญกับแผงอกกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวรีดเรียบที่ฉันคันไม้คันมืออยากกำเนื้อผ้านั้นแล้วบิดให้มันยับไปเลย เพราะคนบ้าที่ไหนจะใช้ชีวิตในสภาพที่เรียบร้อยไร้ที่ติตลอดเวลากัน ก็แอรอน แบล็กฟอร์ดไง หมอนี่แหละ

สายตาของฉันเลื่อนขึ้นไปตามไหล่แข็งแรงและลำคอบึกบึน ไล่ไปจนถึงกรามเป็นสัน ริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรงอย่างที่ฉันรู้ว่ามันจะเป็น จากนั้นสายตาของฉันก็ไล่เรื่อยขึ้นไปจนถึงนัยน์ตาสีฟ้าของเขา สีฟ้าที่ชวนให้ฉันนึกถึงก้นมหาสมุทรลึกที่ซึ่งทุกสิ่งช่างเยียบเย็นและอันตราย…ก่อนจะพบว่าดวงตาคู่นั้นจับจ้องฉันอยู่

คิ้วข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้น

“ ‘แหงล่ะ’ งั้นเรอะ” ฉันขู่ฟ่อ

“ใช่” ศีรษะที่มีผมสีดำขลับอยู่ด้านบนนั้นผงกหนหนึ่ง สายตาของเขาไม่ละไปจากดวงตาฉัน “ผมไม่อยากเสียเวลาเถียงในสิ่งที่คุณดื้อเกินกว่าจะยอมรับ เพราะงั้นก็ใช่ แหงล่ะ”

ฉันจะไม่ยอมให้ผู้ชายตาสีฟ้าน่าโมโหที่อาจใช้เวลารีดเสื้อผ้าตัวเองมากกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นมาทำให้ฉันสติขาดผึงตั้งแต่เช้าขนาดนี้หรอกนะ

ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมร่างกายตัวเองไว้ ทัดปอยผมสีน้ำตาลเข้มไว้หลังหู “ถ้านี่มันเสียเวลานัก ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณยังจะมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ กรุณาอย่าอยู่เพื่อฉันหรือโรซีเลยค่ะ”

เสียงท้วงไม่เห็นด้วยดังมาจากปาก ‘นางสาวจอมทรยศ’

“ผมก็ไม่ได้อยากอยู่หรอก” แอรอนยอมรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลย”

“นั่นไม่ใช่คำถามเสียหน่อย” ฉันพูด ประโยคนั้นให้รสเปรี้ยวอยู่บนลิ้น “อะไรก็ตามที่คุณพูดออกมามันไม่ใช่คำถาม แต่นั่นไม่สำคัญหรอกเพราะฉันไม่ต้องการคุณ ขอบคุณมาก”

“แหงล่ะ” เขาเอ่ยซ้ำ เพิ่มอารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่านของฉันขึ้นมาอีกขั้น “แม้ผมจะคิดว่าคุณต้องการก็เถอะ”

“คุณคิดผิด”

คิ้วข้างนั้นเลิกสูงขึ้น “แต่มันฟังดูเหมือนคุณต้องการผมจริงๆ”

“งั้นคุณคงมีปัญหาด้านการฟังอย่างร้ายแรงแล้วล่ะ เพราะคุณฟังผิดอีกแล้ว ฉันไม่ต้องการคุณ แอรอน แบล็กฟอร์ด” ฉันกลืนน้ำลาย พยายามทำให้คอหายแห้งขึ้นบ้าง “ฉันเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้ก็ได้นะถ้าคุณต้องการ เดี๋ยวส่งอีเมลให้ด้วยเลยถ้ามันจะช่วยได้”

เขาทำท่าราวกับคิดอยู่เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ฉันรู้ดีเกินกว่าจะเชื่อว่าเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ขนาดนั้น ซึ่งเขาก็พิสูจน์ว่าฉันคิดถูกทันทีที่เขาเปิดปากพูดอีกครั้ง

“คุณไม่ได้พูดเองเหรอว่างานแต่งจะจัดในอีกหนึ่งเดือนและคุณก็ยังไม่มีคู่เดต”

ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง “ก็อาจจะ ฉันจำคำพูดแบบเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก” ฉันพูดแบบนั้น คำต่อคำเลยล่ะ

“โรซีไม่ได้แนะนำหรอกหรือว่าถ้าคุณไปนั่งข้างหลังและพยายามไม่ดึงดูดความสนใจ ก็อาจไม่มีใครสังเกตว่าคุณไปร่วมงานแต่งคนเดียว”

ศีรษะของเพื่อนรักโผล่เข้ามาในระยะสายตาของฉัน

“ฉันพูดแล้ว ฉันแนะด้วยว่าให้เธอใส่ชุดสีหม่นๆ ไม่ใช่ชุดกระโปรงสีแดงสุดสวยตัวนั้นที่…”

“โรซี” ฉันขัด “ไม่ได้ช่วยเลยย่ะ”

ดวงตาของแอรอนไม่สั่นไหวเมื่อเขาทวนความทรงจำต่อ “คุณไม่ได้เตือนความจำโรซีต่อจากนั้นด้วยหรือว่าคุณเป็นเพื่อนเจ้าสาวเลยนะแม่ง ตามที่คุณพูดนะ และด้วยเหตุนี้ทุกคนและแม่ของพวกเขา ซึ่งเป็นคำพูดของคุณอีกเช่นกัน ก็จะสังเกตเห็นคุณอยู่ดี”

“เธอว่างั้น”

ฉันได้ยินนางสาวจอมทรยศยืนยัน ฉันหันขวับไปทางเธอ

“อะไรล่ะ” เธอยักไหล่ สั่งประหารตัวเองไปเรียบร้อย “เธอพูดจริงๆ นี่ ที่รัก”

ฉันต้องการเพื่อนใหม่ แบบด่วนๆ

“เธอพูด” แอรอนยืนกรานหนักแน่น ดึงสายตาและความสนใจของฉันกลับไปหาเขาอีกครั้ง

“แล้วคุณก็ไม่ได้พูดอีกหรือว่าแฟนเก่าของคุณเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและคุณคิดว่าการยืนอยู่ใกล้ๆ เขาอย่าง ‘โดดเดี่ยว เห่ย และโสดอย่างน่าสมเพช’ ซึ่งเป็นคำพูดของคุณอีกเช่นกัน ทำให้คุณอยากทึ้งหนังตัวเองเลย”

ฉันพูด…ฉันพูดอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ แต่ฉันไม่คิดว่าแอรอนฟังอยู่นี่ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีวันยอมรับออกมาดังๆ หรอก

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาตลอด ทีนี้เขาก็รู้แล้ว เขาได้ยินฉันยอมรับออกมาอย่างเปิดเผยและเพิ่งปามันกลับมาใส่หน้าฉัน และไม่ว่าฉันจะบอกตัวเองว่าฉันไม่สนใจ หรือว่าฉันไม่ควรจะใส่ใจเพียงใด ความเจ็บปวดก็วาบขึ้นมาอยู่ดี มันทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว เห่ย และน่าสมเพชยิ่งขึ้นไปอีก

ฉันกลืนก้อนจุกในลำคอพลางเบนสายตาไปมองตรงจุดใกล้ๆ ลูกกระเดือกของเขา ฉันไม่อยากเห็นอะไรก็ตามที่อยู่บนหน้าเขา ไม่ว่าเขาจะล้อเลียน หรือสงสาร ฉันก็ไม่สน ฉันไม่อยากรับรู้ว่ามีคนคิดว่าฉันเป็นแบบนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกคน

ตอนนั้นเองที่เขากลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ฉันรู้เพราะนั่นคือส่วนเดียวของเขาที่ฉันยอมให้ตัวเองมอง

“คุณหมดหนทางจริงๆ”

ฉันพ่นลมหายใจออกมา อากาศพลันพุ่งพรวดออกจากริมฝีปาก ฉันทำเพียงแค่พยักหน้าให้เขาหนหนึ่ง และฉันก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงทำแบบนั้น นี่มันไม่ใช่ฉันเลย ปกติฉันมักจะสู้กลับจนฉันเป็นฝ่ายทำให้เขากระอักเลือดได้ก่อน เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำ เราไม่สนใจความรู้สึกของกันและกัน นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย

“งั้นก็พาผมไปสิ ผมจะเป็นคู่เดตในงานแต่งให้คุณ คาตาลิน่า”

ฉันช้อนสายตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ความระแวดระวังรวมถึงความอับอายผสมปนเปกันอย่างแปลกประหลาดและไหลบ่าไปทั่วร่างฉัน แค่เขาได้เห็นทั้งหมดนี้ก็แย่พออยู่แล้ว แต่เขายังพยายามใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยงั้นหรือ เพื่อให้ได้เปรียบฉันงั้นหรือ

เว้นแต่ว่าเขาจะไม่ได้ทำแบบนั้น เว้นแต่ว่าบางทีอาจมีคำอธิบาย หรืออาจมีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ ทำไมถึงเสนอตัวมาเป็นคู่เดตให้ฉัน

ฉันพินิจใบหน้าเขาพลางใคร่ครวญถึงตัวเลือกและแรงจูงใจที่เป็นไปได้ทั้งหมด แต่ก็ยังไม่อาจได้ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลใดๆ ไม่อาจหาคำตอบที่พอจะเป็นไปได้ที่จะช่วยให้ฉันเข้าใจว่าเขากำลังพยายามทำอะไรอยู่ หรือทำไปเพราะอะไร

มีเพียงความจริงเท่านั้น ความเป็นจริงที่ว่าเราไม่ใช่เพื่อนกัน แอรอน แบล็กฟอร์ดกับฉันน่ะ เราแทบทนกันและกันไม่ได้ เราเหม็นขี้หน้ากันและกัน เราชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของแต่ละฝ่าย วิพากษ์วิจารณ์ว่าเราทำงาน คิด และใช้ชีวิตต่างกันแค่ไหน เราประณามข้อแตกต่างของเรา และ ณ จุดใดจุดหนึ่งในอดีตฉันคงจะปาลูกดอกใส่โปสเตอร์ที่เป็นรูปหน้าเขาไปแล้ว และฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเขาก็คงจะทำแบบเดียวกัน เพราะไม่ได้มีแค่ฉันที่อยู่บนถนนแห่งความชิงชังสายนี้ มันเป็นถนนเลนสวน ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขาเป็นคนที่ทำให้เราไม่ถูกกันตั้งแต่ต้น ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มความเป็นศัตรูคู่อาฆาตระหว่างเรา เพราะอย่างนั้นทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงต้องแสร้งทำเป็นเสนอความช่วยเหลือให้ฉัน และทำไมฉันถึงยอมพิจารณาข้อเสนอนั้นด้วยล่ะเนี่ย

“ฉันอาจต้องการหาคู่เดตสุดๆ แต่ฉันก็ไม่ได้อับจนหนทางขนาดนั้น” ฉันย้ำ “ก็อย่างที่บอก”

เสียงถอนหายใจของเขาฟังดูอ่อนล้า หงุดหงิด และน่าโมโห

“ผมจะให้คุณเก็บไปคิดแล้วกัน คุณก็รู้ว่าคุณไม่มีทางเลือกอื่น”

“ไม่มีอะไรต้องคิดเลย” ฉันตวัดมือฉับไปในอากาศระหว่างเรา ก่อนจะฉีกยิ้มเป็นรอยยิ้มกว้างเห็นฟันดูเสแสร้งแบบโรซี แต่เป็นในแบบฉบับของฉันเอง “ฉันยอมพาลิงชิมแปนซีใส่ชุดทักซิโดไปแทนที่จะพาคุณไปด้วยซ้ำ”

คิ้วของเขาเลิกขึ้นทั้งสองข้าง แววขบขันน้อยนิดฉายอยู่ในดวงตา “แหม ไม่เอาน่า เราทั้งคู่รู้ดีว่าคุณจะไม่ทำแบบนั้น ถึงจะมีลิงชิมแปนซีลุกขึ้นมาคว้าโอกาสนั้น แต่แฟนเก่าของคุณจะยืนอยู่ตรงนั้นนะ ครอบครัวของคุณจะอยู่ตรงนั้น คุณบอกเองว่าคุณต้องทำให้พวกเขาประทับใจ และผมจะทำให้คุณได้สิ่งนั้น” เขาเอียงคอ “ผมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณ”

ฉันพ่นลมพลางปรบมือหนหนึ่ง ไอ้ตูดหมึกตาสีฟ้าจอมโอหังนี่ “คุณไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอะไรของฉันเลย แบล็กฟอร์ด แล้วฉันก็มีตัวเลือกอื่นๆ อีกเยอะแยะ” ฉันโต้กลับ ยักไหล่ข้างหนึ่ง “ฉันจะหาใครสักคนในทินเดอร์ หรืออาจจะลงโฆษณาในนิวยอร์กไทมส์ ฉันหาคนได้แน่”

“ในเวลาอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์น่ะหรือ ไม่น่าหาได้นะ”

“โรซีมีเพื่อนตั้งเยอะ ฉันจะพาไปสักคน”

นั่นคือแผนของฉันมาโดยตลอด และเป็นเหตุผลที่ฉันลากโรซีมาตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ฉันตระหนักว่านั่นเป็นความผิดพลาดอ่อนหัดของฉันเอง ฉันน่าจะรอให้เลิกงานแล้วพาโรซีไปคุยในที่ที่ปลอดภัยปราศจากแอรอน แต่หลังจากคุยโทรศัพท์กับแม่เมื่อวานนี้…ใช่แล้ว อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป สถานการณ์ของฉันเปลี่ยนไป แน่ล่ะ ฉันต้องการใครสักคน และฉันคงไม่อาจย้ำมากไปกว่านี้ได้อีกแล้วว่าจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าใครก็ได้ที่ไม่ใช่แอรอน โรซีเกิดและเติบโตมาในเมือง เธอต้องรู้จักใครสักคนสิน่า

“จริงไหม โรซี ต้องมีเพื่อนเธอสักคนที่ว่างสิ”

ศีรษะของโรซีโผล่มาอีกครั้ง “มาร์ตี้อาจจะว่าง เขาชอบไปงานแต่ง”

ฉันเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “มาร์ตี้นี่ไม่ใช่คนที่ไปเมาในงานแต่งลูกพี่ลูกน้องของเธอแล้วขโมยไมค์จากวงดนตรีมาร้องเพลง ‘My Heart Will Go On’ จนพี่ชายเธอต้องลากเขาลงจากเวทีหรือไง”

“คนนั้นแหละ” เธอเบ้หน้า

“งั้นก็ไม่ล่ะ” ฉันจะทำแบบนั้นในงานแต่งพี่สาวไม่ได้ เธอคงกระชากหัวใจเขาออกจากอกแล้วเอามาเสิร์ฟเป็นของหวาน “ไรอันล่ะ”

“หมั้นแล้วและมีความสุขดี”

เสียงถอนหายใจหลุดจากริมฝีปากฉัน “ก็ไม่น่าแปลกใจ ไรอันดีจะตาย”

“ฉันรู้ เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้พยายามให้เธอสองคนคบกันตั้งหลายครั้ง แต่เธอ…”

ฉันกระแอมเสียงดังแทรกเธอขึ้นมา “เราไม่ได้กำลังถกถึงเหตุผลที่ฉันยังโสดอยู่นะ” ฉันชำเลืองกลับไปทางแอรอนเร็วๆ เขาหรี่ตาลงพลางจับจ้องฉัน “แล้ว…เทอร์รีล่ะ”

“ย้ายไปชิคาโกแล้ว”

“บ้าจริง” ฉันส่ายหน้า หลับตาลงครู่หนึ่ง

นี่มันไร้ประโยชน์สิ้นดี

“งั้นฉันจะจ้างนักแสดงสักคน ให้เขาแกล้งมาเป็นคู่เดตของฉัน”

“อาจจะแพงนะ” แอรอนเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “แล้วก็ใช่ว่านักแสดงจะมาคอยเดินเตร่ให้คนโสดจ้างไปอวดเป็นคู่เดตเสียหน่อย”

ฉันส่งสายตาเขียวปั้ดให้เขา “ฉันจะจ้างคู่ควงมืออาชีพ”

ริมฝีปากของเขาปิดสนิทแน่นชนิดอากาศแทบเข้าไม่ได้ในแบบที่เขามักทำเวลารำคาญใจอย่างถึงที่สุด

“คุณเลือกจะพาผู้ชายขายบริการไปงานแต่งพี่สาวตัวเองมากกว่าจะเลือกผมเรอะ”

“ฉันบอกว่าคู่ควง แบล็กฟอร์ด ให้ตายเถอะ” ฉันพึมพำ มองดูคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนกลายเป็นสีหน้าบึ้งตึง “ฉันไม่ได้จะใช้บริการแบบนั้นเสียหน่อย ฉันแค่ต้องการคนไปงานด้วย แล้วพวกเขาก็ทำแค่นั้น พวกเขาไปเป็นคู่ควงออกงานโน้นงานนี้”

“พวกเขาไม่ได้ให้บริการแบบนั้น คาตาลิน่า” เสียงของเขาทุ้มต่ำเย็นชา ปกคลุมร่างฉันด้วยคำตัดสินอันเยียบเย็นของเขา

“คุณไม่เคยดูหนังโรแมนติกคอมมิดี้เลยหรือไง” ฉันมองดูสีหน้าของเขาที่บึ้งบูดหนักขึ้น “ไม่เคยดูแม้แต่ ‘The Wedding Date’* เรอะ”

ไม่มีคำตอบใด มีเพียงสายตาอันหนาวเหน็บสุดขั้ว

“นี่คุณดูหนังบ้างหรือเปล่า หรือคุณทำแต่…งาน”

เป็นไปได้ว่าเขาอาจไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ด้วยซ้ำ

สีหน้าของเขายังคงเดิม

พระเจ้า ฉันไม่มีเวลาให้กับเรื่องนี้หรอกนะ ฉันไม่มีเวลาให้เขา

“รู้อะไรไหม ไม่สำคัญหรอก ฉันไม่สน” ฉันเหวี่ยงมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วประกบมือเข้าด้วยกัน “ขอบคุณสำหรับ…เรื่องนี้ ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม มันเป็นข้อเสนอที่เยี่ยมมาก แต่ฉันไม่ต้องการคุณ”

“ผมว่าคุณต้องการนะ”

ฉันกะพริบตาใส่เขา “ฉันว่าคุณน่ะ น่ารำคาญมาก”

“คาตาลิน่า” เขาเริ่มพูด วิธีที่เขาเอื้อนเอ่ยชื่อฉันยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิดหนักขึ้น “คุณเพ้อแล้วล่ะ ถ้าคิดว่าจะหาคนในเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้”

เป็นอีกครั้งที่แอรอน แบล็กฟอร์ดพูดถูก

ฉันอาจจะเพ้อหน่อยๆ แต่เขาไม่รู้เรื่องโกหกด้วยซ้ำ เรื่องโกหกของฉันใช่ว่าเขาจะมีวันรู้ได้ แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าฉันต้องการใครสักคน ใครก็ได้เพื่อบินไปร่วมงานแต่งของอิซาเบลที่สเปนกับฉัน แต่ต้องไม่ใช่เขา ไม่ใช่แอรอน เพราะ (ก) ฉันเป็นน้องของเจ้าสาวและเป็นเพื่อนเจ้าสาว (ข) แดเนียล แฟนเก่าของฉันเป็นพี่ของเจ้าบ่าวและเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว และเมื่อวานนี้เองฉันเพิ่งได้รู้ว่าเขาหมั้นแล้วอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ครอบครัวของฉันปกปิดเอาไว้ไม่ให้ฉันรู้มาโดยตลอด (ค) ถ้าไม่นับเดตอันน้อยนิดที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักของฉัน ในทางเทคนิคก็ถือว่าฉันครองความโสดมาแล้วประมาณหกปี ตั้งแต่ฉันย้ายจากสเปนมาอยู่สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังความสัมพันธ์หนึ่งเดียวที่ฉันเคยมีระเบิดตูมใส่หน้า และเป็นสิ่งที่แขกเหรื่อที่มาร่วมงานทุกคนรู้และพากันสงสารฉัน เพราะไม่มีความลับอะไรทั้งสิ้นในครอบครัวแบบของฉัน ยิ่งในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองที่ฉันจากมายิ่งเก็บความลับยากเข้าไปใหญ่ และ (ง) ยังมีเรื่องโกหกของฉันอีก

เรื่องโกหกนั้น

เรื่องที่ฉันดันบอกกับแม่ไป และนั่นก็เท่ากับบอกตระกูลมาร์ตินทั้งตระกูลด้วย เพราะพอเป็นเรื่องของเราแล้วไม่มีคำว่าส่วนตัวและขอบเขตใดๆ ทั้งสิ้น ให้ตาย ตอนนี้เรื่องโกหกของฉันอาจไปอยู่บนหน้าประกาศในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแล้วก็ได้

ในที่สุดคาตาลิน่า มาร์ตินก็ไม่โสดแล้ว ครอบครัวของเธอมีความยินดีที่จะประกาศว่าเธอจะพาแฟนหนุ่มชาวอเมริกันมาร่วมงานแต่งครั้งนี้ด้วย ขอเชิญทุกท่านมาร่วมงานและเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ที่สุดในรอบสิบปีนี้

เพราะนั่นคือสิ่งที่ฉันทำลงไป ทันทีที่ข่าวการหมั้นของแดเนียลหลุดจากปากแม่มาเข้าหูฉันผ่านลำโพงโทรศัพท์ ฉันก็โพล่งออกไปว่าฉันจะพาคนคนหนึ่งไปเช่นกัน ไม่สิ ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่ง ฉันบอก…โกหก หลอกลวง โป้ปด…ว่าฉันจะพาแฟนของฉันไป

ซึ่งในทางเทคนิคแล้วไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้

โอเค ได้เลย อาจจะไม่มีตัวตนอยู่เลยตลอดกาล เพราะแอรอนพูดถูก การหาคู่เดตในเวลาอันสั้นขนาดนี้อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีไปสักหน่อย การเชื่อว่าฉันจะหาใครสักคนมาแกล้งเป็นแฟนอุปโลกน์ได้อาจเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่การยอมรับว่าแอรอนเป็นตัวเลือกเดียวที่ฉันมีและตอบรับข้อเสนอของเขาน่ะหรือ นั่นมันเสียสติชัดๆ

“ผมเห็นแล้วว่าในที่สุดคุณก็เริ่มเข้าใจ”

คำพูดของแอรอนดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบัน และฉันก็พบว่าดวงตาสีฟ้าของเขากำลังเพ่งมองมาที่ฉัน

“ผมจะปล่อยให้คุณทำใจตามลำพัง พอเสร็จแล้วค่อยบอกผมแล้วกัน”

ฉันเบ้ปาก และเมื่อฉันรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ฉันก็กอดอกและเบนสายตาหนีนัยน์ตาอันโหดเหี้ยมเย็นยะเยือกคู่นั้น นี่ฉันดูน่าสังเวชแค่ไหนในสายตาแอรอน แบล็กฟอร์ดกันเนี่ย เขาถึงสงสารฉันมากพอที่จะเสนอตัวเป็นคู่เดตให้ฉัน แอรอน แบล็กฟอร์ดที่ไม่เคยนึกชอบฉันแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำเนี่ยนะ

“อ้อ แล้วก็อีกอย่างนะ คาตาลิน่า”

“อะไร” คำนั้นหลุดจากริมฝีปากฉันอย่างอ่อนแรง เฮ้อ น่าสมเพช

“พยายามอย่าเข้าประชุมตอนสิบโมงสายล่ะ มันไม่ได้ดูน่ารักแล้ว”

สายตาฉันพุ่งไปหาเขา เสียงแค้นเคืองติดอยู่ในลำคอ

นิสัย

ฉันสาบานเดี๋ยวนั้นเลยว่าสักวันจะหาบันไดที่สูงมากพอเพื่อปีนขึ้นไปแล้วปาอะไรสักอย่างที่หนักสุดๆ ใส่หน้ากวนโมโหของเขาให้ได้

หนึ่งปีกับอีกแปดเดือน ฉันต้องทนเขามานานขนาดนั้นเลยล่ะ ฉันนับไว้ รอให้ถึงตาของฉันบ้างเถอะ

แต่แล้วเขาก็ทำเพียงแค่พยักหน้าหนหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับไป ฉันมองดูเขาเดินจากไป เอาเป็นว่าเลิกกองได้จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม

“โอเค นั่นมัน…” เสียงของโรซีแผ่วหายไปไม่พูดให้จบ

“น่าโมโห เย้ยหยัน หรือพิลึกใช่ไหม” ฉันเสนอพลางยกมือขึ้นปิดหน้า

“ไม่คาดคิด” เธอแย้ง “แล้วก็น่าสนใจดีนะ”

ฉันมองโรซีผ่านร่องนิ้วและเห็นมุมปากของเธอยกขึ้น

“สิทธิ์ในความเป็นเพื่อนของเธอถูกยกเลิกแล้ว โรซาลิน เกรแฮม”

เธอหัวเราะหึๆ “เธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้น”

ฉันไม่ได้คิดจริงๆ นั่นแหละ แล้วเธอก็หนีฉันไม่พ้นหรอก

“แล้ว…” โรซีคล้องแขนฉันแล้วลากฉันไปตามโถงทางเดิน “เธอจะทำยังไงล่ะ”

ลมหายใจสั่นๆ เล็ดลอดจากปากฉันพร้อมกับดูดเอาพลังงานทั้งหมดของฉันไปด้วย “ฉัน…ฉันไม่รู้เลยสักนิดเดียว”

แต่ฉันรู้แน่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือฉันจะไม่รับข้อเสนอของแอรอน แบล็กฟอร์ดเด็ดขาด เขาไม่ใช่ตัวเลือกเพียงข้อเดียวของฉัน และเขาก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของฉันด้วยแน่นอน ให้ตาย เขาไม่ใช่อะไรของฉันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่คู่เดตไปงานแต่งพี่สาวของฉัน

* เดอะเวดดิ้งเดต (The Wedding Date) ภาพยนตร์โรแมนติกคอมมิดี้ของอเมริกา ฉายครั้งแรกในปี 2005

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: