ตอนที่ 1
อาร์เธอร์
จันทร์ที่ 9 กรกฎาคม
ผมไม่ใช่คนนิวยอร์ก และผมอยากกลับบ้าน
พอคุณได้มาอยู่ที่นี่แล้ว คุณจะได้รู้กฎมากมายหลายอย่างที่ไม่มีใครพูดถึง อย่างเช่น คุณต้องไม่หยุดเดินบนทางเท้ากะทันหัน จ้องมองตึกสูงอย่างเพ้อฝัน หรือหยุดเพื่อชื่นชมงานกราฟิตี้ ไม่มีการกางแผนที่แผ่นใหญ่เบิ้ม ไม่มีกระเป๋าคาดเอว ไม่สบตากับใคร ไม่มีการฮัมเพลงจากละครเวทีเรื่องเดียร์อีวานแฮนเซน ในที่สาธารณะ ยิ่งถ่ายเซลฟี่ตามมุมถนนนี่ไม่ได้เลย ต่อให้ตรงนั้นมีฉากหลังเป็นซุ้มขายฮอตดอกหรือแท็กซี่สีเหลืองเรียงกันเป็นทางแบบที่คุณมักจะคิดว่านิวยอร์กเป็นแบบนั้นก็เถอะ สิ่งที่คุณทำได้ก็คือชื่นชมภาพพวกนั้นเงียบๆ แต่ต้องดูเท่ด้วยนะ ถ้าเอาตามที่ผมเข้าใจ นี่แหละความนิวยอร์ก ต้องเท่ไว้ก่อน
แต่ผมไม่เท่เลย
ดูอย่างเช้านี้สิ ผมพลาดเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แค่แป๊บเดียวเอง แต่ผมละสายตาไม่ได้ พอมองจากมุมนี้แล้ว โลกเหมือนจะโน้มเอนเข้ามา ทั้งตึกสูงตระหง่านน่าเวียนหัว ทั้งพระอาทิตย์สว่างจ้าอย่างกับลูกบอลไฟ
สวยจริงๆ ผมยกนิ้วให้นิวยอร์กตรงนี้เลย เป็นเมืองที่ทั้งสวยทั้งเหมือนภาพฝัน ต่างจากจอร์เจียลิบลับ ผมเอียงมือถือถ่ายรูป ไม่ใช่รูปแบบที่จะเอาไปโพสต์ในไอจีสตอรี่ ไม่ใส่ฟิลเตอร์ ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมาย
แค่รูปเล็กๆ ที่ถ่ายแบบเร็วๆ รูปเดียว
คนเดินเท้าคนหนึ่งโมโหใส่ผมทันที เชี่ยเอ๊ย ไรวะ หลบ! นักท่องเที่ยวเฮงซวย เอาจริงๆ เลยนะ ผมถ่ายรูปแค่สองวิ แต่ตอนนี้ผมกลายเป็นตัวเกะกะไปละ ผมต้องรับผิดชอบต่อความล่าช้าของรถไฟใต้ดินทุกขบวนและการปิดถนนทุกสาย อย่างกับปรากฏการณ์ต้านทานกระแสลมอย่างนั้นแหละ
นักท่องเที่ยวเฮงซวย
ผมไม่ใช่นักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ จะบอกว่าผมอยู่ที่นี่ก็ได้มั้ง อย่างน้อยก็แค่ช่วงฤดูร้อน ตอนนี้ผมก็ไม่ได้กำลังเดินทอดน่องชมวิวสบายใจในตอนเที่ยงวันจันทร์อยู่สักหน่อย ผมกำลังทำงาน คือผมออกมาซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ แต่ก็นับว่าเป็นงานอยู่นะ
ผมอาจจะเลือกเดินอ้อมไกลหน่อย คืออยากจะอยู่ห่างๆ จากออฟฟิศของแม่เพิ่มสักสองสามนาที ปกติแล้วการเป็นเด็กฝึกงานมันไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอก แค่น่าเบื่อ แต่วันนี้คือห่วยโคตร คุณพอจะนึกออกใช่มั้ย มันเป็นวันที่กระดาษในเครื่องพิมพ์หมด ในห้องอุปกรณ์ก็ไม่มีเหลือ คุณเลยกะจะไปขโมยกระดาษจากเครื่องถ่ายเอกสาร แต่ดันเปิดถาดไม่ออก พอไปกดปุ่มอะไรผิดเข้า เครื่องก็ส่งเสียงปี๊บๆ ขึ้นมา แล้วคุณก็ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ในหัวคิดว่าใครกันนะที่คิดค้นเครื่องถ่ายเอกสารมาให้เสี่ยงต่อการโดนเตะก้น คุณเหรอ หรือเด็กชาวยิวสูงห้าฟุตหกนิ้วที่เป็นโรคสมาธิสั้นพร้อมความเกรี้ยวกราดระดับทอร์นาโด ในวันแบบนี้อ่ะนะ ใช่เลย
สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือระบายให้อีธานกับเจสซี่ฟัง เพียงแต่ผมยังคิดไม่ออกว่าจะพิมพ์ไปเดินไปได้ยังไง
ผมเดินหลบออกจากทางเท้าใกล้ๆ ทางเข้าที่ทำการไปรษณีย์และ…ว้าว ที่ทำการไปรษณีย์ของเมืองมิลตัล รัฐจอร์เจียไม่ใช่แบบนี้ ที่นี่สร้างด้วยหินสีขาว ด้านนอกประกอบด้วยเสาหลายต้น และตกแต่งด้วยทองเหลือง ดูมีระดับจนน่าปวดใจ เล่นเอาผมรู้สึกเหมือนแต่งตัวไม่สุภาพไปเลย และคือผมใส่เนกไทอยู่ด้วยนะ
ผมส่งรูปถนนอาบแสงอาทิตย์ให้อีธานกับเจสซี่ งานวันนี้อย่างเหนื่อย!
เจสซี่ตอบกลับทันที เกลียดนายอ่ะ แต่ก็อยากเป็นนายด้วย
คืออย่างนี้ เจสซี่กับอีธานเป็นเพื่อนซี้ของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และผมก็เป็นอาร์เธอร์ตัวจริงกับพวกเขามาตลอด เป็นอาร์เธอร์ที่ทั้งขี้เหงาและเลอะเทอะ แตกต่างจากอาร์เธอร์ที่แสนเริงร่าบนอินสตาแกรมเป็นคนละคน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมอยากให้พวกเขาเข้าใจว่าชีวิตในนิวยอร์กของผมน่ะเจ๋งสุดๆ ผมแค่รู้สึกว่ามันควรเป็นแบบนั้นอ่ะ ผมเลยส่งข้อความหาพวกเขาในร่างของอาร์เธอร์ที่แสนเริงร่าบนอินสตาแกรมมาเป็นอาทิตย์แล้ว ถึงผมจะไม่แน่ใจว่ามันเนียนรึเปล่าก็เถอะ
แล้วก็คิดถึงนะ เจสซี่พิมพ์มาพร้อมกับส่งอีโมจิจุ๊บๆ มาเป็นแถบ เธอเหมือนเป็นคุณยายของผมในร่างของเด็กอายุสิบหก เธอคงจะส่งรอยลิปสติกมาติดแก้มผมไปแล้วถ้าเธอทำได้ ที่แปลกเลยก็คือเราสองคนไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนสุดเลิฟตัวติดกันเป็นตังเมมาก่อนจนกระทั่งคืนงานพรอม คืนที่ผมบอกเจสซี่กับอีธานว่าผมเป็นเกย์
คิดถึงเหมือนกัน ผมยอมรับ
กลับบ้านเถอะ อาร์เธอร์
อีกสี่อาทิตย์นะ ผมเปล่านับนะเนี่ย
แล้วอีธานก็มาร่วมวงด้วยโดยการส่งอีโมจิที่โคตรจะกำกวม เป็นอีโมจิหน้าบึ้ง คือ ถามจริง หน้าบึ้งเนี่ยนะ ถ้าเจสซี่เวอร์ชั่นหลังงานพรอมแชทอย่างกับคุณยาย อีธานเวอร์ชั่นหลังงานพรอมก็แชทอย่างกับนักเล่นละครใบ้ ในแชทกลุ่มน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แชทแยกน่ะเหรอ เอาเป็นว่าข้อความที่เขามักจะกระหน่ำส่งมาหาผมเงียบเป็นเป่าสากทันทีหลังจากผมสารภาพว่าเป็นเกย์ได้ประมาณห้าวิ เอาแบบไม่โกหกเลยนะ ผมรู้สึกโคตรแย่เลย ไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่แหละ ผมจะเอาเรื่องเขา เร็วๆ นี้เลยด้วย อาจจะเป็นวันนี้เลยก็ได้ หรือไม่ก็…
ประตูที่ทำการไปรษณีย์เปิดออก ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ แต่ฝาแฝดชายหน้าเหมือนกันเป๊ะในชุดรอมเปอร์ลายคู่กันเดินออกมา พวกเขาไว้หนวดทรงตะขอ อีธานต้องชอบแน่ๆ คิดแล้วก็โมโห ผมเป็นแบบนี้กับอีธานมาตลอด เมื่อนาทีที่แล้ว ผมยังอยากจะตัดเพื่อนกับเขากับไอ้อีโมจิกำกวมอ้อนตีนนั่นอยู่เลย แต่ตอนนี้ผมกลับอยากได้ยินเขาหัวเราะซะงั้น เป็นเสียงหัวเราะความดังระดับหนึ่งร้อยแปดสิบเดซิเบลในหกสิบวินาทีแบบขาดใจไปเลยด้วย
สองฝาแฝดเดินลอยชายผ่านผมไป แล้วผมก็ได้เห็นว่าพวกเขามัดจุกด้วย ก็ต้องมัดแหงล่ะ มหานครนิวยอร์กนี่คือดาวอีกดวงหนึ่งชัวร์ เชื่อผม เพราะไม่มีใครกะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
เว้นก็แต่
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินยกกล่องลังไปที่ทางเข้า เขาถึงกับหยุดชะงักตอนที่คู่แฝดเดินผ่านไป ดูเหวอจนผมหลุดหัวเราะออกมา
เขาหันมาสบตาผม
ก่อนจะยิ้ม
แล้วก็…ฉิบหายละ
ตามนั้นเลย อภิมหาโคตะระฉิบหายวายป่วง โคตรน่ารัก น่าจะเป็นเพราะทรงผมหรือรอยกระหรือแก้มอมชมพูของเขานี่แหละ และนี่คือคำพูดที่ออกจากปากของคนที่ไม่เคยสังเกตแก้มคนอื่นมาก่อนในชีวิตอย่างผมเลยนะ แต่แก้มเขานี่ควรค่าแก่การสังเกตจริงๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาควรค่าแก่การสังเกต ทั้งผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงสุดเพอร์เฟ็กต์ กางเกงยีนส์พอดีตัว รองเท้าเก่าๆ เสื้อสีเทาที่สกรีนคำว่า ดรีมแอนด์บีนค็อฟฟี่ ที่มองแทบไม่เห็นเหนือกล่องที่เขาถืออยู่ เขาสูงกว่าผม แต่ก็นะ ผู้ชายส่วนใหญ่สูงกว่าผมกันทั้งนั้น
เขายังมองผมอยู่
ยี่สิบแต้มให้กริฟฟินดอร์ เพราะผมส่งยิ้มให้เขาจนได้ “นายคิดว่าสองคนนั้นเขาจอดจักรยานคู่ไว้ที่ร้านแวกซ์หนวดรึเปล่า”
เสียงหัวเราะอึ้งๆ ของเขาน่ารักมาก เล่นเอาหัวผมเบาโหวงเลย “ต้องเป็นร้านแวกซ์หนวดบวกแกลลอรี่งานศิลป์บวกโรงเบียร์เล็กๆ แน่” เขาตอบ
เรายิ้มให้กันโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“เอ่อ นายจะเข้าไปข้างในรึเปล่า” เขาถามขึ้นมาจนได้
ผมชำเลืองไปที่ประตู “เข้าสิ”
แล้วผมก็เดินตามเขาเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์ ไม่ทันได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้านี่คือการตัดสินใจ ร่างกายของผมก็ตัดสินให้ไปแล้วเรียบร้อย มีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้ผมรู้สึกกระวนกระวายในอก เหมือนผมต้องรู้จักเขาให้ได้ แบบเลี่ยงไม่ได้เลยจริงๆ
เอาล่ะ ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่คงทำให้คุณรู้สึกแหยงๆ คุณอาจจะรู้สึกแหยงๆ ไปแล้วด้วยมั้ง แต่เอาเถอะ ฟังผมหน่อยแล้วกัน
ผมเชื่อในรักแรกพบ โชคชะตา จักรวาล เชื่อหมดเลย แต่ไม่ใช่แบบที่คุณคิดนะ ไม่ใช่แบบ จิตวิญญาณของเราถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและเธอคืออีกครึ่งชีวิตของฉันจากนี้และตลอดไป อะไรอย่างนั้น ผมแค่คิดว่าคุณถูกกำหนดมาให้พบเจอใครบางคน ผมเชื่อว่าจักรวาลผลักพวกเขามาหาคุณ
แม้มันจะเป็นช่วงบ่ายวันจันทร์เดือนกรกฎาคม หรือแม้แต่ในที่ทำการไปรษณีย์ก็ตาม
แต่ว่ากันตามจริง ที่นี่ไม่ใช่ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วไป มันกว้างพอจะใช้เป็นโถงเต้นรำได้เลย พื้นประกายวาววับ ตู้ไปรษณีย์เรียงเป็นแถว แถมมีประติมากรรมของแท้เหมือนในพิพิธภัณฑ์ หนุ่มถือกล่องเดินไปที่เคาน์เตอร์เล็กๆ ใกล้ประตูทางเข้า เขาวางกล่องไว้ข้างตัวแล้วเริ่มเขียนรายละเอียดการจัดส่ง
ผมเลยหยิบซองจดหมายจากชั้นแถวๆ นั้นแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เดียวกัน ดูเป็นธรรมชาติสุดๆ ไม่เห็นต้องทำให้มันดูเป็นเรื่องแปลกอะไร ผมแค่ต้องหาคำพูดเหมาะๆ ให้เราคุยกันได้เรื่อยๆ เอาจริงเลยนะ ปกติแล้วผมคุยกับคนแปลกหน้าเก่งมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความจอร์เจียหรือความอาร์เธอร์ แต่ถ้าผมเจอคนแก่ในร้านขายของชำ ผมจะเข้าไปช่วยเช็กราคาน้ำลูกพรุนให้เลย แล้วถ้าผมเจอคนท้องบนเครื่องบิน เธอจะตั้งชื่อลูกของเธอตามผมทันทีที่เครื่องบินลงจอด มันเป็นอะไรที่จะเกิดขึ้นกับผมเข้าสักวัน
หรือไม่ก็เคยเป็นแบบนั้น จนกระทั่งวันนี้ ผมว่าผมเปล่งเสียงออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหมือนลำคอผมมันขดตัวไปแล้ว แต่ผมต้องดึงความเป็นชาวนิวยอร์กที่ไหลเวียนอยู่ข้างในออกมา ต้องเท่และไม่แยแส ผมยิ้มให้เขาแบบไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ ก่อนจะสูดหายใจลึก “ของนายใหญ่จัง”
อ้าว…เวร
แล้วคำพูดก็ไหลออกจากปากผม “ฉันไม่ได้หมายถึงของแบบนั้นนะ คือ กล่องของนาย ใหญ่ดี” ผมกางมือออกจากกันให้เขาดู เพราะนี่แหละคือวิธีพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมพูดไปไม่ได้แฝงความนัยอะไรเลย แหงล่ะ ทำมือเหมือนวัดขนาดน้องชายแบบนี้เนี่ย
หนุ่มถือกล่องขมวดคิ้ว
“โทษที ฉันไม่…สาบานเลย ปกติฉันไม่ออกความเห็นเรื่องขนาดกล่องของคนอื่นหรอก”
เขาสบตาผมแล้วยิ้มน้อยๆ “เนกไทสวยดี” เขาพูด
ผมก้มมองเนกไทตัวเองแล้วหน้าแดง แต่คือวันนี้ผมไม่ได้ใส่เนกไทธรรมดาไง ไม่เลย ผมเลือกใส่เนกไทจากคอลเล็กชั่นของพ่อ สีกรมท่าสกรีนลายฮอตดอกจิ๋วเป็นร้อยๆ อัน
“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ชุดรอมเปอร์ล่ะเนอะ” ผมพูด
“ก็จริง” เขายิ้มอีกแล้ว ผมเลยไปสังเกตริมฝีปากเขาเข้าจนได้ ริมฝีปากของเขาได้รูปเหมือนริมฝีปากของเอ็มมา วัตสันเป๊ะ ริมฝีปากของเอ็มมา วัตสัน ตรงนี้ บนหน้าเขาเลย
“นายไม่ใช่คนที่นี่สินะ” หนุ่มถือกล่องพูด
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ “รู้ได้ไงน่ะ”
“ก็นายยังคุยกับฉันอยู่” แก้มเขาแดงขึ้นมา “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คือปกตินักท่องเที่ยวจะชอบชวนคุยก่อน”
“อ๋อ”
“แต่ฉันก็ไม่ได้อะไรนะ” เขาพูด
“ฉันไม่ใช่นักท่องเที่ยวหรอก”
“ไม่ใช่เหรอ”
“คืองี้ ในทางเทคนิคแล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนที่นี่หรอก แต่ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ แค่ช่วงฤดูร้อนน่ะ ฉันมาจากมิลตัน รัฐจอร์เจีย”
“มิลตัน รัฐจอร์เจีย” เขายิ้ม
ผมรู้สึกกระวนกระวายแบบบอกไม่ถูกเลย เหมือนแขนขาผมมันแปลกๆ และอ่อนแรง หัวก็เหมือนมีปุยนุ่นอัดอยู่ข้างใน ตอนนี้หน้าผมคงแดงแจ๋แล้ว แต่ผมก็ไม่สนละ ผมแค่ต้องคุยต่อไปเรื่อยๆ “ใช่มั้ยล่ะ มิลตัน ชื่ออย่างกับลุงทวดชาวยิว”
“ฉันไม่…”
“ฉันมีลุงทวดชาวยิวชื่อมิลตันจริงๆ ด้วยนะ ลุงทวดเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่เราอยู่ตอนนี้”
“เรานี่ใครเหรอ”
“นายหมายถึง ฉันอยู่กับใครที่อพาร์ตเมนต์ของลุงทวดมิลตันน่ะเหรอ”
เขาพยักหน้า แล้วผมก็มองเขา แบบ เขาคิดว่าผมจะอยู่กับใครได้ล่ะ แฟนเหรอ แฟนหนุ่มสุดฮอตวัยยี่สิบแปดปีที่เจาะหูรูใหญ่มาก อาจจะเจาะลิ้นและสลักชื่อของผมไว้บนอกข้างหนึ่งด้วย หรือไม่ก็ทั้งสองข้างเลย
“อยู่กับพ่อแม่ฉันเอง” ผมรีบพูด “แม่ฉันเป็นทนาย บริษัทของแม่มีสำนักงานอยู่ที่นี่ แม่เลยขึ้นมาเมื่อปลายเมษาเพื่อจัดการคดีที่ดูแลอยู่ ฉันก็อยากจะขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นน่ะนะ แต่แม่ก็แบบ พยายามได้ดีนี่ อาร์เธอร์ ลูกยังต้องเรียนอีกตั้งเดือน แต่สุดท้ายแบบนั้นก็ดีที่สุดแล้ว เพราะฉันวาดภาพนิวยอร์กไว้ในหัวแบบหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมันกลับเป็นอีกอย่าง ตอนนี้ฉันเลยติดแหง็กอยู่ที่นี่ แล้วฉันก็คิดถึงเพื่อน คิดถึงรถ คิดถึงร้านวาฟเฟิลเฮ้าส์ด้วย”
“เรียงตามนั้นเลยเหรอ”
“น่าจะคิดถึงรถที่สุดนะ” ผมยิ้มกว้าง “เราฝากรถไว้ที่บ้านย่าฉันที่นิวเฮเวน บ้านย่าอยู่ข้างๆ มหา’ลัยเยลเลย มหา’ลัยที่ฉันหวัง หวังมากว่าจะเป็นที่เรียนในอนาคต เอาใจช่วยฉันด้วยนะ” มันเหมือนกับผมหยุดพูดไม่ได้ “ฉันว่านายคงไม่ได้อยากฟังเรื่องราวในชีวิตของฉันหรอก”
“ฟังได้นะ” หนุ่มถือกล่องเงียบไปแป๊บหนึ่ง เขาขยับกล่องให้สมดุลกับสะโพก “ไปต่อแถวกันมั้ย”
ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังเขาไป เขาเบี่ยงตัวมายืนข้างๆ เพื่อจะได้หันหน้ามาหาผม แต่มีกล่องคั่นระหว่างเรา เขายังไม่ได้แปะป้ายที่อยู่จัดส่งลงบนกล่อง ผมพยายามแอบมองที่อยู่ แต่เขาลายมืออย่างกับไก่เขี่ย แถมผมยังอ่านตัวหนังสือกลับหัวไม่ออกอีก
เขาจับได้ว่าผมแอบมอง “นายชอบสอดรู้สอดเห็นหรืออะไรเนี่ย” เขาหรี่ตามองผม
“โอ้” ผมกลืนน้ำลาย “คงงั้นมั้ง อืม”
เขายิ้มกับคำตอบของผม “ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แค่พวกของเหลือหลังจากเลิกกันน่ะ”
“ของเหลือเหรอ”
“หนังสือ ของขวัญ ไม้กายสิทธิ์จากแฮร์รี่ พอตเตอร์ ของทุกอย่างที่ฉันไม่อยากเห็นอีก”
“นายไม่อยากเห็นไม้กายสิทธิ์จากแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกเหรอ”
“ฉันไม่อยากเห็นอะไรก็ตามที่หมอนั่นให้มา”
หมอนั่น
แสดงว่าหนุ่มถือกล่องคบผู้ชาย
โอเค ว้าว เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมแน่ๆ ไม่มีทาง แต่จักรวาลอาจจะมีอิทธิพลต่างไปในนิวยอร์กก็ได้
หนุ่มถือกล่องคบผู้ชาย
ผม-เป็น-ผู้ชาย
“เจ๋งไปเลย” ผมพูดแบบชิลสุด แต่เขากลับมองมาแปลกๆ ผมจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากทันที “ไม่เจ๋งสิ ให้ตาย ไม่เลย เลิกกันนี่ไม่เจ๋งเลย ฉันแค่…เสียใจด้วยสำหรับการสูญเสียนะ”
“เขายังไม่ตาย”
“อ่า ใช่ ใช่สิ ฉันจะ…” ผมผ่อนลมหายใจ ก่อนวางมือลงบนเสากั้นคิวแป๊บหนึ่ง
หนุ่มถือกล่องยิ้มแข็งๆ “อ่า นายเป็นพวกที่ชอบทำตัวแปลกๆ เวลาเจอเกย์สินะ”
“อะไรนะ” ผมร้องเสียงหลง “ไม่ใช่นะ เปล่าเลย”
“อืม” เขากลอกตาแล้วมองข้ามไหล่ผมไป
“ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ” ผมรีบพูด “ฟังนะ ฉันเป็นเกย์”
แล้วโลกทั้งใบก็หยุดหมุน ลิ้นผมหนาและหนักขึ้นทันที
ผมว่าผมไม่ได้พูดคำนั้นออกมาดังๆ บ่อยๆ หรอก ฉันเป็นเกย์ พ่อแม่ผมรู้ อีธานกับเจสซี่รู้ แล้วผมก็บอกเพื่อนร่วมงานที่บริษัทของแม่ไปบ้าง แต่ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะป่าวประกาศเรื่องนี้ในที่ทำการไปรษณีย์
แต่ก็อย่างที่เห็น เหมือนผมจะกลายเป็นคนประเภทนั้นไปแล้ว
“อ้อ จริงเหรอ” หนุ่มถือกล่องถาม
“จริงๆ” เสียงผมเบาหวิว แปลกแฮะ…ตอนนี้ผมอยากพิสูจน์ให้เขาเห็น ผมอยากจะมีบัตรแสดงตนว่าเป็นเกย์มาโชว์หราเหมือนตราตำรวจ หรือจะให้ผมสาธิตด้วยวิธีอื่นก็ได้ ให้ตาย จะสาธิตให้ดูอย่างเต็มใจเลย
หนุ่มถือกล่องยิ้ม ไหล่ดูผ่อนคลายขึ้น “เจ๋ง”
แม่งเอ๊ย มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ หายใจไม่ทันแล้ว เหมือนจักรวาลตั้งใจให้ช่วงเวลานี้เกิดขึ้นเลย
เสียงเสียงหนึ่งดังมาจากหลังเคาน์เตอร์ “เข้าแถวอยู่รึเปล่า” ผมเงยหน้าขึ้นเห็นผู้หญิงที่เจาะริมฝีปากมองแรงใส่ พนักงานคนนี้ไม่สนห่าสนเหวอะไรทั้งนั้น “โย่ หน้าตกกระ มาเร็ว”
หนุ่มถือกล่องชำเลืองมาทางผมอย่างลังเลก่อนจะก้าวไปหน้าเคาน์เตอร์ ตอนนี้คนต่อแถวหลังเรายาวพรืด และบอกเลยว่าผมไม่ได้แอบฟังหนุ่มถือกล่องนะ คือก็ไม่เชิง เหมือนหูของผมถูกเสียงเขาดึงดูดมากกว่า เขายืนกอดอก ไหล่ตึง
“ยี่สิบหกเหรียญห้าสิบสำหรับส่ง EMS” สาวเจาะปากพูดขึ้น
“ยี่สิบหกเหรียญห้าสิบเหรอ ก็คือยี่สิบหกเหรียญใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ราคายี่สิบหกเหรียญห้าสิบ”
หนุ่มถือกล่องส่ายหน้า “แพงไปนะ”
“ราคาเท่านี้แหละ จะเอาไม่เอา”
หนุ่มถือกล่องยืนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะยกกล่องกลับมากอดไว้แนบอก “โทษที”
“คนต่อไป” สาวเจาะปากพูดแล้วกวักมือเรียกให้ผมเดินขึ้นมา แต่ผมเบี่ยงตัวออกจากแถว
หนุ่มถือกล่องกะพริบตา “ส่งพัสดุแค่กล่องเดียวมันจะยี่สิบหกเหรียญได้ยังไง”
“ไม่รู้สิ ไม่เข้าท่าเลย”
“สงสัยจักรวาลกำลังบอกให้ฉันเก็บกล่องนี้ไว้”
จักรวาล
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด
เขาเป็นคนมีความเชื่อ เขาเชื่อในจักรวาล ผมไม่ได้อยากจะด่วนสรุปเอาดื้อๆ หรืออะไรทั้งนั้น แต่การที่หนุ่มถือกล่องเชื่อในจักรวาลต้องเป็นสัญญาณจากจักรวาลแน่นอน
“โอเค” ใจผมเต้นรัว “แต่ถ้าความจริงแล้ว จักรวาลกำลังบอกให้นายทิ้งของพวกนี้ไปล่ะ”
“จักรวาลไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”
“หา จริงเหรอ”
“ลองคิดดูสิ การเอากล่องไปให้พ้นๆ คือแผนเอใช่มั้ยล่ะ จักรวาลจะไม่ขัดขวางแผนเอเพื่อให้ฉันไปใช้แผนเออีกเวอร์ชั่นหนึ่งหรอก ตอนนี้มันชัดแล้วว่าจักรวาลอยากให้ฉันใช้แผนบี”
“และแผนบีคือ…”
“ยอมรับซะว่าจักรวาลคือไอ้ระยำ…”
“จักรวาลไม่ใช่ไอ้ระยำสักหน่อย!”
“ใช่สิ เชื่อฉัน”
“นายจะไปรู้ได้ยังไง”
“ฉันรู้ว่าจักรวาลมีแผนส้นตีนอะไรบางอย่างกับไอ้กล่องนี่”
“ก็นั่นแหละ!” ผมจ้องเขาเขม็ง “นายไม่รู้จริงๆ สักหน่อย นายไม่รู้ว่าจักรวาลจะเอายังไงกับเรื่องนี้กันแน่ บางทีเหตุผลที่นายอยู่ตรงนี้อาจเป็นเพราะจักรวาลอยากให้นายมาเจอฉันก็ได้ เพื่อให้ฉันบอกนายว่าให้ทิ้งกล่องนี่ไปซะ”
เขายิ้ม “นายคิดว่าจักรวาลอยากให้เรามาเจอกันเหรอ”
“อะไรนะ เปล่า! คือ ฉันไม่รู้ นั่นแหละประเด็น เราไม่มีทางรู้หรอก”
“งั้นเดี๋ยวเราคงได้รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง” เขามองกระดาษซึ่งมีที่อยู่ของผู้รับอยู่พักหนึ่งก่อนจะฉีกมันออกเป็นสองส่วน ขยำมันแล้วโยนใส่ถังขยะ อย่างน้อยก็เล็งไปที่ถังขยะล่ะนะ แต่มันดันตกลงบนพื้นซะงั้น “ยังไงก็เถอะ” เขาพูดขึ้น “เอ่อ นายจะ…”
“ขอโทษนะครับ” เสียงผู้ชายดังก้องออกมาจากอินเตอร์คอม “ขอรบกวนเวลาหน่อยนะครับ”
ผมเบนสายตาไปทางหนุ่มถือกล่อง “นี่มัน…”
อยู่ดีๆ เสียงแหลมปรี๊ดก็ดังออกมา ตามด้วยเสียงเพลงที่บรรเลงโดยเปียโน
แล้ววงโยธวาทิตแบบตัวเป็นๆ ก็ยกขบวนเข้ามา
วงโยธวาทิต
ผู้คนแห่เข้ามาในที่ทำการไปรษณีย์ แบกกลองอันเบ้อเริ่มเทิ่ม ถือฟลูต แตรใหญ่ พากันบรรเลงเพลงแมร์รี่ยูของบรูโน มาร์สแบบเพี้ยนๆ แล้วคราวนี้คนเป็นสิบๆ ทั้งคนแก่ ทั้งคนที่ผมคิดว่ามาต่อแถวซื้อแสตมป์ ก็เริ่มเต้นกันเป็นท่า ทั้งเตะสูง เด้งเป้า ส่ายแขน พูดง่ายๆ คือ คนที่ไม่ได้เต้นก็คือคนที่กำลังถ่ายวิดีโออยู่ แต่ผมตะลึงเกินกว่าจะหยิบมือถือขึ้นมาด้วยซ้ำ คือผมก็ไม่ได้อยากจะคิดไปเองหรอกนะ แต่ว้าว ผมได้เจอหนุ่มน่ารัก แล้วห้าวิต่อมา ผมก็ยืนอยู่ท่ามกลางแฟลชม็อบขอแต่งงาน จักรวาลจะส่งข้อความอะไรที่ชัดเจนได้มากกว่านี้อีกมั้ย
ฝูงคนเปิดทางให้ชายหนุ่มที่ร่างเต็มไปด้วยรอยสักไถสเก็ตบอร์ดเข้ามาแล้วไปหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์บริการ เขาหยิบกล่องใส่แหวนขึ้นมา แต่แทนที่จะคุกเข่า เขากลับวางข้อศอกลงบนเคาน์เตอร์แล้วยิ้มแฉ่งให้สาวเจาะปาก “เคลซี่ ยอดเลิฟ แต่งงานกันนะ”
มาสคาร่าสีดำไหลลงมาจนถึงห่วงบนริมฝีปากของเคลซี่ “โอเค!” เธอคว้าหน้าเขามาจูบทั้งน้ำตา แล้วทุกคนก็ร้องเชียร์
ในอกผมมันเต็มตื้นไปหมด นี่แหละความรู้สึกแบบมหานครนิวยอร์กที่เขาพูดกันในละครเพลง เป็นความบันเทิงแบบภาพสี จอกว้าง ระดับเสียงคมชัด ผมใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่นี่ไปกับการเดินเตร่ไปเรื่อยและคิดถึงจอร์เจียไปวันๆ แต่ตอนนี้เหมือนมีคนมากดสวิตช์ไฟในตัวผมเข้าให้แล้ว
ผมสงสัยว่าหนุ่มถือกล่องจะรู้สึกแบบเดียวกันมั้ย ผมเลยหันไปหาเขาพร้อมรอยยิ้ม มือแนบที่หัวใจ…
แต่เขาหายไปแล้ว
มือผมตกลงข้างลำตัวอย่างอ่อนแรง เขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว กล่องของเขาก็ด้วย ผมเพ่งมองไปรอบๆ กวาดตาดูหน้าทุกคนในที่ทำการไปรษณีย์ เขาอาจจะถูกแฟลชม็อบเบียดไปที่อื่น หรืออาจจะเป็นหนึ่งในแฟลชม็อบก็ได้ เขาอาจจะมีนัดเร่งด่วนที่ด่วนมากจนเขาไม่ขอเบอร์ผมไว้ เขาไม่บอกลาผมเลยด้วยซ้ำ
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะไม่บอกลาผม
ผมคิดว่า ไม่รู้สิ มันฟังดูโง่ๆ นะ แต่ผมคิดว่าเราสองคนมีโมเมนต์กัน คือจักรวาลหยิบเราขึ้นมาแล้วพามาส่งหากันถึงที่เลยนะ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ใช่มั้ยล่ะ ผมไม่รู้แล้วว่าจะตีความเป็นอะไรได้อีก
เว้นแต่ว่าเขาหายไป เขาคือซินเดอเรลล่าตอนเที่ยงคืน แบบนี้มันเหมือนกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้ผมก็จะไม่มีวันได้รู้ชื่อเขา หรือชื่อของผมจะฟังดูเป็นยังไงตอนที่เขาพูดมันออกมา ผมจะไม่มีวันได้แสดงให้เขาเห็นว่าจักรวาลไม่ใช่ไอ้ระยำ
หายไปแล้ว ไปแล้วไปลับ ความผิดหวังโถมใส่ผมเข้าจังๆ จนเกือบล้มทั้งยืน
จนสายตาผมไปหยุดอยู่ที่ถังขยะ
โอเค ผมไม่คุ้ยถังขยะหรอก ไม่ทำอยู่แล้วล่ะ ผมอาจจะเป็นคนเลอะเทอะ แต่ก็ไม่ได้สกปรกขนาดนั้น
หนุ่มถือกล่องอาจจะพูดถูกก็ได้ บางทีจักรวาลอาจจะอยากให้ใช้แผนบีจริงๆ
คำถามก็คือ ถ้าขยะชิ้นหนึ่งไม่ได้ตกลงไปในถังขยะ คุณจะบอกว่ามันเป็นขยะได้รึเปล่า ลองคิดดูสิ นี่คือสมมุติฐานล้วนๆ เลยนะ ถ้ามีกระดาษที่อยู่ที่ถูกขยำเป็นก้อนหล่นอยู่บนพื้น มันจะใช่ขยะรึเปล่า
หรือว่ามันคือรองเท้าแก้ว
ตอนที่ 2
เบน
ผมกลับมาที่จุดเริ่มต้น
สิ่งเดียวที่ผมต้องทำคือส่งไอ้กล่องนี่ไปซะ ไม่ใช่แบกมันวิ่งออกมาจากที่ทำการไปรษณีย์ ขอแก้ตัวหน่อยแล้วกันว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ผมได้เจอผู้ชายชื่ออาร์เธอร์ที่ทั้งเจ๋งทั้งน่ารัก และเห็นได้ชัดว่ายังไม่เคยโดนจักรวาลทำร้ายมาก่อน เพราะเขาเชื่อจริงๆ ว่าเราถูกกำหนดมาให้เจอกัน ในวันที่ผมพยายามส่งของกลับไปให้ฮัดสันเนี่ยนะ ผมว่าอาร์เธอร์คงเปลี่ยนมุมมองเรื่องจักรวาลไปแล้วชัวร์หลังจากวงโยธวาทิตแยกเราจากกันแบบนั้น
ผมขึ้นรถไฟกลับอัลฟาเบ็ตซิตี้ไปหาดีแลน เพื่อนสนิทของผม ผมอยู่ที่อเวนิวบี ส่วนดีแลนอยู่ที่อเวนิวดี เรื่องราวของเราสองคนมีความหลังไปยันนามสกุล ‘อเลโฮ’ และ ‘บ็อกส์’ เขานั่งหลังผมตอนเราอยู่เกรดสาม และเอาแต่สะกิดไหล่ผมไม่หยุดเพราะจะยืมของอย่างพวกดินสอหรือกระดาษสมุด โตขึ้นมาก็ยังเหมือนเดิม เขาจะชอบยืมไอโฟนของผมที่รุ่นล้าหลังกว่าคนอื่นไปสองรุ่นเอาไปแชทกับสาวที่เขาชอบในสัปดาห์นั้นหลังจากแบตมือถือของตัวเองหมด เวลาเดียวที่ผมเหมือนจะยืมของเขาคือเวลาที่ผมให้เขาช่วยออกค่าข้าวกลางวันให้เป็นบางครั้ง ที่บอกว่า ‘เหมือนจะยืม’ ก็เพราะว่าผมแทบไม่เคยคืนเงินเขาเลย และเขาก็ไม่สนด้วย ดีแลนเป็นคนดี เขาไม่สนที่ผมชอบผู้ชายและผมก็ไม่สนที่เขาชอบผู้หญิง ผมอยากขอบคุณเพื่อนรักฉบับตัวอักษรคนนี้ให้โลกรู้สำหรับมิตรภาพที่เขามอบให้จริงๆ
พอลงจากรถไฟ ผมต้องเดินผ่านถังขยะหลายใบ ทุกครั้งผมจะหยุดและถือกล่องไว้เหนือถังขยะพวกนั้น แต่ผมใจไม่กล้าพอที่จะทิ้งไอ้กล่องเวรนี่ให้มันจบๆ ไปสักที
ตอนแรกผมคิดว่าการเลิกกันมันคงไม่แย่เท่าไหร่ถ้าผมเป็นฝ่ายบอกเลิก แต่ด้วยความที่ฮัดสันเป็นคนไปจูบคนอื่น ผมเลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนจบเรื่องทุกอย่างเองอยู่ดี เรื่องระหว่างเราเริ่มแปลกไปตอนที่พ่อกับแม่ของเขาหย่ากัน แต่ผมก็อดทนกับเขา เหมือนตอนที่ให้เขาเป็นคนวางแผนงานวันเกิดของผม แล้วเขาพาผมไปคอนเสิร์ตวงดนตรีที่เขาชอบ แต่ผมก็ปล่อยไปเพราะเพิ่งเคยไปคอนเสิร์ตเป็นครั้งแรก แถมวงคิลเลอร์สก็เจ๋งจริง แล้วทีนี้ฮัดสันก็ไม่โผล่มาร่วมมื้อกลางวันฉลองครบรอบครั้งใหญ่ของพ่อแม่ผม แต่ผมก็ปล่อยไปอีกเพราะการฉลองการแต่งงานของพ่อแม่ผมหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่เขาคงมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว และตอนที่เราไปดูหนังโรแมนติกคอมเมดี้เกี่ยวกับเรื่องราวของหนุ่มวัยรุ่นสองคน เขาก็ดันพูดเรื่องที่ว่าความรักทั้งของคนอื่นและของเราไม่มีวันดีพอแบบในหนังฮอลลีวูด ผมโมโหแล้วเดินออกมาเลย ก็คิดไงว่าเขาจะตามออกมาขอโทษหรือเรียกชื่อผมหรือทำอะไรสักอย่างที่คนเป็นแฟนกันควรจะทำ
ผ่านไปสามวันแบบไม่มีอะไรเลย จนผมต้องโทรไปถามเขาว่าเรายังจะกลับมาคุยกันอยู่มั้ย แล้วเขาก็โผล่มาเซอร์ไพรส์ผมที่อพาร์ตเมนต์ พร้อมกับบอกว่านึกว่าเราเลิกกันแล้ว เขาเลยไปจูบผู้ชายคนหนึ่งเข้าที่งานปาร์ตี้ ฮัดสันอยากได้โอกาสครั้งที่สองมากจริงๆ แต่ฝันเถอะ ผมบอกเลิกเขา เลิกจริงเลย ต่อให้ตอนนั้นเขาคิดว่าเรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้วจริงๆ ก็เถอะ จะรอสักอาทิตย์หนึ่งก่อนแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ไม่ได้รึไง พอเจอแบบนี้เข้าก็ยากนะที่ผมจะไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรเลย
ผมมาถึงตึกที่ดีแลนอยู่ กดหมายเลขอพาร์ตเมนต์ของเขา แล้วเขาก็ให้ผมขึ้นมาทันที ทำดีมากเพราะวันนี้ผมไม่มีอารมณ์จะรออะไรแล้ว ผมแบกกล่องใส่ของของแฟนเก่าเดินไปมาแถมยังมีการบ้านฤดูร้อนอยู่ในเป้อีก เป็นวันที่ห่วยแตก
ผมยืนหาวอยู่ในลิฟต์ วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพราะต้องเรียนเสริมฤดูร้อน ขอร้องเย้ให้กับชีวิต จักรวาลยังคงหมุนคว้าง…เหวี่ยงสนับมือทองเหลืองใส่ผมเข้าเต็มๆ ที่หัวใจและอีโก้ของผมด้วย
ผมก้าวออกจากลิฟต์แล้วเดินเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของดีแลนเลย พวกเราซี้ปึ้กกันขนาดนั้นแหละ แต่ผมรู้ดีพอที่จะเคาะประตูห้องนอนของเขาก่อน เพราะไม่กี่เดือนที่แล้ว ผมเดินอาดเข้าไปในห้องตอนเขากำลังสนุกกับตัวเองอยู่พอดี
“มืออยู่นอกกางเกงใช่มั้ย”
“ช่าย น่าเสียดาย” ดีแลนตอบมาจากข้างในห้อง
ผมเปิดประตูเข้าไปเจอดีแลนนั่งแชทอยู่บนเตียง เขาตัดผมตั้งแต่เมื่อคืนตอนเรากินข้าวเย็นด้วยกัน สำหรับผมแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในวัยผมที่ไว้เคราแล้วโคตรเท่ บอกเลยว่าตัวผมแตกหนุ่มช้ามากเพราะตอนนี้หนวดก็ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ ดีแลนนี่โคตรประหลาด แต่เป็นประหลาดแบบหล่อๆ
“บิ๊กเบน” ดีแลนฮัมชื่อผมเป็นเพลงแล้ววางมือถือ “แสงแห่งชีวิตข้า ชายหนุ่มผู้ติดอยู่ในโรงเรียน” การเรียนเสริมฤดูร้อนแย่หนักขึ้นไปอีกเพราะดีแลนล้อผมไม่หยุดตั้งแต่ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องแนะแนวพร้อมข่าวร้าย เขาแค่โชคดีหรอกที่แฟนเก่าแต่ละคนไม่เคยบอกให้เขาโดดเรียนพร้อมความเชื่อว่าเดี๋ยวเกรดมันก็ดีเอง
“ไง” ผมทักตอบ ให้เรียกชื่อเขาแบบน่ารักๆ นี่ไม่ใช่แนวผมเท่าไหร่
ดีแลนชี้อกผม “เสื้อตัวนี้นี่งานอาร์ตเลยเนอะ ว่ามั้ย”
ตู้เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยเสื้อของร้านกาแฟแนวอินดี้จากทั่วเมืองซะส่วนใหญ่ เขาเอาเสื้อดรีมแอนด์บีนมาให้ผมเมื่อคืนตอนมากินข้าวเย็น ดีแลนจะชอบเอาเสื้อมาให้ตอนตู้เสื้อผ้าของเขาเริ่มแน่นแล้ว เขาไม่ค่อยให้ตัวที่เขาชอบอย่างเสื้อดรีมแอนด์บีนหรอก แต่ผมก็ไม่ได้จะบ่นอะไร
“เสื้อที่ซักแล้วมันหมดหรอก” ผมบอก “เสื้อนี่ไม่ได้เท่เลย”
“เจ็บว่ะ แต่นายคงกำลังอารมณ์เสียอยู่ ดูจากการที่นายยังถือกล่องที่กะจะเอาไปคืนฮัดสัน เกิดไรขึ้นวะ”
“วันนี้เขาไม่มาเรียน” ผมวางกล่องลง
“โดดเรียนเสริมตั้งแต่วันแรกดูเป็นการเริ่มต้นที่แย่นะ” ดีแลนพูด
“อืม ฉันถามแฮเรียตว่าฝากเอาไปให้เขาหน่อยได้มั้ย แต่เธอไม่ยอม” ผมเล่า “เลยว่าจะส่งไปให้ แต่ค่าส่ง EMS แพงเกิน”
“แล้วทำไมต้องส่งแบบ EMS”
“เพราะฉันอยากจะเอาไอ้กล่องนี่ไปให้พ้นๆ หน้าสักที”
“ส่งแบบธรรมดาก็เอามันไปให้พ้นๆ หน้าได้เหมือนกัน” ดีแลนเลิกคิ้วซ้าย “ทำไม่ลงใช่มั้ยล่ะ”
ผมวางกล่องที่ควรจะส่งหรือโยนทิ้งหรือมัดติดกับสมอแล้วถ่วงแม่น้ำไปตั้งนานแล้วลง “เลิกรู้ทันกันได้แล้ว มันเป็นเรื่องของฉัน”
ดีแลนลุกขึ้นมากอดผม “ชู่วววววววว” เขาลูบหลังผมไปมาเป็นวงกลม
“เสียงปลอบประโลมของนายไม่ได้ช่วยปลอบประโลมฉันเลยสักนิด”
ดีแลนจุ๊บแก้มผม “ไม่เป็นไรนะ พุดดิ้งป็อป”
ผมนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง คันมืออยากจะหยิบมือถือขึ้นมาดูว่ามีข้อความจากฮัดสันบ้างมั้ย อยากเช็กอินสตาแกรมดูด้วยว่าเขาอัพรูปเซลฟี่บ้างรึเปล่า แต่ผมรู้ว่าไม่มีข้อความจากเขาหรอก และผมเองก็เลิกติดตามเขาบนโซเชียลมีเดียทุกช่องทางไปแล้วด้วย
“ฉันไม่อยากให้เขาสอบตกเรียนเสริมฤดูร้อนแค่เพราะอยากหลบหน้ากัน ถ้าขาดสามครั้งเรียนตามไม่ทันแน่”
“คงงั้น แต่นั่นมันปัญหาของเขานี่ ถ้าเขาไม่โผล่หัวมา นายก็ไม่ต้องใช้เวลาช่วงหน้าร้อนกับเขา จบข่าว”
ไม่นานนี้เอง การใช้เวลากับฮัดสันช่วงหน้าร้อนคือสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผม แฟนหนุ่มสองคนใช้เวลาช่วงหน้าร้อนด้วยกันที่สระว่ายน้ำหรือสวนสาธารณะหรือห้องนอนตอนพ่อแม่ออกไปทำงาน ไม่ใช่แฟนเก่าสองคนที่ต้องมาเรียนเสริมฤดูร้อนเพราะมัวแต่เอาเวลาไปเรียนรู้กันและกันจนไม่ได้ทำการบ้านวิชาเคมี
“อยากให้นายติดอยู่ที่นั่นด้วยจัง” ผมพูด “ฮัดสันมีเพื่อนสนิทเขาอยู่ด้วย ฉันก็ควรมีเพื่อนสนิทฉันอยู่ด้วยบ้าง”
“โห เตือนฉันอีกทีนะว่าอย่าไปก่ออาชญากรรมกับนาย เพราะนายจะถูกจับแล้วปากโป้งเรื่องฉันอย่างเร็วเลย” ดีแลนสนใจโทรศัพท์ในมืออย่างกับเราไม่ได้คุยกันอยู่ นี่แหละสิ่งที่ผมชอบน้อยที่สุดในตัวมนุษย์ “ต่อให้ฉันไปเรียนด้วย เดี๋ยวก็มีดราม่าอยู่ดี จะให้ฉันไปเรียนทั้งๆ ที่แฟนเก่าอยู่ที่นั่นได้ไง สภาพแวดล้อมแบบนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“ฉันติดอยู่ที่นั่นกับแฟนเก่าฉัน ดีแลน”
“เปล่านี่ ฮัดสันไม่ได้มาเรียนสักหน่อย แต่ถ้าเขามา จำไว้ว่านายเหนือกว่า นายชนะเพราะนายบอกเลิกก่อน มันคงห่วยเป็นสองเท่าถ้าหมอนั่นเป็นฝ่ายบอกเลิก เพราะงั้นตอนนี้เลยห่วยแค่เท่าเดียว”
ผมอยากจะเอาอาณาจักรอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของผมไปแลกกับจักรวาลที่การเลิกกันแบบห่วยแค่เท่าเดียวไม่ใช่ชัยชนะซะเหลือเกิน แต่เราก็มาถึงจุดจุดนี้จนได้
การบอกเลิกที่ผ่านมาช่วยพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ควรทำให้กลุ่มเพื่อนแตกโดยการเดตกันเอง ผมไม่ได้จะโทษใครนะ แต่ดีแลนกับแฮเรียตเป็นคนเริ่มก่อน เราสี่คนไปกันได้ดีจนกระทั่งดีแลนกับแฮเรียตจูบกันในวันก่อนขึ้นปีใหม่ ตอนนั้นผมรู้สึกชอบๆ ฮัดสันและค่อนข้างมั่นใจว่าเขาก็ชอบผมเหมือนกัน ตอนที่เราสองคนหันหน้ามามองกันคืนนั้น เราไม่ได้จูบกัน แต่แค่ส่ายหน้าเพราะเขารู้จักเพื่อนสนิทตัวเองดีและผมก็รู้จักเพื่อนสนิทของผม พวกเขาคบกันไม่ยืดหรอก และผมกับฮัดสันคงไม่ลองคบกันดูสักตั้งถ้าเราไม่ถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกันสองคนบ่อยๆ เพราะดีแลนกับแฮเรียตใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ด้วยกันตลอด
คิดถึงวันเก่าๆ ของแก๊งเราจัง
ผมลุกขึ้นแล้วเปิดเกมวี เพราะผมอยากคุยเล่นไปเรื่อยและใช้ความบันเทิงมาช่วยให้รู้สึกดีขึ้นหน่อย ฉากเปิดตัวสุดอลังการของเกมซูเปอร์สแมชบราเธอร์สฉายขึ้นบนจอทีวี ตัวละครที่ดีแลนใช้บ่อยคือลุยจิ เพราะเขารู้สึกว่าคนอวยมาริโอมากเกินไป ผมเลือกเซลดา เพราะเธอวาร์ปได้ แถมเบนวิถีกระสุนกับยิงลูกไฟระยะไกลได้ด้วย เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นที่ต้องการเลี่ยงการต่อสู้ระยะใกล้
แล้วเราก็เริ่มเกม
“วันนี้สเกลความเศร้านายอยู่ที่ระดับไหน” ดีแลนถามผม “เศร้าระดับฉากต้นเรื่องอัพ หรือแบบตอนแม่นีโมตาย”
“โห ไม่ขนาดนั้น ไม่ใช่ระดับฉากต้นเรื่องอัพแน่อยู่ละ อันนั้นแม่งใจสลายเกิน น่าจะอารมณ์ประมาณช่วงห้านาทีสุดท้ายของทอยสตอรี่ภาคสามมากกว่า แค่ต้องขอเวลาทำใจหน่อย”
“แหงล่ะ เออ มีเรื่องจะบอก”
“นายจะเลิกกับฉันเหรอ” ผมถามเขา “เซ็งเลยนะถ้างั้น”
“ก็ประมาณนั้น” เขาตอบ ก่อนจะทำเป็นเว้นจังหวะซะยกใหญ่ เขารัวนิ้วบนปุ่มให้ลุยจิยิงลูกไฟเขียวใส่เซลดารัวๆ “ฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านกาแฟ”
“เป็นคำพูดที่มีความดีแลนที่สุดเท่าที่นายเคยพูดมาเลย”
“ใช่มะ” เสียงหัวเราะเบาๆ ของเขามีเสน่ห์มาก “คืองี้ เมื่อวานหลังหาหมอเสร็จ ฉันออกจากกลางเมืองไปลองกาแฟที่ร้านหนึ่ง”
“ไปให้หมอตรวจหัวใจเสร็จแล้วก็ไปกินกาแฟเลยเนอะ นายก็เป็นตัวเองเกินไปนะบางที”
“มันเป็นพิธีกรรมประจำปี” ดีแลนพูด เขาเป็นโรคลิ้นหัวใจโป่ง ชื่อฟังดูแย่นะ แต่มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น อย่างน้อยก็ในกรณีของดีแลนล่ะนะ ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะทำยังไงถ้าหมอบอกให้เลิกกาแฟ “ไงก็เถอะ คือฉันเดินผ่านร้านคูลค็อฟฟี่ที่ไม่เคยคิดจะเข้าไปเหยียบเลย นายก็รู้ใช่มะว่าฉันไม่เคยมองไอ้การตั้งชื่อให้ออกเสียงคล้ายกันเนี่ยมันน่ารักตรงไหน แล้วเธอก็เดินออกมาทิ้งขยะนอกร้าน ตอนนั้นน่ะฉันอยากจะทิ้งตัวใส่เธอทันที”
“หลงเลยล่ะสิ”
“แต่ฉันจะเดินเข้าไปในร้านนั้นทั้งที่ยังใส่เสื้อดรีมแอนด์บีนไม่ได้”
“ทำไมวะ”
“เอ่อ แล้วนายจะเดินถือแฮปปี้มีลเข้าร้านเบอร์เกอร์คิงมั้ยล่ะ ไร้มารยาท มีจิตสำนึกหน่อยสิวะ”
“จิตสำนึกกำลังบอกให้ฉันหาเพื่อนใหม่”
“ฉันแค่ไม่อยากเสียมารยาท”
“นายเพิ่งเสียมารยาทใส่ฉันเนี่ย”
“ฉันหมายถึงเธอ”
“แน่ล่ะ เดี๋ยวนะ เพราะงี้นายเลยเอาเสื้อมาให้ฉันเมื่อคืนใช่มั้ย”
“เออ กลัวไปหมด”
“ประหลาดคนว่ะ แล้วไงต่อ”
“ฉันเลยไปร้านคูลค็อฟฟี่มาอีกรอบวันนี้ แต่งกายเหมาะสม…” ดีแลนวาดมือโชว์เสื้อยืดสีน้ำเงินล้วนที่เขาใส่อยู่ ดูดี เป็นสีกลางๆ “…เธอกำลังฮัมเพลงของเอลเลียต สมิธตอนกำลังทำเอสเพรสโซให้ลูกค้า แล้วฉันก็เสร็จเธอเลย เสร็จเกินไปด้วยซ้ำ บิ๊กเบน แค่ชั่ววูบเดียว ฉันก็มีว่าที่ภรรยาพร้อมกาแฟไว้ตุนแบบไม่มีวันหมด”
มันยากจริงๆ นะที่จะรู้สึกยินดีกับคนที่ได้พบรักในตอนที่ผมเพิ่งเสียคนรักไป แต่นี่คือดีแลนนะ “รอเจอว่าที่พี่สะใภ้ไม่ไหวละ”
“จำโพสต์ในเว็บบัซฟีดได้มะ ที่เขาพูดถึงงานแต่งธีมแฮร์รี่ พอตเตอร์ งานแต่งของซาแมนธากับฉันจะเป็นธีมกาแฟ ทุกคนจะใส่ผ้ากันเปื้อนแบบบาริสต้า ต้องชูแก้วเซรามิกตอนกล่าวอวยพร จะมีหน้าฉันติดอยู่ที่แก้วเอสเพรสโซของทุกคน”
“เยอะนะ”
“แต่มีข้อเสียอยู่อย่าง”
“หาข้อเสียเธอเจอแล้วเหรอ”
“เธอเป็นแฟนตัวยงของคูลค็อฟฟี่เพราะร้านนี้บริจาคเงินบางส่วนให้องค์กรการกุศล และเธอคิดว่านักดื่มกาแฟตัวจริงควรเลือกร้านที่ตัวเองไปดื่มดีๆ คือฉันยังไม่พร้อมจะผูกใจไว้กับคูลค็อฟฟี่ร้านเดียวเว้ย”
“เธอขอให้นายทำแบบนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก แต่…เธอไม่ได้พูดออกมาตรงๆ น่ะ และในเมื่อเราได้เจอคนที่ใช่แล้ว เราก็ต้องยอมสละอะไรไปบ้าง”
“ไม่มีทาง นายไม่มีวันเลิกดื่มกาแฟของดรีมแอนด์บีนหรอก”
“ไม่เลิกร้อก ฉันจะเลิกดื่มมันต่อหน้าซาแมนธาต่างหาก ไม่รู้ก็ไม่เจ็บ”
“มีแต่นายนี่แหละที่ทำให้การดื่มกาแฟกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้”
“เออแล้วก็ ฉันเอาเสื้อร้านกาแฟไปยัดใส่ลิ้นชักของนายเพิ่ม ใจจะได้ไม่ไขว้เขว”
ผมลองไปรื้อเสื้อออกมาดูเผื่อจะมีตัวสวยๆ ใช่แล้ว ผมมีลิ้นชักเสื้อผ้าในห้องนอนของดีแลน และเขาก็มีลิ้นชักเสื้อผ้าในห้องนอนของผม เราไปค้างที่ห้องของกันและกันบ่อยจนเรื่องแบบนี้มันไม่ได้แปลกอะไร ตอนที่ผมเริ่มโอเคกับการเปิดตัวเป็นเกย์ที่โรงเรียน ผมจะรู้สึกประหม่าตลอดเวลาไปโรงยิม เหมือนทุกคนคิดว่าผมจะพยายามแอบมองพวกเขา มันเจ๋งมากเลยนะที่ผมมีเพื่อนแบบดีแลน เขาไม่มีปัญหาเลยกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าผมหรือผมเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขา หวังว่าความเจ๋งของเขาจะไม่หายไปเหมือนทุกครั้งที่เขาเจอคนที่ใช่นะ
“เดี๋ยวนะ แล้วทำไมไม่เล่าเรื่องซาแมนธาให้ฉันฟังตั้งแต่เมื่อคืนตอนนายมาบ้าน” ผมถามเขา
“ไม่รู้ดิ” ดีแลนตอบ อย่างกับมันคือคำตอบที่เคลียร์แล้ว อย่างกับผมจะแค่ตอบเขาว่า “อ้อ โอเค” แล้วไปไล่เตะก้นเขาต่อในซูเปอร์สแมชอย่างงั้นแหละ
“นายไม่เคยบอกฉันทันทีเลยเวลานายไปปิ๊งใครเข้า”
“ลองพูดมาสักชื่อซิ”
“กาเบรียลลาแล้วก็เฮเธอร์แล้วก็นาตาเลียแล้วก็…”
“บอกว่าชื่อเดียว”
“…แล้วก็แฮเรียต มันแปลกน่ะ ปกติเราคุยกันทุกเรื่องนี่”
ดีแลนพยักหน้า “เพราะฉันไม่อยากโชคร้ายมั้ง นายก็รู้นี่ที่พ่อฉันเอาแต่พูดว่าเขารู้ว่าตัวเองจะแต่งงานกับแม่ตั้งแต่เจอกันตอนปีหนึ่ง ฉันรู้สึกกับซาแมนธาแบบนั้นเลย”
ผมทำเป็นเหมือนไม่เคยได้ยินเขาพูดแบบนั้นมาก่อน ล่าสุดเขาก็พูดถึงแฮเรียตแบบนี้ สุดท้ายก็เลิกกันไปเมื่อเดือนมีนา แต่ผมปล่อยไปเพราะครั้งนี้อาจจะรอดก็ได้ เราเล่นเกมกันไปเรื่อยๆ โดยที่ดีแลนพล่ามไม่หยุดเรื่องจะตั้งชื่อลูกคนแรกของเขากับซาแมนธาตามเครื่องดื่มร้อนอะไรดี และผมปฏิเสธที่จะเป็นคุณลุงเบนของเด็กคนไหนก็ตามที่ชื่อไซเดอร์
ผมแอบอิจฉานิดๆ นะที่ตอนนี้ดีแลนอยู่ในช่วงความรักครั้งใหม่กำลังผลิบาน เป็นช่วงที่ทุกอย่างดูเป็นไปได้ เหมือนที่เขาคิดว่าซาแมนธาจะเป็นรักแท้ของเขาจริงๆ เหมือนตอนที่ผมคิดว่าฮัดสันจะเป็นรักแท้ของผม เหมือนตอนที่ผมอดใจรอไม่ไหวที่จะตื่นมาเจอใบหน้าของเขา ดวงตาเนือยๆ คู่สวย ตุ่มเล็กๆ บนจมูก คิ้วที่ดูเจ้าเล่ห์สีน้ำตาลเข้มตัดกับผมสั้นสีน้ำตาลแดง เหมือนตอนที่เขาเปลี่ยนมุมมองของผมต่อโลกใบนี้ อย่างตอนที่เขาตอกกลับไอ้พวกขยะที่โรงเรียนที่มาหาเรื่องเขาเพราะท่าทางอ้อนแอ้น หรือตอนที่เขาช่วยให้ผมลืมความคิดโง่ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ชายควรจะดูเป็นยังไง ไหนจะความระทึกใจตอนที่เรามีอะไรกันครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะออกมาดีมั้ย สปอยล์เลยละกัน โคตรดี
อาทิตย์นี้ผมอาจจะจัดหนักหน่อย เอาให้อาจารย์คิดได้ว่าผมไม่จำเป็นต้องมาจมปลักอยู่ที่โรงเรียนไปจนถึงเดือนหน้า แล้วผมก็จะอยู่ในสภาวะปลอดฮัดสัน
แต่ถ้าให้พูดจริงๆ ยังไงผมก็คงต้องมาเรียนเสริมอยู่ดีต่อให้ไม่มีฮัดสันมาเกี่ยวก็เถอะ ผมไม่ค่อยถูกกับโรงเรียนเท่าไหร่
“นายคือที่หนึ่งในใจฉันเสมอ บิ๊กเบน” ดีแลนบอกผม “จนกว่าไซเดอร์ตัวน้อยจะเกิดมา”
“พี่น้องต้องมาก่อนลูก” ผมเรียกร้อง
“เท่ากันได้มะ”
ผมยักไหล่ “เท่ากันก็ได้”
“นายโสดไม่นานหรอก” ดีแลนพูดเหมือนเขาเป็นลูกบอลทำนายเวอร์ชั่นมนุษย์ตัวขาว “นายตัวสูง ทรงผมสไตล์ฮอลลีวูด ไม่ต้องพยายามอะไรก็ดูดี ถ้าฉันไม่มีคุณนายซาแมนธานามสกุลยังไม่รู้แต่รู้เมื่อไหร่จะเอาคำว่าบ็อกซ์ไปต่อท้าย ฉันมั่นใจว่านายจะทำให้รสนิยมฉันเปลี่ยนภายในหนึ่งปี”
“ปากหวานนะ การมีคนเป็นเกย์เพราะฉันนี่คงเป็นไฮไลต์ของชีวิตฉันเลย” ผมไม่สนพวกชายแท้ แต่ถ้ามีคนไหนอยากจะลองดูว่าอะไรเป็นอะไรล่ะก็ บ้านอเลโฮยินดีต้อนรับ จะถอดรองเท้าไว้หน้าประตูหรือจะใส่เข้ามาในห้องก็ได้ถ้าชอบอย่างนั้น
ผมชนะเกมตาแรกเพราะว่าผมคือผม แล้วเราก็เริ่มกันอีกตา
“มาคุยกันดีกว่าว่าทำไมนายถึงยังไม่ส่งกล่องนั่นไป” ดีแลนพูด ท่าทางอย่างกับจะเก็บเงินผมหลังคุยกันเสร็จยังไงยังงั้น
“นายต้องเลิกทำเสียงเหมือนนักบำบัดก่อน” ผมบอก
“เรามาเริ่มกันที่ทำไมนายถึงไม่ชอบน้ำเสียงของฉันกันดีกว่า เสียงฉันทำให้นายนึกถึงเจ้าหน้าที่ชั้นสูงรึไง”
ผมฆ่าเขาในเกมแล้วชูนิ้วกลางใส่
“ก็แค่…ฉันคิดจริงๆ ว่าจะมีโอกาสคืนกล่องให้เขาต่อหน้าเพื่อจบเรื่องทุกอย่าง แต่เขาก็ดันไม่มาเรียน รู้ตัวอีกทีฉันก็ไปอยู่ในที่ทำการไปรษณีย์และยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งเรื่องฮัดสันตอนที่แฟลชม็อบกรูเข้ามา แล้ว…”
“เดี๋ยว ย้อนกลับไปดิ๊”
“อาฮะ มีแฟลชม็อบ พวกนั้นแสดงเพลงของบรูโน มาร์ส แล้ว…”
“ไม่ใช่ ตรงผู้ชาย อะไร ใคร” ดีแลนหันมามอง เป็นอีกครั้งที่เขาเมินปุ่มหยุดเกมที่ดูกดยากซะเหลือเกิน “เลวมาก นายหลอกให้ฉันรู้สึกแย่แทนนายทั้งๆ ที่นายอ่อยคนอื่นไปตั้งนานแล้ว”
“ห่ะ เปล่าเว้ย ไม่มีอะไร มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นแล้วฉันก็ไม่ได้อ่อยใครด้วย”
“ทำไมวะ แล้วเขาเป็นใคร ชื่อ ที่อยู่ รหัสประกันสังคม ทวิตเตอร์กับอินสตาแกรม”
“ชื่ออาร์เธอร์ นามสกุลไม่รู้ ที่อยู่นี่ไม่รู้ชัวร์ๆ ชื่อออนไลน์ก็ไม่ แต่ว่านะ ทำไมคนเราถึงไม่ใช้แค่ชื่อเดียวกับทุกอย่างไปเลยวะ”
“มนุษย์น่ะซับซ้อน” ดีแลนพยักหน้าแบบดูมีความรู้ “นายรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง”
“เขายังใหม่กับที่นี่ มาจากจอร์เจีย ใส่เนกไทลายแปลกที่สุดที่เคยมีบนโลกใบนี้”
“เป็นเกย์มั้ย”
“อืม” เจ๋งดีนะเวลาได้รู้เลยว่าหนุ่มน่ารักเป็นเกย์รึเปล่า การต้องมานั่งพิสูจน์เองมันไม่สนุกเลย แถมส่วนใหญ่จะจบไม่ค่อยสวยด้วย
“รู้สึกเร่าร้อนขึ้นมาเลยแฮะ” ดีแลนเอามือพัดตัวเอง
“เขาน่ารักดี อืม แต่เตี้ยกว่าแบบที่ฉันชอบ น่าจะห้าฟุตเจ็ด หรือไม่ก็ห้าฟุตหกถ้าไม่ใส่บูท ตาฟ้าอย่างกับโฟโต้ช็อปเอา คือฟ้าแบบเอเลี่ยนเลย”
ดีแลนตบมือ “โอเค ซื้อ ตอนนี้ฉันจิ้นนายกับหนุ่มที่นายเจอตอนกำลังจะส่งของที่ระลึกจากความรักครั้งเก่าให้แฟนคนก่อนแล้ว”
ผมส่ายหน้าแล้ววางจอยแพดลง “ไม่เอาหรอก ดี มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่หรอกตอนนี้ ช่วงนี้คงต้องจิ้นฉันกับตัวเองไปสักพัก”
“นายคือความคิดที่ดีเสมอนะ บิ๊กเบน”
“พูดดีมากเลยเพื่อน ขอบใจนะ”
“ในอนาคตอันไม่ไกลเท่าไหร่ เราสองคนจะดื่มกันหนักเกินไป แล้วฉันก็จะเชิญตัวเองไปที่ห้องของนายตอนตีสอง แล้วเราก็จะ…นอนคลอเคลียกันอย่างรุนแรง ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดว่ามันเป็นความคิดที่แย่ในเช้าวันต่อมา”
“นายทำเสียบรรยากาศหมดละ”
“โทษๆ จริงจังละ” ดีแลนพูด “นายกำลังกดดันตัวเอง การที่ฮัดสันเป็นไอ้เฮงซวยที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวนายไม่ได้หมายความว่าคนต่อไปจะเป็นเหมือนกันนี่ ละคือแม่ง นายเจอหนุ่มน่ารักที่ไม่มีรสนิยมในการเลือกเนกไทในวันเดียวกันกับที่นายกำลังจะตัดใจจากแฟนเก่านะเว้ย มันคือสัญญาณ”
ผมนึกถึงตอนที่อาร์เธอร์กับผมคุยกันเรื่องจักรวาล แล้วภาพของเขาก็ชัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่เหมือนหนุ่มน่ารักทั่วไปที่ผมเคยเห็นในเมืองที่ผมมองแล้ววาดฝันถึงเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่แล้วก็ลืมหน้าพวกเขาไปในชั่วโมงต่อมา ฟันอาร์เธอร์ขาวสว่าง ไม่มีเขี้ยว ผมสีน้ำตาลยุ่งๆ แต่งตัวเต็มไปหน่อยสำหรับคนวัยเรา เอเลี่ยนคงจะแต่งตัวแบบนั้นตอนเดินทางมาจากระบบสุริยะอื่นแล้วพยายามทำตัวให้เหมือนมนุษย์ผู้ใหญ่โดยไม่ทันได้คิดว่าตัวเองหน้าเด็กขนาดไหน ผมไม่น่าวิ่งออกจากที่ทำการไปรษณีย์แบบนั้นเลย ดีแลนอาจจะพูดถูกก็ได้ ผมเมินสัญญาณไปจริงๆ
“ต้องไปแล้ว” ผมพูด รู้สึกเซ็งขึ้นมา “ได้เวลาทำการบ้าน”
“ในวันจันทร์ช่วงหน้าร้อน ใช้ชีวิตได้เต็มที่สุดๆ” ดีแลนลุกขึ้นจากเตียงมากอดผม
“ไว้โทรหานะ”
“ถ้าฉันไม่ได้กำลังคุยกับซาแมนธา ก็จะตอบ”
อย่างกับผมจะไม่รู้อย่างนั้นแหละ หวังว่าผมจะไม่เสียทั้งเพื่อนสนิททั้งแฟนไปในหน้าร้อนเดียวนะ
ผมกำลังจะเดินออกไป แต่ดีแลนเรียกผมไว้ก่อน
“ลืมอะไรไปรึเปล่า” ดีแลนมองไปที่กล่องนั่น “ตั้งใจลืมเหรอ ฉันจัดการให้ก็ได้นะถ้านายต้องการ เดี๋ยวไปเอาหน้ากากสกีกับถุงมือมาใส่แล้วไปจัดการไอ้สวะนี่กลางดึกให้เลย จะต้องไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนทำ”
“ไปหาหมอบ้างนะ” ผมบอกเขาแล้วยกกล่องขึ้นมา “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดจริงหรือโกหก
ผมนั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือแล้วเปิดแล็ปท็อป ต้องรอสักสองสามนาทีกว่าเครื่องจะเปิดเสร็จเพราะมันไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดและไม่ใช่เครื่องรุ่นเก่าที่ถอยมาใหม่ด้วย เดอะซิมส์คงเล่นง่ายขึ้นเยอะถ้าผมมีเครื่องที่ดีกว่านี้
ผมควรทำการบ้านได้แล้ว แต่การจดจ่อกับวิชาเคมีก็ยากพออยู่แล้วต่อให้ไม่มีกล่องนี่วางอยู่ข้างๆ กล่องที่เต็มไปด้วยความทรงจำจากความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างแต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอะไรเลย บางครั้งผมก็โฟกัสแต่สิ่งที่ดีในความสัมพันธ์เพื่อไม่ให้ตัวเองโมโห อย่างตอนที่ฮัดสันวางคางลงบนไหล่ของผมเวลาเรากอดลากันตอนหมดวันเหมือนเขาไม่อยากกลับบ้านหรือแม้แต่จะก้าวห่างจากผมเลยสักฟุตเดียว หรือการที่ผมรู้สึกมีตัวตนเวลาอยู่กับเขาแม้แต่ตอนที่ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองไปทางอื่น เพราะผมรู้ว่าเขามองผมอยู่ หรือตอนที่เราสลับกันอ่านหนังสือคนละบรรทัด หรือตอนที่ผมชาร์จมือถือกับปลั๊กพ่วงทรงสายฟ้าเพื่อที่เราจะได้เฟซไทม์กันได้จนดึกดื่น
แต่ฮัดสันคนเดิมคนนั้นหายไปตอนที่การหย่าร้างของพ่อแม่เขาเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 1 เมษายน หลังจากแต่งงานกันมายี่สิบปี ฮัดสันมั่นใจว่านี่คือเรื่องล้อเล่นแผลงๆ ในวันเมษาหน้าโง่ที่แม่เอามาหลอกเขา เพราะเขาเชื่อว่าพ่อกับแม่จะกลับมาดีกันแน่นอน ขนาดตอนที่แม่ของเขาบอกว่าพวกเขาจะแยกกันอยู่แล้วย้ายจากบรูกลินไปแมนฮัตตัน ฮัดสันก็ยังหวังว่าพ่อกับแม่จะกลับมาคืนดีกัน เขามีจิตวิญญาณของตัวละครเด็กในหนังที่สร้างแผนการอันยิ่งใหญ่เพื่อทำให้พ่อกับแม่ของตัวเองกลับมาตกหลุมรักกันอีกครั้ง
การต้องมองความรักที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดแหลกสลายไปทำให้ความสัมพันธ์ของเราแย่ลง เราต่อกันไม่ติดอย่างแรง มันจะมีบางเวลาที่เขาไม่ต้องการให้ผมอยู่ใกล้ๆ เพื่อปลอบเขา ส่วนเวลาอื่นที่เราอยู่ด้วยกัน เขาก็จะพูดถึงความรักในด้านแย่ๆ ขึ้นมาทันที ผมทนอยู่นานจนในที่สุดก็ต้องถอยออกมา ผมให้โอกาสเขาหลายครั้งแล้ว…ผมให้โอกาสเราหลายครั้งแล้ว ผมแค่ไม่เก่งพอที่จะทำให้เขาเชื่อว่าความรักก็เป็นสิ่งที่ดีได้เหมือนกัน
แล็ปท็อปพร้อมใช้แล้ว ผมต้องระบายสักหน่อยก่อนทำการบ้าน ผมเลยเปิดไฟล์นิยายแฟนตาซีที่ผมแต่งเองมาตั้งแต่มกรา โดยมีผมเป็นตัวละครเอก นี่เป็นเวลาเดียวที่ผมรู้สึกชื่นชมการตั้งปณิธานปีใหม่ ผมหมกมุ่นกับนิยายของผมมาก ชื่อเรื่องว่า สงครามจอมเวททมิฬ ย่อสั้นๆ ว่า สคจท. ผมแต่งไว้อ่านเอง แต่วันหนึ่งผมอาจจะแบ่งให้คนอื่นในโลกอ่านก็ได้ หรืออย่างน้อยก็ให้ดีแลนอ่าน เขาอยากรู้จะตายอยู่แล้วว่าตัวละครที่ผมใช้เขาเป็นต้นแบบจะเป็นยังไง
ผมเลื่อนไปยังหน้าที่ผมเขียนค้างไว้
มันคือฉากที่มีตัวละครฮัดสันอยู่ด้วย เรื่องราวเริ่มขึ้นอย่างเรียบง่าย เบน-จามินกับฮัดโซเนียนแอบหนีออกจากปราสาทเซนกลางดึกและตะลอนเข้าไปในป่าดาร์กวู้ดเพื่อแอบพลอดรักกัน เบน-จามินใช้พลังวายุปัดเป่าหมอกออกไปและ…โว้ เหล่าผู้กระหายพลังชีวิตปรากฏตัวออกมาแล้วประหารฮัดโซเนียนแม่งเลย น่าละอายเสียจริง ผมบรรยายรายละเอียดเครื่องประหารกิโยตินอันมหึมาที่พวกเขาจะใช้ตัดหัวฮัดโซเนียนแบบลงลึกเพราะผมเป็นคนที่ชอบวาดภาพ แล้วตอนที่ผู้กระหายพลังชีวิตปล่อยมีดออกจากขาตั้ง ผมก็ปิดเครื่องทันที
ผมทำไม่ได้
ผมยังไม่พร้อมจะฆ่าฮัดสันทิ้ง หมายถึง…ฮัดโซเนียนน่ะ
หรือทิ้งกล่องนั่นไปด้วย
บางทีเราอาจจะคุยกันได้ เคลียร์ให้เรื่องมันจบๆ แล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันจริงๆ
ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นไงบ้าง
ใจผมเต้นรัวตอนผมเช็กอินสตาแกรมของฮัดสัน @HudsonLikeRiver (ฮัดสันเหมือนแม่น้ำ) เขาลงรูปเซลฟี่ไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ไม่รู้ทำไมแฮเรียตถึงบอกว่าเขาไม่สบายทั้งๆ ที่เขาก็ดูแข็งแรงดี เขาชูสองนิ้วในรูปพร้อมแคปชั่น #เดินหน้าต่อ ชัดเลยว่าความจริงแล้วเขาควรชูนิ้วไหนขึ้นมาแทน
ฮัดสันต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่าผมเลิกติดตามอินสตาแกรมเขา เหมือนกับที่เขารู้จักผมดีพอที่จะรู้ว่ายังไงผมก็ต้องกลับมาเช็กอินสตาแกรมเขาอยู่ดี เพราะโพรไฟล์ของเขาไม่ได้ตั้งค่าให้เป็นส่วนตัวเหมือนของผม แต่ถ้าเขาพร้อมจะเดินหน้าต่อแล้วจริงๆ เขาก็น่าจะมาโรงเรียนได้แบบไม่มีปัญหาอะไรนี่
ผมสงสัยว่าเขาเดินหน้าต่อแล้วจริงๆ เหรอ เขาบอกว่าผู้ชายที่ปาร์ตี้ไม่ได้อยู่ในนิวยอร์ก แต่พวกเขาอาจจะมีความสัมพันธ์ระยะไกลกันอยู่ก็ได้ บางครั้งผมก็คิดว่าฮัดสันอาจจะชอบแดนนี่ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยกัน แต่ฮัดสันสาบานว่าแดนนี่ไม่ใช่สเป็กเขาเลย กล้ามเยอะไป บ้ารถเกินไป แต่ก็อาจจะเป็นคนอื่นเลยก็ได้
คือผมจะลงรูปพร้อมแฮชแท็กเดินหน้าต่อก็ได้เหมือนกัน จักรวาลไม่พยายามจะช่วยอะไรผมสักอย่างเลยวันนี้ ไม่งั้นผมคงกำลังแชทคุยกับอาร์เธอร์แทนที่จะมานั่งส่องแฟนเก่าตัวเองอยู่อย่างนี้ ดีแลนปั่นหัวผมเข้าเต็มๆ เขามาปลุกความโรแมนติกในตัวผม แต่ปัญหาอยู่ที่ฮัดสัน ตอนเราเลิกกัน ฮัดสันบอกว่าความคาดหวังของผมสูงเกินไปและบางครั้งผมก็ฝันไปไกลเกิน ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนั้นมันแย่ตรงไหน ทำไมผมจะไม่อยากอยู่กับคนที่ทำให้ผมรู้สึกมีค่าล่ะ ทำไมผมจะไม่อยากอยู่กับคนที่อยากอยู่กับผมไปนานๆ
ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เจอคนแปลกหน้าน่ารักๆ ในนิวยอร์ก ปกติก็เห็นหน้าครั้งหนึ่งแล้วก็แค่นั้น แต่ผมได้คุยกับอาร์เธอร์ ได้รู้ชื่อเขา ผมออกจากโพรไฟล์ของฮัดสันแล้วพิมพ์ชื่อ อาร์เธอร์ ลงในแถบค้นหา แล้วคุณรู้อะไรมั้ย จักรวาลไม่ดันโพรไฟล์ของอาร์เธอร์คนที่ผมเจอขึ้นมาเป็นอันดับแรกเพื่อให้ชีวิตผมง่ายขึ้นหรอก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาร์เธอร์มีอินสตาแกรมมั้ย แต่ถ้าเขาเหมือนคนอื่นๆ ที่โรงเรียน เขาจะต้องโพสต์เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตลงทวิตเตอร์ ผมพิมพ์คำว่า อาร์เธอร์ ฮอตดอก เนกไท เพื่อดูว่าเขาได้พูดอะไรเกี่ยวกับเนกไทแปลกๆ อันนั้นรึเปล่า ไม่มีอะไรขึ้นมานอกจากทวิตเตอร์ที่พูดถึงการแข่งขันกินฮอตดอกที่ผู้ชายชื่ออาร์เธอร์เรียกร้องให้มีการไทเบรก ผมหาคำว่า อาร์เธอร์ จอร์เจีย แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องนู่นนี่นั่นอย่างผู้หญิงชื่อจอร์เจียดูหนังเรื่องคิงอาร์เธอร์ทุกเวอร์ชั่นรวดเดียว ไม่มีอะไรเกี่ยวกับอาร์เธอร์จากที่ทำการไปรษณีย์ที่ย้ายขึ้นมาจากจอร์เจียช่วงหน้าร้อนเลย
เวรเอ๊ย
ที่นี่คือนิวยอร์ก เพราะงั้นอาร์เธอร์จากที่ทำการไปรษณีย์จะไม่โผล่เข้ามาชีวิตของผมอีก คงไม่เป็นไรมั้ง ก็ใช่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราจริงๆ สักหน่อยนี่
ขอบใจที่ไม่ช่วยอะไรเลยนะ จักรวาล
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.