X
    Categories: everYWhat If It’s Usทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน What If It’s Us บทที่ 9 – บทที่ 10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

ตอนที่ 9

อาร์เธอร์

 

โอเค ไปตายซะกูเกิล

ไม่ คือ เอาจริงๆ เลยนะ ไปตายซะกูเกิล เคท ฮัดสันกับคริส โรบินสันก็ไปตายซะให้หมด ไปตายซะโทษฐานที่แต่งงานกันและโทษฐานที่มีตัวตนอยู่ เพราะรู้มั้ยว่ามีอะไรขึ้นมาบ้างตอนผมค้นหาชื่อฮัดสัน โรบินสัน สปอยล์เลยนะ ไม่ใช่ผู้ชายที่ร้านพาเนร่า

ผมหงายหลังลงบนเตียงและมองเพดาน ทั้งเครียดทั้งกระสับกระส่าย ผมรู้สึกเหมือนห้องมันเล็กลงกว่าปกติด้วย บางครั้งนิวยอร์กก็ให้ความรู้สึกเหมือนชุดคอร์เซ็ตเต็มตัว

มือถือผมสั่นในห้าวินาทีต่อมา อีธาน

ผมจ้องหน้าจอ เขาไม่ตอบแชทส่วนตัวผมตั้งหกอาทิตย์ แต่อยู่ดีๆ เขาก็เฟซไทม์หาผมเนี่ยนะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผมแค่แปลกใจ

ผมกดรับ

“อาร์เธอร์!” เจสซี่ร้อง ทั้งสองคนนั่งเบียดกันบนโซฟาในห้องใต้ดินบ้านอีธาน จะเรียกว่านี่คือแชทกลุ่มเวอร์ชั่นวิดีโอก็ได้ แต่ก็ดี คือมันเยี่ยมเลยแหละ อีธานกับเจสซี่ก็เยี่ยม ผมรักพวกเขา และพวกเขาก็โทรมาได้ถูกจังหวะพอดี

ผมยิ้ม “ไง! กำลังอยากคุยด้วยพอดีเลย”

พวกเขามองตากันแวบหนึ่งจนมองแทบไม่ทัน แต่แล้วเจสซี่ก็พูดขึ้นมา “อ้าวเหรอ มีไรล่ะ”

“ฉันเจอฮัดสันแล้ว”

“ฮะ ว่าไงนะ!”

“แต่ไม่ใช่เขาหรอก” ผมรีบพูด “ไม่ใช่คนเดียวกับที่เจอที่ที่ทำการไปรษณีย์ แต่ฉันว่าอาจจะเป็นแฟนของเขาก็ได้”

“แฟนเก่าต่างหาก” อีธานชี้นิ้วขึ้นมา “นายคือแฟนของเขา”

“เหอะ ก็อยากอยู่หรอก”

“นายคือคนที่กำลังจะเป็นแฟนของเขา” เจสซี่พูด “ว้าว นายเจอเขาได้ไงอ่ะ”

ผมเล่าเรื่องพาเนร่ากับพานินี่แล้วก็นามสกุลกับคิ้วของผู้ชายคนนั้นให้ทั้งคู่ฟัง แต่พอผมเล่าจบ เจสซี่กลับดูงงๆ “เดี๋ยวนะ นายรู้ได้ไงว่าเขาไม่ได้เป็นแค่คนชื่อฮัดสันเหมือนกันเฉยๆ”

“ก็…” ท้องผมหน่วงขึ้นมา อยู่ดีๆ หลักการของจูเลียตก็ดูดีแค่เปลือกนอกซะงั้น “ไม่รู้สิ ชื่อมันโหลขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เดวอน ซาวาตั้งชื่อลูกของเขาว่าฮัดสัน”

“เธอรู้แหงล่ะ” อีธานเอาศอกถองเจสซี่จากด้านข้าง

“เอาเป็นว่า ไม่มีอะไรเลยในกูเกิล เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์หรือที่ไหนเลย และฉันไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้”

สีหน้าเจสซี่ดูอ่อนลง “นายชอบเขามากเลยใช่มั้ย”

ผมร้องครวญ “ฉันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ฉันเจอเขาแค่ห้านาทีเอง ทำไมฉันยังคิดถึงเขาอยู่เนี่ย”

“เพราะเขาฮอตไง” อีธานออกความเห็น

“ฉันแค่ไม่เข้าใจ ทำไมจักรวาลถึงพาฉันมารู้จักผู้ชายคนนี้แล้วพรากเขาไปจากฉันในห้าวิต่อมาล่ะ”

“จักรวาลอาจจะพาเขากลับมาหานายก็ได้นะ” อีธานพูด “อาจจะผ่านอะไรมาบ้างนิดหน่อย ดูสมบุกสมบัน แต่ก็ถือว่าสภาพดีอยู่”

เจสซี่เงียบไปพักหนึ่ง เธอนั่งขบปากตัวเอง

“จักรวาลอาจจะอยากให้นายพยายามหาเขาให้เจอก็ได้” เธอพูดในที่สุด

“ก็พยายามอยู่เนี่ย! ฉันเพิ่งใช้เวลาทั้งชั่วโมงไปกับการกูเกิลหาผู้ชายแปลกหน้าที่ชอบกินพานินี่และไม่ได้เข้าค่ายดนตรีนะ”

“อืมมม” เจสซี่พูด เธอลุกขึ้นแล้วหายไปจากหน้าจอ

“เดี๋ยว เธอไปไหนน่ะ”

“ฉันคิดอะไรออก”

ผมมองอีธาน แล้วเขาก็ยักไหล่ เสียงฝีเท้าของเจสซี่ดังกระทบพื้น

ตอนนี้เลยเหลือแค่อีธานกับผม และเราเงียบไม่พูดอะไรเลย เขาแทบจะไม่ยอมสบตาผมด้วยซ้ำ

“งั้นนี่ก็…”

“อื้ม” เขากะพริบตา

“ทุกอย่างโอเคนะ”

“โอเคดีเลย”

“โอเค เยี่ยม”

“อื้ม” เขาเม้มริมฝีปากและมองตักตัวเอง “ว่าแต่เอ็มแอนด์เอ็มเป็นไงบ้าง”

หรือจะให้เรียกอีกอย่างคือไมเคิลกับมาร่า ซูสส์นั่นเอง สองสามีภรรยาที่ผมคิดว่าน่าจะกำลังนั่งรถไฟสายด่วนไปยังเมืองหย่าร้าง

“ดี!” ผมพูด “ดีสุดๆ”

แบบนี้โคตรแย่ แถมเจสซี่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ขอโทษนะ แต่เธอต้องรีบกลับมาแก้ไขสถานการณ์เดี๋ยวนี้ อีธานยังคงมองไปที่ไหนสักแห่งเหนือหน้าจอ เขาจะสังเกตมั้ยถ้าผมแชทหาเธอ แค่ส่งสัญลักษณ์เอสโอเอสไปแบบเร็วๆ อาจจะส่งคำขู่เล็กๆ ไปด้วยว่าถ้าเธอไม่กลับมาตอนนี้ ผมจะทำลายเธอซะ ผมจะไปขุดหาวิดีโอที่เธอสารภาพรักแอนเซล เอลกอร์ตตอนเกรดแปด และช่วยด้วยเถอะพระเจ้า ผมจะหาทางเข้าไปในห้องฉายหนังที่โรงหนังเรกอลเอวาลอนให้ได้เลย ถ้าเธอไม่คิดว่านี่คือการฉายภาพยนตร์ที่น่าจดจำที่สุดเท่าที่เคยมีมาของหนังเรื่องมิชชั่น: อิมพอสสิเบิลภาคหกล่ะก็ เธอน่ะ…

“เฮ้!” เธอพูดเสียงหอบแล้วกลับมานั่งข้างอีธานบนโซฟา “ฉันว่าฉันเจอฮัดสันละ”

“เดี๋ยว…อะไรนะ”

“อืมมมมมม โอ้พระเจ้า ฉันเพิ่งจะ…อาร์เธอร์ ฉันภูมิใจในตัวเองมากเลยตอนนี้ นายไม่รู้หรอก นี่มัน…แบบ มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ พร้อมรึยัง”

ผมพยักหน้าช้าๆ

“นายโอเคมั้ย นายดูไม่โอเคเลย” เธอหัวเราะ

“เธอก็เหมือนกัน” ผมเงียบไป “แน่ใจเหรอว่าใช่เขา”

“คือนายต้องดูรูปแล้วบอกฉันอ่ะว่าใช่มั้ย”

“มีรูปด้วยเหรอ” ท้องไส้ผมบีบตัว

“อย่าประเมินการใช้อินเตอร์เน็ตได้น่าขนลุกของฉันต่ำไปซะให้ยาก”

“ไม่เคยเลย” อีธานพูด

“เงียบซะ คืออยู่ดีๆ ฉันก็ปิ๊งขึ้นมาเว้ย ฉันกำลังคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่นัมราตาพูด แล้วฉันก็แบบ เดาได้มั้ย ฉันไปเสิร์ชหาฮัดสัน พานินี่มา”

“อ่า…”

“ไม่ ฟังก่อน ฉันเข้าทวิตเตอร์และพิมพ์ว่าฮัดสัน พานินี่ไปแบบตามตัวอักษรเป๊ะๆ และสิ่งแรกที่เด้งขึ้นมาคือผู้ชายชื่อ @HudsonLikeRiver นี่ขนลุกเลย เพราะมันเหมือนกับที่นายเคยพูด จำได้มั้ย ฮัดสัน แบบชื่อแม่น้ำ” เธอชี้มาที่ผมพร้อมรอยยิ้ม “ไงก็เถอะ ไอ้หนุ่มฮัดสันแบบชื่อแม่น้ำเนี่ยทวีตไปตอนสิบเอ็ดโมงสี่สิบสี่นาทีเมื่อเช้านี้ว่า อยากกินพานินี่จัง 5555

“โอเค…”

“อาร์เธอร์ เขาบอกว่าอยากกินพานินี่วันนี้สามสิบนาทีก่อนนายบังเอิญไปเจอเขากำลังสั่งพานินี่ และเขาก็ชื่อฮัดสัน!”

“แต่เราจะรู้ได้ไงว่าเขาคือฮัดสันคนนั้น เขาอยู่นิวยอร์กเหรอ”

เจสซี่โน้มตัวมาข้างหน้าและยิ้มกว้าง “ฉันยังพูดไม่จบ คืองี้ ฉันดูตรงประวัติเขา แต่มันคลุมเครือมาก ทวิตทุกอันของเขาก็คลุมเครือหมดเลย และมันก็เป็นทวิตที่ไม่ดี แบบไม่ดีเลยอ่ะ ไม่ใช่ไม่ดีแบบขำๆ ด้วยนะ แล้วรูปเขาก็เป็นตัวอีโมจิหน้าตัวเอง ฉันเลยแบบ ห่าเอ๊ย แล้วฉันก็นึกได้ว่าน่าจะลองเช็กอินสตาแกรมเขาดู เพราะคนส่วนใหญ่จะใช้ชื่อแอ็กเคาต์เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ เท่านั้นแหละ บู้ม @HudsonLikeRiver โพรไฟล์ตั้งสาธารณะ รูปประมาณห้าสิบล้านล้านล้านล้านรูป คิ้วสวยเฉียบมาก และเขาอยู่นิวยอร์ก อาร์ธ ฉันจะบ้าแล้วเนี่ย”

“โอ้ มาย ก็อด”

“นายไปเช็กเดี๋ยวนี้เลย” เธอบอก “แล้วค่อยคุยกันทีหลัง โอเค้”

เธอวางสาย แล้วผมก็นั่งอยู่อย่างนั้น ยังอึ้งอยู่ ผู้ชายชื่อฮัดสัน อยู่นิวยอร์ก คิ้วสวยเฉียบ คนที่อยากกินพานินี่เป็นอาหารกลางวันวันนี้ หนุ่มถือกล่องอาจจะติดตามเขาในอินสตาแกรมใช่มั้ยล่ะ อย่างน้อยก็ต้องมีรูปที่ถูกแท็กมาด้วยกันบ้าง ความคิดนี้ทำท้องไส้ผมปั่นป่วน แต่ช่างเถอะ

ผมสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนจะเข้าอินสตาแกรมแล้วพิมพ์ชื่อแอ็กเคาต์

ฮัดสันแบบชื่อแม่น้ำ @HudsonLikeRiver

แล้วผมก็เข้าไป

เจสซี่ส่งข้อความมา ใช่เขามั้ย

ผมแทบจะพิมพ์ตอบไม่ได้ ใช่เขาเลย ฮัดสัน ใช้ฟิลเตอร์แคลเรนดอน ใส่หมวกเบสบอลกลับหลัง รูปเซลฟี่เต็มไปหมด

แต่ผมต้องใจเย็นไว้ก่อน การที่เขาคือฮัดสัน โรบินสัน ผู้ชายแปลกหน้าที่สั่งพานินี่ ไม่ได้หมายความว่าเขาคือฮัดสันในกระดาษที่อยู่ มันไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ อย่างหนึ่งเลยคือไม่มีวี่แววของหนุ่มถือกล่อง หน้าฟีดของฮัดสันไม่มีรูปของเขาเลยแม้แต่รูปเดียว

แต่ผมก็ไล่ดูรูปเขาอยู่ดี เริ่มจากอันล่าสุด ไม่ได้พูดเล่นนะ แต่มันคือรูปไอ้พานินี่อันนั้นเลย รูปถัดไปเป็นรูปเซลฟี่ที่เขาถ่ายกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อแอ็กเคาต์น่ารักดี @HarriettThePie (ขนมพายแฮเรียต) แล้วก็เป็นรูปเซลฟี่ชูสองนิ้ว ติดแฮชแท็กเดินหน้าต่อ

เดินหน้าต่อ

ลงวันเดียวกันกับวันที่ผมเจอหนุ่มถือกล่อง…ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเป็นพิเศษ คนคนหนึ่งเดินหน้าต่อได้ด้วยหลายเหตุผล ฮัดสันอาจจะเปลี่ยนงานก็ได้ หรือไม่ก็เปลี่ยนทรงผม หรือไม่ก็เดินหน้าต่อจากขนมปังซุปเป็นพานินี่

แต่คอมเมนต์นี่สิ โดยเฉพาะคอมเมนต์นี้

 

@HarriettThePie ไม่มีเขานายก็อยู่ได้ คนดีของฉัน <3

 

เขา

ฮัดสันไม่จำเป็นต้องมีเขา

ผมแคปภาพหน้าจอของรูปนั้นกับคอมเมนต์ของแฮเรียตแล้วส่งให้เจสซี่กับอีธาน ใช่เขาเลย

เช้ด เข้ เจสซี่พิมพ์มา

โว้ว สุดยอด อีธานเสริมด้วย พร้อมส่งอีโมจินักสืบมาสามอัน ผู้ชายผิวขาวสองอันกับผู้หญิงผิวสีน้ำตาลหนึ่งอัน อย่างกับคนน่าขนลุกในอินเตอร์เน็ตที่กากที่สุดในโลกอย่างอีธานมีส่วนช่วยอะไรในการค้นพบครั้งนี้อย่างนั้นแหละ

แต่ผมร้อนรนเกินกว่าจะแคร์ อารมณ์ผมพุ่งทะลุพันแล้ว ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงเพื่อเตรียมเจาะลึกเจ้าแอพฯ นี่ ได้เวลานั่งลิสต์ข้อมูลแล้ว

@HudsonLikeRiver 694 โพสต์ 315 ผู้ติดตาม 241 กำลังติดตาม ข้อมูลส่วนตัวไม่มีอะไรมาก ฮัดส์อยู่นี่แล้ว เอ็นวายซีไงที่รัก

ผมเลื่อนดูรูปเขาอีกรอบทั้ง 694 รูป ไม่มีรูปหนุ่มถือกล่องเลยสักรูป ในรูปกลุ่มก็ไม่มี แถมไม่ได้ติดตามกันด้วย ผมเช็กรูปที่มีคนแท็กฮัดสัน แต่ก็ไม่เจอหนุ่มถือกล่องเหมือนกัน

คือบางทีทุกอย่างอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ เขาอาจจะเป็นคนชื่อฮัดสันอีกคน เป็นฮัดสันอีกคนที่อยู่ในนิวยอร์กและชอบผู้ชายและเพิ่งเลิกกับแฟนมา

แต่ผมไม่เห็นรู้สึกว่ามันคือเรื่องบังเอิญเลย

ฮัดสันกับหนุ่มถือกล่องอาจจะลบรูปของอีกฝ่ายและลบแท็กที่เพื่อนๆ แท็กมาออกหมดแล้วก็ได้ และพวกเขาต้องเลิกติดตามกันแหงอยู่แล้วเพราะคงทนเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ หนุ่มถือกล่องเลยอยากส่งของไปคืนให้ไง

เจออะไรบ้างมั้ย เจสซี่พิมพ์มา

ยังเลย อีโมจิคิ้วขมวด

ผมเปลี่ยนไปเช็กโพรไฟล์ของแฮเรียตเพราะเธอกับฮัดสันดูสนิทกัน และถึงเธอจะสนับสนุนให้ฮัดสันเดินหน้าต่อ เธอก็น่าจะรู้จักแฟนเก่าที่เขากำลังเดินหน้าหนีไปด้วยนี่

และ เชี่ย สี่พันโพสต์ เจ็ดหมื่นห้าพันผู้ติดตาม

โอเค งั้นแฮเรียตเพื่อนฮัดสันนี่เป็นอารมณ์แบบพวกเซเลบในอินสตาแกรมสินะ คือมัน…เจ๋งโคตรเลยนะ เอาจริงๆ เธอลงรูปเซลฟี่หน้าตัวเองที่ลงคอนทัวร์ตรงโหนกแก้มหนักๆ และกรีดอายไลเนอร์เป็นลวดลายประณีตเยอะมาก และตอนนี้ผมหยุดดูรูปพวกนี้ไม่ได้เลย ผมไม่ใช่คนชอบแต่งหน้าด้วยซ้ำ แต่รูปเธอมันน่าทึ่งมาก ผมคงกดติดตามแฮเรียตไปแล้วถ้าไม่ติดว่ามันจะดูน่าขนลุกขึ้นไปอีกระดับล่ะก็นะ

แต่แบบ…ว้าวจริงๆ ตั้งสติหน่อย อาร์เธอร์

ผมเลื่อนลงไปดูโพสต์เก่าๆ ของแฮเรียตตอนที่เธอไม่ได้ลงรูปเซลฟี่เยอะเท่ารูปที่ถ่ายกับเพื่อนๆ มีรูปเธอกับฮัดสันเยอะมาก กับผู้หญิงคนอื่นก็เยอะเหมือนกัน และมีเซ็ตรูปของผู้ชายไว้เคราที่แต่งตาเป็นยูนิคอร์นฟรุ้งฟริ้งเรียงกันในโพสต์เดียว รูปกลุ่มก็มี ผมจะหยุดดูรูปพวกนี้นานหน่อยและสแกนหน้าแต่ละคนช้าๆ ผมทำตัวเองใจหายใจคว่ำตลอดเพราะเกือบเผลอกดถูกใจรูปของเธอ ไม่ได้ตั้งใจน่ะ เป็นเพราะนิ้วที่ชอบสร้างความวินาศให้ตัวเองและความกระเหี้ยนกระหือรือในการแตะและขยายรูปของผมนี่แหละ

ตอนนี้ผมไล่ดูจนถึงช่วงเดือนมีนาแล้ว ผมเจอเซ็ตรูปกลุ่มตอนหิมะตกนอกร้านดเวนรี้ด ส่วนใหญ่เป็นภาพทุกคนกำลังเคลื่อนไหว…เล่นปาหิมะกัน…แต่ผมเห็นฮัดสันตรงข้างหลัง เขามองออกไปนอกกรอบและกำลังหัวเราะ

ผมเลื่อนไปด้านข้างดูรูปถัดไป ยังปาหิมะกันอยู่ แต่คราวนี้รูปเลื่อนไปทางขวานิดหนึ่ง ตอนนี้เห็นแล้วว่าฮัดสันกำลังหัวเราะกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ตัวเขาเบลอ

ผมเลื่อนไปดูอีกรูป

แล้วผมก็ลืมหายใจ

เพราะเขาคือผู้ชายคนนั้น ใช่เขาจริงๆ ด้วย เขาอยู่กลางรูป แก้มสีชมพูและกำลังยิ้มอายๆ ส่วนฮัดสันกำลังหัวเราะจนหน้าหงาย

เช้ด เข้

ผมถ่ายรูปหน้าจอแล้วส่งให้เจสซี่กับอีธานทันที ไม่มีแคปชั่น ไม่ใส่อีโมจิ

เจสซี่ตอบก่อนอย่างเคย โอเอ็มจี อาร์เธอร์ นั่นเขาเหรอ เธอไม่รอให้ผมตอบ หล่อจัง

หมอนี่อย่างหล่อ อีธานเสริม พร้อมอีโมจิขยิบตาเป็นแถบ

อีธาน เกอร์สัน: เพื่อนชายแท้ที่รับคุณได้ทุกอย่างแต่อยู่กับคุณแค่สองคนไม่ได้

คือผมรับได้นะถ้าเขาจะหุบปากไปน่ะ

ผมกลับมาที่หน้าฟีดของแฮเรียตและดูว่าโพสต์นั้นแท็กใครบ้าง เธอแท็กแค่ไม่กี่คนในรูปเล่นปาหิมะ และไม่ได้แท็กหนุ่มถือกล่องกับฮัดสัน สองคนนั้นอาจจะลบแท็กออกเองก็ได้ ผมเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ

เป็นชั่วโมงๆ

พอเจอรูปกลุ่ม ผมก็กดเข้าไปดูทุกรูป หลังจากนั้นก็มาไถดูผู้ติดตามของเธอ…ทั้งเจ็ดหมื่นห้าพันคน ก่อนจะไปดูว่าเธอติดตามใครบ้าง ผมเข้าไปเช็กโพรไฟล์ของคนที่ถูกแท็กในรูปเล่นปาหิมะและดูว่าแต่ละคนติดตามใครบ้าง

ไม่มีอะไรเลย

และไม่มีรูปของหนุ่มถือกล่องเลยด้วย

ผมยังคงไม่รู้ชื่อของเขา หนุ่มถือกล่องอาจจะพูดถูกแล้วก็ได้ บางทีจักรวาลคงเป็นไอ้ระยำจริงๆ

ตอนนี้ผมอยากกินช็อกโกแลต ไม่ใช่น้ำเชื่อมช็อกโกแลตที่ราดแค่กระจึ๋งหนึ่งบนวาฟเฟิลด้วย ผมอยากได้ของแรงๆ อย่างฌาคส์ ทอร์เรส* หรือพวกคุกกี้ดับเบิ้ลช็อกโกแลตชิปอันใหญ่เป้งของเลอเวนเบเกอรี่ ปัญหาสุดคลาสสิกของการอยู่อัปเปอร์เวสต์ไซด์คือใจคุณบอกว่าอยากกินเลอเวน แต่ความขี้เกียจของคุณดันจำขึ้นมาได้ว่ามีชามใส่ขนมวางอยู่ข้างๆ หม้อต้มกาแฟ

ความรู้สึกมันไปไม่สุด นั่นแหละที่ผมกำลังรู้สึก เหมือนผมได้รับสิ่งผมตามหามานานเพียงเพื่อจะมองมันหลุดมือไปแบบไม่มีทางแก้ ไม่มีอะไรที่ผมทำได้นอกจากย่องไปเคาน์เตอร์ห้องครัวแบบห่อเหี่ยวเต็มแก่

ห้องครัวเรามีกาแฟตุนไว้เต็มอีกครั้ง สงสัยพ่อจะออกไปซื้อมาไว้ ของดีซะด้วย ไม่ใช่สตาร์บัคส์ แต่เป็นเมล็ดกาแฟคั่วอาร์ติซานแบบฝรั่งเศสของดรีมแอนด์บีน…

ในอกผมมันตุ้บๆ แล้วหัวใจผมก็จำขึ้นมาได้ก่อน

ดรีมแอนด์บีน เสื้อของเขา ผมลืมเสื้อยืดของเขาไปได้ยังไง ถ้าผมเป็นนักสืบ หัวหน้าคงไล่ผมออกไปแล้ว นี่ถือเป็นคำใบ้สำคัญได้เลยนะ และมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง ใครจะไปใส่เสื้อยืดของร้านกาแฟกันล่ะ

พนักงานร้านกาแฟไง นั่นแหละ

ผมรีบค้นในกูเกิล เกือบสะกดคำว่า ‘บีน’ ผิดด้วย ใจผมเต้นโครมครามในอกตอนผมพยายามคิดภาพ เขายืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ดูเบื่อๆ เพ้อๆ และกระเซอะกระเซิงแบบน่ารัก ผมจะเดินเข้าไปในร้านแบบสโลว์โมชั่นกลางไฟระยิบระยับที่ส่องลงมา ฝาแฝดหนวดกระดกจากที่ทำการไปรษณีย์ก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน แต่คราวนี้เราจะแทบไม่ทันสังเกตพวกเขา เราจะไม่อาจละสายตาจากกันและกันได้ ริมฝีปากเหมือนเอ็มมา วัตสันของเขาจะสั่นระริก อาร์เธอร์เหรอ เขาจะพูดแบบนี้ และผมจะแค่พยักหน้า ความรู้สึกท่วมท้นในอก นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เขาจะพูดออกมา ตามหาซะทั่วเลย และผมจะกระซิบตอบว่า นายเจอฉันแล้ว แล้วเขาก็จะ…

ว้าว โอเค ต้องวางแผนแล้ว

เพราะเขาอาจจะไม่มาทำงานในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ผมควรเอารูปไปเผื่อไว้ด้วย มันจะดูน่าขนลุกเกินไปมั้ยอ่ะถ้าผมเอารูปเขาไปให้บาริสต้าที่ร้านดู

หรือไม่ผมก็น่าจะเอารูปเขาไปติดที่บอร์ดประกาศ เหมือนเป็นโพสต์ตามหาคนในชีวิตจริง เป็นเคร็กส์ลิสต์แบบล้าสมัย คือร้านกาแฟเขามีบอร์ดประกาศกันทุกร้านนี่ คิดว่านะ

เท่าที่รู้คือผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่

ผมวิ่งลิ่วกลับห้อง ก่อนจะเปิดแล็ปท็อปแล้วพิมพ์ลงไป

 

นายใช่ผู้ชายจากที่ทำการไปรษณีย์รึเปล่า

ตอนนี้ฉันประหม่ามากเลย และก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าฉันกำลังทำแบบนี้ แต่เอาล่ะ

พวกเราคุยกันแป็บหนึ่งที่ที่ทำการไปรษณีย์ในเล็กซิงตัน

ฉันคือคนที่ใส่เนกไทลายฮอตดอก ส่วนนายกำลังจะส่งของคืนให้แฟนเก่า

ฉันชอบเสียงหัวเราะของนายมากเลย ตอนนั้นน่าจะขอเบอร์นายไว้

อยากให้โอกาสฉันอีกสักครั้งมั้ย จักรวาล

Arthur.Seuss@gmail.com

ตอนที่ 10

เบน

 

“คูลค็อฟฟี่แม่งห่วยแตก” ดีแลนพูดตอนเราเดินออกมาจากดรีมแอนด์บีนพร้อมกาแฟแก้วใหม่แทนที่จะเติมในแก้วเก็บความร้อนในเป้ของผม เขาอารมณ์บูดตั้งแต่พูดออกไปว่าซาแมนธาคือว่าที่ภรรยาของเขาแบบที่ปกติแล้วจะไม่พูดกับใครนอกจากผม พูดกับผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ไปบอกผู้หญิงแบบนั้นน่ะเหรอ ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันสองวันเนี่ยนะ มันจะไปดีได้ยังไง “แบบนี้อาจจะดีแล้วก็ได้ กาแฟห่วยๆ มันก็คือกาแฟห่วยๆ อยู่ดี และซาแมนธาเป็นคนทำ ถ้าฉันแต่งงานกับเธอในอนาคต ฉันคงต้องใช้ชีวิตในโลกที่สร้างขึ้นมาอีกใบ ฉันอาจจะสารภาพความจริงกับเธอตอนนอนแก่ใกล้ตายอยู่บนเตียง จะได้ตายไปอย่างคนที่ซื่อสัตย์”

ผมส่ายหน้า “ทำไมนายถึงเป็นคนแบบนี้วะ”

“กินกาแฟห่วยๆ มาเยอะเกินไง บิ๊กเบน”

“มันยังไม่จบสักหน่อย ฉันว่าเดี๋ยวเธอก็คิดได้เองแหละว่านายอ่ะแค่ดีแลนมากไปหน่อยจนเผลอดีแลนมากเกินไป”

“การดีแลนไม่ใช่เรื่องไม่ดี การดีแลนใครสักคนน่ะแปลว่านายรักคนคนนั้น ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะชงกาแฟได้ห่วยที่สุดในโลกสีเขียวที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาก็เถอะ”

เราเดินลัดวอชิงตันสแควร์ปาร์ก หนุ่มเม็กซิกันใส่แว่นแนวฮิปสเตอร์หน้าตาดีคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่ง เขาผงกหัวไปตามทำนองเพลงอะไรก็ตามที่เล่นอยู่ในหูฟังของเขาขณะกินไอศกรีมไปด้วย ไอศกรีมคืออาหารที่ฮัดสันชอบ ไม่ใช่ของหวาน แต่เป็นอาหารเลย มีครั้งหนึ่งเราเล่นเกมกัน ผมจะหลับตา แล้วเขาก็จะตักไอศกรีมที่เหลืออยู่ในช่องแช่แข็งของเขามาป้อนผมหนึ่งช้อน และผมต้องทายว่าเป็นไอศกรีมอันไหน ตอนนั้นเป็นช่วงต้นเดือนมีนา ตอนที่การทำเรื่องเล็กน้อยโง่ๆ ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งที่สุดแสนพิเศษ เหมือนเป็นอะไรที่เราทำกันแค่สองคน

มือถือดีแลนดัง “ซาแมนธาโทรมาล่ะบิ๊กเบน ฮ่า! รู้หรอกว่าเมียจ๋าขาดแด๊ดดี้ดีไม่ได้”

“เกลียดทุกคำที่นายเพิ่งพูดออกมาเลยว่ะ นิ่งไว้เพื่อน”

ดีแลนขยิบตาให้ผม แต่ผมรู้ว่าเขากำลังตกใจอยู่แน่นอน เขารับสาย “ไง ฉัน…” รอยยิ้มเขาเจื่อนลง “โอ้” ใจผมหล่นนิดหน่อยแทนเขา เขาหันมาหาผม “ของนาย”

โอเค นี่ไม่ใช่ตอนจบหักมุมแสนสุขที่พวกเราคิดไว้ตอนแรกแน่

ผมรับมือถือมา “ว่าไง”

“เหมือนฉันจะเจอพ่อหนุ่มของนายแล้ว” ซาแมนธาพูด

“อะไรนะ”

“มันไม่ง่ายเลย แต่ฉันก็ลองไปค้นๆ มา ฉันลองไปเสิร์ชหาสำนักงานกฎหมายในจอร์เจียที่มีสาขาที่นิวยอร์กแต่ไม่เจออะไร ฉันเลยเข้าอินสตาแกรมแล้วหาเนกไทลายฮอตดอกตามแฮชแท็ก แต่รูปล่าสุดมันตั้งแต่ปีที่แล้ว เลยตัดทิ้งไป ทีนี้ฉันไปหาพวกกลุ่มน้องใหม่ของมหา’ลัยเยลในเฟซบุ๊กและเห็นว่ามีนัดรวมตัวน้องใหม่เยลที่นิวยอร์ก…วันนี้ตอนห้าโมง”

“ล้อเล่นแน่ๆ” ผมพูด

“ฉันกำลังส่งลิงก์กลุ่มในเฟซบุ๊กไปให้”

มือถือสั่นใส่หน้าผม ผมเปิดแชทและกดที่ลิงก์ ‘คลาส 2022 นัดรวมตัวที่เซ็นทรัลปาร์ก’

“ไม่รับประกันนะว่าเขาจะอยู่ที่นั่นมั้ย” ซาแมนธาพูด “ฉันไล่ดูลิสต์ของคนที่ตอบว่าจะมาเข้าร่วม แต่คนเราน่ะนะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมานั่งตอบอะไรแบบนี้เหมือนที่ไม่ค่อยเขียนว่าขอแสดงความนับถือท้ายบัตรเชิญนั่นแหละ ฉันเลยรู้สึกมีหวังอยู่”

“ว้าว เธอสุดยอดเลย” ผมพูด

“ตอนนี้ฉันคุยกับนายในเวลางานอยู่ เดี๋ยวต้องออกจากห้องเก็บของแล้ว แต่ก็ขอให้นายโชคดีกับการตามหาเขานะ บอกดีแลนให้ด้วยว่าบาย!”

“ขอบใจนะ” ผมพูดตอนเธอวางสายพอดี

“เกิดไรขึ้น เธอพูดถึงฉันมั้ย” ดีแลนถาม

“ดี เสียใจด้วยนะ เธอกำลังจะวิ่งสู่พระอาทิตย์อัสดงไปกับแพทริกแล้ว” ผมพูด เขาพยายามแย่งมือถือคืนแต่ผมไม่ให้ “ล้อเล่นน่า แต่ฟังก่อน เหมือนเธอจะเจออาร์เธอร์แล้ว มีนัดรวมตัวน้องใหม่เยลวันนี้ อะไรจะสะดวกขนาดนั้น”

“ช่าย ว่าที่ภรรยาฉันทำให้นายทุกอย่างนี่มันสะดวกมากเลย”

“นายก็รู้ว่าฉันหมายความว่าไง มีอะไรตั้งมากมายให้อาร์เธอร์ทำในเมืองต่างถิ่น เดี๋ยวเขาก็เจอคนพวกนี้อยู่ดีตอนเริ่มเรียน เขาคงไม่ไปนัดรวมตัวหรอก”

“เราไม่ต้องไปก็ได้” ดีแลนแย่งมือถือกลับไปแล้วดูกลุ่มนั้น “ว้าว ซาแมนธากำลังเสียเวลาทำงานในร้านกาแฟน่าสลดแบบนั้น ให้เธอเป็นเฮอร์ไมโอนี่ในกลุ่มเราสามคนก็ได้นะ ฉันจองแฮร์รี่”

“งั้นฉันก็เป็นรอนน่ะสิ”

“แย่หน่อยนะ”

“รอนได้กับเฮอร์ไมโอนี่ตอนจบ”

“โอเค แต่…ฉันไม่อยากเป็นรอน ไม่มีใครอยากเป็นรอน รูเพิร์ต กรินต์เองก็คงไม่อยากเป็นรอนเหมือนกัน เอางี้เป็นไง ฉันเป็นฮาน โซโล เธอเป็นเจ้าหญิงเลอา ส่วนนายคือลุค”

“ฉันไม่สนหรอก” ผมพูด “โฟกัสหน่อย”

“ช่ายๆ เราควรไปที่ที่เขานัดรวมตัวกัน อาร์เธอร์อาจจะไม่อยู่ที่นั่น แต่ก็อาจจะอยู่ก็ได้” ดีแลนพูด

แค่รู้ว่าเขาอาจจะอยู่ที่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผมก้าวขาต่อไปแล้ว “ไปกันเถอะ”

“ขอพลังจงอยู่กับเจ้า รอน วีสลีย์”

 

“เราควรมีนามแฝงนะ” ดีแลนพูด

เราเดินเข้าไปในเซ็นทรัลปาร์กและมุ่งหน้าไปปราสาทเบลเวเดียร์ที่เป็นจุดนัดรวมตัว การได้เจออาร์เธอร์อีกครั้งที่ปราสาทเหมือนในเทพนิยายสุดเพอร์เฟ็กต์มันดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แย่หน่อยที่ตอนนี้กลิ่นตัวผมเหมือนโคโลญของพ่อ แถมยังใส่เสื้อโปโลตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วซึ่งตอนนี้คับมาก เพราะนี่แหละสไตล์ของเยล ชัดเลย

“นามแฝงมีแต่จะทำให้เรื่องมันซับซ้อนขึ้นไปอีก” ผมพูด ผมล่ะหวังให้ก่อนหน้านี้เราไม่ได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนจริงๆ เพราะผมแค่อยากใส่เสื้อที่ผมชอบเท่านั้นเอง

“เท่ขึ้นไปอีกต่างหากใช่มะ ฉันว่าฉันจะชื่อดิกบี้ วิตเทเกอร์ ส่วนนายชื่อบรูกส์ ทีค”

“ไม่”

“งั้นก็ออร์สัน บรอนวินย์”

“ไม่”

“ตัวเลือกสุดท้ายแล้วนะ อินแกรม เยตส์”

“ไม่” เราเดินขึ้นบันไดที่จะนำเราไปสู่จุดนัดรวมตัว “โอเค ดี ขอคุยจริงจังหน่อย ตอนนี้ฉันจะประสาทกินแล้ว ฉันอยากเจออาร์เธอร์มากจริงๆ แต่ฉันก็รู้สึกแปลกๆ ที่ตั้งความหวังไว้กับคนที่ไม่รู้จัก ฉันต้องการคำแนะนำจากคนช่วยจีบ ดิกบี้ วิลสัน”

“วิตเทเกอร์” ดีแลนแก้ เขาตบมือ “ถ้าอาร์เธอร์อยู่ที่นี่จริงๆ แล้วพวกนายปิ๊งปั๊งกัน เดี๋ยวหมดหน้าร้อนนี้เขาก็กลับแล้วใช่มั้ยล่ะ คิดซะว่าเขาเป็นเพื่อนแก้เหงาละกัน”

“ไม่เอา ฉันไม่อยากทำกับใครแบบนั้น รวมตัวฉันเองด้วย”

“ถูกของนาย คำแนะนำฉันห่วยเอง บิ๊กบรูกส์”

“เบนเว้ย”

“หลอกนายไม่ได้เลยสินะ” ดีแลนคว้าไหล่ผมทั้งสองข้างและจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมเหมือนโค้ชจอมเคร่งกับลูกศิษย์ของเขา “นายอาจจะควรพักก่อนแล้วค่อยเดินหน้าต่อก็ได้ ฉันเคารพการตัดสินใจของนายถ้านายอยากไปจากตรงนี้ แต่ฉันรู้ว่านายเป็นนักฝัน บิ๊กเบน และจักรวาลอาจกำลังให้โอกาสครั้งที่สองกับนายตอนนี้จริงๆ”

หวังว่าเขาจะพูดถูกนะ ผมหวังว่าจักรวาลจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมคิดผิดและให้โอกาสผมจริงๆ…ให้เราทั้งสองคนเลย

“อาจเป็นงั้น” ผมพูด

“ถ้านายไม่ทำเพื่อตัวเอง อย่างน้อยก็ทำเพื่อคนในรถไฟที่ต้องทรมานกับกลิ่นโคโลญของนายในระยะประชิดละกัน”

“ไอ้เวร”

เรามาถึงชั้นบนสุดที่เป็นพื้นที่โล่ง แสงอาทิตย์ ทะเลสาบและส่วนที่เหลือของสวนเหยียดยาวไปด้านหลังกลุ่มน้องใหม่ของเยล พวกผู้ชายส่วนใหญ่ตัวสูง ผมเลยเดินลากเท้าไปรอบๆ แต่ในบรรดาผู้ชายประมาณยี่สิบคน บางคนใช้โคโลญที่หอมกว่าของพ่อผมเยอะ และไม่มีคนไหนที่ใช่อาร์เธอร์

“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่” ผมพูด “และมีแค่เราที่ใส่เสื้อโปโล”

“ยังเร็วอยู่ไง” ดีแลนบอก “อาร์เธอร์อาจจะมาที่นี่ในเสื้อโปโลก็ได้มั้ง”

ผมถลึงตา

“เรามาที่นี่แล้ว พยายามสนุกหน่อยดีกว่า” ดีแลนพูด “ถ้านายให้ฉันกลับบ้าน ฉันก็จะแค่นั่งฟังเพลงเศร้าพลางมองออกไปนอกหน้าต่างและสะดุ้งทุกครั้งเวลามือถือสั่นก่อนจะเศร้ากว่าเดิมตอนที่เห็นว่านายส่งข้อความมา ไม่ใช่ซาแมนธา”

“นายทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่ก็ได้ อยู่ต่อละกัน”

“อืม” ดีแลนมองไปรอบๆ “เยลนี่คนแจ่มๆ เยอะนะ ไม่รู้สึกมีแรงผลักดันให้เรียนหนักๆ ปีสุดท้ายแล้วพยายามสอบชิงทุนเต็มจำนวนให้ได้รึไง”

“แต่ไม่มีคนใส่เนกไทลายฮอตดอกนี่สิ”

“ตัวกระตุ้นทางเพศแบบใหม่เหรอ”

“เปล่า แค่…มันดีนะที่ได้เห็นคนที่ไม่คิดมากเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเองขนาดนั้น”

“อ่า มีคนที่อยู่ที่นี่จริงๆ กำลังส่องนายอยู่” ดีแลนพูด “สิบเอ็ดนาฬิกาตอนเช้า”

“จะตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ไม่สำคัญสักหน่อย”

“สำคัญสิ เขามีออร่าแบบเดตกันด้วยมื้อเช้าก่อนสาย ไม่ใช่ออร่าแบบพาฉันเข้าไปในห้องน้ำแล้วบั๊มก้นกันเถอะตอนเย็น”

ผมมองผู้ชายคนนั้นแทนที่จะถามดีแลนว่าเขารู้จักใครที่มีกิจกรรมทางเพศโดยการบั๊มก้นกันบ้างเหรอ เพราะผมรู้ดีว่าเขาจะมีคำตอบ ส่วนผมน่ะมีขีดจำกัด ผู้ชายคนนั้นน่ารักมากและดูเป็นพวกเดตด้วยมื้อเช้าแบบเต็มๆ เลย ผิวสีน้ำตาลเข้ม เสื้อตัวนอกสีพีช เสื้อตัวในสีขาว กางเกงสแล็กส์สีกรมท่ายาวเหนือข้อเท้า รองเท้าผ้าใบขอบต่ำสีขาวที่น่าจะแพงกว่าเงินที่ผมเอาไว้ใช้ซื้อเสื้อผ้าสามเดือน สไตล์ของเขาดูเหมือนไม่ต้องพยายามอะไรมาก แต่ถ้าผมได้เรียนรู้อะไรมาบ้างจากดาวดวงใหม่แห่งอินสตาแกรมอย่างแฮเรียต นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามนั้นต้องใช้ความพยายามหนักมาก แต่มันก็คุ้มค่าถ้าอยากให้คนกดถูกใจเยอะๆ แถมยังดูดีด้วย

“ดูดีมีสไตล์” ผมพูด ผมโคตรจะอายที่ตัวเองใส่โปโลคับๆ แบบนี้ “แต่ฉันรู้สึกเหมือนฉันอยากเป็นเขามากกว่าอยู่กับเขาน่ะ”

“บางทีเราน่าจะลองทักเขาดูก่อนจะตัดเขาออกนะ”

“เราไม่รู้นี่ว่าเขาชอบผู้ชายรึเปล่า”

“งั้นนายก็แค่ขายหน้าเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่านายจะต้องใช้เวลาสี่ปีที่เยลกับเขาสักหน่อย”

อย่างกับผมไม่รู้อย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรในใบเกรดของผมที่ทำให้พ่อกับแม่คาดหวังว่าผมจะจบจากมหา’ลัยชื่อดังในกลุ่มไอวีลีกอยู่แล้ว แม่อยากให้ผมเรียนต่อมหา’ลัย จะได้ไม่มีใครมองข้ามผมเหมือนกับที่แม่โดนมาหลายปี แต่ผมว่ามันก็เท่านั้นน่ะแหละ คือถ้าผมต้องแข่งกับใครสักคนที่ยืนอยู่ในกลุ่มนี้ พวกเขาก็จะมองว่าผมคือเบนจากมหา’ลัยชุมชน ไม่ใช่เบนจากเยล แล้วผมก็จะแพ้ไป

แล้วตอนนี้ผมก็เจอผู้ชายหน้าตาดีที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรด้วยขึ้นมาซะเฉยๆ ผมเคยรู้สึกแบบนี้กับฮัดสันเหมือนกัน แต่ผลก็ออกมาดีก่อนที่ทุกอย่างจะพังลง ผมคุยกับคนแปลกหน้าไม่เก่ง เหมือนที่ผมคงไม่กล้าเข้าหาอาร์เธอร์ก่อนนั่นแหละ แต่ตอนนี้มันมีช่องเปิดอยู่ ผมเลยลากดีแลนไปทักทายผู้ชายคนนั้นด้วยกัน เขากำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมฮิญาบสีเหลืองสว่าง

“หวัดดี ฉันเบน”

“ฉันดิกบี้ วิตเทเกอร์”

“โว้ว ชื่อเฟี้ยวมาก” หนุ่มน่ารักพูด

“ขอบใจ แล้วนายล่ะ” ดีแลนถาม

“เคนต์ มิเชล” เขาตอบและจับมือกับดีแลน ก่อนจะจับมือกับผมอีกที

ผมหันไปหาผู้หญิงคนนั้น “ฉันเบน”

“ฉันอลีมา” เธอพูด “พวกนายตื่นเต้นมั้ย”

ดีแลนกระแอม “โอ้ แน่นอน ตื่นเต้นมากเลยที่จะได้ต่อยอดความรู้เรื่องโลกสมัยใหม่ ยุคโบราณ และกรีก ฉันล่ะอยากตั้งชื่อลูกชายว่าอคิลีสเพราะฉันคิดว่าความฉิบหายน่ะเป็นบทเรียนที่ดี”

ผมไม่…

ผมแค่…

เหมือนบางครั้งดีแลนก็พยายามจะดีแลนให้สุดจนเกินตัวเองไปเลย

“ฟังดูน่าสนุกกว่าจริยศาสตร์ รัฐศาสตร์ กับเศรษฐศาสตร์นะ” เคนต์พูด “สนุกล่ะงานนี้” ดีแฮะ เขาไม่ทะนงตัวถึงขนาดที่คิดว่าวิชาเอกของตัวเองน่ะน่าประทับใจ ได้คะแนนความเท่ไปเต็มๆ “นายล่ะชอบอะไร”

ให้ตายเถอะ แก้มผมแดงขึ้นมาหน่อยตอนที่เขาถามผมด้วยท่าทางแบบนั้น แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมไม่รู้เลยว่าที่เยลเขามีคอร์สอะไรบ้างหรือมหา’ลัยเขาสอนอะไรกัน ผมยังไม่ขึ้นไฮสกูลปีสุดท้ายและยังไม่เคยคิดไปถึงขนาดนั้น งั้นก็ว่าไปตามตรงเลยละกัน “ฉันชอบงานเขียนน่ะ”

“เหมือนกัน!” เคนต์พูด “เคยชอบน่ะ อย่าล้อนะ แต่ฉันเคยเขียนแฟนฟิคหลายเรื่องเลย”

“โอ้ เบนไม่มีทางล้อนายเรื่องนั้นหรอก” ดีแลนพูด

“ฉันไม่ใช่เงือกน้อยผจญภัยนะ ฉันพูดเองได้” ผมพูดแบบเค้นเสียงหัวเราะ แบบ ฮ่าๆๆๆ หุบปากซะ ผมหันกลับไปหาเคนต์ “นายเขียนแฟนฟิคอะไรเหรอ”

“โปเกมอน” เคนต์ตอบ เขาหน้าเหยนิดหนึ่งเหมือนคิดว่าผมจะล้อเขา เขามีลักยิ้มด้วยแบบโอ้โห “ฉันรู้ว่ามันไร้สาระ แต่มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉันระหว่างโตขึ้นมาเลยนะ”

“ไม่ไร้สาระหรอก” อลีมาบอก

“ไม่เลย ฉันเคยขอร้องให้พ่อกับแม่พาฉันออกไปข้างนอกจะได้ไปจับเซนิกาเมะ”

“ฉันชอบปิกาจู” เคนต์พูด

“ปิกาจูนี่รักเลย” ดีแลนบอก

ผมดูไม่ออกแล้วว่าดีแลนคือคนช่วยจีบหรือคู่แข่งของผมกันแน่ ผมส่งสายตาแบบ เฮ้ ไสหัวไปซะดีมั้ย และคราวนี้เขาเข้าใจด้วย

ดีแลนหันไปหาอลีมา “เธอชอบทำอะไรแก้เบื่อเหรอ ใช้อะไรเป็นยาแก้เครียด ไม่ได้หมายถึงยาจริงๆ นะ เว้นแต่ว่ายาจริงๆ เป็นตัวเร่งของเธอ ไม่ได้หมายถึงตัวเร่งแบบในยานะ…”

ขอโทษจากใจจริงเลยนะอลีมา แต่ผมรู้สึกถูกชะตากับเคนต์ และบางทีผมอาจจะมาที่นี่เพื่อตามหาคนที่ไม่โผล่มาและกลับไปพร้อมใครอีกคนที่อาจจะดีกว่าสำหรับผมก็ได้

“แล้วฉันจะไปหาอ่านแฟนฟิคปิกาจูนี่ได้ที่ไหนเหรอ” ผมถาม

“มันหายไปนานแล้วล่ะ ทำลายไปแล้ว ฉันโยนมันลงปล่องภูเขาไฟแล้วโยนภูเขาไฟลูกนั้นลงปล่องภูเขาไฟอีกที” ถ้าเสียงหัวเราะเบาๆ ของเคนต์จะมีเสน่ห์ขนาดนี้ งั้นผมก็ทนรอฟังเสียงหัวเราะของเขาจริงๆ ไม่ไหวแล้ว “นายโตแถวไหนเหรอ”

“อัลฟาเบ็ตซิตี้” ผมพูด

“ไม่จริงน่า อยู่ใกล้ฉันเลย ฉันอยู่ห่างจากยูเนียนสแควร์ไปสองช่วงตึก”

โอเค แบบนี้ค่อยเหมือนจักรวาลยื่นมือมาช่วยจริงๆ บ้านเราอยู่ห่างกันในระยะสิบห้านาที แถมตอนนี้เราได้เจอกันแล้วด้วย

“พ่อฉันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่ดเวนรี้ดตรงข้ามถนนของยูเนียน” ผมพูด ผมภูมิใจในตัวพ่อผมนะ แต่ไอ้พวกเฮงซวยที่โรงเรียนบางคนดูถูกครอบครัวผมเพราะพ่อแม่ผมไม่ได้ทำงานที่ ‘เจ๋งกว่านี้’ แต่ดีแลนก็ใช้กำลังหุบปากพวกเขาซะหมด มันรู้สึกดีนะที่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเลยเผื่อว่าเคนต์เป็นพวกหัวสูง

“ฉันไปร้านนั้นตลอดเลย ฉันมีหน้าที่ทำอาหารวันอังคารกับวันพฤหัสน่ะ เลยต้องไปซื้อของที่นั่น”

“แต่ร้านโฮลฟู้ดส์อยู่ห่างไปแค่ช่วงตึกเดียวเองนะ” ผมบอก ดูจากรองเท้าผ้าใบกับเสื้อของเขาแล้ว ครอบครัวของเขาน่าจะจ่ายเงินซื้อของแพงกว่านี้ได้

“แถวยาวเป็นไมล์ตลอดเลยน่ะสิ แถมของที่จะเอามาทำอาหารสเปนแบบเร็วๆ ได้ก็อยู่ที่ดเวนรี้ด” เคนต์พูด

“โอ้ เจ๋งเลย นายเป็นคนเปอร์โตริโกรึเปล่า หรือ…”

“ใช่” เคนต์บอกแล้วยิ้มอีกครั้ง ผมยังยืนยันไม่ได้ว่าเขาชอบผู้ชายรึเปล่า แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไปได้สวยล่ะนะ

“ฉันก็เหมือนกัน! ทุกคนชอบคิดว่าฉันเป็นคนขาว แย่มากเลย” ผมพูด “มันน่ารำคาญนะที่ต้องคอยอธิบายตลอด”

เคนต์กัดริมฝีปากและพยักหน้า “อย่างน้อยก็ไม่มีคนคอยเดินตามนายในร้านขายของชำเหมือนนายพยายามจะขโมยอะไรสักอย่าง และฉันรู้เลยว่าไม่มีใครถามว่านายเข้าเยลเพราะอยากได้โควตาคนผิวสีรึเปล่า นั่นน่ะแย่จริง

ผมมองไปทางอื่นเพราะ ว้าว ถึงเคนต์จะไม่ได้เขวี้ยงหมัดมา แต่ผมก็รู้สึกเหมือนโดนต่อยอยู่ดี “โทษที ฉัน…” ความเงียบปกคลุมระหว่างเรา การต้องคอยบอกคนอื่นว่าผมเป็นคนเปอร์โตริโกมันไม่ใช่ปัญหาเลยพอเทียบกับสิ่งที่เคนต์ต้องเจออยู่ตลอด ผมแม่งโคตรเฮงซวย “ฉันไปช่วยอลีมาจากดีแลนดีกว่า”

“โอเค ไว้เจอกันนะเบน”

ไม่ได้เจอกันหรอก และแบบนั้นคงดีแล้วล่ะ

ผมเดินไปหาดีแลนและคว้าแขนเขา “ขอเราคุยกันแป๊บหนึ่งนะ” ผมพูดแล้วลากเขาออกมา “ฉันอยากกลับแล้ว”

“ล้อเล่นป่ะเนี่ย ฉันคิดผิดเองที่บอกว่าเขามีออร่าแบบตอนเช้า เคนต์น่ะเป็นพวกตอนเย็นแบบเพียวๆ เลย เขาอยากให้นายพาไปห้องน้ำแล้วจับปิกาจูกัน”

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าที่นายพูดน่ะมันหมายความว่ายังไง เราต้องคุยกันเรื่องวิธีมีเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันเองหน่อยละ” ผมส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันสร้างอนาคตที่เยลหรือกับเคนต์หรือกับอาร์เธอร์ไม่ได้หรอก ฉันพอแล้ว”

“นายไม่ยุติธรรมกับตัวเองเลย” ดีแลนพูด

“คงงั้น แต่อย่างน้อยฉันก็ซื่อสัตย์กับตัวเอง”

ผมจ้ำอ้าวไปที่บันไดแล้วตรงกลับลงไปยังสวน

เสียเวลาชะมัด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะทำแบบนี้ อย่างกับอาร์เธอร์จะมาที่นี่จริงๆ อย่างนั้นแหละ ผมโง่เองที่คิดว่าจักรวาลมีแผนการใหญ่อยู่ อย่างเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือผมแคร์มากพอที่จะถ่อมาถึงที่นี่ และผมกำลังเดินหนีออกมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงต่อกับอนาคต ผมรู้แค่ว่าตัวเองวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ

 

ศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม

 

ผมไม่มีสมาธิเล่นแองกรี้เบิร์ดส์เลยพอได้ยินเสียงฮัดสันกับแฮเรียตหัวเราะตอนกำลังถ่ายรูปเซลฟี่กัน

“ถุงใต้ตาฉันนี่มัน…” ฮัดสันหาคำมาอธิบายไม่ได้

“เหมือนไปเล่นมวยปล้ำในกรงมาใช่มั้ย” แฮเรียตพูด เธอปัดผมข้ามไหล่แล้วยืดอกขึ้นมา “ลองทำหน้าตลกๆ สิ คนเขาจะได้ไม่สังเกตหน้าตาอิดโรยของนาย”

“ขอบใจที่สร้างความมั่นใจให้นะ”

“ฉันก็แค่พูดตามความจริง นายต้องนอนหลับพักผ่อนเยอะกว่านี้นะ” แฮเรียตพูด

การนอนหลับพักผ่อนดูไม่สำคัญเท่าไหร่สำหรับคนที่ใช้ฟิลเตอร์แต่งรูปเป็นบ้าเป็นบ้าหลังอย่างเธอ แต่แฮเรียตจะทำอะไรบนอินสตาแกรมมันก็เป็นกงการของเธอ…เป็นกงการจริงๆ นะ มีคนติดต่อให้เธอโฆษณาน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่เธอไม่ชอบด้วยซ้ำเพราะกินแล้วปวดท้อง แต่นั่นก็ไม่หยุดเธอจากการได้เงินสองร้อยเหรียญต่อรูปอยู่ดี แฮเรียตเคยตั้ง #แฟนหนุ่ม กับดีแลนเอาไว้ลงรูปเธอแต่งหน้าให้เขาแบบลงคอนทัวร์ตรงโหนกแก้มบ้าง ทาอายแชโดว์บ้าง ดีแลนชอบมากเพราะเขาชอบได้รับความสนใจ แฮเรียตภูมิใจกับรูปพวกนั้นมากจนเธอไม่ลบรูปทิ้งถึงจะเลิกกับเขาแล้วก็ตาม เวลาแฮเรียตแท็กผมในรูปจะเป็นอะไรที่บ้ามาก จะมีคนมากดติดตามผมเป็นสิบๆ คน แต่พวกเขาจะค่อยๆ เลิกติดตามผมไปเพราะพวกเขาไม่สนภาพถ่ายงานกราฟิตี้เจ๋งๆ ที่ผมเจอตามห้องน้ำในเมืองหรือรูปที่ผมถ่ายกับฮัดสันหรอก

“รูปแบบนั้นแย่กว่าอีก” ฮัดสันพูดหลังจากลองพยายามดูอีกรอบ “วันนี้หน้าฉันไม่โอเค ช่างมันเถอะ”

ฮัดสันเคร่งกับตัวเองแบบนี้ตลอด

“ลองอีกรูปเถอะน่า” แฮเรียตพูด “ทำหน้าตลกๆ”

“จัดไป หัวหน้า”

ฮัดสันเอนตัวไปข้างหน้า เขายกกำปั้นไว้ใต้คางและมองออกไปบนท้องฟ้าเหมือนเขาเพิ่งมีโมเมนต์ระดับมหากาพย์และตอนนี้พร้อมแล้วที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ แฮเรียตส่งจูบให้ใครก็ไม่รู้ไปอีกทาง แล้วพวกเขาก็เช็กรูปกัน

“ชอบอ่ะ” แฮเรียตพูด “ต้องคิดแคปชั่นก่อน”

“เดี๋ยวนะ” ฮัดสันพูด

“นายดูฮอตจะตาย”

“ไม่ใช่” ฮัดสันซูมรูปแล้วทั้งคู่ก็หันมา

และจ้องผม

สงสัยผมจะติดเข้าไปในเซลฟี่ของพวกเขา รูปเซลฟี่ที่ใช้ได้รูปเดียวของพวกเขา และแน่นอนว่าในรูปผมกำลังจ้องพวกเขาอยู่แทนที่จะทำเป็นเล่นมือถือสบายๆ ฮัดสันส่ายหน้าและมองไปทางอื่น หน้าผมแดงขึ้นมา ผมกลับมาเล่นแองกรี้เบิร์ดส์และสนแต่เรื่องของตัวเอง

อย่างน้อยผมก็พยายามน่ะนะ ผมยังมีหูอยู่นี่นา

“เขาก็ดูดีนะ ต้องยอมรับเลย” แฮเรียตพูด

“ไม่ เธอไม่จำเป็นต้องยอมรับเรื่องนั้น” ฮัดสันกระชิบแบบฉุนๆ

อีกหนึ่งเดือนผมก็จะเป็นอิสระจากขุมนรกนี่

 

ผมเดินเข้าไปในร้านกาแฟดรีมแอนด์บีนและเห็นดีแลนนั่งรออยู่ตรงที่นั่งติดหน้าต่าง

“บิ๊กเบน เข้ามาในออฟฟิศฉันได้เลย” ดีแลนพูดแล้วยกเป้ออกจากเก้าอี้ให้ผมนั่ง

“ออฟฟิศนายควรมีโต๊ะที่ใหญ่กว่านี้นะ”

“จะมีโต๊ะไปทำไมในเมื่อมีวิวสวยขนาดนี้” ดีแลนผายมือไปนอกหน้าต่าง

“ขยะวางถมกันเนี่ยนะ” ตั้งสามถุง วิวจากห้องนอนฮัดสันยังดีกว่าอีก เห็นแต่กำแพงอิฐ

“อยากดื่มอะไรมั้ย คนของฉันจัดการให้นายได้”

“นายเป็นลูกค้าประจำ ไม่ใช่เจ้าของร้าน”

“ทำไมนายใจร้ายจัง เบน”

“สรุปให้เร็วๆ เลยนะ ฉันต้องเรียนเสริมฤดูร้อนกับแฟนเก่า และฉันคิดว่าจะได้เจอหนุ่มน่ารักอีกครั้งเมื่อวานนี้แต่ก็ไม่ได้เจอ ชีวิตมันห่วย”

เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะมัวแต่นึกถึงฮัดสันกับอาร์เธอร์ ผมนึกถึงฮัดสันเพราะผมไม่อยากเจอเขาที่โรงเรียนอีก ผมนึกถึงอาร์เธอร์เพราะรู้ตัวแล้วว่าผมเป็นคนทำเรื่องทุกอย่างพังที่หนีออกมาแบบนั้น ก่อนที่ซาแมนธาจะเข้ามาช่วยผมเมื่อวาน ผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เจอเขาอีกจริงๆ ที่นี่คือนิวยอร์กและผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย แล้วคราวนี้ซาแมนธาก็บอกว่าเธอเป็นเหมือนแนนซี ดรูว์แล้วผมก็มีความหวังขึ้นมา การไปที่กลุ่มนัดรวมตัวของเยลถือว่าเดินเกมได้ฉลาด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรอยู่ดีนอกจากความรู้สึกของผมที่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวังไว้ คือได้เจออาร์เธอร์และดูว่าเรื่องระหว่างเราจะออกมาเป็นยังไง

“หน้าตาแบบนายน่ะโสดได้ไม่นานหรอก” ดีแลนยักคิ้วยึกยัก

ผมไม่อยู่ในอารมณ์จะจีบใครตอนนี้

“ฉันรู้สึกเหมือนถูกลงโทษที่ตัวเองอยากมีความสุขเลย” เหมือนชีวิตของผมคงจะโอเคดีถ้าผมให้โอกาสครั้งที่สองกับฮัดสัน อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ถ้าผมทำอย่างนั้น

“บางทีนายอาจจะแค่เป็นพวกดวงซวยในวันศุกร์สิบสาม”

“อย่างน้อยก็ยังมีดูหนังมาราธอนของเราอยู่”

ดีแลนเงียบไปแป๊บหนึ่ง “มาราธอนที่ไม่มีซาแมนธา”

“ฉันมั่นใจว่าเดี๋ยวเธอก็ทักนายมา” ผมไม่มั่นใจหรอก เธอไม่ส่งข้อความหาเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืน

ผมไม่ได้อยากเป็นคนแบบนั้นนะ แต่ถ้าจะบอกว่าผมไม่รู้สึกโล่งใจเลยที่ดีแลนกับซาแมนธาไม่ได้ลงเอยกันก็คงไม่ต่างจากโกหก อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมอยากให้เขามีความสุข เขาคือเพื่อนรักสุดซี้ของผม แต่ขอโทษเถอะ เขาเป็นเพื่อนสนิทที่ห่วยมากเวลามีแฟน เหมือนแฟนของเขาคือหัวข้อเดียวในโลกใบนี้ และผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่สามารถเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมให้เขารับรู้ได้เลย นี่อาจจะเป็นนิสัยเสียของผมก็ได้ แต่ผมน่ะ ไม่รู้สิ รู้สึกหวั่นใจและไร้ค่าทุกครั้งที่เขาเริ่มชอบสาวคนใหม่ พ่อเคยถามว่าผมแอบชอบดีแลนรึเปล่า ซึ่งไม่ใช่เลย ดีแลนน่ะสุดยอดและผมจะกระโดดถีบยอดหน้าใครก็ตามเพื่อเขา ผมแค่คิดถึงเขาเวลาเขาคบกับใครน่ะ และผมก็ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเฉพาะเวลาที่เขาโสด

ผมคอแห้ง เลยลุกไปที่เคาน์เตอร์บาร์ ระหว่างเทน้ำฟรีลงในแก้วพลาสติก ผมดูบอร์ดติดประกาศที่มีใบปลิวรับสมัครนักศึกษาฝึกงานเต็มไปหมด โปสเตอร์ต่อต้าน เบอร์โทรศัพท์ ประกาศรับสมัครคนพาหมาไปเดินเล่น โฆษณานู่นนี่นั่น และ…

หน้าผม

หน้าผมอยู่บนบอร์ดติดประกาศ

น้ำไหลจนล้นแก้วแต่ผมไม่มีจิตสำนึกหรือมารยาทมากพอที่จะรีบเช็ดมันเพราะหน้าผมอยู่บนบอร์ดติดประกาศ

ผมไปทำอะไรเหรอ ทำไมถึงมีใครต้องการตัวผม เดี๋ยว ไม่สิ มันไม่ใช่ภาพที่ตำรวจร่างขึ้นมาหรือภาพมัวๆ ที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิด หน้าผมถูกตัดมาจากรูปที่ผมปาหิมะใส่หน้าฮัดสัน เขาเป็นคนทำเหรอ ผมเกือบเรียกดีแลนแล้ว แต่ยังพูดไม่ออกเพราะมันมีโน้ตอยู่ด้วย

 

นายใช่ผู้ชายจากที่ทำการไปรษณีย์รึเปล่า

ตอนนี้ฉันประหม่ามากเลย และก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าฉันกำลังทำแบบนี้ แต่เอาล่ะ

พวกเราคุยกันแป๊บหนึ่งที่ที่ทำการไปรษณีย์ในเล็กซิงตัน

ฉันคือคนที่ใส่เนกไทลายฮอตดอก ส่วนนายกำลังจะส่งของคืนให้แฟนเก่า

ฉันชอบเสียงหัวเราะของนายมากเลย ตอนนั้นน่าจะขอเบอร์นายไว้

อยากให้โอกาสฉันอีกสักครั้งมั้ย จักรวาล

Arthur.Seuss@gmail.com

 

อืม

ใจผมเต้นรัวเพราะจักรวาลกำลังแกล้งผมเล่นอยู่แน่ๆ

ผมดึงประกาศแผ่นนั้นออกจากหมุดติดกระดาน นี่มันหน้าผมชัดๆ โน้ตนี่เขียนถึงผม ผมควรมาเจอมัน

ผมเพิ่งเจอมัน

นี่…นี่ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นจริงหรอก ใช่แล้ว มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ผมเดินกลับไปหาดีแลนอย่างฉุนๆ “เล่นมุกตลกปัญญาอ่อนอะไรของนายเนี่ย”

“หา มุกตลกฉันไม่ปัญญาอ่อนสักหน่อย”

“อย่าแกล้งโง่”

ดีแลนเอากระดาษไปอ่าน “เดี๋ยวนะ เชี่ย”

“ไม่ใช่นายจริงๆ เหรอ”

“เบน เพื่อน ไม่ใช่ฉัน” ดีแลนมองตาผม เขาไม่ได้หัวเราะ “มันติดอยู่ตรงไหน”

“เคาน์เตอร์บาร์ ตรงบอร์ดติดประกาศ เขาคงรู้ว่าต้องมาติดที่นี่เพราะตอนนั้นฉันใส่เสื้อดรีมแอนด์บีน”

“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก! โธ่เอ๊ย ซาแมนธาคงโมโหแน่ที่เธอไม่ได้เป็นคนแก้ปัญหาให้นาย แต่เธอต้องดีใจกับนายอยู่แล้ว ฉันมั่นใจ” เขาคว้าไหล่ผม “นี่แหละ มันเกิดขึ้นแล้ว นายจะติดต่อเขาไปใช่มั้ย สุดยอดเลยว่ะ ฮอลลีวูดจะเอาเรื่องของพวกนายไปทำเป็นหนัง แล้วก็มีภาคต่อรุ่นลูกของพวกนายในเน็ตฟลิกซ์”

“แต่มันเป็นไปได้ยังไง ฉันงงแล้วเนี่ย เขาไปเอารูปนี่มาได้ยังไง น่าขนลุกนะเว้ย เขาแอบตามฉันเหรอ จะล่อฉันไปติดกับรึเปล่า”

“งั้นนายต้องนัดเจอเขาในที่สาธารณะ พกเครื่องช็อตไฟฟ้าไปด้วย”

“ฉันแค่…มันไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรอก ฉันเจอหนุ่มน่ารักตลอดอยู่แล้ว”

“แล้วเคยได้เจอพวกเขาอีกมั้ย”

“ไม่”

ดีแลนโบกโน้ตแผ่นนั้นไปมา “บิ๊กเบน ชีวิตนายเพิ่งจะง่ายขึ้นมานะ อย่าคิดเยอะ ไม่มีใครเขาอยากดูซีรี่ส์เน็ตฟลิกซ์มาราธอนเกี่ยวกับคนที่ไม่ทำอะไรเลยหรอกนะ ต่อให้รอยยิ้มกับรอยกระของนายจะน่ารักแค่ไหนก็เถอะ”

ผมจ้องอีเมลที่อยู่บรรทัดล่างสุดของกระดาษ

ผมคงไม่ใช่พวกดวงซวยในวันศุกร์สิบสามสินะ

ผมคือผู้ชายจากที่ทำการไปรษณีย์

และอาร์เธอร์ก็ตามหาผมเหมือนกัน

 

เรายังไม่พร้อมจะเปิดชัคกี้ ดีแลนกับผมนั่งอยู่บนเตียง เขานั่งเล่นมือถือและทรมานตัวเองโดยการส่องเฟซบุ๊กของซาแมนธา ส่วนผมหยุดจ้องโน้ตจากดรีมแอนด์บีนไม่ได้ ผมหยิบมันกลับมาจากบอร์ดติดประกาศด้วยเพราะไม่มีใครต้องการรูปถ่ายหน้าผมหรอก ผมพิมพ์ที่อยู่อีเมลลงในมือถือแล้ว แต่ช่องใส่ข้อความยังว่างเปล่า

“นายต้องช่วยฉันนะ ดี ฉันควรเขียนยังไง”

“ใช้ไอ้จ้อนของนายเขียนสิ บิ๊กเบน”

“เราเลิกกันถ้านายไม่ช่วยฉันเขียนข้อความดีๆ ให้อาร์เธอร์”

“ก็ได้ โอเค ถ้านายไม่ใช้ไอ้จ้อนเขียน ก็ใช้ใจเขียนเอา น่าจะเป็นอีกวิธีที่สมเหตุสมผลนะ”

“การใช้ไอ้จ้อนเขียนมันไม่ใช่วิธีที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว”

“กล้าพูดนะ”

ถ้าคุณปล่อยให้ดีแลนพูดไปเรื่อยๆ นานพออย่างที่ผมทำ เขาจะคิดอะไรที่คนธรรมดาทั่วไปน่าจะคิดออกทันทีได้ อย่างเช่นการใช้ใจพูดเนี่ย

ผมเลือกเขียนข้อความเรียบๆ และบอกสิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้าตัวเองบนบอร์ดติดประกาศ นี่คือเรื่องจริงใช่มั้ย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: