บทที่ 13 มรรคาไร้สิ้นสุด
แสงสุดท้ายก่อนตะวันลาลับสาดส่องเข้ามาในห้องเรียน เสียงระฆังดังก้องทั่วผืนป่า
อาวุโสผู้สอนปัดฝุ่นบนอาภรณ์ “เลิกเรียนได้”
เหล่าสานุศิษย์หมอบนอนอยู่ข้างหน้าต่าง ครั้นเห็นอาวุโสผู้สอนเดินจากไปไกล เสียงตะโกนตื่นเต้นดีใจที่อัดอั้นมานานก็พลันดังขึ้น
เมิ่งเสวี่ยหลี่เก็บเครื่องเขียนด้วยสีหน้าราบเรียบ พรุ่งนี้ศิษย์น้องคนใหม่ก็จะมาแล้ว ทุกคนยินดีถึงเพียงนี้เลยหรือ
“คืนนี้เข้าเมืองหรือไม่” อวี๋ฉี่ซูกระเถิบเข้ามากระซิบกระซาบท่าทีลึกลับ “เมืองหานเหมิน หอหงอวิ้นโหลว”
เดิมที่เชิงเขาหานซานมีหมู่บ้านกระจัดกระจายอยู่สองสามแห่ง แต่เพราะสำนักกระบี่หานซานเป็นเหตุ ชาวบ้านทั่วไปกับผู้บำเพ็ญพรตเริ่มรวมกลุ่มกัน นานวันเข้าจึงกลายเป็นเมืองหานเหมิน
เมิ่งเสวี่ยหลี่นิ่งอึ้ง “ไปทำอะไร”
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของวิหารถกสัจธรรมไม่มีคาบเรียน ดูท่าทางของทุกคนสิ เหมือนจะกลับไปนั่งสมาธิหรือไร คืนนี้พวกศิษย์น้องห้องข้างๆ ล้วนเชิญแขกไปเล่นไพ่สนทนาดื่มสุราผลไม้แทะเมล็ดแตงที่หอหงอวิ้นโหลว เจ้าจะไปหรือไม่”
ศิษย์น้องอายุน้อยผู้นี้นั่งไม่ติดแล้ว ไม่ว่าการบำเพ็ญเพียรจะจืดชืด อาวุโสผู้สอนจะเข้มงวดสักเพียงใด เขาก็ต้องเค้นเวลาออกมาแสวงหาความสุขให้ได้
พวกเขาสองคนเดินตามคนอื่นๆ ออกจากห้องเรียนไป ย่ำลงบนกรวดหินสีขาวละเอียดผ่านป่าสน
อาทิตย์ยามสายัณห์ทอแสงลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ลงมา สนเขียวราวกับชุบไว้ด้วยประกายแสงสีแสด
เมิ่งเสวี่ยหลี่ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ คืนนี้ข้ายังต้องไปหอเก็บคัมภีร์ ยืมคัมภีร์เต๋าสองเล่มมาอ่าน ทำจิตใจให้สงบ”
“ไม่จริงกระมัง โกรธถึงเพียงนี้เชียว?” อวี๋ฉี่ซูแปลกใจ “เจ้านี่แปลกคนจริงๆ คนข้างนอกด่าว่าเจ้าเสียๆ หายๆ แต่เจ้ากลับบอกอะไรตัวเองได้รับผลประโยชน์ ให้ชาวบ้านตำหนิสักสองสามประโยคไม่เป็นอะไร แต่พอชาวบ้านพูดถึงจี้เซียวเจินเหรินเจ้ากลับทนไม่ได้…” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวี๋ฉี่ซูก็สรุป “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าช่างดีจริงๆ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่เนื้อตัวสั่น สีหน้าเย็นชาของจี้เซียวปรากฏขึ้นในสมอง รวมถึงภาพยามพวกเขาพบหน้าค่าตากันเพียงไม่กี่ครั้ง
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด หลังหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้งเขากลับเสกสรรปั้นคำ “แน่นอน ก็พวกเราเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญอยู่ด้วยกันตลอดทุกเช้าค่ำ ความสัมพันธ์ย่อมดีเป็นเรื่องปกติ แม้นไม่เจอข้าวันหนึ่งเขาไหนเลยจะนอนหลับได้! ยิ่งไปกว่านั้นข้าขออะไรเขาล้วนรับปาก คล้อยตามไปเสียทั้งหมด เช่นนั้นข้าย่อมต้อง…”
อวี๋ฉี่ซูรู้สึกสงสัย “ช้าก่อน ขนาดสภาวะเพียรบำเพ็ญของเจินเหรินก็ยังต้องนอนหลับพักผ่อนด้วยหรือ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่แอบนึกแย่แล้วอยู่ในใจ เขาได้แต่พูดตะกุกตะกัก “เดิมก็ไม่ต้องหรอก เขา…เขาต้องนอนเป็นเพื่อนข้า คู่ร่วมบำเพ็ญต้องนอนด้วยกันถึงจะหลับสบาย แฮ่ม…ไว้เจ้าโตก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
จู่ๆ อวี๋ฉี่ซูก็หน้าแดง สองตาเบิกกว้าง “ข้าเข้าใจ!”
จากขัดเขินกลับกลายเป็นโมโห อวี๋ฉี่ซูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเสวี่ยหลี่รู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเด็กหนุ่มไร้เดียงสา เขาครวญเพลงพลางเดินตรงไปยังหอเก็บคัมภีร์ด้วยท่าทีเริงร่า
หลังจากผ่านไปเป็นนาน คำกล่าวล้อเล่นสองสามประโยคนั้นก็กลับกลายเป็นกรรมตามสนอง ทุกครั้งที่หวนนึกกลับไป เขาก็มักอยากย้อนเวลาไปบีบคอตัวเองทุกที
“ศิษย์น้องเซียว เป็นอะไรไป”
บนเส้นทางคดเคี้ยวเล็กๆ อีกเส้นคือสานุศิษย์ห้องสี่กลุ่มหนึ่ง
ที่อยู่กลางฝูงชนคือเด็กหนุ่มผ่ายผอมใบหน้าซีดขาว ครั้นเขาหยุดชะงักเท้า คนอื่นๆ ก็พากันหยุดเดิน สีหน้ากระวนกระวายขึ้นมาทันที
หนึ่งในนั้นหันมองไปตามสายตาของเด็กหนุ่ม “ตรงนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไร”
พวกเขามองหน้ากันไปมา
หลังจากอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง พวกเขาเริ่มเข้าใจนิสัยของศิษย์น้องเซียวอยู่เลาๆ แม้อีกฝ่ายจะแลดูเย็นชาพูดน้อย ทว่าหากมีคำถามอันใดใคร่ขอคำชี้แนะ เขาล้วนยินดีอธิบายให้ฟังด้วยความอดทน พรุ่งนี้สหายร่วมชั้นเรียนคนนี้ก็จะย้ายไปห้องหนึ่งแล้ว วันหน้าไหนเลยจะตามไปขอคำชี้แนะจากชาวบ้านได้อีก
ดังนั้นคืนนี้พวกเขาจึงตัดสินใจทิ้งวันหยุด เชิญอีกฝ่ายไปช่วยพวกเขาคลี่คลายข้อสงสัยที่หอเก็บคัมภีร์
แต่หากศิษย์น้องเซียวเปลี่ยนความตั้งใจ จู่ๆ นึกอยากลงเขาไปดื่มกินแสวงหาความสำราญ เช่นนั้นพวกเขาจะไปหรือไม่ไป?
จี้เซียวส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
เขานึกไม่ถึงว่าคู่ร่วมบำเพ็ญแต่ในนามของตนจะโกหกเป็นนิสัยเช่นนี้
เมื่อวานมี ‘คำสั่งเสียของจี้เซียว’ วันนี้มี ‘นอนไม่หลับ’ พรุ่งนี้จะมีคำพูดอันใด
วาจาโป้ปดเช่นนี้หลอกได้ก็แต่สานุศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้น หากเป็นผู้อื่นไม่แคล้วต้องถูกเปิดโปงต่อหน้าแน่
คู่ร่วมบำเพ็ญทั่วไปอยู่กันเช่นไร
ก็เหมือนอย่างปรมาจารย์ชิงเหอแห่งสำนักซงเฟิงกู่กับเทพธิดาจิ้งเวยแห่งสำนักสยาซาน ทั้งสองร่วมบำเพ็ญเพียรนานนับร้อยปี ยามมีภัยต่างร่วมต่อต้านศัตรู ยามปกติต่างแยกพำนักอยู่กันคนละสำนัก ต่างฝ่ายต่างบำเพ็ญเพียร
ชีวิตยืนยาว มรรคาไร้สิ้นสุด
สูงสุดสว่างสุดไม่พ้นตะวันจันทรา ชิดใกล้ไกลห่างสุดไม่พ้นคู่สามีภรรยา
แต่แม้จี้เซียวจะได้ยินเมิ่งเสวี่ยหลี่หลอกลวงผู้คนเช่นนั้น เขากลับไม่นึกโมโห รู้สึกเพียงขบขันเท่านั้น
“เจ้าตัวน้อยขี้ปด”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.