X
    Categories: ข้าผู้นี้··· วาสนาดีเกินใครทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน ข้าผู้นี้… วาสนาดีเกินใคร บทนำ – บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทนำ

ตอนที่เจินจยาฝูถูกฝังเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงพอดี นางจดจำภาพดอกพุดตานที่เบ่งบานงดงามเต็มอุทยานหลวงในวันนั้นได้อย่างชัดเจน ยามทอดสายตามองจากที่ไกลๆ ราวกับมีอาทิตย์อัสดงใจกลางอุทยาน

ภาพเหตุการณ์ในตอนบ่ายวันนั้น เจินจยาฝูก็จดจำได้ชัดเจนยิ่งเช่นกัน

นางไม่ได้พบฮ่องเต้มาหลายวันแล้ว คนในวังล้วนพูดกันว่าฮองเฮาอยู่ข้างกายฝ่าบาท คอยเฝ้าดูแลพระอาการอยู่ตลอดเวลาจนไม่ได้พักผ่อน

ยามเจินจยาฝูเข้าไปยังฝ่ายใน ได้พบจางฮองเฮาผู้มีเปลือกตาบวม สีหน้าหม่นหมอง ก่อนจากมาพระนางตรัสกับนางว่าฮ่องเต้เรียกหา ให้นางคอยปรนนิบัติพระองค์ดีๆ

ฮองเฮาตรัสด้วยสีหน้าเปี่ยมพระเมตตา เหมือนดั่งที่ผ่านมาเสมอ

ท่ามกลางผืนม่านสีเหลืองสว่างที่ทิ้งตัวลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า กลิ่นเครื่องหอมและยาสมุนไพรผสมผสานกันลอยตลบอบอวลไปทั่ว หน้าต่างตำหนักทุกบานล้วนปิดสนิท ด้านในส่วนลึกของตำหนักมีเพียงแสงสลัวและบรรยากาศอันหนักอึ้ง เสมือนมีกลุ่มเงาสีดำกลืนกินนางเข้าไปทั้งร่าง

เจินจยาฝูคุกเข่าเบื้องหน้าพระแท่นบรรทมนิ่งไม่ไหวติง เวลาผ่านไปนางก็อยู่เช่นนี้มานานครึ่งก้านธูป* แล้ว

ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบปี ฮ่องเต้ต้าเว่ยได้ผลัดเปลี่ยนยุคสมัยไปถึงสี่ครั้ง จากรัชศกเทียนสี่ เฉิงหนิง หย่งซี มาจนถึงเจาผิงของซื่อจงฮ่องเต้ซึ่งเป็นฮ่องเต้พระองค์ก่อน พูดได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบ่อยครั้ง อีกทั้งระหว่างนั้นยังเคยเกิดศึกสงครามขึ้นมา

นับตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ต้าเว่ยก็ได้สิ้นสุดการต่อสู้ภายใน อาณาจักรแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ราษฎรใช้ชีวิตสุขสงบ ทว่านับแต่เซียวอิ้นถังสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากซื่อจงฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา บริเวณชายแดนทางเหนือก็เกิดคลื่นลมขึ้นมาอีกครั้ง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จิตใจฮึกเหิม ปีถัดมาหลังขึ้นครองราชย์ได้นำทัพออกไปสู้ศึกด้วยพระองค์เองโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านและการห้ามปรามอย่างสุดกำลังของบรรดาขุนนาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะชนะสงครามได้ ทว่าระหว่างการทำศึกนั้นพระองค์กลับได้รับบาดเจ็บ หลังกลับมาแล้วพระอาการก็มีแต่ยิ่งเลวร้ายลง เหล่าหมอหลวงต่างทำอะไรไม่ได้

หลายวันมานี้เริ่มมีข่าวลือไม่สู้ดีแพร่กระจายออกมาแล้ว

เดิมทีบุรุษบนพระแท่นบรรทมไม่ได้สติมาโดยตลอด แต่จู่ๆ มือของพระองค์ก็ยกขึ้นมาปัดป่ายไปมากลางอากาศ คล้ายกำลังต่อสู้ขัดขืนกับบางสิ่งอย่างเต็มที่

ดวงตาของพระองค์ยังคงปิดสนิทเช่นเดิม ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าเจ็บปวดและหวาดผวา บริเวณหน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นออกมาไม่หยุด มองดูแล้วเหมือนกำลังทุกข์ทรมานต่อฝันร้ายอันน่าหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น

เจินจยาฝูรีบเขยิบตัวเข้าไปใกล้ โน้มตัวเข้าหา กุมมือที่เย็นเฉียบของพระองค์

“ฝ่าบาท ทรงตื่น…”

ชั่วเวลาต่อมาเจินจยาฝูก็ถูกเซียวอิ้นถังผลักออกไปอย่างแรงจนล้มอยู่บนพื้น นางรีบหยัดกายขึ้นมาโดยไม่สนต่อความเจ็บปวด กลับไปที่เดิม โน้มร่างเข้าใกล้พระองค์อีกครั้ง ก่อนจะได้ยินพระองค์ละเมอขึ้นมา ใจความดูคลุมเครือ น้ำเสียงประดุจกำลังร้องครวญคราง

“โย่วอัน! โย่วอัน! นี่คือการตอบแทนที่เจ้ามอบให้ข้าอย่างนั้นรึ! ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ! อย่าได้โทษข้า! หากจะโทษก็โทษเสด็จพ่อ! ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เขาก่อขึ้นมา…”

มีเสียงกลุกกลักดังออกมาจากลำคอของเซียวอิ้นถัง คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังบีบคอพระองค์อยู่ ทำให้หายใจลำบาก

หัวใจเจินจยาฝูเต้นกระหน่ำรัวอย่างรุนแรง

เซียวอิ้นถังที่อยู่ในห้วงฝันยังคงละเมอต่อไป ทันใดนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน

“เราเป็นฮ่องเต้! เราเป็นฮ่องเต้ของต้าเว่ย! เผยโย่วอัน เราไม่กลัวเจ้า! เจ้าไม่ควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่แรก! ต่อให้เจ้ากลายเป็นวิญญาณ แต่จะทำอะไรเราได้เล่า!”

เซียวอิ้นถังกัดฟันกรอด ใบหน้าบิดเบี้ยว มือที่ปัดป่ายไปมาคว้าจับข้อมือข้างหนึ่งของเจินจยาฝูได้พอดี จึงกระชับนิ้วทั้งห้าแน่น ระหว่างฟันมีเสียงกึกกักดังลอดออกมา ในช่วงเวลานั้นคล้ายพละกำลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดได้มารวมอยู่ที่นิ้วทั้งห้า ราวกับมือที่จับได้คือมือในฝันข้างนั้น อยากจะบีบกระดูกให้แหลกละเอียด

เจินจยาฝูข่มกลั้นความเจ็บปวด พร้อมส่งเสียงเรียกพระองค์ออกไปอีกครั้ง “ฝ่าบาทเพคะ!”

ในที่สุดเซียวอิ้นถังก็ได้สติ ลืมตาโพลง เหงื่อเย็นไหลท่วม สายตาจ้องอย่างนิ่งงันไปยังเจินจยาฝูที่อยู่ข้างกาย

สีหน้าเจินจยาฝูซีดขาวเล็กน้อย มองสบตาเซียวอิ้นถังอีกสักพัก ก่อนส่งยิ้มให้พระองค์ “ฝ่าบาท เป็นหม่อมฉันเองเพคะ”

เซียวอิ้นถังปล่อยข้อมือนางออกช้าๆ มือตกกลับลงไปอย่างไร้กำลัง

เจินจยาฝูเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากให้พระองค์

ใบหน้าพระองค์ซีดขาว หลังหลับตาอยู่สักพักก็เปล่งเสียงตรัสถามอย่างอ่อนแรง “อาฝู เมื่อครู่เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าเราละเมอสิ่งใดออกมา”

มือที่กำผ้าเช็ดหน้าของเจินจยาฝูชะงักไปเล็กน้อย

เผยโย่วอัน…คนผู้นั้นที่ฮ่องเต้ละเมอออกมาคือบุตรชายคนโตของตระกูลเว่ยกั๋วกง ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เจ็บป่วยบ่อยครั้ง แต่มีความสามารถโดดเด่น มากพรสวรรค์ อ่านตำราผ่านตาไม่มีวันลืม อายุแค่สิบสี่ก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ ได้แล้ว เทียนสี่ฮ่องเต้ในตอนนั้นโปรดปรานเขามาก ถึงขั้นแหกกฎให้เขาเข้าไปรอรับคำสั่งอยู่ในตำหนักบูรพา ทั้งมีฉายาดีงามว่า ‘บุรุษชุดขาวกลิ่นอายสูงศักดิ์ มหาเสนาบดีอายุน้อย’ ภายหลังซื่อจงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้รับพระเมตตาอย่างมาก ทว่าสวรรค์ริษยาผู้มีพรสวรรค์ เขาโชคร้ายตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนในตำแหน่งแม่ทัพเจี๋ยตู้สื่อ เมืองหล่งซี ตลอดชีวิตไม่ได้แต่งงาน อายุไม่ถึงสามสิบปี

ได้ยินมาว่าในคืนก่อนที่เขาจะตายที่เมืองซู่เยี่ยนอกด่าน อาการป่วยของเขากำเริบ กระอักเลือดออกมาไม่หยุด เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาเยี่ยมอาการต่างหลั่งน้ำตา ทว่าเขากลับไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ตามเดิม บอกว่าตนเองมีสหายเป็นยาสมุนไพรตั้งแต่เด็ก เคยมีคนบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสิบปี การที่ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันเป็นการขอยืมเวลาสวรรค์มายี่สิบกว่าปีแล้ว สามารถตายโดยไร้ความเสียดาย

ยามที่ข่าวร้ายเรื่องเผยโย่วอันอาการป่วยกำเริบตายอยู่ที่ชายแดนอย่างโดดเดี่ยวมาถึงเมืองหลวง ได้ยินว่าซื่อจงฮ่องเต้เสียใจมากจนหมดพระสติไปทันที

หลังเผยโย่วอันตายก็ไม่ได้ร่วมฝังในสุสานบรรพบุรุษสกุลเผย แต่ไปฝังอยู่ที่นอกเมืองซู่เยี่ยตามคำสั่งเสียของตัวเขา เสียงร้องไห้ของทหารและราษฎรดังสะเทือนผืนฟ้า ไม่ยอมแยกย้ายไปที่ใดกว่าครึ่งเดือน ซื่อจงฮ่องเต้ถึงขั้นแหกกฎแต่งตั้งเขาเป็นอันซีอ๋อง ภายหลังที่เขาเสียชีวิตไปได้รับการสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง

พูดในด้านความสัมพันธ์ ที่จริงแล้วเผยโย่วอันกับเจินจยาฝูเองก็นับเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ระหว่างทั้งสองคน นอกจากเหตุบังเอิญที่ได้พบกันเมื่อหลายปีก่อนแล้วก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีก

“หม่อมฉันไม่ได้ยินเพคะ”

นางตอบกลับเสียงเบา พร้อมเช็ดเหงื่อให้เซียวอิ้นถังต่อไป

เซียวอิ้นถังผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง พระองค์กุมมือเจินจยาฝูไว้หลวมๆ แล้วตรัสว่า “อาฝู เรารักเจ้าดั่งชีวิต ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าก็มีเจ้าอยู่ในหัวใจเสมอมา หลายปีมานี้ถึงศักดิ์ฐานะจะไม่อาจมอบให้เจ้าได้ แต่เราก็มีความรักใคร่โปรดปรานให้อย่างที่สุด เรากำลังจะจากไปแล้ว เรื่องราวหนหลังทุกอย่างล้วนจัดการเสร็จสิ้น บ้านทางมารดาของเจ้าเราเองก็ได้จัดการให้แล้ว อย่างเดียวที่เราตัดใจไม่ได้ก็คือเจ้า…”

พระองค์ลืมตาขึ้นช้าๆ

“เมื่อเราจากไปแล้ว เจ้าจะเต็มใจติดตามเราไปด้วยหรือไม่”

สีหน้าของเซียวอิ้นถังปราศจากสีเลือด บริเวณหว่างคิ้วมุ่นเข้าหากัน ทำให้รูปโฉมที่เดิมทีสง่างามองอาจปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายความตายบางๆ ชั้นหนึ่ง

เจินจยาฝูกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่า มองสบดวงตาของฮ่องเต้

เซียวอิ้นถังมองมาที่นางพร้อมเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดกัน เจ้าไม่อยากอยู่เคียงข้างเราแล้วหรือ”

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเต็มใจเพคะ”

นางดึงมือตนเองกลับมา แล้วโขกศีรษะไปทางพระแท่นบรรทม หน้าผากจรดพื้น คุกเข่าโดยไม่ลุกขึ้นมาอยู่เนิ่นนาน

“เขยิบเข้ามาใกล้เราหน่อย”

เซียวอิ้นถังยื่นมือไปทางเจินจยาฝูอีกครั้ง ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายโอบกอดนางแน่นพลางถอนหายใจยาว ในเสียงถอนหายใจนั้นคือความเสียดายและไม่เต็มใจอันไร้ที่สิ้นสุด

“เรากลัวว่าโลกเบื้องล่างจะเงียบเหงา หลังไปที่นั่นแล้วจะไม่มีผู้ใดเข้าใจเรา ทำให้เราหลงลืมความทุกข์ได้เช่นเจ้าอีก เรายิ่งกลัวว่าเมื่อเราจากไป ทิ้งเจ้าเอาไว้คนเดียวบนโลกใบนี้ นับจากนี้เจ้าจะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง มิสู้เจ้าเองก็ติดตามเราไปด้วยกันเถิด เช่นนี้เราถึงจะวางใจได้”

ริมฝีปากของพระองค์แนบอยู่ข้างใบหูของนาง พึมพำเสียงเบา ในน้ำเสียงอ่อนโยนเหลือประมาณ

“อาฝู อย่าได้โทษเราเลย หากมีชาติหน้า เราจะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้เจ้าอย่างแน่นอน…”

ฤดูใบไม้ร่วงของรัชศกเสินกวงปีที่สอง ฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยสวรรคตตั้งแต่วัยหนุ่ม ได้รับการถวายพระนามว่า ‘ตุนจง’

‘ตุน’ ที่หมายถึงการเจริญสัมพันธไมตรีกับดินแดนเพื่อนบ้านด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

‘ตุน’ ที่หมายถึงเสริมสร้างคุณธรรมความดี

เป็นพระนามที่บ่งบอกถึงคุณงามความดีของฮ่องเต้ เนื่องจากก่อนหน้าที่เซียวอิ้นถังจะจากไปได้ทิ้งพระราชโองการสั่งเสียที่ผู้คนต่างสรรเสริญเอาไว้

พระองค์กล่าวว่า ‘การนำคนมาร่วมฝังด้วย เราทนไม่ได้ ดังนั้นหลังเราจากไปแล้ว ให้ยกเว้นการฝังพระสนมทุกคน ให้พวกนางได้ใช้ชีวิตยืนยาวต่อไป’

นับตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนหน้าก็มีกฎวังหลวงที่ว่าเมื่อฮ่องเต้สวรรคต สตรีตำหนักในทุกคนที่ไร้บุตรจะต้องถูกฝังร่วมไปด้วย อย่างน้อยอาจมีแค่ไม่กี่คน อย่างมากก็อาจมีถึงหลายสิบคน ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็ให้สืบทอดรูปแบบเดิม เซียวอิ้นถังพระชนมายุเพียงสามสิบชันษา จู่ๆ สวรรคตไป สำหรับสตรีตำหนักในเหล่านั้นแล้วประหนึ่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เดิมทีร้องไห้น้ำตานองอยู่ทุกวัน ได้แต่รอเวลาถูกฝังลงดินและไปยังยมโลกด้วย กลับคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะละเว้นความตายของพวกนาง แม้จะพูดว่าชะตาชีวิตที่รออยู่ยังคงเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเย็นจวบจนวันตาย แต่เมื่อเทียบกับการถูกบีบคั้นให้ติดตามพระองค์ไปตายตั้งแต่ตอนนี้ การมีชีวิตรอดอยู่ได้ยังคงเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง

ทุกคนต่างรู้สึกขอบคุณในเมตตาอันยิ่งใหญ่นี้ การร้องไห้หน้าดวงวิญญาณเองจึงดูจริงใจเป็นพิเศษ

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจินจยาฝู

ตัวนางได้ยอมรับชะตาชีวิตเช่นนี้อย่างไร้ความรู้สึกไปแล้ว

ชาตินี้นางก็เปรียบเสมือนจอกแหนที่ไร้ราก หลังมอบทุกอย่างให้เซียวอิ้นถัง ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ชื่อไร้ฐานะไม่อาจเปิดเผยตัวตน การที่มีจุดจบเฉกเช่นปัจจุบันจึงไม่เหนือไปจากความคาดหมายแต่อย่างใด

ทว่าสิ่งที่รอนางอยู่กลับไม่ใช่แพรขาวสามฉื่อ ดังที่นางคิดเอาไว้

จางไทเฮาที่เพิ่งเลื่อนยศสั่งให้นำนางใส่ลงไปในโลงไม้หนานมู่ ลงรักทองล้ำค่าที่เตรียมไว้ให้นางเป็นพิเศษทั้งเป็น ใช้วิธีการเช่นนี้ฝังนางให้ร่วมเดินทางไปสู่ยมโลกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน

“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงสั่งให้ข้าคอยดูแลครอบครัวสกุลเจินของเจ้าให้ดีๆ เจ้าติดตามฝ่าบาทไปอย่างสบายใจเถอะ ข้าไม่มีทางละเลยต่อคำฝากฝังของฝ่าบาทอย่างแน่นอน”

จางไทเฮาไม่ได้ใจกว้างเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป สายตาจ้องเขม็งมาที่เจินจยาฝู ใช้น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นอย่างไม่ปิดบัง กล่าวเน้นย้ำกับนางทีละคำๆ

ฝาโลงอันหนักอึ้งปิดทับลงมา แสงสว่างลำสุดท้ายตรงหน้าพลันถูกตัดขาดไป

โลกของเจินจยาฝูกลายเป็นสีดำสนิท นางถูกกักขังอยู่ในพื้นที่แคบๆ ของโลกแห่งนี้ตลอดกาล…ไม่มีวันออกไปได้อีก

ปราศจากการดิ้นรน…ปราศจากเสียงกรีดร้อง…

เป็นเพราะรู้ดี ไม่ว่านางจะดิ้นรนหรือกรีดร้องเพียงใดล้วนแต่เป็นการเสียแรงเปล่า

นี่ก็คือจุดจบของนางที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ยามมีชีวิตนางเลือกไม่ได้ ยามแต่งงานนางเลือกไม่ได้ แม้แต่ยามตายนางก็ยังเลือกไม่ได้อีก

อากาศเบาบางลงทุกขณะ หน้าอกรู้สึกปวดร้าวเพราะอาการหายใจไม่ออก ท่ามกลางความทรมานอันยาวนานก่อนตาย เล็บมือของนางเริ่มกรีดข่วนโลงไม้ที่พอจะเอื้อมถึงอย่างควบคุมไม่ได้ ทิ้งรอยเล็บไว้บนเนื้อไม้ที่แข็งประดุจทองคำรอยแล้วรอยเล่า

ที่แท้นางก็หวาดกลัวความตาย กลัวแรงกดดันอันไร้ขอบเขตที่มาจากความมืดมิดภายใต้ผืนดิน ที่นี่มีแต่กลิ่นอายของความตาย เป็นความรู้สึกที่ยามมีชีวิตอยู่ไม่อาจจินตนาการถึงได้โดยสิ้นเชิง

มาถึงตอนนี้นางเพิ่งตระหนักได้ว่าที่แท้ตนเองก็อยากจะมีชีวิตรอด ต่อให้ต้องยากลำบากกว่านี้ก็ยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

หากก่อนหน้านี้ไม่ได้แต่งให้กับพี่รองเผย หากภายหลังไม่ได้พานพบเซียวอิ้นถัง ชีวิตของนางควรจะเป็นเช่นไรกัน

แต่ว่าไม่ทันแล้ว ชีวิตนี้นางได้เดินมาถึงจุดสิ้นสุด ชีวิตของนางต้องจบลงทั้งอย่างนี้แล้ว

เจินจยาฝูเริ่มร้องไห้ หยาดน้ำตาไหลรินออกมา แต่การร้องไห้มีแต่จะยิ่งสิ้นเปลืองอากาศมากขึ้น ทำให้นางเจ็บปวดทรวงอกยิ่งกว่าเดิม

เบื้องหน้านางเริ่มปรากฏภาพหลอนสีสันพิลึกพิลั่นต่างๆ ขึ้นมา ตรงปลายสุดของแสงสว่าง ในความเลือนรางนางคล้ายได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งเดินยิ้มน้อยๆ ทะลุผ่านความมืดอันไร้จุดสิ้นสุดของยมโลกตรงมาที่นาง มองสบประสานกับดวงตาคลอหน่วยด้วยหยาดน้ำตาของนาง แววตาเต็มไปด้วยความเมตตาอันไร้ที่สิ้นสุด

นางจดจำได้แล้ว…เขาก็คือบิดาของนาง

เมื่อหลายปีก่อนตอนที่นางยังอายุแค่สิบสามปี บิดาออกทะเล นางมาส่งเขาถึงท่าเรือ ก่อนที่เขาจะขึ้นเรือไป บิดาให้คำสัญญากับนางว่าการออกทะเลครั้งนี้ เขาจะต้องเอาสร้อยคอมุกเงือกม่วงกลับมาให้นางอย่างแน่นอน

มุกเงือกม่วงทำขึ้นในแคว้นที่อยู่ห่างไกลอีกโพ้นทะเล ไม่ใช่แค่ส่องสว่างในความมืดได้ แต่ยังเล่าลือกันว่ามันสามารถมอบความสุขความเจริญมาให้ผู้คน หากคนเดินทะเลสามารถพบเจอก็เรียกได้ว่าโชคดี

‘หากสวมมันเอาไว้ อาฝูของพ่อก็จะมีชีวิตราบรื่น ไร้ทุกข์ไร้โศกไปตลอดชีวิต’

ภาพบิดาที่เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างในตอนนั้น ทุกวันนี้นางยังคงจดจำได้ขึ้นใจ

ทว่าหลังการออกทะเลครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยกลับมาอีก

 

‘อาฝู พ่อกลับมาแล้ว นำสร้อยคอมาให้ลูกด้วย ลูกชอบหรือไม่’

“ท่านพ่อ…”

เจินจยาฝูยิ้มทั้งน้ำตา ยื่นมือออกไปหาพลางร้องเรียกบุรุษที่รักถนอมนางที่สุดบนโลกใบนี้

ลมหายใจเฮือกสุดท้ายอันล้ำค่าลอยออกมาจากปอดของนาง สองมือที่เล็บฉีกขาดและหลั่งโลหิตร่วงหล่นจากกลางอากาศช้าๆ อย่างไร้กำลัง วางทาบลงบนหน้าอกอันอ่อนนุ่ม ข้างริมฝีปากประดับรอยยิ้มน้อยๆ

บทที่ 1

หมอกสีขาวหนาทึบในอากาศค่อยๆ สลายหายไป และเปลี่ยนเป็นความหนาวเย็น

ถานเซียงชำเลืองมองเจินจยาฝูหลายครั้งแล้ว

เจินจยาฝูห่อร่างเข้าหากัน แช่ตัวอยู่ในถังน้ำเจี๋ยผูลัวเซียง* ถังนั้น เรือนผมเปียกชื้นที่เพิ่งสระเสร็จม้วนเอาไว้เพียงหลวมๆ ด้วยปิ่นอันหนึ่ง ผมบางส่วนระอยู่ข้างลำคอ ซีกหน้าด้านหนึ่งแนบอยู่กับตัวถัง ดวงตาปิดสนิท แพขนตาหลุบลงคล้ายจะนอนหลับไปแล้ว

นางกลัวว่าเจินจยาฝูจะได้รับความเย็น จึงอดเอ่ยเร่งเบาๆ ไม่ได้ “คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”

เจินจยาฝูลืมตาขึ้นช้าๆ จับขอบถังอันเปียกชื้นแล้วลุกขึ้นก้าวออกมา

ผิวกายขาวนวลเนียนเกลี้ยงเกลาราวหยกเสลา ประกายหยดน้ำเล็กๆ มิอาจเอาชนะความลื่นของผิวได้กลิ้งหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว

เรือนกายแรกแย้มของหญิงสาวดูงดงามราวกับดอกตูมที่แย้มบาน

ถานเซียงใช้ผ้าอ่อนนุ่มผืนใหญ่ห่อตัวเจินจยาฝูตั้งแต่หัวไหล่ลงมา ติงเซียงยื่นชุดที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วมาให้ เจินจยาฝูเช็ดร่างกายให้แห้ง สวมชุดแล้วเดินออกไป บ่าวหญิงอาวุโสจำนวนหนึ่งจึงเดินเข้ามาเก็บกวาด หนึ่งในนั้นมีบ่าวหญิงอาวุโสสกุลหวัง เพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน เมื่อได้ดมกลิ่นหอมที่กระจายออกมาจากถังน้ำก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณหนูใช้กลิ่นหอมใดอยู่ทุกวัน หอมประหลาดนัก หลานสาวข้ากำลังจะแต่งงานเดือนหน้า ประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อมาเพิ่มเป็นสินเจ้าสาวให้นาง”

ถานเซียงมีนิสัยเป็นมิตร จึงยิ้มตอบกลับ “ท่านป้า สิ่งนี้เรียกว่าเจี๋ยผูลัวเซียง หรืออีกชื่อคือต้งหลงเหน่า นำเข้ามาจากทางใต้ของเทียนจู๋ ข้าได้ยินคุณหนูบอกว่าเดิมตอนอยู่ที่นั่นก็มีค่าแค่ไม่เท่าไร แต่เมื่อข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงพวกเราที่นี่ หนึ่งเฉียน ก็ประมาณหนึ่งตำลึงเงินแล้ว”

ป้าหวังสะดุ้งตกใจ เอ่ยไม่เป็นภาษา “ให้ตายเถอะ! แพงไปหรือไม่ ข้าจะซื้อไหวได้อย่างไรเล่า ในถังน้ำของคุณหนูใส่สิ่งนี้ลงไปทุกวัน ผ่านมาหนึ่งเดือนจะต้องใช้เงินไปมากเท่าใดบ้างก็ไม่รู้ น้ำที่แช่อยู่นี่ไม่ใช่แช่เครื่องหอมหรอก แต่เป็นอาบเงินแทนแล้ว!”

บ่าวหญิงอาวุโสอีกคนหลุดหัวเราะออกมา “คำพูดพวกนี้ก็ได้แต่พูดกันเอง หากออกไปข้างนอกอย่าได้นำไปพูดส่งเดชเด็ดขาด จะได้ไม่เป็นที่ขบขันของผู้อื่น ครอบครัวนายท่านเป็นครอบครัวเยี่ยงไร เครื่องหอมที่แพงกว่านี้เมื่อมาอยู่ในที่แห่งนี้ก็เป็นแค่ก้อนดินเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งเฉียนหนึ่งตำลึงแล้ว ต่อให้ราคาสิบตำลึง หากคุณหนูต้องการจะใช้ ก็แค่สั่งการมาเท่านั้น”

เมืองเฉวียนโจวมีการค้าทางทะเลที่คึกคัก ท่าเรือน้อยใหญ่นอกประตูหนานซวิน ประตูถูเหมิน มีเรือจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าๆ ออกๆ อยู่ทุกวัน ทั้งจากอาณาจักรใกล้ๆ อย่างจ้านเฉิง เซียนหลัว ซูหลี่ว์ ไปจนถึงอาณาจักรที่อยู่ห่างออกไปอย่างต้าสือ หมาหลิน ปี่ชื่อ สินค้าที่มาจากต่างอาณาจักรมีมากจนละลานตา ซึ่งเครื่องหอมถือเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่นำเข้ามา

สกุลเจินเป็นสกุลมั่งคั่งแห่งเมืองเฉวียนโจว หมู่เรือที่ครอบครองอยู่ไม่เป็นสองรองใคร ต่อให้เป็นเครื่องหอมที่ล้ำค่ากว่านี้ ครั้นมาอยู่ที่สกุลเจินก็ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ยาก คำพูดของบ่าวหญิงอาวุโสถึงแม้จะมีความคุยโวโอ้อวดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่นับว่าผิด

ป้าหวังผงกศีรษะราวกับไก่จิกข้าวสาร ยิ้มจืดเจื่อนบอก “ใช่แล้วๆ เป็นข้าเองที่ไม่รู้ความ พูดผิดไป” เอ่ยจบก็ชะเง้อคอดมกลิ่นหอมนี้เข้าไปอีกเฮือกใหญ่ ถึงได้ยกน้ำออกไปเหมือนผู้อื่น

ถานเซียงเดินออกมา เห็นเจินจยาฝูเปิดกล่องเครื่องหอม ใช้ช้อนหยกตักขึ้นมาหนึ่งช้อน ก็รู้ว่านางต้องการจะใส่ลงไปในกระถางธูปหอมทรงเศียรหงส์กระถางนั้น จึงรีบเดินเข้าไปเปิดฝาออกให้นาง

“เรื่องนี้ให้บ่าวทำก็พอเจ้าค่ะ คุณหนูระวัง ประเดี๋ยวจะลวกโดนมือนะเจ้าคะ”

เจินจยาฝูใส่เครื่องหอมเข้าไปในกระถาง เมื่อเครื่องหอมโดนไฟก็ส่งเสียงเปรี๊ยะแผ่วเบาน่าฟังออกมา มีควันสีเขียวลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาช้าๆ นางก้มตัวน้อยๆ ยกมือขึ้นพัดควันหอมมาทางตนเองสองสามครั้งแล้วจึงหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ถานเซียงมองดูอยู่ด้านข้าง รู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ที่ผ่านมาคุณหนูไม่เคยชอบอบควันภายในห้อง จะเสียบแค่ดอกไม้สดใหม่เท่านั้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นับตั้งแต่กลับมาจากวัดซีซานวันนั้นจู่ๆ ก็เปลี่ยนความชอบไป ภายในห้องไม่เพียงต้องอบกลิ่นต้งหลงเหน่านี้ แม้แต่ภายในถังน้ำยังต้องเพิ่มผงต้งหลงเหน่าบดละเอียดลงไปด้วย

เช่นนี้ก็แล้วไปเถอะ แต่ถานเซียงติดตามคุณหนูอยู่ในคฤหาสน์สกุลเจินมาหลายปี ย่อมได้รับความสามารถในการคัดแยกประเภทของเครื่องหอมเหล่านี้มาด้วยไม่น้อย ต้งหลงเหน่าถือเป็นของชั้นดี กลิ่นเองก็ผ่อนคลาย ดูสูงสง่า และหอมหวาน ราคามิสามัญ แต่ในหมู่เครื่องหอมประเภทเดียวกันกลับไม่ได้นับเป็นของชั้นเลิศที่สุด ของชั้นเลิศที่สุดคือหลงเสียน ด้วยเหตุที่ลักษณะภายนอกและสีสันของเครื่องหอมทั้งสองคล้ายคลึงกัน กลิ่นเองก็คล้าย หากไม่ใช่คนในกลุ่มเครื่องหอมย่อมไม่อาจแยกแยะ จึงมักมีพ่อค้าหัวหมอนำต้งหลงเหน่ามาหลอกขายเป็นหลงเสียนอยู่เสมอ

แม้หลงเสียนจะหาได้ยาก แต่สกุลเจินไม่ใช่ว่าไม่มีเก็บเอาไว้ ในเมื่อคุณหนูเปลี่ยนมาใช้เครื่องหอมแล้ว เหตุใดจึงไม่เลือกหลงเสียน แต่กลับเลือกของชั้นรองลงมาอย่างต้งหลงเหน่าแทน

ถานเซียงเอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ไหว

เจินจยาฝูมองดูไอสีเขียวที่ลอยออกมาเป็นสายจากปากของหงส์พลางเอ่ยตอบ “ในคลังเก็บของมีหลงเสียนอยู่ไม่มาก ทั้งยังต้องใช้เป็นเครื่องบรรณาการ ข้าใช้ต้งหลงเหน่าจะดีกว่า”

ถานเซียงร้องอ้อออกมา

“พรุ่งนี้ออกเดินทางอย่าลืมนำติดไปด้วย เสื้อผ้าของข้าเองก็ต้องอบด้วยกลิ่นต้งหลงเหน่าทั้งหมด อย่างอื่นไม่ต้องการทั้งนั้น อย่าได้ทำผิดเล่า”

“คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวเตรียมพร้อมหมดแล้ว ไม่มีทางทำผิดแน่”

“ฮูหยินมาแล้ว!” ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากตรงประตู

เจินจยาฝูหันหน้าไปมอง เห็นเมิ่งซื่อ ผู้เป็นมารดากับป้าหลิวบ่าวหญิงอาวุโสข้างกายนางมาหา จึงเดินไปต้อนรับ

เมิ่งซื่อพาบุตรสาวมานั่งลงที่ขอบเตียง “ร่างกายเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ยังมึนงงอยู่หรือไม่”

วันที่เก้าซึ่งเป็นวันครบรอบวันตายปีที่สามของบิดาเจินจยาฝู วันนั้นนางติดตามท่านย่า เมิ่งซื่อผู้เป็นมารดา กับเจินเย่าถิงผู้เป็นพี่ชายไปประกอบพิธีทางศาสนายังวัดซีซาน คืนนั้นอยู่ค้างที่วัด นางกับมารดานอนห้องเดียวกัน รุ่งเช้าวันถัดมาตอนที่เมิ่งซื่อตื่นขึ้นก็พบว่าบุตรสาวมีน้ำตานองหน้า ทำเอาตกอกตกใจยกใหญ่ เมื่อถามถึงสาเหตุ นางก็ส่ายหน้าไม่พูดจา เอาแต่กอดตนเองร้องไห้สลับกับหัวเราะ ผิดแผกไปจากปกติโดยสิ้นเชิง เมิ่งซื่อสงสัยว่านางอาจไปเจอของอัปมงคลอะไรเข้าจึงไปขอน้ำศักดิ์สิทธิ์มา วันนั้นหลังพานางกลับบ้าน สภาพจิตใจยังดูเลื่อนลอยอยู่บ้าง หลายวันมานี้ถึงค่อยๆ ดีขึ้น

เจินจยาฝูเอ่ยตอบ “ลูกหายดีนานแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ”

เมิ่งซื่อมองสำรวจบุตรสาว เห็นนางมีใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าเองก็ดูดี จึงโอบนางเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ “แค่พริบตาเดียวพ่อของลูกก็ไม่อยู่มาสามปีแล้ว พี่ชายลูกนิสัยเกเรไม่เชื่อฟัง ตอนนี้แม่มีแค่ลูกที่ทำให้รู้สึกสบายใจ วันพรุ่งนี้ยัง…”

นางหยุดชะงักไป

วันพรุ่งนี้เจินจยาฝูก็จะต้องเดินทางขึ้นเหนือ มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงด้วยกันกับเมิ่งซื่อ และพี่ชายเจินเย่าถิงแล้ว

คนสกุลเจินเดินทางขึ้นเหนือหนนี้ นอกจากจะไปเพื่ออวยพรวันเกิดให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยยังจวนเว่ยกั๋วกงแล้ว ยังไปเพื่อเตรียมเรื่องงานแต่งงานระหว่างเจินจยาฝูกับซื่อจื่อ จวนเว่ยกั๋วกงเผยซิวจื่ออีกด้วย

เรื่องแต่งงานถูกกำหนดมาตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว แค่รอให้ช่วงไว้ทุกข์ของเจินจยาฝูสิ้นสุดลงเท่านั้น อีกทั้งเป็นการแต่งงานใหม่อีกครั้งของพี่รองเผยซิวจื่อ หลังแต่งเข้าไปก็จะมีลูกเลี้ยงอายุห้าขวบรออยู่ด้วย ซึ่งต่อให้สกุลเจินจะร่ำรวยยิ่งกว่านี้ บิดาที่ตายจากไปก็มีชื่อเป็นแค่ซิ่วไฉ ผู้หนึ่ง การที่นางสามารถแต่งเข้าจวนเว่ยกั๋วกงไปเป็นชายาซื่อจื่อได้ก็นับเป็นการปีนป่ายขึ้นที่สูงมากแล้ว

บุตรสาวมีที่พึ่งนับเป็นเรื่องดีอย่างมากสำหรับสกุลเจิน เมิ่งซื่อย่อมรู้สึกดีใจ แต่เมื่อนึกถึงว่าหลังบุตรสาวแต่งงานไป ระยะทางระหว่างเมืองหลวงกับเฉวียนโจวนั้นห่างไกลกันมาก กว่าแม่ลูกจะได้พบกันอีกครั้งเกรงว่าคงไม่ง่าย อย่างไรเสียตระกูลกั๋วกงก็สูงส่ง ตระกูลตนเองไม่อาจเทียบเคียงได้เลย เป็นกังวลว่าวันหน้าบุตรสาวจะยืนหยัดได้อย่างยากลำบาก พอกังวลเรื่องนั้นเสร็จก็กังวลเรื่องนี้ต่อ มีเรื่องราวในใจมากมาย ปลายหางตาปรากฏประกายหยาดน้ำตาขึ้นมา

ป้าหลิวเห็นแล้วก็รีบเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ตระกูลที่คุณหนูแต่งไปมิใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นตระกูลกั๋วกงที่รู้จักกันดี ความรู้สึกที่คุณชายรองมีต่อคุณหนู ฮูหยินเองก็รับรู้ ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินรองของทางนั้นกับฮูหยินเองยังเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เมื่อคุณหนูแต่งงานไปก็จะเป็นชายาซื่อจื่อของจวนเว่ยกั๋วกงแล้ว ไม่รู้ว่าวันหน้าจะมีความสุขมากเพียงใด ฮูหยินมีอะไรให้กังวลกันเจ้าคะ”

เมิ่งซื่อถูกปลอบจนค่อยๆ สงบลงได้ ยกมือขึ้นเช็ดปลายหางตา ก่อนดึงมือบุตรสาวมาแล้วเอ่ย “เป็นแม่ที่คิดมากไปเอง ไปกันเถอะ อย่าให้ท่านย่าลูกต้องรอนานเลย”

ท่านย่าของเจินจยาฝูเป็นผู้นำของสกุลเจิน บ้านเดิมคือสกุลหู ฉลาดเฉลียวเด็ดขาดไม่แพ้บุรุษ แต่ก่อนคาดหวังให้บุตรชายสอบขุนนางจนมีชื่อเสียงให้ได้ ดังนั้นหลังสามีลาโลกไป เพื่อไม่ให้เขาต้องแบ่งสมาธิ จึงรับผิดชอบกิจการในครอบครัวทุกอย่างด้วยตนเอง แต่บิดาของเจินจยาฝูกลับมีนิสัยรักอิสระ ไม่สนใจในชื่อเสียง หลังสอบผ่านเป็นซิ่วไฉแล้ว การสอบอีกหลายครั้งต่อจากนั้นก็ไม่เคยสอบผ่านอีก จวบจนเขาอายุสามสิบกว่าปี ฮูหยินผู้เฒ่าแก่ชราลงเรื่อยๆ กำลังกายไม่มากพออีกต่อไป เขาจึงเลิกพยายามสร้างชื่อเสียงง่ายๆ เสียอย่างนั้น แล้วกลับมาสืบทอดกิจการของครอบครัวต่อแทน แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อสามปีก่อน ในปีที่เจินจยาฝูอายุได้สิบสามปีนั้น เขาที่ออกทะเลไปกับกองเรือจะโชคไม่ดีเผชิญพายุและเสียชีวิตจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าคนแก่ผมขาวส่งคนผมดำ สามารถจินตนาการได้ถึงความโศกเศร้าที่ต้องเผชิญ แต่หญิงชราผู้นี้กลับอดทนผ่านไปได้ แล้วเปลี่ยนไปฝากความหวังไว้กับเจินเย่าถิง พี่ชายของเจินจยาฝูแทน

เจินเย่าถิงอายุมากกว่าเจินจยาฝูสองปี ตอนนี้อายุสิบแปด ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องดีมาก แต่น่าเสียดายที่เจินเย่าถิงไม่ค่อยมีความก้าวหน้า เล่าเรียนไม่ได้ความไม่พูดถึง กิจการของครอบครัวเองก็ไม่ใส่ใจ วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ข้างนอก ตอนนี้เป็นช่วงจุดโคม แล้ว กระทั่งตัวคนก็ยังไม่เห็นกลับมา

เจินจยาฝูตามมารดามายังห้องของท่านย่า ฮูหยินผู้เฒ่าคิ้วดกหน้าผากกว้าง สีหน้าเข้มงวด ค่อนข้างเห็นความสำคัญของบุรุษมากกว่าสตรีอยู่บ้าง เจินจยาฝูหวาดกลัวผู้เป็นย่าตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว ยามอยู่ต่อหน้านาง แม้แต่เมิ่งซื่อก็ไม่ค่อยกล้าออกความเห็น หลังเข้ามากันแล้ว เมิ่งซื่อก็พาบุตรสาวคารวะแม่สามี

ฮูหยินผู้เฒ่าถามถึงการเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่งนี้ เมิ่งซื่อตอบกลับทุกๆ คำถาม ก่อนเอ่ยปิดท้ายว่า “ท่านแม่วางใจได้ ลูกได้เตรียมของขวัญวันเกิดของฮูหยินเฒ่าจวนเว่ยกั๋วกง รวมถึงของขวัญที่จะมอบให้จวนสกุลซ่งด้วยตนเอง ทุกอย่างล้วนผ่านการตรวจสอบและนำขึ้นไปบนเรือทั้งหมดแล้ว บ้านทางเมืองหลวงก็จัดการเรียบร้อย สามารถเข้าพักได้ทันทีที่ไปถึงเจ้าค่ะ”

หลังเจินจยาฝูเดินทางเข้าเมืองหลวงหนนี้ก็จะไม่กลับมาเฉวียนโจวอีก แต่จะรั้งอยู่ที่นั่นรอการแต่งงานเลย ดังนั้นเพื่อเป็นการสะดวกในการจัดเตรียมเรื่องงานแต่ง สกุลเจินจึงตัดสินใจซื้อคฤหาสน์เอาไว้ที่เมืองหลวง

ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจกับการเตรียมการของสะใภ้จึงเอ่ย “เมื่อไปถึงเมืองหลวง ควรจะใช้เงินอย่างไรก็ใช้เสีย ไม่ต้องคอยเป็นกังวล สกุลเผยฐานะสูงส่งก็จริง ทว่าเมื่อเป็นสกุลใหญ่ย่อมมีความลำบากของตนเองอยู่เช่นกัน นับประสาอะไรกับที่ช่วงสองปีนี้ภายในวังเกิดการเปลี่ยนแปลง สกุลเผยเองก็ไม่ได้รุ่งเรืองเท่าในอดีตแล้ว พวกเขายอมที่จะให้มีการแต่งงานครั้งนี้ ที่ต้องตาหาใช่ตัวของอาฝูเอง แต่เป็นเงินและเส้นทางในการหาเงินของพวกเราต่างหาก”

เมิ่งซื่อตอบรับ “ท่านแม่วางใจได้ ลูกเข้าใจดีเจ้าค่ะ”

บนใบหน้าเข้มงวดของฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาในที่สุด สายตามองไปยังลูกสะใภ้ “เจ้าเองก็ลำบาก แต่งเข้ามาในสกุลเจินของพวกเรา แต่ต้องเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนกับข้า ดีที่เจ้ายังมีบุตรชายบุตรสาวให้ฝากความหวัง บัดนี้อาฝูได้แต่งไปอยู่สกุลดี วันหน้าเจ้าเองก็สามารถดื่มด่ำความสุขไปด้วยได้แล้ว”

เดิมทีเมิ่งซื่อมาจากตระกูลขุนนาง ในปีนั้นตอนที่ท่านผู้เฒ่าเมิ่งรับตำแหน่งอยู่ที่ฝูเจี้ยน ได้ก่อความผิดพลาดครั้งใหญ่ ต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากท่านปู่สกุลเจินจึงสามารถรอดพ้นมาได้ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณจึงมอบบุตรสาวคนหนึ่งให้แต่งเข้าไปยังสกุลเจิน เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสกุลก็ไม่เลวอยู่แล้ว แต่หลังการจากไปของท่านผู้เฒ่าเมิ่งกับท่านปู่สกุลเจิน สกุลเมิ่งเองกลับค่อยๆ ตกต่ำ ทั้งยังตระหนักถึงฐานะตนเองดี ไม่ยอมเป็นฝ่ายเข้าหาสกุลเจินก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสกุลจึงพลอยห่างเหินไปด้วยเช่นกัน ทว่าหลังเมิ่งซื่อแต่งเข้ามา ความสัมพันธ์กับสามีกลับดียิ่ง ยามนี้ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของฮูหยินผู้เฒ่าสะกิดความเสียใจอีกครั้ง ขอบตานางพลันแดงเรื่อ ทว่าไม่กล้าหลั่งน้ำตา เพียงยิ้มเอ่ย “ท่านแม่พูดถูกแล้ว ลูกเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าผงกศีรษะ ก่อนหันไปเรียกเจินจยาฝูที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง

เจินจยาฝูรู้ว่านางมีอะไรจะพูดกับตนเอง จึงคุกเข่าลงบนเบาะใบหนึ่งด้านหน้านาง “เชิญท่านย่าพูดมาได้เลยเจ้าค่ะ”

“ความกตัญญูคือพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน สกุลพวกเราอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ในใจเจ้าย่อมกระจ่างดี แม้จะบอกว่าคนเราต้องยืนหยัดด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรการมีสกุลเผยเพิ่มเข้ามาเป็นที่พึ่งย่อมดีเสมอ วันหน้าเจ้าอยู่ที่สกุลเผยเมื่อมีหน้ามีตาขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ต้องให้เจ้าช่วยเหลือพี่ชายเจ้าบ้าง คำพูดของย่า เจ้าจดจำได้แล้วหรือไม่”

เจินจยาฝูตอบรับ “หลานจดจำได้แล้วเจ้าค่ะ” ด้วยท่าทางเคารพนอบน้อมอย่างมาก

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ายามมองเจินจยาฝูแฝงไปด้วยความอ่อนโยนอันหาได้ยาก ก่อนนางจะผงกศีรษะ “ลุกขึ้นเถอะ รีบกลับไปพักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางแต่เช้าอีก”

เมื่อกลับมาจากทางฮูหยินผู้เฒ่า เมิ่งซื่อก็ถามหาบุตรชายตนเอง

หัวหน้าพ่อบ้านจางต้าตอบไม่ได้ บอกได้แค่ว่าเมื่อตอนเที่ยงเขายังนับสิ่งของที่จะขนขึ้นเรือพรุ่งนี้อยู่ที่ท่าเรือกับตนเอง ภายหลังตนมัวแต่ยุ่งวุ่นวาย พอหันกลับมาอีกทีเขาก็หายตัวไปพร้อมกับบ่าวรับใช้แล้ว ทว่าไปที่ใดก็สุดรู้

การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ พี่ชายของเจินจยาฝูเจินเย่าถิงย่อมต้องไปด้วยกัน พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแต่เช้าแล้ว ยามนี้กลับไม่รู้ว่าเขาหนีไปอยู่ที่ใด เมิ่งซื่อเอ่ยตัดพ้อออกมาอย่างอดไม่ได้ จางต้าเองก็กล่าวตำหนิตนเอง “เป็นบ่าวสะเพร่าเอง ประเดี๋ยวจะเรียกคนออกไปตามหาทันทีขอรับ”

เมิ่งซื่อถอนหายใจ “ช่างเถอะ ข้าไม่โทษเจ้า สองขางอกอยู่บนร่างของเขา จะบอกให้เจ้าจับตาดูเขาไม่ให้คลาดสายตาอยู่ตลอดเวลาก็ใช่เรื่อง แค่สั่งให้คนไปดูในที่ที่ปกติเขาชอบไปก็พอ”

จางต้าขานรับแล้วรีบจากไปทันที

เมิ่งซื่อส่งบุตรสาวกลับไปห้องก่อน กำชับให้นางรีบพักผ่อนแล้วตนเองถึงได้จากไป

 

ราตรีมืดมิดลงเรื่อยๆ ทั่วทั้งคฤหาสน์สกุลเจินล้วนเงียบสงัด

พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางขึ้นเหนือแต่เช้าตรู่แล้ว

เจินจยาฝูยากจะข่มตาหลับได้ลง

ราตรีนี้เมื่อชาติก่อน นางจำได้ว่าตนเองก็ผ่านไปโดยนอนไม่หลับเช่นกัน แต่สภาพจิตใจกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

ในครานั้นนอกจากความกระวนกระวาย ที่มีมากกว่านั้นยังคงเป็นความปีติยินดีกับความคาดหวังที่มีต่ออนาคต

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง นางในตอนนี้ย่อมไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนดีที่นางกำลังแต่งให้อย่างเผยซิวจื่อแห่งจวนเว่ยกั๋วกงจะกลายเป็นผู้ที่ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวเพียงนั้น นอกจากเพื่อปกป้องตนเองแล้ว เขายังเห็นแก่ความร่ำรวยมากกว่าตัวนาง ในอนาคตยามที่วันนั้นมาถึง เขาจะประทานนางใส่มือบุรุษอีกคนด้วยมือตนเอง

เรื่องราวมากมายในอดีตชาติ ทันทีที่หลับตาลงก็จะซัดสาดอยู่ในสมองของเจินจยาฝูประดุจคลื่นทะเล…

จวนเว่ยกั๋วกงมีสองบ้าน เมิ่งฮูหยินของบ้านรองเป็นพี่สาวของมารดาตนเอง มีบุตรหนึ่งคนคือญาติผู้พี่ลำดับสามเผยซิวลั่ว ส่วนเผยซิวจื่อนั้นเป็นลำดับสอง เป็นบุตรคนรองของซินฮูหยินของบ้านใหญ่ นับเป็นญาติผู้พี่ของเจินจยาฝูเช่นกัน

นอกจากเผยซิวจื่อของบ้านใหญ่และเผยซิวลั่วของบ้านรองแล้ว เจินจยาฝูยังมีญาติผู้พี่อีกคนหนึ่งที่ไม่ค่อยสนิทกันนักชื่อเผยโย่วอัน

ในตอนที่สกุลเผยรุ่งโรจน์ถึงที่สุดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้า ยามนั้นเหวินจิ่ง บุตรสาวคนโตของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยถูกแต่งตั้งเป็นชายารัชทายาท เมื่อองค์รัชทายาทได้สืบทอดบัลลังก์ขึ้นเป็นเทียนสี่ฮ่องเต้ นางเองก็กลายเป็นฮองเฮา แต่น่าเสียดายที่สวรรค์ริษยาความงาม ปีถัดมาจึงติดโรคระบาด หลังพักรักษาตัวอยู่ในวัดฉือเอินของราชวงศ์ได้หนึ่งปีกว่าก็จากไปอย่างโชคร้าย

แม้ฮองเฮาจะจากไปแล้ว แต่ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อสกุลเผยกลับยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น และก็เป็นในตอนนั้นเองที่หลานชายคนโตของสกุลเผย ซื่อจื่อเผยโย่วอันที่อายุสิบสี่ปีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วว่าเป็นมหาเสนาบดีอายุน้อย ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดเทียบความรุ่งโรจน์ของสกุลเผยได้

ดั่งคำที่ว่าหลังจันทร์เพ็ญก็จะเป็นจันทร์เว้า เมื่อรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดย่อมถดถอย สำหรับสกุลเผยแล้ว ชะตากรรมเลวร้ายทั้งหมดคล้ายจะเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการจากไปของเว่ยกั๋วกง

ยามนั้นสถานการณ์ที่ชายแดนทางเหนือไม่สงบ เว่ยกั๋วกงรับพระราชโองการนำทหารไปปราบปรามความวุ่นวาย ทว่าโชคร้ายป่วยตายไปในปีถัดมา ตอนนั้นเผยโย่วอันติดตามบิดาไปอยู่ในกองทัพด้วย เขากลับมาบ้านพร้อมโลงศพของบิดา ใครจะไปคาดว่าไม่นานจากนั้น ภายในเมืองหลวงกลับเกิดข่าวลือว่าเว่ยกั๋วกงซื่อจื่อเผยโย่วอันยังไม่ทันพ้นช่วงไว้ทุกข์ก็บีบคั้นอนุผู้หนึ่งของบิดา อนุผู้นั้นฆ่าตัวตายด้วยความอับอาย แม้ซินฮูหยินจะพยายามปิดเรื่องเอาไว้ไม่ให้ข่าวฉาวแพร่ออกไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเรื่องราวยังคงแพร่ออกไป ถูกผู้ตรวจการถวายฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นไปยังเทียนสี่ฮ่องเต้

ระหว่างช่วงไว้ทุกข์ของบิดา กระดูกยังไม่ทันจะเย็นดี ในฐานะบุตรชายกลับกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ออกมา หากเป็นผู้อื่นก็คงจัดการไปตามเรื่อง แต่เมื่อเป็นเผยโย่วอัน เทียนสี่ฮ่องเต้กลับไม่เชื่อ พระองค์เรียกตัวเขามาถาม เจตนาเดิมคิดอยากแก้ไขเรื่องราวให้เขา แต่จากข่าวลือที่ได้ยินมา ในตอนนั้นเขากลับไม่พูดอะไรสักคำซึ่งเทียบได้กับเป็นการยอมรับความผิด เทียนสี่ฮ่องเต้จนปัญญา จำต้องริบความดีความชอบ ปลดเขาจากตำแหน่งซื่อจื่อ ภายหลังเขาก็ออกจากเมืองหลวง ไปจากสกุลเผย

เสมือนดาวตกดวงหนึ่งวาบผ่านขอบฟ้า เว่ยกั๋วกงซื่อจื่อเผยโย่วอันผู้เคยองอาจโดดเด่นกลับแบกรับชื่อเสียงเลวร้าย หายตัวไปจากสายตาของทุกคนนับแต่นี้

ในปีนั้นเขามีอายุสิบหกปี

ก่อนหน้านี้สกุลเผยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากเกินไป รุ่งโรจน์มาหลายปีเพียงนั้นยากจะไม่ให้ผู้คนริษยา เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ชั่วขณะหนึ่งจึงกลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนพูดคุยกันลับหลัง แต่นี่ยังไม่ใช่ชะตาเลวร้ายทั้งหมดที่สกุลเผยต้องเผชิญ ความเปลี่ยนแปลงภายในวังที่เกิดตามมาจากนั้นไม่กี่ปีจึงจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตของบรรดาตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงจริงๆ

สองปีให้หลังเทียนสี่ฮ่องเต้ประชวรหนัก จึงมอบตำแหน่งให้องค์รัชทายาทเซียวอวี้ ด้วยเซียวอวี้ยังอายุน้อยนัก นอกจากแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแล้วยังตั้งใจฝากฝังองค์รัชทายาทไว้กับพระอนุชาซุ่นอันอ๋องที่พระองค์เชื่อใจอย่างยิ่ง ให้ซุ่นอันอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน คอยดูแลจัดการราชกิจจนกว่าองค์รัชทายาทจะครบยี่สิบชันษา

ภายหลังมีข่าวลือว่าก่อนหน้าที่เทียนสี่ฮ่องเต้จะสวรรคต พระองค์ได้กำชับให้ซุ่นอันอ๋องคอยระวังอวิ๋นจงอ๋องเซียวเลี่ยเป็นพิเศษ พระองค์ระแวงในตัวพระอนุชาที่ค่อนข้างมีความสามารถ ทั้งยังมีความดีความชอบทางการศึกผู้นี้มาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมาเซียวเลี่ยปฏิบัติตนตามระเบียบแบบแผนอยู่เสมอ รวมเข้ากับอุปนิสัยของเทียนสี่ฮ่องเต้ที่ค่อนข้างอ่อนแอ โลเลไม่อาจตัดสินใจได้เสียที ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจึงกลายมาเป็นเช่นนี้

ในระหว่างการโขกศีรษะรับปากของซุ่นอันอ๋องที่น้ำตานองหน้า เทียนสี่ฮ่องเต้ก็สวรรคต เซียวอวี้ที่พระชนมายุแปดชันษากลายมาเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าเว่ย ชื่อรัชศกเฉิงหนิง มีซุ่นอันอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน

ทว่าหลังผ่านไปอีกสองปีกว่าฮ่องเต้น้อยกลับสวรรคตด้วยอุบัติเหตุตกจากหลังม้าในการล่าสัตว์ ซุ่นอันอ๋องผู้มีชื่อเสียงดีงามถูกเสนอนามขึ้นมาเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างสมเหตุสมผล อาณาจักรต้าเว่ยเริ่มเข้าสู่รัชศกหย่งซี

การขึ้นครองบัลลังก์ของซุ่นอันอ๋องก็ใช่ว่าจะราบรื่น หนึ่งในราชครูที่เทียนสี่ฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการในตอนแรกมีนิสัยเปิดเผย เอ่ยออกมาตรงๆ ว่าการสวรรคตของฮ่องเต้น้อยน่าสงสัย กล่าวหาว่าซุ่นอันอ๋องวางแผนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้น้อย ซ้ำยังมีคนคิดไปว่าฮ่องเต้น้อยยังไม่ได้สวรรคต แต่ถูกขุนนางผู้จงรักภักดีข้างกายคุ้มกันหลบหนีไปได้แล้ว

แต่เพียงไม่นานเสียงคัดค้านและข้อสงสัยเหล่านี้ก็ถูกกดดันจนหายไป ซุ่นอันอ๋องขึ้นครองราชย์ภายใต้แรงสนับสนุนของผู้สำเร็จราชการอีกผู้หนึ่ง จากนั้นได้ออกคำสั่งให้นำกลุ่มขุนนางเก่าที่มีราชครูเป็นผู้นำมาสังหารเสีย บ้างก็ปลดจากตำแหน่ง ไม่นานก็ควบคุมราชสำนักได้อย่างรวดเร็ว

นับตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่เว่ยกั๋วกงตายไป สกุลเผยก็ขาดผู้นำที่มีตำแหน่งอยู่ในราชสำนัก ภายในกลุ่มบุตรหลานรุ่นหลังของสกุลเผย นับตั้งแต่เผยโย่วอันออกจากเมืองหลวงไป ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีผู้ใดโดดเด่นอีก ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้หนึ่งยุคขุนนางหนึ่งรัชสมัย บุตรสาวของสกุลเผยเคยเป็นฮองเฮาคนแรกของเทียนสี่ฮ่องเต้ สกุลเผยจึงนับว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระเชษฐาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ต่อให้จวนเว่ยกั๋วกงจะไม่ส่งเสียงใดๆ ต่อการขึ้นครองราชย์ของซุ่นอันอ๋อง ทั้งไม่เคยแสดงออกถึงการคัดค้านแต่อย่างใด แต่หากคิดอยากอาศัยความสัมพันธ์เก่าก่อนนี้ฟื้นตัวจนกลับมาได้รับความโปรดปรานตามเดิม ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว

หย่งซีฮ่องเต้ปฏิบัติต่อสกุลเผยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในหมู่คนชั้นสูงของเมืองหลวง มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าจวนเว่ยกั๋วกงกลายเป็นลูกธนูที่สุดแรงบิน เป็นบุปผาที่เตรียมเหี่ยวเฉาไปแล้ว ศักดิ์ฐานะเทียบเท่าในอดีตไม่ได้อีกต่อไป ถึงขั้นทุกวันนี้ยังต้องคอยมองดูสีหน้าของบ้านสะใภ้สกุลซ่ง

ปีที่เจินจยาฝูเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็คือปีหย่งซีที่สาม ซุ่นอันอ๋องขึ้นครองราชย์แล้ว

นางไม่รู้ว่าตนเองกลับมาในอดีตได้อย่างไร

ทั้งๆ ที่ชีวิตของนางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ในชั่วเวลาสุดท้ายนางยังได้พบกับบิดาอีกครั้งในความฝัน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง กลับมาในตอนอายุสิบหกปี ในวันครบรอบวันตายปีที่สามของบิดา

บางคนรุ่งโรจน์ขึ้น…บางคนตกอับลง

เจินจยาฝูรู้ว่าอีกไม่นานเท่าไรชะตาชีวิตของผู้คนมากมายภายในราชสำนักแห่งต้าเว่ยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

เฉกเช่นในชาติก่อน หลังนางแต่งให้กับเผยซิวจื่อ ยังไม่ทันครบหนึ่งปี ความขัดแย้งระหว่างเชื้อพระวงศ์ก็ปะทุขึ้น หย่งซีฮ่องเต้ลงมือกับอวิ๋นจงอ๋องเซียวเลี่ย อวิ๋นจงอ๋องจึงชูธงต่อสู้เพื่อฮ่องเต้น้อย อาศัยโอกาสก่อกบฏ ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกัน ครึ่งแผ่นดินแห่งต้าเว่ยเข้าสู่ภาวะสงคราม

และก็เป็นเพราะสงครามแย่งชิงบัลลังก์ของคนสกุลเซียวนี้เอง ถึงได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจินจยาฝูไปโดยสิ้นเชิง

ยามนั้น ในตอนที่สงครามเพิ่งจะปะทุขึ้น ทุกคนต่างมั่นใจว่าหย่งซีฮ่องเต้จะต้องคว้าชัย เผยซิวจื่อที่สืบทอดบรรดาศักดิ์เว่ยกั๋วกงมาอย่างราบรื่น เพื่อที่จะแสดงความภักดีต่อฮ่องเต้และเพื่อสร้างความดีความชอบ เขาจึงนำทหารออกปราบปรามกบฏ คิดไม่ถึงว่าสู้มาจนถึงตอนท้าย อวิ๋นจงอ๋องจะเป็นฝ่ายพลิกกลับมาชนะ กองทัพใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนกดดันมายังเมืองหลวง ผู้คนในราชสำนักจำนวนมากเริ่มแปรพักตร์ เผยซิวจื่ออยู่ป้องกันเมืองชิ่งโจวซึ่งเป็นทางที่กองทัพกบฏจะต้องผ่านไปยังเมืองหลวงอย่างสุดกำลัง หลังต่อสู้ไม่ไหวและเมืองแตกในที่สุด จึงได้พาเจินจยาฝูหนีเอาตัวรอด ระหว่างทางถูกเซียวอิ้นถังที่ในยามนั้นยังเป็นอวิ๋นจงอ๋องซื่อจื่อจับตัวเอาไว้ได้

นั่นคือการพบกันครั้งแรกระหว่างเจินจยาฝูกับเซียวอิ้นถังเมื่อชาติที่แล้ว

รูปโฉมของนางเพียงพอจะล่มเมือง…เซียวอิ้นถังจึงได้ต้องตาต้องใจ

เผยซิวจื่อถึงกับยอมรับพฤติกรรมแย่งชิงภรรยาของเซียวอิ้นถังอยู่เงียบๆ

หากมีเพียงแค่นี้ บางทีเจินจยาฝูอาจจะยังพอเข้าใจได้

แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลังนั่นต่างหากที่ทำให้นางผิดหวังต่อบุรุษผู้นี้อย่างที่สุด

หลังนางตกอยู่ในกำมือของเซียวอิ้นถัง เริ่มแรกนางขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย เซียวอิ้นถังจึงเพียงเก็บนางไว้ข้างกาย ไม่นานจากนั้นเจินจยาฝูก็รู้เข้าโดยบังเอิญว่าเผยโย่วอันที่ออกจากเมืองหลวงไปเมื่อหลายปีก่อนบัดนี้กลับอยู่ในกองทัพของอวิ๋นจงอ๋อง

ในอดีตยามที่ไปเยือนจวนสกุลเผยตอนเด็ก นางเคยพบเผยโย่วอันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน ที่เรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่เผย’ ก็แค่เรียกตามความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับบ้านรองเท่านั้น ในความทรงจำของนาง พี่ใหญ่เผยผู้นี้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็ก นิสัยเงียบขรึมและเย็นชา ไม่เคยจะสนใจนางสักเท่าไร นางจึงรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่บ้าง ทุกครั้งที่ได้พบกันหากหลีกเลี่ยงได้ก็มักจะเลี่ยงออกไปไกลๆ อยู่เสมอ

ถึงแม้จะไม่คาดหวัง แต่ในสถานการณ์ตอนนั้นเขากลับเป็นเพียงความหวังเดียวของนางแล้ว นางคิดหาวิธีการจนในที่สุดก็ได้พบเขา และเปิดปากขอความช่วยเหลือจากเขา

เผยโย่วอันช่วยเหลือนางจริงๆ โดยออกหน้าขอตัวนางคืนจากเซียวอิ้นถัง ทั้งยังส่งนางกลับมาอยู่ข้างกายเผยซิวจื่อ

แต่ที่ทำให้เจินจยาฝูสิ้นหวังอย่างที่สุดคือพฤติกรรมต่อจากนั้นของเผยซิวจื่อผู้เป็นสามี

เซียวอิ้นถังปรารถนาจะครอบครองนางให้ได้ แม้ยามนั้นจะติดที่เผยโย่วอันออกหน้าช่วยเหลือจึงต้องยอมปล่อยนางไป ทว่าลับหลังเขากลับส่งคนมาหาเผยซิวจื่อเพื่อบอกความต้องการเป็นนัยๆ

เจินจยาฝูไม่รู้ว่าเขาสัญญาหรือไปข่มขู่อะไร อย่างไรเสียจุดจบในตอนสุดท้ายก็คือนางถูกส่งมอบตัวให้เซียวอิ้นถังด้วยมือสามีตนเอง

ภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้น ต่อให้เป็นในชั่วเวลานี้นางก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่างเมื่อนึกถึงขึ้นมา

วันนั้นเผยซิวจื่อจัดโต๊ะอาหารเล็กๆ ดื่มกินกันกับเจินจยาฝูสองคน เขาเหมือนจะเมาแล้ว ดื่มไปดื่มมา ยามที่มองเจินจยาฝูจู่ๆ น้ำตาเขาก็ไหลรินลงมา

เจินจยาฝูรู้ว่าเขาปรารถนาจะรื้อฟื้นชื่อเสียงสกุลเผยกลับมาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงรับปากอดีตบ้านพ่อตาสกุลซ่งหลายๆ อย่าง ได้รับความไม่เป็นธรรมมาไม่น้อย ทั้งยังได้รับคำสั่งให้มาปราบกบฏ เดิมทีเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความดีความชอบ ทว่ากลับพบจุดจบอันน่าเศร้าเช่นนี้ อนาคตหมดหวังแล้ว ความทะเยอทะยานและความฝันทุกอย่างสลายหายไปเป็นเถ้าถ่าน

ด้วยรับรู้ว่าในใจเขาเศร้าโศก เจินจยาฝูจึงพยายามปลอบโยน

เขากอดนางร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย บอกว่าตนเองทำผิดต่อนาง ไม่สมควรเป็นบุรุษ

ยามนั้นเจินจยาฝูไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิด เห็นเขาเศร้าโศกเพียงนี้ก็มีแต่เกลียดตนเองที่ไร้ประโยชน์ ไม่อาจช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจของสามีได้ จึงร่วมร้องไห้ไปด้วยกันกับเขา

เย็นวันนั้นนางดื่มจนเมา ก่อนจะถูกเผยซิวจื่ออุ้มกลับไปยังห้องนอน ในตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายได้เปลี่ยนไปแล้ว เซียวอิ้นถังโอบกอดนาง เขาหลับสนิทยังไม่ตื่น ส่วนนางตัวเปล่าเปลือยไปทั้งร่าง ศีรษะยังปวดอย่างหนัก

เจินจยาฝูสูญเสียอิสระไปนับแต่นั้น…

นางเปลี่ยนจากชายาเว่ยกั๋วกงไปเป็นสมบัติลับของเซียวอิ้นถัง สมบัติที่ไม่มีวันเปิดเผยตัวตนได้ตลอดกาล

เซียวอิ้นถังรักถนอมนางอย่างยิ่ง หลังเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ เพียงเพราะว่านามของนางมีคำว่า ‘ฝู’ เขาจึงสร้างสระบัวขึ้นมาในตำหนักที่นางอาศัยอยู่ ส่วนริมฝั่งก็ปลูกต้นพุดตานเต็มไปหมด ฤดูร้อนดอกบัวบาน ฤดูใบไม้ร่วงดอกพุดตานบาน งดงามราวกับตำหนักเซียนในแดนมนุษย์ ซึ่งอีกชื่อของดอกไม้ทั้งสองมีคำว่าฝูเหมือนกับนามของนาง

ดังนั้นนางจะต้องตอบแทนเขา

การตอบแทนสุดท้ายที่ ‘สมบัติลับ’ เช่นนางทำให้ฮ่องเต้ได้นั้น ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็คือการยอมฝังร่วมกับพระองค์ ติดตามพระองค์ไปยังดินแดนหลังความตาย

เจินจยาฝูขอบตาแดงเรื่อ ปลายจมูกตีบตัน ถึงขั้นหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

แสงจันทร์พร่าเลือนส่องลอดผ่านบานหน้าต่างฝั่งตะวันตกเข้ามา สะท้อนลงบนข้าวของภายในห้องอย่างสลัว ข้างหูแว่วเสียงคนเคาะไม้ เจ้าหน้าที่ตรวจตราตีฆ้องบอกเวลา ความเงียบสงัดยามราตรียิ่งทำให้เสียงฆ้องดังชัดเจนขึ้น

นางลุกจากหมอนขึ้นมานั่ง เรือนผมยาวคลอเคลียหัวไหล่ยาวเลยไปถึงแผ่นหลัง โอบล้อมร่างกายนางอย่างอ่อนโยน

นางนั่งอยู่นาน ก่อนพลิกตัวลงจากเตียง สวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมายังห้องข้างนอก

ถานเซียงนอนหลับอยู่ที่นี่ มู่เซียง สาวใช้ที่เปลี่ยนเวรกับนางในคืนนี้นอนหลับสนิท ทว่าถานเซียงกลับนอนไม่ค่อยหลับ เจินจยาฝูแค่เรียกเบาๆ นางก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

“ตามข้าไปที่แห่งหนึ่ง” เจินจยาฝูเอ่ยสั่ง

เมืองเฉวียนโจวภายใต้ผืนราตรีปราศจากความวุ่นวายและความคึกคัก ท่าเรือที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่เมื่อกลางวัน ยามนี้มืดไปทั้งหมด ริมฝั่งจอดเรือลำเล็กลำน้อยเอาไว้ คลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำที่ซัดสาดมาตามสายลมกระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ อย่างไร้สุ้มเสียง ห่างออกไปบริเวณหัวเรือบางลำยังคงสว่างด้วยตะเกียงเรือสีส้มเหลืองดวงเล็ก แสงไฟกะพริบวูบไหวอยู่ในความมืด ขานรับกันกับประภาคารเก่าแก่ที่คอยส่องนำทางให้แก่ผู้เดินทางในความมืดจากระยะไกล ซึ่งที่นั่นสร้างมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีแล้ว

แต่ก็มีผู้ออกทะเลบางคน นับตั้งแต่ออกเดินทางไปจากที่นี่ก็ไม่เคยได้กลับมาอีก เหลือทิ้งไว้เพียงประภาคารตั้งตระหง่านที่ยังคงเฝ้ารอผู้ออกทะเลอย่างโดดเดี่ยวทุกค่ำคืน

เจินจยาฝูคุกเข่าหันหน้าออกทะเล หลังจุดธูปขอพรเงียบๆ แล้วก็ยืนอยู่ข้างทำนบอยู่นานไม่ยอมจากไป สายตาทอดมองไปยังทิศทางที่บิดากางใบเรือออกเดินทางในปีนั้น จิตใจวูบไหวสั่นคลอน

เมื่อชาติก่อนหลังนางแต่งให้กับเผยซิวจื่อ ความจริงก็ไม่ได้ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสบายใจนัก ฐานะที่ไม่เท่าเทียมกันแต่แรกทำให้นางรู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำกว่าผู้อื่นอยู่ขั้นหนึ่งเสมอ หลังแต่งเข้าไปนางจึงขยันหมั่นเพียรปรนนิบัติผู้อาวุโส ทุ่มเทแรงใจทำดีต่อลูกเลี้ยง ยามได้รับความไม่เป็นธรรมมาก็ไม่กล้าบอกสามี ทุกอย่างก็เพียงเพื่อรักษาความใจกว้างและคุณงามความดีที่นางควรมีอยู่

ในตอนนั้นการเป็นชายาซื่อจื่อที่สามารถทำให้สามีและครอบครัวสามียอมรับได้ ถือเป็นเป้าหมายที่นางพยายามทำให้ได้มากที่สุด

ภายหลังนางกลายมาเป็นคนของเซียวอิ้นถัง หลังตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีวันหนีพ้นจากเขา นางจึงได้แต่เรียนรู้ที่จะยอมรับ นางบอกตนเองว่าจริงๆ แล้วชีวิตเช่นนั้นก็ดียิ่ง เขาทำเพื่อนางอย่างสุดกำลังความสามารถที่ทำได้แล้วจริงๆ ถ้าหากนางยังกล้าที่จะไม่พอใจอีก นั่นก็เป็นการไม่รู้จักแยกแยะกระมัง

มีแค่เคยตายไปแล้วกลับมามีชีวิตใหม่เท่านั้น ถึงได้รู้ว่าแต่ก่อนนางน่าสงสารและน่าสังเวชใจเพียงใด

นับตั้งแต่วันนั้นที่ลืมตาขึ้นมาพบว่าตนเองกลับจากโลกหลังความตายมายังแดนมนุษย์ นางก็เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่านี่จะต้องเป็นการคุ้มครองจากดวงวิญญาณของบิดา ถึงได้ให้นางกลับมาก่อนหน้าที่จะแต่งงานออกไป

ชาตินี้นางไม่ต้องการแต่งให้กับเผยซิวจื่ออีกแล้ว ยิ่งไม่คิดอยากมีความสัมพันธ์ใดๆ กับเซียวอิ้นถังอีก

บุรุษสองคนนั้นเพียรบอกคำว่ารักกับนางเสมอ…

เผยซิวจื่อบอกกับคนในสกุลเจินว่านางโชคร้ายตายอยู่ในสนามรบ จากนั้นก็ยกนางให้กับบุรุษอื่น ซึ่งเขามีความทุกข์ใจบีบคั้นจนไม่อาจไม่ทำเช่นนั้น

เซียวอิ้นถังอาศัยชื่อว่ารักถนอม ทำให้นางกลายเป็นคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่อาจเปิดเผยตัวตน ก็เพราะว่าเขามีความทุกข์ใจของเขา ถูกบีบคั้นให้ไม่อาจไม่ทำเช่นนั้นเช่นเดียวกัน

นางไม่เกลียดพวกเขาหรอก

เพราะมนุษย์เราเกิดมาบนโลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจทำตามใจตนเองได้จริงๆ นางเองก็เหมือนกัน

กระนั้นพวกเขายังคงทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บ ความหนาวเหน็บเช่นนี้ได้ออกมาจากส่วนลึกของกระดูก

ความรักที่พวกเขาหมายถึง…ก็มีค่าเพียงเท่านี้

เจินจยาฝูเงยหน้ารับลมราตรีที่แฝงกลิ่นเค็มน้อยๆ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

นางเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่ ความทรงจำที่แสนงดงามและอบอุ่นทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับบ้านเกิดซึ่งมีอีกชื่อว่าเมืองหลี่เฉิงแห่งนี้ ท่าเรือที่เท้าเหยียบอยู่ในตอนนี้ สำหรับนางแล้วยิ่งมีความหมายเป็นพิเศษ

ราตรีนี้ เป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้นางอดที่จะมาระลึกถึงบิดาที่นี่อีกครั้งไม่ได้

เรื่องการแต่งงานระหว่างสองสกุลถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ตรงกลางยังแทรกเอาไว้ด้วยสกุลซ่งที่ในยามนี้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไม่น้อย เพื่อเป็นการสั่งสอนว่าที่มารดาเลี้ยงซึ่งมีศักดิ์ฐานะต่ำอย่างนาง เมื่อไม่กี่เดือนก่อนสกุลซ่งยังจงใจส่งบ่าวหญิงอาวุโสสองคนมาเฉวียนโจว ซึ่งพรุ่งนี้เช้าจะร่วมออกเดินทางไปด้วยกัน

เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว นางไม่อาจอาศัยแค่ปณิธานของตนเองก็เรียกร้องขอยกเลิกงานแต่งงานออกมาโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนได้

มิหนำซ้ำต่อให้นางยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจริงๆ ท่านย่าก็ไม่มีทางรับปาก

นางได้แต่คิดหาหนทางอื่น

พรุ่งนี้เช้านางก็ต้องออกเดินทางขึ้นเหนือแล้ว นับจากนี้ก้าวไปบนทางเดินใหม่ที่ไม่รู้ชะตากรรม

ท่านพ่อ หวังว่าดวงวิญญาณของท่านบนสวรรค์จะคอยช่วยปกป้องคุ้มครองอาฝูนะเจ้าคะ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: