บทที่ 18 จันทร์เสี้ยวลมรุ่งอรุณ
เจินเหรินเจ้าสำนักกล่าว “ขอประมุขแดนสรวงอธิบายให้ชัดเจนด้วย”
หูซื่อยิ้ม “ไม่เข้าใจหรือ เช่นนั้นก็ปล่อยไปตามยถากรรมเถอะ”
ฟ้ายามนี้ยังไม่กระจ่าง แสงสีฟ้าหม่นนอกหน้าต่างฉลุลายลอดผ่านเข้ามาภายใน ควันจากเทียนโคมเตากำยานลอยละล่อง
เขาเดินตรงไปยังเด็กหนุ่มรูปร่างผ่ายผอมที่นั่งนิ่งอยู่บนเบาะ พินิจพิจารณาดูใบหน้าของอีกฝ่าย
“หากไม่คุ้นชินที่จะพำนักอยู่ที่หานซาน เช่นนั้นก็มาหาข้าที่มหรรณพแดนสรวง”
เด็กหนุ่มไม่แสดงท่าทีต่ำต้อย ไม่วางตนโอหัง “ประมุขแดนสรวงเมตตาใหญ่หลวง ข้าน้อยมิกล้ารับไว้”
หูซื่อคลุมร่างไว้ใต้อาภรณ์ยาวตัวนอกหลวมๆ สีขาว ทว่าเสื้อตัวในกลับแดงเข้มสดใส ทุกจังหวะย่างก้าวเผยให้เห็นถึงเท้าเปลือยเปล่าขาวสล้างราวกับบัวแดงผลิบานยามราตรี แลดูเอ้อระเหยสูงส่ง
เห็นอีกฝ่ายกล้าล่อลวงคนต่อหน้า ประมุขยอดเขาหลิวหลันก็เอ่ยวาจาน้ำเสียงเย็นชา “จะหาท่านเพื่อการใด เปลี่ยนไปปฏิบัติ ‘เมถุนธรรม’ กระนั้นหรือ”
หูซื่อพูดอย่างจริงจัง “หากเขายินดี แน่นอนว่าย่อมทำได้ มรรคาสามพัน เป้าหมายล้วนหนึ่งเดียว วิถีอันใดล้วนดีงาม กระบี่มีประโยชน์ของมัน เมถุนเองก็เช่นกัน”
เพราะศิษย์หนุ่มยังอยู่ เจินเหรินเจ้าสำนักจึงไม่ปรารถนาให้พวกเขาพูดคุยเรื่องนี้ต่อ เขานำพาทุกคนลุกขึ้นแสดงคารวะขอตัวลา “ครานี้ขอบคุณประมุขแดนสรวงยิ่งนัก”
หูซื่อโบกมือไม่ใส่ใจ “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หาต้องขอบคุณอันใดไม่ ชุนสุ่ย ชิวกวง ส่งแขกแทนข้าด้วย”
หลังม่านโปร่ง โฉมสะคราญสองนางขานรับเสียงเจื้อยแจ้ว
ประมุขยอดเขาทั้งหลายต่างราวกับนึกย้อนถึงความทรงจำย่ำแย่อะไรบางอย่างได้พร้อมกัน จู่ๆ ใบหน้าของพวกเขาก็พลันซีดเผือด
เจ้าสำนักพูดติดๆ ขัดๆ “ไม่จำเป็นๆ! ถิงอวิ๋น พวกเราไป”
ผู้แข็งแกร่งแห่งหานซานทั้งหลายต่างรีบกล่าวอำลา ท่าทางไม่ต่างอันใดกับบัณฑิตบ้านนอกที่เตลิดหนีออกจากหอคณิกา
เมื่อพ้นจากเรือล่องเมฆา กระบี่เหินเวหาทั้งห้าเล่มก็วาดผ่านฟากฟ้า ลำแสงหลายสายพุ่งตรงไปยังเขายอดประมุขรวดเร็วราวกับพายุไม่ต่างอันใดกับอสุนีบาต
“หลายปีมานี้หูซื่อทำตัวกำเริบเสิบสานมากขึ้นทุกที” เจินเหรินเจ้าสำนักถอนหายใจ
ประมุขยอดเขาจื่อเยียนสะท้อนใจยิ่งยวด “พบหน้าเขาคราหนึ่งอายุสั้นไปสิบปี เหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่าประลองเวทเสียอีก”
ประมุขยอดเขาเยวี่ยเชวียเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดจี้เซียวถึงทนเขาได้”
จี้เซียวคิด ต่อหน้าข้าศิษย์พี่วางตนสำรวมยิ่ง ด้วยกลัวว่าข้าจะทำร้ายเหล่าโฉมสะคราญของเขาเข้าน่ะสิ
ตั้งแต่เริ่มจนจบจี้เซียวไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ให้เขานั่งเขาก็นั่ง ให้เขาเดินเขาก็เดิน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนรู้สึกว่าเขาเป็นศิษย์นอกที่อยู่ในกฎระเบียบรู้จักมารยาทยิ่งยวด
หูซื่อไม่แสดงอาการสงสัย คำว่า ‘ศิษย์น้อง’ นั้นมิได้ทำไปเพื่อแกล้งเขาแต่จงใจแกล้งหานซาน น้ำเสียงยามเปล่งวาจา หากมีประมุขยอดเขาหานซานคนใดแสดงท่าทีผิดปกติออกมา หูซื่อย่อมรู้ได้ทันทีว่าจี้เซียวยังไม่ตาย
เพราะหากจี้เซียวยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมต้องส่งข่าวบอกทางสำนักอย่างลับๆ ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกผู้บำเพ็ญพรตทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ รวมถึงศิษย์พี่ของจี้เซียว
หลังทุกคนจากไป เรือสีชาดก็บินทะลุทะเลเมฆมุ่งหน้ากลับลงใต้
หูซื่อโยนอาภรณ์ตัวนอกที่ใส่พบแขกทิ้ง เหลือไว้แต่อาภรณ์สีแดงก่ำตัวใน นอนเอนกายอยู่ข้างตั่งโดยมีโฉมสะคราญสองนางคอยรินสุราให้
เขาถามอย่างอบอุ่นอ่อนโยน “ชุนสุ่ย เจ้าใจลอยเรื่องใด”
ได้ยินเขาถามขึ้นเช่นนั้นสตรีในอาภรณ์สีฟ้าละมุนละไมดั่งธารวสันต์ก็ใบหน้าแดงระเรื่อ “หานซานสร้างเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมากมายเพียงต้องการให้ท่านประมุขมาพบหน้าเด็กหนุ่มผู้นั้นสักครั้ง? ผู้น้อยโง่เขลา มิอาจเข้าใจ”
หูซื่อหันไปอีกทาง ยิ้มถาม “ชิวกวง เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
สตรีอาภรณ์เขียวนามชิวกวงเห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจกล้าเปี่ยมชีวิตชีวา “เรือล่องเมฆาของพวกเราล่องขึ้นเหนือมาจากทะเลหนานไห่ การเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เกินครึ่งเดือนผู้คนทั่วหล้าต้องรู้แน่ว่าหานซานเชิญท่านประมุขมาทำนายชะตาให้คนผู้หนึ่ง คนคนนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์เป็นร่างสถิตของกระบี่แต่กำเนิด หานซานหมายสร้างชื่อให้เขาเป็น ‘ผู้สืบทอดจี้เซียว’ แล้วยังจะมีวิธีใดเล่าง่ายดายและได้ผลดีไปกว่านี้อีก”
ชุนสุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วคำว่า ‘เลี่ยงหิมะ’ สองคำเล่า หมายความเช่นไร”
ชิวกวงตอบอย่างได้ใจ “หานซานที่ใดไม่มีหิมะ ค่ายเวทบนยอดเขาฉางชุน ท่านประมุขเป็นคนออกแบบ นอกจากค่ายเมฆาของพวกเราแล้ว นั่นเรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ท่านประมุขทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่ใช่น้อย ‘ฝืนการผันแปรของสภาพอากาศ ฉางชุนนิรันดร์’ นับเป็นผลงานยิ่งใหญ่โดยแท้! วันหน้าหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ใช้ย่อมน่าเสียดายยิ่ง ท่านประมุข ที่ข้าน้อยพูดมาถูกต้องหรือไม่”
หูซื่อยิ้มไม่ตอบคำ
“ศิษย์น้อง เจ้าจากไปครานี้…” เขายกจอกสุราคล้ายคำนับฟ้า แต่กลับเอ่ยโอดครวญถ้อยคำเยี่ยงหญิงชาวบ้านที่ออกเรือนไปแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน “ทิ้งภรรยาม่ายให้ตกระกำลำบาก แล้วชีวิตในภายหน้าจะดำเนินต่อเช่นไร”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ไม่อยากมีชีวิตต่อไปจริงๆ
เขายืนอยู่ริมทะเลสาบหานถานซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของลานสำแดงกระบี่ ที่อยู่ทางด้านหน้าคือศิษย์ฝ่ายในสายตาเย็นชาซึ่งเหน็บกระบี่ไว้บนเอวกลุ่มหนึ่ง มีคนสี่คนที่เขาพบเจอเมื่อวานเป็นหัวหน้า
ที่อยู่ด้านหลังคือศิษย์นอกจากวิหารถกสัจธรรม พวกเขาบ้างก็ไม่รู้ว่าควรวางตัวเช่นไร บ้างก็สีหน้าตื่นเต้นเป็นกังวล
ใต้ฟ้าสีคราม หิมะบางเบาโปรยละออง
ท้องฟ้าคล้ายมืดคล้ายสว่าง จันทร์เสี้ยวลมรุ่งอรุณ หิมะทับถมบนทะเลสาบหานถาน
เมิ่งเสวี่ยหลี่โอบเตาอุ่นมือไว้พลางถอนหายใจพูด
“ข้าไม่อาจทำตามคำพูดของพวกเจ้า เพราะค่ายกระบี่นี้ไม่ถูกต้องแต่แรก”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน กระบี่คู่หานซาน ฉบับเต็ม
Comments
comments
No tags for this post.