X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสตรีเป็นยากยิ่งเรื่องเด่นวันนี้

ทดลองอ่าน ยอดสตรีเป็นยากยิ่ง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ห้า

“รีบเชิญไปยังโถงรับแขกเร็วเข้า” ฉู่อวิ๋นเฟยรีบดึงสติกลับมา เอ่ยขึ้นทันที

“ขอรับ”

เรื่องในครัวเรือนไม่ว่าจะใหญ่โตเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับการมาเยือนของบุคคลสำคัญสองท่านนี้ ขณะนั้นฉู่อวิ๋นเฟยไม่สนใจลูกๆ ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปทันที

ต้วนหลิงหลงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจพาลูกชายลูกสาวไปจับตาดูสถานการณ์ จากนั้นโม่อี้โหรวก็เดินออกไปบ้าง ภายในห้องโถงเหลือเพียงสามพี่น้องและหนึ่งสัตว์วิเศษ

“น้องฉี เจ้าทำได้ดีมาก” ฉู่เซวียนอั๋งลูบหัวน้องชายพร้อมกล่าวชื่นชม เมื่อเผชิญหน้ากับท่านพ่อ เขาไม่กลัวจนหัวหดและน้อยเนื้อต่ำใจอีกต่อไปแล้ว

“พี่เล็กกล้าหาญมาก” ฉู่อีเหรินชื่นชมตามอย่างอ่อนหวาน ‘เปลวอัคคี’ สัตว์น้อยฉวยโอกาสนี้วิ่งไปหาอ้อมกอดของฉู่อีเหริน ถูหน้าถูตัวไปมาอย่างออดอ้อนคล้ายอยากได้หน้า

ฉู่อีเหรินลอบชื่นชมมันทางแววตาว่าเมื่อครู่คำรามได้อย่างยอดเยี่ยม

“เพราะข้าอยากปกป้องฉู่อีเหรินพร้อมกับพี่ใหญ่” ฉู่เซวียนฉีแลมองน้องสาว แย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“เอ่อ…” พี่ชายสองคนปกป้องนางมากเช่นนี้ ชวนให้นางรู้สึกอับอายเหลือเกิน ร่างที่อ่อนแอขี้โรคนี้ช่างเป็นปัญหาจริงๆ…

ทว่ายามนี้ขอเพียงมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็บุญแล้ว เรื่องอื่นค่อยเป็นค่อยไปเถอะ

“พี่ๆ พวกเราออกไปดูกันบ้างเถอะ” ฉู่อีเหรินเสนอขึ้น

อาจารย์ของพี่เล็กมาถึงเรือนทั้งที จะต้องเป็นเรื่องดีสำหรับพี่เล็กแน่นอน ต้องไปดูทุกคนหน้าถอดสี ตื่นตระหนกสักหน่อย ช่างคู่ควรแก่การรอคอยยิ่งนัก

พูดตามตรง ทั่วทั้งคฤหาสน์สกุลฉู่ นอกจากพี่ใหญ่และพี่เล็กแล้ว นางไม่แยแสคนอื่นเลย สำหรับบิดามารดาในนามก็ไม่มีความผูกพันอะไรทั้งสิ้น

เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ยิ่งชวนให้นางตระหนักว่าสามีภรรยาคู่นี้เอาแต่คอยประจบผู้มีอำนาจมากเพียงใด…ชวนให้อารมณ์เสียยิ่งนัก

ไม่เป็นไร เมื่อเวลาผันแปร จะช้าจะเร็วพี่เล็กต้องเงยหน้าอ้าปากได้สักวัน

“ไปเถิด” ฉู่เซวียนอั๋งอุ้มน้องสาวขึ้นอีกครั้งพลางเดินนำน้องชายไปทางโถงรับแขก

ระหว่างนั้นพี่ชายสองคนแย่งกันดูแลน้องสาว

“พี่ใหญ่ ที่จริงข้าเดินเองได้…”

“ข้าอุ้มเจ้าจะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“พี่ใหญ่ ข้าก็อุ้มน้องเดินไปได้”

“…”

ฉู่อีเหรินตระหนักได้อีกครั้งว่าการที่ร่างกายผอมแห้ง ป่วยกระเสาะกระแสะช่างลำบากเสียจริง

ภายในโถงรับแขกคฤหาสน์สกุลฉู่ ฉู่อวิ๋นเฟยเดินมาพลางยิ้มแย้ม กำลังจะทักทายผู้อาวุโสเฟิง ทว่ากลับผงะเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสเฟิงในทันใด รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงโดยพลัน

“ท่านพ่อตา?!”

ทว่าคนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านพ่อตา’ ไม่เหลือบมองเขาสักแวบ ถือวิสาสะนั่งลงด้านข้างเลย ปล่อยให้เฟิงเหยี่ยนไกล่เกลี่ยอยู่ด้านข้าง

“ประมุขตระกูลฉู่ ยินดีที่ได้พบ” เฟิงเหยี่ยนกล่าวด้วยมารยาทเพียบพร้อม

“ผู้อาวุโสเฟิงเกรงใจแล้ว อวิ๋นเฟยได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน ไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จัก คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเฟิงจะมาเยือนถึงคฤหาสน์ อวิ๋นเฟยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” หากอิงตามอายุ ลำดับอาวุโส ฉู่อวิ๋นเฟยอ่อนกว่ารุ่นหนึ่ง ดังนั้นจึงแสดงท่าทีเป็นผู้น้อย เรียกขานตนเองอย่างอ่อนน้อม เหมาะสมที่สุดแล้ว

“ประมุขตระกูลฉู่ไม่ต้องเกรงใจ ที่บุ่มบ่ามมาเยือนเพียงเพราะเมื่อครู่ข้าลืมบอกฉีเอ๋อร์เรื่องหนึ่ง จึงมาเป็นการพิเศษ” ท่าทางเฟิงเหยี่ยนดูไม่เป็นกันเอง แต่ก็ไม่ห่างเหิน กำลังพอเหมาะพอเจาะ ทำให้ฉู่อวิ๋นเฟยที่อยากทำตัวสนิทสนมบ้างพลันรู้สึกเก้ๆ กังๆ ขึ้นมา

“ฉีเอ๋อร์?” ฉู่อวิ๋นเฟยรู้สึกฉงน

“ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งรับฉีเอ๋อร์เป็นลูกศิษย์ เขากลับมา…ไม่ได้แจ้งหรือไร” เฟิงเหยี่ยนกลับมองเขาอย่างงงงวย

“ฉีเอ๋อร์กราบไหว้ผู้อาวุโสเฟิงเป็นอาจารย์?!” ฉู่อวิ๋นเฟยทั้งตะลึงทั้งปลาบปลื้ม เกือบจะกระโดดตัวลอยเลยทีเดียว “ฉีเอ๋อร์นี่ก็จริงๆ เลย กลับมาไม่พูดไม่จา ทั้งยังให้ผู้อาวุโสเฟิงต้องมาถึงนี่…” เขาร้อนรน มองเฟิงเหยี่ยนอีกครั้ง “ผู้อาวุโสเฟิง โปรดรอสักครู่ ข้าจะให้คนไปตามฉีเอ๋อร์มาทันที”

พ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินก็เดินกลับไปยังทางห้องโถงกลางอีกครั้งทันที ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็ปะหน้ากับอี๋เหนียง ฮูหยิน คุณชายสามคน รวมถึงคุณหนูอีกสองคนด้วย

ทั้งหมดเดินมาทิ้งระยะห่างกันไม่มากนัก โดยมีคุณชายสามรั้งอยู่ท้ายสุด

“คุณชายสาม นายท่านให้ตามไปที่โถงรับแขกขอรับ” พ่อบ้านไม่สนใจว่าพวกเขาจะได้ยินที่ฉู่อวิ๋นเฟยเอ่ยเมื่อครู่นี้หรือไม่ รีบเดินไปด้านหน้าฉู่เซวียนฉีอย่างรู้หน้าที่ และถ่ายทอดคำสั่งจากประมุขตระกูลทันใด

“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพ่อบ้าน” ฉู่เซวียนฉีที่อยู่ท้ายสุดเดินตามพ่อบ้านเข้าสู่โถงรับแขก ฉู่เซวียนอั๋งที่อุ้มอีเหรินน้อยและสัตว์น้อยก็ตามมาด้วย

“ฉีเอ๋อร์ เจ้ากราบไหว้ผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ ข่าวดีเช่นนี้ไยจึงไม่รีบบอก” ฉู่อวิ๋นเฟยคลี่ยิ้ม ตำหนิเสียงเบา สีหน้าใจดีมีเมตตา ท่าทางต่างกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

“ลูกไม่มีโอกาสจะพูด” สำหรับบิดาที่แสดงท่าทีชิดใกล้อย่างนี้ ฉู่เซวียนฉีไม่รู้สึกซาบซึ้งแม้แต่น้อย เขาหันไปทางเฟิงเหยี่ยนทันที “อาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร”

“ข้าลืมกำชับเจ้าเรื่องหนึ่ง” เฟิงเหยี่ยนเป็นใคร เป็นถึงผู้อาวุโสในสมาคม อำนาจ ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาย่อมไม่ธรรมดา กอปรกับก่อนมาได้อ่านสารข้อมูลเหล่านั้น แค่ดูจากท่าทีของลูกศิษย์ตัวน้อยก็เดาได้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

ทว่าเฟิงเหยี่ยนไม่ถามให้มากความ ไม่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยหรือเหยียดหยาม เพราะไม่มีความจำเป็น เพียงแต่เรียกลูกศิษย์น้อยมาด้านหน้าตนเอง เฟิงเหยี่ยนยอมรับเพียงลูกศิษย์น้อยคนเดียว ไม่รวมคนในตระกูลของเขา ดังนั้นนอกจากลูกศิษย์แล้วคนอื่นมิควรค่าที่จะให้เขาต้องเปลืองสมอง

“อาจารย์ เรื่องอะไรขอรับ” ฉู่เซวียนฉีเดินไปด้านหน้าอาจารย์อย่างว่าง่าย

“เจ้าเพิ่งกลายเป็นผู้ครองสัตว์วิเศษ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ไปพักที่สมาคมก่อน ข้าจะเริ่มสอนเจ้าตั้งแต่การฝึกฝนขั้นพื้นฐานที่สุด ระหว่างทางอาจจะลำบากมาก เจ้ากลัวหรือไม่” เฟิงเหยี่ยนเอ่ยถาม

“ไม่กลัวขอรับ” ฉู่เซวียนฉีแน่วแน่ยิ่งนัก

“ดี เช่นนั้นคืนนี้ตระเตรียมของใช้ติดตัว พรุ่งนี้ไปหาข้าที่สมาคมด้วยตนเอง”

“ขอรับอาจารย์”

“ประเสริฐนัก” เฟิงเหยี่ยนพออกพอใจอย่างมาก จากนั้นหยิบกระเป๋าสี่เหลี่ยมสีเทาใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ ขนาดกว้างยาวราวสิบกงเฟินมอบให้ฉู่เซวียนฉี

“นี่คือของขวัญเข้าร่วมสมาคมที่อาจารย์มอบให้เจ้า”

“อาจารย์ นี่คืออะไรหรือขอรับ” ฉู่เซวียนฉีรับมา มองอย่างอยากรู้อยากเห็น ทว่าเปิดไม่ออก

“นี่คือกระเป๋าวิเศษ”

“กระเป๋าวิเศษ?!” พอฉู่อวิ๋นเฟยเห็นเข้าก็ตะลึงจนโพล่งออกมาทันใด

กระเป๋าวิเศษคือพื้นที่ว่างที่ใช้เก็บของชนิดหนึ่ง อย่ามองแค่ว่ากระเป๋าเล็กถึงเพียงนี้ ทว่าด้านในกลับบรรจุสิ่งของที่ใหญ่กว่าได้ร้อยเท่า พันเท่า ถึงขนาดหมื่นเท่าด้วยซ้ำไป เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากนักในดินแดนเทพยุทธ์

แล้วผู้อาวุโสเฟิงมอบให้ในฐานะของขวัญต้อนรับเข้าสำนักอย่างง่ายดาย…นี่ใช่สิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่!

ฉู่อีเหรินที่ถูกอุ้มอยู่พอได้ยินสี่ห้าคำนี้ ดวงตาก็พลันลุกวาว

ในโลกนี้มีสิ่งของเช่นนี้ด้วย? ช่างมหัศจรรย์พันลึก! สิ่งของที่มีแต่ในนิยายปรากฏว่ามีอยู่จริง หากมีโอกาสนางจะต้องเป็นเจ้าของใบหนึ่งให้ได้!

แผ่นดินที่ลี้ลับเช่นนี้ก็มีข้อดี ฉู่อีเหรินยังคงแย้มยิ้มเบิกบานใจ

“พื้นที่ด้านในไม่ใหญ่ มีขนาดเพียงสิบลี่ฟางหมี่ เจ้าใช้พลังวิเศษก็สามารถเก็บของหรือเอาของออกมาใช้ได้” เฟิงเหยี่ยนกระซิบกระซาบ ก่อนจะสอนวิธีเริ่มต้นให้เขา

ประเดี๋ยวเดียวฉู่เซวียนฉีก็ใช้เป็น

“ผู้อาวุโสเฟิง นี่…ล้ำค่าเกินไปหรือไม่” ไม่ใช่ว่าฉู่อวิ๋นเฟยไม่อยากรับ แต่ของขวัญต้อนรับเข้าสำนักอย่างนี้ เขาจะมอบของขวัญไหว้อาจารย์อะไรกลับคืนเพื่อไม่ให้เสียมารยาทเล่า

“แค่มอบของเล่นเล็กน้อยแก่ลูกศิษย์ ไม่มีอะไรล้ำค่าเกินไปหรอก” เฟิงเหยี่ยนเอ่ยเรื่อยเปื่อย “ฉีเอ๋อร์เข้าสำนักข้า เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้าในขณะนี้ แล้วในเมื่อเป็นลูกศิษย์ข้าก็จะต้องได้รับการดูแลจากข้า แน่นอนว่าจะต้องไม่ทำให้อาจารย์อย่างข้าขายหน้า ดังนั้นเจ้าจะต้องจำหลักการข้อหนึ่งไว้”

จู่ๆ เขาก็มองฉู่เซวียนฉีอย่างเคร่งขรึม ทำให้ฉู่เซวียนฉีตื่นกลัวอยู่บ้าง

“ขออาจารย์โปรดชี้แนะขอรับ” เขายืนตรงรอรับฟัง

“หากมีคนด่าเจ้าประโยคหนึ่ง เจ้าก็ต้องด่ากลับประโยคหนึ่ง หากมีคนตีเจ้าหนึ่งที เจ้าก็ต้องตีกลับอย่างน้อยหนึ่งที จะเพิ่มจำนวนกว่านี้ก็ได้ แต่ห้ามลดเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” ความหมายก็คือคิดบัญชีทบจำนวนเป็นเท่าทวีได้ แต่ห้ามยอมละเว้นจนตนเองเสียเปรียบเป็นอันขาด แล้วจงจำไว้ ไม่มียกเว้นสำหรับใครทั้งนั้น!

ในตำราสอนลูกศิษย์ของเขาเฟิงเหยี่ยน จะไม่มีคำว่า ‘ข่มเหง’ และ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’

นี่คือการบอกฉู่อวิ๋นเฟยเป็นนัยว่าเขารู้เรื่องของฉู่เซวียนฉีทั้งหมด เขาจะไม่รื้อฟื้นเรื่องอดีต ทว่าตั้งแต่เขาย่างก้าวเข้าคฤหาสน์สกุลฉู่ ครั้นเริ่มความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กับฉู่เซวียนฉีอย่างเปิดเผยแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ใครมารังแกและสบประมาทลูกศิษย์ของเขาอีก มิเช่นนั้นคนผู้นั้นก็จะตระหนักได้โดยเร็วว่าการถูก ‘ผู้บัญชาสัตว์วิเศษคนหนึ่งคอยนึกถึง’ มันรู้สึกเช่นไรกันแน่

“เข้าใจขอรับ” ฉู่เซวียนฉีพยักหน้าอย่างตั้งใจ ทั้งยังจำประโยคนี้ได้ขึ้นใจ

“อืม” เฟิงเหยี่ยนพยักหน้าพอใจ จากนั้นมองยิ้มๆ ไปทางฉู่เซวียนอั๋งและฉู่อีเหรินแวบหนึ่ง

“ขอขอบคุณที่ผู้อาวุโสเฟิงสั่งสอนฉีเอ๋อร์ ต่อไปฉีเอ๋อร์คงต้องรบกวนผู้อาวุโสเฟิงแล้ว” แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นเฟยจะต้องเข้าใจความหมายในคำพูดของผู้อาวุโสเฟิง เขาอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อผู้อาวุโสเฟิงด้วยรอยยิ้มตามปกติ

“ไม่รบกวน” เฟิงเหยี่ยนตอบเสียงเรียบ เป็นลูกศิษย์ของเขา จะรบกวนหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เขาไม่ใส่ใจวิธีการพูดของฉู่อวิ๋นเฟย เพียงแต่จูงลูกศิษย์ไปด้านข้าง

ยามนี้เป็นเวลาของใครบางคน

“โม่อี้โหรว ออกมา” เป็นตามคาด ใครบางคนที่เคยชินกับการ ‘ไม่เสียเวลาเอื้อนเอ่ยกับคนที่เกลียดขี้หน้าแม้เพียงประโยคเดียว’ เดินผ่านประมุขตระกูลฉู่ไปดื้อๆ พร้อมตะโกนเรียกคนด้านหลัง

โม่อี้โหรวเดินออกมาทันที สีหน้าเคารพนบนอบพลางเอ่ยเรียกเสียงหนึ่งด้วยท่าทางเอาใจ “ท่านพ่อ”

ท่านพ่อ?!

ฉู่เซวียนอั๋ง ฉู่เซวียนฉี ฉู่อีเหรินสามคน ดวงตาสามคู่หันขวับพร้อมกัน แลมองบุรุษผู้นั้นที่สวมชุดสีเทาเงินซึ่งพวกเขาเพิ่งเจอเมื่อไม่นานนี้

บุรุษผู้นี้ท่าทางเย็นชา ดูจากภายนอกอายุไม่น่าเกินสามสิบปี ทว่ามารดาของพวกเขาเรียกเขาว่า…‘ท่านพ่อ’

ท่านอารูปงามผู้นี้มีอายุเท่าไรกันแน่?!

แล้วหากเขาเป็นบิดาของนาง เช่น…เช่นนั้น…เขาก็เป็น…

ท่านตา?!

พี่น้องสามคนออกจะรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ต่างมองเขาอ้าปากค้าง

“เฉิน ท่านทำให้บรรดาเด็กน้อยตื่นตระหนกแล้ว” เฟิงเหยี่ยนตำหนิเขาเล็กน้อย

ดูสิ ลูกศิษย์น้อยของเขาตกใจจนตะลึงเหมือนท่อนไม้ไปแล้ว ส่วนฉู่เซวียนอั๋งดีกว่าหน่อย อย่างน้อยมองจากภายนอกก็ยังมีท่าทางเคร่งขรึม แต่ในความเป็นจริงน่าจะอึ้งจนยังไม่ได้สติกระมัง แล้วยังมีอีเหรินน้อยอีกคน ยามนี้นางถึงกับ…เรียกสติกลับมาได้แล้วพลางจ้องมองเฉินอย่างแปลกใจและครุ่นคิดพิจารณา

นาง…เพียงคนเดียวที่ไม่ตื่นตระหนกและอึ้งงัน

ทว่าไม่มีใครสนใจคำตำหนิของเฟิงเหยี่ยน ใครบางคนกล่าวอีกประโยคทันที

“เจ้าตามข้าออกไป” จากนั้นเขาก็หมุนกายเดินออกจากห้องโถงกลาง จนถึงทางเดินด้านล่างจึงหยุดยืน

“เจ้าค่ะท่านพ่อ” โม่อี้โหรวตามออกไปทันที ไม่กล้าปฏิเสธแม้แต่น้อย

สายตาพินิจพิเคราะห์ของฉู่อีเหรินเปลี่ยนเป็นนับถือ

โอ้! ท่านตาผู้นี้สุดยอดจริงๆ สามารถทำให้ท่านแม่ที่ในหัวมีแต่เรื่องชิงตำแหน่งเป็นที่รักกับต้วนหลิงหลง นิสัยเย่อหยิ่งอวดดี ถือความต้องการตนเองเป็นใหญ่ เปลี่ยนเป็นน่ารักเชื่อฟัง จะต้องเป็นคนร้ายกาจแน่!

ขณะ ‘ท่านพ่อ’ ของนางก็ยังไม่กล้าคัดค้านสักครึ่งประโยคหรือมีข้อสงสัย ทำได้เพียงมองส่งพวกเขาอย่างนี้ ไม่กล้าเดินตามไป แม้จะไม่พอใจก็อดกลั้นไว้ไม่กล้าพูดออกมา

นี่คือ ‘ท่านพ่อ’ ที่เมื่อครู่พอพบหน้าก็ทำมาดขรึม ทรงอำนาจ ตะคอกสั่งให้พี่เล็กคุกเข่าหรือ ต่อหน้าท่านตายังไม่กล้าเอ่ยปากหรือโพล่งประโยคหนึ่งออกมาตามใจสักคำ…

ความจริงนี้พิสูจน์ได้อีกคราว่า ‘ท่านตา’ ผู้นี้เป็นยอดคนผู้ยิ่งใหญ่เหนือใคร แต่เห็นชัดว่าพี่ใหญ่และพี่เล็กกลับไม่รู้จักท่านตา นี่มันอะไรกันแน่นะ ทว่าอย่างไรท่านตาจะต้องเก่งกาจ มิเช่นนั้นบิดาของนางคงไม่ ‘เคารพ’ เขาเยี่ยงนี้

ฉู่อีเหรินกลอกตาไปมา ที่จริงนางประหลาดใจกับเรื่องเหล่านี้อยู่เล็กน้อย

จะถามใครดีที่สุดนะ…สายตาของนางกลอกไปทางอาจารย์ใหม่ของพี่เล็กทันที

ทว่าทั้ง ‘ท่านตา’ และเฟิงเหยี่ยน คล้ายจะไม่ใช่คนที่พูดคุยด้วยง่ายๆ กระมัง

“อีเหรินน้อย แปลกใจมากหรือ” ระหว่างที่นางกำลังคิดอยู่ เฟิงเหยี่ยนก็เดินมาด้านหน้านาง อุ้มนางจากฉู่เซวียนอั๋ง และมีสัตว์น้อยสัปหงกติดมาด้วย

เฟิงเหยี่ยนแอบตกใจ สัตว์น้อยตัวนี้…คงเป็นของฉีเอ๋อร์กระมัง ไยจึงนอนในอ้อมกอดของฉู่อีเหรินเล่า

ตามที่เขาล่วงรู้มา สัตว์วิเศษล้วนหยิ่งยโส นอกจากเจ้านายที่ทำพันธสัญญากับตนเองแล้วจะไม่เข้าใกล้คนอื่นอย่างง่ายๆ เด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนอนในอ้อมกอดผู้อื่นอย่างเกียจคร้านและไม่ระวังตัวเลยเช่นนี้

เหตุใดมันจึงยอมให้อีเหรินน้อยอุ้มกัน

“เจ้าค่ะ น่าแปลกยิ่งนัก” ฉู่อีเหรินไม่สังเกตเลยว่าความสงสัยของเฟิงเหยี่ยนหมุนวนรอบแล้วรอบเล่า แล้วก็ไม่มีเวลากลัดกลุ้มกับตนเองที่ถูกอุ้มไปมา แต่ตอบคำถามเฟิงเหยี่ยนทันที หวังว่าเขาจะสามารถอธิบายและแก้ข้อสงสัยความอยากรู้อยากเห็นของนางได้

“ไม่ต้องใจร้อน อีกสักครู่เจ้าก็จะรู้” เฟิงเหยี่ยนหัวเราะ

มายั่วให้อยากรู้แล้วกลับเก็บเงียบ ท่านอารูปงามช่างไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย

ฉู่อีเหรินมองเฟิงเหยี่ยนอย่างตำหนิ

เฟิงเหยี่ยนหัวเราะต่อไปพลางอุ้มฉู่อีเหรินให้เหมาะมืออีกหน่อย ทำให้นางสบายตัวยิ่งขึ้น

ฉู่อีเหรินตัวเบาหวิว แม้มีอายุเพียงสามขวบ ทว่าก็ยังนับว่าผอมเกินไปอยู่ดี ต่อไปจะต้องบำรุงให้มาก

จากนั้นเขาก็พบว่าการอุ้มเด็กน้อยตัวเล็กเช่นนี้ก็สนุกดี มิน่าล่ะฉู่เซวียนอั๋งจึงมักอุ้มน้องสาวไม่ยอมวาง ราวกับเป็นที่รักสุดประมาณ

เฟิงเหยี่ยนตัดสินใจว่าต่อไปเขาจะคว้าโอกาสก่อนที่อีเหรินน้อยจะโตเป็นสาวอุ้มนางให้บ่อยขึ้น

สักพักหนึ่ง สองคนที่ออกไปสนทนากันข้างนอกก็กลับเข้ามา

“ท่านพ่อตา…” ฉู่อวิ๋นเฟยเพิ่งจะเอ่ยปาก ใครบางคนก็หันขวับมามองด้วยสายตาเย็นยะเยือก เขาจึงต้องเปลี่ยนคำพูด “ผู้อาวุโสโม่…”

“ข้าจะพาฉู่อีเหรินไป ต่อไปนางและสกุลฉู่จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก”

“หา?! ไม่ได้!” ฉู่อวิ๋นเฟยหน้าถอดสี

แม้เขาจะไม่สนใจไยดีลูกสาวคนนี้ แต่ฉู่อีเหรินแซ่ฉู่ หากถูกพาไปและถูกตัดความสัมพันธ์กับสกุลฉู่เช่นนี้แล้วเรื่องถูกเล่าลือออกไป ผู้อื่นจะคิดเช่นไร

“หืม?” ใครบางคนจ้องมองเขาอย่างเย็นชาอีกครั้ง น้ำเสียงของฉู่อวิ๋นเฟยที่เอ่ยตอบจึงอ่อนลง

“ท่านถูกใจฉู่อีเหรินหลานคนนี้และอยากพาไปอยู่ข้างกายหรือ อวิ๋นเฟยไม่กล้าออกความเห็น แต่ฉู่อีเหรินเป็นลูกสาวของสกุลฉู่ ความจริงข้อนี้ไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้”

“เช่นนั้นหรือ” สุ้มเสียงของเฉินเรียบเย็น เขาร้องฮึเบาๆ คล้ายมีความคิดอื่น

“ข้าเห็นด้วย” จู่ๆ โม่อี้โหรวก็เอ่ยปาก

“อี้โหรว?” ฉู่อวิ๋นเฟยจ้องนางในทันใด

นางจะต้องเป็นปฏิปักษ์กับข้าให้ได้สินะ

“อย่างไรเสียท่านก็ไม่ดูดำดูดีฉู่อีเหรินอยู่แล้ว แม้แต่ชื่อก็ยังตั้งอย่างส่งๆ ไป ท่านพ่อชื่นชอบฉู่อีเหริน ประจวบเหมาะส่งนางไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ ภาระท่านก็น้อยลงไปคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรือไร อีกอย่างตั้งแต่ฉู่อีเหรินเกิดมาร่างกายก็อ่อนแอ โรครุมเร้า ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร แน่นอนว่าฝึกยุทธ์ไม่ได้อยู่แล้ว ท่านไม่สนใจที่คนอื่นเขาซุบซิบนินทากันลับหลังว่ามี ‘ลูกสาวไม่เอาไหน’ หรือ” โม่อี้โหรวคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานและอบอุ่น แต่วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมากลับยั่วโทสะฉู่อวิ๋นเฟยอย่างไม่ยั้ง

“เจ้า…”

“ตั้งแต่ฉู่อีเหรินเกิด ท่านคงไม่เคยเห็นหน้านางเลยกระมัง” โม่อี้โหรวหน้านิ่ง “นางคลอดก่อนกำหนด จะคลอดได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ท่านก็ไม่เป็นห่วงเป็นใย เอาแต่อยู่กับต้วนหลิงหลงตลอดไม่ใช่หรือ ในเมื่อท่านไม่ดูดำดูดี ยามนี้ไยจึงต้องแสร้งทำเป็นห่วงใยสภาพลูกสาวเสียเหลือเกินด้วยเล่า”

“เจ้ายังมีหน้าพูดถึงเรื่องตอนนั้น…” เรื่องราวเป็นเช่นไร นางน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด

“ถึงข้าจะผิด ต้วนหลิงหลงก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าไรกระมัง แล้วถึงแม้ผู้ใหญ่จะผิด ฉู่อีเหรินเป็นเพียงเด็กน้อยที่เพิ่งเกิด ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น นางผิดอะไร ข้ายอมรับว่าข้าดูแลลูกสาวไม่ดี แล้วท่านเล่ากล้ายอมรับหรือไม่” โม่อี้โหรวเชิดหน้าจ้องเขาอย่างยั่วโมโห

ฉู่อวิ๋นเฟยก็จ้องนางกลับ เขาเป็นถึงประมุขตระกูล จะต้องมายอมรับผิดต่อหน้าคนนอก มันสมควรหรือไร

“นอกจากนี้ท่านก็ไม่เคยยอมรับว่าฉู่อีเหรินเป็นลูกสาวท่านกระมัง” โม่อี้โหรวยิ้มเย็น “ลูกหลานสกุลฉู่ หลังจากอายุครบหนึ่งขวบก็จะจารึกชื่อในบันทึกตระกูล แล้วฉู่อีเหรินเล่า ได้บันทึกชื่อลงไปหรือไม่”

ความจริงก็คือ…ไม่มี

หลังจากฉู่อีเหรินถือกำเนิด นางก็เจ็บป่วยมาตลอดเกือบสองปี งานเลี้ยงครบเดือน งานเลี้ยงครบร้อยวัน อายุครบหนึ่งขวบอะไรนั่นถูกละเลยหมด ไม่มีใครรู้ว่านางจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร แต่ไหนแต่ไรฉู่อวิ๋นเฟยก็ไม่เคยห่วงใย จะจำได้อย่างไรว่าจะต้องจารึกชื่อนางในบันทึกตระกูลด้วย

“ลูกกลอนสะสมพลังสามเม็ด ชดเชยทรัพย์สินที่เจ้าจ่ายให้ฉู่อีเหรินมาตลอดสามปี” ใครบางคนไม่มีอารมณ์ทนฟังสามีภรรยาคิดบัญชีเก่ากัน เขาหยิบขวดยาออกมาหนึ่งขวดวางตรงหน้าฉู่อวิ๋นเฟย

“ลูกกลอนสะสมพลัง?!”

ไม่เพียงฉู่อวิ๋นเฟยที่จ้องตาไม่กะพริบ แม้แต่ต้วนหลิงหลงที่ยืนอยู่ด้านข้างประตูด้านในมาตลอดก็ตะลึงและงงเป็นไก่ตาแตกแล้ว

ลูกกลอนสะสมพลังเป็นยาที่แม้กระทั่งปรมาจารย์โอสถก็ไม่แน่ว่าจะหลอมออกมาได้ มีสรรพคุณขับพิษ ช่วยชีวิตคนที่บาดเจ็บภายในจนเกือบจะได้ไปรายงานตัวกับพญายมให้ฟื้นคืนมาได้

แล้วไม่ว่าจะเป็นนักยุทธ์หรือผู้วิเศษที่ได้กินยานั้น แม้ไม่อาจช่วยให้ข้ามขั้นได้ แต่จะเพิ่มพลังยุทธ์และพลังวิเศษอย่างแน่นอน ทั้งยังช่วยไม่ให้เกิดอาการสูญเสียสติรับรู้และร่างระเบิด ซึ่งเป็นอันตรายที่เกิดจากการเลื่อนขั้นเร็วเกินไป

ยาชนิดนี้ล้ำค่ายิ่งนัก จะมีโอกาสได้เห็นเพียงในงานประมูลเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อตา…จะนำสิ่งนี้มาแลก!

อีกทั้งหนเดียวยังตั้งสามเม็ด!

“ว่าอย่างไร ไม่พอใจรึ” เขามองฉู่อวิ๋นเฟยด้วยสายตาเย็นเยียบ

“อวิ๋นเฟยมิกล้า เพียงแต่…นี่…” ฉู่อวิ๋นเฟยปรารถนายาสามเม็ดนี้ ทว่า ‘การเอาลูกสาวมาแลก’ ประโยคนี้ฟังดูไม่ดีเลยจริงๆ

“เริ่มจากตอนนี้ ฉู่อีเหรินไม่ใช่คนสกุลฉู่อีกต่อไป นางคือหลานสาวเพียงคนเดียวของข้าโม่ซั่งเฉิน เรื่องของนางข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจ” โม่ซั่งเฉินเอ่ยชี้ขาด จากนั้นก็ไปคว้าตัวฉู่อีเหริน หมุนกายจะเดินออกไปข้างนอกทันที

“ช้าก่อน! ช้าก่อนสิ!” เรื่องราวแปรเปลี่ยนเร็วเกินไป ฉู่อีเหรินตะลึงตาค้างไปเล็กน้อย โชคดีที่ดึงสติกลับมาได้ไว มิเช่นนั้นนางอาจจะถูกอุ้มออกจากคฤหาสน์สกุลฉู่ไปแล้ว

“หืม?” โม่ซั่งเฉินก้มหน้ามองฉู่อีเหริน

“สัมภาระของข้า…ยังอยู่ในห้อง ข้าอยากเอาไป แล้ว…ข้ายังไม่ได้กล่าวอำลากับพวกพี่ๆ เลย” คนอื่นเกรงกลัวสีหน้าเย็นชาทรงอำนาจของเขา ทว่าฉู่อีเหรินคล้ายกับมีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้ นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนเองอยากพูดออกมาพลางถือโอกาสลูบสัตว์น้อยในอ้อมกอดอย่างเบามือ ก่อนจะส่งมันกลับไปอยู่กับพี่เล็ก

โม่ซั่งเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหยิบกระเป๋าวิเศษออกมาทันที เพียงแต่เฟิงเหยี่ยนหยิบสีเทา แต่เขาหยิบสีเหลืองอ่อนมอบให้ฉู่เซวียนฉี

“เจ้านำสิ่งของที่ฉู่อีเหรินต้องการใส่ลงไปในนี้ พรุ่งนี้พามาที่สมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ” พอพูดจบ เพียงพริบตาเขาก็ออกจากคฤหาสน์สกุลฉู่ไปแล้ว

“เฉิน…” เคลื่อนไหวเร็วจริงๆ แม้แต่เฟิงเหยี่ยนอยากเรียกเขาไว้ให้รอสักครู่ยังไม่ทันการณ์ ทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะหันมามองพี่ชายน้องชายสกุลฉู่ที่มีสีหน้าอาลัยอาวรณ์

“พรุ่งนี้พวกเจ้ามาที่สมาคมเถิด อยากพูดอะไรก็สามารถพูดต่อหน้าอีเหรินน้อยได้”

“ขอรับอาจารย์”/ “ขอบคุณผู้อาวุโสเฟิง” พี่ชายน้องชายสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน

เฟิงเหยี่ยนพยักหน้าไปทางพวกเขา จากนั้นเอ่ยกับฉู่อวิ๋นเฟยตามมารยาทไม่กี่ประโยคก็แล้วกล่าวอำลา

ฉู่อวิ๋นเฟยหยิบลูกกลอนสะสมพลังมา หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ก็เก็บยานั้นอย่างดีพลางเรียกพ่อบ้านมากระซิบกระซาบ กำชับสองสามคำ แล้วความจริงในวันนี้ก็กลายเป็นเช่นนี้

 

‘เพราะไม่อยากให้ท่านพ่อตาต้องโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ดังนั้นฉู่อวิ๋นเฟยโม่อี้โหรวสามีภรรยาจึงตัดสินใจยกลูกสาวตัวน้อยให้จากไปพร้อมท่านตา เพื่ออยู่ข้างกายท่านตา แสดงความกตัญญูแทนบิดามารดา’

เช้าตรู่วันต่อมา พี่ชายน้องชายสองคนก็รีบไปยังสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษ จากนั้นคนต้อนรับก็พาพวกเขาไปยังที่พักของผู้อาวุโสเฟิงเหยี่ยน

พอเดินเข้าประตูก็มองเห็นผู้อาวุโสเฟิงและท่านตานั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ขนาดห้าคนนั่ง ด้านหน้าวางโต๊ะเตี้ยไว้ ทั้งสองดื่มชาพลางเล่นหมากรุกกัน น้องสาวสุดที่รักของพวกเขาก็นั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะเล็กด้านในซึ่งตั้งประจันหน้ากับบุรุษทั้งสองเปรียบเสมือนกรรมการผู้ตัดสิน ถือจานขนมและกินอย่างเบิกบานยิ่งนัก

“ฉู่เซวียนอั๋งคำนับผู้อาวุโสเฟิง ท่านตา…โม่”

“ฉู่เซวียนฉีคำนับอาจารย์ ท่านตา…โม่”

“กินอาหารเช้ามาหรือยัง” เฟิงเหยี่ยนเงยหน้าก่อนจะพยักพเยิดไปทางพวกเขา ขณะเดียวกันก็ถามอย่างห่วงใย

โม่ซั่งเฉินเงยหน้ามองพวกเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดไม่จา ทว่าก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้พวกเขาเรียกขานเช่นนี้

เฟิงเหยี่ยนเห็นอีเหรินน้อยดึงแขนเสื้อของเฉินสองที เฉินจึงเงยหน้าขึ้น

“กินแล้ว” หลังจากทั้งสองคนตอบ ฉู่เซวียนฉีก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วนำกระเป๋าวิเศษสีเหลืองอ่อนใบเมื่อวานมอบให้น้องสาว

ตอนเก็บสัมภาระ เขาพบว่ากระเป๋าวิเศษที่ท่านตาหยิบออกมามีพื้นที่ด้านในใหญ่กว่าที่อาจารย์มอบให้เขาอย่างน้อยห้าเท่า

“ฉู่อีเหริน ข้าบรรจุของใช้ของเจ้าไว้ด้านใน เจ้าดูซิว่ายังขาดอะไรหรือไม่ ข้าจะได้กลับไปเอามาให้” ครั้นคิดว่าน้องสาวกำลังจะจากพวกเขาไป ฉู่เซวียนฉีก็อาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก

“ขอบคุณพี่เล็ก” ฉู่อีเหรินยิ้มหวานให้พี่เล็ก จากนั้นส่งกระเป๋าวิเศษให้โม่ซั่งเฉิน “ท่านตาช่วยข้าดูหน่อยสิเจ้าคะ”

จากการพบปะเมื่อวาน นางรู้สึกสนิทสนมกับท่านตา แต่ข้อหนึ่งนางไม่มีพลังยุทธ์ ข้อสองไม่มีพลังวิเศษ ไม่อาจจะใช้กระเป๋าวิเศษได้ ดังนั้นจึงต้องหาคนที่ใช้เป็นช่วยนางตรวจสอบ

โม่ซั่งเฉินมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าวิเศษมากวาดตามองเล็กน้อย มองสิ่งของภายในแล้วอ้ำอึ้งอยู่บ้าง ของใช้ของเด็กน้อยคนนี้ช่างน้อยเสียเหลือเกิน มีเพียงชุดที่ใช้ปกติไม่กี่ชุด หีบใส่ของขนาดเล็กสองใบ สิ่งเดียวที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ก็คือชั้นหนังสือที่แบ่งออกเป็นสิบชั้น ด้านในมีหนังสือเรียงอยู่เต็มหกเจ็ดชั้น แล้วยังมีตู้ใส่ของหัวเตียงขนาดเล็กอีกหนึ่งใบ

“เจ้าชอบอ่านหนังสือ?” นางอ่านออกจริงๆ หรือ

“ชอบ” ฉู่อีเหรินยิ้มจนตาหยี

“เก็บไว้เถิด” โม่ซั่งเฉินส่งกระเป๋าวิเศษให้นาง ในใจคิดว่าก่อนจะจากไปต้องพานางไปซื้อของใช้จำเป็นอีกสักหน่อย

การจากลาในครั้งนี้ อย่างน้อยจะไม่ได้กลับมาอีกหลายปี สิ่งของที่นางจำเป็นต้องใช้นั้นคงเป็นพวก…

โม่ซั่งเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ เขาที่ไม่เคยเลี้ยงเด็กน้อยมาก่อนสุดท้ายจึงตัดสินใจจะไปถามจากคนที่มีประสบการณ์

“ได้เจ้าค่ะ” นางเก็บกระเป๋าวิเศษไว้ในกระเป๋าลับด้านในเสื้อกันลมของตนเอง

“พวกเราจะออกจากเมืองฉู่ตอนบ่าย มีอะไรอยากพูดก็พูดเสียแต่ตอนนี้เถิด” โม่ซั่งเฉินเอ่ยเสียงเรียบ

“อืม” ฉู่อีเหรินพยักหน้าและรีบพุ่งไปหาพี่ชายทั้งสองคนทันที

“ฉู่อีเหริน ระวังหน่อย” ฉู่เซวียนอั๋งมือไวตาไวรีบคว้าตัวน้องสาวไว้ได้ทัน ฉู่เซวียนฉีเคลื่อนไหวช้ากว่าเล็กน้อยจึงคว้าไม่ทัน

“ฉู่อีเหริน เจ้าอยากไปกับท่านตาจริงๆ หรือ” ฉู่เซวียนอั๋งที่อุ้มน้องสาวและพาน้องชายไปนั่งอีกด้านหนึ่งถามนางขึ้น

“อืม ข้าอยากไปกับท่านตา” ฉู่อีเหรินพยักหน้าพลางตอบ

ฉู่เซวียนอั๋งได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็เศร้าใจเล็กน้อยในทันใด เขาปกป้องเลี้ยงดูน้องสาวมาแต่อ้อนแต่ออกจนโตเพียงนี้ นางกลับ ‘เปลี่ยนใจ’ ไปกับผู้อื่นได้เร็วยิ่งนัก

“ฉู่อีเหริน…” ฉู่เซวียนฉีก็ปวดใจเช่นกัน

“จากกันวันนี้เพื่อพบกันวันหน้า ดังนั้นพี่ใหญ่พี่เล็กไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ ท่านตาเหยี่ยนกล่าวว่าต่อไปข้าเขียนจดหมายส่งมาให้เขาที่สมาคมได้ เขาจะช่วยข้ามอบให้พวกพี่ พวกพี่ก็เขียนจดหมายมาหาข้า โดยให้ท่านตาเหยี่ยนช่วยส่งต่อได้เช่นกัน” นางกล่าวปลอบโยนพี่ๆ ของตน

ผู้ใหญ่สองคนที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกจนใจเล็กน้อย บทบาทคนปลอบโยนกับคนที่ถูกปลอบช่างสลับกันโดยสิ้นเชิง แล้วคนที่เป็นถึงผู้อาวุโสสมาคมผู้ครองสัตว์วิเศษยามนี้กลับกลายเป็นตาแก่ส่งจดหมายไปเสียแล้ว

หน้าผากเฟิงเหยี่ยนปรากฏรอยย่นทันใด

อันที่จริงเมื่อคืนพอกลับมาถึงที่นี่ ท่านตาก็สนทนากับฉู่อีเหรินไม่น้อยถึงเรื่อง ‘อาการป่วย’ ของนางและสถานที่ที่พวกเขาจะอยู่อาศัยในอนาคต เขามีความอดทนอย่างหาได้ยากยิ่ง คอยตอบคำถามทีละข้อ ดังนั้นฉู่อีเหรินจึงตัดสินใจว่าต่อไปนางจะอยู่กับท่านตา

‘อาการป่วย’ ของนาง อันที่จริงไม่ใช่โรค แต่เป็นการโดนพิษที่หายากชนิดหนึ่ง ยากนักที่จะมีคนรู้ เพราะแม้แต่ราชาโอสถก็วิเคราะห์ไม่ออก แล้ววิธีการรักษาก็ยังยุ่งยากมากด้วย

ท่านตากล่าวว่าอาจต้องใช้เวลาหลายปี ขั้นตอนการรักษาน่าจะต้องถลกผิวหนังหลายชั้น นางอาจจะเจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหว…นางมักรู้สึกว่าท่านตากำลังทำให้นางตื่นกลัว แต่ท่านตากล่าวว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นไม่ว่าขั้นตอนการรักษาจะทรมานเพียงใด นางก็อยากจะรักษา

พี่ชายทั้งสองเป็นคนมีพรสวรรค์ เมื่อวานนางเพิ่งทราบว่าพอพี่เล็กทำข้อพันธสัญญาเสร็จก็ข้ามผ่านขั้นต้นแล้ว เลื่อนลำดับขั้นไปถึงผู้ครองสัตว์วิเศษขั้นกลางเลย ต่อไปพวกเขาจะต้องใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนมากเพื่อรักษาลำดับขั้นของตนเอง หากจะต้องแบ่งความสนใจมาดูแลนาง นั่นรังแต่จะเป็นการฉุดรั้งพวกเขา

แล้วยังมีเรื่องสำคัญที่สุดคือท่านตาหลอมโอสถเป็น นางอยากเรียนรู้

‘อาการป่วย’ ของนางหากรักษาให้หายขาดได้ก็จะดีมาก ทว่าหากระหว่างการรักษานางทนทรมานไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจะไม่มีโอกาสเติบโต จากลายามนี้อย่างน้อยพี่ๆ ก็ไม่ต้องทนเห็นนางรอความตายทุกวันแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ และไม่ต้องส่งนางไปสู่ปรโลกด้วยตนเอง เช่นนี้จะได้ไม่เศร้าใจมากนัก

นอกจากนี้นางรู้สึกว่าท่านตาเป็นมิตร นางไม่กลัวสีหน้าเย็นชาของเขา แค่ทำตัวน่ารักใส่เขานิดหน่อยก็สิ้นเรื่อง อย่างไรเสียยามนี้นางมีอายุเพียงสามขวบ อายุน้อยถึงเพียงนี้จะไร้เดียงสาหรือไม่เกรงกลัวใครบ้างก็ย่อมได้ ไม่น่าจะแปลกอะไร

“ท่านตาบอกหรือไม่ว่าจะพาเจ้าไปที่ใด” เห็นสีหน้าน้องสาวมุ่งมั่น ฉู่เซวียนอั๋งทำใจไม่ได้แล้วก็ไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ เพียงแค่อยากถามให้แน่ใจ

“เกาะโม่เสวียน”

“เกาะโม่เสวียน?!” ฉู่เซวียนอั๋งตะลึงไปเล็กน้อย “ท่านตาคือโม่ซั่งเฉิน?”

ครั้นโพล่งวาจานี้ออกไป ฉู่เซวียนฉีก็ตะลึงพรึงเพริด

“ใช่สิ มีอะไรหรือ” เหตุใดพี่ใหญ่จึงตะลึงเช่นนี้ พี่เล็กก็ด้วย

คนเรียกขานโม่ซั่งเฉินว่า ‘ปีศาจโม่’ กระทำการตามอำเภอใจ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เมินต่อศีลธรรมทางโลก ในตำนานดินแดนเทพยุทธ์ เขาคล้ายบุรุษผู้เป็น ‘ราชันยุทธ์’ มากที่สุด นอกจากจะมีพรสวรรค์ในการเป็นนักยุทธ์ เขายังหลอมโอสถได้ รวมถึงเชี่ยวชาญศาสตร์กลไกที่ลึกลับที่สุด พูดให้เข้าใจง่ายๆ นี่ก็คือยอดฝีมือคนหนึ่ง แล้วยังเป็นยอดฝีมือที่ ‘เป็นเลิศในทุกด้าน’ มีคนนับถือเขามากมาย แต่คนที่อิจฉาตาร้อนมีมากกว่า

สำหรับเรื่องเกาะโม่เสวียน เล่าลือกันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง โม่ซั่งเฉินสำรวจพบเกาะแห่งหนึ่งเหนือน้ำทะเล ต่อจากนั้นก็ใช้เกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยและตั้งชื่อว่า ‘เกาะโม่เสวียน’

ไม่มีใครรู้ว่าเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด เคยมีคนลองตามรอยโม่ซั่งเฉินเพื่อค้นหาเกาะแห่งนี้…เพราะคนมากมายตระหนักว่าเกาะที่ทำให้โม่ซั่งเฉินถูกใจได้จะต้องเป็นสิ่งล้ำค่า

แม้โม่ซั่งเฉินจะรู้ว่ามีคนตามรอยก็ไม่สนใจ เพราะคนเหล่านี้จะต้องหลงทิศทางบนทะเลแน่ จะกลับฝั่งได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็ต้องพึ่งโชควาสนาช่วย

ดังนั้นจนถึงขณะนี้ เกาะโม่เสวียนอยู่ที่ใดกันแน่และมีลักษณะพิเศษเช่นไรจึงยังคงเป็นปริศนาอยู่

“ท่านตาช่าง…เป็นบุคคลเก่งกาจหาตัวจับยากจริงๆ” ฉู่เซวียนอั๋งนึกคำอธิบายได้เพียงเท่านี้

“ไม่ว่าท่านตาจะเก่งกาจหรือไม่ ท่านตาก็คือท่านตา” ฉู่อีเหรินพูดจบยังหันหน้าไปเรียกเขา “ถูกหรือไม่ท่านตา”

โม่ซั่งเฉินค่อยๆ เงยหน้าจากกระดานหมากรุก เขามองฉู่อีเหรินอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะตอบรับนางเบาๆ ว่า “อืม”

จากนั้นก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับกระดานหมากรุกต่อ

“ฉู่อีเหริน…” ฉู่เซวียนอั๋งจนคำพูด

ทว่าอย่างน้อยนี่ก็ยืนยันได้ว่าท่านตาถูกชะตากับฉู่อีเหรินยิ่งนัก จะต้องดูแลนางเป็นอย่างดี เขาจึงนับว่าวางใจได้ไปส่วนหนึ่ง

“ฉู่อีเหริน ท่านตาบอกหรือไม่ว่าจะพาเจ้ากลับมาเมื่อไร”

“เอ่อ…ไม่รู้เหมือนกัน” ฉู่อีเหรินคิดไปมา “ต่อไปข้าค่อยถามท่านตา แล้วจะเขียนจดหมายมาบอกพวกพี่ เมื่อถึงเวลานั้นหากมีเวลา พวกเราจะได้พบกัน” ฉู่อีเหรินกอดพี่ใหญ่และพี่เล็กอีกครา

“พี่ใหญ่ พี่เล็ก พวกพี่จะต้องปกป้องตัวเองให้ดี ห้ามบาดเจ็บ ห้ามป่วย รอไว้พวกเราพบกันคราวหน้า พวกพี่จะต้องปกป้องข้านะ” ฉู่อีเหรินเอ่ยอย่างน่ารักและอ่อนโยนยิ่ง

“ได้” ฉู่เซวียนอั๋งพยักหน้า

“ข้าจะต้องปกป้องเจ้า” ฉู่เซวียนฉีก็พยักหน้า

พี่ชายน้องชายสองคนต่างกล่าวคำสาบานในใจว่าจะต้องฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง พวกเราจะต้องกลายเป็นผู้เลิศล้ำกว่านี้ก่อนฉู่อีเหรินจะกลับมา

“โฮ่วๆ”

ยามนั้นสัตว์น้อยวิ่งออกมาเอง มันปีนไปบนบ่าของฉู่เซวียนฉี ร้องเรียกฉู่อีเหรินสองเสียง ความหมายคือข้าจะฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง คอยปกป้องเจ้า

ฉู่อีเหรินอดแย้มยิ้มไม่ได้

“ได้ ข้าจะรอวันที่เจ้าแข็งแกร่ง แต่เจ้าต้องอยู่กับพี่เล็กให้ดีๆ นะ แล้วก็ต้องปกป้องเขาด้วย”

“โฮ่วๆ” ความหมายของมันก็คือได้ ไม่มีปัญหา

โม่ซั่งเฉินไม่ได้ใส่ใจการสื่อสารของคนกับสัตว์ยามนี้ ทว่าเฟิงเหยี่ยนกลับใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอีกครา

นี่หรือว่า…อีเหรินน้อยจะฟังภาษาสัตว์ออกจริงๆ

เป็น…เป็นไปได้หรือ

ก่อนจากลา โม่ซั่งเฉินก็มอบกระเป๋าวิเศษที่เหมือนกับของฉู่เซวียนฉีให้แก่ฉู่เซวียนอั๋งใบหนึ่ง ในฐานะที่เขาทำหน้าที่พี่ใหญ่ได้อย่างเหมาะสม แล้วฉู่อีเหรินก็เคารพเขายิ่งนัก

อันที่จริงเขาและเฟิงเหยี่ยนไม่ใช่ไม่เสียดายกระเป๋าวิเศษ แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาพเนจรไปมาหลายที่ ได้รับของล้ำค่ามาไม่น้อย กระเป๋าวิเศษก็คือหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าพวกเขาตัวคนเดียว ไปมาคนเดียว มีสิ่งของมากมายก็ใช้ไม่หมด แล้วพวกเขาก็มีนิสัยชอบตามใจตนเอง พบคนถูกชะตาก็จะมอบให้อย่างไม่มีข้อแม้

“บนหนทางแห่งนักยุทธ์ไม่มีทางลัด นอกจากพรสวรรค์ ยังต้องพึ่งความขยันหมั่นเพียรยิ่งกว่า นอกจากฝึกฝนวิชาพลังภายใน กระบวนท่า สั่งสมพลังยุทธ์แล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าคือสภาพจิตใจ จิตใจเจ้าใหญ่เพียงพอ วิสัยทัศน์ก็จะเปิดกว้างเพียงพอ จึงจะสามารถดำเนินไปสู่ขั้นสูงได้ แต่จะบรรลุได้สูงเพียงใด ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นอยู่กับเจ้า”

คำตักเตือนนี้โม่ซั่งเฉินมอบให้ฉู่เซวียนอั๋งเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะฉู่เซวียนฉีมีเฟิงเหยี่ยนคอยเป็นห่วงดูแลอยู่แล้ว

ฉู่เซวียนอั๋งในยามนี้อาจไม่เข้าใจ ทว่าภายภาคหน้าเมื่อเขาผ่านถึงขั้นฟ้าแล้วก็จะกระจ่างแจ้งในความหมายของท่านตา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาหลบเลี่ยงทางคดเคี้ยวในระหว่างการฝึกฝนได้มาก เมื่อรักษาใจให้มั่น จะมีชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนเทพยุทธ์อย่างแน่นอน

 

(ติดตามต่อได้ในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: