เลื่อมใสทั้งกายและใจ
เมิ่งเสวี่ยหลี่ถอนหายใจ “เก็บไว้เถอะ ไป๋เหอดีต่อเจ้าไม่น้อย วันหน้าเจ้าก็ห้ามเอาเปรียบนางเด็ดขาด”
ชื่อชูรู้สึกเหมือนถูกกล่าวหา “ข้าไม่เคยลูบเปลือกหอยนางสักหน่อย!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่บอก “อายุกระดูกเจ้าแค่ร้อยปีเท่านั้น ไป๋เหอสามร้อยกว่าปีแล้ว ต่อหน้านางเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่ชาย? เฮ้อ มิใช่ว่าข้าแอบฟัง แต่เจ้าพูดประโยคนั้นดังเกินไป”
ชื่อชูเถียงข้างๆ คูๆ “ก็แค่วาจาเท่านั้น เรียกว่าเอาเปรียบไม่ได้”
จี้เซียวถามอสูรทั้งสอง “พวกเจ้าได้รับอิสรภาพใหม่อีกครั้ง วันหน้ามีแผนการเช่นไร จะไปที่ใด พวกเจ้าคิดกันเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็พูดขึ้นเช่นกัน “ถูกต้อง นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”
เฟยอวี่กับชื่อชูมองหน้ากัน ในใจคิดว่าพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร จอมอสูรเขาเสวี่ยซานกลับมาแล้ว มิใช่มาเพื่อล้างแค้นหรือ ทุกคนต่างมีศัตรูเดียวกันก็น่าจะนับเป็นพวกเดียวกันได้ พวกเดียวกันก็ต้องเดินทางร่วมทำศึกด้วยกัน
ตอนอยู่เจดีย์ชั้นสอง เฟยอวี่บอกว่าไม่ยินดีขายชีวิตต่อสู้เพื่อจอมอสูรตนใดอีก ซ้ำยังบอกว่าจอมอสูรเขาเสวี่ยซานเทียบจอมอสูรเขาหลิงซานไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายไม่เพียงไม่โกรธ หากยังช่วยเขาออกจากคุก หลังจากนั้นยังได้เห็นจอมอสูรเขาเสวี่ยซานลงมือสังหารเหยี่ยวดำด้วยตนเอง ฝีมือสูงส่ง เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีคุณธรรมของผู้เป็นผู้นำ ควรค่าให้ติดตาม
ความคิดของชื่อชูเองก็คล้ายกัน หากเขาหลงใหลในชีวิตสุขสงบ ย่อมเลือกอยู่ในคุกแดนสุขาวดีไปแล้ว หรือไม่ก็ตามไป๋เหอไปยังตำหนักแก้วเจียระไน แต่เพราะเขาไม่ยอมจำนน เขายังหนุ่มยังแน่น ยังมีโอกาสสวามิภักดิ์ต่อประมุขผู้ปราดเปรื่อง ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ใหม่
ชื่อชูกล่าว “บุญคุณช่วยชีวิต เสมือนให้ชีวิตใหม่ พวกข้ายินดีติดตามจอมอสูร!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่พอจะรู้ถึงความคิดอ่านของอีกฝ่าย จึงเอ่ยปากอธิบาย “ข้าไม่ใช่จอมอสูรแล้ว กลับมาแดนอสูรครานี้ก็เพื่อตามหาเชวี่ยเซียนหมิง เขาโกรธข้า หายตัวไปไม่เห็นเงา เพราะข้าเชื่อว่าเขาน่าจะไปก่อความวุ่นวายในชุมนุมหมื่นอสูร เลยรู้สึกเป็นห่วง ผู้ที่มีบุญคุณต่อพวกเจ้าไม่ใช่พวกข้า แต่เป็นจอมอสูรแม่น้ำไป๋เหอ”
ชื่อชูถามด้วยความอยากรู้ “จอมอสูรเขาหลิงซานสังหารท่าน ท่านไม่นึกโกรธ?” เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายยอมเสี่ยงอันตรายกลับมายังแดนอสูรอีกครั้งเพียงเพราะสหายเก่า
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตอบ “…ก็อาจจะแค้นอยู่บ้าง”
เฟยอวี่ “เช่นนั้นอย่างไรท่านก็ต้องล้างแค้นกระมัง”
เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด “ดูสถานการณ์ก่อน ข้ามีคำถามต้องการถามเขา บางทีอาจจะทำ บางทีอาจจะไม่”
คำตอบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของอสูรทั้งสองยิ่งยวด ไม่ได้เด็ดขาด ไม่มีท่าทีชวนประหวั่นเยี่ยงจอมอสูรเลยแม้แต่น้อย ทำก็คือทำ ไม่ทำก็คือไม่ทำ เหตุใดต้อง ‘ดูสถานการณ์ก่อน’ ด้วย
เฟยอวี่ “ยามนี้อิทธิพลของเขาเป็นดั่งตะวันกลางนภา ดังนั้นท่านถึงได้กลัว?”
ชื่อชูขมวดคิ้ว “ท่านกลัวเอาชนะเขาไม่ได้? พอเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีเลยตัดสินใจปล่อยวางความแค้นเก่า ไปจากแดนอสูร?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่คล้ายได้ยินเรื่องตลก เขาสบตามองจี้เซียวคราหนึ่ง ยิ้มออกมาน้อยๆ ตอบ “กลัวเขา? ข้าไม่ได้กลัว” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่ปกคลุมอยู่เหนือป่าทึบ “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์”
จี้เซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบยิ่งกว่า “พวกเราลากันตรงนี้เถอะ แม้นมีวาสนาค่อยพบกันใหม่”
ชื่อชูกับเฟยอวี่ตะลึงนิ่งอยู่กับที่ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความเช่นไร สองตาเบิกกว้างมองดูคนทั้งสองเดินออกจากริมน้ำหายเข้าไปในป่าทึบ
“พวกเขาเหตุใดถึงเอะอะก็ไปเช่นนี้”
“…หรือนี่เป็นวิสัยของพวกมนุษย์?”
เมิ่งเสวี่ยหลี่เดินเคียงไหล่อยู่ด้วยกันกับจี้เซียว เขาถอนหายใจ “แดนอสูรเกิดสงครามมาเป็นเวลาช้านาน กว่าจะสงบสุขได้ก็มิใช่ง่าย ตอนเป็นจอมอสูร เพื่อควบรวมแดนอสูรเป็นหนึ่ง ข้าจ่ายค่าตอบแทนไปมากพอแล้ว ข้าไม่ได้กลัวหลิงซาน ข้าแค่กลัวว่าทันทีที่สถานการณ์ดีๆ ในเวลานี้ถูกทำลาย เหล่าอสูรจะรบราฆ่าฟันกันอีก ชาวบ้านทั้งหลายจะต้องเดือดร้อนกันอีกครั้ง”
จี้เซียวลูบหลังคอของคู่ร่วมบำเพ็ญตัวน้อย คล้ายให้อภัยเด็กน้อย “ข้าเข้าใจ”
แค่ถ้อยคำเรียบง่ายสามพยางค์ก็สามารถปลอบใจเมิ่งเสวี่ยหลี่ได้แล้ว
จี้เซียวกล่าวต่อ “ก่อนข้าจะบรรลุเพลงกระบี่ กฎระเบียบของสานุศิษย์หานซานปรมาจารย์ไท่หังเป็นคนกำหนด จากวิหารถกสัจธรรมไปจนถึงฝ่ายการกิจ อาวุโสผู้ดูแลเรื่องต่างๆ บนหานซานล้วนเป็นผู้บำเพ็ญพรตสกุลโจว”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตะลึงไปเล็กน้อย หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน
“เพราะพวกเขาจัดการได้ไม่ดี ข้าจึงตัดสินใจลงมือทำเอง” จี้เซียวอธิบายจริงจัง “ไม่ใช่เพราะข้าต้องการทำ แต่เพราะพวกเขาทำได้ไม่ดี”
เมิ่งเสวี่ยหลี่หลุดขำ เขาพูดขึ้นเช่นกัน “ข้าเข้าใจ”
“หลังฝึกเพลงกระบี่สำเร็จ ข้าเคยสังหารคนกลุ่มหนึ่งบนหานซาน หลังย่างเข้าสู่สภาวะปรมัตถ์ เพื่อโลกผู้บำเพ็ญพรตแดนมนุษย์ ข้าได้สังหารผู้คนไปอีกเป็นจำนวนมาก” จี้เซียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หูซื่อศิษย์พี่ของข้าคิดว่าหลังผู้บำเพ็ญพรตบรรลุเพียรบำเพ็ญไปได้ระดับหนึ่ง ฟ้าดินชะตาชีวิตผูกพันเป็นหนึ่งเดียว ที่สำคัญคือจิตควรตั้งมั่นอยู่กับเรื่องบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียน ไม่เหมาะที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องทางโลก แปดเปื้อนผลกรรมให้มากเกินไป หากข้าไม่ระวังทำอันใดผิดพลาดไปย่อมกลายเป็นหายนะใหญ่หลวงของแดนมนุษย์ สุดท้ายผู้กำหนดกฎเกณฑ์ก็ไม่พ้นมรรคาสวรรค์ ผู้บำเพ็ญพรตสามารถกระทำการฝืนลิขิตสวรรค์ แต่มิอาจ ‘ธำรงคุณธรรมความยุติธรรมแทนสวรรค์’ ”
แม้เมิ่งเสวี่ยหลี่จะไม่ชอบหูซื่อ ทว่าเรื่องเกี่ยวกับจี้เซียว ไม่ว่าเช่นไรเขาล้วนยินดีฟัง “หลังจากนั้นเล่า”
“เขาแนะนำข้าเรื่องหนึ่ง ต่อให้ต้องการปลิดชีวิตคนจำนวนมาก ก็ไม่ควรใช้กระบี่ของตนเอง หากแต่ต้องยืมกระบี่”
เมิ่งเสวี่ยหลี่คิด ยืนอยู่หลังม่าน ควบคุมผู้อื่นเยี่ยงหมากบนกระดานเช่นนี้ คล้ายการกระทำของไท่หังกับกุยชิงเจินเหรินมากกว่า หาใช่จี้เซียวไม่
จี้เซียวเอ่ยต่อ “แต่ข้าไม่รับปาก เขาจึงมักรู้สึกกลัวแทนข้า กลัวข้าจะทำสมดุลฟ้าดินเสียหาย ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไม่ก็ประสบเคราะห์ร้าย เขาค้นคว้าหาตำราโบราณเกี่ยวกับการบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียน โอสถวิเศษ ค่ายเวท อดใจแทบไม่ไหวหมายทำลาย ‘ประตูเชื่อมสวรรค์’ ให้เปิดออกโดยเร็วที่สุด จับข้าโยนออกจากโลกใบนี้ และเพราะเรื่องนี้ ข้ากับเขาถึงได้เกิดเรื่องโต้เถียงกันขึ้นอีก ข้าคิดว่าเขาฝึกฝนศาสตร์นอกรีตมากเกินไป คุยโวโอ้อวดว่าคำนวณรู้ความลับสวรรค์หมดสิ้น ตรงกันข้ามเขากลับตกสู่ท่ามกลางความงงงัน คิดเพ้อเจ้อไปว่าการบรรลุมรรคาขึ้นสู่แดนเซียนก็มี ‘ทางลัด’ ให้เดิน ส่วนเขาก็คิดว่าข้าไม่รู้ดีชั่ว ไม่ยำเกรงสวรรค์แม้แต่น้อย…”
เมิ่งเสวี่ยหลี่นิ่งเงียบ
จี้เซียวเล่าความหลังต่อ “ครั้งนั้นพวกเราต่างฝ่ายต่างใช้ถ้อยคำรุนแรง เรียกได้ว่าแทบจะแตกหักกัน ก็เหมือนเช่นเจ้ากับเชวี่ยเซียนหมิง หลังคืนดีกัน หูซื่อยังคงเฝ้าค้นหา ‘ทางลัด’ ต่อ ส่วนข้าก็ยังคงยุ่งเรื่องในแดนมนุษย์ ต่างฝ่ายต่างมีทางของตนเอง ไม่คิดพูดจาเอาชนะฝ่ายตรงข้ามอีก ในที่สุดข้าก็เข้าใจ หากศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการคบกันไปนานๆ มิใช่อาศัยการอยู่อย่างไม่มีข้อแตกต่าง คิดอ่านอันใดล้วนเหมือนกัน แต่หากอาศัยการเปิดใจยอมรับความแตกต่างที่เกิดขึ้นต่างหาก”
ในใจเมิ่งเสวี่ยหลี่รู้สึกแปลกๆ เขาคิดว่าที่เขาชิงชังหูซื่อ ทั้งนี้ก็เพราะอคติที่หูซื่อมีต่อตน ยิ่งไปกว่านั้นล้วนเพราะความรู้สึกอิจฉาริษยาอีกฝ่าย อิจฉาหูซื่อที่รู้จักกับจี้เซียวนานหลายร้อยปี คอยช่วยเหลือประคับประคอง ทะเลาะเบาะแว้งคืนดีกัน
เขาดึงมือคู่ร่วมบำเพ็ญ “ท่านต้องการปลอบใจข้าสองเรื่อง หนึ่ง หากหลิงซานเป็นจอมอสูรที่ดีไม่ได้ ข้าก็ไม่ควรอดทนอดกลั้นเพราะกลัวต้องเสียสละ สอง เมื่อข้าได้พบเชวี่ยเซียนหมิง ต่อให้ความคิดยังแตกต่าง พวกเราก็สามารถคืนดีกันได้ เพราะพวกเราต่างห่วงใยอีกฝ่าย ข้าพูดถูกหรือไม่”
จี้เซียวพยักหน้า “ถูกต้อง ขอบใจ”
เขาไม่ถนัดปลอบใจคน จึงรู้สึกขอบใจที่เมิ่งเสวี่ยหลี่เข้าใจความหมายของเขา
เมิ่งเสวี่ยหลี่กลับกลายเป็นอารมณ์ดี “ไม่ต้องเกรงใจ” เพียงพอนเมิ่งทำจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า “ต้องไม่มีอสูรตนใดเชื่อแน่ว่าข้าปรารถนาจะเห็นหลิงซานเป็นจอมอสูรที่ดี ปกครองนำพาแดนอสูรสู่ความรุ่งโรจน์มากกว่ามนุษย์หรืออสูรตนใด”
จี้เซียวยิ้ม “เขาเป็นจอมอสูรที่ดีได้หรือไม่ มิอาจอาศัยเพียงการฟังการเล่าขาน ไปเมืองเฟิงเยวี่ยดูกันให้เห็นกับตาเพียงเท่านี้ก็รู้แล้ว”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ชะงักเท้า “ท่านทำให้ข้าสบายใจได้เสมอ”
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของจี้เซียว จิตใจสั่นไหว
คืนค่ำไร้แสงจันทร์สายลมโถมกระหน่ำ รอบด้านไร้ผู้คน นกแมลงต่างหลับใหล มีก็แต่เสียงคลื่นลมจากป่า เงาไม้หนาทึบห่อหุ้มร่างของพวกเขาไว้ บนพื้นที่มืดทึบหลบเร้นเช่นนี้ เหมาะยิ่งนักที่จะร้องขอสักหนึ่งจุมพิต
เมิ่งเสวี่ยหลี่เขย่งปลายเท้าขึ้น
จี้เซียวประคองเอวเขาเบาๆ หลังจากนั้นก็หันหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยังจะดูอีกกระนั้นหรือ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ประหวั่นพรั่นพรึงได้สติ เขาหันตามจี้เซียวไป
ที่แท้ชื่อชูและเฟยอวี่ยังคงคิดติดตามจอมอสูรเขาเสวี่ยซานมา พวกเขาคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองพลั้งปาก มิได้คิดหาคำพูดดีๆ เหมาะๆ จึงตัดสินใจแอบสะกดรอยตามอยู่เงียบๆ
นึกไม่ถึงว่าจะเห็นพวกเขาสองคนท่าทางสนิทสนม ถึงขนาดกำลังจะจูบกัน สองอสูรทั้งหวั่นไหวทั้งอยากรู้อยากเห็น ค่อยๆ ย่องเข้ามาใกล้ จ้องมองดูชาวบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่คิดว่าจอมอสูรเขาเสวี่ยซานจะชมชอบเพศเดียวกัน หนำซ้ำความชอบยังพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่ชอบหนุ่มน้อยรูปร่างงดงามอรชร แต่กลับชอบผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์ท่าทางหยิ่งยโสเย็นชายิ่งกว่าหิมะ มิน่าตอนนั้นยามเป็นจอมอสูรถึงได้ไม่มีนางบำเรอข้างกายเลยแม้แต่คนเดียว
ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญพรตคนนั้นก็หันหน้ากลับมา ถามขึ้นประโยคหนึ่ง อำนาจคุกคามบีบคั้นพุ่งปะทะใบหน้า พลังอำนาจน่าเกรงขาม ทำเอาสองอสูรแข้งขาปวกเปียก รีบโผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัว ใบหน้าแดงระเรื่อ
เมิ่งเสวี่ยหลี่ตวาดอย่างโมโห “พวกเจ้าหลบๆ ซ่อนๆ ทำอะไร!”
เฟยอวี่ “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
ชื่อชู “ข้าสาบาน เป็นตายเช่นไรข้าก็จะไม่พูดออกไปเด็ดขาด!”
ไร้เหตุผลสิ้นดี สองอสูรตกใจทำอะไรไม่ถูก ตอนอยู่ในเจดีย์เจิ้นเยา ทั้งสองเคยเห็นฝีมือร้ายกาจของผู้บำเพ็ญพรตชาวมนุษย์ก่อนแล้ว กลัวชาวบ้านจะใช้ไอกระบี่สังหารพวกเขาปิดปาก
เมิ่งเสวี่ยหลี่โมโห “ข้าจูบคู่ร่วมบำเพ็ญของตนก็ถูกทำนองคลองธรรมแล้ว เหตุใดต้องกลัวเจ้าพูดด้วย!”
ใช้ความโกรธปลุกเร้าความกล้า เขาดึงคอเสื้อของจี้เซียวลงมา จูบริมฝีปากบางๆ ของคู่ร่วมบำเพ็ญเสียงดัง
สองอสูรตื่นตระหนกพูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเสวี่ยหลี่เม้มริมฝีปากเหมือนยังนึกอยาก ใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยปากสั่งสอนอสูรทั้งสองด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “พวกเรามีความสัมพันธ์เช่นนี้ นี่เรียกว่าถูกตาต้องใจกัน”
จี้เซียวยิ้ม “มีปัญหาหรือไม่”
ชื่อชูรีบตอบ “มีปัญหาๆ จากที่นี่ไปเมืองเฟิงเยวี่ยเต็มไปด้วยด่านต่างๆ พวกท่านสองคนเดินทาง ข้างกายไม่มีอสูรตัวน้อยคอยช่วย ย่อมไม่สะดวก…”
เฟยอวี่พูดเสริม “พวกเราทั้งสองยินดีร่วมทาง ต่อสู้กับทหาร ซื้อข้าวซื้อของ ช่วยวางแผน”
เห็นอสูรทั้งสองจริงใจ ยินดีละทิ้งท่าทีหยิ่งยโสยอมทำงานเป็นผู้ติดตามเช่นนั้น เมิ่งเสวี่ยหลี่ก็หายโกรธไปกว่าครึ่ง หลังถ่ายเสียงปรึกษากับคู่ร่วมบำเพ็ญ เขาก็หงายไพ่พูด “พวกเรามีอสูรตัวน้อย”
ภายใต้สายตางุนงงสงสัยของอสูรทั้งสอง เมิ่งเสวี่ยหลี่สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ประคองเซิ่นโซ่ว ปี้โหยวและหร่วนฮุยออกมา ก่อนจะเขย่าปลุกพวกมันให้ตื่นขึ้นมาทีละตัว
เซิ่นโซ่วกำลังฝัน กอดหางแหลมๆ ของตัวเอง สะลึมสะลือละเมอ “ผู้อาวุโสอย่าเพิ่งไป”
ปี้โหยวกับหร่วนฮุยตื่นมาไม่รู้สถานการณ์ ยังคงคิดว่าตัวเองฝันร้ายอยู่กลางภาพมายา ครั้นเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าสองคน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขนกระสา อีกคนสวมอาภรณ์ผ้าดิ้นสีแดงยืนอยู่ตรงหน้า เนื้อตัวล้วนแต่มีกลิ่นอายอสูรกินเนื้อ พวกมันก็หวาดผวา ทว่าครั้นมองเห็นเมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียว พวกมันก็พลันกลับกลายโล่งอก
ปี้โหยวกระซิบถาม “อาวุโสเมิ่ง พวกเราไปถึงชั้นที่เท่าไรแล้ว”
“พวกเราออกจากเจดีย์มาแล้ว”
เมิ่งเสวี่ยหลี่อธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระชับรัดกุม ปี้โหยวและหร่วนฮุยอุทานตกใจไม่ขาดปาก
ชื่อชูกับเฟยอวี่มองตากันไม่มีคำพูดใดๆ แอบเคลื่อนพลังอสูรถ่ายเสียงพูดคุยกัน
“ยามนั้นลูกน้องของจอมอสูรเขาเสวี่ยซาน เหล่าแม่ทัพอสูรต่างองอาจห้าวหาญ ยามนี้เหตุใดแม้แต่พวกครึ่งอสูรตัวจ้อยก็ยังเป็นได้ ดูกระต่ายนั่นอุ้งเท้าของมันเล็กเพียงใด มือข้าข้างเดียวก็แยกร่างมันได้แล้ว แค่ล่าสัตว์ก็น่าจะยังล่าไม่ได้เลย”
“เซิ่นโซ่วอสูรภาพมายาที่เอาแต่นอน กระต่ายเทาครึ่งอสูรตนหนึ่ง กับครึ่งอสูรนกกินปลาอีกตน กองกำลังเช่นนี้จะใช้อะไรไปบุกเมืองเฟิงเยวี่ย”
“ใช้ความมั่นใจอย่างไรเล่า! พวกเราเป็นแม่ทัพอสูร เขาเป็นจอมอสูร”
“ยอดเยี่ยมๆ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่ “พวกเขาเป็นพรรคพวกของข้าสองคน ปี้โหยวกับหร่วนฮุย”
นกกินปลาสีเขียวกับกระต่ายเทาวิ่งทำการค้าอยู่ในแดนอสูร มักได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของแม่ทัพจิ้งจอกม่วงกับแม่ทัพกระสาขาวอยู่เสมอ หากจะเป็นรองก็คงเป็นรองเพียงจอมอสูรเท่านั้น ในใจครึ่งอสูรทั้งสองรู้สึกตื่นเต้น รีบแปลงกายเป็นมนุษย์น้อยก่อนเอ่ยปากทักทาย
ชื่อชูกับเฟยอวี่ไม่รู้จะเอ่ยปากชื่นชมอีกฝ่ายเช่นไร ทว่าเพื่อรักษาหน้าจอมอสูรเขาเสวี่ยซาน จึงได้แต่ยิ้มพูด “รูปร่างหน้าตาดูมีน้ำมีนวลยิ่งนัก”
ตอนอยู่ตำหนักแก้วเจียระไนใต้แม่น้ำไป๋เหอ ครึ่งอสูรทั้งสองเกือบถูกเข้าใจว่าเป็น ‘อาหารป่า’ พอได้ยินคำว่า ‘มีน้ำมีนวล’ สองคำ พวกเขาก็รู้สึกว่าอสูรกินเนื้อกำลังชื่นชมอาหารที่กำลังเจริญเติบโต จึงอดสองขาสั่นสะท้านไม่ได้ รีบหดตัวไปหลบอยู่หลังเมิ่งเสวี่ยหลี่กับจี้เซียว
เมิ่งเสวี่ยหลี่ “ขอแนะนำอีกครั้ง นี่คือคู่ร่วมบำเพ็ญของข้า จี้เซียว”
เฟยอวี่เกาหัว “ชื่อนี้เหมือนจะคุ้นหูอยู่ไม่น้อย”
“เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อนนะ” ชื่อชูสะดุ้งโหยง นึกขึ้นได้ทันที “แดนมนุษย์ไร้พ่าย อริยกระบี่จี้เซียว? ท่านยังไม่ตาย!” สมองของเขาสับสนวุ่นวาย “จอมอสูรเขาเสวี่ยซานเองก็ยังไม่ตาย? หนำซ้ำพวกท่านสองคนยังเป็นคู่ร่วมบำเพ็ญกันอีก เช่นนั้นจอมอสูรเขาเสวี่ยซานคงมิใช่…เมิ่งเสวี่ยหลี่?”
ปี้โหยวกล่าว “ถูกต้องแล้ว!”
เฟยอวี่ตระหนักได้ทันที พูดอย่างตื่นเต้น “ที่แท้ก็พวกท่าน!”
เมิ่งเสวี่ยหลี่สงสัย “ในแดนอสูรพวกเรามีชื่อด้วยกระนั้นหรือ”
ชื่อชูกล่าว “แดนอสูรมีหนังสือไม่มาก หนังสือจากแดนมนุษย์ชุดหนึ่งสามารถอ่านได้เป็นนาน ก่อนข้าถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์ นิยายของพวกท่านก็แพร่มาถึงแดนอสูรแล้ว ตอนแรกๆ ก็เป็นนิยายรักอย่าง ‘อริยกระบี่ตัวร้ายกับคู่ร่วมบำเพ็ญไม่เอาไหน’ ตอนอยู่ในคุกแดนสุขาวดี ทหารอสูรส่งนิยายเล่มใหม่มาให้ข้าอ่านแก้เบื่อ พอถึงตอนนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นนิยายวิจิตรกามาอย่าง ‘บันทึกฉางชุน’ ‘อัตชีวประวัติเสวี่ยหลี่’ ไปแล้ว”
พอนึกถึงตอนที่คนทั้งสองกำลังจะจูบกันกลางป่าทึบ ชื่อชูก็ถอนหายใจ “ได้ยินชื่อมิเท่าพบตัว…เดี๋ยวก่อน ไม่ถูก!” ชื่อชูจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ “เช่นนั้นใน ‘บันทึกเมฆาหิมะจันทราวายุ’ เซียวถิงอวิ๋นศิษย์คนโตของยอดเขาฉางชุนที่ถูกภรรยาม่ายของอริยกระบี่ ‘ล่อลวง’ คือผู้ใดกัน”
จี้เซียว “ยังคงเป็นข้า”
“เช่นนั้น ‘ฉีเซียว’ ใน ‘คนผี กระบี่ปรารถนา’ ที่ถืออุษาไร้เขตขัณฑ์บุกตะลุยวังยมบาล ถล่มจนยมบาลไม่กล้ารั้งเขาไว้ ได้รับการปล่อยตัวให้กลับมายังแดนมนุษย์ ร่วมสืบต่อวาสนาผูกพันที่ถูกกำหนดไว้กับเมิ่งเสวี่ยหลี่เล่าคือผู้ใด”
จี้เซียว “ก็คือข้า”
“แล้ว ‘จี้เซี่ยว’ ที่ตายแล้วเกิดใหม่ ทว่าเมื่อถึงบ้านกลับพบเมิ่งเสวี่ยหลี่ปลิดชีพบูชารักอยู่ใต้ต้นท้อไปก่อนหน้านี้เพียงไม่นานร่างยังคงอบอุ่น ทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก ตัดทำลายต้นท้อบนยอดเขาฉางชุน ผ่าหน้าผาทำลายยอดเขาสิ้นในเรื่อง ‘คู่วาสนาดอกท้อ’ ล่ะเป็นใคร”
จี้เซียว “ล้วนแต่เป็นข้า”
ยังคงเป็นข้า คือข้าเช่นกัน ล้วนคือข้า เพราะนิยายที่เมิ่งเสวี่ยหลี่ซื้อมาทำให้จี้เซียวล่วงรู้ทะลุปรุโปร่ง ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เขาก็สามารถบอกได้ว่ามาจากนิยายเล่มใด ชื่อตัวละครเป็นอักษรสองตัวใด
ชื่อชูและเฟยอวี่ไม่เข้าใจความชมชอบของมนุษย์ คนเขียนนิยายส่วนใหญ่ล้วนขี้ขลาดตาขาว เพื่อเลี่ยง ‘ข้อห้ามของผู้บำเพ็ญพรต’ พวกเขาจึงเปลี่ยนคำว่าจี้เซียวเป็น ‘ฉีเซียว’ ‘จี้เซี่ยว’ ‘ฉีเซี่ยว’ ต่างๆ นานา ต่างกับเมิ่งเสวี่ยหลี่ที่ไม่ถูกปฏิบัติเช่นนั้น ชื่อของเขายังคงปรากฏอยู่เต็มๆ นักอ่านที่รู้เรื่องการค้าต่างเข้าใจดีว่านักเขียนเขียนถึงสองคนใด ไม่เหมือนชาวอสูรที่อ่านแล้วกลับงุนงง
ในที่สุดสองอสูรก็เข้าใจในสิ่งที่เคยนึกสงสัยอยู่ช้านาน เฟยอวี่เอ่ยปากยกย่องชื่นชม “ยอดเยี่ยมๆ”
คนคนหนึ่งสามารถทำเรื่องได้มากมายเช่นนี้ มีฐานะหลากหลายเช่นนี้ ไม่เสียทีที่เคยฝึกเพียรบำเพ็ญจนถึงขั้นได้เป็นแดนมนุษย์ไร้พ่าย เป็นผู้แข็งแกร่งเชิดหน้ามองสามภพอย่างทระนงองอาจ
ชื่อชูเองก็พูดขึ้น “ข้ารู้สึกเลื่อมใสทั้งกายและใจ”
เมิ่งเสวี่ยหลี่รู้สึกกลัดกลุ้ม เมื่อครู่พวกเจ้าสองคนยังใช้คำพูดแดกดันข้า ถามว่าข้ากลัวหลิงซานใช่หรือไม่ แค่ชั่วเวลาเพียงสองประโยค เหตุใดถึงกลับเป็นเลื่อมใสทั้งกายใจได้
ติดตามบทที่ 5 ได้ในวันที่ 25 พ.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.