Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 2
ตู้อวิ้นหนิงเป็นใครน่ะหรือ
เธอเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของหลิงซู และยังเป็น…แฟนเก่าของเขาอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นความทรงจำวัยรุ่นอันแสนงดงามในใจของเหล่าเพื่อนผู้ชายโรงเรียนเดียวกันเกือบทั้งโรงเรียนอีกต่างหาก
แม้แต่คนแซ่เยวี่ยที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เคยชอบเธอเช่นกัน
เยวี่ยติ้งถังพูดอย่างนั้นออกมาแล้วหลิงซูก็อยากจะหลุดปากออกไปเหลือเกินว่าเป็นไปไม่ได้ แต่อีกฝ่ายดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยสักนิด
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเหมือนบ่อน้ำลึก จับจ้องเขาโดยไม่ละสายตาไปไหน ในดวงตาคู่นั้นแฝงเอาไว้ด้วยความแหลมคมที่โหมซัดมาราวกับกำลังตรวจสอบการตอบสนองของหลิงซูว่าจริงเท็จเพียงใด
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่” หลิงซูถาม
เยวี่ยติ้งถังไม่ตอบ หลิงซูเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เขามีโอกาสหาช่องทางคาดเดาเกี่ยวกับคดีได้
หรือก็คือในสายตาของคนแซ่เยวี่ย ตอนนี้เขาเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ที่สุดไปแล้ว
หลิงซูแบมือผายออก “คืนนี้หลังจากเลิกงานฉันก็มาที่ฟลอเรนซ์เลย ไม่มีเวลาไปก่อคดีอะไรหรอก ทุกคนที่นี่เป็นพยานให้ได้ทั้งนั้น”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “ศพถูกพบสองชั่วโมงก่อน แต่เสียชีวิตเกินสองชั่วโมงมาแล้ว ฉันไม่ใช่ตำรวจที่ทำคดีนี้ ถ้านายมีอะไรจะพูดก็ค่อยพูดตอนให้ปากคำก็แล้วกัน”
เขาว่าพลางถอยไปหนึ่งก้าวแล้วแนะนำตำรวจชาวต่างชาติข้างกาย
“ท่านนี้คือคุณสมิธจากสำนักงานกิจการตำรวจเขตเช่าสาธารณะ ตอนที่เกิดเหตุฉันกำลังประชุมเป็นการส่วนตัวกับเขาอยู่พอดี เนื่องจากผู้ตายเคยรู้จักทั้งฉันและนาย ฉันเลยออกปากมาเป็นเพื่อนคุณสมิธด้วย”
หลิงซูเอ่ย “ที่นี่ไม่ใช่เขตเช่าสาธารณะ และฉันก็ไม่ใช่ผู้พักอาศัยในเขตเช่าสาธารณะด้วย เรื่องนี้ฉันคงต้องรายงานผู้กำกับการของฉันทราบ”
สมิธพูดภาษาจีนคล่องมาก “คุณหลิงซูใช่ไหมครับ ตอนที่พวกเรามาคุณเยวี่ยก็ได้เกริ่นสถานการณ์คร่าวๆ ของคุณให้ผมทราบแล้ว ผมเองก็จะส่งคนไปแจ้งผู้กำกับการของคุณด้วย ตอนนี้เชิญคุณไปกับพวกเราเถอะครับ”
ชาวต่างชาติคนนี้เครื่องแต่งกายทั่วทั้งตัวมีราคาไม่เบา คงจะเป็นคนสำคัญสักคนในสำนักงานกิจการตำรวจแน่นอน
ตำรวจฝรั่งสองคนข้างหลังมองมาเหมือนเสือจ้องเหยื่อ ราวกับว่าหากหลิงซูทำกิริยาต่อต้านแม้แต่น้อยก็จะพุ่งเข้ามาจับเขาเอาไว้ทันที
บริเวณเอวของคนเหล่านี้ดูตุงแน่น นอกจากกระบองของตำรวจแล้วจะต้องมีปืนด้วยอย่างแน่นอน
พวกหย่าฉีหน้าซีดกันไปนานแล้ว พวกเธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลิงซูเหมือนแกะน้อยที่ถูกล้อมรอบด้วยสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็คงหนีไปจากวงล้อมนี้ไม่ได้
เหยื่อของคืนนี้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
เขามองเยวี่ยติ้งถัง
สายตาของเยวี่ยติ้งถังลึกล้ำ จนไม่สามารถบอกความหมายในสายตานั้นได้
ในสายตาของหลิงซู อีกฝ่ายดูห่างไกลสูงส่ง เหมือนมาชมสถานการณ์เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น หากตกอยู่ในกำมือของคนแซ่เยวี่ยแล้ว คืนนี้เขาคงต้องพบกับเรื่องที่รับผิดชอบไม่ไหวแน่
หลิงซูพูดในใจ ครั้งหน้าก่อนออกจากบ้านเขาต้องดูปฏิทินโหราศาสตร์หน่อยแล้วล่ะ
ว่ากันว่าสถานีตำรวจกลางแห่งเขตเช่าฝรั่งเศสนั้นสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบของสถานีตำรวจทุกแห่งในเซี่ยงไฮ้ ทั้งของเขตเช่าและสถานีตำรวจทั่วไป
ว่ากันว่าสถานีตำรวจเขตเช่าแต่ละท้องที่เคยมาเยี่ยมชมเรียนรู้จากสถานีตำรวจกลางแห่งเขตเช่าฝรั่งเศสแล้วทั้งสิ้น แต่นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนหลิงซูจะมาเป็นตำรวจ
แล้วก็ว่ากันอีกว่าบรรดาสถานีตำรวจของเขตเช่าสาธารณะทั้งหลายต่างเลียนแบบกฎระเบียบของเขตเช่าฝรั่งเศสทั้งนั้น
หลิงซูไม่เคยไปสถานีตำรวจกลางแห่งเขตเช่าฝรั่งเศส
ในสายตาของเขา สถานีตำรวจเหล่าจ๋า ที่ตั้งอยู่ในเขตเช่าสาธารณะอันแสนวุ่นวายก็คงจะดีกว่าสถานีตำรวจท้องถิ่นเล็กๆ เก่าๆ ของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยแม้แต่พวกโต๊ะก็เป็นของใหม่ทั้งนั้น
ทว่า…สถานที่สอบปากคำทั่วผืนแผ่นดินนี้ก็ล้วนเหมือนกันทั้งหมด
“ชื่อแซ่ ที่อยู่ อาชีพ”
“หลิงซู หลิงที่มีส่วนประกอบน้ำสองจุด ซูจากคำว่าศูนย์กลาง อยู่บ้านเลขที่สามสิบหก สะพานจูจยา เขตอิ่นเสียง ตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่อยู่สถานีตำรวจเขตเจียงวัน”
“เมื่อวานกับวันนี้คุณอยู่ที่ไหนบ้าง”
“กลางวันไปทำงาน กลางคืนกลับบ้านนอน”
“พูดให้ละเอียดหน่อย”
หลิงซูตอบว่า “เมื่อวานเลิกงานประมาณสี่โมง ตู้อวิ้นหนิงนัดผมไปร้านกาแฟซินเยวี่ย พวกเราอยู่ที่นั่นกันประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้นผมก็ไปส่งเธอกลับบ้าน แล้วเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย…”
“เดี๋ยวนะ” ตำรวจผู้บันทึกคำให้การขัดจังหวะเขา “พวกคุณเป็นหนุ่มสาวอยู่กันสองต่อสองที่นั่นตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งเลยเหรอ”
หลิงซูเอนกายพิงด้านหลังอย่างเกียจคร้าน
“ผมก็บอกแล้วไง ตอนนั้นประมาณบ่ายสี่โมง ฟ้าสว่างโร่ขนาดนั้น นอกร้านกาแฟก็มีคนเดินไปเดินมา ในร้านก็ยังมีพนักงานต้อนรับกับลูกค้าคนอื่นๆ อีก จะเรียกว่าหนุ่มสาวอยู่กันสองต่อสองได้ยังไง”
ตำรวจขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยตำหนิ แต่สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ชุดแบบตะวันตกบนตัวหลิงซูแล้วก็ชะงักไป
สิ่งที่หลิงซูสวมอยู่คือชุดสูทสามชิ้น แบบที่กำลังได้รับความนิยมที่สุด เพียงแต่สูทตัวนอกไม่ได้ติดกระดุม และแขนทั้งสองข้างของเขาก็กางออกในขณะที่นั่งลงไปบนเก้าอี้ เผยให้เห็นเนกไทสีแดงสดมีลวดลายสีเงินดูเด่นสะดุดตา
ยุคนี้คนที่สวมชุดตะวันตกแบบนี้มีไม่น้อย แต่วัสดุดีๆ กับวัสดุแย่ๆ นั้นมีความแตกต่างกันมาก อย่าว่าแต่เนกไทสีแดงลายเงินเส้นนี้เลย…
ตำรวจเลื่อนสายตาไปมองสมิธกับเยวี่ยติ้งถังที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นไม่ได้สังเกต เขาก็ค่อยกระแอมให้คอโล่งแล้วว่า “เอาล่ะ เลิกเล่นลิ้นเสียที! คุณกับตู้อวิ้นหนิงเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยม แล้วก็เคยคบหากันด้วย ใช่หรือไม่ใช่”
“ใช่ ตอนนั้นครอบครัวของเราสองคนก็ถือว่าสถานะเหมาะสมกัน พวกผู้ใหญ่ก็ย่อมจับคู่ให้พวกเราอยู่แล้ว”
“แต่ตอนหลังตู้อวิ้นหนิงกลับไปแต่งงานกับหยวนปิง ลูกชายของขุนศึกหยวนปิ่งเต้า”
หลิงซูถอนหายใจ “พี่ชาย คิดไปถึงไหนเนี่ย เห็นผมเป็นพวกหิวแล้วไม่เลือกกินจนไปลงมือกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วงั้นเหรอ ขอแค่ผมกระดิกนิ้วก็มีสาวสวยทั่วทั้งเซี่ยงไฮ้มาหาถึงที่แล้ว คงเข้าแถวกันตั้งแต่แม่น้ำหวงผู่ไปจนถึงสนามกีฬาวั่นกั๋ว โน่นล่ะ”
ตำรวจเคาะโต๊ะ “อย่าเบี่ยงประเด็น!”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เข้มงวดอะไร อาจเพราะเห็นแก่หลิงซูที่ทำอาชีพเดียวกัน ดูจากการแต่งตัวแล้วฐานะทางบ้านก็คงไม่เลว และก็อาจเพราะสมิธกับเยวี่ยติ้งถังนั่งอยู่ข้างๆ เขาจึงไม่กล้าทำตัวโหดมากนัก
หลิงซูเอ่ย “ตู้อวิ้นหนิงแต่งงานแล้วก็มานัดพบผมหลายครั้ง แต่ผมไม่ได้ไป ตอนหลังเธอส่งคนรับใช้มาขอร้องอ้อนวอนอยู่เรื่อยๆ ผมเลยไปพบเธอสองสามครั้ง พวกคุณคงไปสอบถามคนที่คฤหาสน์สกุลหยวนมาแล้วล่ะมั้ง คำพูดของพวกเขาจะพิสูจน์ได้ว่าผมไม่ได้โกหก”
“เธอขอร้องอ้อนวอนคุณเรื่องอะไร”
“ก็มีแต่เรื่องที่หลังแต่งงานเธอไม่มีความสุข อยากจะมาระบายโน่นนี่ให้ผมฟังถึงความคับแค้นของเธอนั่นแหละ”
“แล้วเมื่อวานตอนบ่ายที่ตู้อวิ้นหนิงไปพบคุณ เธอพูดอะไร”
“เธออยากหนีไปกับผม แต่ผมไม่ได้ตกลง”
ขุนศึกหยวนปิ่งเต้าแห่งชวนซีผู้โด่งดังเกรียงไกร เมื่อถูกริบอำนาจไปแล้วก็พักอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เขามีลูกชายเพียงคนเดียวนั่นก็คือหยวนปิง
ตอนที่หยวนปิ่งเต้ามีอำนาจ เขาขูดเลือดขูดเนื้อประชาชนไปไม่น้อย ทรัพย์สินที่ได้มาเหล่านั้นภายหลังก็ทิ้งเอาไว้ให้หยวนปิง เรียกได้ว่าหยวนปิงเกิดมาก็นั่งบนกองเงินกองทองแล้ว
แต่หยวนปิงก็เป็นคุณชายเจ้าสำราญผู้โด่งดังแห่งหาดเซี่ยงไฮ้เช่นกัน วันนี้เลี้ยงนางงิ้ว พรุ่งนี้ไปคลุกคลีหวานชื่นกับดาราดัง ตอนที่ตู้อวิ้นหนิงแต่งเข้าสกุลหยวนนั้นงานแต่งงานก็ยิ่งใหญ่อลังการจนสั่นสะเทือนไปครึ่งหาดเซี่ยงไฮ้ จนถึงตอนนี้ยังมีหลายคนจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
กองเงินกองทองที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้ถูกลูกชายผลาญหมดในระยะเวลาไม่กี่ปี การแต่งงานผูกสัมพันธ์ระหว่างสกุลหยวนและสกุลตู้ที่เหมือนสวรรค์สร้างก็ย่อมค่อยๆ กลายเป็นเรื่องเศร้าให้คนเอาไปซุบซิบนินทา
ในสายตาคนนอก คุณนายหยวนอย่างตู้อวิ้นหนิงก็ยังดูเป็นแม่ผีเสื้อแสนงามที่สดใสร่าเริงเสมอ ข้าวของในชีวิตประจำวันของเธอไม่ได้ดูด้อยไปกว่าตอนที่แต่งงานเข้าสกุลหยวนใหม่ๆ เลย เธอถึงกับเป็นคนแต่งตัวนำสมัยอยู่บ่อยๆ เสียด้วยซ้ำ
หญิงสาวที่ทั้งสาวทั้งสวยเช่นนี้กลับถูกฆ่าอยู่ในห้องนอนบ้านตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นยังเผยเรื่องเบื้องหลังอันน่าตกใจว่าเคยคิดจะหนีไปกับคนอื่นอีกด้วย
ตำรวจอ้าปากพะงาบๆ ลิ้นพันกันพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง “นี่คุณล้อผมเล่นอยู่หรือเปล่า”
หลิงซูยักไหล่ “ก็คุณถามผม ผมก็แค่ตอบไปตามความจริงเท่านั้นเอง อีกอย่างผมดูดีและไม่ถือตัวกว่าไอ้ขี้ยาหยวนปิงนั่นตั้งหลายเท่า ถ้าตู้อวิ้นหนิงยังไม่ลืมความรักครั้งเก่าระหว่างเรามันจะแปลกอะไรล่ะ”
อีกฝ่ายจะถามต่อ แต่จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ มาจากด้านข้าง จึงกลับมาตั้งสติไม่มัววนเวียนอยู่กับเรื่องซุบซิบ และรีบสอบปากคำอย่างตรงไปตรงมาต่อ
“หลังจากนั้นล่ะ”
หลิงซูพูดว่า “เธอเสียใจมาก รั้งผมให้อยู่คุยเรื่องเก่าสมัยเรียนกับเธอตั้งนานสองนาน หลังจากนั้นผมเห็นสภาพจิตใจเธอยังดูไม่ค่อยดีก็เลยไปส่งเธอกลับบ้าน”
“คนที่คฤหาสน์สกุลหยวนบอกว่าหลังจากนั้นคุณกับหยวนปิงทะเลาะกันอยู่หน้าประตูคฤหาสน์สกุลหยวน”
“เขาเห็นผมแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า อิจฉาที่ผมอายุน้อยกว่ามีความสามารถกว่า ก็ต้องรู้สึกว่าผมดูขัดหูขัดตาอยู่แล้ว”
ตำรวจไม่พอใจ “จริงจังหน่อย!”
หลิงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “ใครล้อคุณเล่นกันเล่า”
“พวกคุณทะเลาะกันอยู่นานแค่ไหน”
“จำไม่ได้แล้ว คงประมาณครึ่งชั่วโมงล่ะมั้ง”
“จากนั้นคุณไปไหนต่อ”
“ผมไปกินบะหมี่ที่ร้านบะหมี่ตำรับสกุลเซียว”
“คุณออกจากคฤหาสน์สกุลหยวนกี่โมง กลับถึงบ้านกี่โมง”
“ออกมาสักหกโมงเย็นได้ กลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่า”
ตำรวจเอ่ยประชด “คุณอยู่ร้านบะหมี่ตั้งห้าชั่วโมงกว่าเชียวหรือ คงกินสิบชามไม่ไหวหรอกมั้ง”
หลิงซูถอนหายใจ “พี่ชาย ไม่เคยกินบะหมี่คลุกน้ำมันหอมเจียวของที่นี่ใช่ไหมล่ะ รสชาตินี่นะ จุๆ ผมน่ะสนิทกับเจ้าของร้านบะหมี่ พอฟ้ามืดปุ๊บเขาก็จะตั้งหม้อ ใส่น้ำซุปที่ก้นหม้อ ใส่พริกสับละเอียด ลวกเนื้อวัวเนื้อแพะ แล้วก็ใส่เปลือกถั่วกับเนื้อปลาลงไปหน่อย…”
คืนนี้เสิ่นเหรินเจี๋ยเพิ่งกลับบ้าน นั่งพักก้นยังไม่ทันร้อนก็ถูกเรียกให้กลับมาบันทึกคำให้การ อาหารเย็นเขาก็ยังไม่ได้กิน มีแต่ความคับแค้นอยู่เต็มท้องไปหมด
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงชื่ออาหารอย่างออกรสราวกับมีหม้อตั้งเตาเดือดปุดอยู่ตรงหน้า ในนั้นยังมีวัตถุดิบหม้อไฟต่างๆ นานาต้มอยู่อีก เขาก็เริ่มน้ำลายไหลไม่หยุด รู้สึกอยากจะพุ่งตัวออกไปเดี๋ยวนั้น
“หยุด!” เสิ่นเหรินเจี๋ยรีบตะโกนห้าม “คุณกำลังจะบอกว่าห้าชั่วโมงกว่านั่นคุณกินหมี่คลุก กินหม้อไฟอยู่งั้นเหรอ”
หลิงซูพยักหน้า “พวกเราก็กินไปคุยไปนั่นแหละ ห้าทุ่มเที่ยงคืนค่อยกลับบ้านมันจะแปลกตรงไหน”
“ใครเป็นพยานให้คุณได้บ้าง”
“เซียวกั่วเหวย เจ้าของร้านบะหมี่ตำรับสกุลเซียว พวกคุณไปตามตัวเหล่าเซียวมาถามก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
“ร้านบะหมี่ตำรับสกุลเซียวที่คุณพูดถึงคือร้านที่อยู่ถนนเหิงทงหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว”
“เมื่อคืนตอนตีสาม มีไฟไหม้ที่บ้านหลังหนึ่งบนถนนเหิงทง เจ้าของบ้านทั้งชายหญิงหนีไม่ทัน แม้แต่เด็กกับคนรับใช้ก็ถูกไฟคลอกตายอยู่ข้างใน ไฟลามไปถึงร้านบะหมี่ข้างๆ เมื่อไฟดับแล้วพวกเราถึงพบว่าในร้านบะหมี่มีศพชายคนหนึ่งถูกไฟคลอกจนหน้าไม่เหลือเค้าโครงเดิม ถ้าไม่ผิดจากที่คาด น่าจะเป็นเจ้าของร้านชื่อเซียวกั่วเหวยที่คุณพูดถึงนั่นแหละ”
เสียงนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ พลันชะงัก
หลิงซูเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว
ตอนแรกเขาคิดว่าการสอบปากคำนี้เป็นเพียงขั้นตอนทางราชการทั่วไป และอาจเพราะเยวี่ยติ้งถังรู้ว่าเขามีการติดต่อกับตู้อวิ้นหนิงก่อนเธอจะเสียชีวิต ดังนั้นจึงให้สมิธมาสร้างความลำบากให้เขาสักหน่อย
แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ตู้อวิ้นหนิงตายแล้ว และก่อนตายก็อยากหนีไปกับหลิงซู
หลิงซูยังทะเลาะกับหยวนปิงสามีของเธอต่อหน้าทุกคนจนเกือบจะลงไม้ลงมืออีกด้วย
ในสายตาของคนอื่น หลิงซูกับตู้อวิ้นหนิงมีความสัมพันธ์กัน แม้ความสัมพันธ์จะไม่ชัดเจน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ต้องมีเยื่อใยอยู่บ้างแน่นอน
เยวี่ยติ้งถังบอกว่าตู้อวิ้นหนิงเสียชีวิตมากกว่าสองชั่วโมง แสดงว่าเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีก
ช่วงเวลานั้นหลิงซูมีเวลาอยู่ห้าชั่วโมงกว่าพอดี เขาไม่ได้อยู่บ้าน และไม่ได้เข้าเวรทำงานด้วย เขากำลังคุยเล่นอยู่กับเถ้าแก่ร้านบะหมี่ตำรับสกุลเซียว
แต่ตอนนี้เถ้าแก่ก็ตายแล้ว ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริงหรือไม่
“ทำไมถึงสงสัยผมล่ะ” หลิงซูพูดช้าๆ “ผมไม่มีแรงจูงใจในการฆ่าคน ผมจะฆ่าตู้อวิ้นหนิงเพื่ออะไร”
คนที่พูดคือเยวี่ยติ้งถัง
“นายบอกว่าตู้อวิ้นหนิงอยากจะหนีไปกับนาย นั่นคือคำพูดของนายเพียงฝ่ายเดียว ในความเป็นจริงอาจจะตรงกันข้ามก็ได้ นายอาจจะอยากพาตู้อวิ้นหนิงหนีไป แต่ตู้อวิ้นหนิงไม่เห็นด้วย หยวนปิงพบว่าหลังแต่งงานเธอยังไปมาหาสู่กับนายอยู่ ดังนั้นเมื่อวานหลังจากที่นายกลับไปแล้วเขาจึงทะเลาะกับตู้อวิ้นหนิงแล้วก็ออกมาจากบ้าน ส่วนนายก็ใช้โอกาสนั้นกลับไปที่คฤหาสน์สกุลหยวนเพื่อจะโน้มน้าวให้เธอใจอ่อนยอมหนีตามนายไป แต่ตู้อวิ้นหนิงเกิดสำนึกผิดเลยปฏิเสธ นายจึงบันดาลโทสะพลั้งมือบีบคอเธอเสียชีวิต”
หลิงซูปรบมือ “เหล่าเยวี่ย พวกเราก็นับเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมานะ ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่เคยรู้เลยล่ะว่านายมีความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวด้วย”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันกำลังคาดเดาอย่างสมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้น เราก็เจออีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากด้วย”
หลิงซูยกมือ “เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายบอกว่านายไม่ใช่ตำรวจ แค่เพราะเรารู้จักกันมาก่อนก็เลยตามมาด้วย งั้นตอนนี้นายมาสอบถามเรื่องคดีด้วยสถานะอะไรไม่ทราบ”
สมิธที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นทันที “ศาสตราจารย์เยวี่ยมาเป็นที่ปรึกษาให้สำนักงานกิจการตำรวจของเราเป็นพิเศษ สามารถเข้าร่วมการสืบสวนสอบสวนคดีไหนก็ได้ทั้งนั้นครับ”
“…ที่ปรึกษาคนนี้เพิ่งได้รับเชิญมาเมื่อวินาทีที่แล้วใช่ไหมเนี่ย”
สมิธไม่ได้สนใจการประชดประชันของหลิงซู เขายืนขึ้น ก่อนตบบ่าเยวี่ยติ้งถัง
“ผมมีธุระนิดหน่อย เรื่องที่นี่ก็ฝากคุณด้วยแล้วกันครับ”
ประตูเหล็กเปิดออกแล้วก็ปิดลงอีกครั้ง
เมื่อก่อนหลิงซูนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเสมอมา เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่จริงๆ
ปกติเวลานี้เขาคงไปกินมื้อดึกที่ร้านบะหมี่ตำรับสกุลเซียวนานแล้ว
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “คดีนี้เกิดขึ้นในเขตเช่าสาธารณะ ดูจากความมีชื่อเสียงของตู้อวิ้นหนิงและเส้นสายของหยวนปิงแล้ว เรื่องนี้ต้องลงหนังสือพิมพ์ให้ทุกสายตาได้เห็นแน่ สมิธจะถือว่าเรื่องนี้เป็นผลงานของเขา พี่เขยของนายที่มีตำแหน่งในเทศบาลนครคนนั้นน่ะ ต่อให้คิดจะยื่นมือเข้ามาแทรกก็ไม่มีกำลังพอหรอก ฉันแนะนำว่าทางที่ดีที่สุดนายควรพยายามเผชิญหน้าแล้วให้การอย่างตรงไปตรงมาดีกว่านะ”
หลิงซูหาว “ที่นายบอกว่าเพิ่งเจอบางอย่างที่สำคัญนั่นน่ะ คืออะไร”
“ตรงชานพักหน้าต่างในห้องนอนที่เกิดเหตุของตู้อวิ้นหนิง เราพบรอยเท้าข้างขวารอยหนึ่ง หลังจากพิสูจน์แล้วพบว่าเป็นรอยจากรองเท้าตำรวจ ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของมันก็…”
เขามองรองเท้าของหลิงซู
“เท่ากับขนาดรองเท้าของนายพอดี”
หนึ่งวันก่อนวันสุดท้ายของปี หลิงซูไม่ได้รู้สึกใกล้เคียงกับความรื่นเริงที่ได้ฉลองปีใหม่แม้แต่น้อย เขากลับค้นพบว่าตนกำลังร่วงลงสู่หลุมพราง
ทั้งบนล่างซ้ายขวาล้วนถูกโอบล้อม มันล้อมเขาเอาไว้ทุกทาง แน่นหนาไร้ซึ่งทางออก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 18 ม.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.