Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
ที่ไหนมีคนที่นั่นก็มีวงการนักเลง ในคุกก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นกัน
คนที่มีเงินสักหน่อย ยัดเงินสักนิด ก็มักจะได้ไปอยู่ห้องขังเดี่ยว แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ถูกรังแก
ทว่าคดีนี้ค่อนข้างพิเศษ เป็นคดีใหญ่และสมิธเป็นคนจัดการดูแลเอง ทั้งยังมีเยวี่ยติ้งถังคอยจับตามองอยู่ด้วย พวกตำรวจก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือ จึงจัดการจับผู้ต้องหาโยนใส่ห้องขังที่วุ่นวายที่สุดไป
หลังจบการศึกษาทุกคนก็แยกย้ายไปคนละทิศละทาง เยวี่ยติ้งถังกับหลิงซูไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังจำเด็กหนุ่มคนที่โดนหนามดอกไม้ตำแล้วขอผ้าเช็ดหน้าตู้อวิ้นหนิงมากดแผลและเช็ดให้สะอาดคนนั้นได้
ถึงจะบอกว่าตอนนี้สกุลหลิงไม่รุ่งเรืองอีกแล้ว แต่นิสัยหลายๆ อย่างที่ฝังอยู่ในกระดูกของคนคนหนึ่งนั้นแก้ได้ยาก สภาพแวดล้อมเช่นนี้สำหรับหลิงซูแล้วเป็นความทรมานอย่างที่สุด ประกอบกับสีหน้าเหมือนจะพูดแต่ก็ยั้งเอาไว้ของเสิ่นเหรินเจี๋ยด้วยแล้ว เขาแทบจะจินตนาการได้เลยว่าคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบประคบประหงมอย่างหลิงซูนั้น เมื่อตกมาอยู่ในมือของคนพวกนี้จะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
ที่จริงตัวเขาเองก็เป็นตำรวจ แต่ภายในนครเซี่ยงไฮ้นั้น เขตเช่าสาธารณะกับสำนักงานเทศบาลนครอยู่ห่างกันเพียงแค่ถนนเส้นเดียวกั้นเอาไว้
เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อน ประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งได้เซ็นสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกันเอาไว้
รัฐซ้อนรัฐ เป็นพื้นที่อยู่นอกกฎหมาย
อย่าว่าแต่พี่เขยของหลิงซูเป็นเพียงหัวหน้าแผนกงานของเทศบาลนครเลย ต่อให้เขาเป็นนายกเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นที่ชื่นชอบเสมอไป
กลิ่นเชื้อราโชยมาจากทุกทิศทางแทรกเข้าโพรงจมูก แล่นไปในอวัยวะภายในทั้งหมดราวกับอยากจะให้ทุกคนที่เข้ามาในนี้เน่าเฟะแหลกเหลว และท้ายที่สุดก็ถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้
เสิ่นเหรินเจี๋ยได้กลิ่นนี้มาจนคุ้นชินถึงได้ไม่รู้สึกอะไร เขามองเยวี่ยติ้งถังเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อปิดจมูกแล้วไม่กล้าแม้แต่จะสบถในใจ เพราะความเครียดจับยึดหัวใจของเขาเอาไว้จนแน่น
เขาเดินไปกับอีกฝ่ายเรื่อยๆ ความเคลื่อนไหวที่อยู่ลึกเข้าไปในคุกนั้นยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ
เสียงโห่ร้องโหวกเหวกโวยวายดังแว่วมา คล้ายมีกลุ่มคนกำลังตีกัน
เยวี่ยติ้งถังมองเสิ่นเหรินเจี๋ย “เกิดอะไรขึ้น”
เสิ่นเหรินเจี๋ยยิ้มอย่างตื่นๆ “ไม่มีอะไรครับ คงเป็นพวกผู้ต้องหาที่รู้สึกหนาวก็เลยก่อความวุ่นวายเล่นน่ะครับ หรือไม่อย่างนั้นคุณค่อยมาสอบสวนพรุ่งนี้ไหมครับ วันนี้ทั้งหนาวทั้งมืด แล้วก็ใกล้จะปีใหม่แล้วด้วย ไม่เป็นมงคล…”
เยวี่ยติ้งถังไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงเดินให้เร็วขึ้นอีกนิด
เสิ่นเหรินเจี๋ยรีบเดินตาม เขาอยากจะตะโกนดังๆ ให้คนพวกนั้นสงบหน่อยแต่ก็ไม่กล้า
ที่มุมมืด ความหลากหลายวุ่นวายต่างๆ ในสังคมขดตัวอยู่ตรงนั้น
พวกคนที่เข้ามาเพราะลักเล็กขโมยน้อยก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนขี้โกงชอบปัดความรับผิดชอบเสมอไป บางทีอาจเพราะพวกเขายากจนข้นแค้นจนไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปก็ได้
นอกจากนั้นยังมีคนที่นั่งพิงมุมห้องขังอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไร ชั่วขณะที่เยวี่ยติ้งถังกวาดสายตาผ่าน คนเหล่านั้นก็จะส่งสายตาดุร้ายเชือดเฉือนมา คนพวกนั้นจะต้องเป็นนักโทษที่เคยฆ่าคนมาแล้วแน่นอน
ประชาชนคนธรรมดาอยู่ที่นี่เพียงคืนเดียว จิตใจก็คงจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
ส่วนหลิงซูน่ะหรือ…
ก็คงเหมือนกับพวกคนที่มองเห็นหน้าไม่ชัดเหล่านี้ หลิงซูคงจะขดตัวอยู่ลึกเข้าไปในห้องขัง กำลังอดทนต่อความหวาดกลัวในจิตใจ อดทนต่อความหิวโหย
ตอนที่เข้ามาบนตัวเขาสวมเสื้อโค้ตขนแกะ แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ไม่ว่าเสื้อขนแกะหรือขนอะไรก็ปกป้องเขาเอาไว้ไม่ได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาคงโดนซ้อมอีกหลายยกทีเดียวกว่าจะยอมรับได้ว่านี่คือความจริง
คนพวกนั้นรวมตัวกันส่งเสียงดังโหวกเหวก แปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์กำลังสั่งสอนคนใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“สูงหรือต่ำ จ่ายแล้วก็เอามือออกไป”
เสียงที่ฟังดูเกียจคร้านนี้ไม่แหลมสูงนัก แต่ก็ให้ความรู้สึกค่อนข้างโดดเด่นท่ามกลางความวุ่นวายบ้าง
“สูง!”
“สูงๆๆ!”
“ต่ำ!”
ในกลิ่นเชื้อรานั้นยังมีกลิ่นแปลกๆ อีกอย่างหนึ่งแทรกอยู่ด้วย เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ด้านนอกของห้องขังที่อยู่ในสุด ข้ามผ่านประตูเหล็กเล็กๆ นั้นเข้าไป ในที่สุดเยวี่ยติ้งถังก็เห็นหลิงซู
อีกฝ่ายนั่งพิงกำแพง มือหนึ่งถือไหดินเผาสำหรับใส่กระดูก อีกมือถือน่องไก่
เบื้องหน้าของเขามีผ้าขาดๆ ผืนหนึ่งปูเอาไว้ บนนั้นมีท่อนไม้รูปทรงบิดเบี้ยวเปื้อนฝุ่นวางอยู่ แต่ละด้านมีตัวอักษรเขียนอยู่บนนั้นว่า ‘สูง’ และ ‘ต่ำ’
สิ่งที่วางทับผ้าขาดๆ เอาไว้ทั้งสี่มุมคือจานสี่ใบ บนจานมีกับข้าวที่เป็นเนื้อและออเดิฟเย็นวางซ้อนกันอย่างไร้ระเบียบ แม้ว่าจะมีจานที่ถูกเลือกไปกินพอสมควรจนข้างๆ มีกระดูกกองอยู่ก็ตาม แต่เยวี่ยติ้งถังก็สายตาแหลมคมพอจะมองเห็นว่าที่ขอบจานมีตราประทับอยู่ มันคือเป็ดซีอิ๊วห้ารส อาหารจานเอกของร้านเหล่าเจียงซี
เถ้าแก่ร้านนี้ทุ่มเทให้กับงานอย่างมาก ทุกปีของช่วงปีใหม่ก็ไม่ปิดร้าน สิบกว่าปีมานี้เขาทำเช่นนี้มาตลอด ราคาอาหารก็เป็นมิตร คนมากมายไปเลี้ยงลูกค้าในวันปีใหม่ก็มักจะชอบไปร้านนี้กัน
มีคนล้อมรอบหลิงซูอยู่สี่ห้าคน
ข้างในห้องขังไม่มีตะเกียง ตำรวจที่มาตรวจดูก็คงไม่กล้ามองสภาพภายในนั้นให้ชัด จึงให้เพียงเทียนสองเล่มแก่พวกเขาเท่านั้น
เยวี่ยติ้งถังพบว่าเสื้อโค้ตขนแกะตัวนั้นยังคงอยู่บนตัวของหลิงซูอย่างปลอดภัย
เสื้อโค้ตนั้นแหวกตรงคอเสื้อออก ผ้าพันคอถูกวางเป็นเบาะให้เขา คนคนนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าคล้ายมีรอยยิ้มหยอกเย้าจางๆ
สภาพรอบด้านสกปรกโสโครก แต่ดูเหมือนไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับตัวเขาเลย
ไม่มีการกลั่นแกล้งรังแก
ไม่มีความรู้สึกว่าตายดีกว่ามีชีวิตอยู่
กลับกัน เขากลับเหมือนนกนางแอ่นบินเข้าป่า เหมือนปลาในบ่อว่ายสู่สระใหญ่ ดูสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์
เยวี่ยติ้งถังหันหน้าไปช้าๆ เขามองเสิ่นเหรินเจี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ
เสิ่นเหรินเจี๋ยเหงื่อออกเต็มศีรษะ
“คุณ…คุณเยวี่ย ฟังผมอธิบายก่อนนะครับ”
เยวี่ยติ้งถังสีหน้าไร้อารมณ์
เสิ่นเหรินเจี๋ยพูดอธิบายอะไรไม่ออกอยู่นาน ทั้งตะกุกตะกัก อ้ำๆ อึ้งๆ
“คือ…เรื่องนี้เป็นเพราะคนข้างล่างดูแลไม่เข้มงวด อาหารกับอุปกรณ์การพนันพวกนี้ผู้ต้องขังก็แอบเอาเข้ามาเอง! ผมจะรีบแยกพวกเขาออกมาเดี๋ยวนี้เลยครับ!”
เยวี่ยติ้งถังไม่พูดอะไรสักคำ เขาหมุนตัวเดินจากไป
เขารู้สึกว่าความหวังดีเพียงเล็กน้อยที่ทำให้รีบออกจากบ้านกะทันหันกลางดึกนี้เป็นการกระทำที่เสียเปล่า เดี๋ยวออกจากสถานีตำรวจนี่ไปเขาจะเอาความหวังดีพวกนั้นไปให้หมากินซะ
“เอ่อ คุณเยวี่ย! คุณเยวี่ย! อย่าโกรธสิครับ รอผมก่อน!”
หลิงซูบิดขี้เกียจก่อนจะลืมตาขึ้น เขารู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว
ที่นี่ไม่ได้สบายเท่าเตียงที่บ้านอยู่แล้ว เวลานอนเขาก็ได้ยินเสียงจี๊ดๆ เบาๆ เหมือนมีหนูกำลังแทะผมเขาอยู่
เสื้อโค้ตขนแกะใหม่เอี่ยมนั้นสกปรกจนดูไม่ได้ไปแล้ว โชคดีที่มันเป็นสีเทาเข้มจึงมองไม่ค่อยออกว่าสกปรก ไม่อย่างนั้นกลับไปเขาคงถูกด่าแน่นอน
เมื่อคืนตอนที่เพิ่งเข้าคุกมา เสื้อโค้ตที่เขาสวมก็เป็นที่ต้องตาต้องใจของคนอื่นๆ ทันที มันเกือบจะกลายเป็นฟูกสำหรับปูนอนของคนอื่นไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองไว เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ต่อยตีพวกอันธพาลเจ้าถิ่นจนหมอบ ต่อยตีคนอื่นๆ จนยอมแพ้ เงินบนตัวเขาไม่ถูกล้วงเอาไป แถมเขายังใช้ไหวพริบรอบด้านที่มีกับใช้ความสามารถในการทำดีกับคนอื่น เมื่อคืนถึงได้มีความสุขในเรื่องแย่ๆ บ้าง ส่วนเรื่องเขาได้กินอิ่มไหมน่ะ
หลิงซูลูบท้อง
มื้อดึกเมื่อคืนยังอยู่ เขาไม่ได้หิวมากนัก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินกับข้าวในคุกอยู่แล้ว ถ้าดูจากการคาดคะเนเวลาตอนนี้คนที่บ้านก็น่าจะได้ข่าวเขาและมาประกันตัวแล้ว บางทีเขาอาจจะกลับบ้านไปกินมื้อเย็นวันนี้ทันก็ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ข้างนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา
สองสามนาทีให้หลังประตูห้องขังก็เปิดออก ตำรวจเขตเช่าหลายคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
หลิงซูกวาดตามอง ไม่มีเสิ่นเหรินเจี๋ย แล้วก็ไม่มีตำรวจที่แอบติดต่อเขาอย่างลับๆ เมื่อคืนนี้ด้วย คนที่มาแทนเป็นคนไม่คุ้นหน้าสองสามคน
เขารู้สึกถึงความผิดปกติทันที ทว่ายังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็ยกมือขึ้น
“พาเขาไป!”
หลิงซูถูกหิ้วปีกซ้ายขวา เขาถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนอย่างรวดเร็ว มันเป็นห้องเดียวกับเมื่อวานแต่คนที่สอบสวนเขาเปลี่ยนไปแล้ว และไม่มีสมิธกับเยวี่ยติ้งถังอยู่ด้วย
“พูดมาเถอะ บอกมาตามตรง ทำไมคุณต้องฆ่าตู้อวิ้นหนิง”
อีกฝ่ายมีสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงก็เข้มเครียด
หลิงซูเลิกคิ้ว “ผมไม่เคยฆ่าใคร”
ปัง!
โต๊ะถูกตบอย่างแรงจนเกิดเสียงดังลั่นห้องสอบสวนเล็กแคบ
“ยังจะเล่นลิ้นอีก! ตอนที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่พวกคุณแอบคบหากัน แอบนัดพบกัน ตอนนี้ตู้อวิ้นหนิงตายแล้ว และคุณก็ให้หลักฐานไม่ได้ด้วยว่าตัวเองไม่อยู่ที่เกิดเหตุ แม้แต่รอยเท้าที่ชานพักหน้าต่างห้องนอนของเธอ คุณก็ยังทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความน่าสงสัยหรือแรงจูงใจในการฆ่าก็มีแต่คุณเท่านั้นแหละ!”
“ความผิดฐานฆ่าคนตายผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ หวังว่าทุกท่านจะหาหลักฐานมาคืนความบริสุทธิ์ให้ผมได้ในเร็ววันนะครับ”
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น “หลักฐานเหรอ หลักฐานที่จะคืนความบริสุทธิ์ให้คุณน่ะไม่มีหรอก แต่หลักฐานใหม่ที่พิสูจน์ว่าคุณเป็นฆาตกรน่ะ…มี”
เขาเปิดสมุดที่วางอยู่ข้างๆ แล้วก็หยิบจดหมายสองสามฉบับในนั้นออกมาโยนไปตรงหน้าหลิงซู
หลิงซูหยิบมาเปิดดู จดหมายสามฉบับล้วนเป็นจดหมายที่ตู้อวิ้นหนิงเขียนขึ้น
หลิงซูจำลายมือของเธอได้ แม้แต่การตวัดเส้นที่คำว่า ‘หนิง’ ตอนลงชื่อก็ด้วย มันดูเชิดขึ้นราวกับวาดภาพพู่กันจีน เต็มไปด้วยลักษณะนิสัยที่ตู้อวิ้นหนิงมี
ตั้งแต่สมัยที่พวกเขาเรียนหนังสือด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน ตู้อวิ้นหนิงก็ชอบใช้รูปแบบการเขียนตัวอักษรที่หลากหลายมาเขียนชื่อตัวเอง สุดท้ายก็ลงเอยที่รูปแบบนี้ ซึ่งก็เป็นแบบที่หลิงซูช่วยเธอเลือกด้วย
เนื้อหาในจดหมายมีไม่มากนัก ฉบับแรกเป็นบทกวีรักที่ตู้อวิ้นหนิงเขียน บรรยายถึงความรักที่ห่วงหา อยากพบแต่ก็ไม่ควรจะพบกัน
สมัยเรียนเธอเป็นเด็กเก่งที่ใครก็รู้จัก แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะมีเพื่อนผู้ชายโรงเรียนเดียวกันคอยตามจีบอยู่ไม่ได้ขาด แต่ความสามารถด้านวรรณคดีของเธอนั้นก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว มันมีกลิ่นอายงดงามบริสุทธิ์แบบสำนักซินเยวี่ย อยู่ด้วย
จดหมายอีกสองฉบับนั้นเนื้อหาส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน คือบรรยายความรู้สึกอันขมขื่นของตนให้หลิงซูอ่าน
หลิงซูอ่านมันอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นถ้อยคำและประโยคบางอย่างนั้นเขาก็อดเลิกคิ้วไม่ได้
“อย่างแรก ผมไม่เคยเขียนจดหมายถึงเธอ อย่างที่สอง ผมไม่เคยบอกเธอให้อดทนอีกสักหน่อย อีกไม่นานก็จะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ หรืออะไรอย่างนั้น เรื่องพวกนี้มันไม่มีมูลเลย”
“แต่พวกเราพิสูจน์ลายมือกับลายเซ็นมาแล้ว มันมาจากมือของตู้อวิ้นหนิงจริงๆ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงล่ะ”
คนที่สอบสวนจ้องเขาเขม็งเหมือนอินทรีขาวที่จับจ้องเหยื่อเอาไว้ ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีความคิดจะหนีไปได้แม้แต่ครู่เดียว
หลิงซูเอ่ย “คุณตำรวจ ในเมื่อผมถูกกล่าวหา ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าจดหมายพวกนี้มาจากไหน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พวกคุณควรจะต้องสืบให้แน่ชัดไม่ใช่เหรอครับ ตั้งแต่ตู้อวิ้นหนิงแต่งงานผมก็ไม่ได้พบกับเธออีก แต่เมื่อสองเดือนก่อนจู่ๆ เธอก็ส่งคนมาหาผม บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับผม ก็เลยนัดผมไปพบที่ร้านกาแฟ”
พนักงานสอบสวนถามต่อ “เธอพูดอะไร”
“เธอพูดว่าหยวนปิงสูบซิการ์แล้วก็ตบตีเธอ ด่าเธอ เธอกำลังแย่ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ผมก็เลยแนะนำให้เธอหย่า”
“หลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้นเธอก็ระบายให้ผมฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอกับหยวนปิงดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี แต่ที่จริงแตกต่างกันขนาดไหน ตอนแรกผมก็เห็นแก่ว่าเราเคยเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ก็เลยอยากจะรั้งๆ เธอเอาไว้หน่อย แล้วก็ออกไปพบกับเธออีกสองสามครั้ง แต่ว่าหลังจากนั้นผมก็เห็นว่าเธอไม่ได้มีความคิดจะหย่ากับหยวนปิงเลยสักนิด ผมเลยไม่ออกไปพบเธอแล้ว จนกระทั่งตอนบ่ายเมื่อสองวันก่อน เธอส่งคนมาหาผมอีก คนที่มาเอ่ยน้ำเสียงร้อนรนมาก บอกให้ผมไปพบเธอให้ได้ ผมก็เลยไป
เธอบอกผมว่าหยวนปิงไปเจอทรัพย์สินส่วนตัวส่วนหนึ่งที่เธอแอบเก็บเอาไว้ เธอเลยอยากจะส่งมันมาเก็บไว้ที่ผม หยวนปิงจะได้ไม่เอาไปซื้อซิการ์ แล้วเธอก็บอกด้วยว่าสกุลหยวนน่ะไม่ได้ดูรุ่งเรืองอย่างที่เห็นแล้ว ทรัพย์สมบัติที่หยวนปิ่งเต้าทิ้งเอาไว้ถูกหยวนปิงผลาญเละเทะไปจนหมด เหลือแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น
แถมเธอยังบอกด้วยว่าเสียใจมากที่ตอนนั้นเธอไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธการแต่งงานกับสกุลหยวน เธออยากจะกลับมาคบกับผมอีกครั้ง ก็ตามที่เคยบอกไปครั้งก่อนว่าอยากจะหนีไปกับผมนั่นแหละ แน่นอน ผมปฏิเสธเรื่องนี้ไป”
พนักงานสอบสวนเอ่ยถาม “แล้วทรัพย์สินที่ว่าล่ะ”
“ไม่รู้ ยังไงผมก็ไม่มีทางตกลงอยู่แล้ว แค่แนะนำให้เธอไปฝากธนาคารเอาไว้เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ไปฝากกับคนอื่นซะ”
“ทำไมคุณไม่ช่วยเธอล่ะ ความสัมพันธ์ของพวกคุณเมื่อก่อนไม่มีค่าพอให้คุณเหลือเยื่อใยต่อเธอหรือไง”
หลิงซูเลิกคิ้ว “ตอนนั้นที่เรียนที่เดียวกันผมเคยเป็นเพื่อนกับเธอจริงๆ ตอนนั้นบ้านเธอก็เห็นดีเห็นงามกับพวกเรา แต่หลังจากนั้นสกุลหลิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลง บ้านผมล้มละลาย สกุลตู้ก็เลยรีบจับคู่คุณชายหยวนให้เธอทันที ตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่ได้คัดค้านแม้แต่นิดเดียว จากนั้นมาความผูกพันเก่าๆ ของเราก็เหลือแค่ความเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมาเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเธอมาหาผมก่อน ผมก็คงไม่ได้ติดต่ออะไรกับเธออีกเลยนั่นแหละ”
พนักงานสอบสวนพูดอีกว่า “ถ้าพูดอย่างนี้ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะฆ่าเพราะเห็นแก่ทรัพย์สิน แกล้งทำเป็นตกปากรับคำเธอ ต่อมาพวกคุณก็ขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่างแล้วคุณก็ฆ่าเธอ จากนั้นก็รีบหนีไป”
หลิงซูโมโหจนหัวเราะออกมา
“ทั้งหมดนี่เป็นการคาดเดาของพวกคุณทั้งนั้น ทรัพย์สินกองนั้นที่เธอพูดถึงผมก็ไม่เคยเห็นเลยสักนิด แล้วไอ้เรื่องฆ่าเพราะเห็นแก่ทรัพย์สินอะไรนี่มันมาจากไหนอีกล่ะ อีกอย่างถ้าผมฆ่าเธอแล้วกระโดดออกหน้าต่างหนีไปจริงๆ ล่ะก็ จะเหลือรอยเท้าที่ชัดเจนขนาดนั้นเอาไว้ได้ยังไง”
พนักงานสอบสวนพยักหน้า “นั่นก็พูดได้ว่าการที่คุณฆ่าเธอเป็นความคิดชั่ววูบล้วนๆ เมื่อฆ่าเธอแล้วก็รู้สึกสับสน ชั่วขณะนั้นคงไม่ได้คิดอะไรมากมายนักหรอก”
หลิงซูจึงกล่าว “แล้วจะอธิบายเรื่องการตายของเถ้าแก่ร้านบะหมี่นั่นยังไง ฆาตกรต้องการใส่ร้ายผมก็เลยทำลายหลักฐานที่ว่าผมไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ถ้าลองคิดกลับกันดูมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้พอดีไม่ใช่หรือว่าผมไม่ใช่ฆาตกรน่ะ”
“ที่ร้านบะหมี่ไฟไหม้เป็นความบังเอิญล้วนๆ ใช้อธิบายอะไรไม่ได้หรอก”
หลิงซูเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ผมอยากพบคนในครอบครัวกับทนายของผม ผมต้องการยื่นขอประกันตัว”
พนักงานสอบสวนเอนพิงพนักเก้าอี้ เขามีท่าทีแข็งกร้าวที่มุ่งมั่นจะเอาชนะ
“ครอบครัวงั้นเหรอ นั่นสินะ หลังจากคุณเข้ามาที่นี่ก็คงมีข่าวหลุดออกไปบ้างแล้ว โจวซ่า ซึ่งก็คือพี่เขยของคุณถูกสงสัยว่าทำการฉ้อโกงโดยรับสินบน เพิ่งถูกนำตัวไปจากบ้านเมื่อคืนนี้ ตอนนี้พี่สาวของคุณกำลังหัวหมุนเชียว คงไม่มาสนใจคุณหรอก”
หลิงซูใจสั่นไหว
“แล้วเยวี่ยติ้งถังล่ะ ให้เขาออกมาสิ ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา”
“คุณคงไม่ได้รับโอกาสนั้นแล้วล่ะ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า เขายืนขึ้นแล้วก็เรียกตำรวจที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเข้ามา
“เขาไม่ยอมรับผิด เปลี่ยนที่ให้เขาซะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 25 ม.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.