Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
และการฆาตกรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
“คุณเห็นอะไร”
อาหลันตอบไม่ได้ เธอได้แต่พยายามส่งเสียงอือๆ อู้อี้ไม่ชัดเจนอย่างไร้ซึ่งประโยชน์ แต่สีหน้าของเธอมีความตื่นตระหนกหวาดผวาอย่างที่สุดปรากฏอย่างชัดเจน สิ่งที่ไม่อาจใช้คำพูดถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมดล้วนเขียนอยู่บนหน้าของเธอแล้ว ร่างของเธอก็สั่นไม่หยุดราวกับตะแกรงร่อนแป้ง
เธอกำชายเสื้อเอาไว้แน่น พยายามล้วงเปะปะเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ แต่เพราะประหม่าจนเกินไปจึงหยิบเอากุญแจและของยิบย่อยติดออกมาด้วย ทุกอย่างร่วงกราวลงมาจากบนบันได กระจายเต็มพื้น
เธอทำภาษามือวุ่นวายเหมือนพยายามจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แต่มีเพียงพ่อบ้านอาวุโสเท่านั้นที่ดูรู้เรื่อง
“เธอพูดเหลวไหลอะไร!” พ่อบ้านอาวุโสสีหน้าเปลี่ยน
“เกิดอะไรขึ้น” เยวี่ยติ้งถังถาม
พ่อบ้านอ้ำๆ อึ้งๆ “เธอ…เธอเสียสติไปแล้ว คุณไม่ต้องสนใจหรอกครับ…”
เยวี่ยติ้งถังหน้าเครียด “พูดมา!”
พ่อบ้านจนใจ “เธอบอกว่าเมื่อกี้เธอเห็นคุณนาย แต่จะเป็นไปได้ยังไง! คุณนายเสียไปแล้ว แล้วนี่ก็กลางวันแสกๆ!”
ถึงปากจะบอกอย่างนั้น แต่เขาก็ยังอดเผยสีหน้าหวาดกลัวไม่ได้
ตำรวจเขตเช่าลังเลเล็กน้อย ส่วนหลิงซูก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดกลับไปที่ห้องนั้น
แน่นอนว่าในห้องไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว
เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ปิดหน้าต่างให้ดีจึงถูกลมแรงพัดจนเปิดออกมาอีกครั้ง ม่านที่เตียงขยับไหวน้อยๆ ลอยพลิ้วงดงามอ่อนหวาน นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อกี้คนรับใช้สาวตาฝาด
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ คุณดูผิดไปน่ะ” หลิงซูว่า
ทว่าอาหลันก็ยังหลบอยู่ด้านหลังพ่อบ้าน ให้ตายอย่างไรก็ไม่กล้าเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง
“ของคุณใช่ไหม” เยวี่ยติ้งถังเดินมาหา เขาส่งของในมือให้เธอ
กุญแจ ผ้าเช็ดหน้า ลิปสติก
อาหลันรีบรับมา แต่เธอจับไม่แน่นลิปสติกจึงตกลงบนพื้นอีกครั้ง มันกลิ้งหลุนๆ เข้าไปใต้เตียง
หลิงซูก้มลงช่วยเก็บให้เธอ
ตอนที่ยืนขึ้นอีกครั้ง ในมือของเขานอกจากลิปสติกแท่งนั้นแล้วยังมีเศษอะไรบางอย่างสีดำๆ อยู่ด้วย
มันไม่ใช่สีดำสนิท แต่ในนั้นมีเศษสีเทาออกเหลืองแทรกอยู่ ดูเหมือนขี้เถ้า แต่ก็ไม่ใช่
เยวี่ยติ้งถังเอ่ย “กงปันถู่ หรือ”
หลิงซูมองพ่อบ้านกับอาหลัน “คุณนายของพวกคุณตอนมีชีวิตอยู่เธอสูบฝิ่นด้วยเหรอ”
พ่อบ้านถูกถามกะทันหันจึงนิ่งงันไป อาหลันกลับดูลนลานเล็กน้อย เธอรีบทำมือทำไม้บอก
“อาหลันบอกว่าเมื่อก่อนคุณนายเกลียดมากที่นายท่านสูบฝิ่น แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน วันหนึ่งจู่ๆ คุณนายก็บอกให้เธอไปซื้อยาสูบมาให้คุณนายลองหน่อย อาหลันขัดคุณนายไม่ได้จึงได้แต่ไปซื้อมา เธอเห็นว่าคุณนายไม่ได้สูบบ่อยนัก สูบแค่นิดหน่อยเวลาอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น เธอก็เลยไม่กล้าบอกใคร”
ฝิ่นก็แบ่งเป็นประเภทที่ดีและเลว ซึ่งกงปันถู่เป็นยาสูบเกรดดี
สมัยนี้คนทั่วไปล้วนมีความรู้ ทุกคนแค่ได้ยินว่าเป็นฝิ่นก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว แต่สภาพสังคมนั้นสับสนยุ่งเหยิง กฎหมายข้อห้ามต่างๆ ก็ไม่มีผล กลายเป็นกระดาษเปล่าไร้ค่า
พวกกระเป๋าสตางค์บางกลายเป็นคนติดยา เลิกงานก็หมกตัวอยู่กับยาสูบ ส่วนพวกคนมีเงินก็อมเมฆพ่นหมอกกันอยู่ที่บ้าน
หลิงซูถามต่อ “ก่อนหน้านี้ไม่นานคือเมื่อไหร่”
พ่อบ้านตอบว่า “อาหลันบอกว่าประมาณหนึ่งเดือนก่อนครับ”
หนึ่งเดือน ยังถือว่าไม่ติด ก็คงไม่ได้สูบบ่อยๆ จริง แต่ก็ถือว่าเธอได้ก้าวลงไปในสระลึกแห่งยาเสพติดนี้แล้ว
แค่ดูจากพฤติกรรมของหยวนปิงตอนนี้ก็รู้แล้วว่ายาสูบทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นสัตว์ป่าไปได้อย่างไร
ใครจะคิดว่าคนที่ร้องเพลงเก่งเต้นเก่งเป็นที่อิจฉาชื่นชอบของนักเรียนหลายคนในโรงเรียนอย่างตู้อวิ้นหนิงจะตกต่ำจนมีจุดจบเช่นนี้
เสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานของวัยรุ่นเหล่านั้นราวกับเป็นเรื่องเมื่อชาติก่อนไปแล้ว
หลิงซูเอ่ยถาม “ลิปสติกนี้ของคุณหรือ”
อาหลันทำภาษามือ
พ่อบ้านว่า “เธอบอกว่าเป็นลิปสติกที่คุณนายไม่ใช้แล้ว จึงยกให้เธอตอนที่คุณนายยังมีชีวิตอยู่ครับ”
อาหลันพยักหน้า เธอชี้ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง
หลิงซูเดินไปดึงลิ้นชักออก ข้างในมีลิปสติกแบบต่างๆ วางเรียงอยู่ครึ่งค่อนกล่อง มีทั้งยี่ห้อต่างประเทศที่นำเข้ามา และยังมีรุ่นใหม่ซึ่งเป็นของที่ผลิตในประเทศด้วย
พวกคุณนายรวยๆ ยุคนี้ชอบตามแฟชั่นแบรนด์เนม หลังจากตลาดจีนเปิดกว้างให้สินค้าจากตะวันตกเข้ามา แบรนด์เนมเสื้อผ้าและเครื่องสำอางอย่างชาแนลหรือหลุยส์ วิตตองก็มีให้เห็นจนชินตา พวกคุณนายด้วยกันเองยังมีการเปรียบเทียบกันด้วย ที่จริงลิปสติกครึ่งกล่องของตู้อวิ้นหนิงก็ไม่นับว่าฟุ่มเฟือยนัก แต่หากเทียบกับสถานการณ์ขาลงของสกุลหยวนตอนนี้ก็ต้องเรียกว่าดูประชดประชันอยู่บ้าง
พ่อบ้านเอ่ย “คุณนายใช้เงินมือเติบ บางครั้งออกไปข้างนอกกลับมาก็จะเอาขนมมาฝากพวกเราด้วย มีครั้งหนึ่ง อาเฟิ่งที่เป็นคนรับใช้เก่าแก่ในสกุลหยวนมาหลายสิบปีจะลากลับบ้านเกิด นอกจากคุณนายจะให้เงินเท่ากับค่าแรงหลายเดือนแล้ว ยังซื้อชุดใหม่ให้อาเฟิ่งอีกหลายชุดด้วย”
จากนั้นเขากับเยวี่ยติ้งถังก็ไปตึกเล็กด้านหลังอีกครั้งแล้วสอบถามคนที่บ้านสกุลหยวนทีละคน แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลยสักนิด
หลังจากสกุลหยวนตกต่ำลง บางครั้งค่าแรงที่หยวนปิงให้พวกเขานั้นก็ได้ช้า นอกจากคนแก่ๆ อย่างพ่อบ้านแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องรู้สึกไม่มั่นคงเป็นธรรมดา แต่ละคนก็แอบไปรับงานข้างนอกกันบ้าง รอเพียงขอนไม้ท่อนสุดท้ายจมลงเท่านั้นพวกเขาก็คงจะแยกย้ายกันไป
หากพูดถึงเรื่องปันใจไปหาคนอื่น การจะติดต่อคนนอกเพื่อมาฆ่าเถ้าแก่เนี้ยของบ้านนั้นคงเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีความกล้าหาญพอที่จะทำ
หลายวันมานี้พวกเขาหวาดระแวงไปหมดทุกสิ่ง คนสกุลหยวนถูกห้ามออกไปข้างนอก ทุกคนล้วนแต่ตื่นตระหนกตกใจกันมาก คนของตำรวจเขตเช่าก็มาถามพวกเขาซ้ำๆ สิ่งที่ควรจะถามก็ถามออกมาแทบหมดสิ้นแล้ว
หลิงซูพูดขึ้นว่า “ทางหยวนปิงว่ายังไงบ้าง”
เยวี่ยติ้งถังรู้ว่าเขาจะถามอะไรจึงส่ายหน้า “สิ่งที่ควรถามพวกเราก็ถามไปหมดแล้ว เขาแยกห้องกับตู้อวิ้นหนิงนานแล้ว ปกติถึงสองคนนี้จะอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแต่ตลอดทั้งวันเจอหน้ากันไม่กี่ครั้งหรอก วันที่เกิดเรื่องหยวนปิงไปหาโสเภณีที่จินเฝิ่นโหลว ตกดึกเขาก็ค้างคืนที่นั่น ไม่ได้กลับมาบ้านเลย มีพยานยืนยันชัดเจน แล้วตอนที่เราสอบสวนเขา อาการติดยาก็กำเริบ ถามไม่ได้ใจความอะไรสักเท่าไหร่”
คนติดยาเสพติดจะไม่รู้จักใคร น้ำมูกน้ำลายไหล แยกไม่ออกว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู แค่จะสื่อสารกับใครให้รู้เรื่องยังยากเลย
หลิงซูว่า “หยวนปิงเคยได้ยินบ้างไหมว่าปกติตู้อวิ้นหนิงสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“เคย”
“ใคร”
“นาย”
หลิงซู “…”
เยวี่ยติ้งถังเอ่ยต่อ “สะใภ้ขุนศึกใหญ่ตายปริศนา ลูกชายสงสัยว่าชู้ของภรรยาจะเป็นฆาตกร ไม่ต้องคิดฉันก็รู้ว่าหนังสือพิมพ์พวกนั้นจะเขียนอะไร เรื่องนี้ต้องเป็นข่าวที่ดังระเบิดแน่ หรือแม้กระทั่งว่าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับอาจจะดึงดูดความสนใจด้วยการไม่ต้องใส่คำว่า ‘สงสัย’ ลงไปด้วยซ้ำ”
หลิงซูพูดงึมงำ “เพื่อชีวิตน้อยๆ อันมีค่าของฉัน ฉันอยากไขคดีนี้ให้ได้โดยเร็วยิ่งกว่าใครทั้งนั้น”
เยวี่ยติ้งถังตบบ่าหลิงซู “ภาระหนักหนา หนทางยาวไกล”
“แล้วญาติของหยวนปิงล่ะ ฉันจำได้ว่าสกุลหยวนเป็นสกุลใหญ่ หลังจากหยวนปิ่งเต้าตายไป ถึงจะทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้หยวนปิง แต่หยวนปิงก็ยังมีอาอีกหลายคนนี่ ตอนนั้นยังฟ้องร้องกันยกใหญ่เลย คนพวกนี้ก็น่าจะมีแรงบันดาลใจในการฆ่าคนเหมือนกันนะ”
“หยวนปิ่งเต้ามีน้องสาวสามคน น้องสาวคนโตแต่งงานไปอยู่ที่อเมริกา น้องสาวคนรองอยู่ฮ่องกง ส่วนคนสุดท้องที่ฟ้องร้องกับหยวนปิงตอนนั้นป่วยตายไปเมื่อปีที่แล้ว เธอไม่มีลูกสาวหรือลูกชาย ไม่น่าสงสัยอะไร”
ระหว่างพูดคุยกันทั้งคู่ก็เดินลงมาข้างล่าง ออกไปนอกอาคารและเตรียมจะขึ้นรถ
เยวี่ยติ้งถังเงยหน้า เขาหันกลับไปมองระเบียงชั้นสอง
นั่นคือห้องของตู้อวิ้นหนิงที่พวกเขาเพิ่งไปเยือน
หน้าประตูมีคนและรถหนาแน่น ผู้คนต่างเดินไปเดินมา กี่วันกี่คืนกันที่ตู้อวิ้นหนิงมองโลกอันสับสนวุ่นวายจากตรงนี้
ดวงวิญญาณของเธอถูกกักขังอยู่ในกรงอันงดงามหรูหราแห่งนี้ตั้งนานแล้ว
เธอกระหายที่จะออกไปสู่โลกภายนอก แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะหนี เธออิจฉาและปรารถนาในปีกแห่งอิสระ แต่ก็อาวรณ์ไม่อยากจากความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางความหรูหราฟุ้งเฟ้อจนเคยชิน จุดจบของเธอคงจะถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่วันที่เธอยอมแต่งงานเข้าสกุลหยวนตามคำสั่งพ่อแม่แล้ว
ทว่าชั่วขณะที่เงยหน้าขึ้น เพียงชั่วพริบตานั้น สีหน้าของเยวี่ยติ้งถังก็เปลี่ยนไป!
หลิงซูกำลังจะบอกเยวี่ยติ้งถังว่าเขาอยากกลับไปนอน แต่จู่ๆ ก็มีแรงมหาศาลจากเยวี่ยติ้งถังพุ่งเข้ามาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว เขาถูกอีกฝ่ายโถมตัวเข้าใส่จนล้มลงกับพื้นอย่างจัง
เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้อะไรกลับไป สองบ่ากระแทกพื้น ทั้งร่างล้มลงจนมึนงง
“ไอ้เวร-”
พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงดังโครมใหญ่!
ที่ที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่กลับมีกระถางดอกไม้เพิ่มขึ้นมากระถางหนึ่ง กระถางใบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ดินกับกิ่งก้านกระจายเต็มพื้น ต้นไม้นั้นทนแรงกระแทกไม่ไหวจึงหักออกเป็นชิ้นๆ
ดอกกุหลาบงดงามเมื่อไม่มีดินคอยปกป้องก็ต้องตายคาที่ ไม่ได้ตายอย่างสงบ
“คุณเยวี่ย! พวกคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!”
ตำรวจเขตเช่าหน้าตาตื่นตระหนกตกใจ
หากเมื่อกี้เยวี่ยติ้งถังไม่ได้เกิดความคิดแปลกๆ เงยหน้าหันกลับไปมอง หากเขามีปฏิกิริยาตอบสนองช้าไปครึ่งวินาที ตอนที่กระถางดอกไม้นั้นหล่นลงมาแตกก็คงไม่ต้องจินตนาการผลที่ตามมา
“ไม่เป็นไร”
เยวี่ยติ้งถังปัดฝุ่นบนเสื้อโค้ต เขายืนขึ้นอย่างสง่างาม
หลิงซูจับบ่าตัวเองพร้อมทำหน้าเบ้ เขาพยายามกดคำด่าที่มีอยู่เต็มไปหมดกลับลงไป คงไม่ต้องบอกว่ารู้สึกแย่แค่ไหน
มีมือหนึ่งยื่นมา เยวี่ยติ้งถังเลิกคิ้วให้เขา
หลิงซูดึงมือนั้นแรงๆ โดยไม่เกรงใจ เขาอาศัยแรงนั้นลุกขึ้นยืน
“บุญคุณที่ช่วยชีวิต ต้องตอบแทนเป็นทวีคูณ” เยวี่ยติ้งถังตบบ่าเขา เกือบทำให้หลิงซูล้มหน้าคว่ำลงไปแล้ว
“ผมจะขึ้นไปดูหน่อย!”
ไม่ต้องรอให้เยวี่ยติ้งถังสั่ง ตำรวจเขตเช่าก็วิ่งกลับไปที่บ้านสกุลหยวน
เยวี่ยติ้งถังพูดขึ้น “เมื่อกี้ไม่มีลม”
หลิงซูเอ่ยต่อ “ในห้องก็ไม่มีคน”
ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งไปดูมาทั่วทั้งข้างนอกข้างในห้อง เมื่อรวมพ่อบ้าน อาหลัน และตำรวจเขตเช่าแล้วก็เป็นห้าคนสิบตา พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่เห็น เว้นเสียแต่ว่าคนตัวเป็นๆ จะหายตัวได้เท่านั้น
เห็นผีเสียงั้นเหรอ
ไม่นานตำรวจเขตเช่าก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“ในห้องไม่มีคน! ตึกใหญ่ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว!”
ก็ต้องไม่มีอยู่แล้ว ตอนที่พวกเขาออกมายังล็อกประตูแล้วด้วยซ้ำ กุญแจก็อยู่ในมือของตำรวจเขตเช่า จะมีคนได้อย่างไร
แต่กลางวันแสกๆ ไม่มีลมไม่มีฝน กระถางต้นไม้ที่วางอยู่บนระเบียงดีๆ จู่ๆ จะหล่นลงมาแตกได้ยังไงกัน
ตำรวจเองก็รู้สึกถึงความผิดปกตินี้ เขาเก็บซ่อนความหวาดกลัวบนสีหน้านั้นเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งก่อนหน้านี้อาหลันเพิ่งจะบอกว่าเห็นเงาของคุณนาย ก็คงอดที่จะเชื่อมโยงอย่างฟุ้งซ่านไม่ได้
“เอากุญแจมาให้ผมแล้วกัน เดี๋ยวกลับไปแล้วผมจะไปพูดกับหัวหน้าของพวกคุณเอง” เยวี่ยติ้งถังยื่นมือออกมา
ตำรวจเขตเช่าส่งกุญแจให้เขาอย่างไม่ลังเล พอคิดว่าคืนนี้ตนเองยังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่อีกก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมานิดๆ
เกือบตลอดทั้งบ่ายพวกเขาอยู่ที่บ้านสกุลหยวนอย่างไม่รู้ตัว
แสงสนธยาสาดสีแดง วาดภาพอันงดงามที่ขอบฟ้าดั่งกวีสำนักซินเยวี่ยกล่าวขานกันว่าเป็นทิวทัศน์กวางหลิงหยางแขวนเขา
แต่เยวี่ยติ้งถังกับหลิงซูกลับรู้สึกว่าตนเหมือนเป็นแมลงวันที่ถูกต้อนเข้าตาข่าย ได้แต่พุ่งชนไปมั่วๆ ไร้ทิศทาง ส่วนคนที่ถือตาข่ายนี้อยู่กลับเป็นคนที่พวกเขามองไม่เห็น
และอีกฝ่ายอาจจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าตู้อวิ้นหนิงก็ได้
เรื่องที่ร้านบะหมี่ตำรับสกุลเซียวเกิดไฟไหม้ก็อาจจะไม่ใช่เหตุบังเอิญ
เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้แล้ว หลิงซูก็จะกลายเป็นคนที่ถูกตราหน้าจากคนมากมาย
และเมื่อความเห็นของสาธารณชนถูกบ่มเพาะไปในทิศทางเดียวกัน…
“ฉบับพิเศษ! ฉบับพิเศษ! สาวสวยคนดังของเซี่ยงไฮ้ตู้อวิ้นหนิงตายอย่างมีเงื่อนงำ!”
“ฉบับพิเศษ ฉบับพิเศษ! สาวคนดังตู้อวิ้นหนิงถูกฆ่า ฆาตกรตัวจริงเป็นใครกันแน่!”
“ขายหนังสือพิมพ์ ขายหนังสือพิมพ์! พิมพ์เพิ่มเป็นพิเศษสดๆ ร้อนๆ เมื่อสองชั่วโมงก่อน เนื้อหาสะท้านสะเทือน มีจำนวนจำกัด มาก่อนได้ก่อน!”
เด็กขายหนังสือพิมพ์ตะโกนขายของตลอดทางพลางวิ่งผ่านข้างกายพวกเขาไป
เยวี่ยติ้งถังมือไวตาไว เขาดึงเด็กขายหนังสือพิมพ์เอาไว้คนหนึ่ง
“เท่าไหร่ ฉันเอาสองฉบับ!”
“ได้ครับ!”
เด็กขายหนังสือพิมพ์ยิ้มแย้มแจ่มใส เขาดึงหนังสือพิมพ์สองฉบับออกมาจากปึกที่เหลืออยู่ไม่มากตรงข้อพับแล้วก็ยัดใส่มือเยวี่ยติ้งถัง
“หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ขายดีไหม” เยวี่ยติ้งถังยื่นเงินให้พร้อมถามไปด้วย
“ขายดีมากเลยครับ ดูสิ แป๊บเดียวเหลือแค่นี้แล้ว ถ้าคุณสองคนมาช้ากว่านี้หน่อยก็หมดแล้วครับ!”
หาดเซี่ยงไฮ้มีหนังสือพิมพ์หัวเล็กๆ อยู่ไม่น้อย ไม่ได้มีชื่อเสียงเหมือนเซินเป้าหรือต้ากงเป้า หนังสือพิมพ์หัวเล็กๆ เหล่านี้มักจะต้องหาเส้นทางใหม่ อาศัยข่าวลือเกินจริงที่ถูกสร้างขึ้นมาตามท้องถนนกับเรื่องราวลึกลับต่างๆ ในการกอบโกยยอดขาย
อย่างหนังสือพิมพ์หวงผู่ซินเป้าที่เขาเห็นอยู่นี้ เยวี่ยติ้งถังก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือพาดหัวข่าวตัวโต…
‘สาวสวยคนดังของเซี่ยงไฮ้ตู้อวิ้นหนิงตายอย่างมีเงื่อนงำ!’
ด้านล่างยังมีพาดหัวรองอีกสองบรรทัด…
‘จากสาวมากความสามารถของสาธารณรัฐสู่คุณนายตระกูลดัง เหตุใดสาวคนดังจึงเสียชีวิต
จากคนที่เติบโตมาด้วยกัน สู่ลูกชายขุนศึกใหญ่ เธอผู้เป็นที่หลงใหลของคนมากมายในแวดวงสังคม สุดท้ายคนที่เล่นกับไฟก็ต้องตายเพราะไฟหรือ’
ทุกถ้อยคำกระตุ้นความสนใจอย่างเต็มที่ เพียงแวบเดียวก็ดึงดูดสายตาได้ทันที
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 03 ก.พ. 65
Comments
comments
No tags for this post.