ตอนที่ 5
ขณะที่ไอโม่ซินกำลังวางแผนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าเขาก็มีเงาร่างสีขาวร่างหนึ่งลอยออกมา เขารีบถอยหลังสามสี่ก้าว ซุนไห่หมิงที่ตัวติดอยู่ด้านหลังก็ดึงแขนเสื้อเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ไอโม่ซินจนปัญญากับเพื่อนร่วมห้องคนนี้ ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้าก็จัดการได้ยากยิ่งกว่า จึงได้แต่หันไปถลึงตามองเจียงเฉิงฟาง
“เอ๊ะ นั่น นักเรียนต้องเข้าเรียนแล้วสินะ มันสำคัญมากเลยนี่นา” เจียงเฉิงฟางรีบตามน้ำอย่างรวดเร็ว เขาพูดประโยคนั้นออกมาด้วยรอยยิ้ม และเมื่อลองคิดๆ ดูแล้วก็พูดเสริมอีกครั้ง “ก็เหมือนหอตำรากับสำนักศึกษานั่นแหละ ถ้าขาดเรียนไปต้องโดนทำโทษแน่ๆ”
เจียงหลีบรรพบุรุษสกุลเจียงยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายกำลังใคร่ครวญอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ปีนี้ยังมีสอบซิ่วไฉ อยู่อีกหรือ”
“เอ่อ ไม่ใช่ครับ แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย สรุปก็คือการเรียนสำคัญมาก” เจียงเฉิงฟางปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วพยายามอธิบายให้เจียงหลีฟัง ถึงจะรู้สึกว่าเจ้าตัวน่าจะเข้าใจแต่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจก็เถอะ
“อ่อ” เจียงหลีส่งเสียงตอบรับแล้วหันไปมองไอโม่ซิน จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จะไม่ทักทายกันสักคำเชียวหรือ”
เจียงเฉิงฟางมีชีวิตอยู่มาสี่สิบกว่าปียังไม่เคยได้ยินบรรพบุรุษของตัวเองใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนี้มาก่อนเลย ทันใดนั้นความรู้สึกแปลกๆ ก็แล่นไปทั่วร่าง
ไอโม่ซินจนปัญญากับเจียงหลีเลยต้องฝืนฉีกยิ้มแห้ง “…สบายดีนะครับ?”
“ข้าสบายดี” เจียงหลีตอบกลับ ไอโม่ซินมองเขาแวบหนึ่งก็รีบก้มหน้าลง เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้างดงามที่แย้มยิ้มมาให้ตัวเอง เขาก็รู้สึกหวาดหวั่นจนต้องรีบหลบคล้ายคนทำความผิด
ไอโม่ซินไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจียงหลีต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่ที่เขารับการไหว้วานจากหลิวโหย่วชิ่งเมื่อสองปีก่อนและได้พบกับบรรพบุรุษท่านนี้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงถูกตามตอแยไม่เลิก หลังผ่านพ้นนัดกินข้าวที่ได้พบกับมังกรตนนี้ไป เขาก็ไม่ได้เจออีกฝ่ายเกือบสองปี จนเมื่อก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนตอนที่เขาได้พบกับเจียงเฉิงฟาง เจียงหลีก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับสุภาพอ่อนโยนไร้ซึ่งความพยาบาทมาดร้ายจนทำให้เขาไม่อาจหลบหน้า แต่จะไม่หลีกหนีเลยก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
ไอโม่ซินคิดว่าตามหลักแล้วปีศาจเฒ่าอย่างเจียงหลีคงไม่มีทางสนใจชายหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่อย่างเขาแน่นอน ถ้าปีศาจตนนี้เป็นเฒ่าหัวงูจริงๆ ก็น่าจะให้สกุลเจียงสังเวยเด็กหนุ่มให้ทุกปี แต่เรื่องที่สวนทางกับความดีงามแบบนี้สกุลเจียงไม่มีทางทำแน่นอน หรือต่อให้ทำจริงๆ นั่นก็เท่ากับพวกเขาจะไม่มีทางสั่งสมบุญบารมีให้ปีศาจเฒ่าตนนี้มีโอกาสบรรลุได้
สรุปแล้วปีศาจเฒ่าตนนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ไอโม่ซินคิดยังไงก็คิดไม่ตก เขาเลยได้แต่ถลึงตามองเจียงเฉิงฟางเพื่อเป็นการระบายอารมณ์
ถึงจะรู้ดีว่าเจียงเฉิงฟางไม่เหมือนเขา เพราะเขาสามารถควบคุมเหล่าบรรพบุรุษของตัวเองได้ แต่เจียงเฉิงฟางไม่สามารถทำเช่นนั้น
เพราะถึงแม้สกุลเจียงจะนับเอาเจียงหลีเป็นบรรพบุรุษ แต่ความจริงแล้วเจียงหลีเป็นเพียงผู้พิทักษ์ของสกุลเจียงซึ่งไม่ได้ถูกพวกเขาควบคุมไว้ ดังนั้นต่อให้เขาถลึงตามองเจียงเฉิงฟางให้ตายยังไงอีกฝ่ายก็คงทำอะไรเจียงหลีไม่ได้อยู่ดี
“งั้น…ผมไปเรียนแล้วนะครับ” ไอโม่ซินก้มหน้าตอบแล้วรีบพาซุนไห่หมิงที่ยังดึงเสื้อเขาเอาไว้ไม่ปล่อย รวมไปถึงอาจารย์ที่กำลังมองเขากับเจียงเฉิงฟางพูดคุยอะไรกันไม่รู้เรื่องด้วยสีหน้าสงสัยเดินจากไป โชคดีที่เจียงหลีไม่ได้ตามมา
หลังจากไอโม่ซินกลับมาถึงห้องเรียนถึงค่อยรู้สึกโล่งอกในที่สุด เขาเมินสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเพื่อนร่วมห้องแล้วกลับไปนั่งประจำที่ตัวเอง แต่ดูท่าซุนไห่หมิงจะไม่ยอมอยู่ห่างจากเขา เจ้าตัวเลยไปนั่งลงตรงที่นั่งว่างๆ ด้านหลังไอโม่ซิน
หลังจากอาจารย์ที่ปรึกษาได้ฟังอาจารย์สาวคนนั้นพูดจบ ก็สั่งการบ้านเอาไว้จำนวนหนึ่งจากนั้นก็ถูกเรียกไปประชุม ก่อนไปอาจารย์ยังให้หัวหน้าห้องคอยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในห้องด้วย
กระทั่งอาจารย์เดินจากไป ทุกคนก็พากันพูดคุยถกเถียงขึ้นมาทันที มีเพื่อนร่วมห้องหลายคนเห็นเหตุการณ์กระโดดตึก พวกเขาล้วนหวาดกลัวแต่ก็ถูกเพื่อนๆ ซักถามไม่หยุด ดังนั้นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงซุนไห่หมิงที่อยู่ใกล้เหตุการณ์มากที่สุดเลย
“เฮ้ย รุ่นพี่คนนั้นตกลงมาตรงหน้านายจริงๆ เหรอ” เพื่อนคนหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทสนมกับซุนไห่หมิงวิ่งเข้ามาถามเขาด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ต้องถามแล้ว! นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ!” พอถูกถามซุนไห่หมิงก็คิดถึงดวงตาที่น่าหวาดกลัวคู่นั้นจนใบหน้ายิ่งบิดเบี้ยวไม่น่าดูมากกว่าเดิมและต้องด่ากลับไปด้วยความโกรธ
เพื่อนที่ถูกเขาตะคอกใส่ตกใจสะดุ้งโหยงและมีสีหน้าไม่น่ามองเช่นกัน แต่สีหน้าของซุนไห่หมิงน่ากลัวเกินไป อีกฝ่ายเลยได้แต่กล่าวขอโทษ “ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ นายก็…อย่าคิดมากเลยนะ”
แม้แต่เพื่อนที่เห็นเหตุการณ์จากที่ไกลๆ ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวมาถึงตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงซุนไห่หมิงที่เห็นเหตุการณ์ในระยะประชิดเลย ในห้องเงียบลงไปทันที ดูเหมือนเสียงตะโกนของซุนไห่หมิงจะทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่าชีวิตที่เพิ่งดับสูญไปอยู่ใกล้ตัวพวกเขามากแค่ไหน มันไม่ใช่การฆ่าตัวตายที่พวกเขาเห็นตามข่าวแล้วจะเอามาซุบซิบนินทาได้
หัวหน้าห้องรีบลุกขึ้นพูด “ทุกคนเลิกพูดกันเถอะ ถ้าจะพูดก็พูดเรื่องรายงานดีกว่า”
เพื่อนที่เพิ่งถูกตะคอกใส่เมื่อกี้ยื่นมือออกไปตบไหล่ซุนไห่หมิงแล้วกลับไปนั่งที่ ก่อนเดินจากไปเขายังไม่ลืมหันไปมองไอโม่ซินแวบหนึ่งจนได้เห็นว่าอีกฝ่ายหยิบบทเรียนขึ้นมาอ่านด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วสีหน้าของเพื่อนคนนั้นก็แปลกไป
ทั้งๆ ที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายก็เป็นพยานที่อยู่ใกล้กับเหตุการณ์ที่รุ่นพี่คนนั้นตกลงมาเหมือนกัน แต่ซุนไห่หมิงดูตกใจแทบตาย ในขณะที่ไอโม่ซินกลับดูเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด
นักเรียนคนอื่นๆ เองก็มีความคิดไม่ต่างกัน พวกเขาพากันจ้องมองไปที่ไอโม่ซิน แต่ไอโม่ซินกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ และเมินสายตาของเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดพลางอ่านทบทวนบทเรียนไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนปากกาลูกลื่นที่อยู่ระหว่างนิ้วของเขาก็หมุนไปมาไม่หยุด
ภายในห้องเรียนเงียบลงไปได้ไม่นานก็มีคนเริ่มถกเถียงกันขึ้นมาเบาๆ
“ได้ยินมาว่ารุ่นพี่ทั้งสามคนอยู่ปีสามห้องหกหมดเลยนี่นา”
“รุ่นพี่คนที่ตายไปเมื่อเดือนก่อนก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“จริงสิ เอ๊ะ พี่เธอก็อยู่ปีสามห้องหกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“อืม คนที่เพิ่งถูกลากเข้าไปในห้องพยาบาลเมื่อกี้ก็เคยมายืมหนังสือพี่ฉันที่บ้านด้วยนะ”
“เอ๋? จริงเหรอ งั้นก็น่าจะนิสัยดีนี่นา?”
“ดูเหมือนว่า…จะพอใช้ได้อยู่นะ พี่ฉันบอกว่าปกติเพื่อนคนนั้นจะมีกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง พวกเขาเคยอยู่ ม.ต้น ห้องเดียวกันแถมทุกคนยังนิสัยดีมาก แต่พวกเธอก็สนิทกันจนคนอื่นๆ ไม่สามารถเข้ากลุ่มได้ หนังสือเล่มนั้นของพี่ฉันก็เป็นหนังสือต้นฉบับที่พ่อให้คนหิ้วมาจากต่างประเทศเป็นพิเศษด้วย เพราะมันหาซื้อยากมากเธอก็เลยตั้งใจมายืมโดยเฉพาะ”
“มันคงไม่เกี่ยวกับพวกของที่แปะอยู่บนบอร์ดในห้องโถงเมื่อหลายเดือนก่อนใช่มั้ย”
“อาจจะเป็นไปได้นะ พี่ฉันบอกว่านักเรียนเกินครึ่งห้องเป็นคนเขียนมันออกมา ได้ยินมาว่ามันเป็นไดอารี่ของรุ่นพี่ที่ตายไปนั่นแหละ”
“…นี่มันไม่เกินไปเหรอ หาคนที่แปะประกาศพวกนั้นเจอหรือยังล่ะ”
“ไม่มีใครยอมรับเลย…อีกอย่างรุ่นพี่คนนั้นก็ตายไปแล้วด้วย…”
“ฉันได้ยินมาว่ามีคนในสภานักเรียนบอกว่ารุ่นพี่คนนั้นผูกคอตายในห้องเรียนกลางดึกล่ะ”
“งั้นเดือนที่แล้วที่ปีสามห้องห้าถึงห้องเจ็ดต้องเปลี่ยนห้องเรียนเพราะน้ำรั่วก็เพื่อจะปิดข่าวเรื่องนี้งั้นเหรอ”
“ฉันว่าน่าจะเป็นงั้นนะ”
“งั้นพวกรุ่นพี่ที่โดดตึกวันนี้ก็…”
“เลิกพูดเถอะ อาจารย์ที่ปรึกษากลับมาแล้ว”
อาจารย์ที่ปรึกษาเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนแล้วประกาศด้วยสีหน้าจริงจังว่าวันนี้จะเลิกเรียนเร็วกว่าปกติ “เรื่องอุบัติเหตุวันนี้ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว อาจารย์ประชุมกันแล้วตัดสินใจว่าจะให้หยุดเรียนหนึ่งวัน เพื่อนๆ คนไหนมีคนอยู่บ้านก็ให้มาลงชื่อกลับบ้านได้เลย แต่ถ้าพ่อแม่บ้านไหนทำงานกันหมดก็อยู่เรียนด้วยตัวเองที่โรงเรียน อย่าออกไปเตร็ดเตร่เที่ยวซุบซิบนินทาไปเรื่อย พวกอาจารย์จะอยู่ในห้องพัก ถ้าใครมีเรื่องอะไรอยากจะปรึกษากับอาจารย์ก็ไปได้ ส่วนอาจารย์ในห้องแนะแนวก็จะอยู่จนถึงตอนเย็นที่เรียนด้วยตัวเองจบ พวกนักเรียนที่จะกลับบ้านให้ออกทางประตูหลังกับประตูข้างนะ เพราะประตูใหญ่ตรงห้องโถงถูกปิดเอาไว้เข้าไปไม่ได้”
อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอาจารย์หนุ่มอายุประมาณสามสิบกว่าปีและเข้ากับนักเรียนได้เป็นอย่างดี เขาถอนหายใจพลางพูดออกมา “คำพูดต่อจากนี้อาจจะเป็นคำพูดที่น่าเบื่อ และสำหรับพวกเธอมันอาจเป็นคำพูดที่ไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นอาจารย์ก็ต้องพูด ถ้าพวกเธอมีเรื่องอะไรในใจหรือมีปัญหาอะไรที่พูดกับพ่อแม่ไม่ได้ จะมาปรึกษาเพื่อนในห้องก็ได้นะ ปัญหาต้องพูดออกมาถึงจะหาวิธีแก้ไขได้ พวกเธอยังเด็ก ดังนั้นจงจำไว้ว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ไม่มีทางแก้ การเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ที่สุด คิดถึงอนาคตกับชีวิตมหา’ลัยของพวกเธอเอาไว้ให้มากๆ โตขึ้นทุกคนอาจจะมีงานที่ดีมีครอบครัวที่รัก ถึงโลกใบนี้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่รู้เอาไว้นะว่าหลังจากนี้อีกสักห้าปี พอพวกเธอคิดถึงความยากลำบากและความเสียใจที่พบเจอในตอนนี้ พวกเธอจะรู้สึกว่าเรื่องที่พากันกลุ้มใจอยู่มันเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก หวังว่านักเรียนทุกคนจะจดจำคำพูดนี้เอาไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรอาจารย์ก็ยินดีรับฟังเสมอ และยินดีช่วยพวกเธอแก้ปัญหาด้วย เรื่องวันนี้คงทำให้ทุกคนรู้สึกแย่ พวกเธอน่าจะรู้ว่าการฆ่าตัวตายไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ผลสุดท้ายมันก็มีแต่ทำให้ครอบครัวของพวกเธอพังไม่เป็นท่า ทำให้ญาติและเพื่อนๆ ต้องเสียใจเท่านั้น พวกเธอน่าจะเข้าใจเหตุและผลดี อาจารย์คงไม่ต้องพยายามพูดอะไรกับพวกเธอมาก หวังว่าพวกเธอจะรู้ว่าไม่ว่าตอนไหนอาจารย์ก็ยินดีสนับสนุนทุกคนเสมอ ส่วนเรื่องโง่ๆ ที่เผลอทำไปในบางครั้งก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เรื่องที่ต้องสนใจก็คือจะอยู่ต่อไปยังไงต่างหาก ฉะนั้นอย่าแก้ปัญหาด้วยการทำร้ายตัวเองเด็ดขาด”
อาจารย์ที่ปรึกษาดูเหนื่อยล้า เขานั่งอยู่กับที่แล้วพูดออกมา “ใครจะกลับบ้านก็มาลงชื่อกับอาจารย์แล้วกลับได้เลยนะ ด้านนอกอาจจะมีนักข่าวเยอะหน่อย ไม่ต้องไปพูดอะไรกับพวกเขาล่ะ ถ้าถูกตามตอแยก็เรียกตำรวจไปจัดการได้”
นักเรียนหลายคนยืนขึ้นแล้วไปลงชื่อกลับบ้าน อาจารย์ที่ปรึกษาให้พวกเขาโทรศัพท์กลับไปที่บ้านก่อน หลังจากยืนยันกับผู้ปกครองเรียบร้อยแล้วเขาก็ปล่อยนักเรียนพวกนั้นกลับไป
ไอโม่ซินเห็นแบบนั้นก็รีบเก็บของเหมือนกัน ฉวยโอกาสที่เจียงเฉิงฟางกำลังยุ่งออกไปจากที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่า
ซุนไห่หมิงลังเลอยู่สักพักก่อนจะดึงชายเสื้อไอโม่ซินแล้วถามเสียงเบา “นาย…จะกลับบ้านเหรอ”
“อืม แม่ฉันอยู่บ้าน” ไอโม่ซินเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้น่าจะเสียขวัญมามากพอแล้ว “นายเองก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ”
“บ้านฉัน…ไม่มีคนอยู่เลย กว่าแม่จะเลิกงานก็ตั้งทุ่มนึง พ่อก็บินไปดูงานที่อเมริกา อาทิตย์หน้าถึงจะกลับ” ซุนไห่หมิงมองเขาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ “นายจะ…อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย แม่ฉันเลิกงานแล้วถึงจะมารับฉันกลับไป”
ไอโม่ซินลังเลอยู่สักพัก แต่เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของซุนไห่หมิงเขาก็พูดออกมาอย่างจนปัญญา “ฉันไม่อยากอยู่ที่โรงเรียน งั้นนายกลับบ้านไปกับฉันก็ได้ รอให้แม่นายเลิกงานก่อนแล้วค่อยให้เธอไปรับนายที่บ้านฉันดีมั้ย”
“ดีๆๆ” ซุนไห่หมิงรีบพยักหน้าตอบตกลง ขอแค่ไอโม่ซินไม่อยู่ห่างจากเขา ไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งนั้น
ไอโม่ซินเลยพาซุนไห่หมิงไปลงชื่อกลับบ้านกับอาจารย์ที่ปรึกษา จากนั้นก็โทรศัพท์กลับบ้านเพื่อให้แม่ยืนยันกับอาจารย์ก่อนจะพาซุนไห่หมิงกลับไปด้วย
ไอโม่ซินย่องออกไปทางประตูหลังอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่ถูกพวกตำรวจเห็นแล้วเขาก็เมินพวกนักข่าวที่ตามกลิ่นมาก่อนจะรีบวิ่งออกนอกประตูไป ซุนไห่หมิงเองก็ตามเขามาติดๆ เช่นกัน
หลังจากรถเมล์เคลื่อนตัวออกห่างจากโรงเรียนแล้ว ถึงเหตุผลจะแตกต่างกันไป แต่ทั้งสองคนก็โล่งอกไม่ต่างกัน
ตอนนี้ยังไม่ทันถึงตอนเที่ยง คนบนรถเมล์เลยไม่ค่อยเยอะเท่าไร คนขับพารถเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว ซุนไห่หมิงมองไอโม่ซินหยิบสมุดบันทึกสีดำของเขาขึ้นมาแล้วเขียนอักษรประหลาดจำนวนหนึ่งลงไป เห็นแบบนั้นก็ทนไม่ไหวจนต้องถามอีกฝ่ายเสียงเบา “รุ่นพี่จาง…ฆ่าตัวตายเองจริงๆ เหรอ”
ไอโม่ซินขมวดคิ้วมุ่น เขาหยุดมือแล้วหันไปมองซุนไห่หมิง “นายรู้จักรุ่นพี่คนนั้นเหรอ”
“อืม…แต่ไม่สนิทหรอก ปีนี้ตอนที่มีนักเรียนใหม่เข้ามา ฉันไปช่วยงานสภานักเรียนแล้วได้อยู่กลุ่มเดียวกับพี่เขาพอดี เลยได้คุยกันอยู่สองสามประโยค” ซุนไห่หมิงเพิ่งจะได้สติตอนอยู่ในห้องพยาบาล เขาเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าใบหน้าที่หมดลมหายใจอยู่ตรงหน้าเป็นคนที่เขารู้จักและยังเป็นคนที่เคยพูดคุยหยอกล้อกับเขาอย่างมีชีวิตชีวาด้วย
ไอโม่ซินขมวดคิ้วก้มหน้าลงพลิกสมุดบันทึกหน้าถัดไป จากนั้นเขาก็วาดสัญลักษณ์จำนวนหนึ่งลงไปก่อนจะฉีกออกแล้วพับให้ซุนไห่หมิง “พอกลับไปแล้วนายไปอารามหลวงเจิ้งหลงนะ พอกราบไหว้เสร็จแล้วก็ให้คุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาแล้วเผากระดาษแผ่นนี้ซะ”
“อ่อ ได้…ขอบใจนะ” ซุนไห่หมิงรับกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็พูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “ขอโทษด้วยนะที่ก่อนหน้านี้ฉันทำตัวไม่ดีกับนาย แล้วก็ขอบคุณนายมากที่ช่วยฉันไว้”
ไอโม่ซินชินเสียแล้วจึงได้แต่ยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ ซุนไห่หมิงเงียบไปสักพักก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เอ่อ…ฉันมีเพื่อนที่โตมาด้วยกันคนนึงอยู่ปีสามห้องหก รุ่นพี่ที่ตายไปเมื่อเดือนก่อนผูกคอตายอยู่ในห้องเรียนกลางดึกจริงๆ นะ”
ไอโม่ซินแอบถอนหายใจ เขาอยากให้ซุนไห่หมิงหุบปากจริงๆ แต่เห็นได้ชัดว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ซะแล้ว
“แล้วทำไมเธอต้องฆ่าตัวตายในห้องเรียนด้วยล่ะ ถูกแกล้งเหรอ” ไอโม่ซินถามด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย
“…คงไม่หรอก ว่าแต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้นายไม่รู้เหรอ” ซุนไห่หมิงตกใจนิดหน่อย ถึงจะรู้ว่าไอโม่ซินมีนิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเขาก็มักจะก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดบันทึกของตัวเองและขีดเขียนบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจลงไปอยู่เสมอ พอออกนอกโรงเรียนแล้วก็มักจะไม่มองและไม่ทักทายใครทั้งนั้น แถมยังไม่เคยไปไหนมาไหนกับเพื่อนร่วมห้อง และไม่เคยเห็นเขาติวหนังสือเลยสักครั้ง มีหลายครั้งที่เขาเห็นไอโม่ซินหลับในคาบเรียน พอถูกอาจารย์เรียกมาตอบคำถามเขายังสมน้ำหน้าอีกฝ่ายซะด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะกำลังทำอะไรอยู่ เขาก็มักจะตอบคำถามของอาจารย์ได้เสมอ แถมคะแนนของเขายังดีสุดๆ ด้วย เพราะฉะนั้นหลังๆ อาจารย์ถึงได้ไม่สนใจว่าเขาจะฟังที่อาจารย์สอนหรือเปล่า
ซุนไห่หมิงเห็นว่าหน้าตาของไอโม่ซินเหมือนคนไม่รู้จริงๆ ถึงได้พูดออกมา “เมื่อหลายเดือนก่อนมีไดอารี่ของรุ่นพี่คนนั้นแปะบนบอร์ดในห้องโถงเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าใครเป็นคนขโมยมาแล้วฉีกหน้าที่เธอเขียนเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนในห้องไปแปะบนบอร์ด พอหลายคนเห็นเข้าก็มีคนจำได้ว่าเรื่องที่เขียนอยู่ในนั้นเป็นเรื่องของนักเรียนห้องหก รุ่นพี่คนนั้นเองก็คลุ้มคลั่งรีบพุ่งเข้าไปฉีกมันออก จากนั้นเธอก็เลยกลายเป็นศัตรูของคนทั้งห้อง ทุกคนบอกว่าเธอเป็นคนสองหน้า เป็นคนเจ้าเล่ห์ ปกติเห็นชอบทำดีกับทุกคน แต่คิดไม่ถึงว่าจะด่าคนอื่นลับหลังแบบนั้น”
ไอโม่ซินขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “ไดอารี่ของเธอหลุดออกมาได้ยังไง”
ซุนไห่หมิงนึกถึงเสียงวัตถุหนักๆ ตกลงพื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พูดออกมาตัวสั่นๆ “…ได้ยินมาว่าสองวันก่อนที่เธอจะทำไดอารี่หาย เธอนัดเพื่อนผู้หญิงในห้องที่สนิทกันกับเธอไปเที่ยวเล่นที่บ้านทั้งหมดห้าคน อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอค่อยๆ ถามไปทีละคน แต่ก็ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนขโมยไดอารี่ แล้วก็ไม่มีหลักฐานด้วย ก่อนหน้านี้พวกเธอทั้งหกคนสนิทกันมาก รู้จักกันมาตั้งแต่ตอน ม.ต้น ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แต่เพราะเนื้อหาในไดอารี่ รุ่นพี่คนนั้นก็เลยถูกทิ้ง เดือนก่อนเธอเลยกรีดข้อมือแล้วผูกคอตายในห้องเรียน”
“นักเรียนหญิงห้าคนนั้น คือห้าคนที่กระโดดตึกวันนี้ใช่มั้ย” ไอโม่ซินถาม
“อย่างน้อยรุ่นพี่จางก็ใช่ อีกสองคนที่อยู่ในห้องพยาบาลก็ใช่…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นพวกเธอทั้งหมดนั่นแหละ…” ซุนไห่หมิงยิ่งเล่าก็ยิ่งรู้สึกกลัว
ไอโม่ซินหมุนปากกาในมือไปมา เขากำลังคิดว่าดูท่าเรื่องนี้อาจจะจัดการได้ยาก แต่แล้วซุนไห่หมิงก็ถามอีกครั้งว่า “เพราะงั้นรุ่นพี่คนนั้นก็เลย…กลับมาแก้แค้นเหรอ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 6 ได้ในวันที่ 10 มี.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.