X
    Categories: everYทดลองอ่านมือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1 Chapter 2-1 ถึง 2-3 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 3

ทดลองอ่าน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1

ผู้เขียน : Todayspring (오늘봄)

แปลโดย : มิลค์พลัส

ผลงานเรื่อง : 무령의 혼 (SOUL OF MURYEONG)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

Chapter 2-1

 

วิญญาณที่หลงทาง

 

มูรยองเห็นฮวานยองครั้งแรกในวันพิธีปฐมนิเทศนักเรียนมัธยมปลาย อากาศนับว่าอบอุ่นมากสำหรับเดือนมีนาคม ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆสักก้อน เขายังจำได้ดีทั้งความรู้สึกแปลกๆ ตอนใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายซึ่งเพิ่งเคยลองใส่เป็นครั้งแรก ความรู้สึกไม่คุ้นชินตอนใส่รองเท้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และความรู้สึกที่ว่ากำแพงโรงเรียนที่ก่อด้วยอิฐนั้นดูเหมือนจะสูงเป็นพิเศษ

มูรยองนอนตื่นสายในวันดีๆ แบบนั้นและวิ่งไปโรงเรียนพลางนึกเคืองซึงจูที่ออกไปโรงเรียนก่อน ปัญหาก็คือเมื่อคืนเขานอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้นหรือเปล่า และด้วยข้อตกลงที่ว่าตอนนี้เขาโตเป็นเด็กมัธยมปลายแล้วจึงต้องหัดตื่นนอนเองให้ได้ คนที่บ้านเลยไม่ปลุกเขา จนกระทั่งเสียงนาฬิกาปลุกรอบสุดท้ายของสุดท้ายเงียบสนิทไป

โชคดีที่โรงเรียนอยู่ห่างไปแค่สิบนาที แม้หากวิ่งสุดฝีเท้าก็อาจจะยังยากเกินกำลังคนปกติ แต่กับมูรยองที่มีประสาทในการควบคุมการเคลื่อนไหวเป็นเลิศแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

มูรยองมาถึงโรงเรียนทันแบบเฉียดฉิว เขาดูเวลาและตัดสินใจวิ่งลัดสนามด้านหลังตึกแทนที่จะเข้าทางประตูใหญ่เพื่อจะได้ไปถึงห้องเรียนได้เร็วขึ้นอีกนิด ดังนั้นเขาจึงลอบสำรวจซ้ายขวาก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนกำแพง

และแล้วเขาก็ได้เจอกับคีฮวานยอง

ไม่สิ…ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ‘ค้นพบ’

‘…’

ฮวานยองยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยอยู่ด้านหลังตึก เขาใส่ชุดนักเรียนแบบเดียวกับมูรยอง ต่างกันตรงที่รูปร่างของเขานั้นสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาชนิดที่ต้องเหลียวมองอีกครั้งตอนเดินผ่าน และเหนือสิ่งอื่นใดคือบรรยากาศที่โอบล้อมรอบตัวเขา มันเงียบสงบมากจนไม่อาจหาคำนิยามได้

นี่เป็นครั้งแรกที่มูรยองเห็นใครคนหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนวิญญาณขนาดนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะเขายืนแบบนิ่งๆ และไม่แม้แต่จะกะพริบตา แต่เป็นเพราะเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตจากในดวงตาที่ควรจะสะท้อนภาพท้องฟ้าสีครามนั้นเลยต่างหาก

มูรยองที่เกิดมาพร้อมกับเนตรสัมผัสวิญญาณมักสับสนระหว่างคนเป็นกับวิญญาณอยู่บ่อยๆ เป็นเพราะในช่วงที่เขายังไม่สามารถแยกแยะพลังวิญญาณกับพลังหยินได้นั้น เขามักประเมินว่าอีกฝ่ายคือคนเป็นหรือคนตายโดยอาศัยการมองเพียงสภาพที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น แต่แน่นอนว่าเมื่อแยกแยะได้แม่นยำระดับหนึ่งแล้วเขาก็ไม่เคยพลาดอีก

‘คน…?’

แต่กับมูรยองที่มีความสามารถขนาดนั้นแล้ว ฮวานยองก็ยังดูไม่เหมือนคนเป็นอยู่ดี สันจมูกโด่งกับริมฝีปากแดงนั้นดูปกติดีมากก็จริง ทว่าสีผิวที่ขาวซีดกลับทำให้อีกฝ่ายยิ่งดูเหมือนอย่างอื่น และเนื่องจากระยะห่างจากตรงนี้ที่ทำให้มูรยองสัมผัสถึงพลังวิญญาณได้เพียงจางๆ ทำให้เขามองเห็นจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

‘…’

ลองถามดีไหมนะว่าทำอะไรอยู่

ความคิดกับการลงมือทำจริงไม่ต้องอาศัยขั้นตอนอะไรมากนัก หากยืมคำของซึงจูมาใช้ การที่คนอย่างมูรยองซึ่งเป็น ‘คนประเภทที่สามารถสนิทได้แม้แต่โจรที่บุกเข้าบ้าน’ จะชวนคนอื่นพูดคุยก่อนจึงไม่ใช่เรื่องยาก

ก็แค่ลองถามว่าทำอะไรอยู่ ถ้าเป็นเด็กมัธยมปลายปีหนึ่งเหมือนกันก็แค่ชวนมาเป็นเพื่อนซะก็สิ้นเรื่อง

เขากระโดดลงจากกำแพงด้วยความคิดง่ายๆ สบายๆ แบบนั้น

‘…โอ้’

ตรงเงาของต้นไม้ที่ทอดยาวมีปีศาจไต่ยุบยับออกมา หากจะเรียกให้ถูกต้องกว่านั้น คงต้องบอกว่ามันคือชีพักรยองหรือก็คือผีที่เกิดจากดวงวิญญาณหลายดวงมารวมตัวกัน ปกติแล้วมันจะไม่โผล่มาให้เห็นตอนกลางวัน และน้อยครั้งที่จะมาวุ่นวายกับมนุษย์ทั่วไป ตัวประหลาดนั้นอ้าปากกว้างพร้อมกับพุ่งเข้าจู่โจมฮวานยองอย่างแม่นยำ

‘ไม่นะ…!’

แน่นอนว่ามูรยองตื่นตระหนกจนกระโดดลงพื้นผิดท่า เขาตกใจจนข้อเท้าขวาพลิก แต่ก็มัวแต่ตกใจจนไม่ทันรู้สึกเจ็บเลยสักนิด

จังหวะที่คิดจะยื่นมือเข้าไปจัดการด้วยจิตใจที่ร้อนรน เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา วิญญาณที่แตะต้องฮวานยองกระเด็นออกไปคล้ายพุ่งชนเข้ากับฉากกั้นบางๆ

มันยังไม่ทันได้แตะต้องโดนจิตวิญญาณของเขาเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนใดๆ ต่อพลังวิญญาณที่วูบไหวอยู่รอบตัวเขาด้วย มันแค่ชนเข้ากับอะไรบางอย่างแรงๆ เหมือนกับชนกำแพงแล้วก็หนีหายกลับเข้าไปในเงา

นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่า ม่านพลังอย่างนั้นสินะ?

มันเป็นฝีมือของพลังจิตบางๆ ที่ห่อหุ้มรอบกายของเขา ฮวานยองไม่แม้แต่จะขยับมือ แต่พลังงานที่โอบล้อมเขาอยู่กลับผลักชีพักรยองตนนั้นให้กระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย

‘…’

ตั้งแต่เกิดมามูรยองที่มักได้รับคำเยินยอว่าเก่งนักหนามาตลอดเพิ่งเคยสัมผัสกับความรู้สึกนั้นเป็นครั้งแรก ทั้งพลังที่ต่างออกไปคนละชั้น พลังคุกคามในระดับที่ทำให้เขาแข้งขาอ่อนแรง ไหนจะการควบคุมพลังจิตอันซับซ้อนที่หากไม่ใช่มือปราบวิญญาณที่มีทักษะชำนาญพอก็จะไม่มีทางทำได้

‘ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปข้องเกี่ยวกับพวกมือปราบวิญญาณด้วยกันเองเลยจะดีกว่า’

เสี้ยววินาทีหนึ่งคำพูดของพ่อก็ผุดขึ้นมาในหัว มูรยองค่อยๆ ขยับถอยหลังโดยพยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุด เขาคิดจะหันหลังกลับและหลบไปยังที่ลับสายตา

ถ้าหากว่าฮวานยองไม่เงยหน้าขึ้นและมองมาทางนี้เสียก่อน มูรยองก็คงหนีออกจากตรงนั้นไปได้แล้ว

‘…’

‘…’

สายตาของทั้งคู่สบประสานกัน มูรยองยืนอยู่กับที่โดยก้าวขาขยับไปไหนไม่ออกราวกับถูกตะปูตอกตรึงเอาไว้ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องมาที่เขาและหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย

หากว่ากันตามตรงภาพลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่ายไม่ได้ดูน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นคนที่หล่อมากแบบที่หาเจอไม่ได้ง่ายๆ ทั้งยังหล่อแบบสมวัยอีกต่างหาก บรรยากาศที่ดูยังไม่เป็นผู้ใหญ่อย่างบอกไม่ถูกนั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดู ‘น่ากลัว’ เลยสักนิด

แต่ถึงอย่างนั้นมูรยองก็รู้สึกกลัวจนแทบหายใจไม่ออก เขารู้สึกเหมือนว่าดวงตาสองข้างที่เต็มไปด้วยความมืดมิดอันลุ่มลึกกำลังจะกลืนกินเขา สำหรับมูรยองที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าคล้ายกับสัตว์ป่า การรับรู้โดยลางสังหรณ์แทบไม่ต่างจากการรับรู้โดยสัญชาตญาณ

แต่ผ่านไปไม่นานนักฮวานยองก็ละสายตาไปเหมือนไม่ได้นึกสนใจอะไร ดวงตาสองข้างที่กะพริบอยู่หันมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่มูรยอง

ท่าทีเวลาขยับสายตาของคนเราดูเรียบนิ่งได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

ช่วงเวลาที่เหมือนกับเทปที่หย่อนยานยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา

ผ่านไปสองสามวันหลังจากนั้นมูรยองถึงได้รู้ว่าชื่อของเขาคนนั้นคือ ‘คีฮวานยอง’* ถึงจะเป็นชื่อที่เหมาะกับเจ้าตัวมาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นชื่อที่ทำให้มูรยองยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดมากขึ้นไปอีก เพราะฮวานยองที่เขาเห็นในวันนั้นราวกับคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ช่วงเวลาในตอนนั้นราวกับตนเองกำลังมองเห็นภาพลวงตาอยู่ไม่มีผิด

อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นมูรยองก็พยายามเผชิญหน้าฮวานยองให้น้อยที่สุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกับนักเรียนทั้งโรงเรียนถึงไม่เคยพูดคุยทักทายกับฮวานยองเลยสักครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วฮวานยองเองก็เหมือนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเช่นกัน ไม่ใช่เพียงแค่กับมูรยองคนเดียว

ไม่นึกเลยว่าจะได้นัดเจอกับคีฮวานยองคนนั้นในบรรยากาศแปลกๆ แบบนี้

แกรก…แกรก…

มูรยองนั่งลงที่โต๊ะด้านหลังของฮวานยอง ฮวานยองเองก็หันตัวกลับมาเพื่อพูดคุยกับคนที่เพิ่งนั่งลง ผ่านมาสิบนาทีแล้วกับสถานการณ์อันน่าอึดอัดเช่นนี้ ฮวานยองเล่าเรื่องกังวลใจที่เขามี ขณะเดียวกันมูรยองเองก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับการลอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย

“พอดีช่วงนี้ฉันรู้สึกหนักที่ไหล่น่ะ”

เรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้นแบบนั้นดำเนินมาจนถึงคำบอกเล่าที่ว่าช่วงนี้เจ้าตัวสุขภาพไม่ค่อยดี มูรยองพยายามตั้งใจฟังเต็มที่เพราะใบหน้าที่ขาวจนเข้าขั้นซีดนั้นดูน่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย ถ้ามีตัวอะไรใหญ่ๆ เกาะอยู่บนหลังแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหนักไหล่

“แล้วช่วงนี้ฉันก็นอนไม่ค่อยหลับ…”

แกรก…แกรก…

“พอนอนหลับไปแล้วตื่นมาก็ไม่ได้รู้สึกสดชื่นขึ้นเลย”

แกรก…แกรก…

“พักหลังมานี้อาการก็ยิ่งเป็นหนักขึ้นอีก”

เสียงที่ดังแทรกเข้ามาในหูเขาตลอดเวลาที่ฮวานยองพูดนั้นชัดเจนมากจนน่าขนลุก

แกรก…แกรก…แกรก…

ทั้งที่เสียงนั้นชวนให้เขารู้สึกอยากจะแคะหูจนแทบบ้า แต่ฮวานยองกลับไม่ได้แสดงท่าทีมีพิรุธเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายดูปกติดีตอนโดนเส้นผมสัมผัสมือหรือแม้แต่ตอนที่มีเลือดหยดลงไปบนแขนเสื้อ

เมื่อเห็นดังนั้นแล้วมูรยองเลยตั้งสมมติฐานขึ้นมาข้อหนึ่ง แม้จะรู้ว่ามันฟังไม่ค่อยขึ้นนักก็ตามที ฮวานยองที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งจนเขาตกใจ แท้จริงแล้ว ‘อาจไม่มีเนตรสัมผัสวิญญาณ’ ก็ได้

พอตั้งสมมติฐานแบบนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็ดูเข้าใจได้ขึ้นมาทันตาอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเหตุผลที่ฮวานยองต้องมาขอให้เขาช่วย และเหตุผลที่ผีบนหลังเฝ้าเกาะติดและกระหายจิตวิญญาณของฮวานยองจนเลือดไหลหยดออกจากมือ

หมอนี่ไม่ใช่มือปราบวิญญาณหรอก…

ใช่ว่าทุกคนที่มีพลังวิญญาณจะสามารถเป็นมือปราบวิญญาณได้ หากเนตรสัมผัสวิญญาณไม่ถูกเปิดก็อาจไม่รู้แม้แต่เรื่องที่ตัวเองมีพลังวิญญาณด้วยซ้ำ ตอนนี้มีเรื่องที่เขายังคาใจอีกมากมาย แต่ก่อนอื่นก็คงต้องตอบคนตรงหน้าก่อน

“…นี่คือทั้งหมดที่นายกังวลอยู่ใช่ไหม”

มูรยองสบตาฮวานยองนิ่งโดยที่ในหัวกำลังคิดหนักว่าควรทำอย่างไรดี

จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่รู้กันว่าโลกนี้มีผี ดูจากการที่หนังสยองขวัญหรือเรื่องลี้ลับเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ผู้คนในช่วงหน้าร้อน ความสนใจเกี่ยวกับการมีอยู่ของภูตผีวิญญาณคงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร

แต่การเชื่อว่า ‘ผีมีอยู่จริง’ กับการรับรู้ว่า ‘ฉันมีผีเกาะอยู่บนหลัง’ นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เนื่องจากจุดเริ่มต้นของความกลัวทั้งหลายมาจากการรับรู้ เขาเลยจำต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อน มูรยองในฐานะมือปราบวิญญาณที่ต้องคอยปกป้องทั้งวิญญาณและคนจึงไม่อาจพูดว่ามองเห็นสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้

“ฉันรับช่วยทุกเรื่องก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะรับบทเป็นหมอได้ด้วยนะ”

แกรก…แกรก…

เสียงครูดเล็บในหูเขาดังแปลกไป ตอนนี้เจ้าผีนั่นกำลังหมกมุ่นอยู่กับหยดเลือดที่ไหลลงมาตรงปลายนิ้ว ดูท่าแล้วหากเขาลงมือจัดการตอนนี้มันก็น่าจะหนีไปไม่ทัน สุดท้ายมูรยองจึงลอบกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปที่ไหล่ของฮวานยอง

“ก่อนอื่นฉันขอลองนวดไหล่…”

…แกรก

หมับ!

ข้อมือพลันถูกจับเอาไว้ ไม่ใช่ข้อมือของผี แต่เป็นข้อมือของเขาที่ยื่นออกไปหาฮวานยอง พลังวิญญาณที่เขาคุ้นเคยแผ่ซ่านลงสู่ผิว เจ้าผีนั่นเงยหน้าของมันขึ้นพลางจ้องมองมูรยองท่ามกลางความเงียบงันที่เข้าปกคลุม

“…”

“…”

ซวยแล้ว

เขาคิดแบบนั้น และในพริบตานั้นเอง ‘มัน’ ก็หายวับไปในเงามืดที่ทอดยาว มูรยองผุดลุกขึ้นแต่ก็ไม่เหลืออะไรให้เขามองเห็นอีกแล้ว

“เอ่อ คือว่า…”

โธ่เว้ย ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้แล้วสิ

“นายช่วยปล่อยนี่ก่อนได้ไหม…”

มูรยองที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่นฝืนยกมุมปากขึ้น มือใหญ่ขนาดที่กุมรอบข้อมือเขาแล้วยังเหลือของอีกฝ่ายบังคับให้เขาขยับไปไหนไม่ได้ อุณหภูมิของร่างกายที่คว้าจับไว้แน่นค่อยๆ ถอยห่างออกไปต่างจากตอนที่จู่โจมเข้ามา

“…อะไรของนาย ทำไมจู่ๆ ถึงได้…”

น้ำเสียงกระด้างกระเดื่องนั้นแฝงความระแวงไว้เต็มที่ มูรยองยู่หน้าด้วยความรู้สึกไม่สบายใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมาพลางซ่อนข้อมือที่มีรอยมือของฮวานยองทิ้งเอาไว้ อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดายอยู่หน่อยๆ เช่นกันตอนที่อีกฝ่ายปล่อยมือออก

“เอ่อ โทษที…พอดีฉันคงมือไวไปหน่อยน่ะ”

มูรยองที่พยายามจะยิ้มเหลือบตามองเงาที่ทอดยาวอยู่บนพื้น แต่มันหนีไปได้เสียแล้ว ตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงพลังหยินนั้นอีกต่อไป ถ้ามันหายไปได้ตลอดกาลเลยก็คงจะดี แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่ามันจะกลับมาหาฮวานยองใหม่

“คือว่า…เรื่องนั้นฉัน…”

“คนที่แตะตัวฉันมักจะเจ็บตัว”

“…”

มันเป็นคำพูดที่ฮวานยองโพล่งออกมาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ‘ฉันจะรับงานนี้และจะหาทางแก้ให้ แต่ก่อนอื่นช่วยอธิบายแบบลงรายละเอียดเพิ่มหน่อย’ สิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยถามพลันถูกกลืนกลับลงไปในคอ ขณะที่ฮวานยองเล่าต่อด้วยเสียงเนือยๆ ไร้โทนสูงต่ำของตนเอง

“อุบัติเหตุเล็กบ้างใหญ่บ้างเกิดกับคนที่จับแขนฉันหรือคนที่ฉันไปจับ หรือแม้แต่คนที่บังเอิญเดินชนตามทางก็เช่นกัน ตอนแรกฉันนึกว่าคิดไปเอง แต่พอมันเป็นแบบนั้นมาตลอด ฉันเลยรู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ”

“…”

“เพื่อนนายก็บาดเจ็บเพราะฉัน”

ประโยคสุดท้ายนั้นเขาพูดมันออกมาได้อย่างมั่นใจโดยไม่อายปาก แม้ฮวานยองจะทำหน้าตาเฉยเมย แต่มูรยองก็อ่านความรู้สึกอื่นภายในใจเขาออก มูรยองที่ชะงักมือไปแวบหนึ่งเปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง

“…แล้วนายล่ะ”

ดวงตาสีดำทอดมองมูรยอง ในดวงตาสองข้างที่กะพริบตาช้าๆ นั้นมีเงาของใบหน้าสะอาดใสสะท้อนอยู่เต็มเปี่ยม มูรยองมุ่นคิ้วพลางถามเครียดๆ

“นายโอเคใช่ไหม”

มันเป็นคำถามที่แฝงไปด้วยความระมัดระวัง แม้สีหน้าจะดูจริงจัง ทว่าเสียงพูดนั้นกลับชวนให้จั๊กจี้เหมือนขนนก ฮวานยองขมวดคิ้วมองดวงตาที่กลมโตจนมองไม่เห็นชั้นตาแล้วก็ถามกลับ

“…ว่าไงนะ”

“ฉันถามว่านายไม่ได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนใช่หรือเปล่า”

มูรยองพูดพลางลอบมองสำรวจฮวานยองทั้งใบหน้า ลำคอ และไหล่ รวมถึงหลังมือที่วางอยู่บนโต๊ะ เท่านั้นไม่พอเขายังเอนตัวไปด้านหลังเพื่อมองใต้โต๊ะอีกด้วย ฮวานยองจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“ฉันไม่ได้บาดเจ็บ”

“…งั้นเหรอ”

ในคำพูดที่ตอบกลับไปอย่างเชื่องช้านั้นมีความตะขิดตะขวงใจเจือปนอยู่เล็กน้อย มูรยองฝืนปรับสีหน้าให้ผ่อนคลายก่อนโน้มตัวกลับไปด้านหน้า ความประหม่าของเขายังไม่คลายลงเลยตั้งแต่เข้ามาในห้องเรียนห้องนี้

“ไหล่นายหนักขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“…”

ฮวานยองไม่ตอบและปิดปากนิ่งด้วยสีหน้าฉงน เมื่อเห็นความไม่เชื่อใจปรากฏในแววตานั้น มูรยองก็เกาแก้มอย่างประหม่า หางตาตกฉายแววลำบากใจ

“…ทำไมมองกันแบบนั้นล่ะ”

“ถามว่าทำไมงั้นเหรอ”

ฮวานยองย้อนกลับมาเหมือนกับจะถามว่า ‘พูดบ้าอะไรของนาย’ ริมฝีปากของเขาบิดผิดรูปไปเล็กน้อย

“ฉันบอกว่าเพื่อนนายได้รับบาดเจ็บเพราะฉัน แต่นายยังนิ่งเฉยอยู่ได้เนี่ยนะ”

น้ำเสียงที่เคยราบเรียบนั้นฟังดูมีอารมณ์ราวกับเจ้าตัวกำลังฉุนเฉียว มูรยองขมวดคิ้วนิดๆ ให้กับโทนเสียงที่ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยนั้น

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

มูรยองพูดพร้อมคว้ามือของฮวานยองที่วางอยู่บนโต๊ะมาจับไว้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่อุณหภูมิร่างกายของเขาสัมผัสโดนอีกฝ่าย นิ้วของฮวานยองก็พลันกระตุกเกร็ง เจ้าตัวตั้งท่าจะรีบดึงมือออก แต่มูรยองกลับไม่ยอมปล่อยและยังใช้ทั้งสองมือกุมมือของเขาเอาไว้แน่นแทน

“ดูสิ ฉันก็แตะตัวนายอยู่นี่ไง ฉันยังไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรเลย”

“…”

เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของฮวานยองจากฝ่ามือ พร้อมกันนั้นยังสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันใสบริสุทธิ์และความรู้สึกที่สดชื่น ฮวานยองขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไร ทว่ามูรยองกลับไวกว่า

“ถ้าฉันจับมือนายแบบนี้แล้วเกิดเจ็บตัวขึ้นมาระหว่างกลับบ้าน มันก็ไม่ได้เป็นเพราะนาย”

“…”

“เพราะงั้นนายก็อย่าพูดแบบนั้นอีกล่ะ”

ไม่มีอารมณ์อื่นใดในน้ำเสียงหนักแน่นนั้น น้ำเสียงที่เขาใช้พูดก็ไม่ได้ดูเป็นกังวล แถมยังไม่ใช่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ฮวานยองก็ยังเปิดปากพูดทั้งที่ยังคงขมวดคิ้วอยู่

“ฉันไม่ได้พูดเพราะหวังจะได้รับคำปลอบใจจากนายสักหน่อย”

ฮวานยองพูดแบบนั้นพลางดึงมือออกราวกับรำคาญ ไม่สิ…คงต้องบอกว่าเขาพยายามจะดึงมือออกต่างหาก

“ฉันเองก็ไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจนายเหมือนกัน”

ดวงตาใสไร้ความรู้สึกแอบแฝงจับจ้องอยู่ที่ฮวานยองอย่างแน่วแน่ ระหว่างที่ปากพูดแบบนั้นสองตาก็เลื่อนไปสบตากับอีกฝ่ายหมายจะบอกว่านี่คือเรื่องจริง แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กลับมา เขาก็กุมมือใหญ่ๆ นั้นเอาไว้พลางใช้นิ้วสอดประสานกัน

“ใครที่ไหนจะทำร้ายคนอื่นได้ด้วยเรื่องแค่นี้กัน”

“…รู้แล้วน่า ปล่อยมือแล้วมาคุยกันดีๆ สักที”

หนนี้ฮวานยองสะบัดมูรยองออกอย่างไม่ลังเล มันเป็นการต่อต้านที่รุนแรงจนได้ยินเสียงดังปึ้ก! แต่มูรยองก็ยอมปล่อยฮวานยองโดยไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอะไร กลับเป็นฝ่ายฮวานยองต่างหากที่ลอบชำเลืองสำรวจมือของมูรยองข้างที่โดนสะบัดออก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่เสียงดังเฉยๆ ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก”

“…แล้วใครเขาได้ถามอะไรหรือยังล่ะ”

ฮวานยองส่ายหัวเบาๆ

“อย่าแตะตัวฉัน”

เขาพูดแบบนั้นพลางหรี่ตาลงเหมือนรำคาญใจสุดๆ มูรยองยักไหล่และซ่อนมือที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณเอาไว้ใต้โต๊ะ

“เขาว่ากันว่าคำพูดมันมีพลังนะ”

น้ำเสียงแบบเด็กๆ จมหายไปในห้องเรียนอันเงียบเชียบ ฮวานยองสบสายตากับมูรยองด้วยดวงตาที่ดูไม่สบอารมณ์

“ต่อให้จะไม่ใช่คำที่นายพูดออกมาเพราะความรู้สึกผิด แต่ถ้านายพูดแบบนั้นบ่อยๆ เข้า สักวันนายก็จะคิดว่า ‘มันเป็นความผิดของฉัน’ ขึ้นมาจริงๆ”

“…”

“ที่ซึงจูบาดเจ็บทำไมถึงได้เป็นเพราะนายกันล่ะ ถ้านายคิดแบบนั้น ความผิดฉันที่เมื่อวานดันกลับบ้านไปก่อนก็คงต้องผิดหนักกว่านายแล้วสิ”

คิ้วของฮวานยองเลิกสูงขึ้น สีหน้าก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยหน่อยๆ มูรยองเลยเผลอหลุดยิ้มน้อยๆ อย่างลืมตัว ถึงจะเป็นใบหน้าที่ดูเฉยเมย แต่ดูเหมือนในบางครั้งบางคราวมูรยองก็พอจะอ่านออกอยู่บ้างว่าฮวานยองคิดอะไรอยู่

“จะว่ายังไงดีล่ะ…ถ้าฉันกลับด้วย บางทีซึงจูอาจจะไม่บาดเจ็บจริงๆ ก็ได้”

ไหล่ของมูรยองพลันห่อเหี่ยวลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะทันทีที่ได้ยินข่าวอุบัติเหตุทางถนนของซึงจู มูรยองก็คิดวนเวียนเกี่ยวกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้ากลับบ้านด้วยกัน…เรื่องมันก็คงจะต่างออกไป

“แต่ถ้าฉันคิดแบบนั้นจริงๆ คิดไปทั้งชาติก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก”

“…”

มูรยองตั้งใจพูดเสียงหนักแน่น เขาค่อยๆ เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำทีละคำเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจะสื่อให้ชัดเจน

“พูดง่ายๆ ก็คือถ้าซอซึงจูไม่ไปตรงถนนสายนั้น อุบัติเหตุก็จะไม่เกิด ถ้าไม่สะพายกระเป๋าใบนั้นก็จะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าสัปดาห์นี้ไม่ได้เป็นเวรทำความสะอาดก็จะไม่พาตัวเองไปชนกับรถเข้า”

“…”

“ถ้าว่ากันตามที่นายพูด เรื่องที่ฉันพูดมาเมื่อกี้ก็เป็นสาเหตุได้ทั้งหมดนั่นแหละ…”

“…”

“เพราะงั้นเรื่องนี้คือความผิดของนายอย่างที่นายคิดจริงๆ น่ะเหรอ”

ยิ่งมูรยองพูดสีหน้าของฮวานยองก็ยิ่งดูแปลกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนเขาจะถูกโน้มน้าวด้วยอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะกำลังตะลึงงัน มูรยองเลื่อนสายตามองต่ำลงพลางเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ

“เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นคนเรามักเอาแต่หาคนถูกคนผิด แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไร สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการแก้ไขปัญหาต่างหากล่ะ”

แต่ก็นั่นแหละ การจะแก้ไขให้ได้ก็ต้องรู้สาเหตุเสียก่อน…

“นายเองก็เล่าให้ฉันฟังเพื่อให้ฉันช่วยหาสาเหตุไม่ใช่หรือไง”

ประกายวิบวับปรากฏขึ้นในดวงตาใส มูรยองที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสบตากับฮวานยองพลางยิ้มอย่างสดใสจนลักยิ้มน่ารักบุ๋มลึกลงไปกลางแก้มขาวๆ นั้น

“งั้นให้ฉันไปค้างบ้านนายคืนหนึ่งสิ”

 

ระหว่างทางกลับบ้านมูรยองทักไปหาซึงจูเพราะเพิ่งมีข้อความส่งเข้ามาว่าอีกฝ่ายซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่แล้ว พอมูรยองส่งข้อความไปว่า ‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ’ ซึงจูก็ตอบกลับมาว่า ‘งานจิตอาสานี่เป็นงานในฝันของนายสินะ?’

แน่นอนว่ามูรยองไม่ตอบข้อความนั้นและเก็บโทรศัพท์เสีย ถึงจะตอบไปว่า ‘เปล่าสักหน่อย’ ก็ไม่มีทางได้เห็นข้อความอะไรดีๆ ตอบกลับมา หรือต่อให้เขาตอบกลับว่า ‘ใช่’ ก็คงจะมีแต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่าเดิมกลับมา ดังนั้นเขาก็แค่ต้องปล่อยผ่านไปแบบเนียนๆ ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยยอมทนฟังคำบ่นนิดๆ หน่อยๆ

ทำไงได้ล่ะ ก็มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่นา

มูรยองชำเลืองมองฮวานยองและเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีกนิด เพราะความสูงที่ต่างกันมาก ถ้าฮวานยองก้าวไปสองก้าว มูรยองก็จะต้องสาวเท้าก้าวประมาณสามก้าวเพื่อให้ความเร็วทันกัน

ขายาวนี่ดีจังแฮะ

พร้อมกับความคิดเรื่อยเปื่อยนั้น ความสงสัยอีกอย่างก็ผุดขึ้นมา

ไม่นึกว่าจะพามาง่ายๆ แบบนี้เลยแฮะ

ความจริงตอนบอกฮวานยองว่าจะขอไปนอนค้างคืนหนึ่ง มูรยองก็กำลังคิดหาข้ออ้างมากมายในหัว ตั้งแต่เหตุผลพื้นๆ อย่าง ‘ต้องไปสังเกตการณ์ก่อนถึงจะรู้สถานการณ์’ ไปจนถึงข้ออ้างที่ดูไร้สาระอย่าง ‘มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะต้องไปนอนค้างบ้านคนที่ว่าจ้างหนึ่งคืน’

‘…เอาสิ’

ทว่าฮวานยองกลับพยักหน้าโดยไม่ถามอะไรเลยสักนิด แม้สายตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย แต่ก็ดูไม่ได้คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม เขาทำเพียงหยิบกระเป๋าที่แขวนอยู่ตรงโต๊ะและเป็นฝ่ายลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนก็เท่านั้นเอง

‘ไปกันเถอะ บ้านฉันค่อนข้างไกลจากที่นี่’

และก็เป็นอย่างที่เขาบอก การมาบ้านของฮวานยองกินเวลามากกว่าสองชั่วโมง และปัญหาก็อยู่ตรงที่เขากลับบ้านด้วยการ ‘เดินเท้า’ เท่านั้น ไม่มีการขึ้นรถบัสหรือรถไฟใต้ดินใดๆ มูรยองไม่ใช่คนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอะไร แต่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือความกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกนี่แหละ

“…”

“…”

ตั้งแต่ตอนออกจากโรงเรียนมาจนถึงตอนนี้ ฮวานยองปิดปากเงียบและมองเพียงแค่ทางข้างหน้า ท่าทางที่เหมือนกำลังคิดอะไรอย่างจดจ่อนั้นทำให้แม้แต่มูรยองที่มีความสามารถในการผูกมิตรดีเป็นเลิศก็ยังไม่กล้าชวนคุย บทสนทนาเดียวระหว่างพวกเขามีแค่ตอนที่มูรยองขอให้อีกฝ่ายรอสักครู่ตอนที่เห็นดอกเบญจมาศวางอยู่ตรงทางแยกเท่านั้น

“เอ่อ…ไม่ต้องบอกพ่อแม่ก่อนเหรอ”

มูรยองแสร้งถามฮวานยองไปอย่างนั้นเพื่อให้บรรยากาศน่าอึดอัดผ่อนคลายลง เสียงของเขาไม่ได้ดังอะไรมาก แต่ฮวานยองก็หันกลับมามองในทันที ดูท่าคงจะตกใจเล็กน้อยหลังจากจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่นาน

“…พ่อแม่ฉันไม่ได้อยู่ที่บ้าน”

คงเป็นเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ฝีเท้าของฮวานยองเลยช้าลง มูรยองที่ในตอนนี้สามารถก้าวเท้าทั้งสองด้วยจังหวะเดียวกับฮวานยองได้พลันหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ

“นายอยู่คนเดียวเหรอ”

“อืม พวกท่านเสียไปแล้ว”

“…”

ความอึดอัดทวีขึ้นเป็นเท่าตัว เหตุผลที่มูรยองไม่รีบขอโทษออกไปทันทีเป็นเพราะฮวานยองมีสีหน้าว่างเปล่าเกินไป

ดันเลือกเรื่องมาคุยผิดเอาซะได้

มูรยองใช้ฟันหน้ากัดริมฝีปากล่างพลางนึกตำหนิความเซ่อของตัวเอง

“ใกล้แล้วล่ะ แค่เลี้ยวตรงกำแพงนั้นก็ถึงแล้ว”

ถนนที่คดเคี้ยวมุ่งตรงสู่สถานที่ที่ดูเปลี่ยวขึ้นทุกทีๆ เขาสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนเหยียบย่างเข้ามาในซอยแล้วว่ามันเป็นละแวกบ้านที่มีความพิลึกชอบกลสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นอากาศเย็นชวนขนลุก หรือแผ่นยันต์ที่แปะอยู่เป็นระยะตามกำแพงหินและต้นไม้สองข้างทางซึ่งสร้างภูมิทัศน์ที่แปลกตาจนรู้สึกเสียวสันหลัง

ยันต์พวกนี้ดูไม่ค่อยมีพลังเลยแฮะ

มูรยองดูออกในทันทีว่ายันต์ทั้งหมดนั้นเป็นของคนทรงเจ้ามือใหม่ เพราะแม้จะเก่าและขาดแค่ไหน แต่เขาก็สัมผัสถึงพลังวิญญาณจากพวกมันไม่ได้เลยสักนิด แถมการแปะยันต์โดยไม่คำนึงถึงทิศทางนั้นก็ดูเหมือนคนแปะจะไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้เลยจริงๆ

ของแบบนี้อย่าว่าแต่ปีศาจเลย ต่อให้เป็นแค่ผีทั่วไปก็กันไม่ได้หรอก

บางทีพลังวิญญาณของฮวานยองอาจเป็นประเภทที่อยู่นอกเหนือจากที่มือปราบวิญญาณทั่วไปมี ขนาดคนเป็นที่มีชีวิตอย่างมูรยองยังรู้สึกได้ว่ามันบริสุทธิ์ แล้วกับพวกวิญญาณที่ปรารถนาชีวิตจะหอมหวานขนาดไหนกัน เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่พวกมันจะกระหายและอยากยื่นมือไปลองแตะต้องดูสักครั้ง แม้วิญญาณของตัวเองจะต้องถูกมันแผดเผาก็ตาม

เหมือนกับตัวเมื่อกี้…

มูรยองหรี่ตาลงพลางนึกถึงปีศาจตนที่เกาะอยู่กับฮวานยอง พลังหยินปริมาณมหาศาลจนแทบจะครอบงำเขาได้เป็นพลังหยินแบบเดียวกับคนที่ตายมานานแล้ว ดูท่ามันคงได้พบเจอความตายที่ไม่ยุติธรรมน่าดู หรือไม่มันก็อาจจะหลงทางและเร่ร่อนมานานกว่าที่เขาคาดการณ์

มีความเป็นไปได้สูงว่าที่ซึงจูได้รับบาดเจ็บอาจเป็นฝีมือของปีศาจตนนั้น เนื่องจากมันไม่สามารถสัมผัสฮวานยองได้โดยตรงก็เลยไปก่อกวนตามสถานที่ต่างๆ ที่มีร่องรอยพลังวิญญาณของเขาอยู่ นับเป็นการกระทำที่ทำไปด้วยความโกรธแค้น ซึ่งตามปกติสิ่งที่ตายไปแล้วก็มักมีจิตใจที่น่าเกลียดน่ากลัวเช่นนั้น

ต้องจับให้ได้ก่อนจะสายเกินไป

มูรยองที่เกิดมาในตระกูลมือปราบวิญญาณสายเลือดเข้มข้นได้รับการสั่งสอนมาว่า ‘ถ้าเห็นปีศาจต้องตามหาและกำจัดมันทิ้ง’ เพราะวิญญาณที่สูญเสียจิตสำนึกไปแล้วจะไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีก แน่นอนว่ามูรยองมีวิธีที่สันติกว่านั้น แต่ถ้าถูกจับได้เรื่องที่ทำให้ปีศาจหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาแบบเมื่อกี้ แม่ที่ดุเหมือนเสือมีหวังได้กลับมาเข้มงวดเรื่องกฎแบบไฟลุกกับเขาแน่ๆ

แต่เหตุผลที่ทำให้มูรยองวุ่นวายใจไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว แค่โดนดุเดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว แถมเขาก็ยังไม่ใช่มือปราบวิญญาณแบบเป็นทางการสักหน่อย ทว่าอีกเรื่องที่เขาวุ่นวายใจนั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ฮวานยองพูดยังติดค้างอยู่ในใจตลอดเวลา

‘คนที่แตะตัวฉันมักจะเจ็บตัว’

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มูรยองก็ไม่อยากเห็นใครเจ็บปวด เขาอยากให้ทุกคนที่รู้จักมีแต่วันที่ราบรื่นและสงบสุข นั่นรวมถึงฮวานยองที่เพิ่งรู้จักกันแค่หน้าตาด้วย

‘ฉันไม่ได้บาดเจ็บ’

อย่างกับคนโง่ไม่มีผิด เขาเพิ่งเข้าใจหลังได้ฟังมัน สิ่งที่ฮวานยองบาดเจ็บไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจต่างหาก

มูรยองที่คิดมาถึงตรงนี้ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง ตรงสุดกำแพงที่ฮวานยองบอกมียันต์หน้าตาธรรมดาๆ แปะอยู่ ลับหลังฮวานยอง มูรยองก็ยืดแขนออกไป ก่อนจะใช้มือที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณถ่ายเทพลังให้กับยันต์แผ่นนั้น

มันคือวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่างน้อยเวลาฮวานยองผ่านถนนสายนี้ก็จะไม่มีอะไรมารังควานเขาได้ แม้จะกันได้อย่างมากแค่วันเดียว แต่ก็ยังได้ผลระดับหนึ่งกับพวกผีที่มีพลังอ่อนแอ

“นี่บ้านนายเหรอ”

“อืม”

พวกเขาเดินผ่านกำแพงหินมาหยุดตรงหน้ารั้วเหล็กบางๆ เนื่องจากใช้เวลาไปพักใหญ่ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว รอบด้านจึงมืดไปหมด ฮวานยองหยิบกุญแจออกมาจากตู้จดหมาย ก่อนจะเปิดประตูและเดินนำเข้าไปข้างใน

บ้านที่พวกเขาเข้ามา ถ้าเทียบกับสภาพภายนอกที่ดูเก่าแก่แล้วก็นับว่าเป็นบ้านที่มีร่องรอยเสื่อมโทรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้หญ้าในสนามจะเหี่ยวแห้งและมีเศษสีทาบ้านที่หลุดล่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แต่หากดูแลดีๆ ก็คงเป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศที่ดูใช้ได้เลยทีเดียว

“บ้านสวยจัง”

ถึงนั่นจะไม่ใช่คำพูดที่คาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับ แต่ฮวานยองกลับทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังอยู่เลยสักนิด เขาทำเพียงแค่เหลือบมองมูรยองและมุ่นคิ้วราวกับไม่เข้าใจ หลังจากใช้กุญแจไขประตูหน้าบ้าน เขาก็เปิดประตูออกกว้างและหันไปพยักหน้าเรียกมูรยอง

“เข้าไปสิ”

“…”

จู่ๆ มูรยองก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขากำสายกระเป๋าเอาไว้แน่นระหว่างก้าวเท้าเข้าไปอย่างช้าๆ

ถึงเขาจะสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนประตูเปิดแล้วก็เถอะ ในบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ทั่ว และมันก็ไม่ใช่พลังวิญญาณของปีศาจ แต่เป็นพลังวิญญาณของคนที่มีชีวิตซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“…อืม”

ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่มูรยองรู้สึกว่าพลังวิญญาณของฮวานยองนั้นใสสะอาดเสียจนจิตใจเขารู้สึกปลอดโปร่งตามไปด้วย และพลังวิญญาณของเจ้าตัวก็แข็งแกร่งมากอีกด้วย

ทันทีที่เดินเข้าบ้านมามูรยองก็รู้สึกราวกับว่าในหัวนั้นโล่งสบาย ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาค่อยๆ ละลายหายไป และสภาพร่างกายก็ราวกับได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ความสดชื่นที่เคยได้รับตอนจับแขนฮวานยองหรือแม้แต่ตอนที่ประสานมือกับเขานั้นไม่อาจเทียบกับความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย

“บ้านนายนี่ดีชะมัดเลยแฮะ…”

มูรยองพูดออกไปจากใจจริง แต่ฮวานยองกลับทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจอีกแล้ว หน้าเขาเหมือนกับคนที่พร้อมจะแย้งอยู่ตลอดเวลาว่า ‘บ้านเก่าๆ แบบนี้มีดีตรงไหนกัน’ มูรยองสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอดรองเท้าไว้อย่างเรียบร้อยที่มุมหนึ่งหน้าปากประตู

“ต้องวางรองเท้าไว้บนชั้นไหม”

“แล้วแต่นายเถอะ”

อย่างไรเสียตรงหน้าประตูก็มีพื้นที่กว้างขวาง ไม่จำเป็นต้องเอาไว้ในชั้นก็ได้ มูรยองก้าวเข้าไปด้านในหนึ่งก้าวแล้วมองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด ในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางมีโทรทัศน์และโซฟาตั้งอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงให้บรรยากาศเงียบเหงา บางทีอาจเป็นเพราะเฟอร์นิเจอร์พวกนั้นดูเก่าและโทรมมากก็เป็นได้

“เออ จริงสิ เดี๋ยวฉัน…”

พอหันมองไปก็พลันต้องหยุดพูดโดยไม่ทันรู้ตัว นั่นเป็นเพราะฮวานยองที่ควรจะเดินเข้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน เมื่อหลุบมองต่ำตามสายตาเขา มูรยองก็เห็นรองเท้าของตัวเองที่วางอยู่อย่างเรียบร้อย

“…ให้วางบนชั้นวางไหม”

มูรยองถามคำถามเดิมอีกครั้ง แต่ฮวานยองก็ยังคงไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่ถอดรองเท้าผ้าใบออกช้าๆ แล้วถามกลับ

“พูดต่อสิ เดี๋ยวจะอะไร”

“อ๋อ…ฉันจะบอกว่าเดี๋ยวฉันขอยืมชุดนอนหน่อยสิ”

รองเท้าผ้าใบสองคู่ที่วางอยู่ข้างกันนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นของเด็กและผู้ใหญ่ คู่หนึ่งดูใหญ่มาก ส่วนอีกคู่ก็ดูเล็กไปทันตาหากลองเปรียบเทียบกัน ถ้าซึงจูมาเห็นเข้า หมอนั่นคงจะปลอบใจเขาว่า ‘นายยังอยู่ในวัยกำลังโตไง’

“ฉันใส่ชุดนักเรียนนอนไม่ไหวอะ”

มูรยองพูดแบบนั้นพลางดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมา เขาใส่เสื้อยืดไว้ข้างในเลยยังพอโอเค แต่อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนกางเกง เพราะคงนอนกลิ้งเกลือกในชุดที่ใส่ไปโรงเรียนมาแล้วทั้งอย่างนี้ไม่ได้ และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วถ้าฮวานยองจะกรุณาให้ยืมเสื้อด้วยก็ยิ่งดี

“ชุดนอน…”

ฮวานยองพึมพำลากหางเสียงยาว ดวงตาที่หรี่ลงพินิจมูรยองตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอียงคอด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออก

“บ้านฉันไม่น่าจะมีไซส์นายนะ”

ที่พูดมานั้นใช่ว่าจะผิดอะไร เพียงแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องคิดหนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้น

“เอาตัวไหนมาก็ได้ ถ้ามันใหญ่ไปเดี๋ยวฉันค่อยใส่แล้วพับแขนเอาง่ายๆ ก็ได้”

แม้มูรยองจะมีวิธีแก้ปัญหาแล้ว แต่สีหน้าของฮวานยองก็ยังไม่คลายออก เขามองไปยังรองเท้าที่ตัวเองถอดไว้แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบาตามปกติ

“แล้วกางเกงในล่ะ”

“อา…จะให้ยืมกางเกงในด้วยเหรอ”

ของแบบนั้นคงไม่มีให้หรอกมั้ง

“ฉันพอมีของใหม่อยู่ นายใส่แล้วก็เอาไปเลย”

ความจริงแล้วมูรยองไม่คิดจะใส่มันนอนด้วยซ้ำ แต่ปากก็ตอบออกไปแล้วว่าโอเค และด้วยความคิดที่ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วลองทำตัวหน้าไม่อายดูสักครั้งจะเป็นไรไป เขาเลยขอแปรงสีฟันสำรองเพิ่มด้วยอีกอย่าง ฮวานยองแค่พยักหน้าตอบเบาๆ ก่อนเดินตัดผ่านห้องนั่งเล่นไปยังด้านใน

“ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวฉันเอาเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนมาให้”

มูรยองเดินตามหลังฮวานยองต้อยๆ ห้องที่ฮวานยองเดินเข้าไปนั้นให้ความรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาหน่อยต่างจากห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ หนังสือแบบฝึกหัดหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ชุดนักเรียนและเสื้อตัวนอกถูกแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า พอได้เห็นสายชาร์จแบตฯ ที่วางอยู่บนเตียงก็รู้สึกเหมือนไม่ต่างจากมันกำลังนอนพักอยู่

“แล้วก็ที่บ้านฉันไม่มีอะไรกินนอกจากข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อ…”

ท่ามกลางข้าวของในห้อง มูรยองไม่อาจละสายตาไปจากกรอบรูปบนโต๊ะเขียนหนังสือได้ มันเป็นรูปถ่ายของเด็กน้อยสองคน ปัญหาคือเด็กทั้งคู่ต่างดูเหมือนฮวานยองในวัยเด็ก เด็กคนซ้ายคือคีฮวานยอง เด็กคนขวาก็คือคีฮวานยองเช่นกัน

“…ฝาแฝด?”

ปึง

กรอบรูปพลันคว่ำหน้าลง มือที่ใหญ่พอจะปิดรูปทั้งรูปคว่ำกรอบรูปลงอย่างแรง มูรยองสะดุ้งเฮือกแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นฮวานยองที่มีสีหน้าน่ากลัว

“นายจะทำอะไร”

“…”

มันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่ดูรุนแรงเกินไป มูรยองมีตา เขาก็แค่มองดูสิ่งที่วางอยู่ก็เท่านั้นเอง

“โทษที ฉันจะไม่มองแล้ว”

ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นฝ่ายบอกขอโทษออกไปตามมารยาท ถ้ามันเป็นสิ่งที่ฮวานยองไม่อยากให้เห็น มูรยองเองก็ไม่อยากขุดคุ้ย

แต่จะว่าไป…

ตายไปแล้วสินะ?

เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ…หนึ่งคนในรูปไม่ใช่คนที่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ภายในบ้านหลังนี้นอกจากตนเองและฮวานยอง เขาก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของใครอีกเลย หน้าประตูบ้านมีเพียงรองเท้าของพวกเขาสองคน มุมอื่นๆ ในบ้านก็หาร่องรอยของผู้คนไม่พบ ต่อให้จะฝืนคิดว่าฝาแฝดของฮวานยองจะใช้ข้าวของทุกอย่างร่วมกับฮวานยอง แต่ก็ยังน่าแปลกอยู่ดีที่ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่เลย

“นั่นคือเสื้อผ้าที่จะให้ฉันยืมใช่ไหม ขอฉันอาบน้ำแป๊บหนึ่งนะ ว่าแต่ห้องน้ำอยู่ทางไหนเหรอ”

“…”

มูรยองพูดด้วยน้ำเสียงสดใสผิดกับบรรยากาศพร้อมฉวยเสื้อผ้ามาจากมือของฮวานยอง

แม้สายตาจะแฝงไปด้วยความระแวดระวัง แต่ฮวานยองก็ยังช่วยบอกทางไปห้องน้ำให้อย่างไม่อิดออดอะไร พอได้รู้ว่าออกไปแล้วห้องน้ำจะอยู่ด้านขวามือ มูรยองก็ออกมาจากห้องของฮวานยองทันที

ทันทีที่ปิดประตูมูรยองก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยสีหน้าลำบากใจ ความเคร่งเครียดปรากฏขึ้นในดวงตาที่หม่นลงอย่างอ่อนแรง

ฝาแฝดที่ตายไปแล้วกับคีฮวานยองที่มีพลังวิญญาณแบบที่มือปราบวิญญาณยังต้องตกเป็นรอง

“…ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดก็คงจะดี”

เสียงพูดที่เบาราวกับลมหายใจดังแผ่วลงอย่างน่าหวั่นใจ แม้แต่มูรยองที่พูดมันออกมายังมีความมั่นใจในแววตาเพียงแค่ครึ่งเดียว

 

* ฮวานยอง หมายถึงภาพลวงตา

 

Chapter 2-2

 

ในตอนที่มูรยองเดินออกมาหลังอาบน้ำเสร็จ ฮวานยองกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ในบ้านหลังนี้คงมีห้องน้ำอีกห้อง เขาที่เห็นในตอนนี้ถึงได้อยู่ในชุดสบายๆ โดยมีผ้าขนหนูพาดไว้ที่คอ มูรยองมองดูเส้นผมสีดำสนิทที่ยังคงเปียกอยู่นั้นแล้วเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยเสียงเรียบ

“คีฮวานยอง”

“…”

ไหล่กว้างนั้นขยับไหวเล็กน้อย ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่มูรยองก็สังเกตเห็นว่าเมื่อครู่เขาตกใจ พอเห็นว่าเขาหันมามอง มูรยองก็ยิ้มแหยอย่างอายๆ

“โทษทีนะ…แต่นายมีชุดที่เล็กกว่านี้ไหม”

เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนสวมเสื้อที่ฮวานยองให้มาลงบนศีรษะแล้ว

โห ตัวใหญ่ขนาดนี้ใช้แทนผ้าห่มยังได้เลย

“ต่อให้ใช้หนังยางรัดก็น่าจะใส่ไม่ได้อะ”

เสื้อผ้าของฮวานยองใหญ่จนคำที่มูรยองบอกว่า ‘เดี๋ยวใส่แล้วพับแขนเอาง่ายๆ ก็ได้’ กลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ นอกจากแขนเสื้อที่เหมือนจะต้องใส่ไปเต้นระบำซึงมู* แล้ว คอเสื้อยังกว้างจนเห็นกระดูกไหปลาร้า แม้แต่ตอนยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังยาวเกินแขนเขาไปมาก ต่อให้เอาเสื้อผ้าของพ่อมาใส่ก็ยังไม่ขนาดนี้

แต่เสื้อก็ยังนับว่าดีมากแล้ว เพราะในส่วนของกางเกงนั้นมูรยองต้องพับขากางเกงขึ้นมาถึงสี่ทบและใช้หนังยางรัดให้แน่นสุดชีวิตกว่าจะออกมาจากห้องน้ำได้ ไหนจะตรงส่วนเอวที่คอยแต่จะไหลลงจากเอวอีก พอปล่อยมือที่จับไว้อย่างเก้ๆ กังๆ สภาพเขาก็ดูไม่จืดเลย

“นายนี่สูงชะมัดเลยแฮะ…”

“หึ”

ฮวานยองแค่นหัวเราะให้กับรอยยิ้มเก้อเขินนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่ามันคล้ายกับการหัวเราะแบบหมดคำจะพูดมากกว่า

“ก็บอกแล้วไงว่าบ้านฉันไม่มีไซส์นาย”

“ก็ฉันไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้นี่”

เขาเองก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไซส์คงต่างกันประมาณหนึ่ง ฮวานยองตัวโตกว่านายแบบเสื้อผ้าทั่วไป ส่วนมูรยองก็จัดว่าค่อนข้างตัวเล็กหากเทียบกับเด็กนักเรียนที่ยังอยู่ในวัยกำลังโต แต่เขาลืมนึกไปว่าไม่ใช่แค่ส่วนสูงเท่านั้นที่ต่าง แต่โครงสร้างกระดูกพื้นฐานของลำตัวก็ต่างกันด้วย

“…ฉันขอถอดกางเกงไปเลยได้ไหม”

ก็ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้ใส่แค่กางเกงใน หมอนี่ก็คงไม่คิดมากอะไรหรอกมั้ง ยังไงเสื้อก็ยาวอยู่แล้ว สภาพก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรสักหน่อย ถึงกางเกงในจะใหญ่ไปนิดแต่ก็คงไม่ถึงกับไหลลงมากองหรอก

“เดี๋ยวไปเอาเสื้อผ้าตอน ม.ต้น มาให้ใส่แทนแล้วกัน”

ฮวานยองเดินตรงเข้าห้องไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มูรยองดึงเอวกางเกงขึ้นมาอย่างเขินๆ และมองตามแผ่นหลังนั้นพลางคิดว่าครั้นจะไม่ใส่กางเกงเลยก็คงดูน่าเกลียดอยู่หน่อยๆ

เสื้อผ้าที่ฮวานยองถือกลับมาอีกครั้งคือเครื่องแบบชุดพละฤดูร้อนของโรงเรียนมัธยมต้นที่เขาเคยเรียน เสื้อคอปกสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีเขียวดูเป็นไซส์ที่ไม่เข้ากับฮวานยองในตอนนี้เลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใหญ่เกินตัวมูรยองอยู่ดี

“นายสูงเท่าไหร่กันเนี่ย สูงแบบนี้มาตั้งแต่ ม.ต้น เลยเหรอ”

ฮวานยองโยนผ้าขนหนูลงตะกร้ารอซักแล้วหยิบข้าวกล่องร้านสะดวกซื้อออกมาจากตู้เย็นสองกล่อง ก่อนจะกดปุ่มไมโครเวฟดังปิ๊บพลางตอบว่าเขาตัวค่อนข้างสูงมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นแล้ว ตอนตรวจร่างกายครั้งล่าสุดเขาก็สูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ในตอนที่มูรยองบอกว่า “อิจฉาจัง” เขาก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าไม่ได้ยินดีเท่าไหร่นัก

“ตามมาทำไม”

“เอ่อ…”

มูรยองที่คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ยิ้มแหยออกมา ถึงจะไม่ได้ยิ้มกว้างอะไร แต่รอยลักยิ้มบุ๋มลึกนั้นก็ยังปรากฏขึ้นมาตรงกลางแก้ม ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เสมองไปทางอื่น

“พอเห็นนายเตรียมอาหาร แต่ฉันนั่งอยู่เฉยๆ แล้ว มันก็แบบว่า…”

“…”

สีหน้าของฮวานยองเหมือนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สายตาที่จ้องมองไมโครเวฟดูสับสนอยู่ในที เมื่อเสียง ‘ติ๊ง’ ดังขึ้นอย่างได้จังหวะพอดี เขาก็พยักพเยิดไปทางมุมหนึ่งของโต๊ะ

“ไปนั่งซะ มันเสียสมาธิ”

“อื้อ”

มูรยองนั่งลงที่โต๊ะอย่างว่าง่ายและนิ่งรอจนฮวานยองเอาข้าวกล่องมาให้ ฮวานยองหยิบตะเกียบไม้ออกมาจากตู้แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็บอกมูรยองที่ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่กับที่ด้วยน้ำเสียงเหมือนหงุดหงิดอย่างเคย

“กินได้แล้ว”

มูรยองเปิดฝากล่องข้าวราวกับกำลังรออยู่แล้ว คงต้องโทษเวลาที่ล่วงเลยมาจนค่ำจนเขารู้สึกหิวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มูรยองเพิ่งรู้ว่าข้าวสวยสีขาวและไข่ม้วนนุ่มๆ มันดูน่าอร่อยได้มากขนาดนี้ เห็นทีที่เขาว่ากันว่าเครื่องเคียงที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือความหิวนั้นคงจะเป็นความจริง

“จะกินให้อร่อยล่ะนะ”

ฮวานยองตอบกลับคำพูดที่ดังลั่นออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสนั้นด้วยการถอนหายใจอย่างเอือมๆ พร้อมกับเสียงบ่นที่ว่า “ทำตัวเป็นลูกหมาไปได้…” ตอนนั้นเองมูรยองถึงได้รู้ตัวว่าตนเองเผลอทำตัวเหมือนลูกหมาไปหน่อย

“จะว่าไปฉันเลี้ยงหมาด้วยนะ”

“…หืม?”

“อยากดูรูปไหมล่ะ”

มูรยองหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาและเปิดอัลบั้มภาพโดยไม่รีรอคำตอบ รูปทั้งหมดที่มีอยู่เต็มโฟลเดอร์นั้นคือรูปเจ้าซอลกี นอกเหนือจากนั้นก็มีแต่รูปแมวจรจัด

“ดูรูปนี้สิ น่ารักใช่ไหมล่ะ”

“…”

และนั่นก็เป็นหัวข้อการสนทนาที่ทำให้ดวงตาของฮวานยองมีชีวิตชีวาขึ้นมา เขามองดูรูปเจ้าซอลกีอย่างตั้งอกตั้งใจ และพอเห็นรูปที่มันนอนหงายโชว์พุง สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลง ดวงตาสีดำสนิทส่องประกายดูอ่อนโยน มูรยองเห็นดังนั้นจึงอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ฉันตั้งชื่อมันว่า ‘ซอลกี’ เพราะมันเหมือนแพ็กซอลกี* ตอนนี้มันอายุได้สิบสองขวบแล้วล่ะ แถมมันยังทำตัวน่ารักออดอ้อนเก่งมากด้วยนะ”

เจ้าซอลกีเป็นลูกหมาที่พ่อของมูรยองเก็บมาจากข้างถนนตั้งแต่มูรยองยังเด็ก สิ่งที่ตัวเล็กกว่าฝ่ามือสองข้างในคราแรกนั้นตอนนี้กลับตัวโตขึ้นจนมีขนาดเท่าๆ กับหมาพันธุ์จินโด** ขนของมันดูนุ่มฟู หูพับลงมาครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนมันจะเป็นลูกผสมระหว่างหมาพันธุ์พุงซาน*** กับพันธุ์อะไรอีกสักอย่าง

“แพ็กซอลกี? ต๊อก?”

“อื้ม เหมาะดีใช่ไหมล่ะ”

ฮวานยองเพ่งมองรูปด้วยสีหน้าอ่านยาก รูปนั้นเป็นรูปเจ้าซอลกีนอนแหมะอยู่บนพื้นพลางแลบลิ้น เป็นรูปที่เขาน่าจะถ่ายไว้ได้ตอนที่มันไปวิ่งเล่นกับเขามาราวๆ สองชั่วโมงและเหนื่อยจนหมดแรงไปด้วยกัน

“แพ็กซอลกีซะที่ไหน นี่มันอินจอลมี**** ต่างหากล่ะ”

“…”

มูรยองปรายตาดูรูปเจ้าซอลกีที่ตอนนี้เปลี่ยนไปมากจากตอนเด็กๆ ขนของมันกลายเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลเหมือนกับแป้งต๊อกที่ย่างจนสุกได้ที่ แต่ในสายตาเขามันก็ยังคงเป็นเจ้าลูกหมาน้อยตัวสีขาวที่น่ารักเหมือนเดิม

พออวดเจ้าซอลกีได้ครู่หนึ่ง มูรยองก็ตั้งหน้าตั้งตากินข้าว เป็นเพราะเขาไม่เลือกกินและกินได้ทุกอย่าง ท่าทีของเขาเลยดูเหมือนกำลังดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศ พอเห็นมูรยองเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เต็มปากแล้ว ฮวานยองจึงเอ่ยปากบอกเขาเบาๆ

“ไม่พอก็บอกนะ”

ฮวานยองมีสีหน้าว่างเปล่าเหมือนกำลังเคี้ยวทราย ต่างจากมูรยองที่ดูกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก แม้เขาจะไม่ได้ฝืนใจกิน แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะกินมันเพราะเห็นเป็นเพียงกิจวัตรก็เท่านั้น มูรยองนึกถึงข้าวกล่องที่ถูกแช่ไว้เต็มตู้เย็น ก่อนจะกลืนอาหารในปากลงคอ

“…ครั้งหน้านายไปกินข้าวที่บ้านฉันไหม”

ฮวานยองเลื่อนสายตาขึ้นมองมูรยอง มือที่ถือตะเกียบชะงักค้างกลางอากาศ

“บางวันบ้านฉันมีกับข้าวเยอะเลย ซึงจูก็แวะมากินด้วยกันบ่อยๆ เอาไว้นายเองก็มาบ้างสิ”

มูรยองก็แค่เชิญชวนไปตามนิสัย ไม่ได้คิดว่าฮวานยองจะมาจริงๆ เขาแค่ต้องการจะสื่อความว่าอยากตอบแทนบ้างสักครั้งที่ช่วยดูแลเขาหนึ่งวัน แต่ฮวานยองที่ได้ฟังคำพูดของมูรยองกลับตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ตอนนี้นายไม่ได้มาเที่ยวเล่นอยู่นะ”

และนั่นก็เป็นคำที่ทำให้บทสนทนากลับสู่ความเป็นจริงในทันที ทั้งยังเป็นคำที่ขีดเส้นคั่นสถานะระหว่างฮวานยองกับมูรยองด้วย มูรยองพยักหน้าเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดเชิงตำหนิที่เขาควรจะรู้สึกอับอาย

“อื้ม ฉันรู้น่า”

และแล้วมูรยองก็เงียบปากไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีการพูดแก้ตัวหรือแสดงออกว่าไม่พอใจกับคำพูดของฮวานยอง หลังจากกินข้าวที่เหลืออยู่จนหมดมูรยองก็เพียงแค่ยิ้มตาหยีแล้วถามขึ้น

“ขอกินอีกกล่องได้ไหม”

สุดท้ายมื้ออาหารก็จบลงหลังจากที่มูรยองกินข้าวหมดไปอีกกล่อง ฮวานยองเองก็กินไปสองกล่องเช่นกัน ความจริงแล้วความเร็วในการกินของทั้งคู่นั้นไม่ต่างกันเลย

ฮวานยองเก็บโต๊ะพลางสั่งให้มูรยองนั่งอยู่กับที่เฉยๆ พอจัดการกับขยะเสร็จเขาก็เอาแปรงสีฟันอันใหม่มายื่นให้

หลังจากแปรงฟันเสร็จก็ถึงเวลาเข้านอน เป็นเพราะต้องใช้เวลานานมากในการเดินทางไปโรงเรียน ถ้าพรุ่งนี้จะเดินทางไปด้วยวิธีเดิม พวกเขาก็ต้องตื่นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดแล้วออกเดินทาง

“…เดินไปกลับโรงเรียนคงจะเหนื่อยน่าดูเลยแฮะ”

คำพูดที่บอกออกมาจากใจถูกอีกฝ่ายเมินโดยไม่มีการตอบกลับเช่นเคย ฮวานยองมองมูรยองด้วยดวงตาที่ไร้ซึ่งความซาบซึ้งในความเห็นอกเห็นใจ ก่อนขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เตียง ดูเหมือนเขากำลังคิดหนักว่าจะนอนกันอย่างไร

“ไม่มีผ้าห่มสำรองเหรอ”

“มันก็มีอยู่หรอก…”

งั้นแค่เอามาปูพื้นก็นอนได้แล้วนี่ หมอนี่กังวลอะไรกันนะ

ถ้าไม่อยากนอนด้วยกันก็บอกให้เขาไปนอนห้องอื่นก็ได้ แต่แล้วฮวานยองก็พูดในสิ่งที่ดูไม่เข้ากับเจ้าตัว ทั้งยังต่างไปจากที่เขาคาดคิดไว้สุดๆ

“แต่มันบางน่ะ”

“…”

‘บางแล้วนอนไม่ได้หรือไงกันเล่า’ มูรยองเกือบหลุดถามแบบนั้นออกไปแล้ว เพราะต่อให้อุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนจะแตกต่างกันมาก แต่ช่วงนี้ก็ยังเป็นฤดูกาลที่เขาคิดถึงเครื่องแบบฤดูร้อนในช่วงกลางวัน

“ตั้งแต่อาทิตย์หน้าพวกเราก็จะใส่เครื่องแบบฤดูร้อนได้แล้วแฮะ”

คำพูดนั้นต้องการจะสื่อว่า ‘ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า’ แต่ฮวานยองไม่ได้ฟังเขาเช่นเคย มูรยองยื่นหน้าไปมองฮวานยองที่อยู่ไม่ไกล

“ฉันไม่ได้ขี้หนาว”

“…”

“แถมยังนอนหลับสบายได้ทุกที่ด้วย”

“…”

“…ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ”

ดวงตาสีดำสนิทที่ราวกับน้ำหมึกจ้องมองมูรยองนิ่ง ดูท่าจะเห็นแย้งกับบางอย่าง ปัญหาคือมูรยองไม่รู้ว่าบางอย่างที่ว่านั้นคืออะไร พอมูรยองเอียงคอ ฮวานยองก็ขยับริมฝีปากช้าๆ

“ตัวก็แค่นี้…”

มูรยองไม่ได้ยินคำพูดต่อจากนั้น จากระดับความสามารถในการได้ยินของมูรยองแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ยินก็เป็นไปได้สูงว่าฮวานยองไม่ได้ส่งเสียงออกมา ก่อนที่เขาจะทันได้ถามว่าคำที่หายไปจากปากคือคำว่าอะไร ฮวานยองก็ขมวดคิ้วพร้อมกับทำหน้าขมขื่น

“…เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าห่มมาปูให้”

หลังจากพูดแบบนั้นแล้วฮวานยองก็ออกไปจากห้อง ตอนกลับมาเขาถือผ้าห่มสำหรับฤดูร้อนที่คงมีสำรองติดไว้ในอ้อมแขน เขาปูผ้าลงบนพื้นและเอาผ้าห่มที่ก่อนหน้านี้อยู่บนเตียงมาวางทับไว้ด้านบน

“ให้ฉันห่มผืนนี้เหรอ”

“อืม”

นับเป็นการจบปัญหาที่สมบูรณ์แบบ ปัญหาถูกแก้ไขอย่างง่ายดายจนสิ่งที่เขากังวลก่อนหน้านี้ดูจะเปล่าประโยชน์ไปเลย มูรยองนอนลงบนพื้นอย่างไม่อิดออดอะไร ฮวานยองเห็นอย่างนั้นก็ปิดไฟในห้องทันที

พริบตาเดียวรอบตัวก็ปกคลุมไปด้วยความมืด นอกหน้าต่างที่มองไม่เห็นแสงจากไฟถนนสักดวงมีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ สาดส่องเข้ามา

มือปราบวิญญาณที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นเต็มที่มีทัศนวิสัยที่ดีกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่าเมื่ออยู่ในความมืด มูรยองเลยมองเห็นได้ชัดว่าฮวานยองกำลังเดินข้ามเท้าเขาขึ้นไปบนเตียง

ตอนเขาเอนหลังลงนอนพร้อมกับห่มผ้า มูรยองก็พูดขึ้น

“นี่…”

เขายังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลภายในบ้านที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณหลังนี้ มันเป็นความค้างคาใจที่รู้สึกอยู่ตลอดนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในละแวกนี้กับฮวานยอง

“นายเกิดตอนกี่โมงเหรอ”

มูรยองกะพริบตาช้าๆ ขณะจ้องมองเพดานว่างเปล่า ทั้งที่เขาคิดไว้แล้วว่าฮวานยองอาจจะไม่ตอบ แต่น้ำเสียงราบเรียบกลับดังตอบกลับมาให้ได้ยิน

“ห้าทุ่มห้าสิบแปดนาที”

“ตรงข้ามกันเลยแฮะ ฉันเกิดตอนกลางวันน่ะ”

ถ้าฮวานยองเกิดช่วงกึ่งกลางของค่ำคืน มูรยองก็เกิดในช่วงกลางวันที่มีดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่กลางฟ้าพอดี แม่ชอบเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเขาเกิดมาในช่วงเวลาที่โลกสว่างสดใสที่สุด

“แล้วนายเกิดวันไหนเหรอ”

หนนี้ฮวานยองกลับนิ่งไปไม่ตอบกลับมาในทันที หลังผ่านไปพักหนึ่งน้ำเสียงแผ่วเบาถึงได้ลอยเข้ามาในหู

“หนึ่งมีนา”

1 มีนา…1 มีนา…

มูรยองนึกตามในใจพลางพลิกตัวไปมา

“วันเกิดก็คล้ายกันอีกแล้วแฮะ ฉันเกิดยี่สิบสามพฤษภาล่ะ”

จังหวะลมหายใจของฮวานยองแปลกไปเล็กน้อยคล้ายกับว่าเขากำลังฝืนหัวเราะหรือไม่ก็ถอนหายใจ เขาเอ่ยถามเบาๆ ทั้งที่ยังนอนนิ่งอยู่

“คล้ายกันตรงไหนไม่ทราบ”

“ก็มันเลยมาแล้วทั้งคู่ไง คล้ายกันเห็นไหมล่ะ”

ถ้าซึงจูได้ยินคงตอบกลับว่าเขาเพ้อเจ้ออีกแล้ว และถึงแม้ฮวานยองจะไม่ได้พูดออกมาแบบนั้น แต่ก็น่าจะกำลังคิดอะไรทำนองเดียวกันอยู่แน่ๆ ในทางกลับกันเมื่อมูรยองก็พูดไปเรื่อยเปื่อยโดยที่ไม่มีความหมายอะไร ฮวานยองเองก็เลยไม่ได้นึกอยากขัดความคิดนั้นเช่นกัน

“…”

“…”

และแล้วบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้น แม้จะไม่มีการบอกฝันดี แต่เสียงลมหายใจของทั้งคู่ก็ค่อยๆ สงบลงราวกับนัดกัน ในอากาศที่เงียบสงัดลงไม่มีเสียงใดดังแทรกขึ้นมาอีก

มูรยองหลับตานิ่งรอให้ฮวานยองหลับ เขาทำได้แค่รอและรออยู่อย่างนั้น

 

สามชั่วโมงต่อมามูรยองลุกขึ้นนั่งโดยไม่ส่งเสียง เขาเลื่อนผ้าห่มที่ไหลลงจากตัวไปไว้ข้างๆ และกลั้นหายใจระหว่างค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอน พอลองหันไปมองก็พบว่าฮวานยองกำลังอยู่ในสภาพที่นอนหลับนิ่งเหมือนตาย

มูรยองเดินเขย่งเท้าออกจากห้องของฮวานยองด้วยท่าทางเหมือนลูกหนู การเปิดประตูค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็เปิดออกได้โดยไม่ทำให้บานพับส่งเสียง

แกร๊ก…

ทันทีที่ปิดประตูลงมูรยองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“โทษทีนะ…ฉันสัญญาว่าจะไม่แตะต้องอย่างอื่นเลย”

มูรยองพูดอย่างจริงใจที่สุดราวกับว่ากำลังสารภาพบาป แม้มันจะส่งไปไม่ถึงฮวานยองที่อยู่ด้านหลังประตู แต่เขาก็คาดหวังแค่ให้ฮวานยองรู้ความในใจของเขาสักนิดก็พอ

ไม่สิ…ถ้ารู้ความในใจเข้า หมอนั่นก็ได้รู้กันพอดีน่ะสิว่าต่อจากนี้เราจะทำอะไร เอาเป็นว่าไม่ต้องรู้อะไรเลยจะดีกว่าไหมนะ

มูรยองส่ายหัวสองสามที จากนั้นจึงก้าวเท้ายาวๆ ออกเดิน สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้แล้วทำให้เดินไปยังห้องนั่งเล่นได้โดยไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร

มูรยองหยุดยืน ณ ใจกลางห้องนั่งเล่น เขายื่นแขนขวาออกไปข้างหน้าก่อนจะผิวปากเบาๆ

เปลวไฟสีฟ้าลุกพึ่บขึ้นมาในจุดที่มือของมูรยองรองอยู่ข้างใต้พอดี แสงวูบไหวที่ขยับพลิ้วราวเต้นระบำอยู่นั้นเหมือนดีใจที่เขาเรียกหา

“วันนี้เราจะมาทำในเรื่องที่นายถนัดที่สุดกัน”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เหมือนกับเอาไว้ใช้หลอกล่อเด็ก เจ้าลูกไฟลอยว่อนขึ้นทันที พอเห็นท่าทีที่ดูคาดหวังเต็มที่แบบนั้นแล้ว มูรยองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเหรียญสิบวอนนะ”

กึก…

เจ้าลูกไฟพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ถึงมันจะยังคงลุกไหม้อยู่ แต่ก็เห็นได้ว่าเปลวไฟนั้นกำลังหรี่มอดลง มูรยองประสานมือเข้าด้วยกันอย่างนอบน้อมพร้อมกับหลุบตาลงอย่างเว้าวอนที่สุด

“ขอโทษทีนะ ไว้คราวหน้าฉันจะให้นายสองเท่าเลย”

เจ้าลูกไฟลอยวนไปมาราวกับลังเล แต่สุดท้ายมันก็หมุนคว้างอย่างรวดเร็วราวกับเล่นสเก็ตและวิ่งวนรอบศีรษะมูรยองรอบหนึ่ง ก่อนกลับมาทิ้งตัวลงตรงกลางฝ่ามือ ท่าทีนั้นหมายความว่าถึงจะไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แต่จะยอมช่วยก่อนก็ได้

“นายต้องตามหาผี”

มูรยองเบาเสียงลงแล้วไหว้วานด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย เจ้าลูกไฟกะพริบตอบรับเสียงกระซิบที่แผ่วเบานั้น มันหรี่แสงลงแล้วก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้งเหมือนจะโอ้อวดว่าตนนั้นทำได้แน่

“หาให้หมดทุกซอกทุกมุมในบ้านหลังนี้”

นายทำได้อยู่แล้วใช่ไหม

พอถามจบเจ้าลูกไฟก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย มันน่าจะเตร็ดเตร่ไปทั่วบ้านเพื่อตามหาผีตามที่มูรยองสั่ง

วันนี้มูรยองวางแผนไว้ว่าจะส่งผีทุกตัวในบ้านนี้ไปสู่สุคติ

 

“ฮ้าววว”

มูรยองหาวหวอดเสียงดัง หยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่บนหางตาที่ดูเหนื่อยล้าของเขาจนสายตาที่เคยชัดเจนพร่าเบลอ เขายกมือที่เพิ่งใช้ปิดปากมาเช็ดน้ำตา ตามด้วยเหยียดแขนขึ้นด้านบนเพื่อบิดขี้เกียจ

“อื๊อออ…”

สายตาของฮวานยองมองตามเสียงร้องครวญคราง เขามองมูรยองเงียบๆ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้โทนสูงต่ำ

“ไหนบอกว่านอนหลับสบายได้ทุกที่ไง”

มูรยองหัวเราะแก้เก้อแทนคำตอบ เขาบอกไม่ได้ว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมายันเช้าเลยได้แต่ตีเนียนข้ามคำถามนั้นไปด้วยการตอบว่า “นั่นสิ ปกติฉันก็นอนหลับสบายนะ” ทันทีที่ตอบแบบนั้นฮวานยองก็หันหน้าไปเหมือนไม่ได้สนใจ

ยามรุ่งสางที่รอบตัวยังมืดสลัว พวกเขาเริ่มออกเดินเคียงข้างกันไปโรงเรียนตั้งแต่ยังเช้ามาก ระหว่างที่เดินไปตามถนนที่ทั้งคดเคี้ยวและเปลี่ยวร้างนั้น มูรยองไม่ลืมที่จะสัมผัสยันต์ที่แปะอยู่ตามกำแพงหินอีกรอบ และพอทำเช่นนั้นเขาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ เลยต้องหันไปชวนฮวานยองคุย

“ว่าแต่นายไปโรงเรียนเช้าชะมัดเลยแฮะ”

ฮวานยองตื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้น ซึ่งเป็นตอนที่มูรยองเพิ่งจะทำเป็นหลับได้ไม่นาน และก็เป็นตอนที่เขาหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะใช้พลังจิตไปจนพลังวิญญาณแทบหมดเกลี้ยงด้วย

ฮวานยองไม่ปลุกมูรยอง แต่กลับเดินออกไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ ตามด้วยเตรียมอาหารเช้าจนเสร็จแล้วค่อยมาปลุกเขาให้ตื่น

“ถ้าจะไม่ให้สายก็ต้องออกเวลานี้”

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มูรยองจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนผ้าห่มอยู่พักใหญ่ เพราะเขาเหนื่อยมากเลยไม่จำเป็นต้องแกล้งแสดงใดๆ อันที่จริงถ้าได้หลับตาต่ออีกสักห้าวินาที เขาก็คงจะหลับสนิทแบบที่ต่อให้โดนอีกฝ่ายลากขึ้นหลังไปเขาก็ไม่รู้ตัว

“คงจะลำบากน่าดูเลย”

มูรยองที่พูดงึมงำเหมือนคุยคนเดียวก้าวเดินไปอย่างเงียบๆ พอพ้นจากละแวกบ้านก็จะผ่านถนนสายเดียวกับเมื่อวานจนกระทั่งเดินมาถึงทางแยกที่คุ้นตา กว่าสองชั่วโมงที่พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลย ตอนนี้ฮวานยองทำเพียงแค่จ้องมูรยองที่ดูง่วงทั้งที่เท้าก็กำลังก้าวเดิน พร้อมกับคอยพูดปรามเป็นระยะๆ ว่า ‘ไม่ใช่ทางนั้น’

“…นายมาสายอาทิตย์ละกี่ครั้งเหรอ”

ดูจากเส้นทางแล้วก็เป็นเส้นทางที่ต้องออกเวลานี้ถึงจะไม่สายจริงๆ นั่นแหละ ถ้าเป็นมูรยองคงยอมนอนค้างที่โรงเรียนไปแล้ว ไม่สิ…ก่อนจะถึงขั้นนั้นเขาคงเลือกใช้ขนส่งสาธารณะก่อน แต่ฮวานยองกลับตอบออกมาอย่างมั่นใจจนเขารู้สึกเหมือนถูกเจ้าตัวย้อนถามกลับว่า ‘ทำไมนายถึงได้ถามอะไรอย่างนั้นออกมากัน’

“ตั้งแต่เรียนที่นี่มาฉันไม่เคยสายเลยสักครั้ง”

“…”

ระยะทางซึ่งเดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันใกล้อยู่แล้ว พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่าห่างไกลยิ่งกว่าเดิม มูรยองถอยออกมาแล้วเบี่ยงข้างหันมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับฮวานยอง ทีแรกเขานึกว่าคนที่ขยันขนาดนี้บนโลกใบนี้จะมีเพียงซอซึงจูคนเดียวเท่านั้น ทว่านี่กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ความเชื่อนั้นของมูรยองแตกสลายเป็นชิ้นๆ

นักเรียนที่มาถึงโรงเรียนแล้วมีอยู่บางตาเนื่องจากตอนนี้ยังเช้ามากอยู่ แต่ในบรรดานักเรียนไม่กี่คนนั้น มูรยองก็ยังได้เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาและทักทายไปหลายรอบ

‘หวัดดี มูรยอง’ ‘วันนี้มาเช้าจังนะ’ ‘ทำไมวันนี้มาไม่สายได้ล่ะเนี่ย’ ‘ได้ข่าวว่าวันนี้ซึงจูจะมาโรงเรียนเหรอ’

‘ไง หวัดดี’ ‘ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ’ ‘ปกติฉันก็ไม่ได้มาสายบ่อยสักหน่อย’ ‘เห็นซึงจูบอกว่าวันนี้จะมาโรงเรียนนะ’

ไม่ว่ามูรยองจะคุยกับใคร ฮวานยองก็ยังคงมองแค่ทางข้างหน้าและเดินต่อไปอย่างเงียบๆ อันที่จริงพวกเขาแค่เดินอยู่ด้วยกันเพราะจะไปทางเดียวกันเท่านั้น การจะบอกว่านี่คือ ‘การมาโรงเรียนด้วยกัน’ มันก็กระไรอยู่ แต่ความคิดของคนที่เห็นพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันนั้นกลับต่างออกไป

ทำไมสองคนนั้นถึงอยู่ด้วยกันได้ล่ะ

มูรยองรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมามากกว่าห้าครั้งแบบไม่เกินจริง ทั้งเพื่อนฝูงที่ทักทายมูรยอง ทั้งเด็กนักเรียนที่เคยเห็นหน้าค่าตากันผ่านๆ หรือแม้แต่กรรมการนักเรียนที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนก็ยังมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ

มันคล้ายกับเมื่อวานตอนเขายืนอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องเรียนกับฮวานยอง พอกำลังจะลืมสายตาที่มองมาราวกับกำลังดูลิงในสวนสัตว์ทีไร ความรู้สึกจากสายตานั้นก็จะตีเข้าที่ท้ายทอยของเขาเสมอ มันเป็นสายตาสนใจกึ่งอยากรู้อยากเห็น

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มูรยองเป็นนักแก้ไขปัญหาชื่อดังสำหรับคนทั้งโรงเรียน ส่วนฮวานยองเองก็โด่งดังในฐานะ ‘คนหล่อ’ ของโรงเรียนเช่นกัน ขนาดต่างคนต่างอยู่พวกเขายังเป็นประเด็นให้พูดถึง ยิ่งมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสัย

“โอ๊ะ นั่นซึงจูนี่”

ในจังหวะที่พวกเขาผ่านสนามกีฬาและเดินมาถึงทางขึ้นอาคารเรียน มูรยองที่มองไปด้านหลังแบบผ่านๆ ก็เห็นซึงจูกำลังเดินเข้าประตูโรงเรียนมาพอดี อีกฝ่ายมีเฝือกที่แขนข้างขวาและใส่เพียงเสื้อยืดแขนสั้นโดยไม่ใส่เสื้อนักเรียน

“ซอซึงจู!”

มูรยองเรียกซึงจูเสียงดังพลางจับแขนฮวานยองเอาไว้ ฮวานยองที่ทำท่าจะแยกตัวจากมูรยองเข้าไปในตึกพลันขมวดคิ้วพร้อมกับสะบัดมือออก

“บอกแล้วไงว่าอย่าแตะตัวฉัน…”

“ฉันก็ไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรสักหน่อย”

“ว่าไงนะ”

พอเห็นซึงจูขมวดคิ้วอยู่ไกลๆ เหมือนกำลังคิดว่า ‘ทำไมสองคนนั้นมาอยู่ด้วยกันได้เนี่ย’ มูรยองก็จับข้อมือของฮวานยองไว้แล้วยกมันโบกไปมาเบาๆ ให้ซึงจู

“ฉันบอกว่าถึงฉันจะแตะตัวนาย แต่ก็ไม่เห็นจะบาดเจ็บอะไรเลย”

“…”

ฮวานยองขยับปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่มูรยองก็หัวเราะสดใสออกมาแทนที่จะฟังมัน ดวงตากลมหยียิ้มอย่างน่าเอ็นดู

“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ”

มูรยองปล่อยข้อมือที่จับไว้พร้อมกับเอ่ยคำพูดนั้น มือซ้ายที่ร่วงตกลงมาแกว่งไกวตามหลังมาจังหวะหนึ่ง จากนั้นมูรยองก็เงยหน้าขึ้นสบตากับฮวานยองแล้วขยิบตาให้เป็นการบอกลา

“ไว้เจอกันนะ”

มูรยองวิ่งไปหาซึงจูโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา ดูเหมือนกับลูกหมาที่วิ่งหาเจ้าของไม่มีผิด ฮวานยองมองภาพด้านหลังของมูรยองพลางกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหม่อลอย เขาทั้งงงและหมดคำจะพูดกับท่าทีนั้นของเจ้าตัว

 

“ทำไมถึงมากับหมอนั่นได้”

ซึงจูไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากตามที่บอก นอกจากเฝือกที่แขนแล้วทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี เจ้าตัวบอกว่าจำใจใส่เฝือกแข็งๆ นี่เพราะกลัวพ่อแม่กังวล ถึงมันจะทำให้ใช้มือขวาไม่ได้ไปเลยก็ตามที มูรยองถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้งเมื่อซึงจูบอกว่าจะถอดเฝือกได้ในอีกประมาณสองอาทิตย์

“เมื่อวานฉันไปนอนบ้านหมอนั่นมาล่ะ”

มูรยองแย่งกระเป๋าที่ซึงจูสะพายอยู่มาโดยอัตโนมัติ แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ต้องช่วยถือ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจจนต้องทำอะไรสักอย่าง

จริงสิ ต้องเขียนยันต์ให้หมอนี่สักแผ่นหน่อยแล้ว

มูรยองที่ตัดสินใจได้อีกครั้งพูดขึ้นด้วยท่าทีปกติ

“พอดีหมอนั่นบอกว่ามีเรื่องจะให้ช่วยน่ะ”

“เดี๋ยวนี้คุณมีบริการถึงบ้านแล้วเหรอครับเนี่ย”

ซึงจูจิ๊ปาก สายตาเขาดูไม่พอใจตั้งแต่ตอนที่มูรยองวิ่งมาหา ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะบ่นออกมาเป็นชุดเลยด้วยซ้ำ แต่พอเห็นสีหน้ากังวลนั้นชัดๆ ก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้

“รอบนี้อะไรอีกล่ะ ผีอีกแล้วสินะ?”

“อืม…”

มูรยองตอบอ้อมแอ้มพร้อมกับกำสายกระเป๋าสะพายแน่น ซึงจูส่งสายตาสงสัยให้กับปฏิกิริยาตอบรับที่แตกต่างไปจากเคย เพราะมันแปลกมากเมื่อคนที่ปกติแล้วมักสาธยายทุกรายละเอียดอย่างมูรยองกลับเงียบสนิทไปแบบนี้

“อะไรกัน ไม่ใช่ผีหรอกเหรอ”

“จะว่าใช่มันก็ใช่แหละ แต่…”

มูรยองลากหางเสียงพลางมองไปยังประตูทางเข้าที่ฮวานยองเดินลับไป เขาก้าวเท้าตามซึงจูพร้อมกับพูดพึมพำด้วยสีหน้าหนักใจ

“พอดีมันค่อนข้างแปลกน่ะ”

 

‘นายทำได้อยู่แล้วใช่ไหม’

เมื่อตอนเช้ามืดของวันนี้ หลังจากเจ้าลูกไฟหายวับไป มูรยองก็ย่องออกมาที่รั้วหน้าบ้านอย่างเงียบๆ ระหว่างที่เพื่อนตัวน้อยของเขาไปตามหาเหล่าวิญญาณคนตายอยู่ มูรยองก็ต้องพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ใช่งานใหญ่อะไร มันก็แค่ขั้นตอนในการตรวจดูให้แน่ใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

เขายืนอยู่กลางลานสนามหญ้าหน้าบ้าน ก่อนหลับตาลงและปลุกประสาทสัมผัสการรับรู้จากอวัยวะรับสัมผัสทุกส่วนในร่างกาย

มือปราบวิญญาณที่ควบคุมพลังวิญญาณได้มักมีสมรรถภาพทางร่างกายเหนือกว่าคนทั่วไปมาก แน่นอนว่าความแข็งแรงของร่างกายก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น รวมถึงการรับรสด้วย

พอรวบรวมพลังวิญญาณและเพ่งสมาธิ เขาก็เริ่มได้ยินเสียงรอบตัวชัดเจนขึ้นทีละนิด เริ่มจากเสียงลมที่พัดไหว เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันเป็นพักๆ เสียงแมลงที่ไม่อาจรู้ชนิด และเสียงของไฟถนนที่กะพริบติดๆ ดับๆ

‘…’

เขาเกิดความรู้สึกฉงนใจขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกเดียวกับความรู้สึกที่คอยรบกวนมูรยองตั้งแต่ตอนเข้ามาในละแวกนี้

ทำไมแถวนี้ไม่มีคนอยู่เลย

มูรยองไม่อาจรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของผู้คนในบ้านแต่ละหลังที่พวกเขาเดินผ่านเลยแม้แต่หลังเดียว มันไม่ใช่ลางสังหรณ์ของมือปราบวิญญาณ แต่เป็นผลจากการที่ผู้ฝึกฝนประสาทสัมผัสทั้งห้าอย่างเขาได้ตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว สุดท้ายมูรยองถึงได้รู้ว่าบ้านเรือนมากมายหลายหลังนั้นล้วนเป็นบ้านร้างทั้งหมด

และในวินาทีที่เข้ามาในบ้าน ความนิ่งเงียบแบบเดียวกันนั้นก็ยังคงอยู่

อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรขนาดนั้น อาจเป็นเพราะแค่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในละแวกนี้ และมีความเป็นไปได้ว่ามูรยองอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไป ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือไม่ใช่แค่คนเท่านั้น แต่เขาสัมผัสถึงการมีอยู่ของสิ่งอื่นๆ ไม่ได้เหมือนกัน

มูรยองค่อยๆ เพิ่มความเร็วและออกวิ่ง ก่อนจะปีนขึ้นไปบนกำแพงที่อยู่ถัดจากรั้วบ้าน กำแพงที่ก่อจากหินสูงไม่ถึงครึ่งของกำแพงโรงเรียน พอขึ้นมาเหยียบบนกำแพงหินหนาๆ มูรยองก็ได้เห็นภูมิทัศน์ที่ดูทรุดโทรมและเงียบวังเวงของทั้งหมู่บ้าน

เขาผิวปากเบาๆ เรียกเจ้าลูกไฟขึ้นมาอีกครั้ง

หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…

ลูกไฟที่ลุกพึ่บขึ้นมาทีละดวงลอยวนอยู่รอบตัวมูรยอง ถึงจะดูบึ้งตึงแต่ขณะเดียวกันก็ดูอ่อนแรง พวกมันน่าจะได้ยินกันแล้วว่ามูรยองไม่มีเหรียญสิบวอนให้

‘กลับถึงบ้านแล้วฉันจะเอาให้แน่ๆ โอเคไหม’

มูรยองปลอบใจพวกมันและมอบหมายภารกิจให้แบบเดียวกับเจ้าลูกไฟดวงก่อนหน้า ดวงหนึ่งไปทางทิศตะวันออก ดวงหนึ่งไปทิศตะวันตก ส่วนอีกสองดวงไปทิศใต้และเหนือตามลำดับ

‘อย่าไปไกลเกินไปล่ะ ไปแค่เท่าที่พลังจิตของฉันส่งไปถึงพอ’

หลังจากกำหนดขอบเขตระยะทางเสร็จสรรพ มูรยองก็ส่งลูกไฟออกไปนอกกำแพงโดยไม่ต้องพูดอะไรยืดยาว สำหรับลูกไฟดวงหนึ่งที่ดื้อและไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งกว่าเพื่อน มูรยองแอบแทรกซึมพลังจิตลงไปควบคุมมันเล็กน้อยโดยไม่ให้ดวงอื่นๆ รู้ตัว

ที่เหลือต่อจากนี้ก็แค่รอ อย่างเร็วก็สักสิบนาที อย่างช้าสุดก็สักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเจ้าลูกไฟทั้งหลายที่ลอยล่องสำรวจไปทั่วหมู่บ้านนี้เพื่อค้นหาก็จะคาบข่าวมาส่งให้เขาเอง

‘ไปนานเหมือนกันแฮะ…’

มูรยองเดินบนกำแพงไปเรื่อยระหว่างรอ เขาไม่ได้เดินไปสนุกๆ แต่ถ่ายเทพลังวิญญาณของตัวเองเอาไว้จนทั่วเหมือนเป็นเครื่องสกัดกั้นการเข้ามาของสิ่งอื่นจากภายนอก เช่นเดียวกับยันต์ข้างกำแพงที่เห็นระหว่างทางกลับบ้าน ขอแค่มีตัวกลางเล็กๆ น้อยๆ อย่างหินหรือไม้ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อเดินวนรอบกำแพงไปได้ประมาณสิบรอบ ลูกไฟที่มูรยองเรียกหาดวงแรกสุดก็กลับมาในสภาพห่อเหี่ยว แสงที่กะพริบริบหรี่ดูหมดกำลังใจต่างจากที่เห็นตอนแรก

‘…ไม่เจออะไรเลยเหรอ’

นี่เป็นผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อเลย ในเมื่อเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพลังวิญญาณของฮวานยองเป็นประเภทที่ดึงดูดเหล่าภูตผีปีศาจเข้าหา มันเป็นพลังวิญญาณระดับที่แม้แต่ปีศาจตนที่เจอที่โรงเรียนยังลุ่มหลงมัวเมาในพลังชีวิตที่ลุกโชนนั้นจนพานไปทำร้ายซึงจูด้วย แต่กลับไม่มีวิญญาณตนใดอยู่ในบ้านที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณของเขาเลยสักตน

ไม่เพียงเท่านั้นมูรยองยังได้รับข่าวร้ายจากลูกไฟดวงอื่นๆ ที่กลับมาอีกเป็นชุดว่าไม่มีวิญญาณของคนตายสักดวงทั้งในบ้าน นอกบ้าน และทุกๆ พื้นที่ที่มูรยองแทรกซึมพลังเอาไว้

แน่นอนว่าเขาไม่ยอมแพ้เพียงแค่นั้น หลังปลอบใจเหล่าลูกไฟที่ท้อแท้เสร็จ มูรยองก็ลุยหาคำตอบต่อเอง จนกระทั่งบ้านที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณของฮวานยองถูกแทนที่ด้วยพลังวิญญาณของเขา พลังจิตที่เขาแผ่ออกมาไหลบ่าไปทั่วเหมือนโอ่งน้ำก้นรั่ว หลังจากนั้นเขายังเดินไปรอบๆ ต่ออีก

‘…’

ทว่าผลลัพธ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงราวกับได้รับการประทับตรารับรองเอาไว้แต่แรกแล้ว บ้านที่ฮวานยองอยู่รวมถึงละแวกบ้านที่วังเวงแห่งนี้ไม่มีทั้งคนเป็นและคนตาย…

 

“สงสัยฉันคงต้องโทรหาพี่ชายหน่อยแล้วสิ”

ซึงจูพยักหน้าโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะแค่มองผ่านๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าสีหน้าของมูรยองเคร่งเครียดแค่ไหน ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมอะไรด้วยได้

คิมมูรยอง นายคงต้องโต้รุ่งหลายวันอีกแล้วสินะ

ซึงจูคิดเพียงแค่นั้น

“นายต้องไปรับของด้วย อย่าลืมซะล่ะ นายยังไม่ได้อะไรจากมินจีเลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ๆ มินจีบอกแล้วว่าจะให้กิ๊บติดผมที่ใช้ตอนเด็ก”

แม้จะดูเหมือนคนที่โอนอ่อนและผ่อนตามได้ในทุกๆ เรื่อง แต่มูรยองก็ไม่เคยลืมเรื่องรับค่าตอบแทนหลังช่วยงานเลยสักครั้ง เพราะตั้งแต่เริ่มทำงานนี้มาซึงจูก็คอยกำชับอยู่ตลอด อย่างไรเสียของที่เขารับมาจากทุกคนก็คล้ายกับขยะที่คงต้องทิ้งอยู่แล้วเลยไม่เคยมีใครดึงดันที่จะไม่ให้

“แล้วของคีฮวานยองล่ะ”

“…”

มูรยองล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงโดยไม่พูดอะไร ช่วงนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าพลาสติกที่สัมผัสกับปลายนิ้วนั้นดูจะกระด้างขึ้นมากกว่าทุกวัน เขาพึมพำเล็กน้อยระหว่างถูมุมสี่เหลี่ยมของมัน

“ไม่รู้สิ…”

“ไม่รู้สิ?”

คิ้วของซึงจูเลิกขึ้นอย่างกับว่ากำลังจะบ่นมูรยองในอีกไม่ช้า มูรยองเลยรีบคลายสีหน้าแสร้งทำเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ฉันต้องรับของตอบแทนอยู่แล้วแหละน่า”

โชคดีที่ซึงจูแค่พาดแขนลงมาบนไหล่มูรยองโดยไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก แต่ดูจากน้ำหนักแขนที่กดทับลงมาพอตัวนั้น ดูเหมือนว่าคำตอบเมื่อครู่จะไม่ค่อยถูกใจเจ้าตัวสักเท่าไหร่ แล้วก็ใช่ว่ามูรยองจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น เขาเลยได้แต่ปั้นหน้ายิ้มไปเรื่อยเปื่อย

 

* ระบำซึงมู เป็นหนึ่งในการเต้นรำแบบดั้งเดิมของเกาหลีที่มีชื่อเสียงที่สุด และถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่สำคัญของเกาหลีใต้ โดยมีเอกลักษณ์ตรงชุดที่ใส่ซึ่งจะมีแขนเสื้อและชายชุดที่ยาวมาก ใช้ในการร่ายรำและออกท่วงท่าเพื่อความสวยงาม

* แพ็กซอลกี คือต๊อกชนิดหนึ่ง มีเนื้อสีขาวเหมือนหิมะ

** สุนัขสายพันธุ์จินโด เป็นสุนัขประจำชาติของเกาหลีใต้

*** สุนัขสายพันธ์พุงซาน เป็นสุนัขประจำชาติของเกาหลีเหนือ

**** อินจอลมี คือต๊อกชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวเหนียวนึ่ง ทุบจนเหนียว ก่อนนำมาปั้นเป็นก้อนแล้วคลุกด้วยแป้งถั่วคั่ว มีสีเหลืองอมน้ำตาล

Chapter 2-3

 

มูรยองที่ปกติแล้วจะนอนตลอดทั้งช่วงเช้ากลับฝืนถ่างตานั่งเรียนด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งเหตุผลนั้นคือเขาต้องจดโน้ตแทนซึงจูที่มือเจ็บ ทว่าความจริงแล้วปัญหานั้นซึงจูไม่ได้ขอ

“ช่างเถอะน่า นายนอนไปเถอะ”

“ไม่ได้…นายจับปากกาไม่ได้นี่”

มูรยองส่ายหัวไปมาแล้วใช้สองมือบีบแก้มตัวเองแน่น แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยให้ตื่น แถมเขายังหาวออกมาอีกรอบในสภาพนั้น แต่พอเหลือบมองเฝือกบนแขนขวาของซึงจูแล้ว ใบหน้าเขาก็กลับมาดูมีสติราวกับโดนน้ำเย็นสาดใส่

“ฉันจะจดให้จนกว่านายจะได้ผ่าเฝือกออก”

“อะไรของนายเนี่ย…”

ขืนเขียนด้วยลายมือตอนง่วงนอนแบบนั้น ตอนเอามาอ่านทีหลังมีหวังยิ่งเสียเวลามากกว่าซะอีก

ซึงจูคิดเช่นนั้นขณะจับปากกาด้วยมือซ้ายอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะเขาไม่มีทางไม่รู้ถึงความรู้สึกผิดที่มูรยองมีต่อเขา แต่แทนที่จะมานั่งบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ เป็นร้อยหน สู้เขานั่งเรียนไปโดยปล่อยให้มูรยองทำตามใจคงจะดีกว่า

“งั้นตอนพักกลางวันพอกินข้าวเสร็จนายก็นอนพักสักหน่อยเถอะ ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ระหว่างนั้นนายก็อย่าลืมพักซะล่ะ”

“อืม”

มูรยองรับคำแบบส่งๆ พลางจดตามตัวหนังสือบนกระดานอย่างตั้งอกตั้งใจ เดิมทีเขาไม่ใช่คนลายมือไม่สวย แต่คงต้องโทษที่วันนี้เขาง่วง ทั้งพยัญชนะและสระเลยพันกันยุ่งเหยิงไปหมด ดวงตาที่เปลือกตาปรือปิดไปครึ่งหนึ่งเองก็เต็มไปด้วยความง่วงงุน

ดังนั้นเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน มูรยองก็แทบจะขยับมือไปตามระบบประสาทที่สั่งการโดยอัตโนมัติ สภาพสัปหงกศีรษะจวนจะทิ่มอยู่รอมร่อนั้นดูแย่ยิ่งกว่าทุกวัน ต้องโทษที่เขาใช้พลังจิตไปจนหมดเกลี้ยงตั้งแต่เช้ามืด แต่แน่นอนว่าซึงจูไม่มีทางรู้เรื่องนี้

“ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”

มูรยองงัวเงียตื่นขึ้น ก่อนจะเกาะหลังที่เห็นตรงหน้าไว้แน่น ปกติแล้วซึงจูจะให้ขี่หลัง แต่เพราะเวลานี้แขนของอีกฝ่ายเจ็บอยู่ มูรยองเลยได้แต่อดใจเอาไว้

แต่แล้วจู่ๆ มูรยองที่ถูกลากออกไปในสภาพที่เหมือนกับกระเป๋าเดินทางก็พลันรู้สึกหนาวขึ้นมาและชะงักไป

“มีอะไร”

ซึงจูที่พลอยหยุดเดินตามไปด้วยขมวดคิ้วมุ่น มูรยองกะพริบตาปริบๆ ทั้งที่แขนยังโอบรอบคอของซึงจูอยู่ เป็นเพราะเขาสบตากับฮวานยองที่เพิ่งออกมาจากประตูหลังของห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปีสองห้องสาม

“…”

“…ไง”

“…”

“นายกำลังจะไปกินข้าวเหรอ”

สายตาไร้ชีวิตชีวามองมูรยองและซึงจูสลับกัน ดูเหมือนว่ามันจะจับจ้องไปยังเฝือกบนแขนขวาของซึงจูอยู่ครู่หนึ่งด้วย และแล้วฮวานยองที่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก็เดินกลับเข้าห้องเรียนไปโดยไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำ

ซึงจูที่เห็นฮวานยองเป็นแบบนั้นก็ถอนใจแบบโกรธจริงจัง

“เฮอะ ไอ้คนไร้มารยาท”

“นี่ ต่อให้อยู่ในห้องก็ยังได้ยินนะ”

“แล้วใครใช้ให้ฟังล่ะ”

พวกเขาเดินไปยังโรงอาหารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มูรยองเหลือบมองไปยังประตูหลังห้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าฮวานยองไม่คิดที่จะออกมา

ว่าแล้วเชียว ไม่น่าชวนคุยเลยแฮะ แค่เห็นว่าสบตากันทั้งทีก็เลยทักไป แต่เราคงทักไม่ถูกเวลาเองล่ะมั้ง

เมนูอาหารกลางวันคือพุลโกกีเนื้อ* และซุปถั่วงอก มูรยองได้พุลโกกีเยอะกว่าคนอื่นๆ ถึงสองเท่าด้วยความสามารถในการผูกมิตรแบบเฉพาะตัว และหลังจากกินข้าวเสร็จก่อนใคร เขาก็เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่งทันที

“ฉันไปก่อนนะ”

“อือ ไปนอนไป”

ซึงจูที่กินข้าวด้วยมือซ้ายพยักหน้าไปแบบส่งๆ ทีแรกมูรยองคิดว่าจะช่วยป้อนให้ แต่ก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเมื่อซึงจูทำหน้าเคร่งใส่และร้องท้วงว่าไม่เอา พอได้ยินเขาบอกว่า ‘นายทำบ้าอะไรเนี่ย จะอ้วก’ มูรยองก็เลยยอมล่าถอย ไม่เถียงอะไรกลับไป

“เสื้อวอร์มฉันพาดอยู่บนเก้าอี้ เอาคลุมหัวนอนซะไป”

ความจริงแล้วเขาไม่ได้รีบลุกขึ้นเพื่อที่จะไปนอน แต่มูรยองก็ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของซึงจู เขาทำเพียงแค่บอกให้ซึงจูค่อยๆ กินข้าวให้เสร็จแล้วตามมา ก่อนจะหยิบถาดอาหารและเดินออกจากโรงอาหารไป

สถานที่ที่มูรยองมุ่งตรงไปนั้นไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นจุดทิ้งขยะที่ร้างผู้คน

“…”

มูรยองทรุดตัวลงนั่งยองๆ ตรงมุมหนึ่งพลางมองสำรวจไปรอบๆ ลานที่เอาไว้ใช้แยกขยะสำหรับรีไซเคิล แม้แต่ตอนที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรออกก็ยังไม่ลืมชะโงกหน้าออกไปดูว่ามีคนมาหรือเปล่า

ตู๊ด…ตู๊ด…

เสียงรอสายดังอยู่ประมาณห้าครั้งได้ และแล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังผ่านโทรศัพท์มา

“ว่าไง มูรยอง”

“พี่ครับ!”

ปลายสายคือ ‘มูฮึน’ พี่ชายของมูรยอง เขาเองก็เป็นมือปราบวิญญาณเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ได้แยกบ้านออกไปอยู่เองแล้ว และช่วงนี้ก็ลงไปต่างจังหวัดอยู่พักใหญ่ แม้เขาจะโตกว่ามูรยองสิบปี แต่พี่น้องคู่นี้ก็รักษาความสัมพันธ์ให้สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก

“พี่ยุ่งอยู่ไหม”

“อืม…”

พอเลียบเคียงถามไปอย่างระมัดระวัง มูฮึนก็ลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่และรอบตัวก็มีเสียงดังแปลกๆ ถ้าเป็นไปได้มูรยองก็อยากโทรหาใหม่ทีหลัง แต่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองที่ต้องรบกวนเวลานี้เหมือนกัน

“พี่ยุ่งมากเลยเหรอ ขอคุยแป๊บหนึ่งได้ไหมอะ…”

“ไม่ๆ ตอนนี้ไม่ยุ่งแล้ว มีไรว่ามา”

โชคดีที่จู่ๆ รอบตัวมูฮึนก็เงียบสงบลง มูรยองเปลี่ยนมาจับโทรศัพท์ด้วยมืออีกข้างและลูบขมับไปด้วย

“ช่วยดูดวง** ให้ผมหน่อยสิ”

“ดูดวง?”

มือปราบวิญญาณชั้นนำแต่ละคนจะมีความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่งมูรยองเองก็มีอยู่อย่างหนึ่ง ส่วนของมูฮึนคือการตรวจดูดวงชะตา ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเขาสามารถอ่านพลังที่ชักนำโชคชะตาได้ มูรยองยังจำได้ดีที่มูฮึนเล่นมุกว่าจะไปตั้งเต็นท์รับดูดวง ซึ่งตอนนั้นก็โดนแม่ดุไปชุดใหญ่

“ทำไมจู่ๆ ถึงคิดจะดูดวง ปกตินายไม่สนใจนี่”

“พอดีมันจำเป็นน่ะพี่ ดูให้ตอนนี้เลยได้ไหม”

“ฉันดูให้อยู่แล้วน่า ว่าแต่จะดูของใคร ซึงจู?”

“เปล่า เพื่อนคนอื่นน่ะ”

“บอกวันเดือนปีกับเวลาตกฟากมา”

“เกิดปีเดียวกับผม…”

มูรยองลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขาคิดเรื่องนี้กับตัวเองมาพักใหญ่เพราะกังวลใจที่จะต้องพูดมันออกมา เขาเปลี่ยนโทรศัพท์กลับไปยังมืออีกข้างและฝืนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ อย่างยากลำบาก

“เกิดวันที่หนึ่งมีนา ยามจา**

‘นายเกิดตอนกี่โมงเหรอ’

มูรยองนึกถึงมูฮึนอยู่ในใจมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเขาสังหรณ์ใจว่าขั้นตอนนี้จำเป็นต่อการเพิ่มความมั่นใจให้กับสมมติฐานทั้งหลาย การจะแก้ปัญหาใดก็ตาม หากมีข้อมูลเยอะๆ ไว้ก่อนย่อมมีประโยชน์ ถึงเขาจะรู้สึกผิดต่อฮวานยองก็ได้แต่พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“ไหนดูซิ ถ้ารุ่นเดียวกับนายก็จะเป็นปีคยองจา*** เดือนคีมโย**** วันคเยมโย***** ยามจา…เพื่อนผู้ชาย?”

“อืม ผู้ชาย”

เสียงขีดเขียนบางอย่างดังแกรกๆ มาถึงหูเขา เป็นเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนกับการเขียนลงบนกระดาษและออกจะฟังดูสากหูสักหน่อย มูรยองที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เลยถามขึ้นอย่างเก็บความอยากรู้เอาไว้ไม่อยู่

“พี่ เขียนบนอะไรอยู่อะ”

“หืม? อ๋อ ไม่มีกระดาษก็เลยเขียนบนดินเหนียวน่ะ”

“…”

อยู่ข้างนอกจริงๆ ด้วยแฮะ

มูรยองรู้สึกผิดขึ้นมาในขณะที่ขยับเอาคางเกยไว้บนเข่า

เขาได้ยินเสียงคล้ายๆ แบบเดิมอีกสองสามครั้ง ก่อนจะได้ยินมูฮึนทำเสียงครุ่นคิดอยู่ในลำคอ

“แปลกแฮะ…” อีกฝ่ายพึมพำแบบนั้นและถามกลับมา “ไม่เห็นมีดวงชะตานี้เลยนี่?”

“…”

เขาไม่แปลกใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วประมาณหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดไม่ออกหน่อยๆ อยู่ดี

ทำยังไงดีนะ…

มูรยองค่อยๆ หลุบตาลงระหว่างพูดต่อด้วยน้ำเสียงหวั่นใจ

“พี่ครับ ถ้างั้น…”

 

เช้าวันจันทร์มูรยองแวะไปที่บ้านของซึงจูในเวลาที่อีกฝ่ายมักออกจากบ้านพอดี เนื่องจากพวกเขาได้รับอนุญาตให้ใส่เครื่องแบบฤดูร้อนได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้ เสื้อผ้าจึงบางลงจากปกติมาก ซึ่งมูรยองเองก็ยังคงใส่แค่เสื้อยืดสีดำคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวโดยไม่ผูกเนกไทเช่นเคย

“ซอซึงจู!”

“…อ๊า ตกใจหมด”

ซึงจูที่เพิ่งเปิดประตูหน้าบ้านออกมาพอดีผงะถอยหลังด้วยสีหน้าเหมือนเห็นผี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่มีเนตรสัมผัสวิญญาณ

“ทำไมถึงโผล่หน้ามาที่นี่ได้”

ซึงจูเอากระเป๋าสะพายซ่อนไว้ข้างหลังและดูระแวดระวังมูรยองสุดๆ เพราะกลัวว่ามูรยองจะช่วยถือกระเป๋าให้เหมือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่แทนที่จะแย่งกระเป๋ามามูรยองกลับรีบยื่นบางอย่างไปให้

“ฉันเอาอันนี้มาให้”

มันเป็นซองจดหมายกระดาษสีขาวสะอาดไม่มีลวดลาย ทว่าของที่อยู่ข้างในดูท่าจะไม่ใช่จดหมาย ซึงจูจึงลังเลใจและยังไม่ยอมรับมันมาอยู่พักหนึ่ง

“อะไรน่ะ”

สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจทำให้มูรยองกลอกตาล่อกแล่กไปมา แต่ถึงอย่างไรซอซึงจูที่หัวไวก็คงดูออกอยู่แล้ว

“ยันต์”

“…”

“รีบรับไปเร็ว”

“นี่นาย…”

ทั้งที่ซึงจูได้ยินคำพูดของมูรยองแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับซองจดหมายไป ตรงกันข้ามเขากลับทำหน้าหงิกหน้างอด้วยความรำคาญและขยับริมฝีปากเหมือนพร้อมจะบ่นออกมา มูรยองเลยพยายามคะยั้นคะยอยัดซองจดหมายนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงของซึงจูอย่างดื้อดึง

“จะมาบ่นเอาตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ ถ้านายไม่รับ นายก็ต้องทิ้ง”

“แล้วมาบอกตอนนี้เนี่ยนะ…นายนี่มันจริงๆ เลย แล้วนี่นายตั้งใจจะยัดใส่ตรงไหนเนี่ย!”

สุดท้ายซึงจูก็รับยันต์ไปจากมือมูรยอง ท่าเปิดซองจดหมายและแอบมองสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นดูระมัดระวังตัวจนดูเหมือนคนกำลังรับสินบน พอเห็นซึงจูถอนหายใจเสียงดัง มูรยองก็ยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

“นายเขียนไปกี่แผ่นเนี่ย”

“…”

แต่แน่นอนว่ามูรยองชนะได้ไม่นาน…

“บอกมาตามตรง นายเขียนไปกี่แผ่น”

“อืม…”

มูรยองนึกถึงยันต์อีกแผ่นที่เสียบคั่นไว้ระหว่างหน้าหนังสือที่ใส่มาในกระเป๋า เขาหลบตาซึงจูและเดินหนีอย่างเฉไฉ แต่ซึงจูก็ยังคงตามมาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันเป็นพวกดวงซวย นายคงไม่เขียนมันแค่เพราะฉันมือเจ็บข้างหนึ่งหรอกใช่ไหม”

คำพูดนั้นถูกเผง ถ้าเป็นของที่ทำมาให้ซึงจูแค่คนเดียวโดยเฉพาะ มูรยองคงคิดแล้วคิดอีกอยู่นานจนไม่กล้าให้ ซึ่งก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ซอซึงจูเป็น ‘พวกดวงซวย’ จริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นการเขียนยันต์ต้องอาศัยเวลามากถึงสองวัน แน่นอนว่าหากไม่มีความจำเป็นต้องทำ มันก็ยากเกินกว่าที่มูรยองจะยอมลงแรง

“ฉันถามว่ากี่แผ่น…ไม่สิ ต้องถามว่าจะเอาไปให้ใครอีก”

ทุกคำที่ซึงจูพูดนั้นจี้ตรงจุดจนน่ากลัว มูรยองจึงทำเป็นนิ่งตอบกลับไปด้วยสีหน้าดื้อดึงเป็นที่สุด

“เรื่องส่วนตัวของฉันน่า”

“ตลกนักนะ คีฮวานยองใช่ไหม”

“…”

ถ้ามูฮึนเปิดกิจการรับพยากรณ์โชคชะตาเมื่อไหร่ก็น่าจะให้ซึงจูร่วมธุรกิจด้วยได้ คนหนึ่งดูดวงชะตา ส่วนอีกคนก็อ่านใจคนได้

“ทำขายแบบรับเงินยังจะดีซะกว่า ถ้าข่าวลือแพร่ออกไปว่านายแจกไอ้นี่ฟรี มีหวังคนคงได้แห่กันมาขอให้นายเขียนให้อีกพรึบแน่”

“ถ้ามันจำเป็นฉันก็ต้องเขียนให้อยู่แล้ว”

“โว้ย!”

สุดท้ายซึงจูก็ร้องเสียงดังออกมา และดังพอจะทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมอง แต่มูรยองกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย

“ฉันไม่เขียนให้ใครที่ไหนก็ได้หรอกน่า”

“…”

ซึงจูทำหน้าอึ้งเหมือนพูดอะไรไม่ออก เพราะไอ้การที่มูรยองตอบกลับมาทันทีทันใดว่าจะเขียนให้แค่คนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ นี่แหละคือปัญหา แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“นายนี่มัน…เฮ้อ พอกันที”

คำพูดที่ว่า ‘ไม่มีพ่อแม่คนไหนเอาชนะลูกได้เลย’ นั้นดูท่าจะจริง ซึงจูเจ้าของฉายา ‘คุณพ่อของคิมมูรยอง’ เองก็ไม่เคยเอาชนะความดื้อดึงของมูรยองได้เลยจริงๆ ดูจากการพับยันต์อย่างสวยงามและเก็บใส่กระเป๋ากางเกงก็รู้ได้แล้ว ไหนจะคำถามแบบเป็นนัยนั่นอีก

“คราวนี้เรื่องมันร้ายแรงมากเลยเหรอ”

สีหน้ามูรยองดูจริงจังขึ้นมาทันตา เพราะมันยากเกินกว่าที่เขาจะอธิบาย ซึงจูจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงมากเหมือนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง

“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนายไม่ต้องเล่าก็ได้…”

“…”

“แต่นายห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาดเลยนะ”

มูรยองเลือกที่จะหัวเราะแห้งๆ พอเห็นดอกเบญจมาศดอกหนึ่งที่มีคนเอามาวางไว้ตรงทางแยก เขาก็กลืนเสียงหัวเราะขมๆ ลงคอไปอย่างยากเย็น ซึงจูเลยพูดเสริมอย่างจริงจังเมื่อสังเกตเห็นอาการนั้น

“แล้วนายก็ห้ามไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเชียว”

มูรยองผงะไปทันที เขาตกใจมากที่ซึงจูสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วทั้งที่เขาหันไปมองแค่แวบเดียวเท่านั้น

“…ขนาดนี้แล้วนายไปรับดูดวงกับพี่ชายฉันเลยไหม”

“อยากเห็นคุณป้าเป็นลมหรือไง”

มูรยองตั้งใจจะพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่กลับถูกซึงจูจิ๊ปากใส่แล้วดุเข้าให้ อย่างไรเสียก็เป็นแค่การคาดเดาเกี่ยวกับคนเพียงคนเดียวได้อย่างแม่นยำ และมันก็ยิ่งเดาได้ง่ายขึ้นไปอีกเมื่อเป็นมูรยอง การเข้าไปยุ่มย่ามในที่ที่ไม่จำเป็นและทุ่มเทสุดตัวนั้น ต่อให้ใครจะว่าอย่างไรมันก็คือคุณสมบัติเฉพาะตัวของมูรยองอยู่ดี

“ถ้านายมีใจจะช่วยก็ช่วยแต่คนเป็นเถอะ อย่าช่วยยันคนตายเลย”

หนนี้มูรยองไม่อาจรับคำได้จริงๆ ไม่ว่าพวกเขาจะตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ สำหรับมูรยอง พวกเขาก็ยังให้ความรู้สึกเหมือน ‘คน’ ไม่แตกต่างกัน ใช่ว่าแค่หมดสิ้นชีวิตแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปในพริบตา

จะว่าไม่มีชีวิตจิตใจเลยก็ไม่ใช่ซะทีเดียว

การตายของกายหยาบนั้นไม่ได้หมายถึงการสูญสลายของดวงวิญญาณสักหน่อย มูรยองคิดว่า ‘ชีวิต’ ไม่ใช่เปลือกนอก แต่เป็นสิ่งที่อยู่ข้างในต่างหาก แม้หลังจากสูญเสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นปีศาจที่เกาะติดอยู่กับฮวานยองก็ตามที

ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเขาเลยสักนิด

“แล้วก็นะ…”

ซึงจูขมวดคิ้วเบาๆ ระหว่างขยับปากพูด มันเป็นสีหน้าที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ชอบใจเอาเสียเลย แล้วก็ดูเหมือนจะขัดเขินอะไรบางอย่างที่จะพูดด้วย เมื่อมูรยองมองตอบด้วยสายตางุนงง เขาก็ถอนหายใจออกมา

“ขอบใจ ฉันจะพกยันต์นี้ติดตัวไว้ละกัน”

คำเพียงคำเดียวต้องใช้ความพยายามในการพูดขนาดนั้นเลยหรือไงกัน

มูรยองกะพริบตาและเงยหน้ามองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของซึงจู กล้ามเนื้อบนแก้มที่เนียนใสและเกลี้ยงเกลากระตุกเบาๆ มันเป็นการแสดงออกทางใบหน้าแบบเฉพาะตัวเวลาที่ซอซึงจูรู้สึกผิด

“ถ้าสำนึกบุญคุณก็อย่าทำหายแล้วกัน”

ซึงจูหันมาทำหน้าแหยใส่คำพูดล้อเล่นนั้นพร้อมกับพูดว่า “ให้ตายสิ นี่นายคิดว่าคนอย่างฉันจะทำหายหรือไงกัน แต่ต่อให้ทำหายจริง นายก็อย่าคิดที่จะทำแผ่นใหม่มาให้ฉัน”

อย่างไรเสียซึงจูก็ไม่ใช่คนที่จะทำของหายอยู่แล้ว ส่วนมูรยองก็เป็นคนที่ทำยันต์ขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วคำพูดนั้นเลยกลายเป็นการกำชับที่ไร้ความหมายไปโดยปริยาย

 

แม้จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ใส่เครื่องแบบนักเรียนฤดูร้อนได้แล้ว แต่เอาเข้าจริงก็ยังมีนักเรียนที่เปลี่ยนมาใส่ไม่มากอยู่ดี เพราะเมื่อวันจันทร์จู่ๆ อากาศก็เย็นลงอีก ซึงจูที่ไม่สามารถใส่เสื้อเชิ้ตได้เพราะติดเฝือกยังคงต้องเอาเสื้อวอร์มมาคลุมตัวช่วงบนไว้ทุกคาบเรียน

ทันทีที่หมดคาบโฮมรูมรอบบ่าย มูรยองก็แยกกับซึงจูและเดินไปทางห้องสาม พอบอกว่าจะเอายันต์ไปให้ฮวานยอง ซึงจูก็ขอกลับบ้านก่อนโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีเหลียวมองด้วยสายตาไม่ค่อยถูกใจอยู่พักหนึ่ง คงเพราะมูรยองเอาแต่ยิ้ม เขาเลยตัดสินใจที่จะไม่พูด

โรงเรียนมัธยมปลายแฮยอนห้ามคนเข้าออกโรงเรียนหลังเลิกเรียนอย่างเคร่งครัด และไม่มีการให้อยู่เรียนด้วยตัวเองต่อตอนกลางคืน เมื่อประตูใหญ่ถูกล็อกแล้วจะไม่มีการเปิดอีกจนกว่าจะถึงเวลาเปิดโรงเรียนในเช้าวันใหม่ ดังนั้นตอนนี้นักเรียนส่วนใหญ่จึงกำลังเดินตัดผ่านสนามกีฬาเพื่อกลับบ้าน

[2-3]

มูรยองยืนอยู่ตรงประตูหลังของห้องเรียนพลางกวาดตามองหาฮวานยองด้วยสีหน้าประหม่า เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกลับไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมูรยองถึงได้มีความรู้สึกว่าเขาน่าจะยังอยู่

โชคดีที่ฮวานยองยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะนิ่งๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นเหมือนอย่างเคย

“ยังไม่กลับบ้านเหรอ”

ฮวานยองผงกศีรษะขึ้นมา พอเห็นมูรยองก็เบือนหน้าหนีแล้วทำเป็นไม่เห็น มูรยองหวังให้มีปีศาจซ่อนอยู่ในเงาเขา แต่น่าเสียดายที่รอบนี้มีฮวานยองอยู่คนเดียวจริงๆ

“โล่งอกไปที ฉันคิดว่านายจะกลับไปแล้วซะอีก”

“อะไรของนาย…”

ฮวานยองขมวดคิ้วพลางหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เสื้อเชิ้ตของเขาติดกระดุมถึงคอและเนกไทที่ผูกอย่างเรียบร้อย ตอนนี้เขายังใส่เครื่องแบบฤดูใบไม้ผลิอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นตอนเขาใส่เครื่องแบบฤดูร้อนก็คงเรียบร้อยไม่ต่างกัน

“นายมาที่นี่ทำไม”

ยิ่งฮวานยองเข้ามาใกล้ พลังวิญญาณแบบเฉพาะตัวของเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นพลังที่ให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบายต่างจากตอนมีปีศาจอยู่กับเขาด้วยอย่างเห็นได้ชัด มูรยองยื่นซองจดหมายที่ถืออยู่ในมือให้ฮวานยองแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง

“เอาอันนี้มาให้”

“…”

มูรยองไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางของตนเองนั้นออกจะดูแปลกไปหน่อย ในห้องเรียนที่ไม่มีคน ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกหลังเลิกเรียน กับเด็กนักเรียนที่ยื่นซองจดหมายสีขาวในมือไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“อะไรน่ะ”

แน่นอนว่าฮวานยองขมวดคิ้วมองด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหวาดระแวง ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะรับซองจดหมายหรือคิดจะเข้ามาใกล้มูรยองเลยสักนิด

“ถามว่าอะไรน่ะเหรอ…”

มูรยองต้องเดินเข้าไปใกล้ฮวานยองอีกก้าวแล้วลดเสียงลงอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะไม่มีใครอยู่แถวนี้แต่ระวังไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน

“ยันต์น่ะ”

เสียงกระซิบกระซาบนั้นชวนให้รู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ปัญหาคงจะเป็นท่าทางที่ดูมีเลศนัยนี้ดูแปลกเกินไปสักหน่อย

“…ยันต์?”

“อื้ม ฉันเขียนเอง”

มูรยองวางยันต์ลงบนมือของฮวานยองอย่างไม่รีรอ ภาพมือที่สัมผัสกับมือที่เปลือยเปล่าและวางซองจดหมายลงไปนั้นดูเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำไหล นิ้วมือที่แตะกับมือของมูรยองขยับไหว แต่ครั้งนี้ฮวานยองกลับไม่ได้แสดงอาการเหมือนจะสะบัดมือเขาออก

“ถ้าพกติดตัวเอาไว้ ไหล่นายจะไม่หนัก”

“…”

ยันต์นั้นคือสิ่งที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณของมูรยอง ด้วยความที่มันถูกทำขึ้นด้วยขั้นตอนอันยุ่งยากและซับซ้อน พลังวิญญาณจึงไม่จางไปโดยง่าย มันน่าจะเป็นกลลวงที่พอจะซ่อนฮวานยองจากพวกปีศาจและผีร้ายไปได้ช่วงหนึ่ง

“อย่าทำหายเชียวนะ พกมันติดตัวไว้สักพัก เจ้านี่ทำใหม่ยากมาก เพราะงั้นนายต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีนะ”

มูรยองเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายตอบรับ ก่อนจะพบว่าดวงตาสีดำสนิทของฮวานยองนั้นอยู่ใกล้มาก หากหายใจออกมาแรงๆ ลมหายใจของพวกเขาก็คงจะสัมผัสกัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลงขนาดนี้ ฮวานยองที่นิ่งค้างไปพักหนึ่งถอยหลบก่อนขมวดคิ้ว

“…นายทำได้ยังไง”

ยันต์นั้นยู่ยับเล็กน้อยอยู่ในฝ่ามือใหญ่ของเขา ฮวานยองพลันรีบคลายมือออกเป็นเชิงว่าไม่ได้ตั้งใจ มูรยองหยิบยันต์จากมือเขามากางให้เรียบ และหนนี้ก็พับมันอย่างดีก่อนจะใส่ไว้ให้ในกระเป๋ากางเกง

“เรื่องนั้นไว้ฉันจะบอกทีหลัง”

ในตอนที่มือของเขาโฉบผ่านกางเกง ฮวานยองผงะถอยไปเล็กน้อยและจ้องมองมูรยอง มือที่จัดว่ามีนิ้วเรียวยาวเมื่อเทียบกับขนาดมือรีบทำในสิ่งที่หวังไว้ก่อนจะละออกห่าง มูรยองที่ตีความสายตานั้นได้ว่า ‘ไม่ชอบใจ’ จึงยักไหล่และพูดเสริม

“แต่ถึงจะรู้วิธีไปก็ไม่มีใครทำตามได้หรอก”

อันที่จริงถ้าเป็นฮวานยองก็น่าจะทำได้ แต่มูรยองจงใจที่จะไม่บอกอีกฝ่าย ลำพังเขาทำเองน่ะได้ แต่เขาไม่ค่อยอยากเห็นคนอื่นทำมันสักเท่าไหร่ อีกอย่างมูรยองเองก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ที่ฮวานยองอาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจหากเขาบอกขั้นตอนการทำออกไป

“ถ้านายพกเจ้าสิ่งนี้ติดตัวไปสักพัก…”

“ไหล่จะไม่หนักงั้นสินะ?”

สองสายตาสบประสาน ทั้งที่พวกเขาต่างจ้องมองกันอยู่แต่มูรยองกลับรู้สึกเหมือนต่างคนต่างมองกันคนละทิศคนละทาง ก่อนจะทันรู้ว่าตัวตนของความขัดแย้งนี้คืออะไร ฮวานยองก็หยิบยันต์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นคืนให้

“ฉันไม่ต้องการ นายเอากลับไปเถอะ”

“…หืม?”

ปฏิกิริยานั้นทำเอามูรยองอึ้งไปนิด ถึงแม้ฮวานยองจะไม่ได้บอกขอบคุณอย่างซึงจู แต่มูรยองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับมันแบบนี้ พอเห็นมูรยองกะพริบตาอย่างงุนงง ฮวานยองก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่างที่บอกนั่นแหละว่าฉันไม่ต้องการ นายเอามันกลับไปเถอะ ฉันไม่ได้มาขอให้นายช่วยทำยันต์ให้แผ่นหนึ่งสักหน่อย”

ถ้าซึงจูอยู่ด้วย หมอนั่นก็คงจะพูดแบบนี้อย่างที่ชอบพูดเป็นประจำแน่ๆ

‘เฮอะ ไอ้คนไร้มารยาทเอ๊ย’

“เอ่อ คือ…นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย”

มูรยองบอกอย่างใจเย็นเพื่อให้ความมั่นใจกับฮวานยอง อันดับแรกคือต้องทำให้ฮวานยองยอมพกยันต์ติดตัวไว้สักสองสามวัน แล้วที่เหลือต่อจากนั้นเดี๋ยวเขาจะจัดการต่อเอง

ขณะที่มูรยองพยายามสาธยายถึงสิ่งที่เคยวางแผนไว้หลังกลับมาจากบ้านของฮวานยอง ระหว่างคุยกับมูฮึน และตอนที่ทำยันต์ขึ้นมา ฮวานยองก็ขยำยันต์ในมือจนยับยู่ยี่ ครั้งนี้ไม่ใช่การเผลอลืมตัว แต่ชัดเจนว่าเป็นการจงใจ หลังจากใช้สองมือขยำซองจดหมายแล้ว เขายังโยนมันทิ้งลงถังขยะหลังห้องเรียนด้วย

“…”

มูรยองหลับตาแล้วก็ลืมตาขึ้นมาใหม่ มันเป็นเรื่องที่ทำเอาเขาสับสนมากจนนึกไม่ออกเลยว่าควรโต้ตอบกลับไปอย่างไรดี ฮวานยองพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาใส่มูรยองที่จ้องมองไปยังถังขยะนิ่ง

“ถ้าฉันอยากได้ของพวกนี้ ฉันคงจ่ายเงินซื้อไปตั้งนานแล้ว”

ไม่ใช่แค่ดูถูกความตั้งใจ แต่เรียกว่า ‘เหยียบย่ำมันไว้ใต้เท้า’ เลยก็ว่าได้ ถ้าเกิดใครมาเห็นเข้า ร้อยทั้งร้อยก็คงช็อกจนอ้าปากค้าง มีเพียงความเงียบอันหนักอึ้งคั่นกลางระหว่างพวกเขา หางตาที่เคยสดใสและอ่อนโยนคู่นั้นเวลานี้กลับลู่ตกลง

“…นี่ ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่นายทิ้งของที่คนอื่นตั้งใจทำให้แบบนั้นได้ยังไง”

มูรยองไม่ได้ดูโกรธ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังทำหน้าเบะเหมือนลูกหมาที่ถูกแย่งของเล่นชิ้นโปรดไปหรือเปล่า แต่พอเห็นยันต์จมอยู่ท่ามกลางขยะที่เละเทะจนไม่อยากทั้งเก็บมันขึ้นมาและทิ้งมันเอาไว้ มูรยองก็ได้แต่คร่ำครวญในลำคออย่างเจ็บปวดใจ

“บ้าเอ๊ย ถ้ารู้ว่าเจ้านี้ทำขึ้นมาได้ยังไง…นายจะมาเสียใจเอาทีหลังไหมนะ”

มูรยองถอนใจออกมาอย่างคร่ำครวญแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องฮวานยองตรงๆ

“แต่ไม่ว่ายังไงนายก็ไม่ควรทิ้งของต่อหน้าคนให้นะ มันเสียมารยาท”

“…”

ปากบอกว่า ‘ถ้านายทำแบบนี้ ตัวนายจะลำบากเอานะ’ หรือ ‘นายเองก็อย่ามารู้สึกผิดเอาทีหลังแล้วกัน’ แต่นั่นกลับไม่ใช่การต่อว่า มันเป็นเสียงพูดที่อ่อนโยนจนแม้แต่ฮวานยองที่มีท่าทีไม่พอใจก่อนหน้านี้ยังอึ้งไป มูรยองแค่ใช้น้ำเสียงที่ฟังเหมือนเด็กน้อยนั้นตักเตือนเขาโดยที่ไม่ได้โวยวายอะไร

“อาทิตย์นี้ฉันเองก็เต็มกลืนแล้วด้วย…ไว้อาทิตย์หน้าฉันจะทำมาให้ใหม่ ถึงตอนนั้นก็อย่าทิ้งมันอีกล่ะ”

ฮวานยองยังไม่ได้ตอบอะไรแต่มูรยองก็หันหลังขวับทันที และก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร มูรยองก็เดินไปตามโถงทางเดินหน้าห้องเรียนแล้ว ฮวานยองที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังจึงได้แต่มองภาพแผ่นหลังนั้นแล้วก็แค่นหัวเราะออกมา

 

โรงเรียนยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นเพราะการสอบกลางภาคเพิ่งเสร็จสิ้นไปได้ไม่นาน ใบคะแนนสอบแจกคืนให้ในคาบโฮมรูมรอบเช้า มูรยองเก็บมันใส่กระเป๋าโดยไม่แม้แต่จะปรายตาดูคะแนนด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นเรื่องเรียนเขายอมแพ้ไปนานแล้ว

ในตอนที่หมดคาบแรกมินจีเอากิ๊บติดผมอันเล็กมาให้เป็นค่าตอบแทน มันเป็นกิ๊บติดผมที่มีดอกไม้พลาสติกสีชมพูติดอยู่ด้านบนและมีเสียงป๊อกแป๊กฟังดูน่ารัก คงจะน่ารักน่าดูหากเป็นเด็กอายุสักสี่หรือห้าขวบติดมันเอาไว้

“มินจี เธอใช้อันนี้ตอนเด็กเหรอ”

“น่าจะใช่นะ ฉันเองก็จำไม่ได้แล้ว”

มูรยองบอกขอบคุณและเก็บกิ๊บติดผมลงในกระเป๋า มันดูเป็นของที่มีอายุเกินสิบปีเลยถือได้ว่าเป็นการลงแรงที่คุ้มค่าเหนื่อย

“ว่าแต่นายจะเอาไปใช้ทำอะไรน่ะ ติดให้เจ้าซอลกีเหรอ”

“อืม ก็…”

ยางลบใช้แล้วที่เหลือเพียงครึ่งก้อน ลูกแก้วที่เคยเล่น แหวนมิตรภาพสมัยเด็ก หรือไม่ก็เครื่องประดับสมัยเด็กๆ เพื่อนที่มาไหว้วานมูรยองทุกคนเป็นต้องถามว่าเขาจะเอามันไปใช้ทำอะไร และทุกครั้งมูรยองจะปล่อยเบลอโดยไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนราวกับเขาอยากจะมีภาพลักษณ์เป็น ‘เด็กหนุ่มที่สะสมข้าวของประหลาด’ อย่างไรอย่างนั้น

“แปลกดีแฮะที่ไม่มีใครลือกันว่าคิมมูรยองเป็นโรคจิต”

ซึงจูออกปากชมด้วยน้ำเสียงจริงใจ ถ้าคนอื่นทำตัวแบบนี้คงมีข่าวลือประหลาดๆ เกิดขึ้นไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนภาพลักษณ์ใสซื่อบริสุทธิ์ตามแบบฉบับคิมมูรยองจะปกป้องเขาจากเรื่องพวกนั้นได้ดีทีเดียว ทั้งยังมีข่าวลือที่ว่าเขารับของที่ดูเหมือนขยะไปก็เพื่อจัดหมวดหมู่ให้พวกมันและคัดแยกอีกต่างหาก

“นั่นน่ะสิ กิ๊บอันนั้นดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ”

“ของทุกอย่างก็มีประโยชน์ของมันกันทั้งนั้นแหละ”

มูรยองหยิบหนังสือเรียนของคาบต่อไปขึ้นมาแทนการตอบว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ทั้งยังหยิบสมุดโน้ตสะอาดๆ ออกมาไว้ใช้จดเลกเชอร์แทนซึงจูอีกเล่มด้วย แต่มินจีก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ตัวมูรยอง ก่อนจะถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ว่าแต่ว่า…มูรยอง นายสนิทกับคีฮวานยองเหรอ”

“หืม?”

ถึงจะเป็นชื่อที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน แต่ก็นับว่าเป็นชื่อที่แสนคุ้นเคย คงเป็นเพราะเขาเพิ่งไปเจอหน้าฮวานยองมาเมื่อวานหลังเลิกเรียน

“เห็นเขาว่าอาทิตย์ที่แล้วนายมาโรงเรียนพร้อมคีฮวานยองด้วยนี่”

“เออ ใช่ พอได้ยินเรื่องนั้นแล้ว ฉันก็คิดว่าความสามารถในการเข้ากับคนของคิมมูรยองนี่มันบ้าบอมากจริงๆ”

“หมอนั่นไม่ใช่คนน่ากลัวหรอกเหรอ แล้วหมอนั่นเป็นคนยังไงบ้างอะ”

นี่ฉันกลายเป็นข่าวลือไปซะแล้วเหรอเนี่ย

เพียงครู่เดียวคำถามที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ถูกส่งมาเป็นชุด มูรยองกวาดตามองบรรดาเพื่อนๆ พลางขยิบตาให้อย่างขี้เล่น

“ฉันก็สนิทกับทุกคนในโรงเรียนแหละน่า”

“โอ๊ย อะไรเนี่ย”

“นายนี่มันจริงๆ เลย คิมมูรยอง”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นแต่มันก็คือเรื่องจริง พวกเพื่อนๆ ที่หาคำไหนมาโต้แย้งไม่ได้เลยพากันโวยวายใส่มูรยอง ถึงอย่างนั้นคำพูดจากเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็ทำให้บรรยากาศในวงสนทนาเปลี่ยนไป

“ฉันว่าหมอนั่นก็เป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่”

บทสนทนาใหม่เริ่มต้นจากตรงนั้น ฮวานยองที่เข้ากับใครไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าน่าแปลก

“ปีที่แล้วฉันอยู่ห้องเดียวกับหมอนั่น แต่ก็ไม่เคยได้คุยกันเลยสักคำ”

“เขาแค่ไม่สนิทกับนายหรือเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย ขนาดชวนคุยแล้วยังไม่ตอบเลย ตอนทำงานอะไรเป็นกลุ่มฉันแทบจะบ้าตายเพราะเขาไม่ออกความเห็นอะไรเลย”

“เอิ่ม…แล้วแบบนี้ตอนประเมินสมาชิกกลุ่มทำไงอะ”

“หมอนั่นก็แค่ทำหน้าที่ในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบไง”

“อะไรเนี่ย หมอนั่นมันบ้าชัดๆ แต่ยังไงก็ช่างเขาเหอะน่า”

เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูรยองปิดปากเงียบ แต่เพื่อนคนอื่นๆ กลับยังยืนล้อมอยู่รอบตัวเขาและคุยเรื่องฮวานยองกันต่อ

“เออ จริงสิ ฉันเคยเผลอเดินชนหมอนั่นตรงระเบียงแล้วโดนมองแรงด้วยล่ะ ตอนนั้นฉันนึกว่าจะโดนต่อยซะแล้ว”

“โห หมอนั่นตัวก็ใหญ่เบ้อเริ่ม นายคงจะกลัวขึ้นสมองเลยล่ะสิ”

“หมอนั่นแปลกจริงๆ แฮะ”

“ทำไมต้องทำเป็นเก๊กวางมาดอยู่คนเดียวแบบนั้นด้วยนะ”

“ไม่รู้สิ แต่ตอนนั้นที่มาห้องเรา หมอนั่นก็ทำตัวแบบนั้นไม่ใช่หรือไง ‘เรียกคิมมูรยองให้หน่อยสิ’ พูดเสียงโคตรน่ากลัวเลย…”

ซึงจูพลันย่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน สายตาของมูรยองมองไปยังเฝือกบนแขนขวาของเขาในจังหวะนั้นพอดี และตอนนั้นเองที่ซึงจูทุบโต๊ะแล้วสั่งให้พวกเพื่อนที่กำลังเสียงดังเงียบลง

“เฮ้ย หนวกหู พวกนายอย่ามานินทาคนแถวนี้ได้ไหม”

“นั่นสิ ฉันแค่ถามเฉยๆ เองว่าสนิทกันเหรอ แต่พวกนายดันมาพูดแบบนี้ แล้วฉันจะดูกลายเป็นคนยังไงกันล่ะเนี่ย”

แม้แต่มินจีเองก็ยังลำบากใจ แต่เพื่อนคนที่เปิดประเด็นขึ้นมาก็ยังไม่ยอมลดละ ทั้งยังเสียงดังขึ้นทั้งที่สีหน้าดูอับอาย

“เปล่านะ ไม่ได้นินทาสักหน่อย มันเรื่องจริงต่างหาก มูรยอง นายเองก็คิดว่าหมอนั่นเป็นคนแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

แล้วสายตาทุกคู่ก็เบนความสนใจมาที่มูรยองทันที ถึงจะน่าหนักใจแต่มูรยองก็ตอบกลับไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“คีฮวานยองเขานิสัยดีนะ”

“…”

แค่คำพูดเดียวก็เพียงพอที่จะหยุดเสียงเอะอะทั้งหมด แม้แต่เพื่อนคนที่เผยความไม่พอใจออกมาอย่างปิดไม่มิดก็ยังปิดปากสนิทด้วยสีหน้าราวกับพูดไม่ออก ระหว่างที่กำลังนั่งลูบๆ คลำๆ หนังสือเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะมูรยองก็คลี่ยิ้มออกมา

“อาจจะแค่ไม่สนิทใจกับคนแปลกหน้าล่ะมั้ง? ตอนฉันเอารูปเจ้าซอลกีให้ดู เขายังบอกว่า ‘แพ็กซอลกีซะที่ไหน นี่มันอินจอลมีต่างหากล่ะ’ อยู่เลย ไม่มีคนรักหมาที่ไหนเป็นคนไม่ดีหรอกน่า”

ประโยคหลังนั้นดูเหมือนจะกึ่งๆ เป็นการล้อเล่น มูรยองหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดรูปที่เขาเคยเอาให้ฮวานยองดูตอนนั้นยื่นให้กลุ่มเพื่อนดู มันเป็นรูปถ่ายที่มีเจ้าซอลกีนอนแผ่อยู่บนพื้นเหมือนกับอินจอลมี

“ดูสิ เจ้าซอลกีน่ารักเนอะ”

หัวข้อสนทนาพลันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอัตราความเร็วในการเจริญเติบโตของเจ้าซอลกีกับสีขนของมัน ข้อขัดแย้งที่ว่า ‘เจ้านี่เหมือนแพ็กซอลกีหรืออินจอลมีกันแน่?’ จบลงที่ข้อสรุป ‘มันเหมือนแพ็กซอลกีที่สุกได้ที่’ ในตอนนั้นเองเสียงออดก็ดังขึ้นบอกเวลาเริ่มคาบเรียนที่สองราวกับรู้จังหวะพอดี

“เอาไว้พวกนายก็มาเล่นกับเจ้าซอลกีดูสิ”

“ได้อยู่แล้ว ฉันไปแน่นอนเลย เดี๋ยวจะซื้อขนมไปฝากด้วย”

“มูรยอง ฉันด้วยๆ ฉันขอไปด้วยคนนะ”

“มากันทั้งหมดเลยก็ได้นะ เจ้าซอลกีมันชอบคน”

ซึงจูเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นด้วยแววตาสุดแสนจะทึ่ง ทั้งที่คิมมูรยองเป็นเพื่อนที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เกิด แต่ทุกครั้งที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ซึงจูก็มักเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะกับเรื่องที่ว่าเจ้าตัวไม่เคยตีสองหน้าเสแสร้งใคร

“คีฮวานยองนิสัยดี?”

มูรยองยิ้มกับคำพูดนั้น ดวงตาที่ไม่มีชั้นตาทอดตัวโค้งลงอย่างละมุนละไม

“วันที่ฉันไปนอนบ้านหมอนั่น เขาเตรียมอาหารเช้าจนเสร็จแล้วค่อยมาปลุกฉันไปกินด้วยล่ะ”

“…”

“แถมตอนเดินมาโรงเรียนก็รักษาจังหวะเท้ารอฉันให้เดินไปพร้อมกัน แล้วดูเหมือนว่าเขาจะเดินฝั่งริมถนนตลอดด้วยนะ”

“…นิสัยดีจังนะ”

“ฉันถึงได้บอกไงว่าเขาน่ะนิสัยดี”

มูรยองพยักหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ’ ทว่าความจริงแล้วซึงจูกลับคิดว่า ‘คนที่นิสัยดีนั่นมันนายต่างหากล่ะ’ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของเจ้าตัวให้ถูกต้อง

“วันนี้ไปกินข้าวกลางวันกับคีฮวานยองกัน”

ซึงจูเหลือบมองมูรยอง ก่อนจะพบว่าไม่เห็นวี่แววล้อเล่นจากเจ้าตัวที่กำลังพลิกเปิดหนังสือเรียนเลยแม้แต่น้อย พอเห็นแบบนี้แล้วซึงจูก็อดหัวเราะใส่เขาไม่ได้

“…คีฮวานยองรู้เรื่องด้วยไหมเนี่ย”

แน่นอนมูรยองตอบว่า ‘ไม่’ อย่าว่าแต่จะกินข้าวด้วยกันเลย ฮวานยองคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามูรยองจะไปหา เขาเดาว่าป่านนี้อีกฝ่ายคงคิดว่ามูรยองจะเอายันต์ไปให้ประมาณอาทิตย์หน้าแน่ๆ

“ยังไงหมอนั่นก็ดูเหมือนจะกินข้าวคนเดียวอยู่แล้ว ถ้าชวนมากินด้วยกันก็ไม่น่าจะปฏิเสธไหมนะ”

“…”

มูรยองพูดออกมาง่ายๆ เหมือนไม่คิดอะไร แต่จากที่ซึงจูเห็น คีฮวานยองดูไม่ใช่คนอ่อนโยนเลยสักนิด คราวก่อนตอนทักทายอีกฝ่ายก็เมินใส่กันด้วยสีหน้าเย็นชา แถมไม่ใช่กับคนอื่นด้วย แต่เป็นกับคิมมูรยองนี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งให้มูรยองไปค้างด้วยคืนหนึ่งแท้ๆ

“พอเลย จะกินด้วยกันไปเพื่ออะไร เพราะเพื่อนคนอื่นพูดแย่ๆ ใส่เลยสงสารงั้นสินะ?”

“จะว่าสงสารไหม…”

มูรยองนิ่วหน้าให้กับน้ำเสียงถากถางนั้นเป็นเชิงถามว่า ‘พูดอะไรของนาย’ และท่าทางย่นจมูกนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ

“พอพูดแบบนั้นก็คงฟังเหมือนเห็นใจเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่หรอก ฉันแค่อยากสนิทกันให้มากขึ้นหน่อยก็เท่านั้นเอง”

เมื่อวานตอนเห็นฮวานยองทิ้งยันต์ลงถังขยะ มูรยองก็รู้สึกได้ถึงอะไรหลายอย่างเช่นถึงแม้เขาจะเป็นคนที่คบหาได้ยาก แต่พอลองดูๆ ไปแล้วสิ่งที่เขาทำนั้นก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ถึงอย่างนั้นก็ดูท่าว่างานนี้คงจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ที่จริงแล้วมูรยองแทบไม่เคยรู้สึกหนักใจอะไรกับการรับงานเลยสักครั้ง คนที่มาขอให้ช่วยส่วนใหญ่ต่างก็เต็มใจช่วยเหลือมูรยองและไม่ลังเลที่จะให้ข้อมูล ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นคงไม่มีใครมีท่าทีแบบนั้นตอนเขาเขียนยันต์ให้

“ต้องเจอกันบ่อยๆ จะได้ลองทำอะไรสักอย่าง”

“อ้อ…งานที่จ้างมาสินะ?”

“อืม ฉันยังช่วยหมอนั่นไม่ได้เลยอะ”

แผนการก็สมบูรณ์แบบไปแล้วประมาณหนึ่ง ส่วนเรื่องของฮวานยองเอง มูรยองก็คิดว่าสนิทกันขึ้นบ้างแล้ว ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความร่วมมือมาตั้งแต่ต้นน่ะนะ…หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน มูรยองก็พร้อมจะจัดการปีศาจตนนั้นและแก้ปัญหาทุกอย่างแบบไม่ให้ใครรู้ และคนรอบตัวฮวานยองก็จะไม่มีใครต้องเจ็บตัวอีก

“ทำไมนายถึงเป็นฝ่ายพยายามอยู่คนเดียวล่ะ หมอนั่นต้องเป็นฝ่ายกระตือรือร้นมาร้องขอให้นายช่วยสิ”

ซึงจูดูหงุดหงิดมากที่มูรยองต้องเป็นฝ่ายคอยตามช่วยแบบนั้น และมันก็ไม่ใช่แค่วันสองวันที่คิมมูรยองทำตัวเป็นไอ้หน้าโง่ให้คนอื่นหลอกใช้ แถมหนนี้ยังเล่นใหญ่ขึ้นอีก

แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นความพยายามในแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอไม่ใช่หรือไง

“…เขาก็คงมีเหตุผลที่เข้ามาหาก่อนไม่ได้แหละ”

“พ่อพระจริงๆ เลยนะนายเนี่ย”

“หมายถึงฉันเป็นคนใจดีงั้นเหรอ”

“มันแปลว่าไอ้คนหัวอ่อนต่างหากล่ะ”

มือที่ใส่เฝือกอยู่เคาะเหม่งมูรยอง บนพื้นผิวแข็งๆ ของมันเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนหลากสีดูยุ่งเหยิงเพราะเพื่อนในห้องมาเขียนอะไรต่อมิอะไรเอาไว้มากมาย ถึงจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่มูรยองก็ลูบศีรษะตรงที่โดนเคาะไปเองโดยอัตโนมัติ

“ฉันไม่ได้ทำเพื่อหมอนั่นสักหน่อย…”

“เชื่อตายแหละ”

ซึงจูอาจจะไม่เชื่อ แต่เขาไม่ได้ทำเพื่อฮวานยองจริงๆ ถึงจะไม่ได้มาขอให้ช่วย แต่หากพบว่ามีปีศาจแบบนั้นอยู่ มันก็เป็นความรับผิดชอบที่เขาต้องตามหาและทำลายมันอย่างเร่งด่วน เพราะนั่นคือหน้าที่ของมูรยองในฐานะมือปราบวิญญาณและสมาชิกของตระกูลมือปราบวิญญาณที่ต้องยึดมั่นถือมั่นนับตั้งแต่วินาทีที่เขาลืมตาเกิดมา

“ถึงจะบอกว่าเป็นจิตอาสา แต่ฉันว่านายก็เลือกคนที่จะช่วยหน่อยเหอะ”

ไม่นานนักอาจารย์ก็เข้าห้องมา บทสนทนาของทั้งคู่เลยต้องจบลงเพียงเท่านั้น หนนี้มูรยองตั้งหน้าตั้งตาจดเนื้อหาที่เรียนด้วยลายมืออันสวยงาม พอเห็นมูรยองที่เป็นแบบนั้นแล้ว ซึงจูก็ถึงกับลอบถอนหายใจออกมา

 

เมนูอาหารกลางวันวันนี้คือโจลมยอน* กับทงคัตสึปลา

เพื่อนคนหนึ่งที่มักตัดตารางเมนูอาหารกลางวันของโรงเรียนเป็นแผ่นเล็กๆ และพกมันไปไหนมาไหนทุกที่เหมือนเป็นสมุดท่องศัพท์บอกมาแบบนั้น และพอบอกว่าจะมีน้ำแอปเปิ้ลเป็นของว่างของวันนี้ บรรดาเพื่อนผู้ชายก็พากันพนันไว้ก่อน

ทันทีที่เสียงออดดัง มูรยองก็มุ่งหน้าไปยังห้องสามตามที่ได้บอกซึงจูไว้ ปกติแล้วในเวลานี้เขาจะเกาะและห้อยต่องแต่งอยู่บนหลังซึงจู แต่วันนี้เขากลับเดินอกผายไหล่ผึ่งอย่างสง่าผ่าเผยอย่างกับนายพล ต่างกับซึงจูที่เกาหัวแกรกๆ พลางเดินเรื่อยเปื่อยตามหลังมูรยองมา

“…อะไรของนายเนี่ย”

“ก็มาชวนไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไง”

ฮวานยองทำหน้าไม่อยากจะเชื่อกับคำพูดของมูรยองอย่างเคย ปฏิกิริยาของฮวานยองทำเอาซึงจูที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รู้สึกอับอายแทน แต่ถึงอย่างนั้นมูรยองก็ยังคงเกาะแขนของฮวานยองไว้แน่นเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“ได้ยินว่าวันนี้มีทงคัตสึปลาด้วยนะ”

“…”

ช่วงที่ผ่านมาฮวานยองก็คงจะเริ่มชินชาบ้างแล้ว เขาเลยทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ และไม่ได้สะบัดมือที่มูรยองจับอยู่ออก จนผ่านไปพักหนึ่งถึงได้ค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกมา

“แล้วทำไมฉันต้อง…”

“ก็นายมีเรื่องที่รู้สึกผิดกับฉันอยู่นี่นา”

มูรยองแหงนหน้ามองฮวานยองช้าๆ ด้วยแววตาใสแจ๋ว เนื่องจากระดับสายตาของเขาอยู่สูงมาก มูรยองเลยต้องแหงนหน้าค้างอยู่อย่างนั้น ทันทีที่สายตาสบกันฮวานยองก็พลันขมวดคิ้วยุ่ง

“…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนั้น”

“โอ๊ะ รู้สึกผิดจริงๆ ด้วยแฮะ”

“…”

“ไปกันเถอะ ป่านนี้คิวยาวแล้ว”

มุมปากได้รูปคลี่ยิ้มกว้าง ฮวานยองเม้มปากแน่นสนิทให้กับรอยยิ้มสดใสไร้ที่ติ พอเห็นฮวานยองที่เดินตามมูรยองไปอย่างเสียไม่ได้แล้ว ซึงจูก็ได้แต่ดุนลิ้นอย่างเอือมระอา

ปากบอกว่าไม่ใช่เพื่อคีฮวานยอง โกหกชัดๆ

มูรยองอ้างว่าเป็นเพราะคำขอร้องให้ช่วย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คงเป็นเพราะจิตใจอันบอบบางของเจ้าตัวนั่นแหละที่นำพาไป คิมมูรยองที่ถึงตายก็ไม่ยอมเห็นใครต้องอยู่ตัวคนเดียวคงเป็นกังวลตั้งแต่ตอนที่เพื่อนในห้องพูดถึงฮวานยองแบบแย่ๆ เรื่องการจ้างอะไรนั่นก็เป็นแค่ข้ออ้าง ต่อให้ฮวานยองไม่ได้มาจ้าง มูรยองก็คงไปชวนหมอนั่นคุยอยู่ดี

“ซอซึงจู รีบมาเร็ว!”

“กำลังไปอยู่นี่ไง”

ใช่ว่าคิมมูรยองเพิ่งมาทำแบบนั้นแค่วันสองวันนี้ สมัยพวกเขาอยู่มัธยมต้นปีหนึ่ง มูรยองก็ไม่เคยปล่อยให้เพื่อนที่ไม่มีใครคุยด้วยถูกทิ้งอยู่คนเดียว แม้สภาพการณ์จะต่างไปจากฮวานยองนิดหน่อย แต่ความเป็นมาเป็นไปนั้นก็คล้ายๆ กันอยู่ดี

‘แชอึนงั้นเหรอ แชอึนนิสัยดีนะ’

ยัยนั่นชื่อคิมแชอึนหรืออีแชอึนกันนะ?

ซึงจูเองก็จำชื่อเธอคนนั้นไม่ได้เหมือนกัน เธอเป็นเพื่อนที่ถูกกลั่นแกล้งมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียนประถม ซึ่งเหตุผลที่เธอถูกแกล้งก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่เป็นไปตามธรรมชาติของพวกเด็กที่ยังไม่โตพอที่จะแยกแยะ แถมพักหลังแชอึนก็ถูกล้อเลียนไปยันเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างเรื่องไว้ผมบ็อบสั้นแล้วดูประหลาด

‘ตอนฉันลืมเอากล่องดินสอมา แชอึนก็ให้ยืมปากกาตลอดทุกวันเลยนะ’

‘ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องทรงผมผู้หญิงนักหรอก แต่ผมที่ตัดมาก็น่ารักดีไม่ใช่หรือไง’

‘แถมเรื่องงานฝีมือน่ะ แชอึนเก่งมากเลยนะ’

‘งั้นเดี๋ยวฉันนั่งข้างแชอึนเอง’

มูรยองนั่งลงตรงที่นั่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงอย่างไม่อิดออด เขาทักทายแชอึนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแน่นอนว่าคู่นั่งที่เลือกไว้แล้วก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจนจบเทอมหนึ่ง ซึงจูที่ถูกทิ้งอย่างงงๆ เลยจำต้องหันไปทำความรู้จักกับเพื่อนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกอย่างกระอักกระอ่วนแทน

‘เธออยากดูรูปเจ้าซอลกีไหม’

‘เอาโยเกิร์ตของฉันไปกินด้วยสิ’

‘โอ๊ะ แชอึน เธอชอบดอกบอลลูน* เหรอ’

และแน่นอนว่าคิมมูรยองมีความสามารถในการผูกมิตรเป็นเลิศดังคาด เขาคุยเรื่องต่างๆ มากมายกับแชอึนทุกๆ ช่วงพักเบรกและพักเที่ยง ต่อให้มูรยองจะไม่ได้กินข้าวกลางวันในห้องเรียน แต่เจ้าตัวก็ชวนแชอึนไปกินด้วยกัน หลังจากนั้นแชอึนที่ดูอึดอัดในทีแรกก็เริ่มคุยกับมูรยองด้วยใบหน้าที่สดใสมากขึ้น

‘นายชอบยัยนั่นเหรอ’

หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง กลุ่มเพื่อนที่มักกลั่นแกล้งแชอึนเริ่มหันมาล้อเลียนมูรยองไปด้วย ถึงจะเป็นคำพูดแสนแย่ที่ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนจะพูด แต่มูรยองกลับตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

‘อื้ม ฉันชอบแชอึน แล้วฉันก็ชอบพวกเธอด้วยเหมือนกัน’

คำตอบนั้นสดใสเสียจนเพื่อนสองคนในกลุ่มถึงกับหน้าแดง ตอนนั้นเองซึงจูก็ได้เห็นความผิดหวังที่ฉายชัดบนใบหน้าของแชอึน

มูรยองแจกรอยยิ้มสดใสไปตามประสาเจ้าตัวพร้อมกับเอ่ยปากเชิญชวนเพื่อนทุกคนในห้อง

‘พวกเธออยากไปหาเจ้าซอลกีที่บ้านฉันด้วยไหม’

นับจากวันนั้นแชอึนก็เริ่มมีเพื่อนขึ้นมาคนสองคน เพียงแค่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเพราะความอคติของเพื่อนพวกนั้นที่เคยมีต่อเธอ แต่พอได้เริ่มพูดคุยกันครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มูรยองคอยช่วยจนเธอสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพื่อนที่เธอเคยมีจากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง และหลังจากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มในที่สุด

เมื่อเทอมสองมาถึงที่นั่งก็ถูกสลับสับเปลี่ยน แต่แชอึนยังคงนั่งอยู่ใกล้มูรยองเสมอ แม้ในตอนนั้นเธอจะเข้ากับเพื่อนๆ ในห้องได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็ตาม ต่อให้ไม่ต้องได้ยินเองกับหูก็พอจะรู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร

“คิมมูรยอง”

“มีอะไรเหรอ”

มูรยองที่เพิ่งนั่งลงในโรงอาหารเหลือบตามองซึงจู ถัดจากมูรยองมีฮวานยองที่ยังคงทำหน้าฝืนใจนั่งอยู่ด้วย ซึงจูมองฮวานยองและมูรยองสลับกันพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“นายจำแชอึนเพื่อนสมัยที่เราอยู่ ม.ต้น ได้ไหม คิมแชอึนหรืออีแชอึนอะไรนี่แหละ”

“…นายหมายถึงซงแชอึน?”

“อ๋า นามสกุลซงหรอกเหรอ”

ก็เห็นมูรยองเรียกแต่แชอึนๆ อยู่ตลอด เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเธอนามสกุลอะไร ช่วงแรกๆ เขาเองก็คุยกับแชอึนอยู่แค่ไม่กี่ครั้งเอง

“ทำไมจู่ๆ ก็พูดถึงแชอึนขึ้นมาล่ะ”

“จู่ๆ ก็นึกถึงขึ้นมาน่ะ นายยังติดต่อกับเธออยู่ไหม”

เท่าที่ซึงจูจำได้ แชอึนย้ายไปเรียนโรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียนมัธยมปลายแฮยอน ตอนนั้นพอเห็นแชอึนร้องไห้โฮต่อหน้ามูรยองแล้ว เขาก็พลอยรู้สึกสงสารไปด้วย ไหนจะคำพูดต่อมาที่ทำให้เขาถึงกับต้องแอบลุกหนีไปจากที่ตรงนั้นอีก

‘ฉันไม่อยากย้ายไปอยู่คนละโรงเรียนกับนายเลย…’

“ไม่นะ เรียนจบแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย”

มูรยองตอบเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรก่อนจะหั่นปลาชิ้นใหญ่เข้าปาก สีหน้าของเขาไม่ได้ดูอาลัยอาวรณ์หรือยังติดอยู่กับความทรงจำเก่าๆ เลยแม้แต่น้อย มูรยองทำเพียงเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากตุ้ยๆ ก่อนพูดขึ้นอย่างใจเย็น

“สักประมาณปีสองปีสามก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่แล้ว”

“…งั้นเหรอ”

“อืม ก็มีนานๆ ทีจะมาขอดูรูปเจ้าซอลกีทีล่ะมั้ง?”

ซึงจูพลันขมวดคิ้ว

ทั้งที่ตอนวันพิธีจบการศึกษาก็ดูอาลัยอาวรณ์กันขนาดนั้นไม่ใช่หรือไง

ถ้าเกิดได้รับคำสารภาพรักขึ้นมา คนอย่างคิมมูรยองก็ไม่น่าจะพูดจาไร้เยื่อใยแบบนั้นออกมาได้เลย

“แล้วตอนวันพิธีจบการศึกษาพวกนายคุยอะไรกัน”

สุดท้ายซึงจูจึงตัดสินใจเลียบเคียงถามสิ่งที่คาใจไปแบบอ้อมๆ เพราะมีฮวานยองนั่งอยู่ข้างๆ เขาเลยถามออกไปตรงๆ ไม่ได้ว่ามูรยองถูกสารภาพรักหรือเปล่า แม้ฮวานยองจะไม่ได้ดูสนใจฟังบทสนทนาของพวกเขาเลยก็ตาม

“ก็แค่บอกว่าไปอยู่โรงเรียนมัธยมปลายก็ขอให้โชคดีนะอะไรประมาณนี้…”

มูรยองกลอกตาคิดด้วยสีหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ดวงตากลมโตของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังนึกย้อนไปถึงความทรงจำในตอนนั้น

“แค่นั้น?”

“…”

ซึงจูรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าวันนั้นมีบางอย่างผิดปกติระหว่างทั้งสองคน บางทีสาเหตุอาจมาจากการไม่รู้จักสังเกตคนของมูรยองเอง

“…ถามจริง?”

“อื้ม”

สุดท้ายแล้วซึงจูจะมาบอกความรู้สึกที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เคยได้บอกเอาป่านนี้ไปเพื่ออะไรกัน มันคือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แถมดูเหมือนคนที่เกี่ยวข้องเองก็ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ

“อืม…เอาเหอะ”

“อะไรของนายเนี่ย”

มูรยองไม่ได้เก็บเอาคำพูดของซึงจูมาคิดเป็นจริงเป็นจัง ถึงเจ้าตัวจะดูเป็นคนละเอียดอ่อน แต่เห็นอย่างนี้แล้วมูรยองก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่สุดแสนจะทึ่มในหลายๆ เรื่องก็เท่านั้นเอง และเพราะเป็นเช่นนั้นเจ้าตัวจึงละความสนใจจากบทสนทนาได้อย่างรวดเร็วแล้วไปจับจ้องอยู่ที่ถาดอาหารอันว่างเปล่าพลางเลียริมฝีปาก

“ฉันอยากไปเอาข้าวกลางวันอีกรอบจัง…”

“วนกลับไปต่อแถวเอาอีกรอบสิ พวกป้าๆ เอ็นดูนายจะตาย ยังไงก็คงตักให้อีกแน่”

“ไม่ได้หรอก ขืนโดนจับได้ก็ถูกดุกันพอดี”

มูรยองมุ่นคิ้วทำหน้ามุ่ยแล้วหันไปมองฮวานยอง เขาที่กินเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งท่าจะลุกจากที่ แต่มูรยองก็ดึงชายเสื้อของเขาไว้พลางเอ่ยถามด้วยสายตาแปลกใจ

“นายจะไปแล้วเหรอ ซึงจูเพิ่งกินไปได้นิดเดียวเองนะ”

“แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย นายจะไปก็ไปเหอะ”

ซึงจูที่กินข้าวด้วยมือข้างเดียวเป็นฝ่ายตอบพร้อมโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ สำหรับเขาการที่ฮวานยองยังนั่งอยู่กับที่มาจนถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

ทีแรกคิดว่าฮวานยองจะเมินกันไปเลยด้วยซ้ำ แค่ที่หมอนี่ตามมาด้วยก็เกินความคาดหมายมากแล้วไม่ใช่หรือไง

“นายเอานี่ไปกินเถอะ”

มูรยองไม่ได้ลุกขึ้นตามฮวานยอง แต่เลือกที่จะหยิบน้ำแอปเปิ้ลวางลงบนถาดอาหารของเขาแทน

นั่นไง เจ้านี่ตกเหยื่อด้วยของกินอีกแล้ว

ซึงจูแอบคิดอยู่ในใจพลางขยับช้อน

แต่ถึงยังไงคีฮวานยองเองก็เป็นผู้ชาย คงไม่น่าเกิดเรื่องคล้ายๆ กับตอนแชอึนหรอกมั้ง

และในวินาทีที่เขาตั้งใจว่าจะละความสนใจแล้วนั้นเอง…

“…ไม่เอาอะ นายแหละกินไป”

ฮวานยองเอาน้ำแอปเปิ้ลบนถาดอาหารคืนให้มูรยอง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังวางน้ำแอปเปิ้ลของตัวเองเพิ่มไว้ให้ข้างกันโดยไม่รอให้มูรยองจับไว้ได้ทัน จากนั้นก็เดินหนีไปแบบไม่หยุดลังเลเลยสักนิด

“…”

“แค่กๆ”

เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้น ซึงจูรีบปักหลอดลงไปในกล่องน้ำแอปเปิ้ลและดูดอึกหนึ่งทันที เขาเกือบจะสำลักออกมาด้วยความเวทนาอยู่แล้ว

“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วไงว่าเขานิสัยดี”

ไม่รู้ว่ามูรยองรู้หรือไม่รู้ใจซึงจูกันแน่ เขาถึงได้พยักพเยิดไปยังทางที่ฮวานยองเดินจากไปอย่างมั่นอกมั่นใจแบบนั้น แต่ซึงจูก็ดูไม่ค่อยอยากจะเห็นด้วยกับเขานัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมอนั่นนิสัยดีจริงๆ หรือเป็นเพราะอีกฝ่ายคือมูรยอง ซึงจูชักเริ่มสับสนตั้งแต่ตรงนั้นเลย

“…นายทำอะไรกับหมอนั่นกันแน่”

“เปล่าหรอก เขาแค่รู้สึกผิดกับฉันก็เลยให้มาน่ะ”

มูรยองยักไหล่ตอบกลับมาแบบนั้นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องน้ำแอปเปิ้ล นิ้วมือที่แกะหลอดซึ่งติดมากับกล่องดูไม่มีอะไรผิดสังเกต พอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว ตอนพาฮวานยองมาโรงอาหารเมื่อกี้ มูรยองก็เหมือนจะถามฮวานยองว่ามีเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดหรือเปล่าอยู่เหมือนกัน

คิดไปถึงตรงนั้นซึงจูก็กัดปลายหลอดย้ำๆ พลางเอ่ยถาม

“ไอ้เรื่องรู้สึกผิดนั่นน่ะ เรื่องอะไรงั้นเหรอ”

 

 

* พุลโกกี เป็นอาหารชนิดหนึ่ง ทำจากเนื้อวัวหมักด้วยซอสเกาหลี ผลไม้ และอื่นๆ ก่อนนำมาย่างไฟแล้วกินโดยห่อกับผักและน้ำจิ้ม

** การดูดวงในที่นี้ หมายถึงการดูดวงด้วยศาสตร์ที่ชื่อว่า ‘สี่เสาแห่งโชคชะตา’ ซึ่งเป็นศาสตร์การดูดวงที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนและใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศเกาหลีใต้ โดยคำว่า ‘สี่เสา’ หมายถึงวัน เดือน ปี และยามที่เกิด ใช้เป็นฐานในการตรวจดูดวงชะตา

** การแบ่งเวลาแบบสิบสองยาม หนึ่งยามมีสองชั่วโมง ซึ่งยามจาคือเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง

*** ปีคยองจา ตรงกับปีหนู ธาตุทองตามตำราแผนภูมิสวรรค์

**** เดือนคีมโย ตรงกับเดือนกระต่าย ธาตุดินตามตำราแผนภูมิสวรรค์

***** วันคเยมโย ตรงกับวันกระต่าย ธาตุน้ำตามตำราแผนภูมิสวรรค์

* โจลมยอน เป็นบะหมี่ประเภทหนึ่งของเกาหลี ทำจากเส้นหมี่เหนียวนุ่มลวกแล้วนำไปล้างน้ำ โรยด้วยผักชนิดต่างๆ และไข่ ราดด้วยน้ำซอสรสเผ็ดหวานเย็น

* ดอกบอลลูน หรือบอลลูนฟลาวเวอร์ เป็นพืชที่มีดอกตูมลักษณะกลมโป่งพองคล้ายบอลลูน ดอกบานจะเป็นรูปถ้วยตื้น ปลายแยกเป็นห้าแฉก มีทั้งสีม่วง ชมพู และขาว รากใช้ทำเป็นอาหารหรือส่วนผสมของยา

  

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน มือปราบ (วิญญาณ) คนนี้ชื่อคิมมูรยอง เล่ม 1

 

วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub

และร้านหนังสือทั่วไป

 

รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่

Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN

 

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: