X
    Categories: everYทดลองอ่านทรราชหวนคืน

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 13-14 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 13

พริบตาเดียวก็พ้นช่วงปีใหม่ เข้าสู่วันที่สิบห้า เดือนหนึ่ง ตามปฏิทินจันทรคติ งานเลี้ยงในราชสกุลย่อมถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับศักดินาจะเดินทางกลับมาทำให้วังหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ

ล่วงเข้าเดือนหนึ่ง ฉู่เซ่าหลิงไม่จำเป็นต้องไปสำนักศึกษาหลวง นอกจากไปคารวะไทเฮาตอนเช้าทุกวันกับไปฟังข้อราชการที่สภาขุนนางเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีธุระอย่างอื่นอีก ว่างมากจนต้องมาแหย่เว่ยจี่เล่น

นับจากวันนั้นที่เว่ยจี่มานอนอยู่ที่ตำหนักบรรทม เว่ยจี่ก็ไม่เคยได้กลับไปนอนที่ห้องเล็กของตัวเองอีก

แรกๆ ฉู่เซ่าหลิงใช้วิธีปะเหลาะ บอกว่าห้องเล็กมืดเย็นชื้น ไม่มีเตากำยาน มีแต่อ่างไฟใบเดียว ไม่อบอุ่นซ้ำยังมีขี้เถ้าเยอะ ไม่ดีต่อการรักษาบาดแผล เว่ยจี่โดนพูดจนต้องยอมอยู่ต่ออย่างไม่มีทางเลือกอื่น จนแผลเริ่มหายเว่ยจี่ก็นึกอยากจะกลับไป ทว่าฉู่เซ่าหลิงรับรู้แต่ไม่รับปาก พอเว่ยจี่พูดมาก ฉู่เซ่าหลิงก็จะใช้วิธีปิดปากเขาด้วยวิธีที่ตนชื่นชอบที่สุด

ภายหลังเมื่อเว่ยจี่พูดถึงเรื่องอยากย้ายกลับ ฉู่เซ่าหลิงก็จะถามยิ้มๆ ว่าอยากให้ตนจูบเขาอีกใช่หรือไม่ พอโดนถามเช่นเดิมซ้ำๆ เว่ยจี่ก็หน้าแดง ไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก

ตอนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ เว่ยจี่วางตัวไม่ถูก เนื่องจากในตำหนักบรรทมมีแต่นางกำนัล พี่สาวนางกำนัลกลุ่มนี้อายุห่างจากเขาไม่มาก ต่างให้การดูแลตนเช่นเดียวกับที่ดูแลฉู่เซ่าหลิง ทำให้เว่ยจี่หงุดหงิดขัดใจแต่พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ได้

ต่อมาขณะเว่ยจี่ออกไปลาดตระเวน เมื่อผ่านหน้าห้องของตัวเองก็พบว่าห้องนั้นถูกยกให้พี่ชายผู้คุ้มกันคนอื่นไปแล้ว

เวลานี้ในตำหนักบรรทมของฉู่เซ่าหลิงมีตู้ใบเล็กเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งใบเพื่อใช้เก็บข้าวของของเว่ยจี่ ในห้องหนังสือก็มีโต๊ะตัวเล็กเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว นั่นเป็นที่ที่เว่ยจี่ใช้เรียนวิชาการทหารกับจางลี่เฟิงทุกวัน ไม่ทันรู้สึกตัวเว่ยจี่ก็ถูก ‘เชิญ’ ตัวเข้ามาอยู่ในเรือนหลักของอุทยานปี้เทาอย่างงงๆ

วันที่สิบห้านี้เว่ยจี่ต้องเข้าเวร เขานำเหล่าผู้คุ้มกันออกลาดตระเวนไปตามที่ต่างๆ หนึ่งรอบ จากนั้นจึงสำรวจป้ายห้อยเอวก่อนเพื่อให้หวังมู่หานทำการตรวจสอบคนที่เข้าเวร แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยจี่ทำงานพวกนี้อย่างละเอียด หลังสำรวจเสร็จหนึ่งรอบเขาก็นำรายชื่อไปมอบให้หวังมู่หานด้วยความเคารพนบนอบเหมือนเดิม “รบกวนกงกงด้วย”

“มิกล้าๆ ต้องลำบากใต้เท้าเว่ยแล้ว” หวังมู่หานยิ้ม เวลานี้รู้สึกชอบพอเว่ยจี่จากใจจริง ตอนแรกที่เห็นท่าทีของฉู่เซ่าหลิงที่แสดงความพึงพอใจในตัวเขา หวังมู่หานเข้าใจว่าอีกแค่ไม่กี่วันเจ้าเด็กคนนี้จะต้องอาศัยความเป็นคนโปรดมาวางท่า คิดไม่ถึงว่าหลายวันผ่านไปเว่ยจี่ยังคงทำตัวเหมือนเมื่อก่อน งานที่เขาควรทำก็ทำได้ไม่มีบกพร่อง เว่ยจี่เป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยเป็นฝ่ายชวนใครคุย แต่ถ้าได้รับมอบหมายงาน ไม่ว่าจะกับคนที่ตำแหน่งสูงกว่าหรือต่ำกว่า เขาจะพูดคุยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจอย่างมาก หวังมู่หานแอบนึกชื่นชมคนที่องค์ชายให้ความสำคัญว่าไม่ธรรมดาเลย

งานลาดตระเวนของเว่ยจี่วันนี้เสร็จเรียบร้อย เขาจึงย้อนกลับไปยังห้องหนังสือที่ตำหนักข้าง เมื่อวานเขายังอ่านตำราแปดกลเบื้องหลังวายุไม่เข้าใจหลายจุด จึงอยากใช้โอกาสนี้ใคร่ครวญให้ละเอียด

เว่ยจี่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าโต๊ะเล็กของตนอย่างเงียบๆ สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกบอกว่าองค์ชายสี่มา เว่ยจี่รีบลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปก็เผชิญหน้ากับฉู่เซ่าหยางแล้ว

เว่ยจี่รีบคุกเข่าทำความเคารพ “คารวะองค์ชายสี่ ขณะนี้องค์ชายใหญ่ไปฟังข้อราชการ ยังไม่กลับมาขอรับ” วันนี้ข้างนอกอากาศเย็นจัด ฉู่เซ่าหลิงบอกว่าแผลของเว่ยจี่ยังไม่หายสนิทจึงไม่ยอมพาเขาไปด้วย

ฉู่เซ่าหยางกวาดตามองเว่ยจี่แวบหนึ่ง ยังไม่ยอมให้อีกฝ่ายลุกขึ้น น้ำเสียงสงสัย “พี่ใหญ่ไม่อยู่แล้วเจ้ามาทำอะไรอยู่ในนี้คนเดียว”

เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก ขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร เพราะถ้าพูดความจริงออกไปก็กลัวว่าจะทำให้ฉู่เซ่าหลิงเดือดร้อน แต่จะให้แต่งเรื่องขึ้นมาเขาก็คิดไม่ออก ระหว่างที่กำลังลังเล ฉู่เซ่าหยางก็ชักสีหน้า “ผู้ใดให้เจ้าเข้ามา เจ้ากล้าเข้าห้องหนังสือของพี่ใหญ่ตามใจชอบหรือ?!”

ฉู่เซ่าหยางตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หวังมู่หานที่ได้ยินข่าวแล้วรีบร้อนมาก็ชิงเข้ามาโค้งตัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คารวะองค์ชายสี่ ผู้นี้คือเว่ยจี่ เป็นผู้คุ้มกันประจำตัวที่องค์ชายให้จัดเก็บห้องหนังสือขอรับ”

“จัดเก็บห้องหนังสือเหตุใดต้องใช้ผู้คุ้มกัน?!” ฉู่เซ่าหยางมองเว่ยจี่ด้วยสายตาระแวง น้ำเสียงไม่เป็นมิตร “พี่ใหญ่อนุญาตแล้วหรือ เป็นไปได้อย่างไร?!”

หวังมู่หานหัวเราะ “เป็นความประสงค์ขององค์ชายแน่นอนขอรับ” ระยะนี้เว่ยจี่อยู่ที่ตำหนักบรรทมตลอด หวังมู่หานจึงถือว่าทั้งคู่ลงเอยกันแล้ว เขาย่อมต้องช่วยองค์ชายของตนปกปิดเรื่องพวกนี้ “ใต้เท้าเว่ยเป็นคนทำงานละเอียด พูดน้อย จึงถูกใจองค์ชายอย่างมาก”

ฉู่เซ่าหยางมองเว่ยจี่แวบหนึ่ง เขายังคงรู้สึกแปลกๆ แต่พอตั้งท่าจะพูด ข้างนอกก็บอกว่าฉู่เซ่าหลิงกลับมาแล้ว

ฉู่เซ่าหยางจึงทิ้งเว่ยจี่ออกไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เพิ่งจะกลับมาหรือ ข้าคอยท่านได้พักหนึ่งแล้ว”

ฉู่เซ่าหลิงเดินผ่านฉู่เซ่าหยางไปพลางมองเว่ยจี่ที่ยังกึ่งคุกเข่าอยู่ที่ด้านหลัง พูดเสียงเรียบ “เมื่อครู่คุยอะไรกันหรือ”

“ผู้คุ้มกันรุ่นเยาว์คนนั้น” ฉู่เซ่าหยางเบ้ปาก “เหมือนท่อนไม้ไม่มีผิด ไม่พูดอะไรเลยสักประโยค ห้องหนังสือของพี่ใหญ่แม้แต่ข้ายังไม่กล้าเข้าไปตามอำเภอใจ เหตุใดท่านจึงให้ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเข้าออกได้ตามใจ เกิด…เกิดคนทางนั้นแอบมาดูข้าวของของพี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่อย่าได้วางใจเขาเป็นอันขาด”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ เดินอ้อมตัวฉู่เซ่าหยางไปประคองเว่ยจี่ขึ้นแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าย่อมเชื่อใจเขา ก่อนไปข้าบอกเขาเองว่าอากาศเย็น ห้ามออกไปข้างนอก…แต่เจ้ากลับไม่ยอมฟัง จะให้ข้าลงโทษอีกใช่หรือไม่” ประโยคหลังเขาพูดกับเว่ยจี่ด้วยสีหน้าอบอุ่นอย่างหาได้ยาก ถึงขั้นมีกระแสของความรักใคร่เอ็นดูแทรกอยู่ด้วย

ใบหน้าของฉู่เซ่าหยางเปลี่ยนสีทันที

เว่ยจี่กำลังร้อนใจว่าจะอธิบายอย่างไร เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่เซ่าหลิงจะพูดเช่นนี้ จึงพูดไกล่เกลี่ยออกไปตามสัญชาตญาณ “ผู้น้อยแค่…จัดเก็บหนังสือบนชั้น มิกล้าแตะต้องของขององค์ชาย…”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “แตะแล้วจะอย่างไร ไปอ่านหนังสือของเจ้าเถอะ กลับมาข้าจะทดสอบเจ้า”

ฉู่เซ่าหลิงไล่คนกลับห้องก่อนหันมาคุยกับฉู่เซ่าหยาง “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”

ฉู่เซ่าหยางหัวเราะเสียงแห้ง “อีกครู่จะมีงานเลี้ยง ข้าจึงตั้งใจมาหาพี่ใหญ่เพื่อที่จะได้ไปด้วยกัน”

“อืม เจ้าไปนั่งที่ห้องอุ่นสักครู่ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปกับเจ้า” ฉู่เซ่าหลิงสั่งคนเตรียมชา ส่วนตัวเองก็เดินไปที่ตำหนักบรรทม ด้านฉู่เซ่าหยางก็เดินตามนางกำนัลไปที่ห้องด้านตะวันตก เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองห้องหนังสือแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววกังวล

“องค์ชาย เมื่อครู่ท่าน…” หวังมู่หานช่วยฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้า อดที่จะพูดกล่อมไม่ได้ “ค่อนข้างทำให้องค์ชายสี่เสียหน้า เกรงว่าองค์ชายสี่จะไม่สบายใจ”

เมื่อครู่ฉู่เซ่าหลิงพูดอะไรไปหรือ ‘ข้าย่อมเชื่อใจเขา’ เวลานี้ห้องหนังสือที่แม้แต่ฉู่เซ่าหยางยังไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจยังกลายเป็นที่พำนักของเว่ยจี่ เช่นนี้มิเป็นการอธิบายแล้วหรือว่าฉู่เซ่าหลิงไว้วางใจเว่ยจี่มากเพียงใด

หวังมู่หานจัดแต่งชุดออกงานให้ฉู่เซ่าหลิงอย่างระมัดระวังและพูดกล่อมเสียงเบาว่า “หากองค์ชายชอบพอเว่ยจี่จริงก็ไม่ควรโปรดปรานเขาถึงเพียงนี้ หรือต่อให้โปรดก็ไม่ควรให้ผู้อื่นล่วงรู้ การที่เว่ยจี่ได้รับความเมตตาจากองค์ชายมากย่อมมิใช่เรื่องดี”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้นางกำนัลจัดแต่งคอเสื้อให้ หวังมู่หานมองสีหน้าของฉู่เซ่าหลิงแล้วก็พูดเสียงเนิบ “หากโปรดมากเกินไปจะเป็นการชักนำภัย ทุกครั้งที่บ่าวได้ดูงิ้วฉากกุ้ยเฟยเมามาย บ่าวจะคิดอยู่เสมอว่าหากถังเสวียนจงไม่โปรดปรานกุ้ยเฟยมากถึงเพียงนั้น คงไม่เกิดเรื่องที่เนินหม่าเหวย หากยอมรับความอดสูเล็กน้อยย่อมสามารถแลกอายุขัยที่ยืนยาวได้ คุ้มค่ากว่ามาก”

“เดี๋ยวนี้กงกงรู้เยอะกว่าเดิม” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “เสียดายที่ข้าไม่ใช่หลี่หลงจี และเขาก็มิใช่หยางอวี้หวน”

ดูเหมือนกษัตริย์ผู้ประเสริฐจะไม่สามารถแสดงความรักใคร่โปรดปรานสตรีที่ตนรักจากใจจริงได้มากจนเกินไป บางครั้งถึงขั้นต้องหาแพะรับบาปมาช่วยกันหอกให้แก่รักแท้ กฎระเบียบของบรรพชนล้วนสั่งสอนกันในลักษณะนี้ คือไม่ลำเอียง ไม่จำกัดเพียงหนึ่ง

เสียดายที่ฉู่เซ่าหลิงไม่ใช่คนที่ปฏิบัติตามครรลองทั่วไป

เขาชอบพอเว่ยจี่ อีกทั้งปรารถนาจะชอบพอ โปรดปราน และทะนุถนอมอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยหวาดเกรงว่าผู้อื่นจะล่วงรู้

ในสายตาของฉู่เซ่าหลิง วิธีแสร้งทำเป็นหมางเมินคนรักเพื่อหลีกเลี่ยงภัยร้ายคือความขี้ขลาดอ่อนแอ เพราะตัวเองไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปกป้องคนรักจึงบอกว่าการจำกัดขอบเขตจะสามารถช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาว ทั้งหมดเป็นแค่วาจาเหลวไหล! หากไม่มีความสามารถก็อย่าพูดถึงคนรักอะไรเสียเลยดีกว่า ในเมื่อชอบแล้วย่อมต้องยกย่องคนคนนั้นให้มาอยู่ข้างกายเพื่อทะนุถนอมดูแลเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ส่วนคนที่ขัดขวาง เจอเทพสังหารเทพ เจอพระสังหารพระ เท่านั้นเป็นอันสิ้นสุด

เขาเวียนว่ายมาสองชาติภพ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่ร่วมกับเว่ยจี่ แล้วเหตุใดจึงต้องให้เว่ยจี่ ‘ยอมรับความอดสูเล็กน้อย’ อีกเล่า ตอนที่หลอกเว่ยจี่ขึ้นเตียง ฉู่เซ่าหลิงได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องในภายหลังแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เว่ยจี่ต้องยอมรับความอดสูเล็กน้อยเหล่านั้นเพียงเพื่อมีอายุขัยยืนยาว เพราะทั้งปลาและอุ้งตีนหมี เขาล้วนปรารถนา

นึกถึงสีหน้าของเว่ยจี่เมื่อครู่แล้วฉู่เซ่าหลิงก็รู้สึกปวดใจอยู่บ้าง เว่ยจี่อาจเข้าใจว่าเขาไม่ปกป้อง เจ้าตัวโง่งมผู้นั้น…

ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ออกคำสั่งเสียงเบา “ช่วงที่ข้าไปงานเลี้ยงที่วังเฉิงเฉียน ให้ทำอาหารเย็นของอุทยานปี้เทาตามปกติ คอยดูเว่ยจี่ด้วย อย่าให้เขากินน้อย”

หวังมู่หานชะงัก นึกทอดถอนใจ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนพูดไปล้วนเสียเปล่า

 

บทที่ 14

ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็พานางกำนัลกับฉู่เซ่าหยางไปวังเฉิงเฉียนพร้อมกัน ภายในตำหนักนอกจากฮ่องเต้และท่านอ๋องอาวุโสแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมากันหมด องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วน องค์ชายสามฉู่เซ่าโม่ ยังมีองค์ชายห้าฉู่เซ่าสุย ต่างลุกขึ้นทำความเคารพฉู่เซ่าหลิง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนฉู่เซ่าหลิงย่อมต้องแสดงท่าทีพี่ชายที่แสนดี เขาสอบถามฉู่เซ่าสุยว่าระยะนี้เจริญอาหารดีหรือไม่ และคุยเล่นกับน้องชายสองคนอีกหลายประโยค ท่าทางเป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดองกันอย่างยิ่ง

ฉู่เซ่าหลิงนำพวกพี่น้องอ้อมฉากกั้นบังลมเข้าไปคารวะไทเฮาด้านใน ไท่เฟย หลายนางกำลังคุยเล่นกับไทเฮา พอเห็นพวกฉู่เซ่าหลิงเข้ามาก็หันมามอง กล่าวยิ้มๆ “องค์ชายใหญ่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว…”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้ม ดึงชุดขึ้นเพื่อทำความเคารพไท่เฟยทีละนางๆ บรรดาไท่เฟยต่างรีบเรียกคนให้ประคองเขาลุกขึ้น ไทเฮาเรียกฉู่เซ่าหลิงให้ไปอยู่ข้างกาย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นผู้ใหญ่อย่างไร แค่ปีนี้สูงขึ้นเยอะหน่อยเท่านั้น สุขภาพเขาอ่อนแอ สามวันดีสี่วันไข้ น่าเป็นห่วงที่สุด”

ไท่เฟยผู้หนึ่งยิ้มพลางดึงมือฉู่เซ่าหลิงมาดู พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ครั้งล่าสุดที่หม่อมฉันได้เจอองค์ชายใหญ่คือเมื่อปีก่อน ไม่พบกันสองปี องค์ชายใหญ่งามสง่าขึ้น” จากนั้นไท่เฟยก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา เอ่ยเสียงเบา “องค์ชายใหญ่โฉมงามเหมือนฮองเฮา…”

ไทเฮาได้ยินแล้วดวงตาพลันแดงเรื่อ นางผงกศีรษะ “นิสัยใจคอเหมือนอวี๋เอ๋อร์จริง มีความกตัญญูและน้ำอดน้ำทนเป็นที่สุด ในหมู่เด็กๆ พวกนี้…ข้าเป็นห่วงเขาที่สุด”

ซูเฟยเป็นคนช่างสังเกตอย่างมาก เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้นางจึงกล่าวยิ้มๆ “จริงด้วย ไท่เฟยยังไม่เห็นผ้าห่มดิ้นทองลายอักษรอายุยืนร้อยตัวที่ไทเฮาทรงใช้อยู่ตอนนี้ ตัวอักษรอายุยืนที่อยู่บนนั้นล้วนเป็นลายมือขององค์ชายใหญ่ทั้งสิ้น”

เหล่าไท่เฟยฟังแล้วต่างก็ยกย่อง ไทเฮาเช็ดน้ำตาทั้งที่ยังยิ้ม “เช่นนี้หากจะว่าข้าลำเอียงรักเขาก็เป็นความผิดของข้าเอง เด็กคนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก…”

บรรดาไท่เฟยต่างได้รับศักดินาไปอยู่ที่อื่นจึงไม่รู้เรื่อง ทว่าเหล่านางกำนัลต่างรู้กันดี เมื่อพูดถึงลายอักษรอายุยืนจึงอดคิดถึงลี่เฟยกันไม่ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเหตุให้ลี่เฟยต้องโทษ เสียทั้งตำแหน่งกุ้ยเฟยแล้วยังถูกกักบริเวณอีก จนเมื่อหลายวันก่อนฮ่องเต้ใจอ่อนจึงบอกว่าหลังปีใหม่น่าจะให้ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้า ทำให้นางได้รับการปล่อยตัวออกมา

ไทเฮาช้อนสายตาขึ้นมองลี่เฟยปราดหนึ่ง ยิ้มเย็นอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าลับหลังนางใช้วิธียั่วยวนเช่นใดถึงได้กล่อมให้ฮ่องเต้เปลี่ยนใจสำเร็จ แต่ก็ช่างเถิด เพราะอย่างไรหลังปีใหม่เหล่าสตรีผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากสกุลเจินต่างต้องเข้าวัง ย่อมไม่สามารถกักบริเวณลี่เฟยไว้ไม่ให้เจอญาติจากสกุลเดิมได้

เนื่องจากเพิ่งได้รับการปล่อยตัว ลี่เฟยจึงรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังซูเฟยกับเสียนเฟยไม่พูดมากสักคำ แต่ตราบใดที่สกุลเจินไม่ล่ม ลี่เฟยย่อมไม่ล้ม ฉู่เซ่าหลิงมีแผนการอยู่ในใจ เขาจึงกวาดสายตามองไปที่หนิงกุ้ยเหรินที่อยู่ด้านหลังลี่เฟย หัวใจของฉู่เซ่าหลิงกระตุก พูดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่เจอน้องสี่มานาน สบายดีหรือไม่”

องค์หญิงสี่ฟู่อี๋ถือกำเนิดจากหนิงกุ้ยเหริน พอหนิงกุ้ยเหรินได้ยินก็รีบยิ้ม เดินนำฟู่อี๋มาข้างหน้า กล่าวว่า “องค์ชายใหญ่อุตส่าห์คิดถึง ระยะนี้องค์หญิงเองก็บ่นถึงพี่ชายใหญ่เช่นกัน เจ้าทำถุงผ้าปักมาให้พี่ชายใหญ่มิใช่หรือ เอาออกมาสิ…” หนิงกุ้ยเหรินตบหลังฟู่อี๋ อายุฟู่อี๋ยังไม่พ้นสิบสองปี เนื่องจากมารดาไม่ได้เป็นที่โปรดปรานทำให้นางไม่มีความโดดเด่นในหมู่องค์หญิง หญิงสาวรู้ว่ามารดาต้องพึ่งพาหลิงฮองเฮาจึงสามารถมีที่ยืนอยู่ในวังหลวงได้อย่างมั่นคง ด้วยเหตุนี้นางจึงมีความกตัญญูต่อฮองเฮาและให้ความเคารพต่อฉู่เซ่าหลิง โชคดีที่ฉู่เซ่าหลิงคอยพูดถึงนางอยู่เรื่อยๆ ทำให้ไทเฮาจำนางได้

ฟู่อี๋ค่อนข้างเขินอาย นางหยิบถุงผ้าปักฝีมือประณีตใบหนึ่งออกมาส่งให้ฉู่เซ่าหลิง พูดเสียงเบาว่า “ข้าหัดปักลายใหม่ หวังว่าพี่ชายใหญ่จะไม่รังเกียจ”

ฉู่เซ่าหลิงรับมาดูแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “น้องสี่ฝีมือดีมาก”

“ดูอะไรอยู่หรือ” ไทเฮามองสองพี่น้องยิ้มๆ “ให้ย่าดูด้วยสิ”

ฉู่เซ่าหลิงจึงเดินเข้าไปส่งถุงผ้าปักให้ไทเฮา พูดด้วยรอยยิ้ม “ถุงผ้าปักที่น้องสี่ทำให้กระหม่อม เสด็จย่าว่างามหรือไม่”

ไทเฮาหรี่ตามองแล้วยิ้ม “งามมาก ฟู่อี๋ช่างเอาใจใส่ดีเหลือเกิน หลายวันก่อนเหมือนย่าจะได้ยินว่าฟู่อี๋ป่วย หายดีแล้วหรือ”

“ทูลเสด็จย่า หายดีแล้วเพคะ” ฟู่อี๋ไม่เคยเป็นที่ต้องตาของไทเฮา พอป่วยไทเฮาจึงไม่ได้ใส่ใจนัก นางไม่เคยได้รับความโปรดปรานแต่ก็ไม่เคยสนใจ “แค่ต้องลมเย็น ไม่เป็นอะไรมากเพคะ”

ไทเฮาผงกศีรษะ ส่งถุงผ้าปักไปให้ฉู่เซ่าหลิงโดยไม่พูดมาก ก่อนหันไปสนทนากับเหล่าไท่เฟย ฉู่เซ่าหลิงถือถุงผ้าปักเดินมาถามเสียงเบา “ของที่ข้าส่งไปให้น้องสาวเมื่อเดือนที่แล้วใช้หมดหรือยัง”

ฟู่อี๋ก้มศีรษะ ส่ายหน้า เมื่อเห็นคนรอบข้างไม่ได้ให้ความสนใจ นางก็มองฉู่เซ่าหลิงด้วยแววตาซาบซึ้ง “ยังเจ้าค่ะ ของบำรุงกับเงินที่พี่ชายใหญ่ให้พวกนั้นยังใช้ไม่หมดเลย”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ขาดเหลืออะไรไม่ต้องเอ็ดไป ให้ส่งคนมาบอกข้า อย่าหัดทำตัวเป็นเด็กด้วยการทำร้ายตัวเอง”

ดวงตาของฟู่อี๋แดงเรื่อ นางกลัวจะถูกผู้อื่นเห็นจึงรีบปิดไว้ ผงกศีรษะรับคำ “ข้าทราบแล้ว ขอบพระคุณพี่ชายใหญ่ หาไม่ข้ากับเสด็จแม่…”

“พี่น้องกัน จะพูดเรื่องนี้ไปทำสิ่งใด” ฉู่เซ่าหลิงห้อยถุงผ้าปักไว้บนตัว “เวลาว่างเจ้าก็ตามมารดามาคารวะไทเฮาที่ตำหนักฉืออันให้บ่อยหน่อย ไทเฮาย่อมมีพระดำริ”

ฟู่อี๋ผงกศีรษะรับคำ

ขณะนั้นฮ่องเต้กับบรรดาอ๋องอาวุโสมาถึง ข้างนอกจึงมีเสียงเอะอะ ฉู่เซ่าหลิงพาน้องชายสี่คนออกไปต้อนรับแล้วกล่าวคำทักทายกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานทุกคนก็เข้าประจำที่ ฉู่เซ่าหลิงคารวะสุราฮ่องเต้เป็นคนแรก ต่อด้วยเหล่าอ๋องอาวุโสโดยไล่ไปตามรุ่นและบรรดาศักดิ์ สุดท้ายเขาจึงเริ่มคารวะสุรากับพวกองค์ชาย

ดนตรีภายในตำหนักประโคมขึ้น งานเลี้ยงเริ่มต้น คึกคักสนุกสนานกันมาก ฉู่เซ่าหลิงคลึงถุงผ้าปักที่เพิ่งเอาห้อยติดเอวด้วยท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย

ที่เขาทำดีต่อหนิงกุ้ยเหรินกับองค์หญิงฟู่อี๋สองแม่ลูก เดิมคือเพื่อสืบสานความเมตตาของหลิงฮองเฮาด้วยการดูแลสองแม่ลูกมิให้ตกที่นั่งลำบาก บางครั้งบางทีก็จะส่งข้าวของไปให้และคอยกำราบคนในตำหนักของพวกนาง แต่ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยใส่ใจอะไรมากมาย ทว่าวันนี้การได้พบกับฟู่อี๋ทำให้ฉู่เซ่าหลิงนึกแผนออกว่าบางทีน้องสาวคนนี้ของเขาอาจมีประโยชน์

ฉู่เซ่าหลิงมองถุงผ้าปักที่เอวแล้วยิ้มบางๆ ฟู่อี๋อายุสิบสองปี ไม่ถือว่าน้อยแล้ว

งานเลี้ยงดำเนินไปถึงยามไฮ่ ฉู่เซ่าหลิงช่วยดูแลเรื่องที่พักให้บรรดาอ๋องอาวุโส ตอนออกมาเขาถูกไทเฮาเรียกตัวกลับไปเนื่องจากพระนางเกรงว่าฉู่เซ่าหลิงจะดื่มสุราเยอะจึงคอยมองให้เขาดื่มน้ำแกงแก้เมาจนเหงื่อออกก่อน จากนั้นให้คนส่งเขากลับไปที่อุทยานปี้เทาโดยสวัสดิภาพ

 

ภายในตำหนักบรรทม เว่ยจี่สวมเพียงเสื้อตัวในนั่งอ่านหนังสือพิงตั่งนุ่มอยู่บนที่วางเท้า ท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างมาก ฉู่เซ่าหลิงไม่ได้ให้คนมาแจ้งก่อน เขาถอดเสื้อคลุมกับเสื้อตัวนอกที่ด้านนอกก่อนเข้าไปด้านใน เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา “มานั่งทำอะไรข้างล่าง หนาวหรือไม่ ขึ้นไปบนตั่งดีกว่า”

เว่ยจี่เห็นฉู่เซ่าหลิงกลับมาก็รีบปิดหนังสือลุกขึ้นคารวะ ฉู่เซ่าหลิงยิ้มบางๆ ดึงตัวคนให้ลุกขึ้น “ระหว่างเราสองคนยังต้องมากพิธีอะไรกันอีก อ่านอะไรอยู่หรือ” ฉู่เซ่าหลิงหยิบหนังสือที่เว่ยจี่อ่านค้างไว้ขึ้นมาพลิกดูคร่าวๆ เว่ยจี่ทำเครื่องหมายมากมายจนลายพร้อย ท่าทางจริงจังมาก ฉู่เซ่าหลิงวางหนังสือลงแล้วพูดเสียงนุ่ม “ต่อไปให้อ่านหนังสือตอนกลางคืนน้อยลงหน่อย ถ้าอยากอ่านก็ให้ไปอ่านที่ห้องหนังสือและจุดตะเกียงเยอะๆ เวลาอ่าน อ่านในที่มืดๆ เช่นนี้มันเสียสายตา”

“ผู้น้อยไม่เป็นไร” เว่ยจี่ได้กลิ่นสุราจึงถามเสียงเบา “องค์ชายต้องการน้ำแกงแก้เมาหรือไม่ขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงส่ายหน้า นวดหัวคิ้ว “ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้าเข้านอนก่อนเถิด…”

แล้วฉู่เซ่าหลิงก็หมุนตัวเดินไปอาบน้ำ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลับมา แต่เว่ยจี่ยังคงอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม ทำให้ฉู่เซ่าหลิงอดขำไม่ได้ “ให้เจ้ารีบนอนก็ไม่ยอมฟัง มานี่”

ฉู่เซ่าหลิงดึงตัวเว่ยจี่ขึ้นเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของทั้งคู่ “เมื่อตอนเย็นกินอะไรบ้าง”

เว่ยจี่ตอบว่า “องค์ชายไม่อยู่ ผู้น้อยกินอาหารทั้งโต๊ะคนเดียวเช่นนี้รู้สึกไม่ค่อยดี ต่อไป…”

“รู้สึกไม่ค่อยดี?” ฉู่เซ่าหลิงก้มลงจุมพิตหน้าผากของเว่ยจี่หนึ่งครั้ง ลดเสียงให้เบาลง “วันนี้ฉู่เซ่าหยางรังแกเจ้า แต่เจ้าสบายใจได้ ข้าจดบัญชีไว้แล้ว”

เว่ยจี่หน้าแดง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบตำแหน่งที่ถูกจุมพิตพลางส่ายหน้า “องค์ชายสี่มิได้รังแกผู้น้อย การอ่านหนังสือในห้องหนังสือขององค์ชายเดิมเป็นความผิดอยู่แล้ว”

“เพราะอย่างนี้เจ้าจึงมาอ่านหนังสือในห้องนอนตอนกลางคืน ไม่ยอมไปอ่านที่ห้องหนังสือหรือ” ฉู่เซ่าหลิงหลับตาลง “เหตุใดเจ้าจึงทำให้ข้าต้องเป็นห่วงนักนะ…จงใจใช่หรือไม่ หืม?”

ฉู่เซ่าหลิงพลิกตัวกอดเว่ยจี่ไว้ในอ้อมแขน แม้เว่ยจี่จะไม่ค่อยเข้าใจการหยอกเย้าของฉู่เซ่าหลิง แต่รับรู้ได้ถึงความรักใคร่เอ็นดูในน้ำเสียงอีกฝ่าย ในใจจึงรู้สึกอบอุ่น พูดเสียงเบาว่า “เดิมผู้น้อยเป็นผู้คุ้มกันไร้ตำแหน่ง เพราะได้รับความเมตตาจากองค์ชายจึงได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมา ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่องค์ชายมอบให้ ผู้น้อยไม่มีสิ่งใดสามารถตอบแทนองค์ชาย สายตาก็ไม่เฉียบไว ถึงได้สร้างความเดือดร้อนให้องค์ชาย…”

หัวใจของฉู่เซ่าหลิงเจ็บแปลบๆ และหวานล้ำในที เด็กคนนี้มาเพื่อพิฆาตเขาโดยแท้ ฉู่เซ่าหลิงอดทนจนทนไม่ไหว ต้องก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของเว่ยจี่

ดวงตาของเว่ยจี่เบิกโพลงขึ้นทันที พูดไม่ออกสักประโยค…

ใช่ว่าฉู่เซ่าหลิงจะไม่เคยจุมพิตริมฝีปากของเขา แต่ที่ผ่านมาเป็นการจุมพิตแค่ผิวเผิน ทว่าคราวนี้ฉู่เซ่าหลิงไม่ยอมยุติแค่จุมพิตแผ่วๆ นิ้วเรียวยาวของฉู่เซ่าหลิงลูบไล้ผิวที่คอของเว่ยจี่เบาๆ นิ้วเลื่อนขึ้นพลางออกแรงน้อยๆ เพื่อเชยคางของเว่ยจี่ขึ้น และฉวยโอกาสตอนที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันตั้งตัวแทรกเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่มของเว่ยจี่…

เว่ยจี่ผงะถอยหนีตามสัญชาตญาณ แต่มือข้างหนึ่งของฉู่เซ่าหลิงกักแผ่นหลังของอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา จุมพิตของฉู่เซ่าหลิงมาพร้อมกับการแสดงความเป็นเจ้าของ ฉู่เซ่าหลิงลืมตาเพื่อชื่นชมสีหน้าทุกรูปแบบของเว่ยจี่อย่างหิวกระหายไม่ยอมปล่อยผ่าน เขาไล้ไปตามแนวฟันของเว่ยจี่อย่างอ่อนโยน ควานหาปลายลิ้นที่พยายามเลี่ยงหลบของเด็กหนุ่ม มือของฉู่เซ่าหลิงออกแรงมากขึ้น นึกชังที่ไม่สามารถหลอมรวมคนผู้นี้เข้าไปในร่างของตนได้

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉู่เซ่าหลิงถึงได้ยอมทำกุศลครั้งใหญ่ด้วยการปล่อยคน เว่ยจี่หอบหายใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าจุมพิตเมื่อครู่ได้ทำลายสติของเว่ยจี่ไปแล้ว ใบหน้าของผู้คุ้มกันหนุ่มน้อยแดงฉานเพราะความเขินอาย

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “รู้สึกดีหรือไม่”

เว่ยจี่เขินหนักจนพูดไม่ออก ฉู่เซ่าหลิงปล่อยตัวคนด้วยรอยยิ้ม เนิ่นนานเขาจึงเอ่ยต่อว่า “รู้เรื่องที่ฮ่องเต้กับลี่เฟยมาตรวจสอบเรื่องวิชามารที่ตำหนักข้าคราวก่อนหรือไม่”

เว่ยจี่ผงกศีรษะ “ทราบขอรับ”

“นั่นเป็นข่าวที่น้องชายแสนดีของข้าปล่อยออกไป” ฉู่เซ่าหลิงยิ้มเย็น “เขาอยากให้ใครสักคนทำลายข้า แล้วจะห่วงว่ามีใครอยู่ในห้องหนังสือของข้าจากใจจริงได้อย่างไร…”

ผู้คนในวังต่างประจักษ์ในสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยาง เว่ยจี่ยังดึงสติกลับมาจากอารมณ์พิศวาสเมื่อครู่ไม่ได้ เขาเบิกตาโตอย่างอึ้งๆ “เหตุใด…องค์ชายสี่เป็นพี่น้องแท้ๆ ขององค์ชาย…”

“เพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ถึงทำได้สะดวก” ฉู่เซ่าหลิงหลับตาลงเพื่อปัดภาพในอดีตชาติออกจากสมอง “เขาคิดว่าข้าไม่รู้เรื่อง แต่ที่ข้าบอกเจ้าก็เพื่อให้เจ้าระวัง อย่าเก็บเอาคำพูดของผู้อื่นมาคิดมาก ฟังข้าคนเดียวก็พอ”

สมองของเว่ยจี่กำลังสับสน พอได้ยินเช่นนั้นเขาก็ผงกศีรษะ “ผู้น้อยจะเชื่อฟังองค์ชาย”

ฉู่เซ่าหลิงมองท่าทางซื่อๆ ของเด็กหนุ่มแล้วรู้สึกขบขัน คาดว่าเวลานี้หากเขาบอกว่าแสงจันทร์เป็นทรงกลมเว่ยจี่ก็คงตอบรับ ครู่หนึ่งฉู่เซ่าหลิงก็นึกถึงถุงผ้าปักที่ได้รับมาวันนี้จึงเอ่ยถาม “จริงสิ พี่ชายใหญ่ของเจ้าหมั้นหมายแล้วหรือยัง”

เว่ยจี่ส่ายหน้า “ยังขอรับ องค์ชายจะทำสิ่งใดหรือ”

“เปล่า” ฉู่เซ่าหลิงกระชับผ้าห่มคลุมร่างของทั้งสอง และจุมพิตหน้าผากของเว่ยจี่ “นอนเถอะ”

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ทรราชหวนคืน เล่ม 1 ฉบับเต็ม

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: