X
    Categories: everYทดลองอ่านทรราชหวนคืน

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 9-10 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 9

ไทเฮาได้ระเบิดโทสะแล้วอารมณ์ดี ทำให้ฉู่เซ่าหลิงพลอยอารมณ์ดีตาม รุ่งเช้าตอนไปสำนักศึกษาหลวง เมื่อเจอฉู่เซ่าหร่วนต่างฝ่ายต่างกล่าวคำทักทายกัน แล้วฉู่เซ่าหลิงก็ยกเท้าเดินจากไปโดยไม่ยอมพูดมากสักประโยค

หวังมู่หานพูดเสียงเบา “องค์ชายยังไม่ทราบ…ว่าหลังลี่เฟยถูกลงโทษ องค์ชายรองพลอยเสียหน้าตามไปด้วย ยามนี้นอกจากมาที่สำนักศึกษาหลวงกับไปคารวะฝ่าบาทและไทเฮา เขาไม่ยอมออกจากตำหนักของตัวเองอีกเลย”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ เพราะอย่างนี้ยามขึ้นจึงอย่าหลงระเริง มิเช่นนั้นถ้าด่วนได้ใจไปเยอะแล้ว ภายหน้าอาจต้องเสียใจอย่างมาก

ช่วงที่ฉู่เซ่าหลิงฟังอาจารย์สอน เขาไม่ชอบให้มีคนอยู่ด้วย ภายในห้องจึงมีแค่เขากับฟู่จิงหลุนสองคน หลังสอนจบไปหนึ่งบทฟู่จิงหลุนก็วางหนังสือ ลดเสียงให้เบาลง “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชาย ในการประชุมเช้าเมื่อวานฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เว่ยจั้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีแล้ว การอาศัยช่วงที่ฝ่าบาทไม่พอพระทัยที่สกุลเจินวาดหวังตำแหน่งฮองเฮาให้จื่อจวินโหวเสนอเว่ยจั้นเป็นความคิดที่ดีจริงๆ เพียงแต่องค์ชายสี่…ผู้น้อยอ่านคนไม่ขาดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะแปรพักตร์ไปจากองค์ชายได้”

ฟู่จิงหลุนเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของเขาจึงมีส่วนรู้เห็นในเรื่องครั้งนี้ ฉู่เซ่าหลิงบอก “คาดว่าระยะนี้ไทเฮาคงดีต่อข้ามากเกินไป ทำให้เขาร้อนใจ ถึงได้อยากยืมมือลี่เฟยมาทำร้ายข้า ช่างโง่งม”

ฟู่จิงหลุนโคลงศีรษะ ถอนหายใจ ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าฉู่เซ่าหยางจะขายฉู่เซ่าหลิงได้จริงๆ เพราะจะชั่วจะดีอย่างไรทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เขาดูเบาองค์ชายเล็กหน้าตาใสซื่อผู้นี้มากเกินไป ฟู่จิงหลุนคิดแล้วทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ “องค์ชายไม่ยอมฟังผู้น้อย ถ้าวันนั้นองค์ชายบอกว่าทำไปเพื่อถวายพระพรฮ่องเต้มิเป็นการดีกว่าหรือ ถึงครั้งนี้จะสามารถเล่นงานลี่เฟยกับสกุลเจินสำเร็จ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายกับฮ่องเต้กลับไม่มีความคืบหน้ามากนัก หากไม่ได้รับความโปรดปรานย่อมลำบาก”

ฉู่เซ่าหลิงส่ายหน้า “เดิมการแสดงละครย่อมดูเกินจริงอยู่แล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าข้ากับเสด็จพ่อไม่ลงรอยกัน หากจู่ๆ ข้าลุกขึ้นมาถวายพระพรพระองค์ทั้งเช้าค่ำ อย่าว่าแต่เสด็จพ่อเลย ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ เสด็จพ่อทรงขี้ระแวง ถึงตอนนั้นวาดเสือไม่สำเร็จจะกลายเป็นสุนัข ย่อมไม่เป็นการดี ส่วนเรื่องการเป็นที่โปรดปราน หึๆ…ข้าจะเอาความโปรดปรานไปทำสิ่งใด”

ฟู่จิงหลุนหลุดขำ ผงกศีรษะ “องค์ชายมีความคิดแยบคาย ผู้น้อยเข้าใจ เพียงแต่องค์ชายสี่…องค์ชายเห็นว่าควรจัดการอย่างไรดี”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเสียงเย็น “เขาเอาใจออกห่างจากข้าย่อมไม่สามารถเก็บไว้…ลี่เฟยไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากน้องสี่ ข้าจะวางแผนให้นางรู้ ถึงตอนนั้นนางกับฉู่เซ่าหร่วนจะต้องเข้าใจว่าข้ากับฉู่เซ่าหยางร่วมมือกันเพื่อเล่นงานนาง ด้วยนิสัยของลี่เฟย นางต้องไม่ยอมปล่อยผ่านแน่ ถึงตอนนั้นข้าแค่คอยดูสุนัขกัดกันก็พอ”

ฟู่จิงหลุนคิดไม่ถึงว่าฉู่เซ่าหลิงจะเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ เขาหยุดคิดแล้วพูดเกลี้ยกล่อม “เวลานี้องค์ชายเหลือน้องชายแท้ๆ คนนี้แค่คนเดียว องค์ชายสี่ยังเยาว์ เกรงว่าจะถูกคนเป่าหูมิรู้ความ มิสู้องค์ชายสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วคุยดีๆ กับเขาสักครั้ง ให้องค์ชายสี่มาเป็นพวกเรามิดีกว่าหรือ หากใช้ความเมตตาตอบแทนความเกลียดชัง องค์ชายสี่จะต้องซาบซึ้งใจเป็นแน่”

ฉู่เซ่าหลิงทำเหมือนได้ยินเรื่องน่าขบขันที่สุดในหล้า ดวงตาฉายแววดุดัน เขาหัวเราะเสียงเย็น “อาจารย์กำลังเกลี้ยกล่อมข้าหรือ หากใช้ความเมตตาตอบแทนความเกลียดชังแล้ว จะตอบแทนสิ่งใดให้แก่ความเมตตา ขนาดผู้อื่นไม่ได้ทำร้ายข้า ข้ายังต้องไปทำร้ายเขา นับประสาอะไรกับคนที่เคยทำร้ายข้า มีหนึ่งคนก็คิดบัญชีไปหนึ่งคน ผู้ใดก็อย่าหวังหนีรอด…”

ฟู่จิงหลุนแอบแปลกใจ เนื่องจากฉู่เซ่าหลิงรักองค์ชายสี่มาตลอด ไม่รู้ว่าช่วงนี้เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้ ซ้ำยังลงมือหนักหน่วง แต่ไม่ว่าอย่างไรฟู่จิงหลุนก็ยังคงเชื่อมั่นในสติปัญญาของฉู่เซ่าหลิง เขาจึงผงกศีรษะ “องค์ชายทำงานเด็ดขาด ผู้น้อยขอยกย่อง”

หลังเลิกเรียนฉู่เซ่าหลิงก็ออกจากสำนักศึกษาหลวงไปเจอฉู่เซ่าหยาง อีกฝ่ายรีบเข้ามาหา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่! ข้าขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย!”

ฉู่เซ่าหยางต้องลำบากทำเป็นอารมณ์ดีเช่นนี้ ฉู่เซ่าหลิงก็หัวเราะ “แสดงความยินดีอะไร ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าข้ามีวิธี”

สองพี่น้องให้พวกบ่าวตามอยู่ห่างๆ เพื่อจะได้เดินไปคุยไป ฉู่เซ่าหยางพูดเสียงเบา “พี่ใหญ่ ข้าเป็นห่วง วันนั้นเสด็จพ่อกับลี่เฟยไปตรวจสอบท่าน เหตุใดสถานการณ์จึงพลิกกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ ตอนได้ยินใหม่ๆ ข้าตกใจแทบตาย กลัวว่าเรื่องวิชา…เรื่องนั้นจะหลุดออกมา”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “เรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ แต่ข้าเพียงคิดไม่ออก…ว่าลี่เฟยรู้ได้อย่างไร”

“เกรงว่าพวกบ่าวจะทรยศ” ฉู่เซ่าหยางคิดวิธีเอาตัวรอดมาเป็นอย่างดี เขาพูดเสียงเป็นกังวล “ของที่พี่ใหญ่ใช้พวกนั้น…จะต้องให้พวกบ่าวจัดเตรียม ผู้ใดจะรู้ว่าบ่าวในอุทยานปี้เทาคนใดคิดไม่ซื่อ ต่อให้เป็นหวังมู่หาน พี่ใหญ่ก็ไม่สามารถไว้วางใจเขาอย่างสิ้นเชิง ตอนพวกบ่าวเห็นของเหล่านั้นย่อมต้องคิดกันไปไกล เมื่อพี่ใหญ่กลับไปแล้วลองตรวจสอบให้ดีๆ อย่าปล่อยบ่าวใจชั่วทำร้ายได้เป็นอันขาด”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้ม ผงกศีรษะ “จริงด้วย ในเมื่อกล้าทำร้ายข้า ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไป”

หลังเดินอ้อมสระเชียนหลี่ ฉู่เซ่าหยางไปทางตะวันตกเพื่อตรงไปยังตำหนักเจาหยาง ส่วนฉู่เซ่าหลิงมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเพื่อตรงไปยังอุทยานปี้เทา ฉู่เซ่าหลิงมองเงาแผ่นหลังของน้องชายด้วยรอยยิ้มเย็นชา ฉู่เซ่าหยางแก้ตัวได้ยอดเยี่ยม เสียดายที่เขาไม่รู้ว่าตนไม่เคยข้องเกี่ยวกับวิชามารอะไรทั้งสิ้น และไม่เคยให้ผู้ใดเตรียมกระดาษยันต์กับชาด เรื่องทั้งหมดนี้…มีเพียงฉู่เซ่าหยางคนเดียวที่รู้

ฉู่เซ่าหลิงอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูก ถ้าจะบอกว่าเสียใจ เขาก็ไม่เหลือใจให้เสียตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ฉู่เซ่าหยางในวันนี้มิใช่น้องชายคนที่ร่ำร้องหาเสด็จแม่กับตนคนนั้นอีกต่อไป

ทิวทัศน์หิมะช่างงดงาม ฉู่เซ่าหลิงจึงไม่นั่งเกี้ยวอ่อน เขาเดินช้าๆ เพื่อกลับไปยังอุทยานปี้เทา พอเข้าไปในตำหนักหลักหวั่นชุ่ยก็พาพวกนางกำนัลมาถอดเสื้อคลุมให้ฉู่เซ่าหลิง หวั่นชุ่ยรับเตาอุ่นมือที่นางกำนัลส่งมาทดสอบความร้อนก่อนส่งให้ฉู่เซ่าหลิง นางกำนัลอีกคนยกชาร้อนมา ฉู่เซ่าหลิงดื่มน้ำชาหนึ่งอึก เมื่อไม่เห็นเว่ยจี่เขาก็หันไปถามหวังมู่หาน “เว่ยจี่เล่า?”

หวังมู่หานก้มศีรษะ “เว่ยจี่ผลัดเวรตอนยามเว่ย อีกหนึ่งชั่วยามจึงจะกลับมา หากองค์ชายต้องการพบเขา บ่าวจะไปเรียกมาให้ขอรับ” หวังมู่หานรู้ว่าฉู่เซ่าหลิงชอบให้เว่ยจี่อยู่ข้างกาย ปกติฉู่เซ่าหลิงจะใช้เวลาช่วงเช้าอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง หวังมู่หานจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เว่ยจี่เข้าเวรตอนบ่ายกับตอนกลางคืน คิดไม่ถึงว่าแค่ฉู่เซ่าหลิงไม่เห็นเขาแค่ชั่วประเดี๋ยวก็ถามหา

ฉู่เซ่าหลิงมองเหม่อออกไปด้านนอก ไม่รู้เขาคิดถึงสิ่งใดถึงยิ้มออกมา “พาข้าไปดูห้องพักของเขาหน่อย อย่าให้เขารู้”

หวังกงกงอึ้งแต่ไม่กล้าพูด เวลานี้เว่ยจี่เป็นผู้คุ้มกันขั้นสาม เวลาพักจึงไม่จำเป็นต้องออกไปนอกวัง สามารถพำนักอยู่ในอุทยานปี้เทา ทำให้ไปเยี่ยมดูเขาได้สะดวก หวังมู่หานโค้งตัวออกจากตำหนักบรรทมไปพร้อมฉู่เซ่าหลิง เดินตามระเบียงด้านหลังของตำหนักเพื่อวนไปด้านหน้า ห้องพักขององครักษ์ที่อยู่เวรคือเรือนบริวารที่อยู่ด้านหน้า เนื่องจากมีหวังกงกงคอยดูแล ทำให้เวลานี้เว่ยจี่มีห้องเดี่ยวของตัวเองหนึ่งห้อง

ภายในห้องไม่มีคน ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้าไปช้าๆ ห้องของเว่ยจี่ได้รับการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านดีมาก ข้าวของวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้าไปลูบผ้าห่มบนเตียงก็พบว่าอุ่นดี

ฉู่เซ่าหลิงถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้ากับหีบหนังสือของเว่ยจี่ดู ในตู้เสื้อผ้าของเว่ยจี่มีเครื่องแต่งกายของผู้คุ้มกันที่เป็นชุดนวมกับชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนสองสามชุด ด้านล่างมีเสื้อตัวในสองสามตัว ทุกตัวผ่านการซักมาอย่างดี ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ หากเขาฉวยโอกาสตอนที่คนไม่อยู่เอาเสื้อตัวในของเว่ยจี่ไป ด้วยนิสัยของเว่ยจี่จะต้องร้อนใจแต่ไม่กล้าโวยวายแน่

ในหีบหนังสือของเว่ยจี่มีแต่ตำราทหาร ตำราพวกนี้ฉู่เซ่าหลิงท่องได้นานแล้ว เขาจึงเปิดดูผ่านๆ จังหวะที่วางคืนที่เดิมเขาก็เห็นกล่องขนาดประมาณหนึ่งฉื่อครึ่งอยู่ด้านในสุดของหีบหนังสือ

ฉู่เซ่าหลิงไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เขาดึงมันออกมาเปิดดูทันที ด้านในมีกระดาษเซวียนจื่อ หนึ่งแผ่น ฉู่เซ่าหลิงเปิดดูแล้วก็อึ้งไป เนื่องจากมันเป็นกระดาษที่เขาเคยวาดภาพพังแล้วโยนทิ้ง

ในภาพมีพระจันทร์ดวงกลมหนึ่งดวงแขวนตัวอยู่เหนือยอดไม้ ด้านล่างมีคนสองคนร่ำสุราอยู่ใต้ต้นพฤกษาด้วยสีหน้าท่าทางสบายใจ ฉู่เซ่าหลิงนึกดูก็พบว่านี่เป็นภาพที่เขาวาดให้เป็นของขวัญวันเกิดของฉู่เซ่าหยางเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาวาดภาพให้ฉู่เซ่าหยาง เสียกระดาษไปหลายแผ่นเลยโยนพวกมันทิ้งไป ไม่รู้ว่าเว่ยจี่ไปเก็บเอามาจากที่ใด

ณ ที่แห่งหนึ่งในใจของฉู่เซ่าหลิงพลันรู้สึกเจ็บปวด หัวใจถูกกระตุกเบาๆ รู้สึกรวดร้าวแต่ผ่อนคลาย

หวังกงกงเห็นฉู่เซ่าหลิงเหม่อก็เงยหน้าขึ้นมองภาพนั้นแวบหนึ่งแล้วโวยวายออกมาทันที “เหตุใดลายพู่กันขององค์ชายจึงหลุดออกมาได้ ทั้งหมดเป็นเพราะบ่าวดูแลไม่ดี…”

“ไม่เป็นไร แค่ภาพที่วาดเสียเท่านั้น ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ” ของที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจกลับถูกเว่ยจี่เก็บกลับมาเป็นของล้ำค่า

เว่ยจี่ไปกินอาหารเที่ยงที่โรงอาหาร เป็นซาลาเปาสี่ลูก ไส้ผักสอง ไส้เนื้อสอง ห่อมาอย่างเล็กจิ๋ว เว่ยจี่ถือเดินเข้ามาในห้อง คิดไม่ถึงว่าจะเจอฉู่เซ่าหลิงกับหวังมู่หาน

ฉู่เซ่าหลิงยังถือภาพวาดแผ่นนั้นไว้ในมือ ทันทีที่เว่ยจี่เงยหน้าขึ้นมาเห็น เขาถึงกับหน้าถอดสี พูดเสียงตะกุกตะกัก “องค์…องค์ชาย…”

 

บทที่ 10

หวังมู่หานยกยิ้มมุมปาก “องค์ชาย…อาหารกลางวันขององค์ชายใกล้เสร็จแล้ว บ่าวขอไปดูก่อนนะขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ หวังมู่หานจึงโค้งตัวถอยออกไป เขาปิดประตูไปยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก

สีหน้าของเว่ยจี่ขาวเผือด เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่เซ่าหลิงจะมาอยู่ที่ห้องของตัวเอง และยิ่งคิดไม่ถึงว่าภาพวาดที่ตนซ่อนไว้อย่างดีจะถูกฉู่เซ่าหลิงค้นเจอ ณ ช่วงเวลานั้นเว่ยจี่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ได้แต่ยืนเบื้อใบ้อยู่ตรงประตู

ตอนแรกฉู่เซ่าหลิงตั้งใจมาที่ห้องของเว่ยจี่เพื่อพลิกดูนั่นนี่ มาตอนนี้เมื่อถูกจับได้กลับกลายเป็นเว่ยจี่ที่วางตัวไม่ถูก ฉู่เซ่าหลิงนั่งลงแล้วคลี่ภาพในมือ พูดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “นี่ของเจ้าหรือ”

เว่ยจี่กัดริมฝีปากล่าง คุกเข่าลง “ทูลองค์ชาย…ของผู้น้อยขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “เห็นอยู่ว่าข้าเป็นคนวาด เหตุใดจึงกลายเป็นของเจ้าได้”

เว่ยจี่เริ่มร้อนใจ เนื่องจากการซุกซ่อนลายพู่กันขององค์ชายเป็นความผิดใหญ่หลวง เว่ยจี่เพิ่งจะอายุสิบสี่จึงรู้สึกหวาดกลัว แต่ยังคงยืนยันว่า “องค์ชาย…ภาพนี้เป็นของผู้น้อย ขอองค์ชาย…คืนให้ผู้น้อยด้วย”

เว่ยจี่หน้าซีด มือที่ถือห่อผ้าอันจิ๋วเริ่มสั่น ฉู่เซ่าหลิงนึกเศร้าใจว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็ก ตนจะไปเย้าแหย่เขาให้ได้สิ่งใด ฉู่เซ่าหลิงทอดเสียงให้ฟังดูอ่อนโยนลง “เจ้าชอบภาพวาดด้วยน้ำหมึกหรือ ข้าจะวาดให้เจ้าหนึ่งภาพดีหรือไม่ ชอบภาพอะไร”

เว่ยจี่ได้ยินเช่นนั้นแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างอดไม่อยู่ เขาอึ้งไปพักหนึ่ง “ผู้น้อย…ผู้น้อยมิกล้ารบกวนองค์ชาย ขอเพียงองค์ชาย…คืนภาพให้ผู้น้อยก็เพียงพอแล้วขอรับ” ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ฉู่เซ่าหลิงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเว่ยจี่เริ่มแดง เพราะเจ้าร้อนใจใช่หรือไม่

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปดึงตัวคนให้ลุกขึ้น ทั้งที่เพิ่งตำหนิตัวเองไปว่าไม่ควรแหย่เขา แต่พอได้มาเห็นเว่ยจี่ใกล้ๆ เช่นนี้ฉู่เซ่าหลิงกลับอดไม่อยู่ต้องออกแรงดึงตัวเว่ยจี่ให้เข้ามาใกล้ สัญชาตญาณสั่งให้เว่ยจี่เบี่ยงหลบ แต่เพราะเห็นภาพวาดที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งของฉู่เซ่าหลิงทำให้เขาต้องบังคับตัวเองไว้ ฉู่เซ่าหลิงจับข้อมือของเว่ยจี่ พูดหยอกเย้าเสียงเบา “ดูท่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับของสิ่งนี้จริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดูไม่ค่อยสนใจ แต่ตอนนี้กลับว่าง่ายเพราะกระดาษขาดๆ แผ่นนี้”

เว่ยจี่ก้มหน้าเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยคำใด ทำให้ฉู่เซ่าหลิงยิ่งอารมณ์ดีจึงส่งภาพในมือให้อีกฝ่ายอย่างใจดี ทันทีที่เว่ยจี่ได้ภาพมาเขาก็สลัดตัวออกจากมือของฉู่เซ่าหลิง ถอยหลังไปหลายก้าว เก็บภาพวาดเข้าไปในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เขามองฉู่เซ่าหลิงอย่างระแวง ท่าทางเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ พูดเสียงงึมงำ “ผู้น้อย…มิกล้าล่วงเกินองค์ชาย”

“เจ้าหนีอะไร คิดว่าข้าจะแย่งอย่างนั้นหรือ” ฉู่เซ่าหลิงหลุดขำ เขาเดินไปพลิกดูนั่นนี่ที่โต๊ะหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองเว่ยจี่แวบหนึ่ง “จะนิ่งทำอะไร มาฝนหมึกสิ”

เว่ยจี่ไม่รู้ว่าฉู่เซ่าหลิงตั้งใจทำสิ่งใดและไม่กล้าถาม ทำได้เพียงเดินเข้าไปยืนช่วยฝนหมึกให้อยู่ข้างๆ ฉู่เซ่าหลิงรื้อค้นอยู่นานกว่าจะได้ผ้าไหมดิบมาหนึ่งผืนที่พอจะใช้งานได้ เขาเลือกพู่กันขนาดเหมาะๆ หนึ่งด้ามมาแตะน้ำหมึกเพื่อวาดภาพ

ฉู่เซ่าหลิงขบคิดเล็กน้อยก่อนยกพู่กันวาดภาพหน้าผาแห่งหนึ่ง หน้าผาสูงลิบ มีพระจันทร์ดวงกลมห้อยอยู่ด้านบนพร้อมปุยเมฆบางเบาสองสามก้อน ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนพู่กันเพื่อวาดภาพคน ซึ่งคนในภาพครั้งนี้มิใช่ฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยาง เพียงตวัดพู่กันไม่กี่ครั้งใบหน้าของเว่ยจี่ก็เริ่มปรากฏอยู่ในภาพวาดอันงดงามของฉู่เซ่าหลิง

เว่ยจี่นั่งอยู่บนพื้นเหนือหน้าผา เขากำลังแหงนหน้าขึ้นมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ข้างกายมีฉู่เซ่าหลิงนั่งทอดอารมณ์อยู่เคียงข้างพลางผินหน้ามามองเว่ยจี่ มุมปากอมยิ้ม เหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง ข้างมือของทั้งสองมีสุราหนึ่งไห ท่าทางดูสุขสงบและอบอุ่น

ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนพู่กันอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าจะวาดภาพเสร็จ ใช้ฝีมือมากกว่าตอนวาดภาพให้ฉู่เซ่าหยางเสียอีก สักพักฉู่เซ่าหลิงก็เปลี่ยนพู่กันจุ่มหมึกดำเพื่อเขียนตัวหนังสือ

 

‘มอบให้เว่ยจี่ ฤดูเหมันต์ปีที่สิบสามแห่งรัชสมัยเทียนฉี่’

 

ฉู่เซ่าหลิงหยิบตราส่วนตัวของตนออกมาประทับที่ด้านขวาล่าง เขาเก็บตรา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกลั้วหัวเราะเบาๆ “มอบให้เจ้า สวยกว่าภาพนั้นของเจ้ามากใช่หรือไม่”

ฉู่เซ่าหลิงหันไปมองเว่ยจี่ ไม่รู้ว่าดวงตาของเว่ยจี่เปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่เมื่อไร ฉู่เซ่าหลิงหลุดขำ “เป็นอะไรไป เจ้าไม่ชอบภาพนี้หรือ ข้าอุตส่าห์ตั้งใจวาดให้ เหตุใดจึงไม่ดีใจเล่า”

เว่ยจี่ก้มหน้า เอ่ยเสียงแหบพร่า “ผู้น้อยมิกล้ารับความกรุณาขององค์ชาย”

ฉู่เซ่าหลิงทอดถอนใจอยู่ในอก พอจะจับนิสัยของเว่ยจี่ได้แล้วว่าเขาเป็นคนดี นิสัยซื่อๆ เพียงแต่ออกจะมากเกินไปหน่อยถึงทำได้เพียงยืนโง่งมมองดูอยู่ข้างๆ หาไม่เมื่อชาติก่อนเขาคงไม่สามารถเก็บตัวเงียบๆ อยู่ข้างกายตนได้เป็นเวลาสิบปีโดยที่ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยล่วงรู้ว่ามีคนผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เซ่าหลิงจะคอยแย่งชิงสิ่งที่ต้องการมาเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนนิสัยอย่างเว่ยจี่ ทำให้ทั้งงุนงงทั้งปวดใจในคราวเดียว

ฉู่เซ่าหลิงวางภาพลงบนโต๊ะ ส่วนตัวเองดึงตัวเว่ยจี่ให้นั่งลงพร้อมกัน เว่ยจี่ปาดน้ำตาอย่างอดรนทนไม่ไหว ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ข้ารับรู้ถึงความรู้สึกที่เจ้ามีให้ข้า เจ้ามิใช่คนโง่ น่าจะเข้าใจความรู้สึกของข้าจากสิ่งที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าในช่วงระยะเวลาหลายวันมานี้”

เว่ยจี่ย่อมเข้าใจว่าหลายวันที่ผ่านมาฉู่เซ่าหลิงคอยแต่จะหยอกเอินและเอ่ยวาจาที่ทำให้เขาหน้าแดงใจสั่น อีกทั้งการที่หวังกงกงเอาใจใส่เขา ย่อมเป็นเพราะได้รับคำสั่งมาจากฉู่เซ่าหลิง

เว่ยจี่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตายังคงเปียกชื้น ฉู่เซ่าหลิงไม่เข้าใจจึงถามเสียงเบา “เดิมทีวันนั้นข้าอยากใกล้ชิดเจ้า ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ากลับวิ่งหนี ทำเอาข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่มีใจให้ จนวันนี้ได้เห็นเจ้าซ่อนภาพของข้าไว้ถึงรู้ว่าเจ้ามีใจให้ข้าเช่นเดียวกัน หากเจ้าไม่พอใจตรงที่ใด บอกข้ามาได้เลย”

เว่ยจี่ก้มหน้า สักพักเขาก็ลุกไปคุกเข่า พูดเสียงแหบ “ผู้น้อยสมควรตายที่คิดในสิ่งที่ไม่สมควรกับองค์ชาย…ผู้น้อยไม่กล้าหวังมาก เพียงอยากถวายความจงรักภักดีอยู่ข้างกายองค์ชายตราบสิ้นลมหายใจ”

ประโยค ‘ตราบสิ้นลมหายใจ’ นี้ลบเลือนอารมณ์อยากเล่นสนุกของฉู่เซ่าหลิงจนหมดสิ้น หน้าผาในภาพที่เขาวาดเมื่อครู่คือช่องเขาขาดที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันตกสามสิบหลี่ ฉู่เซ่าหลิงนึกถึงเว่ยจี่ที่อยู่เหนือช่องเขาขาดแห่งนั้นในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเมื่อชาติก่อน แล้วมองเด็กหนุ่มที่กำลังโตตรงหน้าด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจมากขึ้น

ฉู่เซ่าหลิงถามเสียงหนัก “เจ้าพอใจกับการเป็นผู้คุ้มกันเช่นนี้หรือ ถ้าหากวันหนึ่งข้าแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรเล่า?”

เว่ยจี่ก้มศีรษะ “ผู้น้อยย่อมถวายความภักดีให้แก่พระชายาและทายาทขององค์ชาย เช่นเดียวกับที่ถวายให้แก่องค์ชาย…ผู้น้อยเป็นบุรุษ ไม่มีชาติตระกูลโดดเด่นมากพอจะช่วยเหลือองค์ชาย ทำได้เพียง…”

“เลิกพูดได้แล้ว…” เด็กคนนี้มาเพื่อพิฆาตตนแท้ๆ ฉู่เซ่าหลิงได้ยินคำพูดของเว่ยจี่แล้วรู้สึกปวดแปลบใจไม่หยุด เขาดึงตัวเว่ยจี่ให้ลุกขึ้น พูดเสียงเบา “ข้าจะไม่แต่งชายา”

หากได้คนคนนี้มาใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ต่อให้ไม่มีภรรยาไร้บุตรจะเป็นอะไรไป

เว่ยจี่มองฉู่เซ่าหลิงอย่างอึ้งๆ พูดเสียงเบา “องค์ชาย…”

ฉู่เซ่าหลิงหลับตา เอ่ยเสียงหนัก “ข้ารู้ว่าการที่จู่ๆ ทำเช่นนี้ย่อมทำให้เจ้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าจงรู้ไว้ว่าข้าไม่ได้เห็นเจ้าเป็นของใหม่เลยตั้งใจให้เจ้าเป็นของเล่นชั่วครู่ชั่วยาม และขอให้เจ้าสบายใจได้ว่าข้าจะมิยอมให้เจ้าเป็นชายบำเรอ วันนั้นข้าหุนหันเกินไป ขอเจ้าอย่าได้คิดมาก และต่อไปขอให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “วันนี้ข้าจะเลื่อนเจ้าเป็นผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งแห่งอุทยานปี้เทา จะได้อยู่ข้างกายข้าทุกวัน เจ้าพอใจหรือไม่”

ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนจะสามารถใส่ใจใครสักคนได้ถึงเพียงนี้ ตอนแรกหลังได้กลับชาติมาเกิดใหม่ก็คิดแค่ว่าจะทำดีต่อเว่ยจี่ ตอบสนองความต้องการของเขา และยกย่องตระกูลของเขาขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนความจงรักภักดีของเว่ยจี่ในชาติก่อน แต่หลังจากได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันหลายวัน ฉู่เซ่าหลิงพบว่าตนชอบพอคนคนนี้เข้าแล้วจริงๆ

เขามักจะกังวลว่าช่วงผลัดเวรเว่ยจี่จะหนาวหรือไม่ พะวงว่าจะกินอิ่มหรือไม่…ฉู่เซ่าหลิงเป็นคนไม่สนใจผู้ใดนอกจากหลิงฮองเฮากับฉู่เซ่าหยางคนเก่า เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้

ขนาดยกย่องอีกฝ่ายให้ขึ้นมาอยู่ข้างกายตนแล้ว ฉู่เซ่าหลิงยังคงไม่สบายใจว่าการที่เขาแหกกฎด้วยการเลื่อนเว่ยจี่ขึ้นมาเป็นผู้คุ้มกันขั้นสามจะทำให้ผู้คุ้มกันคนอื่นกลั่นแกล้งเว่ยจี่หรือไม่ เว่ยจี่ของเขายังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ นิสัยก็อ่อนโยนมาก จะให้เขาสบายใจได้อย่างไร

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การให้อีกฝ่ายอยู่ในสายตาย่อมดีกว่า

เว่ยจี่รับมือไม่ถูก ได้แต่พูดเสียงเบาว่า “องค์ชาย…อายุของผู้น้อยยังไม่ถึงและไม่มีความชอบ หากเลื่อนขึ้นเป็นผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งอาจทำให้คนติฉินองค์ชาย…”

“องค์ชายของเจ้าไม่เคยกลัวถูกผู้ใดว่าอยู่แล้ว” ฉู่เซ่าหลิงตัดบทคำพูดของเว่ยจี่ หัวเราะเบาๆ “ข้าอยากดีต่อเจ้าไปตลอดทั้งชีวิตจริงๆ…กลัวแต่ถ้าพูดเช่นนี้ออกไปในเวลานี้เจ้าจะไม่เชื่อ เว่ยจี่ เจ้าคอยดูต่อไปเถิด”

ดวงตาของเว่ยจี่แดงเรื่อขึ้นมาทันตา ทั้งที่ตอนแรกเขามอบหัวใจให้โดยที่ไม่ได้วาดหวังสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ หากบอกว่าไม่รู้สึกตื้นตันย่อมเป็นการโกหก เพียงแต่เว่ยจี่คุ้นชินกับการยืนอยู่ในเงามืด เขาจึงตั้งรับไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า “องค์ชาย…เหตุใดจึงดีต่อผู้น้อยเช่นนี้”

ทำไมเขาถึงดีต่อเว่ยจี่ ในอีกหลายปีต่อจากนี้จะมีคนมากมายถามคำถามนี้กับฉู่เซ่าหลิง ทั้งฮ่องเต้ ไทเฮา ฉู่เซ่าหยาง รวมไปถึงเว่ยจั้นพี่ชายของเว่ยจี่…เมื่อคนถามมิใช่คนเดียวกัน คำตอบของฉู่เซ่าหลิงย่อมแตกต่างกัน

เว่ยจี่ที่มีรูปร่างหน้าตาอยู่ในระดับปานกลาง นิสัยนิ่งๆ ซื่อๆ หว่านเสน่ห์ไม่เป็น แต่กลับสามารถทำให้ฉู่เซ่าหลิงดีต่อเขาได้ถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ

ฉู่เซ่าหลิงมองเว่ยจี่ขณะพูดเสียงเบา “ข้าถามเจ้า หากวันหนึ่งข้าสูญสิ้นความเป็นเชื้อพระวงศ์ ตกต่ำยิ่งกว่าสามัญชน แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดยังปรารถนาให้ข้าตาย เจ้าจะทำอย่างไร”

เว่ยจี่ตะลึง ก่อนเอ่ยตอบโดยไม่ได้หยุดคิด “ผู้น้อยจะขอถวายการคุ้มครองอยู่ข้างกายองค์ชายอย่างสุดความสามารถ”

เป็นคำตอบที่ดี ฉู่เซ่าหลิงในเวลานี้คือองค์ชายผู้สูงศักดิ์ที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา ยามนี้ไม่ว่าเขาจะถามคำถามนี้กับผู้ใด เกรงว่าคงได้คำตอบไม่ต่างกัน แต่เมื่อชาติก่อนยามที่เขาตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ถึงขีดสุดจนแม้แต่ตัวเองยังยอมแพ้ไปแล้ว มีเพียงเว่ยจี่คนเดียวที่ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพลีชีพเพื่อเขา เว่ยจี่พาเขาออกจากวังฉินอ๋องพร้อมแผลถูกดาบฟันทั้งตัว และมีเพียงเว่ยจี่ที่เผชิญหน้ากับทหารองครักษ์ร่วมสามพันพร้อมเขาอย่างไม่กลัวเกรง เพื่อเขาแล้ว หนึ่งคน หนึ่งดาบ ฟาดฟันสังหารทหารองครักษ์จำนวนสามพัน ก่อนที่สุดท้ายตัวเว่ยจี่จะต้องตายอย่างอนาถไม่เหลือชิ้นดี

ใต้หล้ากว้างใหญ่ มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้น

ช่วงสุดท้ายของท้ายที่สุด ขณะที่โลกไร้ซึ่งความหวัง คนผู้นี้ยังคงยืนยันว่าจะปกป้องเขาเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่

ชาติก่อนฉู่เซ่าหลิงอายุสั้น นอกจากหลิงฮองเฮา เขาเคยได้รับความรักเช่นนี้จากเว่ยจี่คนเดียว เรื่องในครั้งนั้นเขาไม่มีทางลืมลง ฉู่เซ่าหลิงเป็นคนละโมบโลภมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาย่อมมัดเว่ยจี่ไว้ข้างกายตลอดไปเพื่อกอบโกยความอบอุ่นที่เว่ยจี่มอบให้ตลอดเวลา

ฉู่เซ่าหลิงมองเว่ยจี่ที่ยังดูอ่อนเยาว์ซึ่งมีสีหน้างงงันแล้วหัวเราะเบาๆ “เพราะเจ้าอยู่ข้างกายข้าในสถานการณ์เช่นนั้น ทำให้ข้าชอบเจ้า”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 11-12 ได้ในวันที่ 14 .. 64

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: