X
    Categories: everYทดลองอ่านทรราชหวนคืน

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 7

ระยะนี้ลี่กุ้ยเฟยอยู่อย่างลำบากมาก

ตอนแรกที่ฮองเฮาสวรรคต นางได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นกุ้ยเฟย ได้อยู่เหนือคนทุกคน ทั้งยังครอบครองตราหงส์ ควบคุมกิจการทั้งหกตำหนัก ทำให้ลี่กุ้ยเฟยเข้าใจว่าในที่สุดตนก็ชนะ บัดนี้ตำแหน่งฮองเฮาอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว ทว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไปไม่ถึงเสียที

ฉู่เซ่าหร่วนเลิกเรียนจากสำนักศึกษาหลวงก็ตรงมาที่วังหลินจื่อของลี่กุ้ยเฟย องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนปีนี้อายุสิบเจ็ดปี กำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ฉู่เซ่าหร่วนคารวะลี่กุ้ยเฟย นางรีบดึงบุตรชายมานั่งเพื่อสอบถามเรื่องการบ้านของวันนี้

ฉู่เซ่าหร่วนหัวเราะ “เสร็จหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระอาจารย์บอกว่านอกจากของพี่ใหญ่ บทความของลูกเขียนได้ดี”

“องค์ชายใหญ่…” พูดถึงฉู่เซ่าหลิง ลี่กุ้ยเฟยก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง “พวกพระอาจารย์จะกล้าบอกว่าบทความที่เขาเขียนไม่ดีได้หรือ”

ฉู่เซ่าหร่วนฟังแล้วหมดอารมณ์สนุก เขารู้เรื่องนี้ดีว่ามิใช่เพราะเขาอายุน้อยกว่าฉู่เซ่าหลิงสองเดือน แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้ถือกำเนิดจากครรภ์ของฮองเฮา ทำให้สถานภาพของทั้งคู่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

“เสด็จแม่อย่าทำเช่นนี้…” ฉู่เซ่าหร่วนยิ้มเย็น “เวลานี้ฮองเฮากลายเป็นเซียนไปแล้ว อีกไม่นานเสด็จแม่จะได้เป็นฮองเฮา ข้าย่อมไม่ด้อยกว่าพี่ใหญ่อีก”

ลี่กุ้ยเฟยนวดคลึงขมับเบาๆ ถอนหายใจพลางเอ่ย “ไหนเลยจะง่ายถึงเพียงนั้น ถึงฮองเฮาจากไปแต่ยังมีเสด็จย่าของเจ้า…พระนางชอบหยิบยกเอาเรื่องที่องค์ชายใหญ่เป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอกขึ้นมาพูด เดี๋ยวบอกว่าเขาไม่มีมารดาแท้ๆ คอยดูแลช่างน่าสงสาร อยากให้แม่จัดสรรของต่างๆ ไปที่อุทยานปี้เทาให้มากขึ้นเท่าตัว เดี๋ยวก็บอกว่าองค์ชายใหญ่สุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก เรื่องอาหารต้องเสริมที่มีสรรพคุณทางยาเข้าไปด้วย…”

ยิ่งพูดลี่กุ้ยเฟยยิ่งร้อนใจดั่งไฟผลาญ น้ำเสียงจึงพลอยแหลมสูงตามไปด้วย “เขาน่ะหรือร่างกายอ่อนแอ?! แค่ตอนเด็กๆ ถูกฮองเฮาดูแลมากเกินไปเลยป่วยนิดๆ หน่อยๆ สองสามครั้งเท่านั้น! ทั้งหมดเป็นเพราะฮองเฮากับไทเฮาตามใจเขาจนเคยตัว มาวันนี้สุขภาพของเขาก็แข็งแรงไม่แพ้องค์ชายคนใดแล้วมิใช่หรือ ไม่เห็นจำเป็นต้องตามอกตามใจ ไม่กลัวว่าเขาจะป้อแป้เหมือนมารดาตัวเองหรือ…”

“เสด็จแม่!” ฉู่เซ่าหร่วนตัดบทนางอย่างได้จังหวะ “พูดมากจะเสียการ คำพูดพวกนี้เสด็จแม่พูดให้น้อยลงจะดีกว่า หาไม่อาจมีวันใดที่คนเก็บเอาไปพูดต่อกัน”

ลี่กุ้ยเฟยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ผงกศีรษะ มุกซีกบนศีรษะส่งเสียงติงตัง นางยังคงนวดขมับเบาๆ “วางใจเถอะ ต่อให้แม่แค้นใจยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดมองออก ทุกครั้งเวลาที่เสด็จย่าของเจ้าพูดอะไรมา แม่ล้วนยิ้มรับทั้งสิ้น”

ฉู่เซ่าหร่วนกล่าวปลอบลี่กุ้ยเฟย “เสด็จแม่ พวกเราจะใจร้อนไม่ได้…ฮองเฮาเป็นหลานสาวของไทเฮา พระนางย่อมต้องเข้าข้างพวกเขา แต่ตอนนี้เสด็จแม่คือผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายใน ในแผ่นดินก่อนท่านตายิ่งเป็นที่โปรดปราน สถานะของท่านไม่มีทางคลอนแคลนง่ายๆ เรื่องที่เสด็จแม่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”

สักพักฉู่เซ่าหร่วนก็ยิ้มบางๆ “สรุปคือไทเฮาอายุมากแล้ว”

คำพูดของบุตรชายทำให้ลี่กุ้ยเฟยมีกำลังใจขึ้นไม่น้อย นางผงกศีรษะ “ลูกแม่ช่างมองการณ์ไกล เด็กดี ที่แม่อดทนทุกอย่างก็เพื่อเจ้า ส่วนเรื่องไทเฮา…รอดูเถิดว่าผู้ใดจะมีชีวิตอยู่นานกว่ากัน”

ลี่กุ้ยเฟยระบายลมหายใจยาว ขณะนั้นผู้รับใช้ฝ่ายในที่อยู่นอกตำหนักเดินเข้ามาช้าๆ เขากระซิบบางอย่างที่ข้างหูลี่กุ้ยเฟยหลายประโยค ทำให้สีหน้าของลี่กุ้ยเฟยเปลี่ยนไปทันที นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “เป็นความจริงหรือ?!”

ผู้รับใช้ฝ่ายในผงกศีรษะ “หลังได้ยินข่าว บ่าวได้ส่งคนไปจับตาดูที่อุทยานปี้เทา หลายวันมานี้ช่วงกลางดึกของทุกคืน องค์ชายใหญ่ไม่ยอมนอน เอาแต่อยู่ที่ตำหนักข้างเพียงลำพัง เขาจะอาบน้ำรมเครื่องหอมก่อน จากนั้นก็เขียนอักษรและวาดภาพ คร่ำเคร่งจนถึงกลางดึก พอออกจากห้องก็จะใส่กุญแจตำหนักข้างด้วยตนเองและตอนกลางวันก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป”

ฉู่เซ่าหร่วนรับฟังอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางสับสนงงงวย “เสด็จแม่…นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ดีล่ะ ฉู่เซ่าหลิงอยู่ดีไม่ว่าดี วอนหาเรื่องตาย” ลี่กุ้ยเฟยกัดริมฝีปากสีชาด หัวเราะเสียงเย็น “องค์ชายใหญ่ใช้วิชามารเพื่อสาปแช่งแม่กับเจ้าในวังเช่นนี้…ฉู่เซ่าหลิงช่างเหี้ยมโหดเสียจริง แม่อยากเห็นนักว่า…คราวนี้ไทเฮาจะปกป้องเขาอย่างไร!”

ครั้งนี้ยากนักที่ลี่กุ้ยเฟยจะห้ามใจอยู่ นางให้ขันทีไปทูลเชิญฮ่องเต้และลงครัวทำอาหารเย็นด้วยตัวเองเพื่อเชิญฮ่องเต้ให้มากินอาหารที่วังหลินจื่อ

ตกเย็นฮ่องเต้ก็มาที่วังหลินจื่อจริง ลี่กุ้ยเฟยคอยอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นฮ่องเต้นางก็ออกไปต้อนรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อลี่กุ้ยเฟยมาเป็นเวลาหลายปีใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ปีนี้ลี่กุ้ยเฟยอายุสามสิบสี่ปี แต่เพราะได้รับการบำรุงดูแลอย่างดี ประกอบกับตัวนางเป็นหญิงงามแต่กำเนิด ทำให้มองไม่เห็นความชรา ยังคงโฉมสะคราญล่มเมืองเหมือนเก่า แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือสตรีนางนี้เก่งเรื่องกุมหัวใจของบุรุษ ฮ่องเต้อยากได้ยินนางพูดสิ่งใดนางจะพูดสิ่งนั้น ฮ่องเต้อยากเห็นนางทำสิ่งใดนางจะทำสิ่งนั้น ไม่ว่าพระองค์จะอยากฟังนางพูดหรืออยากเห็นนางทำสิ่งใด ลี่กุ้ยเฟยสามารถทำให้ได้ทุกอย่าง

“ฝ่าบาท…” ลี่กุ้ยเฟยโบกมือให้ข้ารับใช้ถอยออกไป สีหน้าลังเลไม่แน่ใจ เนิ่นนานกว่าที่นางจะระบายลมหายใจออกมา “ระยะนี้หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย กินยาไปหลายเทียบแล้วก็ไม่ดีขึ้น แม่นมของหม่อมฉันจึงออกจากวังไปเสี่ยงเซียมซีให้ที่วัดแห่งหนึ่ง ไต้ซือบอกว่า…หม่อมฉันดวงตกเพราะมีคนสาปแช่งเพคะ”

ฮ่องเต้หลับตาลงแล้วคลึงหัวคิ้วเบาๆ “สนมรักคิดมากเกินไป…”

ลี่กุ้ยเฟยมองสีหน้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ดวงตาแดงเรื่อ “เพคะ หม่อมฉันถวายงานฝ่าบาทย่อมได้รับการคุ้มครองจากไอมังกรของพระองค์ จะถูกคนทำของใส่ได้อย่างไร หม่อมฉันจึงตำหนิแม่นมไปยกหนึ่งเพราะรู้ว่าฝ่าบาทไม่โปรดจะฟังเรื่องภูตผีปีศาจ และตัวของหม่อมฉันเองก็ไม่เชื่อ…แต่เมื่อวานหม่อมฉันได้ยิน…ว่าองค์ชายใหญ่จุดเครื่องหอมสาปแช่งอยู่ที่อุทยานปี้เทาทุกคืน เรื่องนี้…”

ฮ่องเต้เบิกตากว้าง น้ำเสียงเย็นเยียบ “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ”

ลี่กุ้ยเฟยผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา “หม่อมฉันไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าฝ่าบาท แต่สองเรื่องนี้มันบังเอิญเกินไป หม่อมฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เวลานี้แม้หม่อมฉันจะรับหน้าที่ดูแลฝ่ายใน แต่องค์ชายใหญ่เป็นทายาทของหลิงฮองเฮา หม่อมฉันจึงทั้งเคารพทั้งยำเกรงองค์ชายใหญ่ ทำได้เพียงกราบทูลฝ่าบาทเพื่อขอพระราชทานความคิดเห็น ไม่ว่าจะอย่างไร หม่อมฉันคงได้แต่ทำตาม…”

ลี่กุ้ยเฟยทำเหมือนถูกรังแกอย่างแสนสาหัส พูดจบนางก็ทนไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมา หญิงงามต่อให้ร้องไห้ก็ยังงามประดุจดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ทำให้ฮ่องเต้ใจอ่อนอย่างรวดเร็ว ต้องพูดจาปลอบประโลมใจนาง ฮ่องเต้คิดหนักอยู่พักหนึ่ง “ช่างเถอะ คืนนี้เราจะไปดูพร้อมเจ้า หากหลิงเอ๋อร์เลอะเลือนจริง เราจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าแน่”

ลี่กุ้ยเฟยผงกศีรษะ “หม่อมฉันสุดแล้วแต่ฝ่าบาทเพคะ”

กลางดึกฉู่เซ่าหลิงอาบน้ำรมเครื่องหอมไปตามปกติ เขาเปลี่ยนไปสวมชุดสีขาวและเดินเข้าไปที่ตำหนักข้าง

ฉู่เซ่าหลิงเปิดเตาใส่กำยาน นิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเริ่มต้นเขียนอักษร…

ไม่นานข้างนอกก็มีเสียงดังเอะอะ มุมปากของฉู่เซ่าหลิงยิ้มอย่างเย็นชาแต่มือยังคงเขียนต่อไป ครู่หนึ่งหวังมู่หานก็มาเคาะประตู เอ่ยเสียงร้อนรน “องค์ชาย! ฝ่าบาททรงนำคนมาขอรับ!”

ฉู่เซ่าหลิงวางพู่กันลงอย่างไม่ลนลาน หมุนตัวไปผลักประตูเปิด ฮ่า! เป็นกองทัพใหญ่เชียว

ฮ่องเต้พาลี่กุ้ยเฟยพร้อมด้วยผู้รับใช้ฝ่ายในและองครักษ์คนสนิทกลุ่มหนึ่งมา ฉู่เซ่าหลิงจัดเสื้อผ้า เดินไปทำความเคารพฮ่องเต้ เวลานั้นหัวคิ้วของฮ่องเต้ขมวดแน่น “ลุกขึ้น”

ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นยืน เขากวาดตามองไปทางลี่กุ้ยเฟย ยกมือขึ้นเล็กน้อย “คารวะลี่กุ้ยเฟย”

เวลานี้ลี่กุ้ยเฟยกำลังลำพองใจ ไม่ได้สนใจเลยว่าฉู่เซ่าหลิงยังคงไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเหมือนเดิม นางยิ้มพลางผงกศีรษะ กล่าวน้ำเสียงคลุมเครือ “คารวะองค์ชายใหญ่ ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้องค์ชายใหญ่ไม่นอนอยู่ในตำหนักบรรทม มาทำอะไรอยู่ที่ตำหนักข้างคนเดียวหรือ”

ฉู่เซ่าหลิงมีสีหน้าลังเล น้ำเสียงไม่แน่ใจ “ไม่มีอะไร แค่…ไม่กล้ารบกวนเสด็จพ่อ ไม่มีอะไรเลย”

“ไม่มีหรือมีกันแน่! ถึงได้ทำให้เจ้าอดหลับอดนอนถึงยามสาม!” สีหน้ารู้สึกผิดของฉู่เซ่าหลิงตอกย้ำวาจาของลี่กุ้ยเฟยและอารมณ์หงุดหงิดของฮ่องเต้ พระองค์เกลียดชังการใช้วิชามารเป็นที่สุด ต่อให้ไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับบุตรชายคนนี้ แต่หากวันนี้เขากล้าใช้วิชามารกับลี่กุ้ยเฟยได้ ผู้ใดจะรู้ว่าวันใดเขาจะไม่ทำร้ายพระองค์ ฮ่องเต้มองเข้าไปในตำหนักข้าง พบว่าจุดไฟสว่างไสวจริง “เราจะเข้าไปดูเอง!”

“เสด็จพ่อ!” ฉู่เซ่าหลิงตั้งท่าจะขวาง แต่มีหรือจะขวางอยู่ เมื่อฮ่องเต้กับลี่กุ้ยเฟยพร้อมองครักษ์คนสนิทเข้าไปในตำหนักข้าง ฉู่เซ่าหลิงก็รีบตามเข้าไป ทุกคนเดินอ้อมฉากกั้นบังลม พอเห็นของที่อยู่บนโต๊ะหนังสือกลางห้องก็พากันตะลึงงัน

เพราะกลางห้องไม่มีชาด กระดาษยันต์ หรือข้าวของที่เกี่ยวข้องกับวิชามารอะไรทั้งสิ้น กำยานกลางตำหนักถูกเผาอย่างเงียบๆ ให้ความรู้สึกสงบ บนโต๊ะปูด้วยผ้าไหมพระราชทานสีเขียวเข้มขนาดยาวหนึ่งจั้ง ด้านบนใช้ผงทองเขียนเป็นตัวอักษรคำว่าอายุยืนจำนวนนับไม่ถ้วน ฝีมือละเอียดยิบ ดูมีความตั้งใจอย่างยิ่ง

ลี่กุ้ยเฟยชะงักค้างไปชั่วอึดใจหนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่า “นี่…ทุกคืนท่านแอบมาทำของสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร?!”

ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลายกลับมาเป็นเช่นนี้ พระองค์หันไปมองฉู่เซ่าหลิง ฉู่เซ่าหลิงจึงโค้งตัวพลางตอบเสียงเนิบ “เดือนหน้าจะเป็นวันพระราชสมภพของเสด็จย่า ลูกไม่มีสิ่งใดที่สามารถแสดงความกตัญญู ได้แต่ทำอย่างคนโบราณ คืออาบน้ำรมเครื่องหอมก่อนเขียนอักษรอายุยืนจำนวนหนึ่งร้อยตัวทุกวันเพื่อเป็นการถวายพระพรแด่เสด็จย่า”

ฮ่องเต้มีความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ สายตาที่มองลี่กุ้ยเฟยฉายแววดุดัน หลังเงียบไปพักหนึ่งฮ่องเต้ก็ฝืนยิ้ม “เด็กดี เจ้าช่างมีน้ำใจ…เพียงแต่ต้องนอนดึกทุกคืน และร่างกายเจ้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง เช่นนี้จะไหวหรือ”

ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะรับคำ พูดเสียงเรียบสนิท “ตอนกลางวันลูกมีงานยุ่ง ทั้งยังมีคนเดินไปเดินมา หาความสงบได้ยาก อีกประการ…” ฉู่เซ่าหลิงเลิกคิ้วมองไปที่ลี่กุ้ยเฟยแวบหนึ่ง “ลูกทำเพื่อถวายพระพรเสด็จย่าจึงไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้…เสด็จพ่อสั่งสอนถูกต้อง โชคดีที่วันนี้เขียนเสร็จพอดี ต่อไปลูกคงไม่จำเป็นต้องนอนดึกอีก”

ฮ่องเต้ผงกศีรษะ รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระจึงพูดปลอบใจฉู่เซ่าหลิงสองสามประโยคก่อนจากไปโดยไม่ได้เหลือบมองลี่กุ้ยเฟยอีกแม้แต่แวบเดียว

ฉู่เซ่าหลิงส่งทุกคนออกไปจากอุทยานปี้เทาแล้วจึงย้อนกลับไปที่ตำหนักบรรทม หวังมู่หานคอยตามหลังเขาตลอด เขาไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่การที่ฉู่เซ่าหลิงตั้งใจถวายพระพรไทเฮาแล้วถูกฮ่องเต้เข้าใจผิดเป็นเรื่องน่ากลัว หลังเข้าไปในตำหนักบรรทม หวั่นชุ่ยก็คลายเสื้อให้ฉู่เซ่าหลิง มีหวังมู่หานพูดปลอบเสียงเบาอยู่ที่ด้านข้าง “องค์ชายก็เห็นแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ลี่กุ้ยเฟยจะต้องเป็นคนยุยง ฝ่าบาททรงเคยระแวงองค์ชายเมื่อใดกัน พระองค์แค่ได้ยินลมข้างหมอน ขอองค์ชายอย่าได้คิดมาก เท่าที่บ่าวเฒ่าเห็น…”

“กงกงคิดมากเกินไปแล้ว” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ แต่เดิมหวังมู่หานถวายการปรนนิบัติฮองเฮา จนปีที่เขาย้ายออกจากวังเฟิ่งหวา หวังมู่หานถึงย้ายตามออกมา เนื่องจากฮองเฮาเกรงว่าข้างกายเขาจะไม่มีคนที่ไว้วางใจได้คอยดูแลรับใช้ พระนางจึงยกคนที่ตนใช้งานมาครึ่งชีวิตให้แก่ฉู่เซ่าหลิง ซึ่งหวังมู่หานก็ได้ดูแลรับใช้ฉู่เซ่าหลิงด้วยความซื่อสัตย์ภักดีเป็นระยะเวลาหลายปี สำหรับฉู่เซ่าหลิงหวังมู่หานจึงไม่ได้เป็นแค่บ่าว เขาหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หรอก…ไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”

ฉู่เซ่าหลิงนอนอยู่บนเตียงไม้หวงฮวาหลี หลังใหญ่เพียงลำพัง ตามองม่านเตียงเป็นชั้นๆ ด้วยรอยยิ้มเย็นชา เรื่องที่เขาไปตำหนักข้างทุกคืนมีแต่คนของอุทยานปี้เทาเท่านั้นที่รู้และเขาได้สั่งอย่างเด็ดขาดว่าห้ามแพร่งพรายออกไปข้างนอก คนที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นคนที่ฮองเฮา หวังมู่หาน และตัวเขาเองเลือกเฟ้นมารอบแล้วรอบเล่า ทุกคนล้วนมีความซื่อสัตย์จึงปิดปากสนิท หรือต่อให้มีคนพูด ลี่กุ้ยเฟยก็จะรู้เพียงว่าเขากำลังเตรียมงานฉลองวันพระราชสมภพให้ไทเฮา ส่วนเรื่องวิชามาร เขาพูดกับฉู่เซ่าหยางคนเดียว

ตอนแรกฉู่เซ่าหลิงมีเจตนาจะลองทดสอบ แต่น้องชายคนดีของเขากลับขายเขาได้ง่ายๆ ฉู่เซ่าหลิงปิดเปลือกตาลง หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ที่แท้ฉู่เซ่าหยางก็เห็นเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามมานานถึงเพียงนี้ แต่ก็ดี วันเวลาในวังยังอีกยาวไกล ค่อยๆ ประมือกันไปก็แล้วกัน

 

บทที่ 8

ในวังหลวงไม่มีความลับ เช้าวันต่อมาไทเฮาก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พระนางโกรธจัด ให้คนไปเชิญฉู่เซ่าหลิงมาที่ตำหนักฉืออันทันที

ฉู่เซ่าหลิงอยู่กินอาหารเช้ากับไทเฮา ไทเฮามองฉู่เซ่าหลิงด้วยความรู้สึกอับจนหนทางอย่างแสนปวดใจ ต้องกอดเขาไว้เอ่ยทั้งน้ำตา “เด็กจิตใจดีงามอย่างเจ้าจะเขียนอะไรตอนดึกๆ ดื่นๆ แค่เจ้าอยู่ดีมีสุข สุขภาพแข็งแรง ย่าก็ดีใจแล้ว เหตุใดเด็กอย่างเจ้าจึงต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้…”

ฉู่เซ่าหลิงรีบรับผ้าเช็ดหน้าจากซุนหมัวมัวมาเช็ดน้ำตาให้ไทเฮา พูดด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องให้อ่อนไหวเช่นนี้ที่ใด แค่เมื่อคืน…วุ่นกันดึกไปหน่อย โชคดีที่ภาพอักษรอายุยืนร้อยตัวเขียนเสร็จเรียบร้อย หลานให้หวังมู่หานเอาไปส่งที่โรงทอเพื่อให้ช่างปักตามที่หลานเขียนขึ้นมาเป็นผ้าดิ้นทองลายอักษรอายุยืนร้อยตัว เสร็จเมื่อไรเสด็จย่าจะได้ใช้เป็นผ้าห่ม”

ฟังแล้วไทเฮายิ่งแสนปวดใจ พูดเสียงเบาลง “เด็กดีของย่า…ย่ารู้ว่าเมื่อคืนเจ้าถูกรังแก แต่เจ้าวางใจเถอะ วันนี้ย่าจะต้องเอาคืนให้เจ้า”

ฉู่เซ่าหลิงหลุบตาลง หัวเราะเบาๆ ไทเฮามอบของให้เขาอีกหลายชิ้นและปลอบใจเขาอย่างดี

หลังอาหารเช้าฉู่เซ่าหลิงไปที่สำนักศึกษาหลวง จากนั้นอีกครึ่งชั่วยามให้หลังสนมนางในทุกคนก็ไปคารวะไทเฮาที่ตำหนักฉืออัน ลี่กุ้ยเฟยมาด้วยอาการตัวสั่นงันงก ไทเฮากวาดตามองทุกคนหนึ่งรอบ พูดเสียงเรียบ “ได้ยินว่าเมื่อคืนมีเรื่องยุ่งๆ กันเช่นนั้นหรือ”

ซูเฟยได้ยินเรื่องวุ่นวายเมื่อคืนแล้วจึงอดทิ้งหินลงบ่อ ไม่ได้ “ก็ไม่เชิงเพคะ ได้ยินว่าองค์ชายใหญ่อยากถวายพระพรไทเฮาจึงทำพิธีอาบน้ำรมเครื่องหอมทุกวัน วันนั้นหม่อมฉันยังพูดเลยว่าองค์ชายใหญ่สมแล้วที่เป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่าองค์ชาย เสียดาย…”

ซูเฟยปรายตาไปมองลี่กุ้ยเฟย ถอนหายใจก่อนเอ่ยต่อ “เกรงว่าเรื่องวุ่นวายเมื่อคืนคงทำให้องค์ชายใหญ่เสียใจ ทั้งที่ตั้งใจจะถวายพระพรไทเฮาเงียบๆ ไม่บอกใคร เพราะไม่ได้ปรารถนาในบำเหน็จรางวัล แต่กลับถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าใช้วิชามาร กลายเป็นน้ำค้างแข็งเดือนหก** เรียกได้ว่าลำบากองค์ชายใหญ่แล้ว…”

ไทเฮาผงกศีรษะพลางยิ้มเย็น “จริงสิ ข้าเองก็เพิ่งได้ยินข่าวใหม่ข่าวนี้ แต่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบด้วยตัวเองเลยไม่ค่อยกระจ่าง ลี่กุ้ยเฟย เจ้าเล่ามาให้ข้าฟังหน่อยซิ”

ลี่กุ้ยเฟยเหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กไปทั้งตัว พอได้ยินก็รีบลุกจากที่นั่ง ทรุดตัวลงคุกเข่า พูดเสียงสั่น “หม่อมฉัน…หม่อมฉันได้ยินเรื่องไม่สมควร เกรงว่าองค์ชายใหญ่จะเดินผิดทางจึงลองกราบทูลฝ่าบาท คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรง…”

“คิดไม่ถึงอะไร?! ความหมายของเจ้าคือทั้งหมดเป็นความผิดของฮ่องเต้ใช่หรือไม่!” ไทเฮาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นจากความมุทะลุของฮ่องเต้ แต่ต่อให้ได้ยินเรื่องไม่สมควรมาอย่างไรก็ต้องส่งคนไปสืบข่าวก่อน มิใช่ออกไปด้วยตัวเองจนกลายเป็นฝ่ายถูกตบหน้า ทว่าผู้เป็นมารดาย่อมมีใจเข้าข้างบุตร ต่อให้ฮ่องเต้ทำผิด ไทเฮาก็ยังอดโยนความผิดทั้งหมดนั้นไปให้ลี่กุ้ยเฟยไม่ได้ “หากไม่ใช่เพราะเจ้ายุยง ฮ่องเต้จะรู้เรื่องวิชามารได้อย่างไร?! ถึงตอนนี้แล้วยังจะกล้าเถียงข้างๆ คูๆ อีก!”

ลี่กุ้ยเฟยมีสีหน้าตื่นตระหนก นางคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะบริภาษนางต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ เวลานี้จะพูดก็ผิด ไม่พูดก็ผิด นางจึงร้องไห้โฮอย่างอดไม่อยู่ “ไทเฮา…หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เพคะ…”

ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “ประเสริฐ เจ้าไม่ได้ตั้งใจแต่กลับใส่ร้ายองค์ชาย ยุยงให้ฝ่าบาทเสด็จไปอุทยานปี้เทากลางดึก โชคดีที่หลิงเอ๋อร์รู้จักหนักเบาเลยยอมอดทนอดกลั้น หากเขาเป็นเด็กที่ใจร้อนกว่านี้ เกรงว่าเมื่อคืนคงได้หัวร้างข้างแตกตายไปแล้ว! ขืนปล่อยสตรีชั้นต่ำช่างใส่ไคล้อย่างเจ้าไว้! เกิดพลาดเมื่อใดเจ้าจะเอาสิ่งใดมาชดใช้ข้า ชีวิตขององค์ชาย เจ้ามีปัญญาใช้คืนหรือ?!”

ยิ่งคิดไทเฮายิ่งเดือดดาล พระนางตวาดกร้าว “เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ?! มีผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าเจ้าทำเพื่อให้ฮ่องเต้เอาใจออกห่างจากหลิงเอ๋อร์ ที่ผ่านมาข้าเห็นแก่ที่เจ้าปรนนิบัติดูแลฮ่องเต้มานานและยังให้กำเนิดหร่วนเอ๋อร์จึงยอมไว้หน้าเจ้าหลายอย่าง ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะมีความคิดต่ำทรามถึงเพียงนี้!”

ลี่กุ้ยเฟยโขกศีรษะไม่หยุดพลางร่ำไห้ “หม่อมฉันมิกล้า ขอไทเฮาโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉัน…”

“เจ้าจะหาว่าข้าใส่ร้ายเจ้าเช่นนั้นหรือ” ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็นชา “จริงสิ มิใช่ว่าข้าใส่ร้ายเจ้า ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าเจ้าจะต้องรู้แต่แรกว่าหลิงเอ๋อร์ต้องการอวยพรข้า เจ้าถึงได้เดือดเนื้อร้อนใจจนต้องรีบไปหาเรื่องทำลายคำอวยพรที่มีให้ข้า!”

ความผิดอุกฉกรรจ์กระทงแล้วกระทงเล่าได้ถูกไทเฮากดทับลงมา เป็นเหตุให้ลี่กุ้ยเฟยต้องร้องโหยหวนในใจไม่หยุด เวลานี้นางไม่อาจแก้ต่างได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้นางไม่มีหน้าเหลืออีกแล้ว หลังออกจากอุทยานปี้เทา ฮ่องเต้ไม่สนใจนางอีกเลยจนกลับถึงวังเฉิงเฉียน ลี่กุ้ยเฟยรู้ว่าฮ่องเต้กริ้วนาง และตอนนี้นางไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อีกต่อไป

ไทเฮากล่าวกับทุกคนในตำหนักด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หลังฮองเฮาจากไป ธุระในฝ่ายในไร้ผู้ดูแล จึงได้มอบหมายให้ลี่กุ้ยเฟยเป็นตัวแทนถือครองตราหงส์เป็นการชั่วคราว แต่ดูท่า…จะเป็นการให้ความหวังอย่างไม่ควรจะมี วันนี้ข้าจะขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่าจะยังไม่มีการแต่งตั้งฮองเฮา หรือถ้าต่อไปจะมี ก็ต้องเป็นคนดี มีความสามารถ มากน้ำใจ! หากบกพร่องเรื่องคุณธรรม วาจา รูปโฉม และความสามารถแล้วไซร้ ก็จงเลิกคิดไปได้เลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่าพวกเจ้าต่างมีชาติกำเนิดสูงส่ง น่าจะเข้าใจเหตุผลกันได้เองจึงไม่อยากพูดให้โจ่งแจ้งเกินไป แต่ดูท่าข้าจะคิดผิด”

ไทเฮามองลี่กุ้ยเฟยด้วยสายตาเดียดฉันท์ “ลี่กุ้ยเฟย เจินซื่อ ไร้คุณธรรมความสามารถ ขี้อิจฉา ขี้ระแวง ไม่เหมาะทำงานสำคัญ นับจากวันนี้เป็นต้นไปให้ปลดออกจากตำแหน่งกุ้ยเฟย ลดลงไปเป็นลี่เฟย ริบตราหงส์คืน มอบหมายธุระฝ่ายในให้ซูเฟยกับเสียนเฟยดูแลแทน”

ซูเฟยกับเสียนเฟยรีบคุกเข่ารับคำสั่ง ไทเฮากล่าวเสียงเรียบ “ข้าให้พวกเจ้าดูแลหกตำหนักเพราะเชื่อว่าพวกเจ้าจะสามารถธำรงความยุติธรรม ไม่เอนเอียง ข้าไม่อยากเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างในวันนี้อีก”

ซูเฟยกับเสียนเฟยผงกศีรษะ รับคำสั่งสอน

หลังได้ระบายโทสะไทเฮาก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย พระนางมองลี่เฟยที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น พูดเสียงเรียบนิ่ง “เห็นแก่หร่วนเอ๋อร์ ข้าจึงลงโทษสถานเบาเพื่อให้เข็ดหลาบ เจ้าจงสำนึกตนเอาไว้ด้วย”

ตำแหน่งกุ้ยเฟยที่ไขว่คว้ามาได้อย่างยากลำบากถูกริบหายไปในบัดดล เช่นเดียวกับตราหงส์ที่ถูกยึดคืน ลี่เฟยตัวอ่อนยวบ โขกศีรษะพร่ำรำพัน “หม่อมฉันจะปิดประตูตำหนักสำนึกผิด ไม่กล้าทำเรื่องเหลวไหลอีกแล้วเพคะ”

ไทเฮาผงกศีรษะ น้ำเสียงเย็นชา “ดี ช่วงนี้ขอให้ลี่เฟยจงสำนึกตนอยู่ในวังหลินจื่อ หากไม่มีเหตุจำเป็นก็อย่าออกมาสร้างเรื่องข้างนอก แยกย้ายกันได้แล้ว”

สนมทุกคนจึงรีบลุกขึ้นทูลลาจากไป

ไทเฮาอารมณ์ดี แม้ในทีแรกจะเป็นความโกรธจริงๆ แต่วันนี้พระนางแค่อาศัยเรื่องเล็กมาทำเป็นเรื่องใหญ่เพราะไม่ได้เห็นชอบกับการแต่งตั้งลี่เฟยเป็นกุ้ยเฟยมาตั้งแต่ต้น แต่จนใจที่ฮ่องเต้โปรดปรานนางไม่น้อยจึงตั้งใจจะยกย่องนางขึ้นมาให้ได้ และสกุลเจินได้สร้างผลงานไว้ตั้งแต่แผ่นดินก่อน ทำให้ไทเฮาไม่สามารถพูดอะไรได้ มาวันนี้เมื่อลี่เฟยพลาดท่า ยั่วโทสะฮ่องเต้ ไทเฮาย่อมต้องฉวยโอกาสเล่นงานสตรีนางนี้อย่างหนัก

ลี่เฟยจะยิ่งใหญ่อยู่คนเดียวไม่ได้ หากลี่เฟยเป็นใหญ่ นางย่อมทำให้ฉู่เซ่าหร่วนกับคนที่อยู่ข้างกายเขาบังเกิดความคิดที่ไม่สมควร แม้แต่สกุลเจินในแผ่นดินก่อนก็จะเริ่มมีอำนาจมากขึ้น ถึงตอนนั้นสกุลเดิมของไทเฮาอย่างจวนจิ้งกั๋วกง กับท่านตาของฉู่เซ่าหลิงจวนจื่อจวินโหวย่อมต้องกดข่มเขาไว้ หากสกุลของไทเฮากับอดีตฮองเฮาปล่อยให้มารดาของสนมตัวเล็กๆ คนหนึ่งมาเทียบเคียง ผู้อื่นย่อมไม่บอกว่าสกุลเจินเหิมเกริม แต่จะบอกว่าไทเฮาเหวยไร้ความสามารถ

ตามปกติไทเฮาฝักใฝ่ธรรมะ จิตใจผ่องใสเหมือนกระจก แคว้นฉู่ก่อตั้งตัวเองและสืบทอดกันมาหลายสิบรุ่น ฮองเฮาทุกคนถือกำเนิดจากสกุลเหวยแห่งจวนจิ้งกั๋วกง สกุลหลิงแห่งจวนจื่อจวินโหว สกุลจิงแห่งจวนซู่กั๋วกง สองสามสกุลนี้มีสายสัมพันธ์ซับซ้อนกับสกุลฉู่ ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ยามรุ่งโรจน์ รุ่งโรจน์ด้วยกัน ยามตกอับ ตกอับด้วยกัน ไม่ว่าจะเพื่อสกุลเดิม เพื่อฉู่เซ่าหลิง หรือเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลขุนนางใหญ่ ไทเฮาไม่มีทางยอมให้สตรีแซ่เจินได้เป็นฮองเฮาเด็ดขาด

อำนาจที่ลอยหลุดจากมือไปแล้ว หากอยากได้กลับมาย่อมเป็นเรื่องยาก ถ้าลี่เฟยได้เป็นฮองเฮา เกรงว่าตำแหน่งประมุขของฝ่ายในอีกหลายรุ่นต่อไปอาจเป็นแซ่เจิน

ไทเฮาเรียกซุนหมัวมัวให้ไปเชิญฮ่องเต้มากินอาหารที่ตำหนักฉืออัน ตอนเช้าพระนางสั่งสอนลี่เฟยอย่างหนัก ฮ่องเต้ย่อมต้องมีเรื่องพูดคุยกับพระนาง

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวันฮ่องเต้มาตรงตามเวลานัดหมาย หลังคารวะและทักทายกันตามปกติ ไทเฮายังคงแสดงความอารีของมารดา และไม่ได้เอ่ยคำใดในระหว่างกินอาหารกลางวัน

จนนางกำนัลเก็บถ้วยชามและนำชามาตั้งเรียบร้อย ไทเฮาจึงสั่งให้นางกำนัลถอยออกไป เหลือเพียงสองแม่ลูกพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

“เช้านี้แม่ริบตำแหน่งกุ้ยเฟยของลี่เฟย เชื่อว่าฝ่าบาทคงทราบเรื่องแล้ว” ไทเฮาดื่มน้ำชาหนึ่งอึก “พระองค์จะทรงตำหนิแม่หรือไม่”

“มิกล้า” หากเป็นเวลาปกติฮ่องเต้ย่อมไม่ชอบใจแน่นอน แต่พอคิดถึงเรื่องน่าอับอายเมื่อคืน…ฮ่องเต้ก็ผงกศีรษะ “ลี่เฟยกำเริบเสิบสาน สมควรได้รับโทษ”

ไทเฮาวางจอกชาลงบนโต๊ะ น้ำเสียงนุ่มนวล “แม่มิได้จะตำหนิฮ่องเต้ ทีแรกแม่ไม่เห็นด้วยที่พระองค์จะยกย่องลี่เฟยขึ้นมา แต่พระองค์ไม่ทรงฟัง เวลานี้ทรงเห็นแล้ว…ว่าลี่เฟยเห็นแก่ตัว ใจคอคับแคบ เช่นนี้ควรเป็นใหญ่อยู่ในฝ่ายในหรือ นางปราศจากความเป็นกลาง มุทะลุบุ่มบ่าม สามารถเป็นมารดาของแผ่นดินได้หรือ

แม่รู้ว่าฮ่องเต้โปรดปรานนางมาโดยตลอด ดังนั้นหากพระองค์จะยกย่องนางขึ้นมาอีกครั้ง แม่จะไม่พูดอะไรอีก แต่ทุกสิ่งต้องมีขอบเขต พฤติกรรมของลี่เฟยไม่เหมาะทำงานสำคัญ หากฝ่าบาทยังคงยืนกราน เกรงว่าจะยิ่งเป็นการทำร้ายนาง”

ฮ่องเต้รับฟังเงียบๆ เนิ่นนานกว่าจะเอ่ย “ลูกทราบแล้ว ลี่เฟย…คงต้องให้นางไปสำนึกผิด”

ไทเฮาผงกศีรษะ พูดเสียงเนิบ “หลายปีมานี้แม่หลงๆ ลืมๆ มีหลายเรื่องที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง โชคดีที่มีฮองเฮาช่วยจัดการธุระต่างๆ ให้อย่างเรียบร้อย ไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขบขันเช่นนี้ เสียดาย…เรื่องตำแหน่งฮองเฮา ขอให้ฝ่าบาททรงตรึกตรองให้ดี”

ฮ่องเต้รู้ดีว่าตนมีใจเอนเอียงไปทางลี่เฟย ทว่าหลังมอบตราหงส์ให้แก่นาง การดูแลจัดการฝ่ายในก็ผิดแผกไปจากเดิมมาก แม้ฮ่องเต้จะไม่โปรดปรานอดีตฮองเฮา แต่เรื่องดูแลฝ่ายในนั้นหลิงฮองเฮาสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์ได้อย่างแท้จริง

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ไทเฮากล่าวยิ้มๆ “หลิงเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีความกตัญญูอย่างที่สุด เพียงแต่ไม่ชอบพูด ไม่รู้ว่าจะเอาใจพระองค์อย่างไร เรื่องเมื่อวานกระทบกระเทือนจิตใจเขามาก พระองค์ก็ช่วยไปปลอบเขาหน่อยเถิด เกิดเป็นพ่อลูกกัน ไม่มีเรื่องใดที่คุยกันไม่ได้หรอกนะ”

ฮ่องเต้ผงกศีรษะ “วันนี้ลูกให้คนเอาอัญมณีจำนวนไม่น้อยไปที่อุทยานปี้เทาเพื่อให้รางวัลแก่ความกตัญญูขององค์ชายใหญ่”

ไทเฮายิ้มน้อยๆ “สมควรแล้ว”

ฮ่องเต้อยู่คุยกับไทเฮาอีกครึ่งวันก่อนจะกลับไปที่ท้องพระโรงเพื่อหารือเรื่องตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีที่คุยกันค้างไว้ จื่อจวินโหวทำตามกฎคือสนับสนุนเว่ยจั้นแห่งค่ายเซียวฉี แต่บิดาของลี่เฟย เสนาบดีกรมปกครองเจินจยาซินสนับสนุนเฝิงเต๋อแห่งหน่วยอวี๋หลิน ฮ่องเต้ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเลือกเว่ยจั้น

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 9-10 ได้ในวันที่ 12 .. 64

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: