ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 2
ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย อาการป่วยทางจิต
และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 30
รถไฟฟ้าใต้ดินสายที่เก้ามาถึงสถานีปลายทาง
ฉยงเหริน “ลงรถครับ”
หลังจากเขาติดต่อเหยียนโม่เรียบร้อย ก็แจ้งความกับกองตรวจการพิเศษ หวังว่าคราวนี้กองตรวจการพิเศษจะมาเร็วๆ หน่อย
กู้เมิ่งซังเดินเหยียบอากาศ เกือบจะล้มหน้าคะมำตอนเดินลงจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สิ่งที่เขาเจอวันนี้แฟนตาซีเกินไป ถึงจะไม่ได้สร้างความเสียหายกับเขาโดยตรง แต่เขาก็รู้สึกเหมือนถูกสูบเอาพลังไปหมด
ผีเสื้อกล้ามกลัวโดนฉยงเหรินต่อยซ้ำ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ฉันลงไปไม่ได้ ใบปลิวพวกนี้ผูกมัดฉันไว้ที่สายเก้าแล้ว”
ผีหน้าม้าก็พยักหน้าพร้อมกับเมฆครึ้มอึมครึมที่ปกคลุม “ตั้งแต่ผมรับใบปลิวมา ผมก็ลงจากรถไม่ได้อีกเลย”
ฉยงเหรินที่ยืนอยู่นอกรถออกแรงยื้อยุดฉุดกระชาก กลับมีแรงดึงที่มองไม่เห็นอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังต้านแรงของเขาอยู่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกแรงดึงมากกว่าเดิมเล็กน้อย กู้เมิ่งซังหันรีหันขวางด้วยความเครียด กลัวว่าจะมีคนอื่นมาเห็นพฤติกรรมประหลาดๆ ของพวกเขาเข้า ถ้าถูกจับเพราะโดนคิดว่าเป็นบุคคลต้องสงสัยขึ้นมา อย่างงี้ชาวบ้านก็เห็นหน้าสดของเขากันหมดสิ!
ผีเสื้อกล้าม “พวกเราออกไปไม่ได้จริงๆ เลิกดึงเถอะ เลิกดึงๆ แขนฉันจะขาดแล้วๆ อ๊ากกก”
กู้เมิ่งซังมองผีเสื้อกล้ามกับผีหน้าม้าถูกดึงจนผิดรูป ก็นึกถึงหมากฝรั่งที่ขายหน้าโรงเรียนตอนเด็กๆ ขึ้นมาชอบกล
ผีเสื้อกล้ามตะเบ็งเสียงตะโกน “ช่วยด้วย! ช่วยผีด้วย! ชีวิตของผีก็คือชีวิตเหมือนกันนะ! ฉันจะตัวขาดแล้ว!”
ผีหน้าม้าน้ำตาตกเงียบๆ หน้าที่ยาวเป็นม้าอยู่แล้วถูกดึงให้ยาวยิ่งกว่าเดิม
ฉยงเหรินขมวดคิ้ว หันตัวออกแรงกระชากลากถู ก่อนจะดึงตัวพวกเขาออกมาจากรถไฟฟ้าใต้ดินได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ใบปลิวในมือผีเสื้อกล้ามหล่นกระจายเต็มพื้น คนที่เดินผ่านไปมาไม่สามารถมองเห็นใบปลิวพวกนั้นได้ พวกมันถูกเหยียบซ้ำไปซ้ำมา
“โอ๊ย”
กู้เมิ่งซังรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงร้องเจ็บออกมาจากแผ่นใบปลิวรางๆ
หญิงสาวในชุดทำงานยืนสั่นระริกอยู่นอกเส้นเหลือง คิ้วเรียวของเธอขมวดเป็นปม “เจ็บมากเลย ฉันเดินไม่ได้” ตอนนี้เธอเจ็บสาหัสกว่าเมื่อครู่มาก เจ็บที่ขามากกว่าที่ท้องเสียอีก รู้สึกขยับไม่ไหวแม้แต่ก้าวเดียว
ในตอนนั้นเองหมีแพนด้าตัวหนึ่งก็ตาลีตาเหลือกพุ่งตัวออกมาจากลิฟต์ แต่เพราะมันตัวกลมกระปุ๊กลุกเกินไปหน่อย เลยดูเหมือนกลิ้งออกมาเสียมากกว่า
“สวัสดี คุณฉยงใช่ไหม ขออภัย ช่วงนี้กองตรวจการพิเศษงานยุ่งมาก เราได้รับแจ้งแล้ว ไม่ทราบว่าผู้ต้องสงสัยคือใคร”
ตอนนี้ฉยงเหรินก็ไม่มีเวลาว่างมาคิดเล็กคิดน้อยว่าทำไมหมีแพนด้าถึงมาเดินอล่างฉ่างอยู่ที่นี่ได้ หรือว่าอาจจะใช้วิชาเต๋าอะไรบางอย่างสินะ เขาชี้ไปทางผีหน้าม้าและผีเสื้อกล้าม “ผมต้องรีบพาวิญญาณกลับเข้าร่าง ฝากที่เหลือด้วยนะครับ”
น้ำเสียงเขารีบร้อน หมีแพนด้าตึงเครียดตามทันที “รับทราบ!”
ฉยงเหรินเดินผ่านใบปลิวที่กระจายเต็มพื้นพวกนั้น แล้วย่ำแรงๆ ไปยังแผ่นที่หนาที่สุดหนึ่งที เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากแผ่นใบปลิวจนหมีแพนด้าสะดุ้งโหยง
ฉยงเหรินเดินไปตรงหน้าหญิงสาว แล้วกล่าว “ถ้าเดินไม่ไหวมาขี่หลังผมไหมครับ”
ความจริงแล้วหญิงสาวในชุดทำงานค่อยๆ เริ่มตระหนักได้ว่าตัวเธอเองเหมือนจะตายไปแล้ว แต่ก็เหมือนจะได้ยินใครพูดแว่วๆ ว่าเธอยังไม่ตาย
กู้เมิ่งซังไม่กล้าสบตาเธอเลย พอสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอ เขาก็รีบหันขวับหนีทุกที
เสียงวิ้งๆ ดังอยู่ในสมองของเธอ หญิงสาวมองมือที่ฉยงเหรินยื่นมาให้ตน เธอรู้ว่าคนอื่นๆ กลัวเธอ และในใจเธอเองก็กลัวมากเหมือนกัน ที่กลัวไม่ใช่แค่ความตาย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือกลัวลูกน้อยในท้องของเธอจะจากไปเพราะอุบัติเหตุ เธอรู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย “เลือดออกด้วยค่ะ มันจะเลอะคุณหรือเปล่า”
ฉยงเหริน “ไม่เป็นไรครับ น้ำยาซักผ้าผมซักคราบเลือดได้ แถมซักสะอาดมากด้วย” เขาหยุดคิดเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยเสริมไปอีกประโยค “กลิ่นสตรอเบอรี่มิ้นต์ด้วยนะ!”
เธอ “อ๋อ…”
กู้เมิ่งซังรู้สึกแหม่งๆ กับบทสนทนานี้ ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกประทับใจสุดๆ และยังรู้สึกเลื่อมใสในตัวอีกฝ่ายมาก อย่างน้อยตัวเขาเองคงไม่กล้าเอ่ยปากบอกให้เธอขี่หลังอย่างฉยงเหริน
ถึงในข่าวจะบอกว่ากำลังยื้อชีวิตอยู่ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าจะสามารถช่วยให้เธอรอดพ้นจากความตายได้หรือเปล่า
หญิงสาวกำลังมึนกับคำตอบแสนซื่อตรงของฉยงเหริน แล้วก็ปีนขึ้นไปเกาะหลังเขาแบบงงๆ ฉยงเหรินรู้สึกเหมือนกำลังแบกก้อนน้ำแข็งเย็นๆ อยู่ เขารีบจ้ำออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทันที
ตอนแรกฉยงเหรินยังกลัวว่าจะหาศูนย์พักพิงไม่เจอ เขากำลังจะทักไปถามเหยียนโม่ แต่ขึ้นลิฟต์มาก็เห็นป้ายชี้ทางไปศูนย์พักพิงเสียก่อน
ตัวอักษรใหญ่สะดุดตา แถมยังมีทั้งภาษาจีนทั้งภาษาอังกฤษด้วย นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายเก้าครั้งที่แล้วยังไม่เห็นป้ายบอกทางนี่เลย บางทีอาจเป็นเพราะเขากำลังแบกวิญญาณที่จำเป็นต้องไปศูนย์พักพิงอยู่ ถึงได้มองเห็นโดยอัตโนมัติสินะ
ถ้าเป็นแบบนั้น ก็เป็นนวัตกรรมที่ล้ำยุคสุดๆ ไปเลย
ออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ฉยงเหรินใส่เกียร์หมารีบพุ่งไปที่ศูนย์พักพิงโดยด่วนจี๋ ไม่เกินสองนาที ก็เห็นป้าย ‘ศูนย์พักพิงวิญญาณเร่ร่อนแห่งนรกประจำเมืองหลงเฉิงสาขาสี่’ อยู่ด้านบนร้านขายลอตเตอรี่
เขาตรงไปที่ร้านขายลอตเตอรี่ทันที “ช่วยอะไรหน่อยสิครับ ผมแบกวิญญาณดวงหนึ่งอยู่ อยากให้รีบส่งเธอกลับร่างด่วนเลยครับ เธอพูดว่าเจ็บตลอดเลย”
พนักงานร้านขายลอตเตอรี่เงยหน้าขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์ “ฉยงเหริน?”
ไม่นึกว่าจะเป็นผีที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี พนักงานคนนี้ก็คือ ‘ยมทูตขาว’ ที่เขาถอดขวานออกจากหัวให้นั่นเอง
ถึงเธอจะตื่นเต้นที่ได้เจอไอดอลแบบสุดๆ แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ ‘รักงานยิ่งชีพ’ ของเจ้าพนักงานในยมโลกได้เป็นอย่างดี เธอไม่ได้ฉวยโอกาสนี้พูดคุยกับฉยงเหริน แต่หันไปพูดปลอบหญิงสาวคนนั้นก่อน “ถ้ารู้สึกเจ็บ ก็เป็นเรื่องดีค่ะ นั่นแปลว่าคุณกับร่างกายยังเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น ถ้าไม่มีความรู้สึกแล้ว ก็แปลว่าตายแล้วจริงๆ ค่ะ ฉันจะเรียกให้ยมทูตที่รอคำสั่งอยู่พาคุณไปส่งกลับร่างนะคะ”
ฉยงเหรินวางหญิงสาวในชุดทำงานลง ‘ยมทูตขาว’ เรียกยมทูตขาวตัวจริงตนหนึ่งผ่านอินเตอร์คอม ฉยงเหรินเห็นแล้วรู้สึกคุ้นหน้ามาก เมื่อเห็นรอยแผลสีแดงบนหน้าของเธอ ก็พลันนึกขึ้นได้ว่านี่คือผีสาวนามว่าโจวหรงที่เจอในบ้านผีสิง
โจวหรงเห็นว่าเป็นเขา ก็อุดปากตัวเองก่อนจะกรี๊ดออกมา แล้วหันไปใช้โซ่ตรวนวิญญาณตรวนสาวน้อยไว้ พร้อมเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัวน้า ฉันคล้องโซ่ไว้จะได้พาเธอกลับไปโรงพยาบาลได้สะดวก แป๊บเดียวก็ได้กลับร่างแล้ว”
เธอมองฉยงเหรินอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนพาสาวน้อยคนนั้นจากไปพร้อมน้ำตา
อวี๋เวยค่อยๆ ได้สติ เธอลืมตาขึ้นมา รู้สึกปวดหัวแปลบเพราะแสงสว่างที่ทิ่มแทงสายตา เพียงขยับเล็กน้อย กระเพาะของเธอก็ส่งเสียงดังโครกครากด้วยความปั่นป่วน อีกทั้งตาลายไปหมด
เธอรู้สึกเหมือนสมองถูกกวนเป็นหม้อโจ๊ก
“ตื่นแล้ว! เธอได้สติแล้ว!”
อวี๋เวยได้ยินเสียงสามีตัวเองกำลังร้องไห้โฮอยู่ที่ไหนสักแห่ง ร้องไห้ไปพลางตะโกนเรียกเวยเวยไปพลาง
โธ่ ไม่ต้องร้องแล้ว ยิ่งร้องเธอยิ่งปวดหัวนะ
อวี๋เวยรวบรวมกำลังที่มีอยู่น้อยนิดลูบท้องตัวเอง “ลูก…ฉัน…ลูก…” เธอเสียงแหบพร่าอย่างหนัก พูดออกมาไม่เป็นภาษา
คนสวมชุดสีขาวข้างเตียงคนหนึ่งก้มลงมากระซิบข้างหูเธอ “วางใจเถอะ ลูกคุณไม่เป็นอะไร คุณกับลูกแข็งแรงมาก”
อวี๋เวยได้ยินคำรับรองจากปากเธอ ก็วางใจแล้วผล็อยหลับไป
เธอจำได้ว่าตัวเองเหมือนจะตายไปแล้ว แต่มีคนช่วยเธอไว้
คนคนนั้นสวมมาสก์ เห็นหน้าไม่ชัด แต่ใต้ตาสวยๆ ของเขามีไฝเสน่ห์อยู่หนึ่งเม็ด
หวังว่าตื่นมาแล้วจะได้เจอกับเขาอีก เธออยากบอกกับเขาว่า
ขอบคุณที่ช่วยฉันกับลูกของฉัน
“สำนักงานประจำแดนหยางของพวกคุณเปลี่ยนมาเป็นร้านขายลอตเตอรี่แล้วเหรอ”
พนักงานใช้สองมือเท้าใบหน้ากลมๆ ไว้ พร้อมกับพยักหน้า
“แต่ตอนคุณเป็นพนักงานหน้าร้าน คนอื่นจะไม่คิดว่าใช้แรงงานเด็กเหรอครับ”
พนักงาน “ฉันก็บอกไปว่าเป็นร้านของพ่อ ฉันแค่มาช่วยพ่อดูแลร้านน่ะค่ะ”
“อ๋อ” ฉยงเหรินพยักหน้า เขาลูบขนอ่อนที่ลุกชันตามแขน “ได้ยินว่าบ้านผีสิงเจ๊งแล้ว”
พนักงาน “ก็ไม่ถึงกับเจ๊งหรอกค่ะ แต่ที่ตรงนั้นถูกเรียกคืนไปแล้ว เห็นว่าจะสร้างเป็นตึกใหญ่ ฉันว่าเจ้านายของพวกเรา…อ้อ หรือก็คือท่านพญายมน่ะค่ะ น่าจะทำเงินได้อีกหลายร้อยล้านเลยล่ะ”
ฉยงเหรินหูผึ่งเบาๆ ทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านพญายมมีอสังหาริมทรัพย์ที่โลกคนเป็นใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอครับ”
พนักงาน “แน่นอนค่า ได้ยินว่าตอนแรกแค่ซื้อบ้านเก็บไว้นิดๆ หน่อยๆ หลังจากนั้นก็เปิดให้เช่าบ้าง ขายที่บ้าง เปิดร้านบ้าง สะสมมาหลายพันปี ก็กลายเป็นว่ารวยสุดๆ ไปเลย”
นี่สินะที่เขาเรียกว่าเวลาก็คือกุญแจสู่ความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่คนธรรมดาคงไม่มีโอกาสนี้
อิจฉาจัง
ฉยงเหรินทำธุระเสร็จ ก็กอดอกวิ่งฉิวกลับไปที่รถไฟฟ้าใต้ดินสายเก้า ก่อนจะพบว่าหมีแพนด้า กู้เมิ่งซัง รวมทั้งผีสองตนกับใบปลิวอีกไม่น้อยล้วนยืนอยู่หน้าทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
สายตากู้เมิ่งซังจดจ้องหมีแพนด้าจนแทบจะทะลุอยู่รอมร่อ
“นี่พวกคุณมายืนรับโทษอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”
ปีศาจหมีแพนด้ากล่าว “ให้ฉันไปส่งคุณทำงานได้ไหม พอดีมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณระหว่างทางด้วย”
ฉยงเหรินพยักหน้า อันที่จริงเขาก็อยากหาจังหวะคุยกับคนของกองตรวจการพิเศษดีๆ สักครั้งเหมือนกัน หน่วยงานทำงานกันไม่มีประสิทธิภาพเอาซะเลย
ไม่ได้ขอร้องให้พวกเขาปรากฏตัวภายในห้านาทีเหมือนตำรวจเพื่อประชาชน แต่ผีสองตนนี้ก็อยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดินสายเก้าตั้งหลายวันแล้ว ทว่ากลับไม่มีใครมาจัดการเลย ประสิทธิภาพการทำงานแบบนี้น่าถูกฝ่ายบังคับใช้กฎหมายทั้งแดนหยินแดนหยางหิ้วตัวขึ้นมาตีจริงๆ
ปีศาจหมีแพนด้าพาพวกเขามาถึงลานจอดรถ เปิดท้ายรถ แล้วตรวนสองผีไว้ในนั้น จากนั้นจึงเปิดประตูรถฝั่งคนขับ เริ่มป่ายปีนขึ้นไป ก้นอวบๆ ของมันปีนขึ้นไปบนเบาะคนขับอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย
ฉยงเหรินหิ้วหลังคอมันขึ้นมา วางบนเบาะพร้อมจับหันทิศทางที่ถูกให้ จนหมีแพนด้าเบียดตัวขึ้นมาบนเบาะคนขับได้สำเร็จ
ปีศาจหมีแพนด้าสตาร์ตรถ ฉยงเหรินกับกู้เมิ่งซังนั่งเบาะหลัง สายตาเลื่อนลอยของกู้เมิ่งซังจ้องไปที่แผ่นหลังของหมีแพนด้าอยู่ตลอด
ไม่ได้ๆ อย่างน้อยก็ไม่สมควร มันผิดบรรทัดฐานสังคมโว้ย
นี่มันหมีแพนด้านะ! เจ้าคนวิปริต!
กู้เมิ่งซังกระซิบ “เธอคือเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ เธอหน้าเล็กจิ้มลิ้ม ตากลมโต ผิวขาวผ่อง ตัวเล็ก ผอมบาง สมบูรณ์แบบ”
ฉยงเหรินมองไหล่กว้างๆ ของหมีแพนด้า “…ขออวยพรให้นะครับ”
ปีศาจหมีแพนด้าพูดขึ้น “คุณกู้ ช่วงนี้ดวงตกใช่หรือเปล่า”
กู้เมิ่งซังตกใจ “คุณรู้ได้ยังไง”
ฉยงเหรินกล่าว “ผีสองตนนี้อ่อนแอขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะคุณดวงตก ก็คงไม่มีทางเห็นพวกเขา” เขาหยิบใบปลิวแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู “อาคมเซ็นชื่อตัวตายตัวแทน…”
ปีศาจหมีแพนด้าร้อนใจ “ห้ามพูดออกมานะ ถ้าพูดออกมามันจะถือว่าใช้อาคมแล้ว และมันก็จะตามติดคุณ”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากใบปลิว หนังสือเล่มเล็กๆ ปรากฏออกมาบนนั้น หน้าปกหนังสือเปื้อนสีเหลืองแดงดูน่าขยะแขยง เหมือนเป็นรอยเลือดที่ถูกทิ้งไว้บนนั้นมานานนม
ใบปลิวส่งเสียงพึมพำแปลกๆ “แกเป็นของฉันแล้ว ฉันจะเอาวิญญาณของแก อ๊ากกก”
ฉยงเหรินยัดหนังสือกลับเข้าไปในกระดาษใบปลิว ฝ่ามือประกบกัน แล้วออกแรงอัดเข้าด้วยกันอย่างแรง เพื่อให้มีแรงอัดเพิ่มขึ้น เขาจึงหมุนมือบี้ไปด้วยพร้อมอัดเข้าไปด้วย
ใบปลิวส่งเสียงไอโขลกออกมาทันที เหมือนกับคนคนหนึ่งกำลังพยายามกลืนกระดาษปึกใหญ่ลงคอไป
กู้เมิ่งซังสั่นสะท้านอย่างแรงสองที แล้วลอบถดตัวถอยห่าง ฉยงเหรินน่ากลัวโคตร วัตถุลี้ลับน่ากลัวแบบนี้ก็ยังยัดกลับไปด้วยมือเปล่าได้
พอฉยงเหรินรู้สึกว่าหนังสือถูกยัดกลับลงไปสำเร็จแล้ว ใบปลิวก็ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เขาถึงกลับไปอ่านตัวอักษรบนใบปลิว
การวางตัวอักษรสุดอัปลักษณ์และการตีพิมพ์สุดหยาบกระด้างนี้แทบไม่ต่างอะไรกับใบปลิวโฆษณาพลาสเตอร์หนังสุนัข* รักษาโรค X ตามเสาไฟฟ้า
สิ่งที่โฆษณาคุณไสยเล็กๆ แผ่นนี้ต้องการแนะนำหลักๆ คือ
อาคมเซ็นชื่อตัวตายตัวแทน วิธีสิงร่างคนเมาสุรา วิธีผลักคนตกรางรถไฟให้มาเป็นตัวตายตัวแทน
เดี๋ยวนะ
ฉยงเหรินไม่เข้าใจ “นอกจากดารา จะมีใครเขาว่างมาเซ็นชื่อให้คนอื่นแบบนี้ด้วยเหรอ แล้วในเมื่อเป็นดารา ก็ไม่น่าจะมานั่งรถไฟฟ้าใต้ดินบ่อยๆ ด้วยหรือเปล่า หนำซ้ำถึงจะเป็นดารา ขอแค่ผู้จัดการฝึกสอนมาดี ใครๆ ก็ต้องรู้กันทั้งนั้นว่าเซ็นชื่อได้เฉพาะบนกระดาษโปสเตอร์ที่จะไม่ถูกคนอื่นนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ทำไมพวกคุณถึงต้องเลือกใช้วิธีนี้ด้วยล่ะ”
กู้เมิ่งซังที่เกือบจะเซ็นชื่อไม่กล้าปริปาก
ถึงผีหน้าม้าจะนั่งอยู่ในช่องเก็บของหลังรถ แต่ก็สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเบาะหน้าผ่านหน้าต่างเหล็กตรงกลางได้ เขาเห็นฉยงเหรินทรมานใบปลิวก็กลัวจนน้ำตาร่วงเผาะ แต่หน้าเขายาวเกินไป ยังไม่ทันไหลถึงแก้มก็แห้งแล้ว เขาร้องไห้พลางกล่าว “เพราะวิธีอื่นใช้ยากกว่า พวกเราก็เลยไม่มีทางเลือก”
ดูดีๆ แล้ว ก็เป็นคนที่ดีนะเนี่ย ฉยงเหรินคิด
อาคมสิงร่างคนเมาสุรา อันดับแรก ตามหาคนที่เมามายไม่ได้สติ ถามเขาว่าเต็มใจถูกสิงร่างหรือไม่ ถ้าถามแล้วอีกฝ่ายตอบตกลงติดต่อกัน 287 ครั้ง ก็เป็นอันสิงร่างสำเร็จ
การรักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้าเมืองหลงเฉิงเข้มงวดมาก พวกขี้เหล้าเมายาไม่มีทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินได้เลย หนำซ้ำในเมื่อเมาจนไม่ได้สติ ไม่แน่ว่าความสามารถในการพูดเป็นภาษาก็อาจจะหายไปด้วย แล้วจะตอบคำถามถึง 287 ครั้งได้เหรอ
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คนคนนั้นจะมีสติเต็มเปี่ยม แต่จะมีใครที่ไหนมีความอดทนเล่นเกมตอบคำถามตั้ง 287 ครั้งกับผี ถ้าเอาไปบอกคนอื่นว่าวิธีแบบนี้เป็นคุณไสย คุณไสยคงได้น้ำตาร่วงแน่
วิธีผลักคนตกรางรถไฟให้มาเป็นตัวตายตัวแทนก็ยิ่งไม่มีทางทำสำเร็จ ผีที่ได้รับใบปลิวจะถูกจำกัดให้ไปไหนมาไหนได้แค่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน ถ้าหากประตูรถไฟฟ้าเปิด พวกเขาก็ทำได้แค่ผลักคนไปที่ชานชาลา แล้วอีกฝ่ายก็คงไม่มีทางล้ม นับประสาอะไรกับการไปสิงร่างในจังหวะที่อีกฝ่ายตกลงไปเสียชีวิต
ชายหน้าม้าร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทม ตอนเขารับใบปลิวมาก็ไม่คิดว่าวิธีที่มันบอกจะห่วยแตกขนาดนี้ พอรับใบปลิวมา คิดจะลงจากรถไฟฟ้าใต้ดินก็ไม่ทันแล้ว
ผีเสื้อกล้ามฉวยจังหวะนี้ร้องทุกข์ที่ถูกปรักปรำ
“ฉันถูกใส่ร้ายจริงๆ นะ ทั้งหมดเป็นเพราะใบปลิวพวกนี้ ชีวิตฉันแสนรันทด”
กู้เมิ่งซังเห็นฉยงเหรินพูดทั้งที่ตัวสั่นระริกเบาๆ ก็รู้สึกแปลกใจ “ทำไมนายถึงสั่นล่ะ กลัวอยู่เหรอ”
ฉยงเหรินมองเขาแปลกๆ “แน่นอนสิครับ ข้างหลังผมมีผีสองตนนั่งอยู่เชียวนะ คุณไม่กลัวเหรอ”
กู้เมิ่งซังส่ายหน้า “ตอนแรกกลัวมาก แต่เมื่อกี้เห็นวิธีที่นายจัดการกับใบปลิวนั่น ฉันก็คิดว่าผีสองตนนั้นกับใบปลิวบวกลบคูณหารแล้วยังไงก็ไม่น่ากลัวเท่านาย แค่กๆ คือฉันจะบอกว่านายทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยมาก ตอนอยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดินนายไม่สั่นสักนิด ทำไมจู่ๆ มานึกกลัวเอาตอนนี้ล่ะ”
“ก็เปอร์เซ็นต์ผีในรถไฟฟ้าใต้ดินต่ำกว่าที่นี่นี่นา” ฉยงเหรินพูดออกมาเต็มปาก
กู้เมิ่งซัง “เปอร์เซ็นต์ผี?”
ฉยงเหริน “ใช่ครับ วันนี้ในรถไฟฟ้าใต้ดินน่าจะมีคนถึงหลักร้อยได้ แต่มีผีอยู่แค่สอง ปริมาณผีคงจะต่ำกว่าสองเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เปอร์เซ็นต์ผีในรถมีถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องน่ากลัวกว่าบนรถไฟฟ้าใต้ดินสิ”
ใบปลิวส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา พอฉยงเหรินทุบไปหนึ่งตุ้บ ใบปลิวก็เงียบเสียงทันที
กู้เมิ่งซัง “…”
ตกลงนายกลัวอะไรกันแน่เนี่ย
มีคนที่กลัวผีโดยใช้ตรรกะได้ขนาดนี้ด้วยเหรอ กลัวตามเปอร์เซ็นต์ของผีเนี่ยนะ…กู้เมิ่งซังไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายเลย แต่ว่าเขาก็เข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่งแล้ว ที่ฉยงเหรินสามารถกดหัวเขาบนชาร์ตเพลงด้วยแฟนคลับหกแสนแปดหมื่นคนได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
อย่างที่คิด พวกศิลปินเป็นพวกเพี้ยนๆ กันทั้งนั้น เขายอมแพ้แล้ว
“แล้วเอ่อ…พี่สาวท่านนี้” ฉยงเหรินกล่าว “ผมคิดว่าการบริการประชาชนของพวกคุณย่ำแย่สุดๆ เลยครับ พวกคุณควรไปไหว้วานสถานีตำรวจหรือไม่ก็หน่วยงานในนรกมาช่วยแก้เรื่องนี้ให้นะครับ”
ปีศาจแพนด้าละอายใจมาก “ขอโทษ ช่วงนี้พวกเรายุ่งมากจริงๆ แล้วคนของพวกเราก็ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้นด้วย”
ฉยงเหรินถามอย่างอดไม่ได้ “พวกคุณมีเจ้าหน้าที่กี่คนเหรอ”
ปีศาจหมีแพนด้า “ที่จัดสรรตำแหน่งแล้วก็มีเจ็ดสิบกว่าตัว”
ฉยงเหรินถามต่อ “แล้ววันนี้พวกคุณได้รับแจ้งคดีลี้ลับกี่คดีเหรอ”
ปีศาจหมีแพนด้ากินปูนร้อนท้อง “คะ…คดีเดียวค่ะ”
ฉยงเหรินแปลกใจ “แค่คดีเดียวยังส่งคนมาน้อยแบบขอไปทีอีกเหรอครับ”
กู้เมิ่งซังเห็นคนรักในฝันของตนถูกฉยงเหรินตำหนิจนคอตกก็สุดจะกลั้น แต่สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ทุกคนอยู่บนรถคันเดียวกันหมด โดยต้องคอยดูสีหน้าของฉยงเหรินเพื่อหาทางเอาตัวรอดกันทั้งนั้น คงมีแต่ต้องอดทนแล้วล่ะคุณหนูแสนสวย
ฉยงเหรินถอนหายใจหนักๆ “มิน่าล่ะ พวกคุณถึงจัดการเรื่องนั้นกันนานขนาดนี้”
ปีศาจหมีแพนด้าพูดขอโทษอีกหลายรอบ มันเพิ่งเคยเจอผู้ชายที่เห็นหมีแพนด้าแล้วไม่รู้สึกหวั่นไหวได้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความยากลำบากของชีวิตหมีแพนด้า เพราะช่วงนี้มันยังอ้วนกลมกระปุ๊กลุกไม่พองั้นเหรอ
มันไม่ใช่สัตว์ที่น่ารักที่สุดในโลกเหรอ
หลังจากเรื่องของหรงเจิน ประกอบกับคำโฆษณาที่เมิ่งเชียนซานคุยโวไปทั่ว ฉยงเหรินจึงเริ่มมีชื่อเสียงเล็กๆ ภายในเมืองหลงเฉิงแล้ว ท่านหยางหลิงคิดว่าฉยงเหรินมีความสามารถ แถมโหงวเฮ้งยังสุจริตเที่ยงธรรม เหมาะกับการชักชวนให้มาเข้าร่วมกองตรวจการพิเศษเพื่อบริการประชาชน
ได้ยินว่าฉยงเหรินมีคนรู้จักที่เป็นยอดฝีมืออยู่ด้วย ถ้าดึงดูดยอดฝีมือคนนั้นมาได้ก็คงดีมาก นอกจากนี้ท่านพญายมก็เหมือนจะรู้จักมักจี่กับฉยงเหรินอยู่เล็กน้อยอีก
ดังนั้นพอได้รับแจ้งความจากฉยงเหริน ก็เลยตั้งใจส่งปีศาจหมีแพนด้ามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ปีศาจหมีแพนด้าร้องทุกข์อย่างไร้ที่พึ่งอยู่ในใจ หยางต้าซือ ฉันขอโทษ ฉันทำแผนของต้าซือพังแล้ว ท่านให้ฉันใช้ความน่ารักของหมีแพนด้ามาละลายหัวใจคุณฉยงเหริน ล่อให้คุณฉยงเหรินมาเข้าร่วมกองตรวจการพิเศษ แต่ฉันทำพังแล้ว เขาเป็นสายพันธุ์ประหลาดประเภทไม่ชอบหมีแพนด้า
กู้เมิ่งซังเห็นเธอห่อเหี่ยว ก็รีบเข้าไปเอ่ยแนะนำตัวเองแทบจะเดี๋ยวนั้น “คุณหนูสุดสวยครับ ผมชื่อกู้เมิ่งซัง ขอผมทราบชื่อของคุณได้ไหม”
ปีศาจหมีแพนด้ากลั้นน้ำตาสุดความสามารถเพื่อจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุทางถนน “สยงเหมียวค่ะ”
กู้เมิ่งซัง “เพราะมาก!”
สยงเหมียวกำชับเขา “ช่วงนี้คุณดวงตก ก็เลยมองเห็นวิญญาณ กลับไปแล้วอย่าลืมไปไหว้สักการะในวัดในศาลบ้างนะ จะเป็นเทพองค์ไหนก็ได้ ถ้าไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดเต๋าได้ก็จะปลอดภัยกว่านิดหน่อย”
กู้เมิ่งซังรีบกล่าวขอบคุณ แล้วถือโอกาสนี้ขอเบอร์โทร แต่ก็ถูกสยงเหมียวปฏิเสธ
แล้วฉยงเหรินก็เข้าใจทุกอย่าง เขาทุบกำปั้นกับฝ่ามือหนึ่งที “ที่แท้ก็คุณนี่เอง ว่าละผมรู้สึกคุ้นหน้ามาก”
ถ้าถามว่าประโยคไหนทำให้กู้เมิ่งซังหัวใจแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดีได้ คำตอบก็น่าจะเป็นประโยคนี้นี่แหละ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉยงเหรินจำเขาไม่ได้
เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองจำฉยงเหรินได้จากท่าเดิน ผมหยิกๆ ไฝใต้ตา แล้วก็หุ่น เขาก็รู้สึกอับอายจนอยากกระโดดลงจากรถเดี๋ยวนี้
สยงเหมียวอธิบายกับฉยงเหริน เพราะว่าเงินเดือนในกองตรวจการพิเศษน้อย เลยไม่ค่อยมีคนเข้ามาสมัครงานด้วย สองปีมานี้เพิ่งจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รับงานส่วนตัวได้อย่างเปิดเผย จำนวนคนสมัครงานถึงเพิ่มขึ้นมาบ้าง แล้วคนที่สมัครเข้ามาต่างก็อยากได้สิทธิห้าประกันหนึ่งกองทุนกับสวัสดิการดูแลค่ารักษาพยาบาลจากการทำงานทั้งนั้น เพราะยังไงงานนี้ก็อันตรายมาก ใครๆ ก็อยากหางานมารองรับชีวิตสักงาน
แต่ปัญหาที่ตามมาจากการอนุญาตให้รับงานนอกได้คือเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เอาแต่ยุ่งกับการหาเงิน ไม่มีใครอยู่รักษาการณ์และคอยจัดการงานที่กองตรวจการพิเศษควรทำ
พวกเขาไม่ได้เพิ่งมีคนไม่พอแค่วันสองวัน คนที่เก่งๆ ก็ควบคุมยาก คนธรรมดาก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้
ฉยงเหรินแนะนำขึ้นมาทันที “พวกคุณควรคิดให้กว้างกว่านี้”
สยงเหมียว “คิดให้กว้างยังไงคะ”
ฉยงเหริน “คราวก่อนเพื่อนข้างห้องผมท่องบทไล่ลูกเห็บระยะไกลได้ผลชะงัดมาก พวกคุณก็อย่าเอาแต่จำกัดตัวเองอยู่กับวิธีการเก่าๆ ลองคิดค้นวิธีการใหม่ๆ ดูสิครับ อย่างเช่น สลักยันต์หรือมนตร์ลงไปบนกระสุนยาง เจอผีที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่ต้องไปนั่งท่องมนตร์หน้างาน ยิงกระสุนไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าใช้วิธีนี้ได้ พวกคุณก็ไม่จำเป็นต้องหาเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศหรอก แค่ฝึกยิงปืนกับการต่อสู้ก็ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผีส่วนใหญ่ก่อนตายก็เป็นคนธรรมดาทั้งนั้น อยากจะทำร้ายคนก็ต้องอาศัยวิธีการของยมโลก เวลาต่อสู้จริงๆ พลังของพวกเขาอ่อนแอมาก”
สยงเหมียวได้ฟังก็อึ้ง “แบบนี้ก็ได้เหรอ”
ฉยงเหริน “เพื่อนข้างบ้านผมท่องมนตร์ผ่านวิดีโอคอลล์แล้วยังได้ผลเลย แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ พวกคุณก็ลองดูกันก่อนสิ ยังไงทุกปัญหาก็ต้องมีวิธีแก้อยู่แล้ว”
สยงเหมียวฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ส่วนเพื่อนข้างห้องก็กำลังตรวจดูรูปที่อยู่อาศัยกับคลิปสถานที่จริงที่ทางสำนักงานประจำแดนหยางเสนอมาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
“เลขาฯ หนาน ช่วยฉันดูหน่อยว่าคนเป็นน่าจะชอบแบบบ้านหลังไหนมากกว่ากัน”
เลขาฯ หนานไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำสั่งได้ เธอดูขนาดเนื้อที่ก่อน จากนั้นก็ต้องสูดลมหายใจเย็นเฉียบ “ฉันว่ามันไม่สำคัญหรอกค่ะ ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ท่านมอบให้ อีกฝ่ายจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอนค่ะ”
ต่อให้ไม่ชอบ ใครจะกล้าเรื่องมากกับบ้านหลังใหญ่ที่มีประตูทางเข้าห้าชั้นและมาพร้อมสวนดอกไม้กับสระบัวกันล่ะ
ในฐานะที่เป็นเลขาฯ ของท่านพญายมและเป็นแฟนคลับของฉยงเหริน ตอนนี้จิตใจของเลขาฯ หนานสับสนงุนงงสุดๆ
มีความรู้สึกเหมือนส่งลูกชายออกเรือนพร้อมกันทีเดียวสองคนอย่างนั้นแหละ
ฉยงเหรินแทบไม่เหลือความเชื่อมั่นในกองตรวจการพิเศษแล้ว แทนที่จะรอพวกเขามาสะสางคดีอย่างเชื่องช้า สู้ให้เขาจัดการเองดีกว่า
เขายกใบปลิวขึ้นมาแล้วเริ่มข่มขู่ “คืออย่างงี้นะ นิสัยของผมเป็นยังไง เชื่อว่าคุณก็พอจะรู้เบื้องต้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้คุณมีทางเลือกอยู่สามทาง”
ปีศาจหมีแพนด้าอดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณฉยง ขั้นตอนการสอบปากคำฉบับสมบูรณ์ของพวกเราจำเป็นจะต้องมีการกล่าวเตือนเขาก่อนนะ”
ฉยงเหริน “อื้อๆ โอเค ผมขอเตือนคุณ ถ้าคำตอบของคุณทำให้ผมพึงพอใจไม่ได้ ผมจะจับคุณฉีกทีละแผ่นๆ”
หลังจากที่ใบปลิวถูกเขาทุบจนร้องไห้ไป มันก็เสียงแหบแห้งเล็กน้อย ถามด้วยเสียงแหบพร่าสั่นเครือว่า “ฉันมีทะ…ทางเลือกอะไรบ้าง”
ฉยงเหริน “หนึ่ง สารภาพออกมาตามตรง แล้วถูกผมต่อยหนึ่งที สอง ไม่สารภาพออกมาตามตรง แล้วถูกผมต่อยหนึ่งที และสาม ถูกผมต่อยหนึ่งที แล้วสารภาพออกมาตามตรง”
พูดจบ เขาก็ทำวางมาด เอามือวางประสานกันบนหัวเข่า ท่าทางเยือกเย็นและสง่างาม “เลือกเลยครับ”
ปีศาจหมีแพนด้ายังคงรักษาขั้นตอนการสอบปากคำของกองตรวจการพิเศษ “ฉันคิดว่าพวกเราควรเอาตัวเขากลับไปที่หน่วยก่อน”
ใบปลิวสั่นกระดาษระริก “…สามตัวเลือกนี่มีอะไรต่างกันตรงไหนบ้าง”
“แน่นอนว่ามี” ฉยงเหรินกล่าว “ความแรงในการถูกต่อยไม่เหมือนกัน ผมแนะนำให้คุณเลือกข้อสาม”
ถ้าใบปลิวมีศีรษะ มันคงส่ายหัวเป็นกลองป๋องแป๋งแน่นอน เมื่อเห็นฝ่ามือแสนน่ากลัวของฉยงเหรินยื่นเข้ามา มันก็ตะโกนเสียงดัง “ฉันเลือกข้อหนึ่ง!”
ฉยงเหรินดึงมือกลับ มุมปากยกขึ้น “สารภาพมาสิครับ”
ใบปลิวกล่าว “ฉันถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ชายหน้าบากคนหนึ่ง”
ผู้ชายหน้าบากงั้นเหรอ
ฉยงเหรินนึกถึงตอนที่กองตรวจการพิเศษโทรหาเขาครั้งที่แล้ว ตอนที่ทางนั้นบอกเขาว่าจัดการเรื่องของฟู่จยาเจ๋อเสร็จแล้ว พวกเขายังถามเจาะจงด้วยว่าเคยเจอผู้ชายหน้าบากมาก่อนหรือเปล่า
กองตรวจการพิเศษบอกว่าผู้ชายหน้าบากคนนี้ช่วยสร้างยันต์พลิกดวงชะตาให้ฟู่จยาเจ๋อ แล้วยังเป็นคนที่บอกให้ฟู่จยาเจ๋อเอาหนังสือทำพิธีพลิกดวงไปวางไว้ในโรงแรม ล่อลวงให้ชิงเหิงเรียนตามหนังสือเล่มนั้น
ฟังดูเหมือนจะเป็นคนเดียวกัน นอกจากเอกลักษณ์อย่างแผลเป็นบนหน้าแล้ว รูปแบบการเผยแพร่โฆษณาตามที่ต่างๆ ก็เหมือนมากเช่นกัน
ฉยงเหรินหันไปหากู้เมิ่งซัง “มีเรื่องบางเรื่องที่คุณไม่ควรได้ยิน คุณอยากลงรถหรือว่าอยาก…”
กู้เมิ่งซัง “อย่าตีฉันสลบนะ!”
ฉยงเหรินหยิบที่อุดหูสองข้างขึ้นมา “…ใส่ที่อุดหู”
กู้เมิ่งซังหัวเราะแห้ง “ปัดโธ่เอ๊ย เข้าใจผิดหรอกเหรอเนี่ย งั้นฉันใส่ที่อุดหูแล้วกันนะ”
เขาใส่ที่อุดหูแล้วสวมเฮดโฟนทับอีกรอบ เอนหลังพิงแล้วเปิดเพลง ‘นักล่าแสง’ อย่างสงบเสงี่ยม ฉยงเหรินได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากหูฟังเป็นเพลงของตัวเองก็แอบดีใจ ที่แท้เพื่อนร่วมอาชีพก็ชอบเพลงเขาด้วยเหมือนกัน ดูเหมือนกู้เมิ่งซังจะเป็นคนที่ไม่เลวเลย
ชื่อเดิมของใบปลิวคือหลิ่วฉวนตัน หลังจากเขาตายก็ไม่อยากไปเกิดใหม่ เพราะความอาลัยอาวรณ์โลกของเขา จึงกลายมาเป็นผีเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตรลอยละลิ่วไปทั่ว
ผีเร่ร่อนไร้ญาติมิตรส่วนใหญ่ต่างก็เอ้อระเหยอยู่ไปวันๆ ไม่ทำอะไร ในหนึ่งปีก็ไปหาของกินแค่ช่วงเทศกาลเชงเม้งกับตรุษจีน ถ้าเกิดคนในครอบครัวไม่ถือธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่คอยเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็จะไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว มีแต่ต้องไปสถานที่ที่จะมีการจัดพิธีทำบุญช่วยเหลือวิญญาณไร้ญาติอย่างวัดหรือศาลเจ้า กินข้าวให้เสร็จก่อน จากนั้นก็รีบชิ่งหนีไปก่อนที่คนเขาจะสวดส่งวิญญาณ
มีครั้งหนึ่งเขาหิวเกินไปจนรู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว หมายมั่นว่าจะลงไปเกิดใหม่ในนรก ทว่าระหว่างทางกลับเจอคนใจดีมาเซ่นไหว้ของกินให้วิญญาณไร้ญาติเสียก่อน ของที่นำมาเซ่นไหว้ก็ดีมาก แล้วยังจุดธูปเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ด้วย
หลิ่วฉวนตันเข้าไปสวาปามอย่างเต็มเหนี่ยว จากนั้นก็หมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็กลายเป็นกองใบปลิวอยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดินไปแล้ว
จากนั้นชายที่สวมเสื้อกล้ามก็เก็บเขาได้ พวกเขาสองคนจึงเริ่มแจกใบปลิวในรถไฟฟ้าใต้ดิน
ตั้งแต่เขากลายเป็นใบปลิว ก็รู้สึกอย่างชัดเจนมากว่าตนเหมือนจะกลายเป็นหัวหน้าทีมแชร์ลูกโซ่ไปแล้ว ทุกครั้งที่ใบปลิวส่งถึงมือคนอื่นแล้วอาคมเกิดผล เขาก็จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่ รู้สึกได้ว่าตัวเองเก่งกล้าขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากใบปลิวถูกแจกออกไปหมด และคนที่ได้รับใบปลิวเห็นหนังสือเล่มเล็กนั้นด้วย เขาก็จะได้รับอิสระอีกครั้ง
ฉยงเหรินถามผีเสื้อกล้าม “เรื่องจริงเป็นอย่างที่เขาบอกหรือเปล่า”
ผีเสื้อกล้ามกลอกตาไปมา “ประมาณนั้นมั้ง”
* พลาสเตอร์หนังสุนัข อุปมาถึงสิ่งที่ตบตา หลอกลวงคน
บทที่ 31
คำพูดผีเชื่อไม่ได้จริงๆ
ชายหน้าบากพอลงมือก็ใช้อาคมพลิกดวงชะตา ถ้าหากอาคมบนตัวใบปลิวเป็นแผนการของเขาจริงๆ ยังไงก็ไม่น่ามีมนตร์ไร้สาระที่ต้องถามถึง 287 ครั้งจึงจะสิงร่างได้สิ
ระดับความร้ายกาจแบบนี้ทำให้จากลาสต์บอสกลายเป็นตัวเบี้ยไอคิวต่ำที่มีไว้ให้ตัวเอกตบหน้าโดยเฉพาะทันทีเลยนะ
ในนามเจ้าหน้าที่กองตรวจการพิเศษอาวุโส สยงเหมียวสัมผัสได้ทันทีว่าใบปลิวกับชายใส่เสื้อกล้ามพูดเรื่องจริงหรือเปล่า ขณะที่เธอกำลังจะแสดงฝีมือให้ฉยงเหรินได้เห็นความสามารถในการสอบปากคำของกองตรวจการพิเศษ ก็เห็นฉยงเหรินหยิบใบปลิวขึ้นมา ไม่มัวรีรอ ฉีกกระดาษขาดดังแควกๆๆ
ใบปลิวตัวบิดงออย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดออกมา
“นายมันไม่ปกติ! นายฉีกกระดาษแผ่นนี้ได้ยังไง” ผีเสื้อกล้ามถอยหลังกรูดอย่างหวาดผวา เขาคิดจะหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพราะไร้ที่พึ่ง แต่ซ้ายขวาหน้าหลังของเขาถ้าไม่ใช่คนที่มาจับเขา ก็อ่อนแอเสียยิ่งกว่าเขา เขาจึงได้แต่ต้องหาทางเอาตัวรอด โผเข้าไปกอดชายหน้าม้าไว้ดีกว่าไม่มีที่ให้หลบเลย
ฉยงเหรินคิดในใจ เพิ่งจะรู้เหรอว่าผมไม่ปกติ เคยเห็นคนอื่นต่อยผีด้วยมือเปล่าเหรอ อย่าว่าแต่นายไม่เคยเจอเลย แม้แต่ท่านพญายมก็ไม่เคยเจอเถอะ
สมองเจ้าผีตนนี้ไม่ไหวเอาซะเล้ย
“อย่าทรมานฉันอีกเลยนะ ฉันยอมพูดแล้ว!” ใบปลิวกล่าวพลางร้องห่มร้องไห้
ฉยงเหรินไม่พอใจสุดๆ “ผมไม่ได้ทรมานสักหน่อย เขาเรียกว่าลงโทษอย่างยุติธรรมต่างหาก”
หลิ่วฉวนตันมองออกว่าฉยงเหรินปั่นหัวยากมากจริงๆ แถมเขายังไม่อ้อมค้อมอีก ลงมือจัดการทันทีทันใดด้วย มันจึงมีแต่ต้องพูดความจริง
ที่เขาบอกกับฉยงเหรินไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องโกหกไปเสียทั้งหมด หนังสือเล่มเล็กกับใบปลิวเป็นของที่ชายหน้าบากสร้างขึ้นมา และที่ไม่สามารถออกไปจากรถไฟฟ้าใต้ดินได้ก็เป็นเพราะชายหน้าบากเป็นคนกำหนดไว้ แต่เนื้อหาบนใบปลิวเขาเป็นคนคิดมันขึ้นมาเอง
เป้าหมายคืออยากหาที่พักพิงให้วิญญาณน่าสงสารดวงอื่นๆ ให้พวกเขาสามารถกลับมายังโลกคนเป็นได้อีกครั้ง
ฉยงเหรินได้ฟังก็หมดคำจะพูด “อย่าพูดเอาดีเข้าตัวหน่อยเลย ผมรู้ว่าคุณคือใคร”
เขาโชว์หน้าเสิร์ชบนโทรศัพท์ให้ใบปลิวดู
หลิ่วฉวนตันเป็นคนเมืองหยางเฉิง มาที่เมืองหลงเฉิงเมื่อสิบปีก่อน เพราะเขาติดเหล้าติดพนัน ทั้งยังก่อกรรมทำชั่ว ภรรยาจึงขอหย่ากับเขา หอบลูกกลับบ้านพ่อแม่ไป
เพื่อแก้แค้นอดีตภรรยา เขาจึงบุกเข้าบ้านอดีตภรรยายามวิกาล คิดจะฆ่าทุกคนรวมทั้งลูกชายแท้ๆ ของตัวเองด้วย
โชคดีที่วันนั้นมีคนที่เขาไม่ได้คาดการณ์ไว้อยู่ที่นั่นด้วย
พ่อตาเคยเป็นทหารมาก่อน และมีเพื่อนร่วมรบคนหนึ่งที่ประจำอยู่ในกองทัพมาเยี่ยมเขา และคืนนั้นเขานอนในห้องนอนแขกพอดี หลิ่วฉวนตันบุกเข้ามาทางหน้าต่างหลังบ้าน นายทหารรุ่นเก๋าตื่นตัวกลางดึก ตัดสินใจลุกขึ้นออกไปจับตัวโจรทันที และคว้าเอาเก้าอี้ในห้องครัวตัวหนึ่งมาเป็นอาวุธป้องกันตัว
หลิ่วฉวนตันเห็นนายทหารรุ่นเก๋า ก็นึกว่าเป็นคนรักใหม่ของอดีตภรรยา เขาเที่ยวซ่องได้ แต่อดีตภรรยาห้ามมีผู้ชายคนอื่น แม้ว่าจะหย่าร้างกับเขาแล้วก็ตาม
จิตสังหารของเขาพลุ่งพล่านทันที อยากจะฆ่านายทหารคนนั้นด้วย แต่นายทหารเคยผ่านศึกมาแล้วหลายครั้ง คนที่จิตใจคิดแต่เรื่องผู้หญิงกับเหล้าอย่างเขาจะเทียบชั้นได้ยังไง
หลิ่วฉวนตันฟันมีดพร้าลงไป นายทหารรุ่นเก๋ายกเก้าอี้ขึ้นมากัน มีดพร้าก็ติดแหง็กอยู่กับเก้าอี้ หลิ่วฉวนตันจะดึงมีดออก แต่เขาออกแรงมากเกินไป เมื่อดึงออกมาได้สันมีดพร้าก็เหวี่ยงมาโดนหว่างคิ้วของตัวเอง มันฝังเข้าไปในหัวสองเซนติเมตร เขาหงายหลังล้มลง หัวไปกระแทกกับโต๊ะหินอ่อนจนตายคาที่ทันที
เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างของคำว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง
เพราะอดีตภรรยาเลี้ยงแมวด้วย จึงติดตั้งกล้องส่องแมวไว้ในบ้านสองสามตัว โชคดีที่ถ่ายติดภาพตอนที่เขาบุกเข้ามาเอามีดปักหัวตัวเองไว้ได้ทั้งหมด
สิ่งที่นายทหารทำเป็นการป้องกันตัวเองอย่างสมเหตุสมผล ทั้งยังยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง จึงได้รับเหรียญรางวัล อดีตภรรยาเองไม่นานก็ลืมความเจ็บปวดที่ได้รับจากเขา และพบเจอกับความสุขครั้งใหม่
คนอย่างหลิ่วฉวนตันเลวเกินเยียวยา คนอย่างเขาเนี่ยนะจะมีแก่ใจอยากช่วยเหลือวิญญาณดวงอื่นกลับสู่โลกคนเป็น
ฉยงเหริน “ถึงอาคมพวกนั้นของคุณจะเป็นขยะ แต่ก็สามารถผูกมัดวิญญาณไว้บนรถไฟฟ้าใต้ดินได้จริงๆ คุณไม่ได้คิดจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเลยสักนิด แล้วก็ไม่ได้คิดจะช่วยพวกเขาหาตัวตายตัวแทนด้วย คุณแค่อยากเอาวิธีการหาตัวตายตัวแทนมาใช้เป็นกลอุบายเพื่อตัดวงจรวัฏสงสารของพวกเขา ผมพูดถูกหรือเปล่า”
หลิ่วฉวนตันไม่คิดว่าจะถูกฉยงเหรินอ่านทะลุขนาดนี้ เขาคิดจะเล่นลิ้น แต่ทันทีที่เห็นฉยงเหรินเริ่มชูกำปั้น เขาก็เปลี่ยนคำพูดทันที “คุณพูดถูกแล้วครับ คุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่กระผมเคยเจอมาเลยครับ”
สยงเหมียวถึงกับเหม่อ ถึงแม้กองตรวจการพิเศษจะมีคำพูดติดปากว่า ‘คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเงียบ หากคุณไม่พูด เราจะป้อนยาสารภาพความจริงให้คุณ’ แต่วิธีการสอบปากคำด้วยความรุนแรงแบบฉยงเหรินก็เป็นอะไรที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อนเลยจริงๆ
ไม่มีทางก๊อปปี้ได้เช่นกัน
สยงเหมียวมาส่งฉยงเหรินถึงกองถ่าย ตลอดการเดินทางครั้งนี้ มันรู้สึกเหมือนตัวเองเลเวลอัพแล้ว มันได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก
มันอยากกลับไปถกเรื่องวิธีการทำงานแบบใหม่กับเพื่อนร่วมงานเดี๋ยวนั้น ฉยงเหรินเขาเป็นแค่ประชาชนธรรมดา ไม่รับเงินก็ยังจับผีได้ แล้วพวกเขามีเหตุผลอะไรที่จะไม่ขยันทำงานด้วย
ผีทั้งสามตนถูกสยงเหมียวพาตัวกลับไป หลังจากให้การชัดเจนแล้ว ก็ค่อยให้ยมทูตมารับตัวไปส่งพิจารณาความผิดที่ยมโลก
กู้เมิ่งซังหลังจากลงรถแล้วก็รู้สึกสับสนงงงวยไปหมด เขาเป็นใคร เขาอยู่ที่ไหน ทำไมสยงเหมียวไม่ไปส่งเขาที่สตูดิโอถ่ายรูปบ้าง เป็นประชาชนเหมือนกัน ทำไมถึงปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน
ฉยงเหรินเห็นร่างของเหยียนโม่ เพื่อนข้างห้องของเขาขี้กังวลจริงๆ ผีพวกนั้นอ่อนแอไม่มีใครเกิน ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เลยสักนิด
“คุณมาได้ไงครับ”
เหยียนโม่ “ห่วงว่าเธอจะกลัว”
กู้เมิ่งซังตะลึงกับความหล่อของเหยียนโม่จนหกล้มหกคะเมน จากนั้นก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อกี้คุณว่าใครกลัวนะ ฉยงเหรินน่ะเหรอกลัว พวกคุณสองคนช่วยเข้าใจสถานการณ์กันหน่อยได้ไหม ฉยงเหรินต่างหากที่ทำให้ผีกลัว เข้าใจไหม
ฉยงเหรินชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ทำมือบอกว่าเล็กน้อย “กลัวนิดๆ ครับ แต่ก็พอไหว คงเป็นเพราะเปลี่ยนทีวีใหม่ ฝึกพิเศษเลยได้ผลดีกว่าเดิมล่ะมั้งครับ”
เหยียนโม่ได้ฟังก็ทอดถอนใจอยู่ในใจ
น่ารักมาก
ถึงฉยงเหรินจะไม่กลัวเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ชอบความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกขนชันแบบนี้อยู่ดี “ขอแตะหน่อยได้ไหม”
เหยียนโม่พยักหน้า ฉยงเหรินก็แตะหลังมือเขาเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มพร้อมพูด “ตอนนี้ไม่รู้สึกกลัวแล้วครับ”
เหยียนโม่อดถอนหายใจไม่ได้
น่ารักจัง
ฉุดเขากลับยมโลกตอนนี้เลยได้ไหม ไม่ปล่อยเขาออกมาตลอดชีวิตเลยได้หรือเปล่า
เขาเอามือไว้ข้างหลัง ควบกลั่นกลีบดอกบัวขนาดเท่าข้อนิ้วออกมากลีบหนึ่ง มันมีสีแดงเข้ม และสัมผัสร้อนกรุ่น ราวกับสลักขึ้นมาจากพลอยทับทิมทั้งชิ้น
เหยียนโม่วางกลีบดอกบัวไว้บนฝ่ามือของฉยงเหริน “แค่พกมันติดตัวไว้ จากนี้เธอก็จะไม่กลัวอีกต่อไป”
‘ฉยงเหรินปรากฏตัวในกอง ‘พัดดอกท้อ’ ยันบทหมิงเฉินตกเป็นของฉยงเหรินแน่นอน นี่จะเป็นไอดอลที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงอีกคนหรือไม่’
ฉยงเหรินตื่นมาแต่เช้า ก็เจอคนแชร์ลิงก์ข่าวนี้มา
ในใจเขาดีใจครึ่งกลุ้มครึ่ง
ที่ดีใจเพราะไม่นึกว่าจะมีคนโพสต์ข่าวของเขา เพราะนี่สามารถบอกได้ว่าเขาเริ่มมีชื่อเสียงเล็กๆ แล้ว ที่กลุ้มก็เพราะกลัวกองถ่ายจะยื่นกิ่งมะกอก* มาให้เขามากกว่าเดิม
เขาแสดงหนังไม่เป็นจริงๆ ถึงจะอยากใช้ทางลัดโดยการเอาผลงานภาพยนตร์มาส่งเสริมงานไอดอล แต่ก็กลัวว่ามันจะให้ผลตรงกันข้าม
ต้องโทษที่ตอนเขาไปถ่ายบทของหมิงเฉิน จางเฮ่าเอ่ยปากชมเขาเสียยกใหญ่ จนทำให้คนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าเขามีความสามารถในการแสดงจริงๆ
ในบทหมิงเฉินจะได้ยินข่าวว่านิตยสาร ‘Today Music’ ฉบับที่ตัวเองขึ้นปกให้นั้นขายไปได้แล้วหลายแสนเล่ม โดยเขาก็ไม่ได้ลำพองแต่ก็ไม่ได้ถ่อมตัวเกินไป เพียงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า ‘ไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าไหร่’
จางเฮ่าคิดว่ามู้ดอารมณ์ของบทพูดนี้แสดงออกมาได้ยากมาก แต่ฉยงเหรินกลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างตรงจุด ทั้งยังลงตัวด้วย
จากเฮ่ารู้สึกเซอร์ไพรส์มาก เอ่ยชมเขาไม่หยุดปาก สำหรับผู้กำกับที่บอกให้ถ่ายฉากเดียวกันหลายๆ ร้อยเทค แต่สุดท้ายก็เลือกหยิบเทคแรกมาใช้อย่างเขาแล้ว ระดับความพึงพอใจที่เขามีต่อฉยงเหรินสูงจนน่าตกใจ
แต่สำหรับฉยงเหริน เขาก็แค่นึกย้อนไปถึงอารมณ์ตอนที่ตัวเองรู้ข่าวว่า ‘รวมเรื่องเครื่องทรมาน’ มียอดขายถึงสิบสองล้านเล่ม จากนั้นก็แสดงออกมาจากประสบการณ์จริงเท่านั้น
เฮ้อ ขนาดเฉินรุ่ยเจ๋อก็ยังคอยมาตะล่อมให้เขาผันตัวไปเป็นนักแสดงทุกวี่ทุกวัน ทำไมถึงรู้สึกว่าอธิบายไปก็ไม่เข้าใจกันนะ
แต่ช่วงนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลย อย่างแรก เถิงเฟยวิดีโอทำงานได้ดี จำนวนคนออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างคงที่
สารคดีที่เขาเลือกส่วนใหญ่ล้วนเป็นสารคดีสัตว์โลกน่ารัก สารคดีอาหารเลิศรส รวมไปถึงสารคดีเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่น อบอุ่นหัวใจสุดๆ
ได้ยินว่าแม้แต่ฉินก่วงหวังก็ยังไม่สามารถหนีมนตร์เสน่ห์ของวิดีโอสัตว์เลี้ยงน่ารักได้ และกำลังวางแผนจะซื้อตุ๊กตาผ้ามาไว้สักตัว
เว็บไซต์ของเขามีคนเสนอขอซื้อพื้นที่โฆษณาเป็นครั้งแรก แต่ไม่นึกเลยว่าจะไม่ได้มาจากซ่งตี้หวังหรือท่านพญายม ทว่าเป็นฉู่เจียงหวัง
ฉู่เจียงหวังก็อยากได้รางวัลยมราชยอดเยี่ยมเช่นกัน เขาถือโอกาสตอนที่เพลงกับคลิปโปรโมตของซ่งตี้หวังยังไม่ได้อัพโหลด รีบถ่ายคลิปโปรโมตตัวเองและชิงร่วมงานกับเถิงเฟยก่อน
คลิปโฆษณาสามารถกดข้ามได้ แต่ถ้าหากดูครบ 18 วินาที เว็บไซต์ก็จะได้รับเหรียญนรกหนึ่งเหมา*
ถึงแม้ว่าตอนนี้รายรับของเว็บไซต์จะยังห่างไกลจากรายจ่ายมาก แต่เมื่อเห็นคอมเมนต์ของพลเมืองในยมโลกที่กรี๊ดกร๊าดกับหมาแมวและกระต่ายอย่างมีความสุข ทั้งยังน้ำลายไหลกับภาพอาหารต่างๆ ฉยงเหรินก็รู้สึกว่าเงินทุกไคว่ที่ขาดทุนไปนั้นคุ้มค่าแล้ว
และในเว็บบอร์ดเรื่องผีเมืองหลงเฉิง คลับฉยงเหริน ชาวเน็ตเองก็พากันถกประเด็นกันอย่างเร่าร้อน
[ช่วงนี้เจ้าหนูของฉันทำอะไรแผลงๆ อีกแล้วใช่เปล่า เมื่อคืนฉันฝันว่าปู่ขอให้ฉันเผาแมวสองตัวไปให้เขา แถมบอกว่าอยากกินบะหมี่เนื้อวัวด้วย]
[ทำไมพอมีคนมาเข้าฝันก็โบ้ยให้ฉยงเหรินตลอดเลยล่ะ แต่เอาเถอะ ฉันก็คิดว่าเป็นฝีมือเขาเหมือนกัน ป้าฉันบอกว่าอยากได้หมาอลาสกัน พวกคุณรู้จักคนที่ทำอลาสกันกงเต๊กได้บ้างไหม]
[ฉันเสิร์ชดูในเน็ตแล้ว หาซื้อซามอยด์กระดาษไม่ได้เลยซื้อกระดาษมานั่งทำเอง (หมากระดาษ.JPG)]
[คุ้นชื่อไอดีคห. บนมาก คุณใช่พี่สาวที่เจอฉยงเหรินจับผีบนรถไฟฟ้าใต้ดินสองครั้งหรือเปล่า]
[ใช่ ฉันเอง]
[ฮ่าๆๆๆ ตลกเป็นบ้า ไม่กี่วันก่อนฉยงเหรินจับผีสองตนบนรถไฟฟ้าใต้ดิน เขาคงคิดว่าตัวเองปิดเรื่องนี้มิด ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเขาแน่เลย จริงๆ วันนั้นสาวๆ ในคลับฉยงเหรินนัดไปกินเลี้ยงกัน พวกเราก็ได้ดูการจับผีบนรถไฟฟ้าใต้ดินของเขาตลอดทางเลย]
[จริงอะ อิจฉา อยากย้อนเวลาได้ชะมัด ฉันก็อยากเห็นเจ้าหนูจับผีบ้าง]
[ฉันก็อยู่ในเหตุการณ์นะ คลับฉยงเหรินของพวกเรามีพี่สาวคนหนึ่งที่มีดวงตาหยินหยาง เธอบอกว่าฉยงเหรินต่อยผีร้องไห้เลย ฉันขำแทบบ้า เจ้าหนูของฉันโหดจริงๆ]
[เขาคิดว่าแค่ปิดหน้าใส่หมวกพวกเราก็จำไม่ได้แล้วสินะ ขำมาก ต่อให้เขาพันตัวเป็นมัมมี่ฉันก็มองสัดส่วนรูปร่างเขาออกน่า พวกเราก็แค่อยากชมการแสดงของเขาเงียบๆ หรอก]
[นั่นสิ อ่านที่พี่สาวพิมพ์รายงานสถานการณ์สดๆ ในกระทู้ตลอด ต่อให้เจ้าหนูแค่เหวี่ยงหมัดใส่อากาศเฉยๆ ก็ยังน่ารัก ฮือๆๆ กำอุ้งมือน้อยๆ แน่นมาก อยากหยุม]
[คห. บนตื่นจ้า เจ้าหนูของเธอได้สมญานามว่าฉยงหมัดเหล็กแล้วเหอะ อย่ามโนเอาเองว่าเป็นอุ้งมือแมวน้อยๆ ได้ป้ะ]
[อุ้งมือแมว! หูแมว! ลูกแมว! อร๊าย ฉันสิ้นแล้ว]
[ออกทะเลแล้ว ฉันขอถามหน่อย ที่ไหนมีแบบทำกระดาษกงเต๊กรูปแมวบ้าง ขอด่วน]
เว็บบอร์ดเรื่องผีเมืองหลงเฉิงเป็นหนึ่งในเว็บบอร์ดเรื่องลี้ลับที่ใหญ่ที่สุด ไม่กี่เดือนก่อนเพราะเรื่องฮอตเสิร์ชของฉยงเหริน ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเร่าร้อนสุดๆ เพราะเหตุการณ์นี้จึงมีคนตกหลุมรักฉยงเหรินเยอะมาก เจ้าของเว็บบอร์ดจึงสร้างห้องคลับของฉยงเหรินแยกออกมา
นับว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของคนดังอันดับต้นๆ
กู้เมิ่งซังติดการไถกระทู้เว็บบอร์ดทุกครั้งก่อนนอน เมื่อเห็นกระทู้ในห้องแยก ก็อดปวดใจไม่ได้
ที่แท้บนรถไฟฟ้าใต้ดินแสนเงียบเชียบวันนั้นก็มีคนตั้งเยอะแยะแอบจับตามองพวกเขาอยู่ แถมคนพวกนี้ก็ไม่มีใครจำเขาได้เลยสักคน
บัดซบเอ๊ย! กู้เมิ่งซังเซ็งจนนอนไม่หลับ กดเปิดเพลง ‘นักล่าแสง’ เงียบๆ กล่อมเข้านอน
“ทาดา ทาดา ทา ทาดาดาดา”
อ๊ากกก แล้วทำไมต้องไปฟังเพลงคู่แข่งที่เอาชนะตัวเองได้ก่อนนอนด้วยเล่า!!
อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเขาแพ้ราบคาบไม่เหลือชิ้นดีเลยสิ
กู้เมิ่งซังร้องไห้น้ำตานองเปียกชื้นไปถึงจอนผม แล้วก็หลับปุ๋ยไปทั้งน้ำตา
วันรุ่งขึ้น กู้เมิ่งซังก็ได้รับตารางงานที่ผู้จัดการส่งมาให้ แล้วก็ประหม่าอยู่คนเดียวเงียบๆ
“ทำไมต้องรับงานถ่ายรายการ ‘สปิริต 101’ ให้ผมล่ะ”
ผู้จัดการ “รายการของหลี่ขุยได้กระแสดีแล้วก็มีประเด็นน่าติดตามเพียบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นายอยากยืนอยู่จุดสูงสุดมาตลอดเลยนี่? ฉันว่าตัวนายยังขาดจุดขายอยู่ รูปแบบของรายการนี้แปลกใหม่มาก แล้วนายยังเคยบอกฉันด้วยว่าอยากวัดกับฉยงเหรินตรงๆ สักตั้ง ฉันเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสดี”
กู้เมิ่งซัง “…”
เขาล่ะคิดถึงตัวเขาเมื่อก่อนจริงๆ ตัวเขาที่ใสซื่อบริสุทธิ์และไม่ประสีประสา
ผู้จัดการ “ในหมู่คนที่เข้าแข่งอีพีแรก นายคือคนที่ดังที่สุด จากนั้นก็เหมียวเจ๋อเหยียนกับฉยงเหริน จำนวนแฟนคลับนายเอาชนะพวกเขาได้เห็นๆ วางใจเถอะ ความนิยมของนายต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน”
กู้เมิ่งซังวางใจไม่ลง
ผ่านไปไม่กี่วัน รายการเซอร์ไววัลแข่งร้องเต้นสุดลี้ลับและระทึกขวัญขนาดใหญ่ที่ชื่อเดิมว่า ‘เด็กฝึกลึกลับ’ ในชื่อใหม่อย่าง ‘สปิริต 101’ ก็เริ่มต้นขึ้น
ตอนที่หนึ่ง ‘บ้านสุสานกระดูก’
ฉยงเหรินกับผู้เข้าแข่งขันเก้าคนยังไม่ทันเจอหน้ากัน แต่ละคนต่างก็ถูกปิดตา แล้วพาไปยังหน้าตึกร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
* ยื่นกิ่งมะกอก หมายถึงการแสดงความเต็มใจที่จะผูกมิตรหรือสมานฉันท์
* เหมา คือค่าเงินของจีน ซึ่งมีมูลค่าน้อยกว่าหยวน โดย 10 เหมาเท่ากับ 1 หยวน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.