X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 105

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 105

วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง ราชสำนักกำลังโต้เถียงกันไม่หยุดว่าจะส่งใครไปปราบปรามวอโค่วดี ใครก็มองออกว่านี่เป็นสงครามที่ต้องคว้าชัยได้แน่นอน ดังนั้นแต่ละฝ่ายจึงแย่งชิงกันอย่างดุเดือด ใครก็อยากแบ่งน้ำแกงข้นถ้วยหนึ่ง* จากสงครามครั้งนี้ทั้งนั้น

ราชสำนักฝ่ายหน้าต่อสู้ฟาดฟันกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฮ่องเต้กลับมิได้เอนเอียงไปฝ่ายใดเป็นพิเศษ หลังเลิกประชุมยังจัดการกับหนังสือกราบทูลตามปกติ พอเหนื่อยก็ไปพักผ่อนที่ตำหนักใน วันนี้พระชายาที่ฮ่องเต้ไปหาคือเฉาตวนเฟย ฟังเหล่าขุนนางโวยวายเรื่องสงครามมาทั้งวัน ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญใจ อยากหาสถานที่ผ่อนคลายพักผ่อนกายา

เฉาตวนเฟยอ่อนโยนร่าเริง ช่างเจรจาพาที เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อย่างยิ่ง อีกทั้งองค์หญิงใหญ่ก็อายุแปดเดือนแล้ว อยู่ในช่วงวัยที่น่ารักที่สุดของทารก ฮ่องเต้แม้จะมีพระโอรสสามองค์แล้ว แต่องค์ชายเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งรัชทายาท พระชายาทั้งสามไม่ว่าเดิมทีจะมีนิสัยอย่างไร หลังจากให้กำเนิดองค์ชายล้วนเปลี่ยนเป็นคิดถึงผลประโยชน์ทุกย่างก้าว วาจาทุกคำล้วนคิดคำนวณมาเป็นอย่างดี ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ชอบไปวังของเจาเฟย คังเฟย และจิ้งเฟย ฮ่องเต้ชอบมาหยอกเย้าองค์หญิงใหญ่จูโซ่วอิงที่พระองค์สามารถรักใคร่โปรดปรานได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากกว่า

คนเก่าแก่ในวังที่มีอุบายบางคนเห็นสถานการณ์นี้แล้วขยันวิ่งมาวังของตวนเฟยมากกว่าเดิม เฉาตวนเฟยอ่อนเยาว์และเป็นที่โปรดปราน ทั้งยังมีองค์หญิงใหญ่คอยผูกใจของฮ่องเต้ การตั้งครรภ์อีกครั้งเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น

เฉาตวนเฟยอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง ร่างกายแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ครั้งหน้าอาจจะให้กำเนิดพระโอรสได้ องค์ชายสี่แม้เบื้องบนจะมีพี่ชายอยู่สามคน แต่ทุกคนล้วนมิใช่โอรสองค์โตและมิใช่โอรสสายตรง ใครจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทมิพ้นต้องดูว่ามารดาของผู้ใดเป็นที่โปรดปรานมากกว่า ในจุดนี้พระโอรสของเฉาตวนเฟยยังไม่ทันถือกำเนิดก็เป็นฝ่ายได้เปรียบไปก่อนแล้ว

คนในวังอี้คุนรับเสด็จอย่างคล่องแคล่ว เฉาตวนเฟยกับฮ่องเต้ไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่ด้วยกัน สองคนเล่นกับองค์หญิงใหญ่อยู่นาน จนกระทั่งองค์หญิงใหญ่เหนื่อยแล้วจึงถูกแม่นมอุ้มออกไป หลังจากนั้นเฉาตวนเฟยกับฮ่องเต้ก็กลับมาอยู่ด้วยกันตามลำพังในตำหนักกลาง เฉาตวนเฟยงามเฉิดฉัน อ่อนโยนยิ้มเก่ง เวลาอยู่กับฮ่องเต้มีนิสัยร่าเริงเบิกบาน มักมีเรื่องขบขันมากมายมาเล่าให้ฮ่องเต้ฟัง

ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่อายุสี่ห้าสิบ คนหนุ่มสาวที่ฮ่องเต้มีพบปะพูดคุยด้วยจึงน้อยยิ่งนัก ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ชอบสตรีที่เรียบร้อยพูดน้อย เอาแต่เงียบงัน ฮ่องเต้ฟังสภาขุนนางสั่งสอนยังไม่พออีกหรือ ด้วยเหตุนี้เองนิสัยร่าเริงรู้กาลเทศะของเฉาตวนเฟยจึงเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้อย่างมาก พระองค์ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิด แค่รับฟังอย่างผ่อนคลายก็พอแล้ว

อยู่กันตามลำพังกลางดึก ฮ่องเต้บังเกิดอารมณ์อย่างรวดเร็ว ถอดสายคาดเปลื้องอาภรณ์ร่วมคืนกับเฉาตวนเฟย หลังพิรุณพร่างพรมฮ่องเต้บรรทมอย่างอิ่มเอม เฉาตวนเฟยรอจนฮ่องเต้หลับสนิทแล้วจึงย่องลงจากเตียงไปตำหนักข้างอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์

นางกำนัลขันทีตามไปปรนนิบัติเฉาตวนเฟยชำระกาย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางกำนัลสิบกว่าคนเดินเข้ามาในตำหนักบรรทม ต่อให้มีคนเห็นก็ไม่มีใครสนใจ นางกำนัลจะเข้าไปในตำหนักบรรทมปรนนิบัติเจ้านายก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากปีนเตียงแล้วพวกนางยังจะก่อเรื่องอะไรได้

ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากเข้าใกล้เตียงในตำหนักบรรทมแล้ว นางกำนัลคนหนึ่งล้วงหยิบเชือกเส้นหนึ่งออกมาทันใด นางกำนัลคนอื่นๆ หวาดกลัวอยู่บ้าง กระตุกแขนเสื้อคนข้างหน้าอย่างเงียบๆ “พี่หยาง นี่คือฝ่าบาทเชียวนะ พวกเราจะทำอย่างนี้จริงๆ หรือ”

“แน่นอน ก่อนหน้านี้พวกเราตัดสินใจกันแล้ว” สตรีที่ยืนอยู่ด้านหน้ามีคิ้วเข้มตาโต ใบหน้ารูปเหลี่ยม โหนกแก้มสูง นางถือเชือกไว้ในมือ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกเราต้องเก็บน้ำค้างตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เหน็ดเหนื่อยเพราะไม่ได้นอนตลอดทั้งวันยังต้องถูกนักพรตพวกนั้นเห็นเป็นของเล่น ป้อนยาลูกกลอนบ้านั่นให้กิน พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพี่ซิ่วเหมียวตายอย่างไร หากพวกเรายังไม่ลงมือ ช้าเร็วก็ต้องตายด้วยน้ำมือของเขา”

ฮ่องเต้นับถือศาสนาเต๋า เชื่อคำสอนของศาสนาเต๋าว่าต้องรับลมดื่มน้ำค้าง ต้องเก็บหยาดน้ำค้างก่อนพระอาทิตย์ขึ้นมาทำเครื่องดื่ม ทั้งยังมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้เถาจ้งเหวิน สั่งให้นักพรตปรุงโอสถทิพย์ให้พระองค์

ตำรับยาของเถาจ้งเหวินจำเป็นต้องใช้เลือดระดูของสตรีพรหมจรรย์ หาหญิงชาวบ้านมาก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นภารกิจอันทรงเกียรตินี้จึงตกอยู่กับเหล่านางกำนัลในวังหลวง นางกำนัลเหล่านี้ต้องฝ่าอากาศหนาวเย็นออกไปหาน้ำค้าง ทั้งยังต้องให้นักพรตเก็บเลือดระดูของตน ทว่าระดูของสตรีล้วนมีช่วงเวลาแตกต่างกัน เพื่อความสะดวกนักพรตจึงใช้ยาลูกกลอนปรับระดูของเหล่านางกำนัลทำให้พวกนางมีระดูพร้อมกันในช่วงเวลาที่กำหนด

ทางนักพรตนั้นสะดวกขึ้นมาก แต่นางกำนัลหลายคนกลับมีระดูไม่สม่ำเสมอ ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงานเก็บน้ำค้าง ส่วนเถาจ้งเหวินเพื่อให้ร่างกายของหญิงสาวเหล่านี้สะอาดบริสุทธิ์จึงไม่อนุญาตให้พวกนางกินเนื้อและธัญพืชอื่นๆ ในแต่ละวันอนุญาตให้พวกนางกินเพียงผักเล็กน้อยเท่านั้น

นางกำนัลหลายคนถูกทรมานจนตาย หยางจินอิงและคนอื่นๆ เห็นนางกำนัลก่อนหน้านี้ถูกหามออกไปทีละคนก็รู้สึกหวาดหวั่นกังวล รู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปช้าเร็วพวกนางต้องตายแน่จึงเลือกหนทางอันตราย หมายจะปลงพระชนม์ชีพฮ่องเต้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีใครบังคับให้พวกนางเก็บน้ำค้างและปรุงโอสถทิพย์อีก

ภายใต้การปลุกเร้าของหยางจินอิง นางกำนัลที่เหลือสิบห้าคนต่างรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาฮ่องเต้หลังม่านเตียง พวกนางปีนขึ้นเตียง บ้างกดมือของฮ่องเต้ บ้างกดไหล่ของฮ่องเต้ไว้ หยางจินอิงมัดปมเชือกและคล้องเข้ากับพระศอของฮ่องเต้ หยางจินอิงบอกว่าไม่กลัว แต่ตอนลงมือร่างกายยังคงสั่นเทา พอนางคล้องเชือกแล้ว นางกำนัลบนพื้นสองคนไม่กล้ามองให้ละเอียดก็จับเชือกและออกแรงดึงทันที

นางกำนัลเหล่านี้ลงมือด้วยความวู่วามชั่วขณะ ทั้งมิได้วางแผนและขาดประสบการณ์ นางกำนัลที่ดึงเชือกไม่ได้ออกแรงไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนหยางจินอิงเมื่อครู่เพราะความประหม่าทำให้ผูกเชือกเป็นเงื่อนตาย ฮ่องเต้ไม่ได้ถูกรัดพระศอจนตาย แต่กลับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เหล่านางกำนัลหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม เวลานี้เองเชือกติดชะงักตรงเงื่อนตาย ทำอย่างไรก็ไม่อาจดึงให้แน่นขึ้นได้ เหล่านางกำนัลตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ดึงปิ่นประดับกับปิ่นยึดมวยผมบนศีรษะออกมา แทงไปบนพระวรกายของฮ่องเต้เปะปะโดยไม่กล้ามอง

ทว่าการโจมตีของพวกนางไม่มีแบบแผน ไม่มีครั้งใดที่จู่โจมถูกจุดสำคัญ นางกำนัลจางจินเหลียนเห็นว่าฮ่องเต้ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ใจคิดว่าหรือนี่ก็คือมังกรแท้ที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง นางลนลานขาดสติ ไม่กล้าจ้องใบหน้าฮ่องเต้อีก ล้มลุกคลุกคลานลงจากเตียง และวิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอก

หยางจินอิงร้องเรียกจางจินเหลียนอยู่ข้างหลังหลายครั้ง จางจินเหลียนล้วนไม่หันกลับมา วิ่งหนีไปอย่างคลุ้มคลั่ง นางกำนัลมากันทั้งหมดสิบหกคน ต่อให้หายไปหนึ่งคน ในด้านกำลังก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบโดยสิ้นเชิง ทว่าการจากไปของจางจินเหลียนกลับเหมือนค้อนที่ทุบลงมาอย่างแรง การร่วมมือของเหล่านางกำนัลที่เดิมทีก็ไม่เหนียวแน่นอยู่แล้วพังทลายลงทันที นางกำนัลสองคนที่ดึงเชือกตัวสั่นไม่หยุด จู่ๆ ก็แข้งขาอ่อนล้มทรุดลงบนพื้น บ่วงเชือกคลายออกทันใด

หยางจินอิงตวาดสั่งให้พวกนางออกแรงต่อไป ทว่าครั้งนี้ไม่ว่าหยางจินอิงจะด่าว่าอย่างไร เหล่านางกำนัลก็ยืนไม่ขึ้นแล้ว หยางจินอิงรับเชือกมาพยายามจะสังหารฮ่องเต้ต่อ แต่มือของนางก็สั่นไม่หยุดเช่นเดียวกัน ออกแรงไม่ได้แม้แต่น้อย

เวลานี้เองเสียงตะโกนอย่างลนลานของผู้ดูแลลอยมาจากข้างนอก ระหว่างนั้นยังมีเสียงตะโกนว่า “ช่วยเหลือฝ่าบาท!” กับเสียงเรียก “ฮองเฮา” ปะปนมาด้วย ร่างกายของหยางจินอิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทรุดนั่งลงกับพื้น เชือกในมือห้อยตกลงตรงขอบเตียงอย่างช่วยไม่ได้

ความคิดแรกในใจของหยางจินอิงคือจบกัน นางไม่รอดแล้ว

องครักษ์เสื้อแพรที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าประตูวังได้ยินขันทีมาแจ้งข่าวแล้วตกใจไม่เบา เร่งรุดไปจวนสกุลลู่ตลอดทาง เขาเคาะประตูห้องของลู่เหิงกลางดึก ลู่เหิงได้ยินว่ามีคนจะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด คว้าดาบออกจากห้องไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

เขาเร่งเข้าวังอย่างเร็วที่สุด ยามนี้พระราชฐานชั้นในมืดสนิท บรรยากาศเต็มไปด้วยความปั่นป่วนไม่สงบ ลู่เหิงก้าวฉับๆ เข้าไปในวังอี้คุน วังอี้คุนมีคนยืนอยู่เนืองแน่นไปหมด ลู่เหิงกวาดตามองคร่าวๆ เห็นคนของฟางฮองเฮาจำนวนมาก

จากคำบอกเล่าของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ นางกำนัลหยางจินอิงและนางกำนัลคนอื่นๆ อีกสิบห้าคนหมายจะปลงพระชนม์ฝ่าบาท ตอนลงมือเนื่องจากผูกเชือกเป็นเงื่อนตายจึงกระทำการไม่สำเร็จ ผู้สมรู้ร่วมคิดจางจินเหลียนเห็นการลอบสังหารล้มเหลวจึงวิ่งไปหาฟางฮองเฮาเพื่อแจ้งเรื่อง ฟางฮองเฮารุดมาวังอี้คุนด้วยความตระหนก ช่วยชีวิตฮ่องเต้ที่หายใจแผ่วเบาเอาไว้ได้

ลู่เหิงก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในตำหนักมีคนยืนอยู่มากมาย วุ่นวายโกลาหล เชือกบนคอของฮ่องเต้ถูกแก้ออกมาแล้ว ยามนี้ฮ่องเต้นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ฟางฮองเฮายืนหลั่งน้ำตาอยู่ด้านข้าง ทุกคนเห็นลู่เหิงเข้ามาต่างเปิดทางให้เขาโดยไม่ต้องให้บอก “ใต้เท้าลู่”

ลู่เหิงมิได้สนใจฟางฮองเฮา จางจั่ว และคนอื่นๆ เพียงรีบก้าวยาวๆ ไปยังเตียงบรรทม เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนแท่นวางเท้า พิจารณาสีหน้าของฮ่องเต้โดยละเอียด จากนั้นก็จับชีพจรของฮ่องเต้ เคราะห์ดีนางกำนัลเหล่านั้นกระทำการไม่สำเร็จ ฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่

หลังจากนั้นลู่เหิงถึงได้มีแก่ใจไปตรวจสอบร่องรอยอื่นๆ รอยรัดบนคอของฮ่องเต้เป็นสีแดง นี่เป็นรอยใหม่ บนร่างกายมีแผลถูกแทง บาดแผลเล็กตื้นสะเปะสะปะไร้ระเบียบแบบแผน น่าจะถูกของจำพวกปิ่นปักผมแทง สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของนางกำนัล บนมือและไหล่ล้วนมีรอยนิ้วมือ ดูจากขนาดและความเข้มจางเป็นของคนละคนกัน สอดคล้องกับที่บอกว่าหลายคนร่วมกันก่อคดี

จากเบาะแสในตอนนี้เป็นคดีที่นางกำนัลหลายคนขวัญกล้าเทียมฟ้าร่วมกันปลงพระชนม์ล่วงเกินเบื้องสูงจริงๆ หาใช่ฮองเฮา จางจั่ว และคนอื่นๆ ยกนางกำนัลมาเป็นข้ออ้างก่อความวุ่นวาย

ลู่เหิงลอบระบายลมหายใจเงียบๆ ฟางฮองเฮารุดมาถึงเป็นคนแรก สถานการณ์ในตอนนั้นมีเพียงฟางฮองเฮาเท่านั้นที่รู้ แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่โจรร้องให้จับโจร* แต่ฟางฮองเฮาไม่มีพระโอรส หากฮ่องเต้สวรรคตฟางฮองเฮาย่อมไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ลู่เหิงคิดหาสาเหตุที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ไม่ออก จึงตัดฟางฮองเฮาออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยชั่วคราว

ลู่เหิงลุกขึ้นจากข้างเตียง ถามว่า “หมอหลวงเล่า”

จางจั่วตอบ “ฮองเฮาทรงตามหมอหลวงแล้ว ตอนนี้กำลังรุดมาวังอี้คุนขอรับ”

ลู่เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟางฮองเฮารุดมาถึงสถานที่เกิดเหตุเป็นคนแรก หนึ่งชั่วยามให้หลังลู่เหิงจึงมาถึง หลังจากช่วยเหลือฮ่องเต้ไว้ได้ ฟางฮองเฮากลับไม่รีบตามหมอหลวงมาตรวจดูอาการของฮ่องเต้ ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามนี้นางมัวทำอะไรอยู่

ลู่เหิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าปกติ “คนร้ายที่ปองร้ายฝ่าบาทเล่า”

ฟางฮองเฮาวิ่งออกมาจากวังคุนหนิงกลางดึก ยังไม่ทันได้ผัดแป้งเขียนคิ้ว เส้นผมเพียงเกล้ามวยอย่างง่ายๆ ใบหน้ามีริ้วรอยและบวมเล็กน้อย สภาพไม่น่าดูนัก นางบิดผ้าเช็ดหน้าตอบว่า “ถูกข้าคุมตัวเอาไว้แล้ว”

ลู่เหิงผงกศีรษะ “คืนนี้เคราะห์ดีที่ได้ฮองเฮาทรงช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ การคุ้มกันฝ่าบาทเป็นหน้าที่ขององครักษ์เสื้อแพร มิกล้ารบกวนฮองเฮา คนร้ายพวกนั้นอยู่ที่ใด”

ฟางฮองเฮากำผ้าเช็ดหน้าแน่น กดปลายนิ้วมือพลางพูด “บ่าวไพร่ชั้นต่ำพวกนี้ตายไปไม่น่าเสียดาย ถูกข้าลงโทษประหารชีวิตแล้ว”

ลู่เหิงหรี่ตาลงเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น สีหน้าลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม นางกำนัลเหล่านั้นตายหมดแล้ว?

เหตุใดฟางฮองเฮาจึงรีบร้อนลงโทษคนร้ายถึงเพียงนี้

ลู่เหิงไม่ได้ถามต่อ สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาให้รักษาความปลอดภัยด้วยท่าทีสงบ ถือโอกาสนี้ควบคุมวังอี้คุนไว้ด้วย เบียดฟางฮองเฮาออกไปอย่างแนบเนียน เปลี่ยนคนข้างกายของฮ่องเต้ให้เป็นองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมด ไม่นานองครักษ์เสื้อแพรก็พาหมอหลวงรุดมาถึง หมอหลวงเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วตกใจไม่เบาทีเดียว เขาฝืนตั้งสติจับชีพจรให้ฮ่องเต้ จากนั้นก็ตรวจดูบาดแผลบนคอ

ลู่เหิงยืนอยู่ด้านข้างตลอดเวลาเห็นดังนั้นก็ถามว่า “หมอหลวง พระอาการของฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”

“สวรรค์คุ้มครอง พระวรกายไม่เป็นอะไรมาก” หมอหลวงลุกขึ้นเอ่ยอย่างระมัดระวัง “แต่ฝ่าบาทตกพระทัยมากเกินไปจนหมดสติ รายละเอียดเป็นอย่างไรยังคงต้องรอให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยตรวจชีพจรอีกครั้ง”

ลู่เหิงวางใจ ฮ่องเต้ไม่ได้ถูกพิษก็ดีแล้ว แค่สลบไสลไม่เป็นไร เขาจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ด้วยตนเอง ดูซิว่าผู้ใดยังจะก่อเรื่องได้อีก

 

ท้องฟ้าสว่าง ประตูเมืองเพิ่งจะเปิดออก ข่าวอันน่าตกใจข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดไปทั่วจวนขุนนางใหญ่ต่างๆ ซย่าเหวินจิ่นทราบข่าวแล้วตกใจจนทำถ้วยชาในมือตกลงบนพื้น “อะไรนะ! ฝ่าบาททรงถูกคนในวังลอบปลงพระชนม์?”

“ขอรับ” ผู้มารายงานสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน “เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนครึ่งคืนแรกของเมื่อคืน ครึ่งคืนหลังประตูวังปิดสนิทห้ามเข้าออก เรื่องราวต่อจากนั้นจึงถ่ายทอดออกมาไม่ได้ขอรับ”

ซย่าเหวินจิ่นนิ่งงันเป็นไก่ไม้* ตะลึงอยู่พักใหญ่กว่าจะได้สติ รีบถาม “ตอนนี้ใครเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท”

“องครักษ์เสื้อแพรขอรับ” ผู้มารายงานตอบ “เมื่อคืนหลังจากเกิดเรื่อง ฟางฮองเฮารุดมาเป็นคนแรก หลังจากนั้นรองผู้บัญชาการสูงสุดลู่ก็นำกำลังเข้าวัง ตอนนี้ช่องทางเข้าออกวังอี้คุนทั้งหมดอยู่ในความดูแลขององครักษ์เสื้อแพร เรื่องอื่นๆ ข้าน้อยไม่ทราบแล้วขอรับ”

ซย่าเหวินจิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าวังอย่างรีบเร่ง ระหว่างทางเจอขุนนางที่รีบร้อนออกจากจวนมาเช่นเดียวกับเขา ขุนนางในสภาขุนนางและหกกรมต่างมารวมตัวกันในวัง กดดันอยู่หลายหนก็ยังไม่ได้พบฮ่องเต้

องครักษ์เสื้อแพรไม่ฟังเหตุผลใดทั้งนั้น บารมีของราชเลขาธิการอย่างซย่าเหวินจิ่นยามนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เขาได้แต่เฝ้ารออยู่ในวังโดยมิอาจทำอะไร เงาของนาฬิกาแดดเปลี่ยนจากสั้นเป็นยาว ขณะที่ซย่าเหวินจิ่นกำลังจะทนความหิวกระหายไม่ไหวนั้นเอง ในที่สุดขันทีก็ออกมาและนำรับสั่งออกมาด้วย “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว เชิญใต้เท้าราชเลขาธิการตามผู้น้อยมาเถิด”

ฮ่องเต้โชคดีไม่ถูกรัดคอจนตาย แต่ก็หมดสติไปนานมาก ลำคอของฮ่องเต้เจ็บปวดเหมือนถูกเพลิงแผดเผา ร่างกายระบมไปทุกจุด ถึงขั้นฝันว่ามีคนกำลังจะฆ่าพระองค์ ฮ่องเต้สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายด้วยความหวาดผวา หอบหายใจอย่างรุนแรง แยกความฝันกับความจริงไม่ออก เวลานี้เองเสียงฝีเท้ามั่นคงทรงพลังดังขึ้นข้างกาย มีคนคุกเข่าข้างหนึ่งที่หน้าเตียง น้ำเสียงสุขุมหนักแน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมมาคุ้มกันล่าช้า โจรร้ายถูกประหารแล้ว วังอี้คุนวางกำลังขององครักษ์เสื้อแพรไว้ทั้งในและนอก ฝ่าบาทวางพระทัยได้ กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยคนใดเข้ามาใกล้พระองค์โดยเด็ดขาด”

ฮ่องเต้จำได้ว่านี่เป็นเสียงของลู่เหิง เหมือนเช่นในทะเลเพลิงครั้งก่อน เขาจะปรากฏตัวข้างกายฮ่องเต้ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเสมอ เป็นคนที่แข็งแกร่งและพึ่งพาได้ จิตใจของฮ่องเต้ค่อยๆ สงบลง ภาพเบื้องหน้าฉายชัดอีกครั้ง มองเห็นนอกม่านมีองครักษ์เสื้อแพรยืนอยู่มากมาย แขนเสื้อของนางข้าหลวงและขันทีถูกผูกขึ้นมาเผยให้เห็นแขนทั้งท่อน นางข้าหลวงยกน้ำสะอาดเข้ามา หลังจากทดสอบพิษต่อหน้าทุกคนแล้วจึงได้รับอนุญาตให้ยกเข้ามาให้ฮ่องเต้

ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนเป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอบประโลมใจที่ได้รับความตระหนกของฮ่องเต้ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้มองเห็นสีแดงสดในตำหนัก เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮ่องเต้หงอู่จึงให้องครักษ์เสื้อแพรจับคู่กับเสื้อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาดถึงเพียงนี้

ดังเช่นตอนนี้มองปราดเดียวก็สามารถแยกพวกเขาที่สวมชุดเฟยอวี๋อันหรูหราออกจากกลุ่มคนได้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่สูงใหญ่องอาจและผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดีเหล่านี้เฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ คอยลาดตระเวนและตรวจตราอย่างคล่องแคล่ว

นี่คือองครักษ์ของฮ่องเต้ แค่เห็นก็ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะเงาร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้สายนั้น สูงโปร่งโดดเด่น แข็งแกร่งไม่มีสิ่งใดโค่นล้มได้ เฝ้าพิทักษ์อยู่ข้างกายฮ่องเต้ประหนึ่งไคหมิงโซ่ว* ราวกับสามารถตระหนักถึงภยันตรายทั้งหมดในใต้หล้าได้ล่วงหน้า ทั้งวรยุทธ์และไหวพริบปฏิภาณล้วนเป็นเลิศ

ฮ่องเต้เพิ่งผ่านประสบการณ์ถูกลอบสังหารในบ้านของตนเอง จนกระทั่งได้เห็นลู่เหิง ในที่สุดจึงมั่นใจว่าตนปลอดภัยแล้ว

ฮ่องเต้ดื่มน้ำและโอสถแล้ว สติก็ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย ขันทีรายงานว่าใต้เท้าทั้งหลายในสภาขุนนางเฝ้ารออยู่ในวังเฉียนชิงมาโดยตลอด ฮ่องเต้ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าและเรียกตัวซย่าเหวินจิ่นเข้าเฝ้า

ด้วยอาการของฮ่องเต้ในตอนนี้ย่อมไม่อาจสั่งงานได้อยู่แล้ว ที่ตามซย่าเหวินจิ่นมาพบมิพ้นต้องการแสดงให้เห็นว่าตนไม่เป็นอะไร เป็นการปลอบประโลมเหล่าขุนนางข้างนอกที่กำลังกระวนกระวาย

ฮ่องเต้พบซย่าเหวินจิ่นเสร็จแล้วก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างรวดเร็ว ทว่าแม้จะถูกความเหนื่อยล้าเคี่ยวกรำ แต่กลับนอนไม่หลับ ฟานอ๋องจะฆ่าพระองค์ ลัทธิบัวขาวจะฆ่าพระองค์ พวกนั้นฮ่องเต้ล้วนรับได้ แต่เมื่อนางกำนัลจะฆ่าพระองค์ พระองค์จะป้องกันอย่างไร

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจแด่ฮ่องเต้ยิ่งกว่าการถูกคนที่ใกล้ชิดที่สุดทรยศเสียด้วยซ้ำ บัดนี้แม้แต่นางกำนัลที่ต่ำต้อยที่สุดยังคิดจะรัดคอฆ่าฮ่องเต้ให้ตาย เช่นนั้นพระองค์ยังจะเชื่อใจใครได้อีก ฮ่องเต้ทั้งตระหนกและหวาดหวั่นสลับกันไปมา เบิกตาคาดเดาไปต่างๆ นานา ทั้งทรมานผู้อื่นและทรมานตนเอง จนกระทั่งฟ้ามืด ในที่สุดฮ่องเต้จึงทนความเหนื่อยล้าไม่ไหวผล็อยหลับไปทั้งที่ร่างกายยังเกร็งเครียด

ลู่เหิงเฝ้าอยู่ข้างกายฮ่องเต้ตลอดเวลา รอจนฮ่องเต้หลับสนิทเขาจึงถอยออกไปเงียบๆ ชายหนุ่มเดินออกจากตำหนักบรรทมด้วยสีหน้าเย็นชาหนักอึ้ง

ลู่เหิงดูออกว่าฮ่องเต้มีปมในใจ อีกฝ่ายหาได้สงสัยลู่เหิงไม่ แต่ความรู้สึกปลอดภัยที่ฮ่องเต้มีต่อโลกภายนอกพังทลายลงโดยสิ้นเชิง หากขุนนางหมายจะลอบปลงพระชนม์ ประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรหรือแม้แต่สิบชั่วโคตรก็ยังได้ ทว่าวังหลวงนั้นขาดนางกำนัลขันทีมิได้ หากนางกำนัลมีใจลอบปลงพระชนม์ ฮ่องเต้จะป้องกันได้อย่างไร

ถอยไปอีกก้าวหนึ่ง แม้แต่นางกำนัลซึ่งเป็นชนชั้นระดับล่างในวังยังฆ่าฮ่องเต้ได้ เช่นนั้นนางข้าหลวง ขันที สนมชายา ฮ่องเต้ยังจะไว้ใจใครได้อีกเล่า

ลู่เหิงถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง การช่วยเหลือฮ่องเต้จากอันตรายเป็นเรื่องง่าย เรื่องราวต่อจากนี้ต่างหากที่ยากลำบาก สถานการณ์ของฮ่องเต้ตอนนี้คือร่างกายรักษาง่าย จิตใจเยียวยายาก หากฮ่องเต้ไม่อาจก้าวออกจากเงามืดนี้ได้ ต่อไปยังจะปกครองแผ่นดินได้อย่างไร

ฮ่องเต้เพิ่งจะบรรทมไป คนทั้งในนอกต่างไม่กล้าคุยกันเสียงดัง กัวเทาเดินตามหลังลู่เหิง พูดเสียงค่อย “ใต้เท้า ฮองเฮาทรงพาตัวเฉาตวนเฟยกับองค์หญิงใหญ่ไปแล้วขอรับ”

หลังจากฮ่องเต้ถูกทำร้าย องครักษ์เสื้อแพรเข้าควบคุมวังอี้คุนอย่างฉับไว แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คือฮองเฮา ทั้งยังเป็นผู้มีความดีความชอบรุดมาช่วยเหลือฮ่องเต้เป็นคนแรก ฟางฮองเฮาพาตัวเฉาตวนเฟยไปโดยอ้างว่าจะ ‘สอบสวน’ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่อาจขวางได้

ลู่เหิงได้ยินคำพูดของกัวเทาแล้วลอบย่นคิ้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ฟางฮองเฮาประหารชีวิตพวกหยางจินอิงเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว นางกำนัลทั้งสิบหกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงจางจินเหลียนที่ไปแจ้งข่าวไม่มีใครรอดชีวิต ถูกปิดปากตั้งแต่ก่อนที่องครักษ์เสื้อแพรจะมาถึง ตอนนี้ฟางฮองเฮายังพาตัวเฉาตวนเฟยไปอีก

ลู่เหิงเป็นขุนนางนอก วันนี้ความคิดจิตใจทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่ฮ่องเต้จึงไม่ทันใส่ใจเจ้านายตัวจริงของวังอี้คุน…เฉาตวนเฟย ลู่เหิงยังมิได้ซักถาม แต่จากประสบการณ์ในการทำคดีของเขา บุคคลที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดที่จะเป็นผู้บงการเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือเฉาตวนเฟย

เฉาตวนเฟยทั้งอ่อนเยาว์และเป็นที่โปรดปราน มีพระธิดาองค์หนึ่ง บิดาเป็นเจ้าเมืองในมณฑลฝูเจี้ยน นางจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไปเพื่ออันใด อีกทั้งยังลงมือในวังของนางเอง ต่อให้โง่ก็ไม่มีใครโง่ถึงขั้นนี้

ฟางฮองเฮาทรงคิดจะทำสิ่งใด

ปมในใจของฮ่องเต้ยังไม่ทันคลี่คลาย ฝ่ายในก็ก่อเรื่องอีกแล้ว ลู่เหิงไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ยามนี้จุดไท่หยางรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ กัวเทาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้รับมือยากยิ่งนัก เอ่ยถามเบาๆ “ใต้เท้า รอฝ่าบาทตื่นบรรทมเมื่อใดจะต้องถามถึงต้นสายปลายเหตุของการกบฏครั้งนี้เป็นแน่ นางกำนัลที่เป็นผู้ก่อเหตุถูกประหารชีวิตแล้ว พวกเราจะสืบอย่างไรเล่าขอรับ”

ลู่เหิงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะสืบอย่างไรดี ผู้อื่นสามารถคาดคั้นลงทัณฑ์ ข่มขู่หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ได้ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายคือฮองเฮา ลู่เหิงจะทำอย่างไรได้

ทุกคนเฝ้ารอให้ลู่เหิงตัดสินใจตาปริบๆ แม้สถานการณ์จะเข้าสู่ทางตันแล้ว แต่ใต้เท้าของพวกเขาจะต้องมีหนทางแน่นอน ลู่เหิงปวดหัวยิ่งกว่าเดิม ขณะกำลังจะเลือกใช้กลยุทธ์ถ่วงเวลา ดวงตาพลันสาดประกายวูบ นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้

ดูเหมือนเขาจะมีหนทางแล้ว

 

* แบ่งน้ำแกงข้นถ้วยหนึ่ง อุปมาถึงการแบ่งผลประโยชน์

* โจรร้องให้จับโจร หมายถึงผู้ที่เป็นโจร แต่กลับร้องให้คนอื่นช่วยจับโจร เปรียบเปรยถึงคนชั่วที่จงใจสร้างความสับสนวุ่นวายเพื่อหนีเอาตัวรอด

* นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวน หมายถึงอาการเหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่

* ไคหมิงโซ่ว เป็นสัตว์เทพชนิดหนึ่งในตำนานของจีน ลักษณะคล้ายพยัคฆ์แต่มีเก้าหัว ใบหน้าเหมือนมนุษย์ เป็นสัตว์เฝ้าประตูของแดนสวรรค์

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: