ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 2
ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกล่าวถึงเลือด การฆ่าตัวตาย อาการป่วยทางจิต
และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 32
หลังจากถอดผ้าปิดตา สิ่งแรกที่ฉยงเหรินเห็นส่วนใหญ่เป็นใบหน้าของคนแปลกหน้า แต่ก็มีคนคุ้นเคยอยู่สองคน คนหนึ่งคือเหมียวเจ๋อเหยียน อีกคนหนึ่งคือกู้เมิ่งซัง ทันทีที่สองคนนั้นเห็นเขา ก็เหมือนกับเห็นญาติมิตร จึงแอบๆ ขยับเข้ามาชิดเขาเงียบๆ
แล้วยังมีอีกสองใบหน้าที่ฉยงเหรินจำได้ เป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองของรายการ ‘เดอะ สตาร์ โปรดิวซ์’ ปีเดียวกับเมิ่งชิงเหิง ซย่าหุยและเจียงอี้หมิง
พวกเขาสองคนยังมีเรือคู่ชิปด้วย ได้ยินว่ามีชิปเปอร์เยอะมาก
แต่ละคนจะได้รับโทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่อง เด็กฝึกสามารถใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ชมช่องไลฟ์สดของตัวเองได้ พวกเขาสามารถดูยอดความนิยมของตัวเอง แต่จะไม่เห็นคอมเมนต์กับอันดับ
หลี่ขุยบอกว่าแบบนี้เร้าใจกว่า
ตั้งแต่ที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนก้าวขึ้นรถ ช่องไลฟ์ก็เปิดให้ผู้ชมทั้งหลายเข้ามารับชม
อันดับความนิยมของช่องไลฟ์แต่ละช่องเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว
ตอนนี้ช่องไลฟ์ที่ได้สี่อันดับแรกแบ่งเป็นกู้เมิ่งซัง ซย่าหุย เจียงอี้หมิง และฉยงเหริน
แฟนคลับของสามคนหน้าเคยผ่านศึกการโหวตให้ไอดอลของตัวเองมาแล้วอย่างโชกโชน ทันทีที่เริ่มไลฟ์ คนก็เบียดกรูกันเข้ามาแล้วเริ่มส่งคอมเมนต์กันอย่างบ้าคลั่ง
หลี่ขุยยืนมีตึกร้างเป็นแบ็กกราวนด์ ใบหน้าขมึงทึง ใช้เสียงแผ่วต่ำ เริ่มต้นบรรยายพล็อตเรื่องราวเบื้องหลังของรายการตอนแรก
ว่ากันว่าตึกตรงหน้านี้เคยถูกเรียกว่าบ้านสุสานกระดูก
บ้านสุสานกระดูกคืออะไร ก็คือบ้านที่ซื้อไว้เพื่อใช้เก็บกล่องใส่อัฐิกระดูก
ราคาบ้านในเมืองหลงเฉิงสูงขึ้นทุกวันๆ ที่ในสุสานอย่างน้อยก็หลายหมื่น อย่างมากก็หลายแสน สำหรับคนเป็นก็ถือว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่หนักมากอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ที่อยู่อาศัยรูปแบบพิเศษจึงโผล่ออกมาสู่สายตาผู้คน
เพราะที่อยู่อาศัยเหล่านี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ แถมแปลนบ้านแปลกประหลาดเลยทำให้ขายไม่ออก ได้แต่ขายไปในราคาต่ำๆ
แม้ว่าบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีราคาแพงกว่าที่ดินสุสาน แต่กรรมสิทธิ์ที่ดินยาวนานกว่า แม้ราคาในปัจจุบันจะยังต่ำ แต่ก็มีพื้นที่ให้พัฒนามากกว่าซื้อที่ในสุสานมาก
และตึกตรงหน้านี้ก็เคยถูกใช้เป็นบ้านสุสานกระดูกเช่นกัน
เริ่มแรก ในตึกใหญ่ตึกนี้ใช่ว่าจะไม่มีผู้อยู่อาศัยทั่วไปอาศัยอยู่เลย แต่หลังจากที่มีอัฐิเข้ามาอาศัยมากขึ้นทุกวันๆ ทำให้บรรยากาศภายในตึกดูอึมครึมวังเวง เหล่าผู้อยู่อาศัยเริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเย็นเฉียบ แม้จะเป็นหน้าร้อนก็ยังต้องคลุมผ้าห่มสำหรับหน้าหนาว ไม่อย่างนั้นจะหนาวจนนอนไม่หลับ
และภายในอาคารก็มักจะมีเสียงเพลงบรรเลงในงานศพดังขึ้นบ่อยครั้ง กลิ่นเผากระดาษเงินกระดาษทองลอยคลุ้งอยู่ในทุกๆ ชั้น เวลาผ่านไปนานเข้า ผู้อยู่อาศัยธรรมดาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องจำใจทยอยย้ายออก
ตึกแห่งนี้จึงกลายเป็นสุสานไปโดยสมบูรณ์
แต่!
จู่ๆ หลี่ขุยก็ขึ้นเสียงสูง น่ากลัวจนเด็กฝึกทั้งหลายที่ตั้งใจฟังเรื่องราวตัวสั่นงันงก เขาหัวเราะอย่างพึงพอใจ แต่เมื่อเห็นฉยงเหรินนิ่งสนิทไร้ซึ่งปฏิกิริยา เขาก็ปลอบตัวเองในใจ หมอนี่ไม่นับว่าเป็นคน ทำให้อีกฝ่ายกลัวไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเขาเล่าไม่น่ากลัว
เขาเล่าต่อ
แต่ว่าผู้ที่นำกล่องเก็บอัฐิมาเก็บที่ตึกนี้ก็ค่อยๆ ค้นพบว่าชีวิตของพวกเขามีอุปสรรคเพิ่มขึ้นทุกวัน และคนไม่น้อยตอนกลางคืนก็ฝันเห็นครอบครัวของตัวเองที่จากไป
และเนื้อหาที่ญาติเข้าฝันมาคุยด้วยก็คล้ายคลึงกันมาก ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่ฮวงจุ้ยไม่ดี ก่อให้เกิดวิญญาณดุร้ายน่ากลัวดวงหนึ่งขึ้นมา ผีร้ายตนนี้กดขี่ข่มเหงพวกเขาเยี่ยงทาส ถ้าไม่อยากให้ดวงชะตาของตัวเองถูกเอาไปหมด ก็ต้องย้ายอัฐิพวกเขาออกไป
เจ้าของบ้านทั้งหลายตอนแรกไม่เชื่อเรื่องงมงาย ถึงยังไงก็ซื้อบ้านเพื่อเก็บอัฐิไปแล้ว ถ้าย้ายอัฐิอีก แบบนี้ไม่ต้องซื้อที่สุสานซ้ำซากอีกเหรอ
แต่การเข้าฝันของญาติก็ยังไม่จบลง ญาติที่มาพูดคุยปรึกษาดีๆ ในตอนแรกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งทีละนิด บางครั้งเจ้าของบ้านถึงกับตื่นมาเจอรอยฟกช้ำดำเขียวปรากฏตามร่างกาย
คราวนี้ไม่มีใครไม่กล้าไม่เชื่อเรื่องนี้อีกแล้ว
อัฐิถูกย้ายออก ไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่ที่นี่
ตึกหลังนี้ถูกทิ้งร้างโดยสมบูรณ์
ถึงอย่างนั้นในตึกร้างแห่งนี้ก็ยังมีผู้อยู่อาศัยบางส่วนที่ยังวนเวียนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
และพวกเขากำลังรอคอยการมาถึงของพวกคุณ
หลี่ขุยกล่าวจบ กู้เมิ่งซังกับเหมียวเจ๋อเหยียนก็เริ่มสั่นระริก คนอื่นๆ ก็ขนลุกบ้างเล็กน้อย เจียงอี้หมิงพยายามทำเหมือนไม่กลัวอย่างสุดความสามารถ ปากแข็งใส่กล้อง “ฮ่าๆ โชคดีนะ ผมไม่เชื่อเรื่องผี”
ฉยงเหรินสีหน้าไร้อารมณ์ เขามองตึกร้างตรงหน้า แล้วก็นึกถึงคำสาบานของหลี่ขุย
ก่อนเปิดกล้อง หลี่ขุยบอกเขาว่าเรื่องเล่าสุดระทึกของสถานที่ถ่ายทำเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมารีบๆ ยังไงก็เป็นแค่รายการวาไรตี้ ไม่จำเป็นต้องไปบ้านผีสิงจริงๆ เพราะถ้าเกิดเรื่องจนถึงชีวิตขึ้นมาคงไม่ดี
ตึกร้างตรงหน้านี้จะบอกว่าเป็นบ้านผีสิงก็ดูจะฝืนอยู่นิดหน่อยจริงๆ เพียงแต่ว่า…
ฉยงเหรินมองดูป้ายทั้งหลายที่แขวนเต็มหน้าห้องบนตึก
สถานเอกอัครราชทูตยมโลกตำหนักที่หนึ่งประจำแดนหยาง สถานเอกอัครราชทูตยมโลกตำหนักที่สองประจำแดนหยาง สถานเอกอัครราชทูตยมโลกประจำเมืองหลงเฉิง เป็นต้น รวมๆ กันแล้วไม่ต่ำกว่าสิบป้าย
ด้านบนสุดของตึกติดป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ไว้ และบนนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของยมราชทั้งสิบ
ยอดอัจฉริยะจริงๆ หลี่ขุยคนนี้
เมืองหลงเฉิงมีบ้านร้างไร้คนอาศัยตั้งมากมาย แต่ก็ดันจิ้มเลือกโดนสินทรัพย์ถาวรของยมโลกซะได้
ตึกตรงหน้ามีเสียงวิญญาณดังจอแจ เหล่าวิญญาณทั้งหลายสัญจรเข้าๆ ออกๆ ฉยงเหรินเอามือไปลูบสร้อยข้อมือกลีบดอกบัวที่เหยียนโม่ให้เขาอย่างอดใจไม่ไหว
ในกลุ่มวิญญาณมหาศาลที่ไม่มีใครเห็นนอกจากเขา มีเพียงสร้อยข้อมือเท่านั้นที่สามารถมอบกระแสความอุ่นใจให้เขาได้
“ฉยงเหริน! นั่นฉยงเหรินนี่!”
“เจ้าหนูของฉันมาสถานทูตแล้ว ฉันยังติดหัวไม่เสร็จเลย เจ้าหนูจะกลัวหรือเปล่า”
“ในที่สุดฉันก็ได้เห็นสามีขากับตาตัวเองแล้ว ปาดน้ำตา”
“อย่าไปกดดันเขา เขามาถ่ายรายการ พวกเธอห้ามไปรบกวนเขาเด็ดขาด!”
พอถูกเพื่อนร่วมงานเตือนสติ บรรดาวิญญาณก็พากันหุบปากฉับ เดินมือเบาเท้าเบาเข้าประตูใหญ่ไป
พวกเขาหันกลับมามองอย่างพร้อมเพรียงอยู่หน้าทางเข้า กำหมัดชูกำปั้นให้กำลังใจเขา
ฉยงเหริน “…”
เขายกยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ ไปทางประตูใหญ่
เหล่าวิญญาณระริกระรี้มาก
“กรี๊ดดด เจ้าหนูยิ้มตอบพวกเราด้วย!”
“เจ้าหนูถ่ายรายการอะไรอยู่เหรอ ฉันอยากดูจัง”
“เราใช้ได้แค่เน็ตในยมโลก ดูรายการของเจ้าหนูไม่ได้หรอก ดูได้แค่คลิปโปรโมตในเวยป๋อเขา เศร้าจัง”
เฮ้อ ฉยงเหรินอดถอนหายใจไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะมีกล้องคอยจำกัดการแสดงออกของเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาจะตรงเข้าไปบอกพวกเขาเดี๋ยวนี้เลยว่าไม่ต้องกังวล รายการนี้จะได้ลงเว็บไซต์เถิงเฟยวิดีโอด้วย พวกคุณสามารถดูผมได้ตลอดเลยล่ะ!
พอเขาถอนหายใจ กู้เมิ่งซังกับเหมียวเจ๋อเหยียนก็เริ่มเครียดขึ้นมาทันที หลี่ขุยรับประกันกับพวกเขาว่าจะไม่เกิดปัญหาระหว่างการถ่ายทำแน่นอน แต่ขนาดฉยงเหรินยังถอนหายใจ ก็แปลว่าสถานที่นี้ไม่ใช่แค่มีผี แต่ผียังเฮี้ยนหนักมาก!
หลี่ขุยเล่าเรื่องจบแล้วเห็นสีหน้าหวาดกลัวของทุกคน ก็กล่าวด้วยความพึงพอใจ
“รายการ ‘สปิริต 101’ ของพวกเราก็คือรายการที่จะคัดเลือกดวงดาวแห่งความลี้ลับหนึ่งคนจากเด็กฝึกทั้งสิบ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะมีบทบาทพิเศษของตัวเอง ขอให้ทุกคนตามหาให้เจอว่าตัวเองคือใคร และตามหาเพลงที่ตัวเองจะต้องแสดงให้เจอ พอถึงเที่ยงคืนของวันพรุ่ง จะมีเด็กฝึกเพียงสี่คนเท่านั้นที่สามารถทำการแสดงเพลงของตัวเองในที่แห่งนี้ได้ และตอนนี้การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอให้ทุกคนโชคดี”
เด็กฝึกที่บ้างก็กลัวจริง บ้างก็กลัวปลอมทยอยเดินเข้าไปในตึกร้าง
ฉยงเหรินเดินช้ามากจนตกมาอยู่ท้ายแถว ส่วนเหมียวเจ๋อเหยียนกับกู้เมิ่งซังก็เดินไปตามความเร็วฝีเท้าของเขา
เขาหันหลัง ถามอย่างเหลืออด “พวกคุณจะตามผมมาทำไมเนี่ย”
กู้เมิ่งซังสีหน้าราวผ่านโลกมานับไม่ถ้วน “คอยให้นายปกป้องชีวิตน้อยๆ ของฉัน”
เหมียวเจ๋อเหยียนกำพวงกุญแจดอร่าในกระเป๋ากางเกงด้วยความตึงเครียด “ขอผมติดตามไปด้วยเถอะ บอสครับ”
แฟนคลับในช่องไลฟ์ของทั้งคู่งุนงง
[เขาทำไรอยู่อะ]
[พวกเขาสนิทกันเหรอ คนผ่านทางขออนุญาตถาม]
[เค้าคีปเมนแค่กู้เมิ่งซังคนเดียวมาห้าปีแล้ว ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพวกเขารู้จักกันด้วย]
[วันนี้ซังซังดูกลัวมากอะ เมื่อก่อนเขามีสมญานามว่ากู้ผู้กล้าหาญเลยนะ]
[อย่าบอกนะว่าที่นี่มีไอ้นั่นจริงๆ น่ะ]
กู้เมิ่งซังถามด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “พูดมาตามตรงเถอะ ตึกร้างนี่เนี่ย…สะอาดหรือเปล่า”
เหมียวเจ๋อเหยียนตึงเครียดพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถาม เขาคิดว่าตึกร้างนี่วังเวงสุดๆ
ฉยงเหรินมองยมทูตกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากหน้าต่าง “ผมไม่เข้าใจ สะอาดอะไร”
กู้เมิ่งซัง “ก็ไอ้นั่นน่ะ ที่มันพิเศษ…ลอยได้ แล้วก็กึ่งโปร่งใส”
ฉยงเหรินมองพวกเขาอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ พูดจูงใจพวกเขา “มันก็แค่รายการวาไรตี้นี่ครับ รายการวาไรตี้จะให้เราไปบ้านผีสิงจริงๆ ได้ไง แถมโลกนี้ก็ไม่ได้มีผีสักหน่อย โปรดอย่าส่งเสริมความเชื่องมงายสิครับ”
เหมียวเจ๋อเหยียนกัดข้อนิ้ว “งั้นทำไมนายถึงถอนหายใจล่ะ”
ฉยงเหริน “ผมหิว ก็เลยถอนหายใจไปอย่างงั้น”
“ไม่มีปัญหาจริงๆ นะ” กู้เมิ่งซังถามซ้ำอีกรอบ
ฉยงเหรินพยักหน้า “จริงครับ”
[อมก. เกิดอะไรขึ้น นี่พวกเขาสองคนเห็นฉยงเหรินเป็นปรมาจารย์ชั้นฟ้าไปแล้วหรือไง]
[พวกขายหน้าตา ช่วยอยู่ให้ห่างๆ จากพี่ชายของฉันหน่อยได้ไหม หยะแหยง]
[เสี่ยวซังไม่ต้องเกาะใครก็เติบโตอย่างงดงามได้ เหนื่อยจะพูดละ]
กลุ่มของฉยงเหรินเดินเข้าตึกร้างไปพร้อมกันสามคน
ในตอนนั้นเองช่องไลฟ์ทุกช่องก็ปรากฏกล่องข้อความที่ข้อมูลแตกต่างกันออกไป
มุมขวาบนช่องไลฟ์ของฉยงเหริน
‘ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเข้าสู่ตึกร้าง การแข่งขันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
ชื่อ-นามสกุล : ฉยงเหริน
สถานะ : เมนเทอร์ สปิริต 101’
เพราะรูปแบบของรายการนี้ค่อนข้างพิเศษ และใช้วิธีการไลฟ์สดพร้อมกันทีเดียวสิบคน ขณะเดียวกันก็มีช่องไลฟ์สอดส่องสถานการณ์โดยมีตัวผู้กำกับเป็นผู้บรรยายเอง
และเพื่อให้สะดวกกับการถกกัน แฟนคลับรายการจึงตั้งโพสต์เฉพาะกิจใน Super Topic ของรายการเพื่อจะได้ถกกันได้สะดวก
ทันทีที่สถานะของฉยงเหรินถูกเผยออกมา เครื่องหมายคำถามยาวเหยียดก็ผุดเต็มช่องคอมเมนต์
[รายการประหลาดๆ แบบนี้ก็มีเมนเทอร์กับเขาด้วยเรอะ เมนเทอร์ทำไรได้อะ ช่วยพวกเขาจับผีรึไง]
[ปกติฉยงเหรินก็ดังเพราะขายเรื่องความเชื่องมงายอยู่แล้ว เขาอาจตั้งใจจะคีปคาแร็กเตอร์นี้ให้สุดทางเลยก็ได้]
[ทำไมฉันคิดว่าเขาน่าจะอยากล้างมลทินตัวเองมากกว่า ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาใช้คาแร็กเตอร์อเทวนิยมไปละ]
[มิน่าล่ะวันนี้เหมียวเจ๋อเหยียนกับกู้เมิ่งซังถึงดูท่าทางแปลกๆ พวกเขาสองคนดังกว่าฉยงเหรินอีกนี่ เลียแข้งเลียขาขนาดนั้น เพราะรู้ว่าฉยงเหรินเป็นเมนเทอร์ใช่ไหม]
[เดี๋ยวนะ ไม่มีใครคิดว่ามันทะแม่งๆ บ้างเหรอ ทำไมฉยงเหรินถึงได้เป็นเมนเทอร์อะ]
[ฉันว่าไม่ชอบมาพากลสุดๆ! ถ้าฉยงเหรินเป็นเมนเทอร์ แล้วผู้เข้าแข่งขันคนที่สิบคือใคร]
[เชี่ย…คิดแล้วก็ขนลุก สมกับเป็นหลี่ขุย!]
[คนที่สิบคงไม่ใช่ว่าเป็นผีในตึกนั่นหรอกนะ…]
[ฉันที่นั่งกอดถ้วยบะหมี่ เหม่อลอยตัวแข็งไปแล้ว]
เหล่าแฟนรายการเข้าไปเยี่ยมชมช่องไลฟ์ทุกช่องอย่างละรอบ เพื่อให้แน่ใจว่านอกจากฉยงเหรินแล้ว ข้อมูลสถานะของทุกคนล้วนเป็นเด็กฝึกลึกลับ ด้านบนช่องไลฟ์ของพวกเขามีตัวนับเวลาถอยหลัง 3 ชั่วโมง ขณะเดียวกันก็ปรากฏข้อความว่ามีโอกาส 3 ครั้งในการขอความช่วยเหลือ แต่ตัวอักษรเป็นสีเทา
ผู้ชมล้วนไหวพริบดีมาก เข้าใจในทันทีว่าโอกาสขอความช่วยเหลือนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อทำเงื่อนไขบางอย่างให้สำเร็จแน่ๆ และเมื่อถึงตอนนั้น คำว่า ‘ขอความช่วยเหลือ’ จะกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนกับตัวอักษรอื่นๆ
ฉยงเหรินเข้าไปในตึก มองคนสองคนที่อยากจะกระโดดเกาะเขาอยู่รอมร่อพลางกล่าว “ผมไปทางซ้าย พวกคุณไปทางขวา”
ถึงเหมียวเจ๋อเหยียนกับกู้เมิ่งซังจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่กล้าขัด ได้แต่พยักหน้าด้วยความน้อยใจ
ฉยงเหรินต้องพูดย้ำอีกครั้ง “ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ พวกคุณวางใจเถอะ รายการนี้เป็นรายการของโลกมนุษย์ไม่ใช่เหรอ”
เหมียวเจ๋อเหยียนบ่นกระปอดกระแปดเสียงอ่อน “แต่หลี่ขุยเป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อว่ามาจากนรกนี่”
ผีสาวที่กอดเอกสารลอยผ่านไปข้างๆ ตนหนึ่งถลึงตาใส่เหมียวเจ๋อเหยียน “มาจากนรกแล้วทำไม คนในนรกแย่งข้าวนายกินเหรอ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวนายก็ได้มาเป็นคนในนรกเหมือนกันนั่นแหละ! ทุ้ย!”
เธอหันมาแล้วเผอิญเห็นฉยงเหริน ใบหน้ามืดครึ้มพลันเปลี่ยนเป็นสว่างสดใสในเสี้ยววินาที ยิ้มร่าจนลักยิ้มประหนึ่งดอกไม้เผยออกมา ท่าทางเหนียมอายขวยเขิน “เป่าเปา* สู้ๆ กับการถ่ายนะ มัมหมีรักหนูมาก”
ฉยงเหรินพยักหน้าอย่างไวว่อง
ผีสาวลอยจากไปอย่างสบายอารมณ์
ฉยงเหรินเดินไปทางซ้ายทันที กู้เมิ่งซังกับเหมียวเจ๋อเหยียนอาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้ง แต่ก็ทำได้แค่เลี้ยวไปทางขวา
หลี่ขุยไขข้อข้องใจในช่องไลฟ์ “ในการแข่งขันครั้งนี้ จะมีเมนเทอร์หนึ่งคน และยังมีผู้เข้าร่วมลับอีกหนึ่งอยู่ด้วย เมนเทอร์มีอิทธิพลสำคัญอย่างมากต่อการแข่งขันนี้ เขาจะมีสิทธิ์ทั้งหมดสามข้อด้วยกัน
ข้อแรก เมนเทอร์จะสุ่มทดสอบเด็กฝึก ถ้าหากเด็กฝึกไม่ผ่านการทดสอบ เด็กฝึกคนนั้นจะถูกลดเวลาค้นหาเบาะแส ส่วนเนื้อหาการทดสอบ ตัวเมนเทอร์จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง
ข้อสอง เมนเทอร์สามารถสุ่มให้คำใบ้เบาะแสเพลงของเด็กฝึกได้ เมนเทอร์มีโอกาสให้คำใบ้สามครั้ง และเด็กฝึกจะได้รับคำใบ้มากสุดคนละหนึ่งครั้งเท่านั้น
ข้อสาม เมนเทอร์เป็นเพียงบุคคลเดียวที่เด็กฝึกสามารถขอความช่วยเหลือนอกสนามได้ และเมนเทอร์มีสิทธิ์ปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือนอกสนามของเด็กฝึก
ผู้เข้าร่วมลับอยู่ในตึกแห่งนี้ ถ้าเด็กฝึกหาตัวผู้เข้าร่วมลับไม่เจอ ผู้เข้าร่วมลับก็จะได้เลื่อนเข้าสู่สี่อันดับแรกโดยอัตโนมัติ หรือก็คือเด็กฝึกอีกเก้าคนจะมีแค่สามคนเท่านั้นที่จะคว้าโอกาสทำการแสดงมาได้”
หลี่ขุยอ่านซับกระสุนที่ลอยเต็มหน้าจอ ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “ขอให้เด็กฝึกทุกคนพยายามฉวยเอาความพึงพอใจจากเมนเทอร์มาให้ได้ และหาเด็กฝึกลับให้เจอ”
ซับกระสุนเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลี่ขุยก็ยังเป็นหลี่ขุยอยู่วันยังค่ำ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นรายการแนว Great Escape* ผสมกับรายการ I Am a Singer** ไม่นึกเลยว่าเขาจะเล่นแบบนี้
นอกจากแฟนคลับที่คีปเมนคนเดียวซึ่งกำลังเป็นห่วงพี่ชายของตัวเองแล้ว ผู้ชมที่มุ่งมาดูรายการวาไรตี้โดยเฉพาะก็ตื่นเต้นกันสุดๆ
และเว็บบอร์ดเรื่องผีเมืองหลงเฉิง คลับฉยงเหรินก็ตั้งกระทู้ใหม่เช่นกัน
ชื่อกระทู้แค่อ่านก็เข้าใจทันที ‘คลิกเข้ามาเกาะจอดูเจ้าหนูสวมบทบาทเป็นเด็กฝึกกันเถอะ’
ตึกขนาดใหญ่นี้ ตราบใดที่เปิดประตูค้างไว้ ก็สามารถเข้าไปค้นหาเบาะแสได้หมด ประตูที่ปิดไว้แต่สามารถเข้าไปค้นหาเบาะแสได้ รายการจะเจาะจงติดเลขห้องไว้เป็นพิเศษ ขอแค่หากุญแจที่มีเลขห้องตรงกันเจอ ก็สามารถเข้าไปค้นหาเบาะแสในห้องนั้นๆ ได้
ฉยงเหรินในนามเมนเทอร์ไม่จำเป็นต้องค้นหาเบาะแส แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องสวมบทบาทเด็กฝึกด้วย เพราะอย่างไรการหาเมนเทอร์ให้เจอก็เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบเด็กฝึกเช่นกัน
เขาเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง มองซ้ายมองขวา ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
เจียงอี้หมิงกำลังกดซย่าหุยกับกำแพง มือหนาจับเอวบางๆ ของซย่าหุย ดวงตาแดงก่ำ เสียงแหบพร่า “แค่ให้คำใบ้นายจะไปมีค่าอะไร ฉันให้นายได้ทั้งชีวิต”
ฉยงเหรินเดินกลับทางเดิมสีหน้าไร้อารมณ์
พยายามกันเหลือเกิน
ตอนนี้ถ้าจะขายคู่ชิป จะแจกโมเมนต์อย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องเตรียมบทพูดให้พร้อม แล้วแสดงความสัมพันธ์แบบ love-hate ต้องแยกจาก สุขทุกข์ผสมกันไป ทรมานหัวใจแฟนคลับจนต้องร้องโอ๊ยๆ แล้วบอกพวกเขาเรียลมาก จึงจะนับว่าประสบความสำเร็จ
เชิญเลย โกยเงินกันให้ตายไปข้าง
เจียงอี้หมิงรีบตามออกมา ในวงการบันเทิง ส่วนสูงของเขาเรียกได้ว่าสูงไม่น้อย มีสมญานามว่าเป็นไอดอลนายแบบหุ่นฟ้าประทานมาแต่ไหนแต่ไร
ฉยงเหรินมองพิจารณาสายตาจับผิดสองสามครั้ง เหอะ เทียบกับเพื่อนข้างห้องเขาไม่ติดเลยเถอะ
แต่ก็จะโทษว่าหุ่นของเจียงอี้หมิงเทียบไม่ติดก็ไม่ได้ ต่อให้เป็นหุ่นฟ้าประทาน ยังไงก็เทียบกับเทพจริงๆ ไม่ได้อยู่แล้ว
“ถ้าคุณกล้าเอาเรื่องที่เห็นเมื่อกี้ออกไปพูดล่ะก็”
เจียงอี้หมิงสีหน้าโหดเหี้ยม ฉยงเหรินมองอย่างไม่เข้าใจ
เป็นดวงตาที่สวยมาก…เมื่อเจียงอี้หมิงเห็น ใจก็ถึงกับเลื่อนลอย น้ำเสียงอ่อนลงทันใด “หวังว่าคุณจะไม่เอาไปพูดส่งเดช”
ฉยงเหรินรู้สึกสับสนจากก้นบึ้งของหัวใจ “แต่…เรากำลังไลฟ์อยู่ไม่ใช่เหรอครับ” เขาชี้ไปยังกล้องที่มีอยู่ทุกที่ “ผมคิดว่าคนที่ดูอยู่ก็น่าจะเห็นกันหมดแล้ว คงไม่นับว่าผมเอาไปพูดส่งเดชใช่ไหม”
[อุ๊บ ฮ่าๆๆๆ ตลกเป็นบ้า เจียงอี้หมิงอยากดังจะเป็นจะตาย เสียแต่ไอคิวต่ำไปหน่อย รีบร้อนจะขายเซอร์วิส แต่ขายยันไม่เหลือแม้แต่กางเกงในให้ปิดไอ้นั่นแล้ว]
[ฉันแอบไปส่องใน Super Topic ของคู่ชิปคู่นี้มาละ กำลังหวีดความเรียลของคู่เจียงซย่ากันเลย จากไอดอลสู่นักแสดงตลกเต็มรูปแบบของแฟนๆ]
[ท่ากับบทพูดนี่เขาไปก๊อปมาจากเว็บจิ้นเจียงใช่ไหม ช่วงนี้เหมือนว่ามุกอุ้มลูกผิดสลับตัวเด็กบ้านรวยกับเด็กบ้านจนกำลังมาแรงสุดเลย หวังว่าเจียงอี้หมิงจะรีบแต่งไวๆ นะ ฉันยินดีเติมเงินอ่านเลย]
[ขำท้องแข็งเลยอะ นี่เพื่อนฉันให้ฉันมาดูหนังตลกเหรอ ตลกชะมัด มีหนังตลกที่ไหนสนุกเท่านี้อีกไหม]
แฟนคลับเจียงอี้หมิงโถมคอมเมนต์ในช่องไลฟ์ของเขาอย่างบ้าคลั่ง อยากจะเตือนเขาว่าฉยงเหรินเป็นเมนเทอร์ น่าเสียดายที่เด็กฝึกไม่สามารถดูคอมเมนต์ได้
“เพราะงั้น” ฉยงเหรินกล่าว “ช่วยเขยิบหน่อยได้หรือเปล่าครับ คุณบังทางอยู่”
เจียงอี้หมิงโมโหโทโสจนหน้าแดงจัด “มีแค่ผมกับคุณอยู่ตรงนี้ ผมจะไปบังใครได้”
ฉยงเหรินมองวิญญาณที่ต่อแถวยาวเป็นขบวนด้านหลังเขา คุณไม่ได้บังทางใครก็จริง แต่คุณบังทางผีอยู่นี่นา
* เป่าเปา แปลว่าสมบัติล้ำค่า เป็นคำที่มักใช้เรียกลูกหรือเด็กเล็ก บ้างใช้เรียกคนรัก
* Great Escape เป็นรายการวาไรตี้โชว์ผจญภัยที่สมาชิกจะถูกพาไปยังห้องลับและต้องถอดรหัสเพื่อหนีออกไปให้ได้
** I Am a Singer เป็นรายการแข่งขันร้องเพลงที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์หูหนาน เป็นรายการที่จะให้นักร้องมืออาชีพมาแข่งกันเอง
บทที่ 33
“เขยิบหน่อย เขยิบหน่อยซี่!” ยมทูตสองตนตะโกน “ฟอลโลว์มี! เฮอร์รี่อัพพึ”
วิญญาณกลุ่มหนึ่งลอยตามหลังยมทูตขาวและดำ ถึงจะผิวเหลืองตาขาวเหมือนกัน แต่ฉยงเหรินคิดว่าพวกเขาต่างไปจากวิญญาณทั่วไปนิดหน่อย
ผีสาวตนหนึ่งกุมอกพร้อมอุทาน “OMG! What happened? Why are there so many living persons?” (โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น ทำไมที่นี่ถึงมีคนเป็นเยอะขนาดนี้)
ชายชราร่างท้วมข้างๆ เธอมองซ้ายมองขวา “Are they shooting a TV show?” (พวกเขาถ่ายรายการทีวีกันอยู่เหรอ)
ชายฉกรรจ์มองฉยงเหริน สีหน้าอึ้งทึ่ง “Wow, man! He is such a beautiful boy, like Narcissus.” (ว้าว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่สวยมาก อย่างกับนาร์ซิสซัส* เลย)
ฉยงเหรินที่ตัวแนบกำแพงเขยิบทางให้เหล่าวิญญาณเงียบๆ ชักจะคุมสีหน้าไม่อยู่
ทำไมพวกเขาถึงพูดภาษาอังกฤษล่ะ
ผีหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มที่ตัวแนบกำแพงขยับทางให้ยมทูตเหมือนกันมองเห็นแววตกใจบนสีหน้าของฉยงเหริน ก็อธิบายด้วยความหวังดี
“พวกเขาเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่เกิดในต่างประเทศ ถึงสัญชาติจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ตราบใดที่นับถือความเชื่อเดียวกัน หลังตายวิญญาณก็ต้องกลับบ้านเก่าอยู่ดี
ยมโลกของพวกเราจะส่งยมทูตไปรับวิญญาณลูกหลานชาวจีนที่ต่างประเทศกลับมาทีเดียวหลายๆ ดวง ก่อนจะส่งไปพิจารณาบาปในนรก ก็จะพาไปสอนภาษาจีนง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาที่สถานทูตประจำแดนหยาง หลังจากนี้พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในนรกได้”
มีมนุษยธรรมมากเลย! ตอนมีชีวิตรัฐก็รับดูแลผู้อพยพชาวจีนกลับบ้าน พอตายแล้วยังรับพาวิญญาณกลับมาลงนรกที่ประเทศบ้านเกิดด้วย!
เจียงอี้หมิงที่เห็นฉยงเหรินจู่ๆ ก็หมุนเอาตัวไปแนบกับกำแพงตอนคุยกับเขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ราวกับกระโดดลงสระว่ายน้ำที่ไม่ได้เปิดตัวปรับอุณหภูมิ
เขามองสายตาของฉยงเหรินที่พิศจ้องไปยังมวลอากาศว่างเปล่าจุดหนึ่ง สีหน้าเหมือนกำลังตั้งใจฟังอยู่ แล้วความใจกล้าที่แสดงออกมาก่อนจะเข้าสู่ตึกร้างก็เริ่มพังทลาย
ที่จริงเขากลัวผีมากๆ
ขณะนั้นซย่าหุยก็เดินออกมา
ซย่าหุยลูบข้อมือที่แดงเพราะถูกเจียงอี้หมิงบีบป้อยๆ นัยน์ตาแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่รางๆ รู้สึกเหมือนกำลังกล้ำกลืนความอัปยศเพื่อแบกรับภาระอันหนักอึ้งอยู่
ช่องไลฟ์ของเขาถูกคอมเมนต์ของแฟนๆ ที่ก่นด่าเจียงอี้หมิงอย่างฮึกเหิมสาดเต็มหน้าจอ
[จับซย่าซย่ามาขายเซอร์วิสแล้วยังทำให้เขาเจ็บอีก เจียงอี้หมิงน่าขยะแขยงจริงๆ รีบๆ ไปตายสักทีได้ไหม]
[ฉันสงสารเสี่ยวซย่ามากเลย เขาต่อต้านเป็นบ้าเป็นหลังทุกครั้งที่จะขายเซอร์วิส ทั้งเจียงอี้หมิงทั้งค่ายไปตายให้หมด!]
[วันนี้เจียงอี้หมิงตายหรือยัง ตายแล้ว]
[ซย่าที่รัก นิสัยดีเกินไป ถึงได้ถูกคนพวกนี้กลั่นแกล้งบ่อยๆ]
ต่อให้เด็กฝึกไม่เห็นคอมเมนต์ ซย่าหุยก็พอจะเดาเนื้อหาได้ เขาหลุบตาลงบดบังความลำพองใจในแววตา
ตลอดมาเขาให้ความร่วมมือกับการขายเซอร์วิสของเจียงอี้หมิงตลอด ซ้ำยังจงใจขยายประเด็นการร่วมมืออย่างจำใจนี้ให้ใหญ่ขึ้น
เมื่อเป็นแบบนี้นอกจากจะทำให้แฟนคลับที่คีปเมนสงสารเขาแล้ว ยังสามารถตัดขาดกับเจียงอี้หมิงอย่างรวดเร็วหลังจากเขาหมดประโยชน์ ถึงตอนนั้นขอแค่แฉข้อมูลว่าเจียงอี้หมิงบังคับให้เขาขายเซอร์วิสออกไป ก็สามารถใช้คำว่าผู้เสียหายมาสวมให้ตัวเองได้
ที่ซย่าหุยมาเข้าร่วมรายการในครั้งนี้ ก็เพราะมีความทะเยอทะยานของตัวเองเหมือนกัน
เขาชินกับผลประโยชน์ที่ได้มาจากความนิยมของคู่ชิปแล้ว เขาจะยืนมองเจียงอี้หมิงค่อยๆ ดับหลังจากจบรายการ และจากนั้นเขาก็เล็งเป้าหมายคู่ค้ารายใหม่ไว้แล้ว
นั่นก็คือฉยงเหริน
ฉยงเหรินใช้รูปแค่รูปเดียว ก็สามารถทำให้ Super Topic คู่ชิประหว่างเขากับดอกบัวแดงในภาพพุ่งทะยานไปถึงท็อปสิบได้ คุณภาพโพสต์ต่างๆ ของแฟนคลับใน Super Topic ก็ดีเยี่ยม ทำให้ซย่าหุยยิ่งเกิดความรู้สึกอิจฉาตาร้อน เขาติดตามสังเกตมาแล้ว ระดับแสงที่ส่องหาฉยงเหรินไม่ได้สูงมาก แต่จำนวนแฟนคลับเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วสม่ำเสมอสุดๆ ระดับความรอยัลของแฟนคลับก็สูงเสียยิ่งกว่าแฟนคลับรายการเซอร์ไววัลที่เปลี่ยนเมนตัวเองทุกสามเดือนมาก
เขาจะต้องสร้างความรู้สึกเหมือนพบเจอโชคชะตากับฉยงเหรินในรายการให้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงลงทุนเตรียมสร้อยดอกบัวแดงไว้ให้ตัวเองเส้นหนึ่ง เหลือก็แค่หาเวลาเหมาะๆ ค่อยๆ แอบโชว์ออกมา
ซย่าหุยที่คิดว่าตัวเองถือไข่มุกแห่งปัญญาอยู่ในฝ่ามือ* ก้าวฉับๆ ไปหาฉยงเหริน ใช้สายตาขลาดกลัวเล็กน้อยเหลือบมองเจียงอี้หมิง จากนั้นยิ้มพลางยื่นมือ “สวัสดีครับ ผมชื่อซย่าหุย ผมเคยดูคลิปของคุณด้วย คุณเต้นเก่งมากเลย”
ฉยงเหริน “ขอบคุณครับ คุณก็…”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าซย่าหุยมีผลงานเด่นๆ อะไร ในตอนที่กำลังเค้นสมองว่าควรจะพูดอะไรดี เจียงอี้หมิงก็โพล่งขึ้นก่อน
“ก็ไม่แย่” เจียงอี้หมิงกล่าว “แต่ผมคิดว่าในสายสตรีตแดนซ์แบบรุ่นพี่ฉยงเหริน คนที่เก่งที่สุดควรเป็น PP ที่ได้แชมป์สตรีตแดนซ์ระดับโลกตั้งแต่อายุสิบหก”
เจียงอี้หมิงไม่ค่อยมีพรสวรรค์ เขาจึงพยายามสร้างคาแร็กเตอร์ของคนที่ซ้อมทั้งวันทั้งคืนให้ตัวเอง อย่างนอนวันละสองชั่วโมงเพื่อเอาเวลาไปซ้อมต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือนเอย หรือมีแต่แผลฟกช้ำทั่วร่างกายเอย ซ้อมร้องเพลงจนเสียงแหบเอย เป็นต้น
มุกนี้ใช้ได้ผลไม่น้อย แฟนคลับขาจรที่ไม่รู้ภูมิหลังอะไรล้วนรู้สึกประทับใจในตัวเขา
คอมเมนต์ก็พากันชมว่าเขามีความทะเยอทะยาน อนาคตจะต้องสดใสแน่นอน
เจียงอี้หมิง “ถึงไลน์เต้นของ PP กับรุ่นพี่ฉยงเหรินจะคล้ายกัน แล้วทั้งคู่ก็อยู่ในสาย XX ที่สร้างขึ้นโดย XX ซึ่งค่อยๆ เป็นที่นิยมในประเทศจีนในตอนหลังเหมือนกัน แม้ความสามารถในการเต้นของรุ่นพี่ฉยงเหรินจะไม่เลว แต่ผมว่า PP มีความเป็นเด็กวัยรุ่นมากกว่า ตอนรุ่นพี่ฉยงเหรินแสดงมันดูประณีตเกินไปหน่อย”
ถึงจะบอกว่าฉยงเหรินเต้นได้ประณีต แต่ความจริงก็มีความหมายไม่ต่างกับการด่าฉยงเหรินว่ายังเต้นขาดความเป็นศิลปะ ไม่มีจิตวิญญาณมากพอ
“บางท่าของรุ่นพี่ฉยงเหรินก็เหมือนกับเขามาก คุณนับถือเขามากเลยใช่ไหม”
ความไม่พอใจปรากฏในแววตาของซย่าหุยชั่วครู่ ทำไมเจียงอี้หมิงต้องสร้างเรื่องในเวลาแบบนี้ตลอดด้วย คำพูดแบบนี้ต่างอะไรกับการหาว่าฉยงเหรินขโมยความคิดคนอื่น
เจียงอี้หมิงเห็นสีหน้าของฉยงเหรินค่อยๆ แปลกไปหลังจากได้ยินคำพูดของเขา ก็คิดว่าตนเอ่ยแทงใจดำฉยงเหรินได้ถูกจุด ก่อนเอ่ยสรรเสริญต่อ “PP เป็นนักเต้นที่ผมนับถือที่สุด เคารพที่สุด และชอบที่สุด น่าเสียดายที่เขาไม่เต้นมาหลายปีแล้ว ที่เขาว่ากันว่าในยุคที่ไร้ซึ่งวีรบุรุษ เด็กธรรมดาไร้ชื่อก็กลายเป็นยอดคนได้ ผมรู้สึกปวดใจทุกทีที่คิดถึงเรื่องนี้”
ฉยงเหรินเกาหัวแกรกๆ “ก็พอได้ ผมคิดว่า PP ไม่ได้เก่งขนาดนั้น การเต้นหลายปีก่อนของเขายังมีปัญหาหลายจุด บางทีคุณควรพิจารณาชอบคนอื่นดูบ้าง ผมคิดว่าสไตล์การเต้นของเขาไม่ค่อยเหมาะกับคุณ”
คอมเมนต์กระสุนในช่องไลฟ์ของเจียงอี้หมิงเริ่มพ่นคำด่าทันที
[ไอ้แป้กนี่ตลกชิบ ยังมีหน้ามาแนะนำให้ผัวฉันไปชอบคนอื่นอีก คิดว่าตัวเองเป็นใคร]
[ไอ้แป้กนี่ต้องไม่รู้จักกระทั่ง PP แน่ ก็ดังจากการมีเดียเพลย์นี่เนอะ]
[ขอเล่าเรื่องตลกหน่อย ไอดอลที่ดังเพราะมีเดียเพลย์บอกว่าการเต้นของแชมป์โลกมีปัญหาว่ะ]
เจียงอี้หมิงยังคิดที่จะพยายามแสดงต่อไปอย่างไม่ลดละ แต่ซย่าหุยจะนั่งเฉยมองคู่ค้าในอนาคตของตัวเองถูกรังแกได้ยังไง ถึงเขาจะไม่รู้ว่า PP คือใคร แต่ก็ไม่ส่งผลอะไรกับคำพูดตอกกลับแบบแอ๊บใสของเขา
“ถ้าเลิกเต้นไปตั้งหลายปีแล้ว งั้นก็แปลว่าความรักในการเต้นของเขาหายไปแล้วน่ะสิ คนแบบนี้จะมาเป็นไอดอลให้เราได้ไงล่ะครับ” ตาลูกกวางของซย่าหุยส่องแสงบลิงก์ๆ “ผมว่ารุ่นพี่ฉยงเหรินตอนพยายามเพื่อความฝันตัวเองดูเปล่งประกายมากเลย ผมนับถือคุณมากครับ”
เขาพูดจบ ก็เหลือบมองและยิ้มให้เจียงอี้หมิง “นายก็พยายามมาตลอดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้ฉันน่าจะได้ความประทับใจจากฉยงเหรินมาบ้างแล้วนะ ซย่าหุยคิดอย่างมั่นใจ ขอแค่หาทางสกินชิปและสบตาหวานเยิ้มกับเขา เรือคู่ชิปก็จะตระหง่าน! ควรตั้งชื่อแบบไหนดี ฉยงซย่า ฉยงหุย
ช่องไลฟ์ของซย่าหุยเต็มไปด้วยเสียงร้องตะโกนของแฟนๆ สาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่งว่าซย่าซย่าเป็นนางฟ้าแสนดีหนึ่งเดียวในวงการ
เหล่าชิปเปอร์ก็ระริกระรี้เช่นกัน พวกเธอวิเคราะห์ ดูภายนอกอาจจะเหมือนซย่าหุยกำลังชมฉยงเหริน แต่จริงๆ กำลังชมเจียงอี้หมิงอ้อมๆ ว่าเขาขยัน ซย่าหุย แกรักเขามากเลยอะ
ฉยงเหรินที่อยู่ใจกลางพายุรู้สึกจากเบื้องลึกของจิตใจว่าเทียบกับผีแล้ว คนเป็นคุยด้วยยากกว่าเยอะ
เขาหันไปยิ้มหวานๆ ให้ทั้งคู่
เขารู้ว่าตัวเองหน้าตาดีมาก ยิ่งยิ้มก็ยิ่งดูดี เขาน่าจะหาจังหวะหนีไปเงียบๆ ตอนสองคนนี้กำลังเหม่อได้
แล้วซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงก็เหม่อกับรอยยิ้มของเขาไปชั่วขณะหนึ่งจริงๆ ฉยงเหรินรีบสาวเท้าขึ้นชั้นสองไปทันที
หลังจากเขาตรงดิ่งมาชั้นสองได้ ก็เผลอแสดงสีหน้าขอบคุณฟ้าดิน
แฟนรายการสนุกสนานกันใหญ่
[555555 ฉยงเหรินซื่อตรงดีจัง ฉันได้ยินคนพูดแอ๊บใสซื่อแบบนั้น ก็อยากวิ่งหนีเหมือนกัน]
[ใส่กุญแจล็อกซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงไว้ด้วยกันจนตายไปเลยเหอะ เหมาะสมกันสุดๆ]
[อยากเห็นสีหน้าพวกเขาตอนรู้ว่าฉยงเหรินเป็นเมนเทอร์]
เด็กฝึกทั้งหลายได้รับรู้ความสำคัญของเมนเทอร์จากกฎของรายการแล้ว จะการช่วยเหลือนอกสนามหรือคำใบ้เบาะแสก็ช่างเถอะ สิ่งที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังที่สุดคือเมนเทอร์สามารถหักเวลาค้นหาเบาะแสได้
อุตส่าห์ได้มาออกรายการที่จะได้โชว์ตัวแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งที ถ้าโดนหักเวลาขึ้นมา ก็โคตรจะเสียเปรียบเลย
ตามเกณฑ์โดยปกติของรายการเซอร์ไววัล เมนเทอร์ถ้าไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งในวงการสูง ก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาและศีลธรรมสูงส่ง
เมนเทอร์ที่ทุกคนคาดเดาคำตอบไม่ต่างกันมาก ไม่ใช่กู้เมิ่งซัง ก็ต้องเป็นเหมียวเจ๋อเหยียน
ผู้ชมทั่วไปรับชมอย่างสนุกสนาน เฝ้ารอคอยช่วงที่ฉยงเหรินเปิดเผยตัวตน แต่แฟนคลับที่คีปเมนร้อนใจจนแทบร้องขอชีวิต อยากจะตรงดิ่งไปที่ตึกร้างแล้วบอกพี่ชายของตัวเองว่าฉยงเหรินคือเมนเทอร์ เลิกเลียขาผิดคนได้แล้ว!
ฉยงเหรินถึงชั้นสอง ก็สวมบทบาทเด็กฝึกต่อ ครั้งนี้เขารอบคอบมากขึ้นก่อนที่จะเข้าประตูบานไหน
ผีหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มลอยขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง เขาที่รับชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เข้าใจสุดๆ ว่าฉยงเหรินกลัวอะไรอยู่ จึงรีบเข้าไปดูลาดเลาให้ จากนั้นก็ลอยออกมาบอก “ข้างในไม่มีคนครับ”
ฉยงเหรินถึงได้เข้าห้องไปอย่างเบาใจ
ภายในห้องนี้มีรูปหมู่รวมสิบคนแขวนอยู่ ฉยงเหรินแกะรูปภาพลงมา ด้านหลังรูปเขียนตามลำดับว่าเจ้าอี เฉียนเอ้อร์ทำนองนี้ไปจนถึงเฉินสือ
ชื่อของสิบคนนี้สอดคล้องกับชื่อของเด็กฝึกทั้งสิบ เพื่อให้ผู้ชมจำได้ง่ายๆ รายการจึงจงใจเรียงลำดับตามตำราร้อยสกุลชาวจีนและตัวเลขจะได้เป็นมิตรต่อผู้ชมที่จำชื่อไม่เก่ง
ฉยงเหรินพลิกรูปกลับมา แล้วเริ่มสำรวจคนในรูป ในตอนนั้นเองไฟในห้องก็เริ่มกะพริบ
ปัง!
ประตูปิดลงฉับพลัน หน้าต่างของห้องนี้ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแค่ของตกแต่ง ไม่มีแสงลอดเข้ามาได้เลย ห้องทั้งห้องกลายเป็นมืดมิด มีแค่แสงโคมไฟแบบเก่าสลัวๆ ที่กะพริบแวบๆ มอบความสว่างอันน้อยนิดให้
ผู้ชมไม่น้อยต่างตกใจ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น จู่ๆ หลังม่านหน้าต่างก็ปรากฏเงาเงาหนึ่ง เธอค่อยๆ เดินมาจากด้านข้าง เงาเคลื่อนเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เสียงหัวเราะเบาๆ สะท้อนไปมาอยู่ในห้อง
[แม่ง! ทำไมฉันต้องใส่หูฟังด้วยเนี่ย!]
[ฉันลาล่ะ]
[ฉันตายแล้ว ห้ามเรียกฉัน]
ฉยงเหรินมองพิจารณาสถานการณ์ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะรู้สึกกลัวเป็นมารยาทสักหน่อย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงถอยหลังสองก้าว กุมอก พยายามทำเป็นกลัวสุดความสามารถ พูดด้วยน้ำเสียงโมโนโทนไม่มีจังหวะจะโคนออกมาว่า
“อา น่ากลัวจังเลย ในนี้มีผีจริงๆ เหรอเนี่ย อา กลัวจังเลย”
นักแสดงที่แสดงเป็นผีนิ่งค้าง
หมายความว่าไง นี่จะเยาะเย้ยว่าฉันแสดงไม่ดีเหรอ
* นาร์ซิสซัส เป็นเทพในตำนานกรีก ซึ่งเป็นที่เลื่องลือด้านความงดงาม
* ถือไข่มุกแห่งปัญญาอยู่ในฝ่ามือ เป็นการอุปมาว่ามีปัญญาสูงส่ง สามารถรับมือได้กับทุกปัญหา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.