X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย บทที่ 106

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 106

วันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่ง มรสุมเรื่องคนร้ายชาวตงอิ๋งยังไม่หายไปเสียทีเดียว ในสายลมยังเจือกลิ่นอายอันตรายอย่างบอกไม่ถูก หวังเหยียนชิงจัดการบัญชีในอดีตเสร็จเรียบร้อย ตั้งใจว่ารอให้ประตูเมืองเปิดโดยสมบูรณ์ก็จะเดินทางออกจากนครหลวง ช่วงสองสามวันสุดท้ายนางไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวาย พอฟ้ามืดจึงสั่งให้คนปิดประตู เตรียมตัวเข้านอน

ทว่าวันนี้ประตูคฤหาสน์ปิดลงได้ไม่นานกลับมีคนมาเคาะประตูข้าง หวังเหยียนชิงกำลังคลายมวยผม สาวใช้ก็ซอยเท้าวิ่งเข้ามา เอ่ยอย่างร้อนรน “ฮูหยิน ใต้เท้าลู่มาเจ้าค่ะ”

มือของหวังเหยียนชิงที่กำลังดึงปิ่นมุกออกชะงัก มองไปนอกหน้าต่าง “เวลานี้น่ะหรือ”

“เจ้าค่ะ”

หวังเหยียนชิงรู้ดีว่าลู่เหิงมิใช่คนที่ทำอะไรอย่างไร้จุดหมาย ต่อให้เขาจะเล่นลูกไม้ก็ไม่เลือกโจมตีนางกะทันหันยามดึกเป็นแน่ นางรู้สึกได้ว่าบางทีอาจมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจึงสั่งให้สาวใช้ไปเปิดประตูทันที ขณะเดียวกันตนเองก็แต่งตัวใหม่

หวังเหยียนชิงยังเกล้าผมไม่เรียบร้อยดี ประตูห้องก็ถูกเคาะเสียแล้ว หญิงสาววางปิ่น เอ่ยถามเสียงขุ่นอยู่บ้าง “บอกแล้วมิใช่หรือว่าให้เขาไปรอที่ห้องโถงกลาง”

“ไม่ทันแล้ว” ลู่เหิงผลักประตูเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ หยุดอยู่หน้าประตู จ้องมองนางพลางพูด “ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”

หวังเหยียนชิงหันกลับไปมองเขา จากนั้นมองสาวใช้ สุดท้ายก็โบกมือเบาๆ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

เหล่าสาวใช้ถอยออกไปตามลำดับ เฝ่ยชุ่ยอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย รู้สึกลังเลอยู่บ้างที่ต้องปล่อยให้หวังเหยียนชิงอยู่ร่วมห้องกับลู่เหิงตามลำพัง ทว่าหลังจากมองดูหวังเหยียนชิงแล้ว สุดท้ายนางยังคงปิดประตูตามคำสั่งของอีกฝ่าย รอจนคนจากไปหมดแล้วหวังเหยียนชิงก็ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง ถามเขา “ใต้เท้าลู่มีอะไรจะพูดหรือ”

ลู่เหิงถอนหายใจหนึ่งที เดินผ่านฉากกั้นสูงจรดเพดานมาหยุดตรงหน้านาง “ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ยินดีพบข้าแล้วเสียอีก”

“หากท่านยังจะเฉไฉไปเรื่องอื่น ข้าจะไล่ท่านออกไปจริงๆ แล้ว”

ลู่เหิงเดินไปข้างกายนาง โอบไหล่นางและกดให้นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งดังเดิม “สางผมต่อเถอะ ระหว่างรอข้าจะพูดไปด้วย”

ไม่พบกันนานมาถึงก็แตะเนื้อต้องตัวทันที เดิมทีหวังเหยียนชิงอยากจะผลักเขาออก แต่ไม่รู้เป็นเพราะเงาสะท้อนจากคันฉ่องหรือไม่ เขาในคันฉ่องจึงดูผ่ายผอมลงมาก หวังเหยียนชิงสังเกตเห็นว่าใต้ชุดคลุมกันลมของเขาเป็นชุดเฟยอวี๋ ถ่านไฟในห้องจุดไว้มากมายเพียงนี้ เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะถอดเสื้อคลุมหรือปลดดาบซิ่วชุนออกเลย สุดท้ายหญิงสาวจึงไม่สะดวกใจจะลงมือ เอ่ยถาม “ท่านเพิ่งออกมาจากวังหรือ”

ลู่เหิงถอนใจเบาๆ เผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาอย่างหาได้ยาก “ใช่”

หวังเหยียนชิงใช้ปิ่นยึดเส้นผมไว้ ชำเลืองมองเขาจากคันฉ่องนิ่งๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ฮ่องเต้ถูกลอบทำร้าย เพิ่งจะช่วยเอาไว้ได้”

หวังเหยียนชิงมือสั่นอย่างรุนแรง เกือบทำปิ่นร่วงตกพื้น ลู่เหิงรับปิ่นอันนั้นไว้ ประคองมือนางแล้วเสียบปิ่นลงบนมวยผม “ไม่ต้องกังวล พระวรกายของฮ่องเต้ไม่เป็นอะไรแล้ว”

เพียงแต่จิตใจนั้นสาหัสทีเดียว

หวังเหยียนชิงตกใจจนร่างกายเย็นเฉียบไปหมด มือก็เย็นเป็นน้ำแข็งโดยไม่รู้ตัว นางก็ว่าอยู่แล้วเชียว วันนี้ท้องถนนไม่ค่อยปกตินัก ที่แท้ในวังเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้

นางอกสั่นขวัญผวาจนไม่ทันสังเกตการกระทำของลู่เหิงในยามนี้ที่ใกล้ชิดกับนางจนเกินไป หญิงสาวตั้งสติพลางถาม “คนร้ายคือพวกวอโค่วหรือ”

“มิใช่” ชั่วขณะลู่เหิงเองก็รู้สึกยากจะอธิบายเรื่องเหลวไหลนี้ได้เช่นกัน “ไม่อาจเรียกว่าคนร้ายได้ด้วยซ้ำ แต่เป็นนางกำนัลในวังของเฉาตวนเฟย”

หลายวันมานี้ลู่เหิงแก้แค้นพวกวอโค่วที่ทำลายงานแต่งงานของเขาอย่างบ้าคลั่ง แม้คนพวกนั้นจะนับว่าช่วยเขาครั้งใหญ่โดยบังเอิญ แต่ลู่เหิงไม่สน ในใจเขามีโทสะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีที่ระบาย พวกวอโค่วส่วนใหญ่ล้วนไปซุ่มโจมตีในงานแต่งงาน พรรคพวกที่เหลือในเมืองเดิมทีก็มีไม่มาก หลายวันนี้ภายใต้การล้อมสกัดขององครักษ์เสื้อแพรจึงกวาดล้างไปหมดสิ้นแล้ว

กระนั้นคิดไม่ถึงว่าวิกฤตจะมิได้มาจากแคว้นศัตรู แต่มาจากคนภายในของตนเอง เรื่องที่นักรบเดนตายวอโค่วที่โหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์อุตส่าห์เตรียมการมาหลายปียังทำไม่สำเร็จกลับเกือบจะสำเร็จลุล่วงเพราะนางกำนัลแค่ไม่กี่คน

หวังเหยียนชิงได้ยินคำพูดนี้แล้วสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเดิม นางยังสงสัยว่าตนเองฟังไม่เข้าใจใช่หรือไม่ “นางกำนัล?”

“ใช่” ลู่เหิงพยักหน้า ยืนยันว่านางไม่ได้ฟังผิด “เป็นนางกำนัล มีทั้งหมดสิบหกคน ผู้นำชื่อว่าหยางจินอิง เมื่อตอนกลางวันข้าดูบันทึกการเข้าวังของพวกนางแล้วยังไม่พบความเป็นไปได้ในการสมคบกับข้าศึกชั่วคราว”

หวังเหยียนชิงฟังจบด้วยความตกตะลึง นางโตมาจนป่านนี้หนังสือประวัติศาสตร์อ่านมาไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องที่เหลวไหลถึงเพียงนี้ นางคิดมาโดยตลอดว่าการก่อกบฏลอบปลงพระชนม์น่าจะเป็นเรื่องที่ลึกล้ำและยากลำบากมากเรื่องหนึ่ง

ขบคิดถึงตรงนี้นางพลันตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล “ท่านมาบอกเรื่องพวกนี้กับข้าด้วยเหตุใด”

ไม่ว่าราชวงศ์ใดหรือยุคสมัยใด เรื่องที่ฮ่องเต้เกือบถูกลอบปลงพระชนม์นี้น่าจะเป็นความลับกระมัง ลู่เหิงคิดในใจ ชิงชิงช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นโดยแท้ เขาเพิ่งจะเอ่ยปากนางก็เดาได้แล้ว

ลู่เหิงกุมไหล่หวังเหยียนชิงเบาๆ พลางพูด “นางกำนัลปองร้ายองค์เหนือหัวเดิมทีก็เป็นเรื่องน่าตกใจอยู่แล้ว แต่สิบหกคนนั้นหลังจากเกิดเรื่องก็ถูกฟางฮองเฮาประหารชีวิต ซึ่งรวมถึงจางจินเหลียนที่มาแจ้งข่าวด้วย นั่นเป็นถึงฮองเฮาของแผ่นดิน ข้าไม่อาจสงสัยหรือสอบปากคำพระนาง จึงได้แต่คิดหาวิธีสืบหาความจริงทางอ้อม”

หวังเหยียนชิงเข้าใจแล้วว่าลู่เหิงคิดจะทำอะไร นางมองเงาสะท้อนในคันฉ่อง มิได้หลงเชื่อง่ายๆ “ต่อให้ไม่อาจสืบตรงๆ ลับหลังก็มีวิธีสืบเรื่องนี้อีกไม่น้อย ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวังหลวงเลย ทั้งยังเป็นคนนอก คดีลับคดีนี้ต้องการข้าจริงๆ หรือ”

ลู่เหิงถอนหายใจ เป็นไปตามคาดหลังจากฟื้นฟูความทรงจำแล้วนางเฉลียวฉลาดและเฉียบขาดขึ้นมาก ความคิดของตนเองก็มีมากขึ้น นี่ล่ะคือความระแวดระวังที่บุตรีครอบครัวทหารที่เคยบ้านแตกสาแหรกขาดต้องใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่ต่างถิ่นพึงมี ชายหนุ่มประสานสายตากับนางผ่านทางคันฉ่อง เอ่ยเสียงเนิบ “ใช้วิธีอื่นใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ย่อมต้องเสียเวลาแน่นอน ตอนนี้ฟางฮองเฮาคุมตัวเฉาตวนเฟยไว้แล้ว ก่อนออกจากวังข้าได้ยินว่านางไปตรวจสอบหวังหนิงผิน ข้าเป็นบุรุษที่อยู่นอกวัง ไม่อาจพูดแทนสนมชายาในวัง หากไม่ควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว ในวังยังไม่รู้ต้องมีคนตายอีกมากน้อยเพียงใด”

หวังเหยียนชิงรู้จักเฉาตวนเฟย นั่นเป็นสตรีที่งดงามและช่างยิ้มคนหนึ่ง เป็นที่รักใคร่ชื่นชอบทีเดียว หวังเหยียนชิงเคยพบหน้าเฉาตวนเฟยหลายหน ชีวิตที่ยังอ่อนเยาว์และเต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้ หวังเหยียนชิงไม่อาจเฝ้าดูอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าได้จริงๆ หญิงสาวถอนหายใจ ต่อให้นางรู้ดีว่านี่เป็นหลุมพรางของลู่เหิงก็จำต้องก้าวเข้าไป “แม้แต่ท่านยังขัดขวางฟางฮองเฮาไม่ได้ แล้วข้าเป็นใครกัน ไหนเลยจะโน้มน้าวฮองเฮาได้”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวพระนาง” ลู่เหิงว่า “อำนาจทั้งหมดในใต้หล้านี้ล้วนมาจากคนคนเดียว ฝ่าบาทต่างหากที่ทรงเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด”

หวังเหยียนชิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง อดชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่างมิได้ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีคนแล้วจึงกัดฟันเอ่ยเสียงค่อย “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ”

“ข้าเพียงแต่ช่วยแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทเท่านั้น” ลู่เหิงไม่รู้สึกโดยสิ้นเชิงว่าเขากำลังเอ่ยวาจาสามหาวอะไร เขาจ้องตานางพลางพูด “ตอนนี้พระอาการของฝ่าบาทไม่ดีเอามากๆ พระองค์ทรงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ไม่กล้าวางพระทัยคนข้างกายอีก ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปมิเพียงฝ่ายในและสนมชายาเท่านั้น แม้แต่ราชสำนักฝ่ายหน้าเองก็ต้องปั่นป่วน ราชสำนักกำลังจะยกทัพไปกวาดล้างวอโค่ว ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จะเกิดความวุ่นวายไม่ได้ เจ้าสามารถแยกแยะคำโกหกของทุกคนได้ เจ้าไปอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท บอกพระองค์ว่าใครโกหก ใครพูดความจริง เช่นนี้ฝ่าบาทจึงจะทรงสามารถตัดสินพระทัยในขั้นตอนต่อไปได้”

หวังเหยียนชิงตกตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว ความคิดเช่นนี้คงมีแต่ลู่เหิงเท่านั้นที่กล้าคิด เขาไม่กลัวถูกกล่าวหาว่ากุเรื่องมอมเมาผู้คน หลอกลวงเบื้องสูงหรือไรกัน

ลู่เหิงออกแรงจับไหล่หญิงสาว ตอบว่า “ข้ากำลังเดิมพันอยู่จริงๆ แต่ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ที่ข้ารู้จัก พระองค์จะทรงต้องเห็นชอบแน่”

หวังเหยียนชิงสบตากับเขาผ่านทางคันฉ่อง แม้ในเวลาเช่นนี้นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นก็ยังคงทอประกายระยิบระยับ สุขุม และกระจ่างใส หญิงสาวคิดในใจ เขาช่างเป็นนักเสี่ยงโชค เป็นคนเสียสติ และเป็นผู้ที่มีใจทะเยอทะยานโดยแท้

เรื่องนี้หากสำเร็จลง เขาจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจต่อฮ่องเต้แบบที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ในทางตรงกันข้าม หากล้มเหลว นับแต่นี้ไปเขาจะพ่ายแพ้ย่อยยับ ไม่เหลืออะไรเลย

ดวงตาของหวังเหยียนชิงใสกระจ่างเช่นกัน เอ่ยถามด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก “ดังนั้นท่านจึงอยากดึงข้าลงน้ำไปด้วยหรือ”

ลู่เหิงใช้มือข้างหนึ่งยันโต๊ะ มืออีกข้างโอบไหล่หวังเหยียนชิง เสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำทะมึนเบื้องหลังเขาทิ้งตัวลงมาคล้ายห่อหุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดโดยสมบูรณ์ “ชิงชิง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากไปจากนครหลวง หาสถานที่ที่เขาเขียวน้ำใสใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร แต่การไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครเป็นเพียงความฝันอันงดงามอย่างหนึ่งเท่านั้น หากราชสำนักฟอนเฟะ บ้านเมืองโกลาหล ในใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีธารดอกท้อ* เล่า ต่อให้เจ้ากลับไปเมืองต้าถงจริง ใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าวาดหวังไว้ ทว่าหากต้าหมิงเกิดความวุ่นวายภายในขึ้น พวกเหมิ่งกู่จะต้องยกทัพลงใต้มาแน่ ถึงเวลานั้นบ้านเกิดเจ้าจะต้องมีทหารบริสุทธิ์ตายในสงครามอีกมากน้อยเพียงใด จะต้องมีเด็กกลายเป็นเด็กกำพร้าเหมือนอย่างเจ้าอีกมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากเห็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น คนในสภาขุนนางเหล่านั้นร้อนใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก บุคคลที่มีพรสวรรค์เยี่ยงเจ้าหาได้ยากยิ่ง อย่าปล่อยให้ไข่มุกคลุกฝุ่น* เลย เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่บางครั้งบางคราวคำพูดประโยคเดียวของเจ้ากลับทำให้อีกหลายคนรอดชีวิตได้”

หวังเหยียนชิงหลับตาลงอย่างจนใจ ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าบนไหล่ของตนหนักอึ้งถึงเพียงนี้ “ทว่าแม้แต่ท่านข้ายังดูไม่ออก อุบายและความคิดของคนอย่างพวกท่าน ข้าไม่เข้าใจและไม่อาจทำได้”

ดวงตาของลู่เหิงผุดรอยยิ้มจางๆ แม้เขาจะไร้คุณธรรม แต่ถนัดการใช้คุณธรรมมาผูกมัดผู้อื่นมากทีเดียว เขายื่นมือไปประคองปิ่นของนาง “ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจกลอุบายเหล่านั้น หากจะพูดถึงอุบาย ไม่มีใครเอาชนะฮ่องเต้ได้ เจ้าแค่ต้องพูดความจริงเท่านั้นเอง”

คำพูดนี้ของลู่เหิงเป็นความจริง หวังเหยียนชิงไม่มีวงศ์ตระกูลและไม่มีภูมิหลัง ไม่เคยผ่านการฝึกฝนจากฝ่ายใดมาก่อน ความคิดยังเป็นแบบ ‘ชาวบ้านทั่วไป’ ที่มองว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วอยู่ นี่กลับเป็นฐานะที่ทำให้ฮ่องเต้วางใจได้มากที่สุด

ไม่ว่าเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างลู่เหิงหรือซย่าเหวินจิ่นจะแสดงออกอย่างจริงใจมากเพียงใด ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้

หวังเหยียนชิงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ตีหน้าขรึมทันใด เอ่ยเสียงเย็น “ท่านยืนดีๆ”

ลู่เหิงจะกอดนางทั้งตัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มทอดถอนใจด้วยความเสียดาย สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือ ยืดตัวขึ้นช้าๆ “เตรียมตัวเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ ข้าถือโอกาสออกมาตอนฝ่าบาทบรรทม ไม่อาจจากมานานเกินไป”

 

ลู่เหิงออกจากวังไปตามลำพัง ตอนกลับเข้ามากลับพาสตรีนางหนึ่งมาด้วย องครักษ์เฝ้าประตูวังมองหวังเหยียนชิงหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่กล้าซักถาม ปล่อยให้นางผ่านเข้าไปอย่างนอบน้อม

หวังเหยียนชิงกลับมายืนในเขตพระราชฐานชั้นในอีกครั้ง นางยังคิดว่าตนเองจะไม่ต้องพัวพันกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว สายลมยามค่ำคืนโชยพัดมา เงาไม้ภายในวังหนาแน่นมืดสลัว เห็นแล้วน่ากลัวทีเดียว ลู่เหิงกุมมือนางถามว่า “หนาวหรือไม่”

หวังเหยียนชิงดึงมือออก ตอบเสียงเย็นชา “ใต้เท้าลู่ พวกเราคุยกันแล้วมิใช่หรือว่าจะตัดขาดจากกัน”

ลู่เหิงลอบถอนหายใจ ไฉนจึงเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้เล่า เขาตอบอย่างเปิดเผย “ทว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นภรรยาของข้าอยู่ ก่อนที่ลู่ฮูหยินจะ ‘ป่วยตาย’ ยามอยู่ในวังช่วยให้เกียรติข้าด้วย”

หวังเหยียนชิงแค่นเสียงใส่ ไม่สนใจเขา แต่ก็ไม่ได้สะบัดมือลู่เหิงออกอีก

ฮ่องเต้ถูกลอบทำร้ายในวังของเฉาตวนเฟย แม้จะช่วยเหลือจนฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนย้าย ดังนั้นตอนนี้ฮ่องเต้จึงยังประทับอยู่ในวังอี้คุน หวังเหยียนชิงพิจารณารอบด้านเงียบๆ ลู่เหิงรู้ว่านางไม่รู้จักเส้นทางบริเวณนี้จึงบอกว่า “ที่นี่คือหกวังประจิม สถานที่พำนักของเหล่าสนมชายา หากมิใช่เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้เข้ามาในหกวังประจิม”

ลู่เหิงแม้จะเข้าออกวังหลวงบ่อยครั้ง แต่สถานที่ที่ไปบ่อยคือวังเฉียนชิงและตำหนักเฟิ่งเทียน ตอนที่เจี่ยงไทเฮายังมีชีวิตอยู่ เขายังไปเยือนวังฉือหนิงบ่อยครั้ง แต่เพื่อป้องกันข้อครหา เขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาบริเวณที่พักของสนมชายามาก่อน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในชีวิตนี้ของตนจะต้องมาอยู่ในตำหนักในตอนกลางคืน

หวังเหยียนชิงผงกศีรษะ ในสถานที่เช่นนี้นางไม่รู้จักใครสักคน ได้แต่ตามติดลู่เหิง ตอนก้าวผ่านประตูใหญ่ของวังอี้คุน ในใจนางรู้สึกเหม่อลอยคล้ายย้อนกลับไปตอนที่สูญเสียความทรงจำ เวลานั้นโลกของนางมีแต่สีขาวโพลน มีเพียงลู่เหิงที่เป็นความจริงแท้

น่าเสียดายสุดท้ายลู่เหิงก็ฉีกทำลายความฝันของนางด้วยมือของเขาเอง แม้แต่ที่พึ่งพิงเพียงอย่างเดียวของนางก็เป็นเรื่องหลอกลวง

ทั่วทุกหนแห่งในวังอี้คุนมีแต่องครักษ์เสื้อแพร พวกเขาเห็นลู่เหิงแล้วแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ลู่เหิงก้าวไปบนทางเดินขณะที่สายตามองตรงไปข้างหน้า องครักษ์เสื้อแพรก้มหน้าตลอดเวลา รอจนลู่เหิงเดินจากไปไกลแล้วจึงเหยียดกายตรงดังเดิม

พวกเขาเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงเป็นหนึ่งเดียวราวกับไม่มีความฉงนใจในตัวสตรีที่ปรากฏตัวข้างกายลู่เหิงแม้แต่น้อย ตำหนักกลางของวังอี้คุนมีคนเฝ้าอยู่ผู้หนึ่ง ได้ยินว่าลู่เหิงกลับมาแล้วก็รีบออกมาต้อนรับ “ใต้เท้าลู่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้วหรือ”

ตอนเขาวิ่งเข้ามา สายตากวาดมองไปยังหวังเหยียนชิง ดวงตาคล้ายมีความประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา กัวเทาเก็บสีหน้าท่าทีอย่างรวดเร็ว เขามิกล้าลืมว่าฮูหยินท่านนี้เชี่ยวชาญการแยกแยะสีหน้าคนมาก วิชาอ่านใจเรียกได้ว่าร้ายกาจ

เส้นทางขุนนางของกัวเทาเพิ่งจะเริ่มต้นไม่นานเท่าไร เขายังไม่อยากถูกผู้บังคับบัญชาเพ่งเล็ง

กัวเทาหลุบตาลง โค้งคำนับหวังเหยียนชิงอย่างนอบน้อม “คารวะฮูหยิน”

หวังเหยียนชิงหาได้รู้สึกแปลกใหม่กับท่าทีของกัวเทา ทุกคนในจวนสกุลลู่เห็นนางล้วนมีท่าทีเช่นนี้ หวาดกลัวแต่สะกดกลั้นไว้ เกรงว่าจะถูกหวังเหยียนชิงอ่านใจ

ก่อนหน้านี้หวังเหยียนชิงยังไม่เข้าใจ ต่อให้ทุกคนล้วนไม่ชอบถูกอ่านใจ แต่ไยต้องหวาดกลัวนางถึงเพียงนี้ด้วยเล่า จนกระทั่งนางฟื้นฟูความทรงจำจึงรู้ว่าที่พวกหลิงซีหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ไม่ใช่เพราะหวังเหยียนชิงคนเดียว แต่พวกเขากลัวลู่เหิงมากกว่า

หวังเหยียนชิงยิ้มตอบตามมารยาท พยักหน้าให้กัวเทา นางกับกัวเทาเคยพบกันหลายครั้ง ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่สนิทสนม หลังจากทักทายปราศรัยกันแล้ว ลู่เหิงก็เข้าประเด็นทันที เขาถาม “ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง”

“ฝ่าบาทบรรทมไม่สนิทเท่าไร น่าจะใกล้ตื่นบรรทมแล้วขอรับ”

“ระหว่างที่ข้าออกจากวังฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”

“ไม่ขอรับ”

เช่นนี้ก็ดียิ่ง ลู่เหิงไปตำหนักข้างถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกก่อน ขณะเดียวกันก็พาหวังเหยียนชิงไปที่ตำหนักข้างด้วย เขาวางเตาอุ่นมือลงในมือนาง “เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่ เมื่อเวลาเหมาะสมข้าจะส่งคนมารับเจ้า”

หวังเหยียนชิงพยักหน้าเป็นการบอกเขาว่าเข้าใจแล้ว ตำหนักข้างอยู่ไม่ไกลจากตำหนักกลาง อีกทั้งข้างนอกล้วนเต็มไปด้วยองครักษ์เสื้อแพร ลู่เหิงกลับไปที่ตำหนักบรรทมในวังอี้คุนอย่างวางใจ เขาเข้าไปได้ไม่นาน ฮ่องเต้ก็สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายตามคาด

ฮ่องเต้ตื่นจากฝันในสภาพเหงื่อเย็นหลั่งเต็มศีรษะ ลู่เหิงเดินไปยังม่านเตียงด้วยฝีเท้ามั่นคง เอ่ยถามเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท พระองค์ทรงจะเสวยน้ำหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตระหนกตกใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างอ่อนเพลีย ลู่เหิงเรียกนางข้าหลวงเข้ามา น้ำยังคงผ่านขั้นตอนการทดสอบพิษอันซับซ้อนเช่นเดิมจึงจะถูกยกมาเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้

ฮ่องเต้ดื่มน้ำไปหนึ่งถ้วย อารมณ์สงบลงเล็กน้อย ลู่เหิงเฝ้าอยู่ข้างเตียง เขาประเมินสีหน้าของฮ่องเต้แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำขอร้องที่ไม่สมควรอย่างหนึ่ง ขอพระองค์ทรงพระกรุณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ถูกคนรัดคอจนเส้นเสียงได้รับความเสียหาย จนกระทั่งตอนนี้เสียงยังคงแหบแห้ง เอ่ยถามอย่างไม่สดชื่น “เรื่องใดกัน”

ลู่เหิงก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นเพียงกระดูกคิ้วโดดเด่นกับดวงตาใสกระจ่าง “ภรรยาของกระหม่อมฟื้นฟูความทรงจำแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชะงักไปเกือบจะสำลักน้ำลายตนเอง หันไปพิจารณาลู่เหิงอย่างละเอียดอีกทีคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

ลู่เหิงรอจนได้รับการยอมรับแล้วจึงพูดต่อว่า “วันงานแต่งงานของกระหม่อมถูกวอโค่วซุ่มโจมตี ภรรยาของกระหม่อมไม่ระวังหกล้มระหว่างช่วงชุลมุน ศีรษะถูกกระแทกทำให้นางจดจำทุกอย่างได้ นางยืนกรานจะยกเลิกการแต่งงาน กระหม่อมจนปัญญาจึงได้แต่อ้างว่าอยากให้นางช่วยสืบคดีของหยางจินอิงและคนอื่นๆ แล้วพานางมาอยู่ข้างกายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้คิดในใจ เรื่องในโลกเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา มีเพียงลู่เหิงที่ไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังคงไร้คุณธรรมถึงเพียงนี้ หากจะให้ฮ่องเต้พูด ลู่เหิงจงใจหลอกลวงฝ่ายหญิงถึงสองปีเต็ม เมื่อฝ่ายหญิงฟื้นฟูความทรงจำก็ต้องการยกเลิกการแต่งงาน นี่เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมแล้ว ลู่เหิงไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมแก้ไขก็แล้วไปเถอะ ยังจะดื้อรั้นหัวแข็ง ใช้อุบายกับฝ่ายหญิงต่อ

คนที่ถูกเขาหมายตาช่างโชคร้ายโดยแท้

เมื่อมีเรื่องนี้แทรกเข้ามา จิตใจของฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าคำพูดของลู่เหิงแฝงเรื่องบางอย่างไว้ จึงถาม “เกิดอะไรขึ้นกับนางกำนัลพวกนั้น”

ลู่เหิงหลุบตา ตอบอย่างนอบน้อม “ฮองเฮาทรงเป็นห่วงฝ่าบาทจึงได้ประหารชีวิตนางกำนัลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ความจริงตอนฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ ลู่เหิงเคยพูดแล้วว่ากบฏถูกประหารชีวิตทั้งหมดแล้ว ตอนนั้นฮ่องเต้คิดว่าองครักษ์เสื้อแพรสอบสวนเสร็จแล้วจึงประหาร ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของฮองเฮา

นั่นสินะ หากเป็นลู่เหิงเขาจะตัดสินใจโดยพลการได้อย่างไร

ฮ่องเต้นิ่งไป พลันตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล

ในที่สุดลู่เหิงก็ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเสียที เขากดศีรษะลงต่ำกว่าเดิม “เฉาตวนเฟยกับองค์หญิงใหญ่ถูกฮองเฮาพาตัวไปตอนกลางคืนพ่ะย่ะค่ะ”

ลู่เหิงแต่งงานแล้ว เข้าใจความคิดจิตใจของบุรุษที่แต่งงานแล้วเป็นอย่างดี ฮองเฮากับเฉาตวนเฟยคนหนึ่งเป็นภรรยาเอก คนหนึ่งเป็นอนุรัก คนนอกไม่ว่าช่วยเหลือใครก็ไม่ถูกต้องทั้งนั้น มิสู้ไม่ยุ่งเกี่ยวโดยสิ้นเชิง ปล่อยให้ฮ่องเต้จัดการสตรีของพระองค์เอง

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เข้าใจแล้วว่าเหตุใดลู่เหิงจึงพาหวังเหยียนชิงเข้ามาในวัง เรื่องของฝ่ายในและสตรีย่อมได้แต่ให้สตรีเป็นคนตรวจสอบ ทว่าตอนนี้มิใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ฮ่องเต้ออกคำสั่งอย่างฉับไว “ไปวังคุนหนิงก่อน จับเฉาตวนเฟยคุมขังไว้”

ลู่เหิงกุมหมัดรับพระบัญชาจากไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขายังคงช้าไปหนึ่งก้าว ตอนที่องครักษ์เสื้อแพรไปถึง เฉาตวนเฟยได้สิ้นชีวิตแล้ว

ตายตาไม่หลับ ศพเต็มไปด้วยโลหิต นางถึงขั้นถูกประหารชีวิตด้วยทัณฑ์หลิงฉือ*

 

* ธารดอกท้อ (เถาฮวาหยวน) เป็นคำเรียกสถานที่ในอุดมคติตามความเชื่อของชาวจีน โดยที่นั่นจะมีสภาพแวดล้อมงดงาม ชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างสงบสันติ ตัดขาดจากความวุ่นวายของโลกภายนอก

* ไข่มุกคลุกฝุ่น เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสิ่งของล้ำค่าไปตกอยู่ในมือคนที่ไม่รู้คุณค่า คนที่มีสติปัญญาไม่ได้รับความสำคัญ

* หลิงฉือ เป็นวิธีลงทัณฑ์ในสมัยโบราณของจีน เรียกอีกอย่างว่า ‘พันดาบหมื่นแล่’ หมายถึงการใช้มีดเฉือนเนื้อของนักโทษออกมาทีละชิ้นๆ จนกว่านักโทษจะตาย ใช้กับนักโทษที่มีความผิดมหันต์เท่านั้น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: